อ่านใจตนเอง

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 24 มีนาคม 2008.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    แต่เพราะความไม่รู้จึงไปยึดมั่นอยู่ แล้วยังไปให้เชื้อมันแต่ถ้าดูโดยเนื้อแท้แล้วมัน
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    วันเข้าพรรษา
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๑๕

    วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ผู้ปฏิบัติที่ได้มาประชุมกันก็เพื่อจะมาปฏิบัติในพรรษานี้ให้เป็นพิเศษ เพราะว่าเรื่องการเข้าพรรษานี้ก็มีประจำอยู่ทุกๆ ปีมาแล้ว แต่ก็จะต้องพยายามปฏิบัติให้ดีขึ้นตามลำดับ แม้ว่าจะมีการตั้งสัจจะกระทำความเพียรยิ่งขึ้นก็นับว่าเป็นการดี หือว่าจะมีการบังคับตัวเองในความประพฤติให้เคร่งครัด มัธยัสถ์ ก็ควรจะทำ เพราะต่างก็มีความตั้งใจที่จะมาเข้าพรรษาที่นี่ ก็ควรจะมีการทำอะไรให้เป็นพิเศษเสีย จะได้เป็นการก้าวหน้าของตัวเอง เพราะว่าชีวิตที่ได้ผ่านมา ก็ไม่ใช่เพื่อการกระทำอย่างอื่น ทุกวันทุกเวลาของชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นการก้าวหน้าเรื่อยไปทีเดียว ยิ่งประกอบกับการเข้าพรรษานี้ด้วยแล้ว ก็ควรจะมีการกระทำจริงให้ครบถ้วนตลอดเวลา ในระยะเวลาสามเดือนนี้ ถ้าอยู่ชนิดที่ไม่มีการพากเพียรอะไรแล้ว มันก็สิ้นเปลืองเวลาของชีวิตไปเปล่าๆ แล้วก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ฉะนั้นก็ควรประพฤติปฏิบัติให้เต็มสติกำลังทีเดียว แต่ว่าจะต้องอบรมศีล สมาธิ ปัญญา ให้มีการเจริญยิ่งขึ้น จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และจิตใจด้วย ต้องมีการสำรวมระวังให้มากอย่าได้มีการประมาทเลย เพราะว่าถ้าเป็นการกระทำให้บริสุทธิ์ครบถ้วนแล้ว ก็มีอานิสงส์ใหญ่ แต่ว่าถ้าทำให้ขาดทะลุ ด่างพร้อยในเรื่องของศีลแล้วก็มีโทษ เพราะว่ามันเป็นการทุศีลอยู่ในตัวเอง นี่เป็นความเสียหายอย่างย่อยยับทีเดียว อย่าเห็นว่าเป็นของเล็กน้อยเลย เพราะฉะนั้นจะต้องมีการสำรวมระวังให้ครบถ้วน

    เฉพาะเรื่องจิตใจนี้ก็ต้องอบรม คือว่าต้องฝึกให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกเวลา ให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในการยืน เดิน นั่ง นอน ต้องทำให้มัธยัสถ์เคร่งครัดให้ได้ อย่าให้มีการย่อหย่อนอ่อนแอไปเป็นอันขาด เพราะจะได้เป็นเครื่องรู้สึกตัวเองได้ว่าจะต้องทำให้เป็นพิเศษกว่าทุกๆ พรรษาที่ผ่านมา พร้อมทั้งมีการสำรวมกาย วาจา ใจ ให้มีการคุ้มครองเอาไว้ด้วยการมีสติสัมปชัญญะให้ครบถ้วนให้จงได้ แม้จะผิดพลาดพลั้งเผลอไปบ้าง ก็ต้องสำรวมระวังต่อไปใหม่ และการสำรวมระวังทางอายตนะผัสสะนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องมีการรอบรู้อยู่ด้วย ถ้าไม่มีการสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว ศีลกี่ข้อๆ มันก็ไม่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นเรื่องการรักษาอินทรีย์สังวรศีลจึงเป็นขั้นละเอียด และเป็นขั้นที่จะต้องอบรมจริงๆ จึงจะได้รับประโยชน์ ถ้าว่าเป็นการทำอย่างสะเพร่า หรือตามความชินเคยของสันดานแล้ว ก็จะเป็นคนทุศีลแล้วทุศีลอีก มีทุกข์โทษอยู่กับตัวเองมากมายนัก นอกจากนี้ก็ยังทำความเสียหายให้แก่เพื่อนร่วมปฏิบัติด้วย ฉะนั้นจึงต้องระวังกันให้เคร่งครัดในพรรษานี้ ทั้งนี้ไม่ว่าคนเก่า คนใหม่ที่เข้ามาอยู่ที่นี่ จะต้องมีการฝึก มีการปฏิบัติชนิดที่มีความเคร่งครัดมัธยัสถ์ เพราะจะต้องสำรวมระวังทวารทั้งหกนี้ให้มาก แล้วก็งดเรื่องการพูดจาอะไรที่ไม่มีประโยชน์เสีย และเรื่องเดรัจฉานกถานี้ก็ขอให้สนใจกันให้มากสักหน่อย ถ้าว่างดเว้นเรื่องเดรัจฉานกถาได้แล้ว ศีลจะบริสุทธิ์ครบถ้วนทั้ง กาย วาจา ใจ ทีเดียว แล้วก็ควรจะมัธยัสถ์เคร่งครัดกันให้มากๆ ทั้งในระยะเดือนแรก หรือว่านับแต่วันนี้ไป ถ้าว่าใครจะมีการตั้งสัจจะอะไรก็ได้ หรือว่าจะอยู่เงียบๆ ไม่ต้องมาประชุมก็ได้ แล้วแต่ว่าใครต้องการจะทำเป็นพิเศษอะไรของตัวเองก็ตั้งสัจจะมาเสีย เพื่อเป็นการประกาศให้ที่ประชุมทราบและจะได้เป็นที่เรียบร้อยกัน ถ้าตั้งใจทำจริงในสิ่งใดแล้ว มันก็จะมีประโยชน์แก่ตัวเองทั้งนั้น ดีกว่าที่จะไม่ตั้งสัจจะอะไรไว้เป็นการล้อมรั้วของตัวเองเสียเลย

    เพราะว่าคนที่ไม่กล้าตั้งสัจจะนี้ เท่ากับเปิดหนทางให้แก่กิเลสนั่นเอง คือว่าถ้าตั้งสัจจะแล้วกลัวว่าจะทำตามกิเลสไม่ได้ มันก็เลยไม่ค่อยจะกล้าตั้งสัจจะ แล้วก็ปล่อยไปตามนิสัยเคยมานั่น ไม่สำรวมกาย ไม่สำรวมวาจา และไม่สำรวมกิริยามารยาทอะไร มันทำให้เสียหายทั้งแก่ตนเอง และเป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่น ที่มองเห็นแล้วก็ไม่น่าจะมีศรัทธา หรือว่าไม่สมกับเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเสียเลย เพราะว่าการที่ไม่ได้สำรวมอะไรก็เหมือนชาวบ้านไป นึกจะพูดอะไรก็พูดเพ้อเจ้อ หรือว่าการตลกคะนองเฮฮาอะไรอย่างนี้ ต้องของดให้หมด เพราะว่าจะต้องเป็นการทำจริง จะมาทำเล่นๆ มันไม่ได้ มันเสียประโยชน์แล้วก็ทำลายวันเวลาอันมีค่าของชีวิต ซึ่งไม่น่าจะทำ ฉะนั้นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ถึงแม้จะผิดบ้างถูกบ้าง ก็ขอให้เลิกกันให้หมด กวาดทิ้งกันให้หมด ตั้งหน้าทำใหม่ต่อไปให้ดีให้ถูกให้ได้ เพราะมันเรื่องทำได้ ถ้าไม่เพียรพยายามทำเพื่อข้อปฏิบัติของตัวให้ก้าวหน้าแล้ว แม้ว่าอยู่วัดไปจนตายก็มีแต่ว่าจะเพิ่มทุกข์เพิ่งโทษให้ เพราะเป็นคนเหลาะแหละไม่มีการประพฤติปฏิบัติดี แล้วมันก็เป็นการเสียหายอยู่กับตัวเองทั้งนั้น ถ้าว่าทำดีทำถูก พร้อมทั้งมีการสำรวมกิริยามารยาทให้สมแก่เป็นผู้ปฏิบัติแล้วก็นั่นแหละเป็นการทำความดี หรือทำการพ้นทุกข์ พ้นโทษให้แก่ตัวเอง แล้วก็มีคุณธรรมมากมายเพิ่มขึ้นมาเอง

    เพราะฉะนั้น เรื่องการกระทำข้อปฏิบัติที่มีการสอบสวนพิจารณาตัวเองให้ถูกต้องถ่องแท้แล้ว มันจะเปลี่ยนสันดานของตัวได้ คือว่าสันดานเดิมเป็นคนสะเพร่า เป็นคนกิเลสหนาปัญญาหยาบ แต่พอมีความรู้สึกตัวด้วยสติปัญญาแล้ว มันจะต้องกลับได้ กลับจากคนมีสันดานหยาบคายให้เป็นคนมีสันดานดีละเอียดลออขึ้น มีทั้งความประพฤติดีครบถ้วนตลอดกาย วาจา ใจ แม้ทำอะไรก็ทำด้วยการมีสติก็ได้ แต่ว่ามันต้องหัดเพราะว่าเราไม่ได้มีงานอะไรที่ต้องทำประจำวัน นอกจากงานที่จะต้องฝึกสติให้ติดต่อทุกอิริยาบถเท่านั้น แล้วนับว่ามีโชคดีเท่าไร ได้มีโอกาสมาฝึกอบรม ชนิดที่มีการปฏิบัติโดยเฉพาะด้านเดียวเท่านั้น ฉะนั้น จึงเป็นการทำคุณงามความดีให้แก่ตัวเองอย่างยิ่ง เพราะว่าจะอยู่คลุกคลีเหมือนกับอยู่บ้านเรือนก็จะทำไม่ได้ เพราะได้เข้ามาอยู่ในวัดในวาแล้วนับว่าเป็นโอกาสดีมาก และถือว่าเป็นคนมีวาสนาบารมีก็ได้ที่ได้มาสร้างบารมีกันนี้ ได้ทำให้มีคุณงามความดีเป็นที่อุ่นอกอุ่นใจ หรืออิ่มอกอิ่มใจของตัวเองได้ว่าทุกวันทุกเวลานี้ได้ประพฤติคุณงามความดีครบถ้วนทั้ง กาย วาจา ใจ ก็สงบ ปราศจากทุกข์โทษทั้งหลาย แล้วนี่มันจะเป็นการรู้สึกตัวได้จริงๆ ว่า การปฏิบัติธรรมนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งของชีวิต แม้ว่าได้ผ่านมาแล้วแต่หนหลังที่ได้ทำผิดบ้างถูกบ้าง แต่ว่าการปฏิบัติธรรมก็จำเป็นต้องแก้ปัญหาของตัวเองเรื่อยไป ส่วนที่เข้าใจว่าถูก เมื่อเข้ามาถึงขั้นละเอียดแล้วมันยังผิดก็มี ฉะนั้นเราก็ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาตัวเองให้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น การปฏิบัติจึงจะเป็นการเข้าไปทำลายอาสวะกิเลส ที่มีอยู่ในสันดานในด้านลึกได้ แม้ว่าจะมีความดีอะไรเป็นพิเศษบ้างก็อย่างเพิ่งไปตื่นเต้น ต้องพยายามพิจารณาต่อไปอีก รู้ต่อไปอีกว่าความสับปลับกลับกลอกของความรู้สึก ที่มีหลอกหลอนอยู่หลายชั้นอย่างไรแล้วตัวเองนี่จะต้องพินิจพิจารณาอย่างไร มันถึงจะเปลี่ยนจากนิสัยเดิม คือว่าความไม่รู้ความหลงงมงาย ให้มีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้ของตัวเอง และเป็นเครื่องซักฟอกตัวเองให้ถูกต้องยิ่งขึ้น อะไรที่มันผิดพลาด หรือเป็นของไม่ดีไม่งาม ก็จะต้องพยายามงดเว้น ละ เลิก เพิก ถอนไปทีเดียว หรือจะต้องทำความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะที่เปลี่ยนอิริยาบถนี่ ถ้าว่ามีสติติดต่อแล้ว ทุกข์โทษของกิเลสทั้งหลายนี่มันจะน้อยลงไป คือว่าจิตใจนี่มันจะมีความสงบมากขึ้น แล้วก็ประกอบกับการเคร่งครัดมัธยัสถ์ในการพูดน้อย และก็จะไม่คลุกคลีกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น และก็ให้ต่างคนต่างอยู่ แม้ว่าจะมีกิจการอะไรที่จะต้องทำต้องพูดบ้างก็ให้พูดกันตามสมควรเท่านั้น ต้องอยู่ในที่หลีกเร้นในที่อยู่เฉพาะคนเดียวให้มาก โดยที่ว่าการบังคับผัสสะ คือว่า ตาเห็นรูป หูฟังเสียง มันจะออกไปดูออกไปฟังเอาเรื่องเอาราวอะไร ต้องปิด ต้องควบคุม ถ้าไม่ควบคุมแล้ว ศีลนี้ก็จะไม่บริสุทธิ์ได้

    เพราะฉะนั้น เรื่องการรักษาอินทรียสังวร ต้องตั้งหลักปกติให้เป็นภาคพื้นเอาไว้ทุกอิริยาบถให้ได้ ถ้าว่าฝึกได้ตลอดไปอย่างนี้ เป็นการรู้ว่าการยินดีก็ผิดแล้วการยินร้ายก็ผิดแล้ว ทีนี้ถ้าว่ามันผิดไปจากปรกติไปก็แปลว่าศีลอินทรียสังวรไม่บริสุทธิ์แล้ว แปลว่าเศร้าหมองแล้ว ทีนี้ลองพิจารณาดูกันว่า การที่จะควบคุมทางอายตนะผัสสะนี้อย่าให้มันไปยินดียินร้าย ในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียงเหล่านี้ แล้วก็ควบคุมเอาไว้ให้ดี แม้ว่าอยู่กันสองคนก็ต้องเลิกพูดกัน จะพูดกันเท่าที่จำเป็น ถ้าไม่จำเป็นแล้วก็อย่าไปนั่งคุยกันเป็นอันขาด เพราะว่าเราจะต้องทำจริง เพียรจริง ซึ่งเป็นการทำความดับทุกข์ให้แก่ตัวเองจริงๆ เพราะฉะนั้นจะต้องพากเพียรให้ยิ่งขึ้นเสมอ อย่าให้มันย่อหย่อนอ่อนแอไปเลย เพราะต่างคนต่างก็มีความปรารถนามาด้วยกันทั้งนั้นว่าจะมาปฏิบัติให้ดี การปฏิบัตินี้จะต้องมองด้านในให้มาก อย่าออกไปเอาเรื่องข้างนอก ต้องปิดประตูดูข้างในให้มันเงียบไปเลย อย่าให้มันหาเรื่องหาราวเข้ามายึดถือเลย ถ้าว่าเป็นการพร้อมเพรียงกันทั้งหมดสำหรับในพรรษานี้ก็อยากจะขอแนะนำผู้ปฏิบัติที่ได้มาร่วมจำพรรษาที่นี่ ขอให้ปิดประตูดูข้างในกันทุกคน แล้วควรมีเรื่องทำให้น้อยที่สุดทีเดียว แต่มีการพิจารณาเข้าด้านในให้มากที่สุด และให้เปิดเผยข้อปฏิบัติขณะที่เราได้มีการอ่านจิตใจของเราเอง ให้รู้ทุกข์ รู้โทษของกิเลสตัณหาอุปาทาน ในลักษณะอย่างไรที่มันเกิดขึ้น เมื่อเรามีสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเป็นเครื่องดับทำลายมันได้แล้ว ก็เห็นผลประจักษ์ว่า จิตใจนี้มันจะไม่เร่าร้อนเศร้าหมองก็จะรู้ได้ว่าชีวิตประจำวันนี้ได้เดินตามรอยของพระอรหันต์

    หรือในวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้ ทำศีลให้บริสุทธิ์ครบถ้วนแล้วจิตใจก็มีความสงบระงับและก็มีสติปัญญาที่จะพิจารณาให้รู้จริงเห็นแจ้งในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของรูปนามขันธ์ห้านี้เป็นจุดสำคัญ เพราะการพิจารณาเพื่อจะให้รู้ความจริงในเรื่องรูปที่ประกอบไปด้วยธาตุนี้ ต้องพิจารณาอย่างซ้ำซากว่า ร่างกายทั้งหมดนี้สักแต่ว่าธาตุทั้งหมด ไม่ใช่เป็นตัวเราจริงจังหรอก ต้องแยกธาตุดูเสียอย่าไปหลงอุ้มชูมันไว้นักเลย เพราะว่าล้วนแต่ทุกข์ทั้งนั้นและในขณะที่ยังมีโอกาสนี้ก็ให้รีบพิจารณาให้รู้จริงเสีย อย่าเอาความสุข เอาสบายแค่กินๆ ถ่ายๆ นี้เลย เพราะว่ารูปนามขันธ์ห้านี้มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็อยู่ในวงล้อมของพวกกิเลสตัณหาอุปาทาน ทั้งภายในภายนอกทั้งหมด ฉะนั้นต้องรู้ให้ละเอียด ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่เข้าไปทำลายอาสวกิเลสที่มีอยู่ในสันดานได้ มันก็นึกว่าเท่านี้ก็ดีแล้ว เท่านั้นก็ดีแล้ว มันมักจะบอกเสียว่ามันดีแล้วเรื่อยไป ทีนี้คำว่า
     
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เพราะฉะนั้นจะต้องมองผ่านเลยไปทั้งหมด ต้องรู้จักลักษณะของความหลง คือว่ามิจฉาทิฏฐิที่มันเห็นผิดแล้วมีการยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเราเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องจ่อหน้าจ่อตาอยู่ แต่ว่ามองกันไม่ค่อยจะเห็นไปเองว่า มิจฉาทิฏฐิ มองเห็นเป็นตัวเราตัวเขาอะไรทางผัสสะนี้ หรือว่าทางอายตนะทั้งภายในภายนอก นั่นก็เกิดดับสับสนอยู่ และก็ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ ดีชั่ว ตัวตนอะไรก็ล้วนแต่เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ทั้งนั้น แม้จะไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิขั้นศีล แต่ก็มาเป็นมิจฉาทิฏฐิขั้นสมาธิ ซึ่งในขั้นปัญญาที่ยังไม่รู้จริงเห็นแจ้ง มันก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วจะต้องเห็นแจ้งและต้องรู้จริง เมื่อรู้จริงแล้ว ก็ต้องเบื่อหน่ายคลายกำหนัดเรื่อยไปทีเดียว ในที่สุดก็ต้องผ่านไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะรู้เห็นอะไรทั้งหมด รวมลงว่าเห็นสภาวะคือว่ารูปธรรม นามธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
     
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    วันครบรอบ ๗๑ ปี (เป็นวันเกิด)
    สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวงราชบุรี
    วันที่๑๘มิถุนายน๒๕๑๕


    วันนี้เป็นวันสมมุติคล้ายวันเกิดซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ขึ้นค่ำเดือนเป็นปีที่มีอายุครบ๗๑ปีก็มีเรื่องอยากจะพูดให้ผู้ปฏิบัติทราบเพราะว่าการประชุมทำความสงบในวันนี้ถ้าจะเอาชื่อของวันเดือนปีออกเสียแล้วก็เป็นอันว่าวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้เกิดพร้อมกันเป็นการทำบุญวันเกิดร่วมกันไปเลยเฉพาะว่าวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้มืดกับสว่างเพียงแต่ตั้งไว้เป็นหลักก็แล้วกันนอกจากนั้นไม่ต้องคำนวณอะไรอีกเพราะว่าเป็นของสมมุติเล่นๆไม่ใช่เป็นจริงและจะขอเล่าเรื่องสมมุติให้ฟังบ้างเล็กน้อย

    เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังก็มีอยู่ว่าเมื่อมีอายุได้ปีฉันมีความกลัวคนท้องมากเมื่อเห็นแม่ท้องแก่แล้วก็ต้องทำงานหนักก็มีความสงสารและเกิดความกลัวในเรื่องนี้เรื่อยมาเพราะความกลัวนี่เองจึงทำให้ไม่ยอมดูและรู้เรื่องของคนคลอดลูกมันกลัวจับจิตจับใจแม้แต่ได้ยินเสียงร้องครวญครางก็ไม่ได้ต้องเอาผ้าปิดหูหรือหนีไปเสียไกลๆพออายุวัยรุ่นก็เกิดความละอายจึงไม่ยอมสุงสิงกับใครมักจะอยู่กับบ้านอ่านหนังสือธรรมะเป็นส่วนมากเมื่ออ่านหนังสือธรรมะแล้วก็ได้นำข้อความในหนังสือนั้นมาขบคิดด้วยตนเองเนื่องจากความกลัวประกอบกับความอายผสมกันนี่เองจึงไม่กล้าไปถามใครที่เขามีความรู้ในสมัยนั้นจนกระทั่งได้เข้าวัดรักษาศีลอุโบสถในวันแรกก็อดข้าวเย็นได้

    สำหรับวันธรรมดาก็ถือศีลเพียงข้องดเว้นเรื่องนัจจคีฯอุจจาสยนฯแล้วก็มีการสำรวมระวังตัวเป็นพิเศษเรื่อยมาเพราะการเข้าวัดนั้นมีแต่คนแก่ๆก็ต้องสำรวมตาหูเพื่อไม่ให้มีการมองการฟังออกไปภายนอกยิ่งรักษาอุโบสถก็ยิ่งรู้สึกว่ามีข้อบังคับตัวเองได้ดีขึ้นจนกระทั่งมีความเป็นอิสระขึ้นมาเรื่อยๆแม้ว่าการเข้าอยู่ในวัดเรื่องการเข้าวัดฟังธรรมะนี่ก็เป็นของสำคัญเหมือนกันเพราะตามธรรมดาคนแก่ๆก็มักจะเป็นแม่สื่อให้ไปรู้จักกับพระองค์นั้นองค์นี้เราก็ปฏิเสธไม่ไปรู้จักทั้งนั้นแม้แต่จะไปพูดไต่ถามเรื่องธรรมะก็ไม่เอาเป็นเด็ดขาดทีเดียวใครอย่ามาชวนเสียให้ยากเลยเราก็เลยเป็นอิสระแก่ตัวเองตลอดมาโดยมากเราอ่านเอาตามตำราและค้นคว้าตามเหตุผลเองไม่ว่าบทสวดมนต์บทใดเมื่อสวดแล้วก็เอามาคิดมานึกเอามาตรึกมาตรองเอามาปฏิบัติเรื่อยๆส่วนเรื่องที่จะไปหาเพศตรงกันข้ามโดยการไปหาธรรมะนี่ไม่เอาเป็นเด็ดขาดมันเป็นอิสระมาตั้งแต่อยู่บ้านทีเดียวเพราะฉะนั้นการที่รอดตัวมาได้ก็เพราะความกลัวเพราะความละอายสองอย่างนี่จึงเป็นครูเป็นอาจารย์เรื่อยมาจะไปทางไหนไม่ได้มันจะไปตามอย่างเขาก็ไม่ได้เพราะความอายการแต่งเนื้อแต่งตัวก็อายไปหมดทีเดียวจะไปไหนก็อายรู้สึกตัวว่าความกลัวกับความอายนี้มันช่างจับจิตจับใจเสียเหลือเกิน

    โดยเฉพาะกลัวต่อเพศตรงกันข้ามนี่กลัวมากที่สุดการที่รอดตัวมาได้ทั้งทางโลกทางธรรมและที่เป็นอิสระมาได้นี้ก็เพราะความกลัวกับความละอายคอยเตือนใจของตัวเองอยู่เรื่อยๆมาไม่เข้าพวกกับใครเพราะการเข้าพวกกับคนแม้ในขั้นที่มีธรรมะนี้ก็เป็นอันตรายอีกเหมือนกัน

    จนกระทั่งว่ามาอยู่เขาสวนหลวงนี่เมื่ออายุ๔๔ปีก็ยิ่งเป็นอิสระเรื่อยมาคือว่าเป็นการอยู่อย่างมักน้อยสันโดษไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอะไรทั้งหมดไม่ว่าใครจะไปจะมาก็รู้สึกว่าเป็นอิสระแก่ตัวเองไม่ตื่นเต้นไปกับเรื่องทั้งหลายแหล่นับว่าเป็นอิสระขึ้นมาจากทางโลกและทางธรรมจึงรู้สึกว่าชีวิตนี้รอดมาได้ไม่ตกไปเป็นทาสของอะไรทั้งนั้นก็เพราะว่าได้มีการอดทนต่อสู้เพราะมีความละอายพร้อมทั้งมีความกลัวมามากนี่เองมันเลยทำให้เอาตัวรอดได้เรื่อยๆมาจนกระทั่งวันนี้ที่ได้มาพูดปรารภให้ฟังก็เพื่อจะได้รู้สึกตัวบ้างว่าการเกิดมานี้ควรมีความกลัวต่ออะไรกันบ้างมีความละอายต่ออะไรกันบ้างจะได้รู้ว่าการที่จะเอาชีวิตหลุดรอดออกมานี่นะไม่ใช่ของง่ายเลยแม้แต่การครองเรือนถ้าไม่มีความละอายหรือไม่มีความกลัวแล้วมันจะเอาตัวไม่รอดเลยไม่ว่าวัยไหนรุ่นไหนทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นการที่ได้มาศึกษาธรรมะหรือปฏิบัติธรรมะที่เป็นเครื่องบังคับตัวเองตลอดมาก็ไม่มีใครมานั่งเป็นอาจารย์สอนต้องอาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้านำมาสอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2008
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    การทำข้อปฏิบัติ หรือว่าการศึกษาธรรมะมาก็ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่น เพื่อจะอดทนต่อสู้ผัสสะเครื่องกระทบ ถ้าว่าผัสสะชนิดไหนที่มันไม่ตรงเข้ามาหาตัวมันก็ฟังได้ แต่ถ้ามันตรงเข้ามาหาตัวแล้ว ถ้ามีเจ้าตัวกูชูหัวขึ้นมาแล้ว ก็ระวังให้ดี ถ้าว่ากดหัวตัวกูลงไปได้มันก็โล่งอกโล่งใจ แต่ถ้ากดมันไม่ได้ ปล่อยให้มันมีอำนาจขึ้นมา มันก็โกยธรรมะทิ้งหมด แล้วมันก็วิ่งอ้าวไปเหมือนสุนัขขี้เรื้อน จึงมีแต่ความทุกข์อย่างน่าสมเพชเวทนาที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่ามันจะไปช่วยกันได้อย่างไร ถ้าว่าตัวเองนี่ไม่เอาธรรมะเสียอย่างเดียวแล้ว ใครจะมาช่วยได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ตัวเองจะต้องช่วยตัวเองด้วยกันทุกคน ต้องมีสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาดับทุกข์ ดับโทษ ดับโลภ ดับโกรธ ดับหลง และสารพัดที่จะต้องดับ ที่จะต้องอดทนต่อสู้อยู่ในตัวเองก็มากที่จะต้องมีการกระทบกระเทือนกันก็มาก มีทั้งภายนอกภายในที่จะต้องรู้เท่าทันมัน

    ทีนี้การศึกษาธรรมะหรือปฏิบัติธรรมะ ที่ยังไม่ได้อ่านตัวจริงของเจ้าทิฏฐิมานะหรือเจ้าตัวกูนี่เองมันจึงได้มีการแผลงฤทธิ์เอาอย่างน่าละอาย ละอายคนอื่นนั้นมันอย่างหนึ่ง แต่ละอายอยู่ในตัวของตัวเองว่า เสียแรงศึกษาธรรมะหรือปฏิบัติธรรมะมาแล้วกลับมาพ่ายแพ้ต่อตัวกูตัวเดียวนี่เอง พอมันใหญ่โตขึ้นมาแล้วจึงได้เตลิดเปิดเปิงไป เหมือนกับไฟที่ไหม้บ้านป่นปี้ไปอย่างนั้นแหละ

    นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ ให้ทุกคนมีความรู้สึก โดยอย่าได้มีความประมาทกันเลยในเรื่องนี้ ถ้าจะเป็นทาสพระธรรมแล้วจะต้องอดทนต่อสู้ทุกอย่างแม้จะเป็นคำด่าว่าสารพัดสารเพ ก็ต้องน้อมเอาไว้กดหัวตัวกู ถ้าว่าเป็นทาสของพระธรรมต้องได้อย่างนี้ แล้วก็เรื่องที่จะทะนงตัวอวดดีอะไรอย่างนี้ ต้องลดปริมาณลงไปเรื่อยทีเดียว ไม่ว่าทั้งผิดทั้งถูก แม้จะมีใครมาว่าผิดๆ ก็รู้ หรือจะมาสรรเสริญในแง่ถูกต้องอย่างไรก็ตาม จะต้องวางเฉยได้ ไม่เห่อไม่ทะเยอทะยาน ไม่ยกหูชูหาง แล้วนั่นแหละจะเป็นการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อยู่ในตัว โดยถูกต้องถ่องแท้ทีเดียวไม่ว่าใครทั้งหมด ถ้ายังไม่เป็นอิสระแก่ตัวเองได้ มันก็เที่ยววิ่งหัวซุกหัวซุนไป ทั้งนี้ก็เป็นเรื่องของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็เป็นตัวอย่างที่จะให้เป็นพยานเพื่อเป็นเครื่องสอบเป็นเครื่องรู้ของตัวเองทั้งนั้น เรื่องการศึกษาธรรมะไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดธรรมะตรวจต้นฉบับธรรมะหรือเขียนต้อฉบับธรรมะประเภทใดก็ตาม ถ้าว่าไม่ได้น้อมเอามาดูตัวเอง มาสอบตัวเองแล้ว ทำไปตั้งมากมายก็ดับทุกข์ดับโทษไม่ได้ และก็ไม่ได้รับรสของธรรมะอีกเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้นมันต้องตรวจสอบเข้ามาให้รู้ทุกข์โทษด้วยใจจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีการเกิด เพราะว่ายังมีกิเลสด้วยกันทุกคน แต่ว่าพอเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สึกกลัว ถ้าจะทำอะไรออกไปก็รู้สึกละอายแก่ใจของตัวเอง และก็พยายามทำผิดให้น้อยลง แม้ว่าไม่ถึงขนาดจะไม่ทำผิดเลยก็ยังไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าเราต่างก็มีโรคกิเลสอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมันกระทบอะไรเข้าเล็กน้อยก็รู้สึกมีความทุกข์ทางจิตใจ ทีนี้ลักษณะของความทุกข์คือการกระทบผัสสะนี่เอง ถ้ามันเกิดทุกข์ที่ไหนก็ให้ดับมันที่นั่น ถ้าเรารู้อย่างนี้ได้เราก็จะดับทุกข์ได้ถูกจุดหมาย แต่ถ้าเราไม่รู้ยิ่งจะแผ่ซ่านไปใหญ่ แล้วก็จะคิดนึกปรุงแต่งมากมายออกไปยิ่งเป็นการเพิ่มเชื้อหนักขึ้น

    ข้อสำคัญในเรื่องนี้ก็คือว่า จะต้องมีสติตั้งมั่น คำว่ามี
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    วันวิสาขบูชา (กลางคืน)
    สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวงราชบุรี
    ๒๗พฤษภาคม.. ๒๕๑๕ (กลางคืน)

    การปฏิบัติบูชาวิสาขะ ตอนเช้าวันนี้ ได้สมาทานอริยอุโบสถ เป็นการตามรอยพระอรหันต์ตลอดวันที่ได้มีสติควบคุมกาย ควบคุมวาจา และควบคุมจิตใจอยู่ทุกอิริยาบถแล้วมีความรู้ว่า ตลอดวันนี้ ได้มีสติติดต่อเป็นส่วนมาก แม้จะมีการกระทบผัสสะในขณะไหนหรือเมื่อเผลอไผลเพลิดเพลินไปกับอารมณ์ชนิดใด ก็จะรู้สึกตัวได้ทันท่วงที ทำให้การปฏิบัติตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งกลางคืน นับว่าเป็นการอ่านข้อเท็จจริงและดับกิเลสได้ภายในตัวเอง แล้วจิตใจก็มีความสงบจากกิเลสได้เป็นส่วนมาก เพราะจิตทรงตัวในลักษณะที่กิเลสเข้ามาเผาไม่ได้ ซึ่งเป็นการตามรอยของพระอรหันต์ถูกต้องอยู่ในตัวเองเสร็จโดยไม่ต้องมีข้อปฏิบัติอะไรมากมายเลย เพียงแต่คอยควบคุมจิตอยู่ทุกอิริยาบถและมีการเพ่งพิจารณาให้เห็นความเปลี่ยนแปลง หรือว่ามันมีลักษณะเกิดดับ ซึ่งไม่มีอะไรเป็นของจริงจังยั่งยืน และความรู้ที่รู้ได้ติดต่ออย่างนี้ ย่อมทำให้จิตมีความว่างความสงบได้โดยที่ไม่ต้องไปบังคับเคี่ยวเข็ญแต่ประการใด และควรจะเป็นข้อสังเกตได้ว่า การประพฤติปฏิบัติในวันหนึ่งคืนหนึ่งเอาเฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น เพราะจะได้เป็นเรื่องกระชั้นเข้ามาว่าเรามีการปฏิบัติด้วยความไม่ประมาทโดยแท้จริงตลอดเวลา ทั้งได้มีการควบคุมจิตใจให้อยู่ในภาวะของความสงบได้ติดต่อ แล้วมันอย่างเดียวแท้ๆ โดยที่ไม่ต้องไปจาระไนว่า เป็นศีล เป็นสมาธิ หรือเป็นปัญญา แต่มันรวมพร้อมกันเสร็จไปในตัว โดยไม่ต้องมีการแบ่งแยกอะไร เพราะการปฏิบัติที่ได้ดำเนินมาแล้ว ก็มีสติควบคุมอยู่ในระยะใกล้ชิด คือความเผลอเพลินคงมีน้อยที่สุด แม้กระทั่งที่เราเปลี่ยนอิริยาบถ

    ต่อไปนี้จึงเป็นระยะที่ต้องทำให้ละเอียด คือฝึกทำให้มีสติสมบูรณ์ทุกอิริยาบถแล้วก็ดำรงความเป็นปรกเอาไว้ และต้องมีการเพ่งพิจารณาร่างกาย หรือจะพิจารณาอะไรก็ได้ ให้จิตตื่นอยู่ด้วยการมีสติ เข้ามาดูมารู้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมเหล่านี้ เมื่อมีความรู้เป็นเครื่องอ่านแล้ว จิตมันจะตื่น แต่ถ้าเราจะไปมุ่งเอาความสงบเฉยๆ โดยที่ไม่ได้มีการเพ่งพิจารณาแล้ว มันเผลอเพลินไป ทำให้โมหะหรือนิวรณ์เข้าครอบงำง่าย ทีนี้ต้องเตรียมไว้ก่อน ขณะนี้จิตกำลังว่างกำลังสงบ ให้ตื่นอยู่ด้วยการมีสติ แล้วก็เพียรเพ่งพิจารณาประคับประคองอย่าให้จิตซ่านไปตามผัสสะภายนอก เป็นการปิดกั้นอายตนะ เช่นตาเห็นรูป หูฟังเสียงเป็นต้น ทั้งนี้เพื่ออ่านข้อเท็จจริงอยู่ในตัวเอง ที่มันมีลักษณะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือว่ามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ ในขณะที่เปลี่ยนอิริยาบถและก็เพ่งพิจารณาประกอบอยู่ด้วย ให้เป็นการอ่านให้ชัดเจน เพราะว่าถ้าไม่ฝึกให้ได้รายละเอียดภายในตัวเองแล้ว เราก็จะไม่รู้ธรรมะที่ลึกซึ้งได้เลย แม้จะรู้ได้ก็แต่เผินๆ ถ้ามีการตรวจสอบรอบรู้เข้าด้านในแล้ว จิตนี้จะพ้นไปจากอำนาจของนิวรณ์ได้ เพราะถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องปกคลุมหุ้มห่อแล้ว ภาวะของจิตนี้จะมีการตื่นมีความผ่องใส ไม่มืดมัวหรือไม่เร่าร้อน แล้วก็ให้สังเกตดู เมื่อดำรงสติอยู่ได้ เพียรปิดกั้นอายตนะได้ จิตนี้ก็เป็นอิสระได้ว่างได้ สงบได้ตามสมควร แล้วมันจะน่าควบคุมไหมอย่างนี้ ถ้าเราไม่ควบคุมแล้วมันเสียหายทั้งหมด

    เพราะว่าตัวสำคัญคือ
     
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    วันวิสาขบูชา (กลางคืน)
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๒๗ พฤษภาคม พ.. ๒๕๑๕ (กลางคืน)

    การปฏิบัติบูชาวิสาขะ ตอนเช้าวันนี้ ได้สมาทานอริยอุโบสถ เป็นการตามรอยพระอรหันต์ตลอดวันที่ได้มีสติควบคุมกาย ควบคุมวาจา และควบคุมจิตใจอยู่ทุกอิริยาบถแล้วมีความรู้ว่า ตลอดวันนี้ ได้มีสติติดต่อเป็นส่วนมาก แม้จะมีการกระทบผัสสะในขณะไหนหรือเมื่อเผลอไผลเพลิดเพลินไปกับอารมณ์ชนิดใด ก็จะรู้สึกตัวได้ทันท่วงที ทำให้การปฏิบัติตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งกลางคืน นับว่าเป็นการอ่านข้อเท็จจริงและดับกิเลสได้ภายในตัวเอง แล้วจิตใจก็มีความสงบจากกิเลสได้เป็นส่วนมาก เพราะจิตทรงตัวในลักษณะที่กิเลสเข้ามาเผาไม่ได้ ซึ่งเป็นการตามรอยของพระอรหันต์ถูกต้องอยู่ในตัวเองเสร็จโดยไม่ต้องมีข้อปฏิบัติอะไรมากมายเลย เพียงแต่คอยควบคุมจิตอยู่ทุกอิริยาบถและมีการเพ่งพิจารณาให้เห็นความเปลี่ยนแปลง หรือว่ามันมีลักษณะเกิดดับ ซึ่งไม่มีอะไรเป็นของจริงจังยั่งยืน และความรู้ที่รู้ได้ติดต่ออย่างนี้ ย่อมทำให้จิตมีความว่างความสงบได้โดยที่ไม่ต้องไปบังคับเคี่ยวเข็ญแต่ประการใด และควรจะเป็นข้อสังเกตได้ว่า การประพฤติปฏิบัติในวันหนึ่งคืนหนึ่งเอาเฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น เพราะจะได้เป็นเรื่องกระชั้นเข้ามาว่าเรามีการปฏิบัติด้วยความไม่ประมาทโดยแท้จริงตลอดเวลา ทั้งได้มีการควบคุมจิตใจให้อยู่ในภาวะของความสงบได้ติดต่อ แล้วมันอย่างเดียวแท้ๆ โดยที่ไม่ต้องไปจาระไนว่า เป็นศีล เป็นสมาธิ หรือเป็นปัญญา แต่มันรวมพร้อมกันเสร็จไปในตัว โดยไม่ต้องมีการแบ่งแยกอะไร เพราะการปฏิบัติที่ได้ดำเนินมาแล้ว ก็มีสติควบคุมอยู่ในระยะใกล้ชิด คือความเผลอเพลินคงมีน้อยที่สุด แม้กระทั่งที่เราเปลี่ยนอิริยาบถ

    ต่อไปนี้จึงเป็นระยะที่ต้องทำให้ละเอียด คือฝึกทำให้มีสติสมบูรณ์ทุกอิริยาบถแล้วก็ดำรงความเป็นปรกเอาไว้ และต้องมีการเพ่งพิจารณาร่างกาย หรือจะพิจารณาอะไรก็ได้ ให้จิตตื่นอยู่ด้วยการมีสติ เข้ามาดูมารู้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมเหล่านี้ เมื่อมีความรู้เป็นเครื่องอ่านแล้ว จิตมันจะตื่น แต่ถ้าเราจะไปมุ่งเอาความสงบเฉยๆ โดยที่ไม่ได้มีการเพ่งพิจารณาแล้ว มันเผลอเพลินไป ทำให้โมหะหรือนิวรณ์เข้าครอบงำง่าย ทีนี้ต้องเตรียมไว้ก่อน ขณะนี้จิตกำลังว่างกำลังสงบ ให้ตื่นอยู่ด้วยการมีสติ แล้วก็เพียรเพ่งพิจารณาประคับประคองอย่าให้จิตซ่านไปตามผัสสะภายนอก เป็นการปิดกั้นอายตนะ เช่นตาเห็นรูป หูฟังเสียงเป็นต้น ทั้งนี้เพื่ออ่านข้อเท็จจริงอยู่ในตัวเอง ที่มันมีลักษณะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือว่ามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ ในขณะที่เปลี่ยนอิริยาบถและก็เพ่งพิจารณาประกอบอยู่ด้วย ให้เป็นการอ่านให้ชัดเจน เพราะว่าถ้าไม่ฝึกให้ได้รายละเอียดภายในตัวเองแล้ว เราก็จะไม่รู้ธรรมะที่ลึกซึ้งได้เลย แม้จะรู้ได้ก็แต่เผินๆ ถ้ามีการตรวจสอบรอบรู้เข้าด้านในแล้ว จิตนี้จะพ้นไปจากอำนาจของนิวรณ์ได้ เพราะถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องปกคลุมหุ้มห่อแล้ว ภาวะของจิตนี้จะมีการตื่นมีความผ่องใส ไม่มืดมัวหรือไม่เร่าร้อน แล้วก็ให้สังเกตดู เมื่อดำรงสติอยู่ได้ เพียรปิดกั้นอายตนะได้ จิตนี้ก็เป็นอิสระได้ว่างได้ สงบได้ตามสมควร แล้วมันจะน่าควบคุมไหมอย่างนี้ ถ้าเราไม่ควบคุมแล้วมันเสียหายทั้งหมด

    เพราะว่าตัวสำคัญคือ
     
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ศึกษาให้รู้ของจริง
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๗ ตุลาคม ๒๕๑๕


    วันนี้เป็นวันเปิดโอกาสให้ปรารภข้อปฏิบัติ เพื่อเป็นการพิจารณาตัวเอง ถ้าไม่พิจารณาให้รู้เรื่องจริงๆ แล้วมันมีเรื่องมาก เพราะมีแต่เรื่องยึดมั่นถือมั่นไปทั้งนั้น ส่วนการที่จะศึกษาให้รู้เรื่องทุกข์ หรือเรื่องเหตุเกิดทุกข์ที่มีประจำอยู่นี่เป็นของสำคัญควรพินิจพิจารณาให้รู้เรื่องจริงของตัวเองเสีย ถ้าไม่รู้เรื่องนี้แล้ว การเกิดมานี้มันจะมีแต่ความทุกข์ เรื่องที่จะรู้จักดับทุกข์นี่มันไม่รู้เพราะไม่ได้ศึกษากันนี่เอง

    ทีนี้การปฏิบัติจึงเป็นการศึกษาเรื่องทุกข์โดยตรง แล้วก็รู้จักเหตุเกิดทุกข์ที่เป็นของคู่กันอยู่ เพราะถ้าไม่รู้จักเรื่องของทุกข์ มันก็ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก ถ้าหากว่ารู้จักทุกข์ มันก็ค้นหาเหตุได้ว่าทุกข์นี้มันมาจากอะไร เมื่อรู้จักเหตุให้เกิดทุกข์แล้วก็รู้จักดับเหตุได้ ถ้าดับเหตุได้ ความทุกข์ก็ดับไป คือว่ามันไม่ใช่เป็นทุกข์ของเรา มันจะเป็นแต่เพียงทุกข์ของสภาวะ ที่มันต้องมีขึ้นเป็นธรรมดาของรูปนามที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไปตามเรื่องตามราวของมัน ก็ต้องพิจารณาให้รู้ความจริงแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวเราของเรา และรูปนามขันธ์ห้านี้มันเป็นเรือนร่างของทุกข์ หรือเป็นเรือนไฟไหม้ มันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอมันไม่คงที่ ทั้งนี้เราจะต้องศึกษาและพิจารณาให้รู้ มันจะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเราของเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เราจะต้องทำการศึกษาพิจารณาตัวเองให้มันรู้จริงๆ ถ้าเป็นการรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งหมดมันจะไม่ยึดมั่นถือมั่นเลย ไม่ว่าใครก็สอบเอาเองได้ แม้ว่าเรื่องทุกข์โทษที่เกิดจากสัมผัสภายนอกก็ตาม เราจะต้องรู้สึกได้ด้วยตนเองทั้งนั้น เพราะว่าความจำผิดคิดผิดเห็นผิดเหล่านี้ มันทำให้เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาซ้ำๆ ซากๆ แล้วก็ทุกข์แล้วทุกข์อีก ฉะนั้นการศึกษาเรื่องทุกข์เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์นี้ มันเป็นการศึกษาเรื่องจริงทีเดียว โดยไม่ต้องไปดูอะไรที่ไหนอีกเลย ดูอยู่ในตัวเอง รู้อยู่ในตัวเองได้ ถ้าหากได้พินิจพิจารณาให้รู้แจ่มแจ้งแล้ว มันจะคืนคายถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่นให้คลายออกไปให้ได้ ทั้งจะเป็นการรู้สึกตัวเองได้ว่า ข้อปฏิบัติที่ได้มีการอบรมมาจะเป็นกี่เดือนกี่ปี หรือกี่พรรษาก็สุดแท้ ย่อมมีความสำคัญที่ได้รู้สึกตัวในเรื่องทุกข์เรื่องเหตุเกิดทุกข์นี้ มันมีขึ้นมากน้อยเพียงไร ถ้ายังไม่รู้เรื่องจริงก็ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ แต่ถ้าพิจารณาอยู่เนืองนิตย์แล้วจะต้องรู้ว่า เรื่องทุกข์หรือเรื่องเหตุเกิดทุกข์นี้มันเป็นของควบคู่กันอยู่เสมอไป

    ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ถ้าได้พิจารณาอยู่เนืองนิตย์แล้ว ความรู้นี่จะต้องรู้ขึ้นมาจนได้ เมื่อรู้แล้วมันจะได้คลายจากความยึดมั่นถือมั่นออกไป แม้ว่ารูปนามนี้มันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นทุกข์ไปในลักษณะต่างๆ อย่างไรก็ตาม แต่ว่าตัวเจ้าของมันไม่มี เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น มันเป็นเรือนไฟไหม้ของเจ้าของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนอยู่ เมื่อพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้แล้ว ความยึดมั่นถือมั่นมันคลายออกไปทีเดียว ถ้าหากว่ามันคลายออกไปได้ ความทุกข์ก็น้อย ถึงแม้ว่าจะยังไม่เด็ดขาดออกไปทีเดียวก็ตาม แต่มันทำให้คลายออกไปได้บ้าง เท่านี้ก็ดับทุกข์อยู่ในตัวเองได้ทุกขณะไปหมด ไม่ว่าจะมีทุกข์โทษอะไรเกิดขึ้นทางผัสสะ เช่น ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เหล่านี้มันก็รู้อยู่ รู้ว่าสิ่งสัมผัสทั้งหลายนี้มันเป็นมายา

    จะดีชั่วอะไรก็เพียงแต่ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่ไปยึดมั่นถือมั่นเอาจริงเอาจังกับมัน มันก็ไม่มีเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีการพิจารณาอ่านข้อเท็จจริง ภายในตัวของตัวเองอยู่ทุกอิริยาบถแล้ว จิตนี้มันจะไม่มีเรื่องยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาเลย แม้ว่าจะมีการทำประโยชน์อะไรบ้าง ก็ทำได้เท่าที่ควรจะทำ แต่ว่าตัวการของความยึดมั่นถือมั่นนั้น มันคลายออกไปแล้ว นี่มันเป็นเรื่องที่จะต้องอ่านตัวเองให้รู้ความจริงว่า การปฏิบัติที่ถูกต้องตามแนวทางของพระพุทธเจ้านั้นมันเป็นเรื่องเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการรู้อย่างอื่น ถ้ารู้อย่างอื่นมากมายก่ายกองออกไปแล้ว นั่นแหละมันท่องเที่ยวอยู่ในเกลียวทุกข์ หรือว่าในเกลียวของสังขารปรุงไม่รู้จักจบจักสิ้น ทีนี้รู้แล้วมันก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นการปล่อยวางได้อยู่ในตัวเองทั้งหมด แล้วข้อปฏิบัติอย่างนี้มันทำให้ทุกข์น้อยลงเท่าไร ก็สอบดูได้ ไม่ว่าเรื่องสุขทุกข์ดีชั่วตัวตนอะไรทั้งหมด รู้แล้วมันก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น มันเป็นของชั่วคราว หรือเป็นของหลอกๆ แม้ว่าชีวิตนี้มันจะอยู่ไปได้เท่าไรก็สุดแท้ ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไร

    แต่ข้อสำคัญก็คือว่า ให้ตามรู้ตามเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีตัวตน อยู่เรื่อยไปทีเดียว ไม่ว่าจะประจันหน้าอยู่กับเรื่องราวดีชั่วสุขทุกข์อะไรทั้งหมด ต้องรู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า มันเป็นของเปลี่ยนแปลงคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ถ้าเป็นการรู้อยู่เห็นอยู่เฉพาะในเรื่องนี้แล้วในชีวิตประจำวันนี้มันจะหมดเรื่องหมดราวไปทุกทีทีเดียว เพราะไม่รู้ว่าจะไปเอาเรื่องกับมันทำไม ถ้าขืนไปเอาเรื่องกับมัน มันก็จะต้องมีเรื่องยึดมั่นถือมั่น หรือมีทุกข์เดือดร้อนขึ้นมาเปล่าๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจอะไรนัก เรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้วก็กวาดทิ้งไปให้หมด ไม่ต้องไปเหลียวหลังหามันอีก แม้เรื่องอนาคตที่มันยังไม่ถึง ก็ไม่ต้องไปเอาเรื่องกับมันอีกเหมือนกัน

    ทีนี้มันต้องดับปัจจุบันนี่ไม่ว่าสัญญาสังขารที่เกิดปรุงขึ้นมาเกิดๆ ดับๆ ปัจจุบันนี้ ก็ต้องปล่อยปัจจุบันนี้ และเรื่องอดีตอนาคตมันก็หมดเรื่องไปเอง เพระฉะนั้นถ้าจะดูตัวจริงกันโดยเฉพาะ คือว่ารู้ปัจจุบันเฉพาะหน้าเกิดดับ แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้ารู้อยู่อย่างนี้ได้ก็ไม่มีเรื่องอะไรมาก ฉะนั้นเราจะต้องดูตัวจริงของความรู้สึกนึกคิดที่มันเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ถ้าไม่รู้เท่าทันมัน มันทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่เท่าไร เช่นการจำการคิดนึกอะไรที่เป็นการแส่ส่ายของจิตสารพัดอย่าง นี่มันฝันเพ้อฝันเพลินเอามาเป็นเรื่องจริง หลอกตัวเองซ้ำๆ ซากๆ อยู่เท่าไร ทั้งๆ ที่มันก็ไม่มีอะไร มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อยู่อย่างนี้เรื่อยทุกๆ อารมณ์ไปหมด แต่ว่ามันมองไม่เห็นความดับไปของอารมณ์ หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมด มันก็เลยไปยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา แม้ว่าเราจะเห็นความปรุงความคิดของจิตนี้มันสับสนวุ่นวายนัก จนกระทั่งอยากจะหยุดมันก็ไม่ยอมหยุด มันจะมีการปรุงการคิดอะไรสืบต่อเป็นน้ำไหลไปทีเดียว

    เพราะฉะนั้นจึงต้องมีกรรมฐานเป็นเครื่องฝึก ถ้าไม่มีกรรมฐานเป็นเครื่องฝึกบ้างมันก็จะไม่มีการหยุด ส่วนกรรมฐานที่ฝึกนี้ ขณะที่มันจะปรุงจะคิดอะไรมากๆ มันก็ไม่สามารถกำหนดจดจ่ออยู่กับกรรมฐานได้ เช่นการกำหนดลมหายใจก็เหมือนกัน ถ้าเกิดฟุ้งซ่านขึ้นมามันไม่กำหนดจดจ่อ คือว่ามันไหลไปตามอารมณ์หมด ทีนี้มันจะต้องมีสติให้รู้สึกตัวจริงๆ ว่า นี่มันเป็นการฝันเพ้อฝันเพลิน แล้วก็สังเกตดูขณะที่มีสติรู้ว่านี่มันเป็นมายา ไม่มีเรื่องจริงจังมันหลอกตัวเองทั้งนั้น ถ้ามันรู้ขึ้นมาจริงๆ มันก็หยุดได้ มันระงับได้ แล้วกำหนดรู้จิตอยู่โดยเฉพาะ ไม่ไปเอาเรื่องกับความจำความคิดนั่น แต่มารู้จิตโดยเฉพาะไม่เกาะเกี่ยว รู้อยู่อย่างนี้ให้ซ้ำๆ เอาไว้ มันจะจำจะคิดเรื่องราวขึ้นมาสารพัดอย่าง ก็หยุดหมดไม่เอาใจใส่ คือว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นของหลอกลวงทั้งนั้น อย่าไปหลงเชื่อมันไม่ได้ แล้วควรพิจารณาให้รู้ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวง มันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดดับไปตามเรื่องตามราวของมันทั้งนั้น แต่ถ้าไม่รู้แล้วมันเข้าไปยึดมั่นถือมั่นหมด

    ทีนี้ถ้ามีสติควบคุมอยู่ก็หยุดได้ เป็นการระงับได้ ต้องฝึกเอาไว้ทุกอิริยาบถทีเดียว อย่าให้มันก่อเรื่องคิดนึกปรุงแต่งอะไรขึ้นมา ถ้าเกิดขึ้นมาเมื่อไรก็ต้องรู้ว่า นี่เป็นมายาทั้งนั้น เชื่อไม่ได้ ต้องปล่อยวางทีเดียว ควรกำหนดรู้จิตให้ติดต่อเอาไว้ให้มั่นคง เหมือนกับเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้เป็นเรื่องพิเศษ เราก็จะต้องจดจ่ออยู่กับเรื่องที่จะทำนั้น โดยที่การทำนี้ต้องทำอยู่ในใจ ไม่ใช่ทำงานภายนอก เราก็ต้องจดจ่ออยู่ในเรื่องที่นะทำในใจนี้ ให้รู้แยบคายภายในจิตใจของเราเองให้ได้ มันเรื่องต้องให้รู้ ไม่ใช่ให้เพลินๆ ไปเฉยๆ เช่นนั้น

    เมื่อเรามีความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมาได้แล้ว จิตนี้มันจะหยุดได้สงบได้ มันจะเข้ามารู้ตัวเอง หยุดรู้ตัวเองได้ไม่แส่ส่ายไป แล้วก็พิจารณาให้รู้ทุกข์โทษของจิต ที่มีการแส่ส่ายคิดนึกปรุงแต่งไปในเรื่องราวดีชั่วทั้งหลาย ทั้งที่ล่วงไปแล้วและเรื่องที่ยังไม่มาถึง ล้วนแล้วแต่เป็นมายาของกิเลสตัณหาที่มันคอยปรุงจิตอยู่ทั้งนั้น เมื่อเรามีสติปัญญาอ่านมันออกก็ถูกหลอกน้อยลง ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเป็นเครื่องอ่าน มันก็หลอกซับหลอกซ้อนให้หลงอยู่นั่นเอง คือให้หลงรักหลงชัง หลงเกลียดหลงกลัวสารพัดอย่าง มันหลงอารมณ์ชนิดที่หลอกตัวเองซ้ำๆ ซากๆ มา จึงต้องพิจารณาให้รู้เรื่องเสียว่า เรื่องปรุงเรื่องคิดทั้งหลายที่มันแส่ส่ายไปนี้ จะไปตามมันไม่ได้ ไปเชื่อมันไม่ได้ หรือจะไปยึดถือเป็นดีเป็นชั่วเป็นจริงเป็นจังก็ไม่ได้เหมือนกัน มันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ฉะนั้นจะต้องอ่านความไม่เที่ยงความเปลี่ยนแปลง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนนี้ให้ละเอียด ให้เป็นการตามรู้ตามเห็นอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นั่นแหละความรู้มันถึงจะทรงตัวได้ แล้วมันก็ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นให้เกิดทุกข์เดือดร้อนขึ้นมา แต่ถ้าเราทำในใจไม่แยบคายแล้ว พอมันเสียหลักสติไปเท่านั้น มันก็เอาเรื่องจำเรื่องคิดอะไรสารพัดอย่าง มันจะสอพลอก่อเกิดขึ้นปรุงจิตให้เดือดเนื้อร้อนใจไปทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้นเรื่องการมีสติสัมปชัญญะควรต้องฝึกให้ได้ทุกอิริยาบถไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน เหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ได้ทำสติให้ติดต่อทุกอิริยาบถแล้ว จิตนี้จะไม่สงบได้ แม้ว่ามันจะสงบได้ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วมันก็เที่ยววิ่งพล่านไปตามอารมณ์อีก ฉะนั้นการฝึกให้มีสติรู้อยู่ทุกอิริยาบถนี้ เหมือนกับเขาฝึกลึก เพราะว่าลิงนี้ถ้าไม่เอามันมาผูกไว้กับหลักแล้ว มันก็จะมีการท่องเที่ยวไปตามนิสัยป่าเถื่อนของมัน แต่เมื่อเอามันมาผูกไว้มันก็จะต้องดิ้นรน เพราะว่ามันไม่เคยผูก มันเคยวิ่งพล่านไปตามชอบใจของมัน จิตนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเอามาผูกเข้มันจะดิ้นรนกระวนกระวายมาก ทั้งนี้ก็ต้องทนดูไปก่อน ถ้าเราจะไปตามใจมันแล้ว ก็มีแต่จะท่องเที่ยวไปไม่หยุหย่อน มันทำความเสียหายในด้านจิตใจ คือว่าเมื่อจิตใจไม่สงบแล้วมันก็ทุกข์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อจับเอามันมาผูกไว้ มันจะดิ้นรนไปอย่างไรก็ต้องดูไปก่อนทนรู้มันไปก่อน ซ้ำๆ อยู่อย่างนี้แล้วก็พิจารณาดูว่า การที่มันดิ้นรนนี้เพราะเหตุอะไร มันเกิดมีความอยากความต้องการอะไรขึ้นหรือ? อย่างนี้ก็ต้องค้นหาเหตุ เมื่อมันมีเหตุ มันก็ทำให้เกิดความดิ้นรนขึ้นมาได้
     
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ต้นเหตุนี้คือตัวตัณหานั่นเอง คือเป็นความอยากในลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น แล้วก็จะต้องรู้ว่านี่มันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะว่ามันทำจิตใจให้ดิ้นรนกระวนกระวายเร่าร้อน ขณะที่กำลังมีความทุกข์เพราะตัณหามันเข้ามาปรุง เหตุนี้จะต้องอ่านให้มันออกด้วยว่า ลักษณะของตัณหาที่เข้ามาปรุงจิตนี้ มันดิ้นรนกระวนกระวายขึ้นมาอย่างไร และลักษณะของความดิ้นรนนี้ มันจะดิ้นรนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรอีกบ้าง อย่างนี้ต้องทนดูไปก่อน เหมือนกับเรามีความทุกข์อะไรมากๆ ความรู้สึกที่อยากจะเปลี่ยนหรืออยากจะเอาความสุขนี้ มันดิ้นรนกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว นี่เป็นลักษณะของตัณหา เราควรทดลองดูว่า ความดิ้นรนนี้จะทำให้มันสงบลงไปได้โดยวิธีใด ต่อจากนั้นเราก็ลองปล่อยมันดู เช่นขณะที่มีทุกข์มากๆ ก็ปล่อยให้มันทุกข์ไป จนกระทั่งถึงขีดสุดแล้วทุกนี่มันจะเสื่อมไปไหม

    มันก็ต้องเสื่อมอยู่ดี ไม่ว่ามันจะเสื่อมขึ้นหรือเสื่อมลงก็ตาม เสื่อมขึ้นก็หมายถึงว่ามันเพิ่มขึ้น เสื่อมลงก็หมายถึงว่ามันจางออกไป แต่ก็มีลักษณะเสื่อมอย่างเดียวกัน ทีนี้ถ้าเราทนดูทนรู้ได้ ก็เป็นการปล่อยวางได้นั่นเอง และความทุกข์อะไรที่เกิดจากตัณหานี้ มันก็สงบไปได้ แม้จะมีเพียงทุกข์ของธรรมชาติ แต่ว่ามันหมดฤทธิ์เพราะตัณหานี่ไม่ปรุงจิตให้ดิ้นรน มันก็ทำให้ทุกข์นี้น้อยลง เพราะดับตัณหาได้อย่างนี้ต้องเป็นข้อสังเกตเอาเอง ในขณะที่จิตกำลังดิ้นรนต้องการอะไรขึ้นมาก็อย่าไปตามใจมัน จะต้องทดลองฝึกกับมันดู ว่าถ้ามันดิ้นรนจะเอาอะไรก็ต้องวิ่งจี๋ไปเอาทีเดียว นั่นแหละมันเคยมันคุ้นเคย ทีหลังมันก็ยั่วมันก็แหย่ มันก็ยุยงส่งเสริมอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นจะต้องหยุดในขณะที่มันอยากอะไรขึ้นมาจัดๆ นั้น

     
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    วันวิสาขบูชา (เช้า)
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕ (ตอนเช้า)

    วันนี้เป็นวันพิเศษเพราะว่าเป็นวันวิสาขบูชาสำหรับวันนี้ได้มีการประชุมพุทธบริษัทแม้แต่ที่อยู่ไกลก็ได้มาประชุมร่วมกันเรื่องวิสาขบูชานี้ก็เป็นที่ทราบกันดีแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายอะไรมากเพราะเรามีความประสงค์เป็นอย่างยิ่งที่จะทำการสักการบูชาด้วยการปฏิบัติเพื่อเป็นที่ระลึกให้เต็มที่สำหรับในวันนี้และตลอดคืนนี้ส่วนเครื่องสักการบูชาอย่างอื่นไม่สำคัญแม้ว่าเราจะเอาดอกไม้ธูปเทียนอามิสมาบูชาก็ไม่เป็นที่สรรเสริญของพระพุทธเจ้าเพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านต้องการอย่างเดียวที่จะให้มีการปฏิบัติบูชาโดยเฉพาะฉะนั้นเราจึงต้องทำการบูชาด้วยความบริสุทธิ์ทั้งกายวาจาและทั้งจิตใจอย่างครบถ้วนในวันนี้คืนนี้ให้ได้

    เพราะการบูชาอย่างนี้เป็นเรื่องที่จะดับทุกข์ของตัวเองโดยเฉพาะทีเดียวถ้าเราไม่ได้มีการปฏิบัติธรรมเราก็จะมีความทุกข์แล้วทุกข์อีกเหมือนอย่างที่แล้วๆมาที่เราก็มีความทุกข์กันอยู่เมื่อเรามาพิจารณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าก็รู้สึกได้ว่าจะต้องมีการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ให้ถูกต้องตามธรรมวินัยยิ่งขึ้นเพราะเรื่องความทุกข์นี้มีประจำอยู่ด้วยกันทุกคนถ้าเราไม่ศึกษาพิจารณาตัวเองแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องดับทุกข์ได้โดยเฉพาะธรรมวินัยของพระศาสดาก็ล้วนแต่แสดงข้อปฏิบัติให้ดำเนินไปเพื่อความพ้นทุกข์ดับทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นถ้าเราไม่พิจารณาแล้วก็ไม่รู้เรื่องแม้ว่าเราจะอยู่กับรูปนามขันธ์ห้ามาตั้งหลายสิบปีก็ตามแต่ยังมีความสนุกสนานเพลิดเพลินกันอยู่แล้วไม่รู้เรื่องจริงภายในตัวของตัวเองทีนี้เราจะต้องมีการศึกษาเข้ามาข้างในเสียทีอ่าได้เที่ยวไปศึกษาเรื่องภายนอกกันเลยมันจะเสียเวลาของเราเองไปเปล่าๆเพราะว่าชีวิตนี้มันไม่เที่ยงจะไปมัวผิดเพี้ยนกับอะไรก็ไม่ได้ถ้าเรามีความสนใจที่จะศึกษาพิจารณาตัวเองตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องแล้วชีวิตนี้จะมีความทุกข์น้อยลงแน่นอน

    ฉะนั้นเราจะต้องมีความประพฤติปฏิบัติให้เข้มงวดกวดขันเข้ามาหาตัวเองให้มากๆเพราะว่าธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าท่านชี้เข้ามาข้างในทั้งหมดให้เข้ามามองตัวเองให้พิจารณาขันธ์ห้าคือกายกับใจว่ามันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์กันแน่ถ้าเรามีสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริงได้แล้วนั่นแหละเราจึงจะมีความสนใจอบรมทำข้อปฏิบัติให้ดีกว่าที่แล้วๆมาฉะนั้นเราจะต้องก้าวหน้ากันในเรื่องนี้เรื่องเดียวเพราะเรื่องทำอะไรต่ออะไรมากมายนั้นไม่เอาแล้วหยุดกันเสียทีมันเหนื่อยเปล่าๆและพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สรรเสริญเรื่องอามิสบูชาพระองค์กลับทรงติเตียนเสียอีก

    เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำการปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์เพื่อความพ้นทุกข์ของตัวเองจริงๆถ้าเราไม่มีการพินิจพิจารณาให้ถูกต้องตามคลองธรรมแล้วก็จะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจของเราที่ถูกกิเลสมันริบเอาไปแล้วเราก็เอากิเลสมาเป็นมิตรปิดบังอยู่นี่แม้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงเปิดเผยความจริงในเรื่องอริยสัจก็ตามหรือในเรื่องสามัญลักษณะก็ตามล้วนแต่ปรากฏอยู่ในตัวของเราเองทั้งนั้นต้องเรียนรู้เอาในนี้ครบถ้วนหมดเลยรู้เรื่องอริยสัจก็รู้เรื่องกายกับใจรู้เรื่องกิเลสแล้วก็รู้เรื่องการดับกิเลสหรือจะทำข้อปฏิบัติให้สมควรอย่างไรจึงจะเป็นการดับทุกข์ดับกิเลสได้ส่วนการพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาของปัญจขันธ์นี้มันก็เรื่องเดียวกัน

    ถ้าเราไม่ไปคว้าเรียนหัวข้อมากมายแล้วแม้จะรู้เรื่องสามัญลักษณะเรื่องเดียวก็จะรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องความจริงที่มีอยู่ในตัวเองแท้ๆได้หมดแต่นี่เหมือนกับอยู่เรือนไฟไหม้มาหลายสิบปีแล้วก็ตามมันก็ยังไม่รู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาให้ถูกต้องขึ้นมาได้เลยทั้งนี้เพราะว่าไม่ได้พิจารณาอยู่เนืองนิจนั่นเองฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องรู้ความจริงให้เป็นการแจ่มแจ้งแก่ใจของเราจริงๆแล้วก็จะรู้ได้ว่ามันเป็นการดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวันโดยที่เราไม่ต้องไปเชื่อตามใครเพราะความจริงหรือสัจจธรรมนี้มันมีอยู่ในตัวเองทั้งหมดเพราะเรายังไม่ได้มีการศึกษาเข้ามาข้างในนั่นเองจึงยังไม่รู้ทีนี้จะต้องศึกษาเข้ามาภายในตัวเองเพราะการศึกษาภายนอกนั้นมันวนเวียนวุ่นวายเนื่องจากต้องจำต้องคิดอะไรมากมายเหลือเกินเมื่อมีการศึกษาเข้ามาหาตัวเองแล้วมันหยุดจำหยุดคิดตลอดจนกระทั่งหยุดทำตามกิเลสตัณหาอุปาทานภายในตัวทั้งหมดทีเดียวเพราะเมื่อมีการพิจารณารู้ความจริงด้วยสติปัญญาโดยถ่องแท้แล้วก็จะเป็นเครื่องตัดรอนทอนกำลังกิเลสตัณหาให้เบาบางลงไปได้ความจริงมีอยู่อย่างนี้เท่านั้น

    เพราะฉะนั้นเราจึงต้องพยายามแล้วพยายามอีกเพียรแล้วเพียรอีกพิจารณาแล้วพิจารณาอีกเพื่อมองเข้ามาหาตัวเองให้ได้อย่าให้มันออกไปข้างนอกไม่เอาถ้ามันกลับเข้ามารู้ตัวเองได้ด้วยสติปัญญาจริงๆแล้วการมองอะไรในโลกก็สู้ไม่ได้สู้มองเข้ามาในกายในใจไม่ได้เพราะเมื่อรู้ความจริงแล้วมันก็ปล่อยวางได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราเป็นของของเราเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่าเมื่อยังไม่รู้ความจริงมันก็ต้องมีการยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้นที่มีความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมาก็เพราะเรื่องยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวทีนี้จะต้องพิจารณาให้รู้ความจริงขึ้นมาให้ได้แม้ว่าจะเป็นการทวนกระแสของความรู้สึกนึกคิดที่มันจะพุ่งแรงออกไปภายนอกคือว่าตามสันดานเดิมที่มีอนุสัยหรือโมหะที่มันปิดบังอยู่ข้างในเราก็ต้องพยายามอยู่ดีโดยที่ไม่ต้องไปเอาอะไรทั้งหมดฉะนั้นจึงต้องพยายามที่จะพิจารณาให้รู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาให้ได้เมื่อมีความรู้จริงก็มีการปล่อยวางออกไปได้เพราะถ้ารู้อย่างอื่นเมื่อรู้แล้วก็ไปยึดมั่นถือมั่นหมดแต่ถ้าได้รู้จริงเข้ามาภายในใจนี่รู้แล้วมันเบื่อหน่ายแล้วก็มีแต่เรื่องปล่อยวางไปจิตใจก็ว่างมันไม่วุ่นจึงมีคุณพิเศษอยู่อย่างนี้ฉะนั้นจึงต้องปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้เรื่องเดียวซึ่งเป็นจุดสำคัญถ้าเราไม่มีการศึกษาพิจารณาตัวเองให้รู้แจ้งแทงตลอดแล้วเราจะเสียชาติเกิด
     
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    สำหรับคำสอนของพระศาสดาก็ยังมีครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่างในการที่จะอบรมข้อปฏิบัติให้คลายออกจากความทุกข์เดือดร้อนที่มีอยู่ในสันดานของเราทุกคนเราต้องมีความเชื่อมันในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพระองค์เป็นผู้รู้ของจริงจนกระทั่งทำลายกิเลสตัณหาอุปาทานให้ดับสลายไปคือหมดอาสวะสิ้นเชิงแล้วได้นำเอาธรรมะเหล่านี้มาประกาศเผยแพร่ชี้แนวทางให้ปฏิบัติไปสู่โลกุตตระหรือนิพพานแล้วอย่างนี้จะเป็นลาภอย่างประเสริฐหรือไม่ก็ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดีจะได้เลือกเอาแนวทางที่เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ให้ถูกต้องยิ่งขึ้นอย่าได้มัวหลงงมงายอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ให้มากนักเลยควรจะใช้วันเวลาของชีวิต

    พิจารณาตัวเองให้รู้เรื่องจริงว่ารูปนามขันธ์ห้านี้มันเป็นเรือนร่างที่ไม่ใช่ตัวเราหรือตัวใครทั้งหมดมันเท่ากับขอยืมเอาของธรรมชาติมาใช้แล้วไม่กี่ปีกี่วันธรรมชาติเหล่านี้ก็ต้องเสื่อมสิ้นไปแต่ขณะนี้มันยังประชุมพร้อมกันอยู่ก็ควรพิจารณาแยกแยะให้รู้เสียจะได้ไม่ยึดถือเอาว่าเป็นตัวเราของเราอย่างเหนียวแน่นเมื่อพิจารณาแยกธาตุดูแล้วมันไม่ใช่เป็นตัวเราของเราแล้วเราก็มีความเชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าหรือว่าในพระธรรมคำสอนของพระองค์เราก็น้อมนำเอามาประพฤติปฏิบัติตามด้วยความเชื่อมั่นเพราะเราไม่เชื่อใคร

    ถ้าว่าเชื่อคนหรือเชื่อสิ่งอื่นๆมันเป็นความเชื่อที่ผิดทั้งนั้นทีนี้เราต้องเชื่อมั่นอยู่ในนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ส่องแสงสว่างอยู่เดี๋ยวนี้เพราะว่าเราได้พิจารณาตัวเองจนมีความรู้และได้เห็นความจริงขึ้นมาได้ด้วยสติปัญญาแล้วทำให้รู้สึกว่าการรู้ความจริงภายในจิตใจของเรานี้เราจะต้องเรียนเป็นหมอเสียเองคือตรวจโรคกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในจิตใจเสียเองซึ่งก็เป็นการรู้ยากเห็นยากเหมือนกันแต่เมื่อเราได้มีการตรวจสอบมันบ่อยๆเข้าเราก็ได้ทำลายเชื้อโรคภายในจิตใจให้จางคลายออกไปหรือเป็นการดับสลายไปได้เช่นความโลภความโกรธความหลงเหล่านี้เป็นต้นล้วนแต่ทำจิตให้เศร้าหมองเร่าร้อน

    ทีนี้เรารู้จักดับมันได้มันมีคุณประโยชน์ตรงนี้ที่ว่ารู้แล้วจะต้องดับได้หรือเมื่อพิจารณาให้รู้ความจริงแล้วก็ปล่อยวางได้ทำให้รู้สึกว่าจิตใจที่มันเร่าร้อนมาแต่กาลก่อนค่อยผ่อนคลายเป็นความสงบเย็นได้

    เพราะเหตุนี้เราจึงได้เห็นคุณค่าพระธรรมวินัยของพระศาสดาซึ่งเป็นการส่องแสงสว่างและทำลายความมืดภายในจิตใจได้ดับทุกข์ดับกิเลสได้ตามแต่สติปัญญาของเราที่มีการอบรมหรือพิจารณาอยู่อย่างไรมีสติยืนรู้อยู่อย่างไรล้วนแต่เป็นเรื่องของตัวเองด้วยกันทั้งหมดโดยที่เราได้สนใจศึกษาพิจารณาตามหลักเกณฑ์มาบ้างพอสมควรเราก็ได้ลงมือปฏิบัติทีเดียวเพื่อจะให้ทันต่อวันเวลาของชีวิตที่มันล่วงไปๆอย่าได้มีความประมาทเลยเป็นอันขาดถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียรหรือบางครั้งบางคราวก็ต้องอดทนต่อสู้กับทุกข์นี่แหละให้มันเป็นการรู้ความจริงขึ้นมาให้จงได้

    เราจะต้องมีสติปัญญาที่จะเอาชนะทุกข์เอาชนะกิเลสได้ตามสมควรฉะนั้นเราต้องเพียรแล้วเพียรอีกถ้าปล่อยให้จิตใจถูกกิเลสตัณหาเข้ามาครอบงำแล้วมันจะอ่อนแอไปหรือว่ามันจะชี้ช่องบอกทางไปแต่เรื่องอื่นๆเสียเพราะฉะนั้นถ้ามันตรงจุดตรงหน้ามากับเรื่องอะไรสิ่งอะไรต้องดูให้มันรู้จริงเห็นแจ้งแล้วมันจะดับทุกข์ได้ไม่ว่ากิเลสประเภทไหนที่มันเกิดขึ้นมาในลักษณะอย่างไรมันแสดงปฏิกิริยาเผาลนจิตใจอยู่ในเรื่องอะไรในสิ่งอะไรเมื่อเราเพ่งพิจารณาดูให้รู้เห็นอย่างถูกต้องแล้วก็ปล่อยวางได้ทุกขณะไปเราจะสืบทราบจิตใจของเราเองได้ว่ามันมีลักษณะที่สงบจกกิเลสอยู่ในขณะนี้เพราะว่ายังไม่มีกิเลสเกิดขึ้นเช่นความโลภความโกรธหรือความหลงเดี๋ยวนี้ไม่มีจิตนี่ก็กำลังมีความสงบรู้ตัวเองเป็นปกติอยู่นี่แหละเรียกว่าถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งเพราะไม่ใช่ไปถึงพระธรรมที่เป็นตัวหนังสือหรือในใบลานอะไร

    เรื่องธรรมะอยู่ที่จิตที่มีความสงบความว่างจากกิเลสอยู่เดี๋ยวนี้ขอให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงรู้จักธรรมะในลักษณะที่มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดนี้ไม่เลือกว่าจะเป็นใครแต่ว่าจิตใจนี้มันหยุดอยู่ได้มันสงบอยู่ได้มันว่างอยู่ได้ในขณะนี้ทีเดียวแล้วเรื่องที่จะรู้ธรรมะไปแบบอื่นๆนั้นขอให้หยุดเสียทีขอให้หยุดมาศึกษาธรรมะภายในจิตใจกันดีกว่าแล้วเราก็จะพูดแต่เรื่องนี้เพราะถ้าพูดเรื่องอื่นแล้วมันจะมากเกินไปคือว่ามันจะคลาดเคลื่อนไม่ตรงต่อจิตใจของเราเอง

    เพราะฉะนั้นเราจะต้องชี้จุดให้ตรงเป็นจุดเดียวกันให้หมดว่าขณะนี้จิตทุกๆดวงกำลังอยู่ในภาวะของความสงบจากกิเลสแล้วก็มีความว่างจากกิเลสหรือว่างจากตัวตนอะไรก็รวมเสร็จอยู่ในขณะนี้ก็ได้เพราะเรื่องศึกษาตัวจริงเราศึกษากันแบบนี้ไม่ใช่ให้จำเอาไม่ใช่ให้คิดเอาแต่ให้รู้ลักษณะของจิตในขณะนี้ถ้าเป็นการรู้ลักษณะของจิตที่ยืนรู้อยู่เดี๋ยวนี้แล้วไม่มีเรื่องอะไรมากขอให้หยั่งทราบภาวะของจิตที่มีความวางเฉยยังไม่มีการยึดถืออะไรขึ้นมาแล้วในขณะนี้ก็ไม่มีความทุกข์นี่ต้องรู้ให้มันจริงๆว่าที่กำลังพูดกำลังฟังอยู่นี้ไม่มีความทุกข์

    เพราะฉะนั้นการศึกษาตัวจริงเรื่องจิตใจของเราเองเป็นการศึกษาชนิดที่ถูกจุดหมายคือว่าไม่เอาเรื่องอื่นถ้าไปเอาเรื่องอื่นแล้วมันไม่พ้นทุกข์มันเป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะซึ่งจิตนี้ถ้าไปรับรู้รับฟังอะไรมาคิดนึกมากมายแล้วล้วนแต่ท่องเที่ยวอยู่ในวงกลมของสังสารวัฏทั้งนั้นทีนี้มันหยุดมันหยุดอยู่เดี๋ยวนี้การหยุดได้ในขณะนี้ก็เท่ากับการถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เสร็จอยู่ทุกขณะที่หยุดทั้งหมดและลักษณะของจิตที่มีการหยุดรู้ตัวเองนี้มันเป็นความสะอาดคือไม่มีเรื่องสกปรกโสมมอะไรเลยเพราะได้กวาดทิ้งไปหมดแล้วฉะนั้นจึงหยุดได้สงบได้ภายในไม่ใช่เรื่องภายนอก
     
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514

    ถ้าเมื่อเรารู้จักมองด้านใน ให้แจ่มแจ้งชัดเจนเข้ามาภายในจิตของเราเองแล้วก็จะมีความสว่างด้วยสติปัญญา หรือว่ามีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาลก็ได้ ทั้งนี้ล้วนแต่เป็นการมองด้านในทั้งนั้น ถ้าเรามีสายตาที่คมหรือเป็นการมองให้แจ่มแจ้งแล้ว เรื่องการบรรลุมรรคผลไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะที่มันไม่มีทุกข์นี่แหละ จึงเป็นเรื่องของธรรมะที่ได้บรรลุธรรมอยู่ในตัวเอง แม้ว่ามันจะยังไม่เด็ดขาดไปทีเดียวก็ตาม แต่ขอให้พยายามสังเกตเอาไว้ว่า การหยุดทุกขณะนี่ เป็นการหลุดพ้นออกมาจากความทุกข์ได้อย่างไร หรือว่าเป็นวิมุติคือหยุดพ้นเป็นขณะๆ เรื่อยไป ให้รู้ในลักษณะของจิต ที่หลุดพ้นออกมาจากความทุกข์ได้ในตัวเอง แต่ถ้าเรามีการเผลอสติไปยึดถืออะไรขึ้นมา มันจะได้เป็นการรู้สึกได้ง่ายว่า นี่เองเป็นตัวสำคัญคือความเผลอสติไปยึดถือขึ้นมา พอมีความรู้สึกว่านี่มันทุกข์ ก็เหมือนเราจับไฟ พอมันร้อนเราก็ต้องปล่อย

    ขอให้รู้จักในลักษณะของจิตอย่างนี้เอาไว้ว่า เมื่อหยุดแล้วมันก็พ้นทุกข์ มันก็จะไม่ออกไปยึดมั่นถือมั่นเหมือนอย่างแต่ก่อน มันทำให้คืนคลายถ่ายถอนออกไปได้ ในเรื่องของความหมาย ความปรุง ความคิดที่จะมีมาปรุงแต่งจิต เรากำหนดรู้จิตตั้งมั่นเอาไว้เป็นหลักสำคัญ คือมีสติเป็นเครื่องคุ้มครองจิต ถ้าเป็นการตั้งได้มั่นคงก็ดับทุกข์ได้ แล้วผัสสะ เช่น ตากระทบรูป หูกระทบเสียงเหล่านี้ พอมีสติตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นก็ดับ ไม่มาก่อทุกข์ก่อโทษให้ แต่ขณะไหนที่เราเผลอไปยึดถือเข้า นั่นแหละมันเอาเรื่อง มันร้อน มันทุกข์ขึ้นมาแล้ว

    เรื่องข้อปฏิบัติมีเพียงเท่านี้
    ขอให้พิจารณากันให้ดี ถ้าเรามีการตั้งสติได้ดำรงสติเอาไว้ได้ ประคับประคองเอาไว้ได้เราก็มีชัยชนะต่อข้าศึก ถือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มันจะเกิดขึ้นมาประทุษร้ายจิตใจของเรา จะต้องมีสติเป็นเสาเขื่อนเอาไว้ให้ได้ แม้ว่ามันจะล้มลุกคลุกคลานโยกโคลงไปหลายๆ ลักษณะก็ตาม ก็ต้องฝึกซ้อมกับมัน เอากับมันใหม่ เหมือนเราล้มลงแล้ว ก็ลุกขึ้นมาตั้งสติรู้ไปใหม่

    เรื่องการปฏิบัติธรรมมันต้องเป็นอย่างนี้ ในฐานะที่เรายังมีกิเลส ตัณหา อุปาทานครอบงำสันดานอยู่ ก็จะต้องมความอดทนต่อสู้ ชนิดที่จะต้องยอมเสียสละแม้แต่ชีวิต ต้องต่อสู้กับมันให้ถึงที่สุด ส่วนการเอาวัตถุทำไมถึงยอมสละชีวิตเพื่อวัตถุได้ แล้วเราจะต้องเสียสละชีวิตเพื่อธรรมะจะไม่ได้หรืออย่างไร? เพราะฉะนั้นเราจะต้องกลับตัวเสียใหม่ เพราะว่าแต่ก่อนนี้ไม่รู้ก็เชื่อ กิเลสตัณหามันพาไป มันจะเอาอะไรแม้เหน็ดเหนื่อยทุกข์ยากเท่าไร ก็ยอม มันก็จะเอาให้ได้มันจะต้องเป็นเจ้าเข้าเจ้าของให้ได้

    ทีนี้เมื่อมารู้แล้วว่า พวกนี้เองมันสอพลอล่อลวงให้ตกเหว ให้ตกทุกข์ได้ยากอยู่ในวัฏฏสงสารมามากมาย ต่อไปต้องตั้งหลักที่จะต่อสู้กับมัน แม้มายาของกิเลสตัณหาทุกชนิดจะประดังหน้าเข้ามาอย่างไร ต้องเพียรเพ่งพิจารณา ดับ ปล่อย วางมันให้ได้ และต้องมีสติปัญญาเป็นการลับให้มันคมเฉียบเอาไว้ให้ได้ ถ้าเรามีเครื่องมือที่คมเฉียบอยู่เสมอแล้ว การต่อสู้กับข้าศึกศัตรู คือ กิเลส ตัณหา อุปาทานภายในมันจะอ่อนกำลังลงไปทุกวันทุกเวลา

    ขอให้รู้ว่าการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี้ ได้มีการต่อสู้เอาชนะข้าศึกศัตรูภายใน เพื่อเอาสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นเครื่องสักการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยไม่ต้องเอาเครื่องสักการะอะไรมาบูชาเลย เพียงแต่เอาชัยชนะกิเลสขึ้นมาบูชาก็พอ แล้วนั่นแหละจึงจะมีผลมาก และทำให้พ้นทุกข์ของตัวเองมากขึ้นทุกวัน เหมือนกับวันเวลาของชีวิตที่หมดไปสิ้นไป ย่อมนำความรุ่งเรืองของสติปัญญาให้แก่กล้าขึ้นมา จนกระทั่งมีความรู้สึกสดชื่นที่อาบรดด้วยรสของธรรมะที่ไม่รู้จักร่วงโรยตลอดกาล

    ฉะนั้นขอให้รู้ลักษณะของธรรมะที่ชนะทุกข์ได้ในชีวิตประจำวันนี้
    ท่านเปรียบเหมือนกับดอกบัวที่เบิกบานขึ้นมาเหนือน้ำได้ จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้อยู่ในตัวแล้ว แม้ว่ากิเลสตัณหา อุปาทานจะมีขึ้นมาอย่างไร มันจะปล่อยวางได้ ชีวิตการปฏิบัติธรรมจึงเป็นแนวทางตามรอยของพระอรหันต์ แล้วก็เป็นการกระทำชนิดที่มีศรัทธาเต็มที่ ที่เชื่อในคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นจุดรวมด้วยกันทั้งหมด โดยไม่ต้องเชื่อตามใคร เพราะว่าเป็นความจริงอยู่ในตัวของตัวเองอย่างนี้จริงๆ แล้วจะไม่น่าศึกษา ไม่น่าพิจารณา ไม่น่าปฏิบัติได้อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องความจริงที่เรารู้ได้ เห็นได้ และไม่ใช่เป็นของเหลือวิสัยเลย

    เพราะฉะนั้น
    เราจึงต้องสนทนาปรารภกันในเรื่องนี้เรื่องเดียว การที่มาประชุมทำวิสาขบูชาในวันนี้ ในคืนนี้ ก็มีเฉพาะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราได้มาประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระศาสดานี่ล้วนแต่เป็นนิยยานิกธรรม เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์โดยส่วนเดียว

    การประชุมกันในวันนี้ จึงเป็นการประชุมพร้อมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิตใจที่รวมอยู่ในจุดเดียวกัน คือมีความสงบ รู้อยู่ เห็นอยู่ ว่างอยู่ โดยเป็นธรรมชาติ ของสภาวธรรม ที่เป็นเนื้อแท้ เป็นแก่นแท้

    เราคัดเอาเปลือกทิ้ง ถากเปลือกออกทิ้งหมด กวาดทิ้งให้หมด ก็เหลือแต่ภาวะของจิตที่มีความว่าง ความสงบตามธรรมชาติอย่างนี้อย่างเดียว แล้วเราก็ไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องอะไรอีก นอกจากจำเป็นจะต้องทำอะไรก็ทำไปตามสมควร แต่ส่วนใหญ่ส่วนรวมแล้ว ต้องเข้าอยู่อย่างนี้ เป็นวิหารธรรมสำหรับเป็นที่อยู่ คือว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลายสิ้นอาสวะแล้ว ท่านมีวิหารธรรมสำหรับเป็นที่อยู่ คือว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลายสิ้นอาสวะแล้ว ท่านมีวิหารธรรมอยู่กับความว่าง ความสงบหรือความดับสนิทโดยประการทั้งปวง ทีนี้เราก็ต้องมีส่วนตามรอยของท่าน สำหรับเดี๋ยวนี้ก็อยู่ในวิหารธรรม คือว่าภาวะของจิตที่มีความสงบจากกิเลส เอาจุดนี้ให้รวมกันให้ได้ ในคืนนี้ ในวันนี้ ก็มีวิหารธรรม คือความว่างจากกิเลสอยู่ในขณะนี้ทุกคน มีจิตที่รวมจุดอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่ ในสภาวะของความสงบว่างจากกิเลส หรือว่าว่างจากตัวตนทุกๆ ขณะไปทีเดียว

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  13. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    วันออกพรรษา (เช้า)
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๕ (เช้า)

    วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย เนื่องจากเกี่ยวกับการออกพรรษา บางทีอาจจะมีผู้ปฏิบัติที่จะต้องกลับไปที่อยู่ก็มี ฉะนั้นรวมทั้งที่ยังอยู่และที่จะกลับก็ตาม จะต้องทราบว่ากรอบรมข้อปฏิบัติในพรรษานี้ได้ทำกันตามสติกำลังของแต่ละคน ดังนั้นเมื่อออกพรรษาแล้วก็อย่าออกไปหาเรื่อง และอย่าออกไปหาทุกข์ก็แล้วกัน แต่ควรให้มันเป็นการออกจากทุกข์จากโทษจึงเป็นการถูกต้อง เพราะเรื่องข้อปฏิบัตินี้ ไม่ได้ทำกันเฉพาะในระหว่าเข้าพรรษาเท่านั้น มันควรต้องปฏิบัติกันเรื่อยไป แม้จะมีกิจอะไรที่ต้องทำกันบ้างก็เป็นของธรรมดา ส่วนที่จะอยู่หรือจะไปนั้นก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ถึงอย่างไรก็ดีอย่าให้มันออกไปหาทุกข์ก็แล้วกัน จะต้องให้มันออกจากทุกข์ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็สุดแท้ มันเรื่องของตัวเองทั้งนั้น สำหรับเรื่องการอบรมข้อปฏิบัติมันต้องกระทำกันตลอดเวลา ไม่ใช่จะทำเฉพาะตอนเข้าพรรษาเท่านั้น เมื่อออกพรรษาก็ปล่อยเรื่อยเปื่อยไปตามใจชอบ แล้วมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรของตัวเองเลย เพราะกว่าจะเข้าพรรษาแต่ละครั้งก็เป็นเวลาอีกตั้งเก้าเดือน ถ้าเผื่อมันตายเสียก่อนแล้วจะทำอย่างไร นี่ต้องคิดดูให้ดีว่าชีวิตนี้มันไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไรเลย และจะต้องคิดอยู่เสมอว่าจะมีความประมาทเพลิดเพลินไม่ได้เสียแล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องราวอะไรที่มันผ่านมาแต่หนหลัง ควรจะต้องเลิกกันเสียที อย่าไปพัวพันยึดถือให้มันเป็นเครื่องกังวลใจโดยใช่เหตุ

    การมีชีวิตต่อไปข้างหน้านี้ก็จะต้องเป็นการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ของตัวเองไม่ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่วัดก็เหมือนกัน เพราะว่าการปฏิบัตินี้มันได้อดทนต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะต่อกิเลส ความจริงกิเลสมันยังมีอยู่ด้วยกันทุกคน แต่อย่าไปปฏิบัติตามกิเลสก็แล้วกัน ฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติ มิฉะนั้นแล้วก็จะเอากิเลสออกไปอวดเขาด้วย นอกจากนั้นยังเอาไปพูดว่าใครๆ ก็ยังไม่หมดกิเลสด้วยกันทั้งนั้น นั่นมันเรื่องของคนโง่โดยแท้จริงแล้วก็ยังมีกิเลสอยู่ด้วยกันทุกคน แต่การปฏิบัตินี่มันได้ดับกิเลสมันเรื่องอย่างนี้ต่างหาก ทีนี้ถ้าทำตามกิเลสและเอากิเลสไปอวดเขาแล้ว ก็นั่นแหละมันไม่ใช่เป็นคนปฏิบัติเสียแล้ว ต้องระวังให้ดี มันจะพูดเข้ากับตัวว่าใครๆ ก็ยังไม่หมดกิเลสแล้วก็เอากิเลสไปแผลงฤทธิ์อวดเขา นั่นแหละมันจะยิ่งซ้ำร้ายใหญ่ ดังนั้นมันต้องควบคุมกิเลสถึงจะเป็นผู้ปฏิบัติได้ ถ้าไปปฏิบัติตามกิเลสแล้วก็ไม่ได้ชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม เพราะเรื่องที่จะต้องเอาชนะทุกข์เอาชนะกิเลส มันต้องปฏิบัติอยู่ในตัวทั้งหมดไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะไปไหนก็สุดแท้ ถ้าไม่เป็นการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ดับกิเลสแล้ว มันก็ทุกข์เพราะกิเลสนั่นเอง มันเผาให้ร้อนแล้วร้อนอีกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกทีเดียว

    เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติทุกขณะไปทีเดียว จะไปเลือกว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ก็ไม่ได้ เพราะกิเลสนี่มันเกิดได้ทุกขณะ จึงต้องมีการดับกิเลสทุกขณะเหมือนกัน แม้ว่าคนที่ปฏิบัติอยู่นานๆ นี่ก็ต้องระวังให้ดี มักจะออกไปหาเรื่องเก่ง อยากจะออกไปจัดแจง ไปปรุงแต่ง เพราะอยู่เงียบๆ มันไม่สนุก จะต้องออกไปหาเรื่องให้มันได้แผลงฤทธิ์ออกไปตามกิเลสนั่นแหละจะได้ความรู้ คือว่าได้ความรู้ของกิเลสนั่นเอง ส่วนที่จะดับกิเลสได้มันก็มีน้อยนัก เพราะฉะนั้นจึงต้องเจียมเนื้อเจียมตัวให้มาก อย่าออกไปหากิเลสให้มากนักเลย กว่าจะทำให้กิเลสสงบไปนี่ ตั้งสองเดือนสามาเดือนถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ค่อยจะสงบไปได้ง่ายๆ เลย ทีนี้ถ้าว่าไปผลุบๆ โผล่ๆ อะไรขึ้นมากิเลสนี่เกิดง่ายที่สุดทีเดียว แล้วก็เผาเอาซึ่งหน้า แถมไม่ละอายไม่กลัวด้วย มันก็ยิ่งถูกกิเลสเผาจัดเข้าทุกที

    โดยเฉพาะเรื่องที่จะออกไปนี้ คือจะต้องออกไปจากทุกข์ แล้วต้องเป็นข้อสังเกตของตัวเองดูว่า มันออกไปจากทุกข์ได้อย่างไร หรือว่ามันออกไปหาเรื่องทุกข์? นี่ต้องเป็นเครื่องสอบตัวเองกันให้ดีๆ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันขาดทุนย่อยยับอับปางอยู่ในท่ามกลางของทุกข์ทั้งนั้น มันต้องเป็นความรู้สึกได้อยู่ในตัวเอง แล้วก็มีการเข็ดหลาบ มีการกลัวต่อทุกข์โทษมากมายหลายประการนัก อย่าว่าแต่จะออกไปเอานั่นเอานี่เลย แม้แต่พวกที่อยู่ก็ต้องระวังเหมือนกัน เพราะมันชอบหาเรื่องเก่ง กิเลสนี่ถ้าเราไม่มีการควบคุมจิตใจเอไว้ให้เหมาะสมแล้ว มันเที่ยวยุเที่ยวแหย่เที่ยวแส่ส่ายอยู่เรื่อยไป อยู่ดีๆ ก็ไม่ค่อยจะชอบ ชอบแส่ส่ายไปแล้วก็ทุกข์น้ำตานองหน้า แล้วก็ไม่รู้จักเข็ด นี่มันต้องรู้จักเข็ดหลาบมันจึงจะได้ เพราะความรู้สึกที่มันยังยัดมั่นถือมั่นอยู่ในตัวนี่มันยังเหนียวแน่นนัก เพราะเหตุว่าไม่ได้พิจารณาให้คืนคลายถ่ายถอนนั่นเอง มันถึงได้รวบเอามายึดถือเสียหมด จึงต้องทำให้เนิ่นช้าเสียเวลาไป

    เหมือนกับเรือพ่วง ถ้ามันพ่วงหลายลำแล้ว มันจะทวนกระแสน้ำขึ้นไปไม่ไหว ที่พ่วงกันขึ้นมานี้มีตัวเราของเรา แล้วก็มีลูกมีหลานแตกออกไปมากมาย ล้วนแต่พ่วงขันธ์ห้าเข้ามาทั้งนั้น ขันธ์หน้าที่มันแบกหนักแปล้อยู่กับตัวนี่ก็ห้าขันธ์ ทั้งๆ ที่มันก็ทุกข์แย่แล้วแย่อีกอยู่นี่ แล้วยังต้องไปแบกเอาลูกเอาหลานเข้ามารวมอีกอย่างละห้าๆ แล้วมันทั้งหมดจะเป็นเท่าไรทีนี้เมื่อมันหลายคนหลายขันธ์เข้ามันก็มาหนักแปล้ทีเดียว แล้วก็ไม่รู้จักแก้ตัว ยิ่งจะบุกเข้าไปหามันอีก

    นี่ควรต้องรู้สึกตัวว่า ขันธ์ห้าที่ตัวของมันแบกอยู่นี่ ก็หนักเพียงแประเต็มทีแล้ว จะจมลงไปมิวันหนึ่งวันใดก็ไม่รู้ แล้วก็ยังอุตส่าห์จะไปโลภแบกให้มันหนักเข้าไปอีก นี่มันจะโงไปถึงไหน ทั้งนี้ต้องรู้สึกได้ด้วยกันทุกคน ในเรื่องที่จะต้องพิจารณาตัวเอง จึงจะเกิดความรู้ด้วยสติปัญญาของตัวเองว่า ทำอย่างไรก็จะต้องแก้ปัญหาของตัวเองเสีย เพราะเรื่องการพิจารณานี่มันก็พิจารณาอยู่ แต่ทำไมมันจึงดื้อด้านดันทุรังนัก มันชอบไปยึดถือเก่งนัก จะต้องสอบเข้ามาหาตัวเองให้มากๆ มันจะได้ไม่เที่ยวยึดมั่นถือมั่นจนเดือดเนื้อร้อนใจไป แล้วใครจะมาแก้ตัวให้ ถ้าหมดลมหายใจเน่าเข้าโลงไปแล้ว ก็ไม่ได้เป็นอะไรกับใครเลย มีเป็นกันอยู่ก็เฉพาะเมื่อยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น แล้วจะมายึดมั่นถือมั่นให้เกิดทุกข์เดือดร้อนขึ้นมาทำไม นี่มันเป็นความโง่แสนโง่เท่าไร

    เพราะฉะนั้นเรื่องการยึดมั่นถือมั่นในตัวเราของเรานี้มันยังเหนียวแน่นนัก จะต้องพิจารณาให้มันคืนคลายถ่ายถอนออกไปเสียให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันจะพาให้โลเลเหลวไหลไป แล้วก็ไม่รู้สึกตัวได้ง่ายๆ เลย ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าการปฏิบัตินี้ เป็นการดับทุกข์ดับโทษได้ ถึงกระนั้นมันก็ยังดิ้นรนจะไป และก็ยังจะยึดถืออยู่นั่นเอง

    ฉะนั้นการเข้าใกล้กับสิ่งที่มีพิษมีสงต้องระวังตัวให้มากทีเดียว อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องอย่าเข้าไปพัวพันยึดถือ ให้มันเป็นสักแต่ว่าเป็นเสีย ถ้าเข้าไปมีไปเป็นเข้าจริงๆ แล้ว มันจะกลับเป็นอยู่อย่างเดิมนั่นเอง ถึงจะทำข้อปฏิบัติมาตั้งเท่าไรๆ ก็หมดล้มละลายหมด เพราะมันยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ แล้วมันทุกข์เท่าไร เกิดทุกข์แก่ตัวเองเท่าไร ถ้าไม่ได้ซักฟอกตัวของตัวเองให้รู้แล้ว ให้ทำข้อปฏิบัติมามากมายเท่าไรก็แล้วแต่มันยังไม่ได้เรื่องอยู่นั่นแหละ เพราะมันยังไม่ได้แก้ปัญหาของตัวเองว่า ตัวโง่ที่มันยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนนี้ มันยังไม่ได้ผอมลงไปเลย มันยังหล่อเลี้ยงให้มันอ้วนอยู่ ควรจะต้องทำให้มันผอมเสียอย่าให้มันตัวโตขึ้นมา อย่าให้มันเที่ยวจัดแจงเที่ยวยึดมั่นถือมั่นให้มากนัก แล้วมันก็ทุกข์อยู่กับตัวของตัวเองนั่นแหละ มันไม่ใช่ทุกข์ที่คนอื่น เรื่องทุกข์อยู่ที่ตัวเองนี่มันไม่เข็ด จึงต้องข่มขี่ทรมานตัวของตัวเองนี่ ต้องให้มันหดกลับให้หมดทีเดียว

    ถ้ามันยังอยากไปยึดมั่นถือมั่นเป็นอะไรกันจริงๆ จังๆ แล้วมันก็ทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่นั่นเอง เพราะมันไม่ได้แยกออกให้เห็นความเป็นธาตุ มันยังเป็นตัวเราของเรา ลูกหลานญาติพี่น้องพ่อแม่อะไรสารพัด มันไม่ได้เป็นแต่สักว่าเป็น มันเป็นเอาจริงๆ แล้วมันก็ทุกข์แล้วทุกข์อีก จนน้ำตานองหน้านี่ก็ยังขืนดื้อด้านดันทุรังไปมีไปเป็นอยู่นั่นเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญด้วยกันทุกคน ถ้าไม่ได้ทำให้ตัวนี้มันผอมลงไปมันเล็กลงไปแล้ว เกิดทุกข์เกิดโทษได้ง่ายตายหมดทีเดียว เพราะว่ามันมีตัวเราของเราขึ้นมาแล้วก็หาเรื่องเรื่อยไป ยึดถือเรื่อยไป โดยเฉพาะเรื่องการพิจารณาให้มันเห็นความความจริงนี่มันจึงต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีกกว่าจะรู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาได้สักครั้งสักคราว ก็ไม่ใช่ของง่าย เพราะมันคอยแต่จะยึดถืออยู่เรื่อย

    เฉพาะการสัมผัสทางตาทางหูนี้ก็ดูซิมันว่องไวนัก ล้วนแต่ยึดถือขึ้นมาง่ายๆ ทั้งนั้น แล้วมันจะไปได้เรื่องของข้อปฏิบัติที่ไหนกัน ถ้ายังไม่ได้พิจารณาให้รู้ความจริงขึ้นมาแล้วมันก็เที่ยวยึดถืออยู่ทั้งนั้น ทีนี้ถ้ามันเกิดทุกข์เดือดร้อนอะไรขึ้นมามากๆ แล้วก็จะหนีไปที่ไหนหรือทางไหนกัน เพราะว่าทุกๆ ทวารมันยังไวอยู่นี่ ยิ่งทางสัมผัสนี้ก็ยังว่องไวอยู่แล้วก็จะปฏิบัติไปอย่างไร เหตุนี้ต้องเป็นเครื่องซักฟอกตัวเองเสียให้รู้เรื่องรู้ราว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันจะทุกข์อยู่ในตัวของตัวเอง ทำให้ทุกข์แล้วทุกข์อีกเพราะมันยังไม่รู้จักพิจารณา แล้วก็ยังไม่รู้จักว่าสิ่งไหนควรจะทำหรือไม่ควรทำอย่างไรที่จะต้องรู้จักเลือกเฟ้นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แล้วก็จะต้องรู้สึกได้ด้วยกันทุกคนว่าเรื่องกิเลสที่มันเกิดขึ้นกับจิตใจนี้ มันร้อนหรือเปล่า ก็ต้องรู้ฤทธิ์รู้เดชด้วยกันทุกคน แต่นี่มันยังอดทำตามกิเลสไม่ได้ กิเลสมันก็เลยมาเผาเอาโครมๆ

    ถ้าจะพูดเรื่องกิเลสให้มากๆ กิเลสก็ไม่ชอบฟังเสียอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามจะต้องขอพูดเรื่องกิเลสซ้ำๆ เรื่อยไป ถึงแม้ว่ากิเลสมันจะไม่ชอบให้พูดถึงมัน ก็จะต้องพูดถึงอยู่วันยังค่ำ เพราะว่ากิเลสนี่มันหาเรื่องเก่ง มันเผาจิตใจได้ทุกขณะไปทั้งหมด จึงต้องพูดชื่อของกิเลสเอาไว้บ่อยๆ แล้วกิเลสนั่นแหละมันจะได้กระดาก คือมันจะได้อายเสียบ้าง ถ้าเราไม่พูดเอ่ยชื่อกิเลสไว้แล้ว กิเลสนี่มันจะได้ใจ

    แม้แต่ตัวเราของเราเองนี่ก็เหมือนกัน มันก็เป็นของรู้ยาก แต่ก็ต้องพูดอยู่ดีเพราะว่าตัวเราของเรานี่มันตัวหาเรื่อง ถ้าไม่พูดกับตัวหาเรื่องนี้แล้ว จะไปพูดเรื่องไหนมันจึงจะเป็นการรู้ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องพูดว่าตัวเราของเรานี้มันตัวหาเรื่องเก่ง แล้วมันก็หาทุกข์มาให้แก่ตัวเองนี้เก่งด้วย ฉะนั้นจึงต้องพูดว่าตัวเองอยู่นี่ถึงจะไม่พูดกับคนอื่น แต่ก็พูดกับตัวเองอยู่เรื่อย ว่าตัวเองนี่มันจะหาเรื่องไปทำไม มันจะโง่ไปถึงไหน มันจะยึดถือตัวเองไปถึงไหน แล้วมันก็ต้องซักฟอกอยู่กับตัวเองนี่แหละบ่อยๆ จนกระทั่งต้องพูดออกมาซ้ำๆ ซากๆ ให้ได้ยินกันทั่วๆ ไป เพื่อจะได้รู้สึกตัวกันต่อๆ ไปด้วย ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ เอาแต่ดีๆ มาพูดมันจะยิ่งโง่ใหญ่ เพราะใครๆ ก็ต้องการให้พูดว่าตัวนี่เป็นคนดี คนเก่ง คนถูกอะไรสารพัด ถ้าพูดอย่างนี้แล้วกิเลสมันชอบ หรือว่าตัวตนนี่มันก็ยิ้มกริ่มไปทีเดียว แต่ถ้าไปพูดติพูดเตือนอะไรมันเข้า กิเลสหรือตัวตนนี้ก็ไม่สบายใจเสียเลย มันเรื่องอย่างนี้พอไปว่ามันเข้า ไม่ได้ มันโกรธทีเดียว ไปเตือนก็ไม่ได้ ไปบอกก็ไม่ได้ มันหาเรื่องโกรธตะพึดตะพือ

    แล้วก็ลองพิจารณาดูซิว่า ตัวโกรธนี่มันตัวอะไร ทำไมมันจึงโกรธขึ้นมาได้ แล้วมันโกรธใคร ถ้าได้ซักฟอกเข้ามาหาตัวเองบ่อยๆ แล้วมันก็จะน่าหัวเราะมากกว่าที่จะน่าร้องไห้ เพราะว่าเรื่องความโกรธที่ไปยึดมั่นถือมั่น เข้ามาหาตัวมากๆ นั่นแหละ มันตัวคนพาล มันพาลเกเรเกตุงใหญ่ทีเดียว

    เหมือนกับเราจะก้าวขึ้นบันได เราก็ต้องอาศัยก้าวขึ้นทีละขั้น ทั้งนี้ก็ให้เป็นแต่เพียงเครื่องอาศัยที่จะก้าวไป แต่ไม่ใช่ยืนอยู่แห่งเดียวเท่านั้น ถ้าเรารู้จักประหยัดอยู่ในตัวของเราแล้ว ก็อย่าไปหยุดอยู่หรืออย่าถอยหลัง แล้วก็ประหยัดเวลาของชีวิตได้ในขณะที่เรามีการทรงตัวรู้ว่าเป็นการก้าวไป คือว่าก้าวออกจากทุกข์ไปเรื่อยๆ ถ้าหยุดอยู่หรือถอยไป มันก็หยุดอยู่ในทุกข์นั่นเอง ดังนั้นจะต้องพยายามแล้วพยายามอีกที่จะค่อยขยับเขยื้อนก้าวไปแม้แต่ทีละน้อยก็ยังดี ถ้าไปเสียทีเสียท่ากับมันเข้าแล้วมันทำให้เสียเวลาไปมาก
     
  14. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เช่นสมมุติว่าวันหนึ่งๆ เรามีสติติดต่อได้มาก กิเลสนี่เข้ามาน้อยครั้งที่สุด พอโผล่หน้าเข้ามาเล็กๆ น้อยๆ เราก็รู้แล้ว ก็เป็นอันว่า หยุด! ดับได้ ถ้าเราหยุดดับได้บ่อยๆ กิเลสก็อ่อนกำลังลง ถ้าหากว่าเราไปเผลอเข้า กิเลสได้ช่องแล้วมันมาเผาใหญ่ทีเดียว เผาเอาซึ่งหน้า ทีนี้เราก็ต้องรู้วิธีที่จะดับทุกข์ดับกิเลสของเราให้ละเอียดเข้าทุกทีทีเดียว อย่าไปเปิดช่องให้มันเกิดขึ้นมาปรุงแต่ง เป็นการยึดมั่นถือมั่นแผ่วงกว้างออกไป แล้วมันจะหยุดยากดับยาก เหมือนกับน้ำน้อยมันก็ต้องแพ้ไฟ เพราะไฟกิเลสถ้ามากๆ มันดับยาก ก็ต้องเริ่มดับเสียแต่ต้นไปทีเดียว คือเริ่มมีสติรู้สึกตัวให้ทั่วพร้อมเอาไว้เสียก่อน

    แม้ว่ากิเลสนี่มันจะเกิดขึ้นมาเล็กๆ น้อยๆ ก็รู้จักดับง่าย เหมือนการดับไฟต้นมือ แล้วมันก็ไม่ก่อพิษก่อสงอะไรมาก ฉะนั้นจะต้องระวังสิ่งนี้เอาไว้มากๆ ถ้าเราเปิดช่องรับเอากิเลสเข้ามาเป็นเจ้าของบ้านแล้วมันเผาใหญ่เลย มันหาเชื้อมาเพิ่ม คือมาคิดนึกปรุงแต่งอะไรสารพัดที่จะปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมายั่วมาแหย่ และทั้งๆ ที่เราก็ว่าเรารู้อยู่ แต่ก็ถูกกิเลสเผาจนได้ หรือว่าเราจะต้องปิดประตูอย่างไร มันจึงจะเป็นการทำลายกิเลส เหมือนกับเราจะจับสัตว์ร้ายที่สุดมากขังเอาไว้ ให้มันอดอาหารตายเสียบ้าง

    ทีนี้เราก็เกิดความสงสาร ถ้าขังมันนานๆ ก็อยากจะออกไปเที่ยวดูเที่ยวหาอาหาร เพราะสงสารว่าขังไว้มันอดมันไม่ได้ดูได้ฟังได้เห็นอะไร แล้วมันก็ไม่ได้กำลังอะไรก็สุดแท้ที่จะคิดไปนั่นแหละ ผลที่สุดก็ต้องออกไปหาอาหารทางตา ทางหู อะไรสารพัดอย่าง ในวันแรกๆ ก็ยังมีสติดีอยู่ ถึงจะไปพบอาหารทางหู ทางตา อะไรบ้าง สติก็ยังควบคุมดีอยู่ เผลอก็น้อย ต่อเมื่อลอยละล่องท่องเที่ยวไปมากๆ เข้า ได้รับสัมผัสภายนอกมันกลุ้มรุมไปทั้งหมด พอวันที่สองที่สามเถอะสตินี่จะต้องคลายออกเรื่อยไป เพราะว่ามันได้อาหารแปลกๆ มันจึงเพลิดเพลินเจริญใจไปทีเดียว เพลินไปเพลินมามันก็เลยออกทะเลโน่น ออกไปชมวิวของทะเล แล้วมันก็เลยล่มจมถูกน้ำท่วมทับอับปางอยู่กลางทะเล ในที่สุดมันก็ว้าเหว่เหหันไม่รู้จะไปทางไหน

    เพราะสติที่เป็นหางเสือนั้นมันไม่มีเสียแล้ว มันหลุดหายไปเสียแล้ว มันก็เลยถูกคลื่นลมอะไรพัดพาให้ป่วนปั่น อยู่ในท่ามกลางของกองทุกข์แล้วก็แถมจมอยู่ในน้ำ สำลักน้ำ เพราะการออกไปสู่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั้นล้วนแต่มีอันตรายมากมายหลายประการนัก จึงต้องมีการสำรวมระวังอยู่เสมอ ความเผลอเพลินมันจะได้น้อยลง แม้แต่ขณะที่ไปรับสัมผัสอะไรก็จะต้องไม่ประมาท ถ้าหากว่ามีความประมาทแล้วมันง่ายดายเหลือเกิน เนื่องจากทางสัมผัสนี่มันชักชวนมากทีเดียว คนที่จะเสียหายไป ก็เพราะเรื่องการสัมผัสที่เกิดจากการกระทบทั้งนั้น ส่วนที่กระทบในทางดีนั้นไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่ถ้าไปกระทบเข้ากับความชั่วนั้นมันรู้เรื่องง่าย แล้วก็มีแต่การยึดมั่นถือมั่นง่ายดายที่สุด เพราะว่ามันคุ้นเคยมาด้วยกันทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะปฏิบัติเพียรเผากิเลสนี้จึงต้องทำอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกมันจึงจะได้ แล้วก็จะต้องรู้สึกตัวได้ว่า การถูกกิเลสเผานี่มันทุกข์หนัก ทำอย่างไรจึงจะเผากิเลสและดับกิเลสได้ ทั้งนี้มันก็เป็นปัญหาของตัวเองอยู่ทุกขณะไปหมดทีเดียว ที่เผชิญหน้าอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะต้องมีสติอยู่อย่างไร เพราะว่ามันมีอันตรายรอบด้าน ถ้าไม่ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว มันก็ถูกฉุดไปรอบด้าน แล้วเราก็ไม่ค่อยจะรู้สึกตัวกันได้ง่ายๆ ว่า การถูกฉุดรอบด้านมันทุกข์เท่าไรแล้วก็อยู่ในวงล้อมของพญามารทั้งนั้น จึงเกิดชอบไม่ชอบอะไรขึ้นมาง่ายที่สุด แล้วไม่ค่อยจะสังวรระวังด้วย เพราะว่าตาก็อยากจะดู หูก็อยากจะฟัง แล้วมันก็ชอบหาเรื่องอยู่ในตัวนั่นเอง ทีนี้การที่จะปิดประตูดูข้างในนี่มันก็ปิดยาก เพราะมันอยากจะเปิดรับแขกอยู่เรื่อย มันก็เลยต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกก็ไม่รู้จักเข็ด เหตุที่มันก็อยากจะรับแขกอยู่เรื่อง

    ส่วนการรู้สึกด้วยสติปัญญาแท้นี้ มันจะรู้ได้ว่าปิดประตูดูข้างในนี้มันสบายอกสบายใจจริงๆ ทีเดียว อย่าไปรับแขกเลย มันมีแต่เรื่องสกปรกโสมมจมโคลนอยู่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะต้องนั่งๆ อยู่นิ่งๆ ดีกว่า อย่าออกไปหาเรื่อง ถึงแม้ว่ากิเลสมันจะมาสอพลอล่อลวงอย่างไร ก็อย่าเพิ่งไปฟังมัน อย่าเพิ่งไปเอาเรื่องกับมัน หรือมันจะดิ้นรนไปทางเหนือทางใต้อะไรก็หยุด หยุดเสียก่อน บอกว่ายังไม่ไปละ เช่นกับบางคนที่กำลังจำพรรษาอยู่ ใจมันอยากจะไป แล้วก็บอกว่า
     
  15. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    หยุดคิดนึกปรุงแต่ง
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๓๐ ตุลาคม ๒๕๑๕

    วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย สำหรับการปฏิบัติทีได้มีการอบรมมา นับว่าเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ก็คงจะมีความรู้ทรงตัวได้เป็นส่วนมาก ถึงแม้ว่าจะมีการผิดพลาดพลั้งเผลอไปบ้าง ก็ยังพอจะรู้เท่าทันได้ดีขึ้น เพราะการอบรมจิตที่ได้พิจารณาตัวเองอยู่เป็นประจำนี้ มันทำให้อ่านความจริงได้ทั้งหายในภายนอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเอาสมมุติออกเสียให้หมดแล้วมันก็ไม่มีอะไร แต่ที่มันมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมากมายนี้ก็เพราะว่าไปยึดถือคำสมมุตินั่นเอง เพราะคำสมมุติในโลกนี้มันมีมากมายหลายประการนัก ถ้าไปหลงติดมันแล้ว มันจะทุกข์แล้วทุกข์อีก เพราะความยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น

    ถ้าหากว่าอ่านออกหรือเพิกสมมุติออกเสียอย่างเดียว เหลือนอกนั้นก็สักแต่ธาตุและตัวธาตุนี่ก็เป็นความว่างไป ไม่มีอะไรอีกเหมือนกัน ฉะนั้นจึงต้องอ่านมันให้ออกจะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วก็เป็นการดับทุกข์ดับโทษพร้อมกันไปในตัวเองเสร็จ เพราะถ้าขืนไปยึดถือแล้วมันทุกข์ ทั้งนี้ก็เป็นการสอบได้อยู่ในตัวเองทั้งหมด แต่นี่เพราะยังไม่ได้พิจารณาให้เป็นการรู้จริงเห็นแจ้งประจักษ์ชัดด้วยใจจริงเท่านั้น มันก็เลยวนเวียนอยู่ จึงเป็นการยึดถือดีชั่วตัวตนสารพัดอย่าง แล้วก็ทำให้ไม่รู้ว่าความหลอกลวงหรือความเท็จที่มันมีอยู่ต่อหน้าต่อตานี้ มันเห็นเป็นเรื่องจริงไปเสียทั้งหมด เหตุนี้มันก็เลยพากันหลงไปใหญ่ หลงพูดหลงทำ หลงคิดอะไรต่ออะไรกันมากมายก่ายกองออกไปทีเดียว

    แล้วชีวิตนี้มันก็น้อยลงอยู่ในขอบเขตสั้นที่สุด แต่เมื่อยังมองไม่เห็นมันก็เลยนึกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก มิหนำซ้ำยังจะเอาอะไรต่ออะไรกันเรื่อยไป ไม่ว่าการพูดการทำการคิดก็ล้วนแต่มากมายก่ายกองไปทั้งนั้น เพราะว่าความหลงนี่มันไม่ใช่ของนิดหน่อยเลย มันหลงอยู่ทั้งรู้ๆ มันก็ยังหลงได้ เพราะว่ามันก็หลงไปตามประสาพวกไม่รู้ แต่พวกรู้ๆ นี้มันก็หลงไปตามพวกรู้ๆ นั่นอีกเหมือนกัน บางทียิ่งรู้มันก็ยิ่งหลง ถ้ารู้ว่าตัวหลงแล้วมันจะได้หยุดหลงเสียบ้าง ถ้าหากหลงโดยที่ไม่รู้ว่า ตัวหลงนี่สิมันจะยิ่งหลงใหญ่แล้วก็หลงไม่สร่างเสียด้วย ฉะนั้นเรื่องความหลงๆ นี่มันรู้ยากจึงเป็นกรงขังที่สำคัญที่สุด เพราะว่ามันหลงว่ามันรู้เสียเอง แล้วจะไปโทษใคร ฉะนั้นควรต้องคิดดูต้องสอบสวนเข้ามาหาตัวที่มันยังหลงอยู่นี้ นี่มันหลงรู้อยู่ในตัวของตัวเองนี่ ทีนี้ที่รู้อยู่นี่มันรู้อยู่นิดเดียว ส่วนที่ยังหลงนั้นมันมีอยู่มากมายก่ายกองนัก มองไปข้างไหนมันก็ยังหลงเห็นเป็นดีเป็นชั่ว เป็นตัวเป็นตน เป็นข้าวเป็นของที่สมมุติๆ ขึ้นมา แล้วก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นแต่เพียงสมมุติ มันไปยึดมั่นถือมั่นเอาเป็นจริงเสียหมด ดังนั้นที่มันหลงซับหลงซ้อนอยู่ต่อหน้าต่อตา และยังหลงว่าเป็นตัวเราเป็นของของเรามากมายก่ายกองออกไปอีกนี้แล้วจะทำอย่างไรดี

    โดยเฉพาะทางตา ทางหู นี่มันก็หลอกให้หลงอยู่แย่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวหลงกลับนึกว่าตัวรู้อยู่นั่นเอง มันจึงได้สลับซับซ้อนอยู่นักหนา แล้วก็ยิ่งหลงกันใหญ่ ยิ่งเรียนรู้มากก็ยิ่งหลงมาก หลงออกไปยึดมั่นถือมั่นเสียหมด ไม่ได้พิจารณาให้เป็นการรู้เห็นด้วยปัญญาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มี ที่มันมีนี่ก็เป็นเพียงแค่สมมุติเท่านั้นเอง ถ้าเพิกสมมุติออกเสียแล้วมันก็ไม่มีอะไร เพราะจิตนี่มันยังไม่รู้มันก็หลงไป หลงยึดมั่นถือมั่นไป กว่าจะรู้เรื่องรู้ราว และอ่านเรื่องจริงของตัวเองได้ มันจึงไม่ใช่ของง่ายๆ เลย ทั้งๆ ที่เรียนรู้อะไรต่ออะไรกันมากมายแล้วก็สำคัญว่าตัวรู้ แล้วมันก็หลงอยู่นี่ หลงอยู่ทั้งที่ไม่รู้ตัวนี่มันสลับซับซ้อนมากมายนัก ควรจะต้องพิจารณาดูให้ดีๆ ท่านจึงเปรียบเหมือนกับพระพุทธเจ้าทรงฝึกม้าอาชาไนย ก่อนอื่นพระองค์จะต้องฝึกให้มันสวมบังเหียนเสียก่อน ถ้ายังสวมบังเหียนไม่ได้ การฝึกก็ไม่สำเร็จ ฉะนั้นจะต้องสวมบังเหียนให้ได้เสียก่อน จึงจะฝึกต่อไปได้

    นี่แหละท่านเปรียบเท่ากับการฝึกจิตของบุคคล ที่มีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะละพยศร้ายในสันดานของตัวเองนี้ จำต้องเอาธรรมวินัยมาเป็นเครื่องฝึก คือว่าจะต้องฝึกแล้วฝึกอีกอย่างซ้ำซากที่จะให้มันละพยศร้ายต่างๆ เพื่อเป็นการทำลายถ่ายถอนออกไปให้ได้ ส่วนเรื่องข้อปฏิบัติที่จะต้องฝึกจิตชนิดที่มีการสวมบังเหียนนี้ ก็ลองคิดกันดูว่าจะทำอย่างไรมันจึงจะฝึกม้าตัวนี้ได้ เพราะว่ามันยังไม่ได้รับการสวมบังเหียนนี่เอง จึงยังบังคับมันไม่อยู่ เพราะจิตใจนี่มันยังไม่อยู่ในบังคับของสติปัญญา ทีนี้จะต้องฝึกมันอย่างไร? จะต้องสวมบังเหียนมันได้อย่างไร? นี่ล้วนแต่เป็นข้อคิดของตัวเองดูว่า จิตที่ยังไม่อยู่ในอำนาจของสติ มันเที่ยวฟุ้งซ่านเตลิดไปอย่างไร ถึงจะมีสติอยู่บ้างก็ยังไม่ลึกซึ้งอะไรนัก เป็นแต่เพียงอยู่ในระดับปรกติธรรมดาบ้าง แล้วอย่างนี้มันยังไม่ได้รับการฝึกที่ละเอียดหรือมีการข่มขี่ให้มันเป็นการลดพยศร้ายลงไป เพราะว่ามันต้องเพิ่มการฝึกขึ้นไม่ให้มันย่อหย่อนไป เรื่องการทำกรรมฐานนี้ ก็เปรียบเหมือนกับการสวมบังเหียนเหมือนกันเพราะจะต้องบังคับให้อยู่ในกรรมฐานที่ฝึก ต้องเอามาฝึกแล้วฝึกอีก เพื่อจะให้มันรับการฝึกการสงบเสียก่อน เพราะถ้ามันไม่สงบแล้ว จะไปฝึกอย่างอื่นแล้วมันไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีกรรมฐานเป็นเครื่องฝึก เช่นกับการสวมบังเหียนเอาไว้ ทีนี้จะสวมบังเหียนมันอย่างไรมันก็ไม่ยอม คือว่ามันไม่ยอมอยู่กับกรรมฐาน มันเที่ยววิ่งพล่านไปมันจะคิดไปนึกไปสารพัดอย่าง แม้แต่ว่าลมหายใจที่จะต้องกำหนดให้รู้ในระยะสั้นหรือยาวตามปกติเท่านี้ มันก็ยังไม่อยู่ได้ง่ายๆ เลย เพราะมันเคยท่องเที่ยวไปกับอารมณ์นั่นเอง ถ้ายังฝึกให้มันสงบไม่ได้ การพิจารณาก็ไม่ละเอียด นี่ต้องสังเกตด้วยว่าจิตนี่จะต้องอยู่ในความสงบ ไม่คิดนึกฟุ้งซ่านไปอย่างอื่น แล้วก็ไม่มีการเพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์ชนิดที่เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อะไรก็สุดแท้ จะต้องรู้ว่าลักษณะของความเพลินนี้มันเป็นลักษณะของโมหะ ที่มันเพลินอยู่ไม่รู้อะไรเป็นอะไร และนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญนัก เพราะการฝึกจิตนี้จะต้องรู้เรื่องของความเพลิน ความเผลอ จะต้องมีการบังคับลงไปอย่างไร มันจึงจะดำรงสติตั้งมั่นและให้ติดต่ออยู่ได้ นั่นก็ต้องเป็นการรู้ของตัวเอง ถ้าตัวสตินี้ยังไม่เป็นหลักชนิดที่เหมือนเสาเขื่อนแล้ว จิตนี้มันก็ไม่สงบแล้วมันก็ชอบวิ่งไปหาเรื่องปรุงไป คิดไปตามเรื่องราวที่ไม่มีสาระทั้งนั้น เพราะว่าการฝึกนี้ก็ยังไม่ละเอียดพอ จิตนี่มันจึงจะต้องแส่ส่ายไป เพราะฉะนั้นจะต้องฝึกโดยมีการบังคับให้มันอยู่เหมือนกับเขาบังคับในการฝึกม้า เขาก็ต้องบังคับข่มขี่โดยจะปล่อยไปตามนิสัยของมันไม่ได้ เพราะว่านิสัยป่าเถื่อนของมันยังมีอยู่เป็นปกตินิสัยจึงต้องมีการฝืนการข่มขี่ทรมานหลายๆ อย่าง แล้วก็ค่อยปราบปรามพยศร้ายในสันดานให้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ที่มันจะมีการดื้อด้านดันทุรังไปกับอะไรก็ต้องใช้ลงไม้เรียว โดยขู่บังคับให้มันกลัว อย่าปล่อยตามใจมันให้มากนัก เพราะจิตนี้มันคุ้นเคยมาอย่างนั้น มันท่องเที่ยวมาอย่างนั้นแล้ว

    ฉะนั้นการฝึกจิตเพียงแต่ให้มีสติติดต่อทุกอิริยาบถนี้ ก็ยังไม่ใช่ของง่าย แต่ก็ต้องพยายามสังเกตอยู่รอบด้าน เพราะทางผัสสะนี่เป็นของสำคัญ ทั้งอายตนะภายในภายนอกก็ตาม ล้วนแต่เป็นบ่อเกิดของพวกราคะ โทสะ โมหะ หรือกิเลสตัณหาสารพัดอย่าง มันเกิดขึ้นมาได้ทุกขณะที่มีการกระทบ ฉะนั้นการควบคุมนี่เป็นของที่ต้องกระทำอยู่ทุกขณะทีเดียว พร้อมทั้งมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่อย่างไร แล้วการเผลอเพลินมันน้อยลงไปหรือไม่ นี่ต้องเป็นเครื่องสอบ ถ้ามันยังมีการเผลอเพลินหรือฟุ้งซ่านไปแล้ว มันก็ยังไม่อยู่ในอำนาจของการฝึก เพราะว่ามันยังปล่อยให้เป็นไปตามนิสัยเดิมอยู่ พยศร้ายของมันก็ยังมีอยู่ ฉะนั้นจะต้องฝึกให้ถึงขนาดรู้ด้วยใจจริงว่า พยศร้ายต่างๆ ได้ลดลงไปแล้ว ลดความดิ้นรนลงไปเป็นลำดับแล้ว ยังอยู่แต่ในลักษณะที่มีความเพลินความเผลอเท่านี้ก็ยังเป็นของละเอียด

    ที่จะต้องรู้ลักษณะของการเผลอการเพลินนี้มันทำให้ไม่รู้อะไร แล้วจะต้องเพียรเพ่งพิจารณาอย่างไร มันจึงจะเป็นความรู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาได้ เป็นการประคับประคองไม่ให้จิตนี้ตกไปกับความเพลิน หรือในขั้นที่มีการสังวรทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอยู่ มีความรู้สึกอยู่ในระดับที่เป็นการวางเฉย หรือเป็นปกติได้เป็นพื้นๆ เอาไว้ ไม่ให้มันเที่ยวปรุงเที่ยวคิดอะไรวุ่นวายไปอย่างอื่น แล้วก็เพียรสังเกตดูว่า จิตนี้มันอยู่ในอำนาจของกรรมฐานที่ฝึกอยู่ หรือว่าเป็นการประคับประคองอยู่ในขั้นของความเป็นปกติวางเฉยได้อย่างไร เราก็ค่อยพิจารณากันดู และพยายามตั้งหลักให้ได้ อย่าให้มันมีเรื่องอะไรแทรกแซงปรุงแต่งทำให้คิดนึกไปตามเรื่องตามราวโดยไร้ประโยชน์ แล้วมันก็จะคุ้นเคยมากเข้าจนหยุดไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องหยุดให้ได้ จะต้องพยายามหยุดเพ่งดูในลักษณะของจิตที่ตั้งหลักได้ แล้วก็คอยปราบปรามพยศร้ายต่างๆ ไม่ว่าความปรุงความคิดความแส่ส่ายทุกอย่างให้ดับสลายไป คือให้เห็นว่าทุกสิ่งนี้มันเป็นมายา เป็นเครื่องปรุงจิตให้หลงใหลเพลิดเพลินไปกับเรื่องดีเรื่องชั่วสารพัดอย่างที่จะให้มันมาก่อรูปก่อเรื่องปรุงแต่งให้จิตนี้หลงละเมอไปตามมัน ฉะนั้นจะต้องเฝ้าสังเกตดูจิตใจของตัวเองให้มากเป็นพิเศษ

    โดยเฉพาะการจะทำอะไรก็ตาม จะต้องทำด้วยการมีสติ และหมั่นพิจารณาดูอยู่เสมอให้เห็นความเป็นธาตุให้ได้ เพราะว่าการเห็นเป็นตัวเป็นตน เป็นดีเป็นชั่วอะไรนี่ มนคุ้นเคยมามากแล้ว ทีนี้มองให้เห็นความเป็นธาตุเสีย เพิกสมมุติออก พยายามมองดูทั้งภายในทั้งภายนอก โดยเห็นความเป็นธาตุ และเห็นเป็นความว่างจากตัวตนด้วย ให้มันมีการรู้ การเห็นจริงๆ ด้วยสติปัญญาโดยแท้ นั่นแหละมันจึงจะเป็นการปลุกให้จิตตื่นขึ้น จึงเกิดการรู้เรื่องจริงขึ้นมาได้ อย่าให้มันหลับใหลไปกับความโง่งมงาย ที่เป็นความยึดถืออารมณ์อะไรทั้งหมด เพราะเป็นความคุ้นเคยมาอย่างนั้น ทีนี้ให้มันหยุด เพราะการที่หยุดพูดหยุดทำหยุดคิดอะไรที่มันออกนอกเรื่องนอกราวนั้นเราหยุดเสีย แล้วเรื่องที่จะอ่านเข้ามาภายในตัวเองมันจะได้รู้เรื่องจริงขึ้นมา เมื่อรู้แล้วก็ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น จะมีความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดเรื่อยไปทีเดียว ฉะนั้นจะต้องพยายามมองกันให้ซึ้ง อย่ามองแต่เพียงเพลินๆ เพราะมันจะเพลินไปประเดี๋ยวมันก็อ้างว่ารู้อย่างนั้นอยู่อย่างนี้ขึ้นมาหลอกตัวเองเปล่าๆ จะต้องยันกับความรู้อย่างนี้เอาไว้ให้ได้ ถ้ารู้จริงแล้วมันจะไม่เพลิดเพลินมันจะไม่หลงใหล แต่ว่ามันจะต้องมีการพิจารณาให้รู้ให้เห็นแจ้งด้วยสติปัญญาจริงๆ ทีเดียว เพื่อจะแก้ปัญหาของตัวเองในเรื่องนี้ ให้เป็นการอ่านมันให้ออก ถ้าเป็นความรู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาได้เหมือนกับเขาเปิดสวิตช์ไฟฟ้า พอเปิดขึ้นมันก็สว่างพรึ่บขึ้นมา เรียกว่าเป็นความรู้แจ้งแทงตลอดนั่นเอง

    แต่ถ้าว่าโมหะมันเข้ามาครอบงำแล้วมันก็มืดแปดด้าน จะพิจารณาอะไรมันก็ไม่เห็นเพราะว่าจิตนี้มันยังไม่สงบ มันยังไม่ตั้งมั่น มันยังเที่ยวปรุง เที่ยวคิด เที่ยวแส่ เที่ยวส่ายอยู่ มันยังไม่หมดอาสวะ ฉะนั้นจึงเป็นของสำคัญยิ่ง ในการที่จะต้องฝึกดังนั้นจึงต้องเพียรเรื่อยไป ไม่ใช่เป็นการรู้อะไรขึ้นมาบางครั้งบางคราวแล้วก็เรื่อยเปื่อยไปอื่นอีก นั้นมันยังเป็นเครื่องหลอกตัวเองอยู่ จะต้องมีความรู้อย่างนี้ให้ติดต่อให้มากมันจึงจะทรงตัวได้ และจะต้องพยายามแล้วพยายามอีก อย่าไปเปลี่ยนเรื่องใหม่เพราะการเปลี่ยนใหม่นั้นมันเป็นลักษณะของตัณหา มันชอบเปลี่ยนเรื่อยเปลี่ยนราว เปลี่ยนรส เปลี่ยนชาติ ทีนี้ตัวสติปัญญานี้จะต้องมีการพิจารณาให้รู้ให้เห็นความไม่เที่ยงหรือความเป็นมายานี่มันสกัดกั้นอยู่ทั้งหมด
     
  16. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ถ้าจะเปลี่ยนอะไรมามันบอกว่า ไม่เที่ยงทั้งนั้น ไม่ต้องเปลี่ยนไม่ต้องเอา ของแปลกของใหม่ไม่มี มีแต่ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น ต้องเอาเรื่องนี้มายืนยันเอาไว้ เพราะว่านั่นมันชอบสอพลอล่อลวงหลอกหลอนมากมายหลายอย่างนัก มันจะให้เพลินทั้งนั้น เพราะว่าตัวนันทิราคะคือความกำหนัดในความเพลินนี้สำคัญมากจะต้องพยายามเพ่งดูให้ได้ เพ่งดูจิตในลักษณะที่มีการดำรงความรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไร ตัวจิตมันมีการทรงตัวรู้ตัวเองอยู่ในลักษณะอย่างไร แล้วก็คอยพิจารณาประคับประคองเอาไว้ อย่าให้มันเพลิน เรื่องของความปรุงความคิดอะไรที่มันจะเกิดแทรกแซงขึ้นมาก็ต้องเพ่งดูดับมัน ปล่อยมัน วางมันอยู่เรื่อย เพราะการเพ่งดูรู้อยู่ภายในนี้ มันไม่ใช่เอาตาไปเพ่งดู แต่เป็นการรู้ใจ เห็นใจ หรือว่าเอาจิตดูจิตก็ได้

    ถ้าพูดเป็นภาษาของจิตเราก็ใช้วิธีนี้ คือจะดูลมจะดูกายก็ดูได้ เพราะว่ามันต้องมีการรู้อยู่ เห็นอยู่ ในลักษณะของรูปธรรมนามธรรมที่ปรากฏอยู่ทุกๆ ขณะ แล้วความรู้สึกนึกคิดอะไรเหล่านี้ มันต้องมีอยู่ มันต้องเกิดขึ้นอยู่เรื่อยเพราะฉะนั้นถ้าไม่หยุดดูไม่หยุดรู้แล้ว มันก็จะไม่รู้มันก็จะไม่เห็น มันก็เรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น ถ้าเป็นความจำความคิดอะไรเกิดขึ้นแล้วมันก็เป็นเรื่องเป็นราวไปทีเดียว เป็นสายน้ำไหลไปทีเดียว ทีนี้ต้องหยุดทันที เอาสติเป็นหลักปักลงไป กำหนดไปรู้ลงไปเอาให้อยู่ ให้ตั้งหลักให้ได้ อย่าให้มันโอนเอนไป แล้วนั่นแหละมันจึงจะเป็นการสงบ และเป็นการอ่านตัวเองออกได้ การอ่านตัวเองออกใช่ว่ามันจะตั้งอยู่ได้นานสักเท่าไร มันจะต้องมีการเคลื่อนไหวต่อไปอีก ดังนั้นจึงต้องดูกันซ้ำๆ ซากๆ ต้องรอบรู้อยู่ในตัวเองให้มาก พอให้มันตั้งหลักได้มั่นแล้ว ต่อไปมันดูชัด มันเห็นชัดถ้ายังตั้งหลักไม่ได้มั่นคง มันก็รู้ไม่แจ้งรู้ไม่ชัด แล้วมันก็เลือนๆ ลางๆ เหลวไหลไปอีก มันหลั่งไหลไปตามอารมณ์อีก เพราะฉะนั้นการสกัดกั้นเอาไว้ได้ก็รู้ว่ามีสติเป็นเครื่องกั้นอยู่ แล้วมีปัญญาพิจารณาให้เป็นเครื่องรู้ เครื่องละ เครื่องปล่อย เครื่องวางได้ ทุกๆ อารมณ์ที่ได้ผ่านขึ้นมาอย่างไร? เพ่งดู ให้มันรู้อยู่อย่างไร? แล้วความแทรกแซงปรุงแต่งของจิตนั้นมันคืออะไร? มันพวกกิเลสตัณหาประเภทไหน? ที่ก่อเกิดขึ้นมาสอพลอหลอกให้เป็นการยึดมั่นถือมั่น ดีชั่วตัวตน อะไรสารพัดอย่าง นี่ต้องดูมันทุกอย่างให้ตลอดไป มันล้วนแต่เป็นสัตว์ร้ายๆ ก็มีที่มันเกิดขึ้นมานี่ ถ้าเราไม่รู้หรืออ่านมันไม่ออกแล้ว ก็หลงเป็นพวกเดียวกัน เช่น พวกสัตว์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น ก็เข้าพวกกับสัตว์ร้ายๆ ด้วยกันได้และไม่ค่อยจะรุนแรงนัก เพราะมันเข้าไปเป็นพวกกันอีก มันก็สอพลอก่อเกิดหลอกลวงให้งมงายอยู่เรื่อยทุกอารมณ์หมด ดังนั้นต้องอ่านให้มันละเอียดทีเดียวว่า ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลายนี่มันล้วนแต่เป็นสัตว์ทั้งนั้น ที่มีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เรียกว่าเกลียวของวัฏฏสงสาร จึงเป็นการก่อเกิดของสัตว์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ในจำพวกของความโง่ทั้งนั้นไม่รู้อะไรเป็นอะไรทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านำเอามาเป็นเครื่องสอบทานจึงจะรู้ เฉพาะแต่สติปัญญาของตัวเองแล้วมันยังไม่รู้ละเอียดได้เลย มันรู้ได้ก็แค่เพียงส่วนหยาบๆ ส่วนลึกส่วนละเอียดนี่มันยังมองไม่เห็น จึงต้องนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงชี้หลักเอาไว้ในลักษณะต่างๆ โดยไม่ต้องเอามามากมายก็ได้ เพียงแต่นำมาเป็นเครื่องรู้ เครื่องฝึกดูว่า การที่จะฝึกจิตอบรมจิตนี่จะต้องให้มันอยู่ในมาตรฐานอย่างไร? ให้มีความมั่นคงอยู่ด้วยการมีสติอย่างไร? หรือว่ามันยังง่อนแง่นคลอนแคลนไปตามอารมณ์ ที่เรียกว่าหลงอารมณ์ โดยที่มันหลงงมงายมานับไม่ถ้วนแล้ว ทีนี้มันจะต้องเกิดความรู้ขึ้นมาใหม่ เป็นเครื่องอ่านให้มันชัดเข้า จับได้ในลักษณะของความหลง ที่มีอยู่ในตัวเองนี้ แล้วก็ต้องพินิจพิจารณาให้เป็นการเห็นแจ้งแทงตลอดขึ้นมาให้ได้ เพราะอำนาของอาสวกิเลสที่มันครอบงำสันดานอยู่นี้มันไม่ใช่ของง่าย ฉะนั้นจะต้องดูกันจริงๆ ต้องพิจารณาให้มันเห็น ไม่ใช่รู้อยู่อะไรเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ว่ารู้แล้ว อย่างนี้มันยังใช้ไม่ได้ยังเป็นการหลอกตัวเองอยู่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะต้องเพ่งดูพิจารณาดูอยู่เสมอทีเดียว มันจะมีมายาอะไรขึ้นมาหลอกมาลวงหมายดีชั่วทางอายตนะผัสสะก็มาก ซึ่งล้วนแต่สับสนอลหม่านไปทั้งนั้น และที่เกิดขึ้นมาในความจำหมายภายในก็เป็นของละเอียด มันแทรกแซงปรุงแต่งจิตอยู่ทั้งนั้น ถ้าไม่รู้ก็ลอยละล่องท่องเที่ยวไปกับมันนั่นเอง ไปคบเข้ากับพวกสัตว์โง่ ฉะนั้นสัตว์นานาชนิดที่เกิดขึ้นภายในจิตนี้ จะต้องมีการปลดปล่อยมันเสีย เราไม่ใช่มานั่งว่า
     
  17. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ให้จิตมีวิหารธรรม
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๕ (กลางคืน)

    ในคืนวันนี้ก็จะพูดถึงเรื่องการศึกษาภายใน ถ้าเรารู้เรื่องของความมีหมายหรือไม่ มีหมายอยู่ภายในนี้แล้ว การศึกษาจึงจะเข้าในด้านลึกได้ ถ้าว่าเรายังไม่รู้ในลักษณะของมันแล้วเราก็ยังศึกษาอยู่แต่เรื่องข้างนอก เพราะเรื่องข้างนอกนั้นเพียงแต่สมมุติ มีความหมายดีชั่วตัวตนอะไรสารพัดอย่าง นั่นก็คือว่ายังไม่รู้เรื่องข้างใน เพราะบางคนที่เขาทำข้อปฏิบัติ ทำไมเขารู้เรื่องข้างใน รู้เรื่องของสมมุติบัญญัติ ทีนี้จะต้องอ่านมันให้ออก สำหรับผู้ปฏิบัติที่ยังเข้าไม่ถึงข้างในก็พูดกันอยู่แต่เรื่องข้างนอกเป็นส่วนมากเพราะยังไม่ได้อ่านตัวจริงเข้าไป มันก็เลยยังไม่รู้อะไร เพียงแค่เรื่องทุกข์เรื่องกิเลสเหล่านี้ก็ยังรู้ไม่ทั่วถึง แล้วมันจะเข้าไปพบสภาวะของสิ่งที่เรียกว่าเป็น สุญญตา คือความว่างจากตัวตนได้อย่างไร มันก็เลยมาเล่นอยู่กับพวกสมมุติหมายอะไรต่ออะไร ทำให้วนเวียนอยู่นี่เอง ถ้าหยุดมองเข้าข้างใน มันจะได้เห็นรุ้งแววของความว่าง แม้แต่การว่างจากกิเลสก็ยังเป็นความรู้สึกได้ว่ามันดับทุกข์หรือพ้นทุกข์ได้

    ทีนี้ข้อสังเกตต้องมองในเรื่องนี้ให้ลึกเข้าข้างใน อย่าให้มันมาติดอยู่กับการคิดนึกปรุงแต่งหมายดีชั่วอะไร ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับพวกสังขารความปรุงนี่เสีย ถ้าจิตนี่มันหยุดคือว่ามันสงบ แล้วก็มองเข้าไป อย่าให้มันมาติดอยู่กับความสงบ เมื่อสงบความปรุงความคิดได้ชั่วครั้งชั่วคราวนิดๆ หน่อยๆ มันยังไม่เพียงพอ จะต้องมีสติปัญญามองเข้าด้านในอย่างเดียว เพราะความปรุงนี่มันคอยปรุงอยู่เรื่อยจึงต้องคอยดูความปรุงทุกลักษณะหมด ให้รู้ลักษณะความเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไปทุกๆ ขณะ เป็นปัจจุบันธรรม ฉะนั้นความรู้ที่มันยืนรู้ และสภาพรู้ที่ยืนรู้อยู่นั้นตัวนี้เป็นตัวสำคัญ เพระมันจะไปมีความหมายขึ้นมาว่าเป็นตัวเป็นตน นั่นมันไม่ใช่ ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน มันสักแต่ว่าเป็นความรู้ ไม่ว่าจะรู้อะไรทั้งหมดนี้ ขอให้สักแต่เป็นความรู้ แล้วก็อย่าไปมีความหมายว่าเป็นตัวเป็นตน มันต้องมองย้อนเข้าข้างในอย่างเดียว แม้ว่าจะรู้สึกอะไรขึ้นมาในลักษณะไหน ก็ไม่ให้ไปหมายที่ให้ดูไม่ให้มีหมายนี้ มันก็ไม่ใช่ของง่ายนัก เพราะว่ามันจะต้องหมายขึ้นมาหลอกคือ หมายดีหมายชั่ว แล้วมันก็ปรุงแต่งเรื่อยไป

    เพราะฉะนั้นสัญญาคือความจำหมาย มันก็มีเป็นเครื่องแก้กันอยู่ในพวกสัญญาเหมือนกับ นิจจสัญญา คือ ความจำหมายว่าเที่ยง ทีนี้สัญญาที่ตรงกันข้ามเช่น สัญญาในความไม่เที่ยง อย่างนี้มันก็ต้องมาแก้กันได้ ถ้ามันมีสัญญาความจำหมายว่าเที่ยง ก็มีความรู้ของสติปัญญาขึ้นมาว่า มันไม่เที่ยง แต่ถ้าอ่านกันตรงตัวตรงจุดอย่างนี้เข้าไปก่อน มันจึงจะรู้ลักษณะของสัญญานี้ ยังไม่ถึงขั้น ที่จะเป็นเครื่องอ่านในเรื่องความหมายออก เพราะว่ามันต้องใช้ ถ้าไม่ใช้มัน มันก็ต้องอ่านตัวสัญญาที่เป็นความจำหมาย ให้มันเป็นของว่างจากตัวตน นี่มันจะต้องรู้ให้ชัดเจนขึ้นว่า ลักษณะของความหมายที่เป็นความจำ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มันก็อยู่ในลักษณะความจำได้หมายรู้ และทีนี้จะอ่านสัญญาความจำหมายนั้นว่า มันไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน แล้วมันก็เป็นเครื่องแก้ทำลายถ่ายถอนความจำผิดคิดผิดเห็นผิด ในเรื่องของความเที่ยงสุขตัวตนนี้เสีย เพราะฉะนั้นจะต้องมองกันให้ลึกเข้าไป อย่าให้มันมาติดอยู่ในขั้นของความหมาย

    โดยเฉพาะก็จะต้องมองให้รู้ลักษณะของสัญญา ที่ปรากฏให้เป็นของว่างจากตัวตนไปเสียทีเดียว ให้เพียงแต่ว่าเป็นความรู้สึกจำได้ แล้วก็ดับไป ถ้าไม่ยึดถือมันก็มีลักษณะอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นสัญญาขันธ์ จะไปห้ามไม่ให้มีการจำก็ห้ามไม่ได้ แต่ต้องพิจารณาให้รู้สัญญา นี่มันเป็นของเปลี่ยนแปลงแล้วก็ว่างจากตัวตนเสียเอง ไม่ว่าจะจำหมายอะไรขึ้นมาทั้งหมดนี้ ให้เพ่งดับสัญญาคือ ไม่ยึดถือ ไม่ว่าสัญญาในความเที่ยงหรือไม่เที่ยงนี่ก็ให้ปล่อย ให้เห็นว่าสัญญานี้มีลักษณะเกิดดับเปลี่ยนแปลงไม่มีตัวตน ในการมองสัญญาก็ต้องพยายามให้เห็นชัด ถึงมันจะรู้ยากเพราะความจำหมายนี่มันคอยสอพลอก่อเกิด ก็ต้องมองมันอยู่ดี ถ้าไม่มองให้รู้ว่ามันว่างจากตัวตนแล้ว มันก็ถูกหลอกอยู่เรื่อย คือจำดี จำชั่ว รูป เสียง กลิ่น รส อะไรก็อยู่ในพวกสัญญาทั้งนั้น ฉะนั้นสัญญานี่จึงเป็นตัวสำคัญ ทำให้เกิดการปรุงการคิดเป็นน้ำไหลไป เพราะว่าหลงสัญญายึดสัญญา ถ้าจะมองดูสัญญาให้เห็นเป็นของเปลี่ยนแปลงเกิดดับ แล้วก็จะว่างจากตัวตนได้ทุกขณะหมด สังขารมันก็ระงับไปเพราะว่าดับสัญญาได้แล้ว สังขารมันก็ดับ ถ้ายังดับสัญญาไม่ได้ สังขารก็ปรุงเรื่อย ทั้งสองลักษณะนี้ มันปรุงจิตอยู่ตลอดเวลา ทั้งดีชั่วอะไรก็รวมความว่า มันต้องจำแล้วมันก็ต้องปรุงไป ทำให้จิตหรือวิญญาณไม่สงบ เพราะฉะนั้นจะต้องพิจารณาดูว่าความจำเริ่มแรกที่มันจะจำอะไรขึ้นมา ก็ดับหรือปล่อยวางมันเสีย แล้วกำหนดรู้จิตให้ติดต่อ และก็ดูสัญญาความจำนั้นเป็นของเกิดดับ ถ้าดับสัญญาได้ มันก็ดับสังขารได้

    เรื่องกำหนดให้จิตรู้ติดต่อนี้ ก็คือว่า ให้เอาสัญญามากำหนดรู้จิตเสียแล้วก็สังเกตดู เมื่อเอาสัญญามากำหนดรู้จิต จิตก็ไม่ไปจำหมายในอะไรขึ้นมาหลอกมาปรุง เพราะฉะนั้นจะต้องมีการกำหนด ถ้าไม่กำหนดแล้วมันไม่หยุด มันจะต้องมีการจำการคิดเรื่อยเปื่อยไป เมื่อกำหนดให้มันหยุดได้แล้ว ถ้ามันเผลอไปก็กลับมากำหนดรู้ใหม่ซ้ำเอาไว้ให้มันมาทำหน้าที่อย่างนี้ไปก่อน เพราะยังไม่สามารถจะไปดับหรือปล่อยวางได้ แม้ว่าจะพิจารณาอะไรก็ยังทำไม่ได้ ก็เพียงแต่ว่าเอามากำหนดให้เป็นการรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่างนี้ก็ได้ ต้องฝึกกำหนดไว้ก่อนมากำหนดรู้อยู่ ถ้าว่ามันรู้ได้ติดต่อ ความปรุงความคิดอะไรก็ไม่ก่อเรื่อง เพราะว่ารู้จิตเสียแล้วมันก็หยุดหรือว่ารู้ลมหายใจเสียมันก็หยุด หยุดอยู่แค่นั้นก่อน ยังไม่ต้องไปรู้อะไรมาก เพียงแต่ให้มันหยุดรู้หลักทรงตัวไว้ให้ได้ อย่าให้มันปรุง คอยระงับความจำความคิดให้มันดับลงไปให้ได้ก่อน จึงต้องกำหนดรู้อยู่อย่างเดียวแล้วจิตจะสงบได้ แต่ว่ามันก็อาจจะมีเรื่องแทรกแซงขึ้นมาทุกๆ ขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง และสัมผัสทางกายก็ต้องมี แต่ว่าต้องยืนหลักกำหนดรู้เอาไว้ ถึงมันจะเผลอไผลไปก็อยู่ในระยะสั้นยังไม่ปรุงแต่งอะไรยังรู้อยู่ กำหนดรู้จิตอยู่ แล้วก็กำหนดรู้ลมอยู่ ต้องสังเกตไปพร้อม และต้องทำให้ติดต่อทุกอิริยาบถที่จะต้องเฝ้าสังเกตดูให้เป็นความรู้ล้วนๆ ทีเดียว เพราะการฝึกหัดอบรมจิตมันไม่ใช่ทำอยู่อย่างเดียว เพราะมันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ในตัวเองทั้งนั้น

    ในขั้นรูปธรรมนามธรรม มันก็มีลักษณะเกิดดับเปลี่ยนแปลง แต่ว่าต้องอ่านมันต้องยืนรู้เอาไว้ มันจะเกิดดับเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็เพียงแต่ดูอยู่เฉยๆ อย่าไปหมายดีหมายชั่วขึ้นมาก็แล้วกัน ยืนหลักปรกติวางเฉยเอาไว้ให้ได้ ถ้ายืนหลักได้ติดต่อก็พิจารณาได้ การพิจารณามันต้องได้มาตรฐานของจิต ที่กำลังมีการทรงตัวสงบอยู่จึงจะพิจารณาได้ ถ้าจิตนี้มันแส่ส่ายไปตามอารมณ์มันก็ยังไม่สงบ การพิจารณามันก็ไม่มีหลัก เมื่อจิตไม่สงบแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ก็ตกไปกับอารมณ์ซ้ำๆ ซากๆ จิตนี้เป็นของฝึกยากก็จริง ถ้าจะเพ่งดูก็ต้องมีความเพียร ถ้าไม่เพียรแล้วเอามันไม่อยู่เหมือนกัน มันกลับกลอกหลอกหลอนอยู่หลายๆ อย่าง ทั้งดีทั้งชั่วและปรุงแต่ง จำหมายอะไรขึ้นมา มันอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยจะได้ เพราะฉะนั้นที่ต้องฝึกกันมากๆ จึงต้องให้ทำกัมมัฏฐาน เพื่อเป็นวิหารธรรมของจิตไว้ก่อน ถ้าจิตนี้ไม่มีวิหารธรรมให้อยู่ มันก็ท่องเที่ยวไปตามอารมณ์ ที่ท่องเที่ยวไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสกาย ที่เที่ยวของมันก็เป็นไปอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงสอนให้มีสติกำหนดรู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม ทีนี้การที่จะฝึกให้สติมารู้อยู่ ในกาย ในเวทนา ถ้าว่ามันยังไม่ยอมอยู่ ก็ต้องยึดหลักของสติเอาไว้ให้มั่นคงไปก่อน เช่นกับการกำหนดลมให้ติดต่อเอาไว้ก่อน มันจะไปบ้างอยู่บ้างก็ดุมันไปก่อน พอมันรู้ได้ติดต่อจนมั่นคงหนักแน่นแล้วความเผลอเพลินก็น้อยลง หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ คือว่าสตินี้จะตั้งหลักได้ติดต่อตลอดครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงหนึ่งก็ได้ แต่ว่าต้องยืนหลักให้มั่นคง ถ้าไม่มั่นคงแล้วมันเผลอเพลินคือว่าเผลอสติ แล้วก็มีนิวรณ์เข้ามาครอบงำ เพราะฉะนั้นการฝึกที่เราไม่ค่อยได้สังเกตดูความแยบคายภายในจิตนี้ แม้ว่าจะฝึกทำกัมมัฏฐาน มันก็ไม่ได้อยู่กับกัมมัฏฐาน เพราะว่าเรือนที่จะให้อยู่นี้มันไม่คุ้นเคยเหมือนกับคนที่เคยท่องเที่ยวเรื่อยเปื่อยไป มันอยู่บ้านไม่ติด จิตนี่มันก็เที่ยวปรุงเที่ยวคิดเผลอเพลินไปกับพวกนิวรณ์ คือในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่จะควบคุมให้มันมารู้กาย รู้จิตนี้จึงต้องฝึก แล้วก็ต้องสังเกตดูด้วย กว่าจะจับเอาตัวมันมาอยู่กับหลักสตินี้ ก็ไม่ค่อยจะอยู่ได้ง่ายๆ เพราะว่ามันเคยท่องเที่ยวนั่นเอง แต่ก็ต้องพยายามฝึก ถ้าไม่พยายามฝึกแล้วมันก็ไม่มีเรือนจะอยู่ แล้วมันก็ท่องเที่ยวไป เที่ยวไปหาเรื่องเรื่อยไป

    พระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้ ได้ทรงบอกอยู่แล้วว่า วิหารธรรมเป็นที่ทรงอยู่มากที่สุด ก็คือ อานปานสติ ซึ่งเป็นวิหารธรรมที่อยู่ของจิต แต่เรานี้ยังไม่ชำนิชำนาญที่จะฝึกให้จิตมีวิหารธรรมเป็นที่อยู่ จิตนี้ก็เลยคุ้นเคยกับการท่องเที่ยวไปตามอารมณ์ แม้จะสงบบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ เฉพาะการยืนหลักปรกตินี้ อีกอย่างหนึ่งถ้าจิตนี้ยืนหลักเป็นปรกติได้ มันจะอยู่ในวิหารธรรมอย่างนี้ไปก่อน ยังเป็นการพักผ่อนไม่ให้จิตนี้เที่ยวไปยินดียินร้าย ชอบไม่ชอบใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ยังนับว่าปรกติเป็นวิหารธรรมได้ จนกระทั่งมีการกำหนดลมหายใจให้ติดต่อ เป็นการสงบ ไม่ปรุงเรื่องอะไรขึ้นมา ให้รู้ทั่วทั้งกายทั้งจิตให้ติดต่อ ต้องหมั่นสังเกตพิจารณาเอาไว้ บางทีมันจะต้องการความสุข ก็อย่าไปเอาเลยความสุข ดูมันไปก่อนว่าเวทนาทั้งหลายนี้ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง จะมีสุขก็นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เปลี่ยนเป็นทุกข์ไปบ้าง ความไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง มันก็เปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่กับเรื่องของเวทนา ทีนี้เมื่อเราพิจารณาเวทนาเราก็ต้องรู้แล้วว่า เวทนานี่มันสับปลับกลับกลอกหลอกลวงอยู่ทุกขณะไปหมด

    เมื่อจะกำหนดพิจารณาเวทนาก็ต้องให้รู้เรื่องของเวทนา ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในเวทนา แล้วพยายามให้จิตนี้มีความเป็นอิสระเหนือเวทนาให้ได้ พอมันเหนือได้ก็รู้แล้วว่า จิตนี้มันอยู่ในลักษณะของความสงบ คือว่าไม่มีความยินดียินร้ายเพลิดเพลินไปกับอะไร แล้วก็มาควบคุมรู้จิตให้ติดต่ออีก ให้มันอยู่ในภาวะของความเป็นปรกติ เป็นอันว่าเหนือเวทนาได้จึงเป็นการดับตัณหาไปในตัว เพราะฉะนั้นการที่จะฝึกหัดอบรมจิตให้มีวิหารธรรมสำหรับเป็นที่อยู่ของจิต จะต้องฝึกให้ชำนิชำนาญ พอระลึกได้ก็หยุดเป็นปรกติ ถ้ามันปรุงอะไรวุ่นๆ วายๆ ขึ้นมา เมื่อรู้สึก จะหยุด จิตก็เป็นปรกติ และหยุดได้ทันที ถ้ามีการซ้ำๆ ไว้อย่างนี้ จิตนี้จะคุ้นเคย พอหยุดก็หยุดได้ทันที หรือว่าพอกำหนดลมหายใจก็กำหนดได้ติดต่อ แม้จะมีการกำหนดรู้เวทนา ในลักษณะสุขทุกข์ อุเบกขาก็ได้ แต่ถ้ากำหนดแล้ว ต้องหยุดให้ได้ แล้วก็นั่นแหละหัดเอาไว้ให้ชำนาญมันเป็นวิหารธรรมของจิต คือว่าสตินี้จะต้องอยู่ในลักษณะอย่างนี้ จะได้ไม่ท่องเที่ยวไปกับอารมณ์ แล้วก็ไม่ถูกนิวรณ์ครอบงำ ถ้าเราจะฝึกจะสังเกตกันจริงๆ มันก็ทำได้ แต่ว่ามันเป็นของชั่วคราวมากกว่า

    ถ้าเราไม่ได้พิจารณาประกอบหรือไม่ได้สังเกตแล้ว มันก็เป็นนันทิราคะสหคตา คือความเพลิดเพลินความกำหนัดในรูป เสียง กลิ่น รส ทั้งหมดนี้ เพราะจะต้องย้ำให้มากในเรื่องความรู้สึกที่มันเป็นนันทิราคะว่ามีลักษณะอย่างไร มันเพลินต่ออารมณ์ไปอย่างไร ถ้าเราไม่รู้เรื่องนันทิราคะนี้แล้ว การทำความสงบนี้ก็ไม่ได้อ่านความจริงได้เลย เพราะสิ่งนี้มันสำคัญ ถ้าเป็นการรู้ลักษณะนี้ได้ มันไม่เพลิน มันเป็นการเพ่งดู พิจารณาดูอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่ แม้จะเผลอไผลไปก็กลับมารู้ใหม่ กลับมายืนหลักรู้ให้ได้ แล้วก็ฝึกซ้อมไป ถึงว่ามันจะอยู่บ้างไปบ้าง ก็ฝึกไปสังเกตไปให้จิตนี้มันเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึก เมื่อรู้สึกอะไรขึ้นมา เมื่อมีสติมันก็หยุดได้เพราะว่ามันเชื่อฟัง มันไม่เที่ยวพลุ่งๆ พล่านๆ ไปตามอารมณ์ มีความรู้อยู่ทุกอิริยาบถ แต่นี่มันก็ไม่ใช่ของง่าย ถึงกระนั้นก็ต้องพยายามฝึก เพราะถ้าไม่พยายามแล้ว สติไม่ติดต่อจิตก็จะไม่สงบ เมื่อจิตไม่สงบ มันก็เรื่องของทุกข์ และทำจิตใจให้วุ่นวายส่ายแส่ กิเลสตัณหาก็เข้าปรุงแต่งจิตง่ายที่สุด เมื่อมันปรุงก็ทำให้จิตนี้มืดมัวหม่นหมองไม่ผ่องใส นี่ต้องคอยสังเกตดูในขณะที่จิตกำลังปรกติอยู่ ที่มันยังไม่แจ่มแจ้งมันยังมืดมัว แต่ว่ามันทรงตัวอยู่ได้ในลักษณะเป็นปรกติ คือยังไม่ยินดียินร้ายกับอะไร แต่ว่ามันยังมองไม่เห็นความจริง มันก็ยังมืดมัวอยู่ ทีนี้ต้องพิจารณาให้มันรู้ความจริง แล้วมันถึงจะคลายออกจากความมืดมัวเหมือนกับความมืดมัวของจิตในลักษณะของโมหะนั้น ถ้าเราไม่ได้เพียรเพ่งดุให้เป็นเครื่องทำลายมันแล้ว มันจะมืดมัวหนักเข้าทุกที แล้วก็กลายเป็นง่วงเหงาหาวนอนไป

    ลักษณะของโมหะประเภทนี้ มันจะต้องมีขึ้น แต่ว่าจะต้องรู้จักแก้ไขอย่าให้มันมืดมัวต้องให้รู้ว่า ลักษณะของนิวรณ์ทั้งห้านี้มันเกิดขึ้นอย่างไร แล้วจะเพ่งดูอยู่อย่างไร จะเป็นเครื่องป้องก้นไว้ได้อย่างไร เหมือนในขณะนี้ยังไม่มีความว่าง ก็เป็นการรู้ได้ว่า จิตนี้มันอยู่ในลักษณะของความวางเฉย แต่อย่าไปเฉยๆ เพลินๆ อยู่ก็แล้วกัน เพราะความเพลินคือตัวนันทิฯ นี่สำคัญที่สุด ถ้ามันเพลินก็นั่นแหละตัวนันทิฯ มันมาแล้ว มันจะครอบงำ เริ่มแรกมันต้องเป็นไปอย่างนี้ก่อน แล้วนิวรณ์มันก็เข้ามาแทรก ถ้าเพลินไปกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็เรียกว่ากามฉันทนิวรณ์ นี่ต้องคอยสังเกตดู จะรู้บ้างไม่รู้บ้างก็คอยสังเกตดูไปก่อนว่า ลักษณะของจิตที่เพลินนี้มันมีนิวรณ์ประเภทไหนเข้ามา แล้วก็จะต้องเพ่งพิจารณาดูให้รู้เสียจะได้ทำลายมันได้ อย่าปล่อยให้มันครอบงำ ทำให้จิตนี้มืดมัวหม่นหมองไปเพราะว่าสตินี้มันยังอ่อน ถ้ามันมีสติเข้มแข็งขึ้นมา พวกนิวรณ์เหล่านี้มันก็ถอยกำลังไป ฉะนั้นจะต้องหมั่นสังเกตให้รู้แยบคายเอาไว้ จะได้เป็นเครื่องทำลายนิวรณ์ เพราะว่ามันทำให้จิตมืดมัวหม่นหมองไม่ผ่องใสทั้งนั้น

    ฉะนั้นจิตนี้จะมีสติให้เต็มที่ อย่าปล่อยให้มันเพลินได้เป็นการดี เหมือนกับเริ่มแรกเราจะนั่งสักชั่วโมงหนึ่งก็ต้องควบคุมจิตนี้ให้อยู่ในลักษณะของความวางเฉยต่ออารมณ์ คือว่าไม่ยินดียินร้ายไปในรูป เสียง กลิ่น รส ต้องคุมให้มันอยู่ แล้วก็ต้องกำหนดให้มันรู้อยู่ จะกำหนดลมก็กำหนดให้แน่วอยู่กับลม คอยสังเกตไปรู้ไปแล้วก็คอยสังเกตว่ามันจะทรงตัวได้นานไหม หรือว่ามันหนีไปเสียก่อน ไปปรุงไปคิดไปจำหมายอะไรขึ้นมา เพราะฉะนั้นตัวที่คอยสังเกตมันเหมือนกับเป็นการตรวจการจับอยู่ในตัวทั้งหมด แต่ถ้าไม่ได้สังเกตแล้ว มันจะเผลอเพลินไปกับอะไรก็ไม่รู้แล้วก็แก้ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เผลอเพลินไปมันก็ถูกนิวรณ์ครอบงำ จึงต้องคอยสังเกตเอาไว้ ดูเอาไว้ รู้เอาไว้ บางทีควรจะแก้อย่างไรก็ต้องแก้ไขเหมือนกัน

    และการนั่งอย่าให้มันเพลิน ไม่ว่าจะเพลินไปในเวทนา หรือเพลินไปกับความว่าง หรือความสงบก็ตาม สตินี้ต้องรู้อยู่ เห็นอยู่ กำหนดรู้ให้ติดต่อให้ได้ จะได้เป็นเครื่องอ่านออกอยู่ในตัวให้ชัดเอาไว้ อย่าให้มันเพลินไป แล้วการทำความสงบทุกครั้งทุกคราวมันจะได้หลักฐานมั่นคงขึ้น มิฉะนั้นแล้วมันทำรวนๆ เรๆ มันจะเอาแต่ความสุข ความเพลิน แล้วมันก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เพราะฉะนั้นการอบรมจิตนี้ จะต้องรู้ว่านิวรณ์ประเภทไหนเกิดขึ้นมาอย่างไร และจะต้องทำลายมันได้อย่างไร ควรเพ่งดูให้มันรู้ ให้มันเห็นให้จงได้ นั่นแหละมันจึงจะเกิดสติปัญญาขึ้นมา แล้วก็จะเป็นการดับทุกข์ในขั้นหยาบ แล้วก็มาถึงขั้นกลางคือนิวรณ์ได้ เมื่อดำรงสติได้ติดต่อก็จะละนิวรณ์ได้ในตัว เพราะว่าความรู้สึกที่เป็นเวทนาทั้งสาม ถ้าดำรงสติได้มันไม่เพลิน คือว่าขณะที่มีความทุกข์เกิดขึ้นจะเป็นทุกข์กายทุกข์ใจก็ตาม แต่ถ้าดำรงสติให้อยู่ในความวางเฉย แม้ว่าสุขเวทนาจะปรากฏขึ้นก็ดำรงสติให้อยู่ในความวางเฉย หรือลักษณะของอุเบกขาเวทนาก็รู้อยู่วางเฉยอยู่ อ่านเวทนาอยู่ตลอด แล้วจิตนี้มันจะได้ไม่เพลินกับเวทนานั้น ไม่ว่าลักษณะไหน จะต้องดำรงสติให้เป็นการรู้อยู่ วางเฉยอยู่ เป็นปรกติอยู่ ความตื่นของสติย่อมทำให้ตัณหาเข้าปรุงไม่ได้ เพราะว่ามีความรู้อ่านเวทนาอยู่นั่นแหละเป็นการละตัณหาไปในตัว

    ทีนี้ตัณหาที่จะมาในรูปอย่างละเอียด คือว่านันทิฯ เมื่อมีการรู้อยู่ไม่เผลอไม่เพลินแล้ว นันทิฯ ก็ดับ ก็ดำรงสติอยู่ได้ไม่ว่าจะมีการยั่วแหย่ของสัมผัส เช่นยุงหรืออะไรที่มันมาตอมมากัด ต้องรู้สึกมีอาการคันเป็นต้น ก็ให้ดำรงสติอยู่ในความวางเฉยเพราะว่าลักษณะของความรู้สึกคันนี่มันเกิดกามตัณหาให้ดำรงสติวางเฉยไว้โดยไม่ต้องทนมาก เพียงแต่ว่าวางเฉยให้รู้ว่าลักษณะนี้มันเป็นการสัมผัส มันจะเกิดอาการคันอะไรขึ้นมาก็วางเฉยไว้ โดยไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งนั้น เป็นอันว่าวางเฉยต่อความรู้สึกของเวทนาทุกข์ดูว่าความทุกข์นี้มันได้ผ่อนคลายลงไปหรือไม่ ถ้ามันคลายก็วางเฉยอีก เพราะว่าสุขเวทนานี่มันจะเกิดความพอใจ ก็ต้องวางเฉยไว้อีก ถ้าดำรงสติวางเฉยเป็นการอ่านเวทนาได้ ก็เรียกว่าเหนือเวทนาได้ตลอดเวลาที่นั่ง ถ้าจะเผลอเพลินไปกับอะไรบ้างก็น้อยที่สุด เพราะว่าดำรงสติในความรู้อยู่ เห็นอยู่ที่เวทนานี้ว่ามันเป็นของธรรมดา มันจะต้องมีความรู้สึกกันเฉพาะนามกับรูป แต่ที่ไปรู้สึกกำหนัดต่อเวทนานั้นก็ต้องวางเฉยเสีย แล้วมันก็เป็นการตัดตัณหา ถ้าไม่มีตัวนันทิราคสหคตาแล้ว จิตนี้จะเหนือเวทนาได้ เพราะว่าที่มันเสียหลักไปไม่เป็นอิสระ ไม่เหนือเวทนา ข้อสำคัญอยู่ที่นันทิราคะฯ คือ มันเป็นความเพลินเป็นความกำหนัด เมื่อมีสติดำรงอยู่ คือว่าไม่ให้เพลิน โดยดำรงสติรู้อยู่ เห็นอยู่ในลักษณะของจิตเป็นปกติ ตัณหาก็เข้าปรุงไม่ได้

    เพราะฉะนั้นเรื่องการเจริญภาวนา มันสำคัญอยู่ที่ตรงอ่านเวทนานี่เอง เพราะว่าตัณหามันจะเกิดขึ้นในขณะที่มีเวทนา เมื่อดำรงสติได้ติดต่อ มันจะดับตัณหาได้ แล้วก็ดับเวทนาได้ เวทนาก็เป็นสักแต่ว่าเวทนา ไม่ได้มีความกำหนัดต่อเวทนา เป็นการมีสติรู้ทั่วถึงอยู่ในการที่จะดำรงสติให้เหนือเวทนา ถ้าดำรงสติได้ติดต่อจิตจะไม่มีนิวรณ์เข้าปรุง ถ้ามันจะปรุงได้ก็เมื่อขณะเผลอสติไปมีความเพลินเท่านั้น ฉะนั้นถ้าเรารู้ลักษณะว่า นันทิราคะมันมีความเพลินและมีความกำหนัดประกอบอยู่ด้วยมันเป็นของละเอียด ถ้าว่าอ่านออกแล้วจะละนิวรณ์ได้ตลอดชั่วโมงหนึ่งโดยมันจะรู้เท่าตามความเป็นจริงว่า สัมผัสที่มันเกิดๆ ขึ้นมานี้มันสัมผัสกันเฉพาะนามรูป ทีนี้มันว่าง ว่างจากตัวเราของเราไป เป็นความรู้สึกล้วนๆ ของขันธ์ ฉะนั้นจะต้องคอยหัดสังเกตดู ถ้ามันหลับใหลไม่เพลินแล้วก็ดำรงสติได้ติดต่อ ควรจะหัดสังเกตเอาไว้เป็นหลักฐานของจิตอยู่เสมอทีเดียว ที่เผลอไผลไปยึดถืออะไรขึ้นมาในเวทนา สุข ทุกข์ นั่นแหละตัณหามันเข้าปรง มันทำให้ดิ้นรนขึ้นมา ถ้ามันดิ้นรนมากๆ มันก็ทนไม่ไหว ทีนี้เริ่มแรกจะต้องรู้อยู่ก่อน ไม่ให้ทันมันดิ้นรน พอรู้สึกอะไรขึ้นมาเป็นเวทนาทุกข์ หรือเวทนาสุขก็ดุมัน มีสติดำรงรู้อยู่ ต้องป้องกันไว้เสียก่อน

    เพราะฉะนั้นเรื่องมีสติกำกับอยู่ที่จิตรู้ได้ ย่อมเป็นการอ่านเวทนาออก แล้วก็เป็นอันว่าตัณหาหมดฤทธิ์ ถ้ามันจะเกิดขึ้นมาในลักษณะไหนนิดๆ หน่อยๆ ก็รู้ทีเดียว รู้แล้วก็ดำรงสติอยู่ในความวางเฉย แต่ก็ไม่ต้องอดทนมากเกินไป ถ้าว่าตัณหามันเกิดแล้วมันต้องอดทนมาก เหมือนกับมันคันขึ้นมายิบๆ นี้มันอยากจะเกามันอยากจะแก้ ถ้าหากดำรงสติไว้ก่อนรู้สึก อาการทุกข์หรือกาการคันจะเป็นของธรรมดา เพราะว่าถ้าสติยืนหลักได้อย่างเดียวแล้ว มันละนิวรณ์ทั้งห้าประการนั้นได้ ตั้งแต่กามฉันทนิวรณ์ แล้วก็พยาบาทนิวรณ์ เราต้องอ่านมันออกในขณะที่มันมีการสัมผัส เฉพาะกามฉันทนิวรณ์นี่สำคัญที่สุด แล้วก็ระวังให้ดีเถอะ กามฉันทนิวรณ์ ความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสกายจะต้องเกิด ฉะนั้นเมื่อมีสติดำรงอยู่ได้ กามฉันทนิวรณ์ก็ไม่มีเริ่มแรกที่จะมีก็ต้องรู้ว่าเป็นความวิการของจิต เหมือนกับจิตที่มีตัณหานี้ เรียกว่าจิตนี้เป็นโรค เกิดโรค เช่นกับความพอใจไม่พอใจ นี่เกิดโรค เพราะฉะนั้นต้องตั้งสติป้องกันเหมือนกับเขาป้องกันเชื้อโรค นี่ต้องมีสติเอาไว้ก่อน แล้วเชื้อโรคของกิเลสนี้มันจะเกิดตัณหา หรือว่าเป็นลักษณะของความไม่พอใจในทุกข์ก็ตาม มันจะเกิดขึ้นมาในระยะแรกที่มันจะต้องรู้ว่า นี่เป็นความวิการของจิต แล้วจิตนี้จะเกิดโรค โรคก็คือตัณหา ทีนี้เมื่อรู้ลักษณะว่า จิตนี้จะไม่มีอะไรแฝงเข้ามา จิตนี้ก็เป็นอิสระอยู่ได้ และมีสติคอยประคับประคองเอาไว้ อย่าให้มันเผลอเพลินออกไป และมีการเพ่งพิจารณาประกอบอยู่ทุกขณะเป็นการตรวจเชื้อโรคไปในตัว และจะดับมันได้ทุกๆ ขณะไปทีเดียว

    ขอให้พยายามตรวจให้ละเอียดจะเป็นการดับทุกข์ได้อย่างถูกต้องอยู่เสมอ ทุกข์โทษทั้งหลายจะเบาบางไปตามลำดับโดยไม่ต้องสงสัยเลย

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  18. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ให้รู้จักเหตุเกิดทุกข์
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๓ กรกฎาคม ๒๕๑๕


    วันนี้จะปรารภเรื่องข้อปฏิบัติ การปฏิบัติถ้าพูดโดยเจาะจงแล้วไม่ต้องเอาหลักเกณฑ์อะไรมามากมายนัก เพราะว่าจำไม่ไหว การจะพิจารณาให้รู้เรื่องจริงจึงเป็นของสำคัญในเรื่องที่จะพิจารณาให้เห็นความทุกข์ทีทมีประจำอยู่ แต่จะต้องรู้เรื่องจริงๆ โดยเฉพาะว่า ร่างกายหรือจิตใจทั้งหมดนี้มันไม่มีเรื่องอื่น มีแต่ทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่ทุกขณะก็ว่าได้ แต่เนื่องจากไม่ได้พิจารณา ก็นึกว่าอยู่เป็นสุขไปทั้งนั้น

    ทีนี้การที่จะพิจารณานี้ เป็นสิ่งสำคัญของการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะรู้หลักเกณฑ์อะไรก็ตาม ถ้าไม่เอามาพิจารณาแล้วก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย เป็นแต่เพียงเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ผ่านเลยไปเสีย เฉพาะหัวข้อธรรมะก็มีหลักสำคัญๆ ที่จะต้องนำมาศึกษาพิจารณาสอบเข้ามาหาตัวจริง คือกายกับใจนี้ และเรื่องอริยสัจ หรือไตรลักษณ์ กับสติปัฏฐานทั้งสี่ข้อนี้ล้วนแต่เป็นข้อปฏิบัติซึ่งเป็นเนื้อความอย่างเดียวกันทั้งหมด

    ส่วนเรื่องอริยสัจย่อลงมาเป็นสอง เรียกว่าเป็นปฏิจจสมุปบาทที่เป็นสมุทัย ฝ่ายดับก็เป็นนิโรธ รวมทั้งสองอย่างนี้ที่จะต้องทำการศึกษาอยู่ ฉะนั้นการปฏิบัติก็รวบรัดอยู่ในเรื่องการรู้เหตุเกิดทุกข์ กับความดับทุกข์ทั้งสองอย่างนี้ ซึ่งจะต้องพิจารณาเรื่องไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาก็ได้ และสติปัฏฐานสี่ก็รวมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นต้องยืนหลักเอาไว้ จะได้ไม่ไขว่คว้าเอาหลักโน้นหลักนี้มาสอบให้มากเกินไป

    แต่หลักสำคัญที่ต้องอบรมกันอยู่ก็คือ ให้มีสติประจำอยู่เนืองนิตย์ เพราว่าตัวสตินี่เป็นตัวสำคัญที่สุด เรียกว่าเป็นการเฝ้ายามก็ได้ เฝ้าดูทุกๆ ประตูที่ผ่านมาทางตา ทางหู มันเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ เพราะถ้าไม่รู้แล้วทุกข์โทษมากมายหลายประการที่มันจะเกิดขึ้น ฉะนั้นเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ไม่ใช่เรื่องมากมายอะไรนัก นอกจากให้คุมอายตนะผัสสะเวทนาเท่านั้นเพื่อให้รู้เหลักย่อๆ ไว้เท่านี้แหละ ไม่ต้องไปเอาหลักเกณฑ์มายืดยาวก็ได้ เพราะจำไม่ไหว มันรู้ไม่ได้ การที่ควบคุมอยู่นี้ ถ้าเอาสติมาควบคุมจิตว่าอะไรมันเกิด หรือกิเลสประเภทไหนมันเกิดขึ้นมา การเกิดนี่แหละเรียกว่าเป็น
     
  19. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ทีนี้ที่ยังตั้งหลักไม่มั่นคงอยู่ภายในนั่นเองจึงทำให้รู้นี่ ออกไปจากรู้ เพราะมีการเผลอไปเพลินไป ส่วนรู้ภายนอกนี่ยังรู้อยู่ แต่ว่ารู้ภายในนี่ยังยืนรู้ไม่ได้ เพราะว่ามันรู้ออกจากรู้เมื่อไรแล้ว การเผลอสติแม้จะยังไม่ออกมาข้างนอกแต่ว่าข้างในมันเผลอ และก็มีการการปรุงการคิดอะไรเป็นความจำหมายขึ้นมา นี่ต้องอ่านดูให้ได้รายละเอียดว่า ทางผัสสะก็สงบอยู่วางเฉยได้ แต่ว่าข้างในมันยังมีอีก ยังเป็นความจำหมายแล้วก็เป็นการคิดไปเพลินไป ฉะนั้นต้องอ่านให้ละเอียดให้จิตนี้มีการสงบรู้ตัวเองให้ทรงตัวได้ติดต่อเอาไว้ให้ได้ อย่าให้มันเลื่อนลอยไปตามอารมณ์ แม้จะยังไม่เกิดทุกข์เกิดโทษภายนอกแต่มันเป็นตัวนันทิราคะ คือว่าเพลิดเพลินอยู่ข้างในนั่นมันละเอียด และทีเพลินออกมาทางผัสสะนี่มันหยาบก็ยังรู้ง่าย แต่ถ้าเพลินอยู่ข้างในรู้ยาก เพราะฉะนั้นความที่เผลอสติภายในนี่เอง มันทำให้หลักฐานของการทรงตัวปรกติวางเฉยภายนอกไม่ถาวร เพราะว่ามันล้มละลายมาจากข้างในโน่นแล้ว ฉะนั้นหลักปรกติข้างนอกมันเป็นแต่เพียงผิวเผินพอมีผัสสะอะไรมากระทบก็แล่นรับรวดเร็ว โดยเฉพาะว่าผัสสะที่ยังไม่มีการเข้ามาหกตัวมันเอง เช่นขณะเรามองเห็นอะไร ถ้าไม่เอาใจใส่ไม่ยึดถือก็ดูเฉยๆ แต่ถ้าเป็นผัสสะที่เข้ามาถึงตัวมันเข้าหรือมีความหมายเข้ามาหาตัวมันแล้ว แม้แต่เป็นของเล็กน้อยจิตนี้ก็จะต้องหวั่นไหวโยกโคลงขึ้นมาทันที

    เพราะว่าข้างในนั่นเสียหลักรู้ไปแล้ว ทีนี้มันก็ออกแล่นรับผัสสะ ที่ตรงเข้ามาหาตัวมัน มันออกยึดถือขึ้นมาทีเดียว ตัวตนมันก็เกิดขึ้นมาทีเดียว เป็นการรับเอาผัสสะนั้นทันทีมันว่าเรา หรือว่ากระทบกระเทือนเราแล้วมันเอาใหญ่ทีเดียว อย่างนี้ก็ดูซิว่าปฏิจจสมุปบาท ที่มันเกิดทุกข์ เกิดกิเลส เกิดตัวตน เกิดยึดถือ มันแล่นจี๋อยู่อย่างไร แล้วจะดับมันได้อย่างไร ถ้าว่าเป็นการดับช้า ปฏิจจสมุปบาทที่เป็นฝ่ายเกิดก็ปรุงแต่งไปหลายรอบกว่าจะหยุดได้ ฉะนั้นต้องสังเกตดูว่าที่ปรุงแล้วปรุงอีก ที่จำเรื่องราวเป็นคุ้งเป็นแควไปนั่นแหละเป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดมันกำลังเกิดเป็นสันตติสืบต่อเรื่อยไป แล้วก็เป็นทุกข์เท่าไร ถ้าพิจารณาดูแล้วแม้จะรู้ว่าสังขารปรุงทั้งดีทั้งชั่วที่ปรุงจิตอยู่ มาจากอวิชชาคือความไม่รู้ มันปรุงซ้ำปรุงซากอยู่นี่ ถึงจะไม่เกิดทุกข์เกิดโทษอะไรมาก แต่ก็ทำให้จิตนี้ไม่สงบ แล้วก็ลองพิจารณาดูซิว่า สังขารนี้มีความสำคัญอย่างไร ที่มาจากอวิชชาคือความไม่รู้ นี่จะต้องพิจารณาตัวจริงกันจึงจะได้ ทีนี้ที่มันระงับสังขารได้ก็คือว่ามีความรู้โดยมีสติยืนหลักเอาไว้อย่างเดียว

    เหมือนกับเรากำหนดลมก็ได้ กำหนดให้ติดต่ออยู่อย่างเดียว แล้วเราจะรู้ได้ว่าสังขารนี่มันปรุงขึ้นมาอย่างไร ถ้าว่าเราไม่กำหนดสติให้ติดต่อเอาไว้แล้ว สังขารนี่มันปรุง จำเรื่องจำราวมาปรุงดีปรุงชั่วมันก็ปรุงเรื่อย และข้อสำคัญก็คือ สตินี่ต้องตั้งมั่นอยู่อย่าไปย้ายที่ เพราะว่าย้ายที่แล้วจะทำให้โยกโคลงไปแล้วสังขารก็ปรุงต่อ ดับไม่ได้ เพราะยักย้ายไปเสียแล้ว ถ้ากำหนดลมก็กำหนดให้จริง เอาลมเป็นหลักยืน คือว่าจะให้สังขารนี้ระงับไป ระงับความฟุ้งซ่านรำคาญใจอะไรก็ต้องยืนหลักเอาไว้ให้ได้ แล้วมันก็เป็นเครื่องสอบของตัวเอง ถ้าหลักสตินี่มันโยกโคลงความฟุ้งซ่านมันก็ต้องสืบต่อเป็นสันตติเรื่อยไป แล้วเป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดก็เกิดไปทีเดียว เกิดดับเรื่อยไป แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีก เพราะตัวโง่คืออวิชชาที่มีเป็นต้นขั้วอยู่ มันมีอวิชชาจึงได้มีสังขารปรุงเรื่อย คิดเรื่อยไม่หยุดไม่หย่อน

    ทีนี้มันต้อง หยุด คำว่า
     
  20. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เพราะว่าว่างกับวุ่นนั้นมันสลับฉากกันอยู่ เพราะเหตุไรเราจะต้องรู้ เพราะไม่ได้กำหนดสติให้ติดต่อนั่นเอง มันก็เลยย้ายไป คือว่ามันย้ายไปรู้อย่างนั้นย้ายไปรู้อย่างนี้ แม้ว่ามันจะปล่อยวางได้ก็เป็นของชั่วคราวอีก เพราะสตินี่มันยังไม่ได้ยืนรู้ ยังไม่ได้จับศัตรูภายในว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอะไร แต่ว่ามันโง่ไปยึดถือขึ้นมาทุกขณะ มันถึงได้สืบเนื่องเป็นเรื่องเป็นราวเป็นน้ำไหลไปหมด เพราะความปรุงความคิดของสังขารทั้งนั้น จะหลีกสังขารก็ไม่พ้นเพราะมันยืนหลักไม่อยู่ หลักนั่นมันโยกโคลงไป ฉะนั้นคอยสังเกตดูว่าหลักของสติมันมั่นคงหรือยัง เท่านี้ก็เป็นเครื่องสอบได้อยู่ในตัว แล้วก็ต้องแก้ปัญหาข้อนี้ของตัวเองด้วยกันทุกคนว่าหลักสติทำไมมันถึงได้ง่อนแง่คลอนแคลนไปนัก แล้วจะฝึกจะทำอย่างไร จะสำรวมตา หู อย่างไรดี หลักของสติที่รู้อยู่ข้างใน มันจะได้หยุดดู หยุดรู้ จิต ประจักษ์ชัดเจนขึ้นมาได้

    เรื่องข้อปฏิบัติที่พูดตามภาษาใจนี่อย่างหนึ่ง ถ้าไปพูดตามหลักเกณฑ์ก็อีกอย่างหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรมันก็สอบได้ เพราะเป็นเรื่องที่จะต้องอ่านตัวจริงกันจึงจะได้ประโยชน์ จึงจะรู้ลักษณะว่าเมื่อทุกข์เกิดแล้วจะดับทุกข์ได้อย่างไร กิเลสเกิดแล้วจะดับกิเลสได้อย่างไร หรือว่ากิเลสมันมาเผาเอา เราจะเผากิเลสได้อย่างไร นี่ข้อปฏิบัติต้องเอาเรื่องนี้เป็นสำคัญที่จะตรวจจิตใจอยู่ทุกอิริยาบถได้ก็มีเท่านี้ แล้วก็มีศีล สมาธิ ปัญญา รวมเสร็จอยู่ที่นี่หมด ศีลเมื่อสำรวมระวังไว้ได้ ก็ทำให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน มีความสงบแล้วก็เป็นผลคือว่า จิตที่ไม่มีทุกข์โทษอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้เร่าร้อนเศร้าหมองได้ เรียกว่าจิตสงบเป็นสมาธิ ทีนี้ปัญญาที่จะต้องพิจารณารู้ รู้แล้วก็มีการปล่อยวางได้ แล้วความรู้มันก็ครบถ้วนอยู่ในการมีสติปัญญาเป็นเครื่องควบคุมจิต ซึ่งล้วนแต่เป็นหลักเดียวกันไม่ว่าบทไหนทั้งหมด

    ตามที่พูดเรื่องของสัญญาเจ็ดที่เอามาพิจารณากันนี้ ความจริงสัญญาเจ็ดประการนั้นไม่ต้องไปเจริญทั้งเจ็ดก็ได้ เพราะว่านั่นมันเพียงแต่เป็นหลักสำหรับให้รู้เท่านั้นเอง ความจริงถ้าเจริญเฉพาะสัญญาเดียวก็พอ แล้วก็แตกฉานไปได้ทั้งเจ็ดสัญญา เช่นอสุภสัญญาเป็นต้น พิจารณาให้เห็นความเป็น อสุภะ ของกายทั้งหมดว่า ไม่มีอะไรที่จะเป็นของงดงามถาวร ก็เห็นโดยความเป็น ปฏิกูล เมื่อเห็น อสุภะ แล้วมันก็ต้องเห็นโดย ความเป็นธาตุ เมื่อเห็นโดย ความเป็นธาตุ แล้วก็ต้องรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ตัวตน พอถึงความไม่มีตัวตนก็เป็น อนัตตสัญญา ได้เลย รวบยอดหมดในเรื่อง อนัตตสัญญา
    ทีนี้การพิจารณาในอสุภสัญญา เป็นการรู้ชั่วคราว ก็จะต้องมีการเจริญสัญญาเช่น อาทีนวสัญญา ให้เห็นโทษในความเป็นทุกข์ของร่างกายทั้งหมดที่มีโรคภัยเบียดเบียน หรือทางกาย ทางใจก็ตาม ให้เปลี่ยนมาพิจารณา อาทีนวสัญญา ให้เห็นความเป็นโทษทั้งหมด ในอาทีนวสัญญานี้ ถ้าพิจารณาให้เห็นโทษของร่างกายในรูปธรรมหมดแล้ว ก็เห็นโทษในนามธรรมด้วย โทษในฝ่ายนามธรรมก็เป็นทุกข์ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์นั่นเอง ถ้าเห็นแล้วก็รวมอยู่ใน อนิจจสัญญา ได้ ซึ่งก็อยู่ในแนวเดียวกันทั้งหมดรวมเป็น อนัตตสัญญา ได้เลยทีเดียว

    อนัตตสัญญา นั้นเป็น สัญญาขั้นสูง แล้วก็สัญญาเหล่านี้เช่น ปหานสัญญา ที่จะต้องมีการพากเพียรเผากิเลส อย่างนี้มันก็ต้องรู้แล้วว่า กิเลสนี่มันมีทุกข์โทษเท่าไร มันเกิดขึ้นมาแล้วทำให้จิตใจนี้เศร้าหมองเร่าร้อนเท่าไร เมื่อประหารมันลงไปได้ ดับมันลงไปได้ ก็พิจารณาให้เห็นความเป็นของไม่เที่ยง ของสัญญาทั้งเจ็ดประการ ซึ่งรวมอยู่ด้วยกันทั้งหมด นอกจากว่ามันจะเห็นอะไรชัดมากกว่ากันเท่านั้น เช่นการเห็นอสุภสัญญาชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แล้วก็ไปเห็นอาทีนวสัญญา ชัดบ้างไม่ชัดบ้างอย่างนี้ก็เป็นเหตุให้ไม่รู้แจ้งแทงตลอดไปได้ ถ้าหากเห็นสัญญาหนึ่งสัญญาใดแจ้งชัดลงไปแล้วทั้งเจ็ดสัญญาก็รวมกันได้ทั้งหมด ไปถึงจุดอนัตตสัญญาตลอดไปเลย โดยไม่ต้องจำแนกอย่างอื่นอีกก็ได้ ทีนี้ถ้าเห็นแทงตลอดไปอย่างโน้นว่า นี่เป็นความดับทุกข์ ถ้าไม่เห็นชัดตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว มันก็ยังปล่อยวางไม่ได้ หรือยังดับทุกข์ไม่ได้นั่นเอง

    ฉะนั้น การดับทุกข์ที่เรียกว่าเป็นนิโรธ หรือเป็นการ ดับตัณหาก็ตาม มันก็อย่างเดียวกันกับ ปหานสัญญา ที่จะดับทุกข์โทษสารพัดอย่าง เพราะฉะนั้นเรื่องข้อปฏิบัติถ้าว่าทำการค้นคว้าด้วยสติปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเอาข้อไหนมาประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติจนกระทั่งว่ารู้แจ้งแทงตลอดได้แล้ว ก็เป็นแนวเดียวกันทั้งหมดนั่นเองไม่ต้องโยกย้ายเอาอย่างโน้นอย่างนี้ให้มีหัวข้อมากมาย ฉะนั้นจึงต้องศึกษาพิจารณาให้รู้จริงเสีย จะได้ไม่เที่ยวไขว่คว้าเหมือนกับตาบอดคลำช้าง ต้องให้รู้ว่าเรื่องธรรมะนี้ขั้นสุดท้ายต้องรวมกันได้ทั้งหมด แล้วก็จำแนกออกไปให้เป็นข้อปฏิบัติ เหมือนกับธรรมะของพระศาสดาที่ได้ตรัสไว้เป็นหัวข้อปฏิบัติมากมาย ในพระสุตตันตปิฎกก็มีอยู่แล้วไม่ใช่ว่าจะไปเอาข้อความทั้งหมดนั้นมาประพฤติปฏิบัติเมื่อไร ให้เอามาข้อหนึ่งข้อใดแล้วมันก็มารวมอยู่ที่กายที่ใจ ที่เป็นตัวประธานอยู่นี่ แล้วก็ต้องยืนหลักสตินี้ให้มั่นคง มีการพิจารณาให้รู้ความจริง ก็จะปล่อยวางได้ ถ้ายังไม่รู้ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ ก็สอบเอาให้ได้ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะปฏิบัติข้อไหนทั้งจะกำหนดรู้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือว่ารู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์ในเรื่องอริยสัจสี่มันก็เรื่องเดียวกันอีก

    ฉะนั้นข้อปฏิบัติจะต้องทำความเข้าใจให้รวมกันเสีย ถ้ายังโลเลอยู่อย่างนี้ให้ปฏิบัติไปจนตาย มันก็ไม่รู้เรื่องจริงขึ้นมาได้ เพราะประเดี๋ยวก็ไปเอาอย่างโน้นประเดี๋ยวก็ไปยึดอย่างนี้ขึ้นมาทำให้ยุ่งยากหมด ในที่สุดก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย ทำให้จิตเที่ยวลอยละล่องท่องเที่ยวไป ประเดี๋ยวพอใจอะไรก็ไปยึดถือว่าดีว่าถูกขึ้นมาที่ว่าดีว่าถูกนี้นานๆ ไปอีกสักหน่อยมันก็เลือนลางไปอีก ต่อไปเมื่อไปพบสิ่งโน้นก็ว่านั่นดีนี่ถูกไปอีกแล้ว ประเดี๋ยวที่ว่าดีกว่าถูกก็ย้ายใหม่อีก แล้วก็เลือนลางไปอีกมันจึงเรื่อยเปื่อยไป ฉะนั้นความรู้ความเห็นมันยังต้องเปลี่ยนเรื่อยไป ตามเหตุที่มากระทบเข้ากับจิต เช่นกับเวลาไหนที่จิตใจกำลังว่างๆ พอกระทบอะไรเข้า ก็เกิดความรู้สึกเห็นเกิดดับฉับไวขึ้นมา ปล่อยวางไป ว่างไป แล้วมันก็ว่าอย่างนี้ดีถูก เพราะว่าเมื่อกระทบแล้วก็ดับไม่ยึดถือแล้วก็หมดเรื่อง ทีนี้ก็เอาใหม่อีกพอกระทบปุบก็ยึดถือขึ้นมาทีเดียว เกิดเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นความรู้นี่มันสลับฉากมาหลอกลวงพาให้ไขว่คว้าไปว่านี่ถูก นั่นผิดไปอีก แต่ผิดนี้ก็อาจกลับถูกขึ้นมาอีกก็ได้ แล้วมันก็เล่นสลับฉากให้ดูเสมอๆ จึงแสดงให้เห็นความไม่เที่ยง ทั้งผิด ทั้งถูก ทั้งเท็จ ทั้งจริง ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งสุขทั้งทุกข์ให้ดูควบคู่กันไป ฉะนั้นต้องดูกันให้ทั่วถึงว่า ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นอะไรมันล้วนแต่สับปลับกลับกลอกไปทั้งนั้น ถ้าว่ารู้อย่างนี้แล้ว รู้นี่มันเหนือรู้ขึ้นมาได้ มันเหนือรู้ ที่ว่ารู้ถูก รู้ผิด นั่นแหละ
     

แชร์หน้านี้

Loading...