อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล สนทนากับพญายม เมื่อพระอยู่ในนรก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 12 มิถุนายน 2017.

  1. nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015
    นิทานหลังนอน

    สวัสดี ท่านพญามาร

    ขอรับกระผม

    ตั้งแต่วันที่ท่าน จะทางคืนบัลลังก์จากเรา
    ท่านก็เงียบหายไปเลยนะ
    ไม่เห็นมาหลอกเราอีกเลย ตั้งแต่วันนั้น


    ก็ตัวท่านเล่นด้วย ไม่สนุกแล้ว
    ผมก็เลย คิดหาอย่างอื่นทำแทน
    แล้ววันนั้น ท่านก็ทำเกินไปหน่อย

    ราท่อง "พุทโธ"ใส่ทัน ด้วยอารมณ์เคยชิน
    บวกกับความตกใจ ก็เลยพลั้งปากไป
    ท่านก็แค่กระเด็นไปสุดจักรวาล
    แปปเดียวก็กลับมาได้แล้ว อย่างอนไปเลย


    ขอรับ

    แล้วที่ว่า ทำอย่างอื่นแทน คือ หนีเข้าไปแอบอยู่แดนนิพพาน
    แล้วคอยปรากฏตัวให้คนเห็นหรือ ท่านก็รู้ดีว่า
    อายตนะอย่างเราๆ อยู่ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ร้อนรุ่มออกมา
    ที่นั่นสงบเกินไปสำหรับโลกียชนจริงๆ


    เป็นเช่นนั้นจริงๆขอรับ ผมยังเสพของทิพย์ อยู่ได้ไม่นานจริงๆ
    แต่ผมยังรับรู้ได้อยู่ว่า แดนนิพพานเป็นอย่างไร

    ท่านก็เลยตัดสินใจเอง สร้างแดนนิพพานเทียม
    ไว้หลอกชาวบ้านอีกแล้ว ว่างั้นเถอะ


    ก็กระผมกลัวว่า ถ้าหากว่า เค้าไปนิพพานกันหมด
    เมื่อถึง สมัยผมเป็น พระพุทธเจ้าบ้าง แล้วจะเหลือใครให้สอน

    เจ้าโง่ การจะสอนคนอื่นได้ ต้องมีบุญวาสนาร่วมกันมา
    ต้องคอยช่วยเหลือ เกื้อกูลกันมาก่อน เท่านั้น
    จึงจะสอนกันได้ จนบรรลุธรรม
    ไม่ใช่ จะสอนใครก็ได้ แล้วจะบรรลุธรรมหมด
    เส้นทางสายมหายาน มีไม่จบไม่สิ้น
    พระพุทธเจ้า ก็มีไม่มีที่สิ้นสุด


    กระผมก็รู้เช่นนั้นเหมือนกัน แต่ความอิจฉามันบังตาเอาไว้

    ล่าสุดนี่อะไรอีก ท่านปลอมเป็น ผู้คุมนรก ไปหลอก สำนักเจโตวิปัสสนารึ เราก็บอกไปหลายครั้งแล้วว่า การทำอย่างนั้นของสำนักนี้ ไม่ทำให้เหล่าลูกศิษย์เค้าบรรลุธรรมได้
    มีแต่จะยิ่งถลำลึก ติดอยู่ โลกียะฤทธิ์
    จนไม่สามารถออกมาได้มากกว่า
    สำนักนี้ ยังไม่ผ่านการทดสอบ
    นี่ท่านยังหลอกเค้าว่า ท่านพุทธทาส ตกนรกรึ
    ท่านพุทธทาสเป็นอาจารย์ทางจิตของเรา
    ตั้งแต่เด็ก ด้วยคำสอนที่เป็นบทกลอนของท่าน บทที่ว่า

    เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
    จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
    เป็นประโยชน์ แก่โลกบ้าง ยังน่าดู
    ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย

    ยังเกือบทำให้เราจะบรรลุธรรม
    แต่ก็ทำให้เป็นคนที่คิดแต่เชิงบวก
    ท่านเป็นพระอริยะเจ้า สายปัญญาสุกกวิปัสสโก
    ลูกศิษย์ของท่าน ก็ย่อมจะเป็น สายปัญญา ด้วยเช่นกัน
    เพราะฉนั้น ท่านจึงเห็นว่า
    ควรสอนแนวที่เน้นการใช้ปัญญา เพื่อออกจากทุกข์
    ผุ้ที่มีปัญญา ย่อมมองเห็น หลักอนัตตา ได้ง่าย
    ท่านจึงมองทะลุปรุโปร่ง
    ในแนวทางของ มหายาน ได้ด้วยเช่นกัน

    และตั้งแต่ที่เราศึกษาของท่านมา
    เรายังไม่เห็นว่า จะมีสิ่งใดผิดเลย
    ในการสอนที่เน้นปัญญาเพื่อออกจากทุกข์ ของท่าน
    เราได้รับรองไว้หลายที่แล้วว่า
    สำนักสวนโมกพลาราม สอบผ่านแล้ว
    เหมาะกับสายปัญญา ที่เป็น พระเซ็น หรือ มหายาน
    หรือ พวกโพธิจิตสายปัญญา


    ขอรับกระผม
     
  2. nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015
    หากว่า ใครเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ผู้หญิงคนนี้
    ควรที่จะนำคำแนะนำของเรา ไปฝากบอกกล่าว
    ต่ออาจารย์ของเค้าด้วยว่า ท่านเล่นสมถะ หรือ เตใชธาตุ อย่างเดียว
    ไม่มีสิทธิ์บรรลุธรรม หากยิ่งทำอย่างนั้น ก็ยิ่งจะผิดเส้นทาง
    และยิ่งเข้าใจว่า ตัวเองเป็นพระอรหันต์ แล้วสอนธรรม
    มันจะยิ่งออกทะเล ไปสุดกู่ ทั้งผู้สอน ทั้งลูกศิษย์
    ให้พิจารณาด้วยว่า หากท่านเป็นพระอรหันต์
    ทำไม พระพุทธเจ้า ไม่อัญเชิญท่านไปบวชละ
    ท่านจะทรงธาตุขันธ์ และ กินข้าวตนเองอยู่ได้อย่างไร
    ท่านก็มีญาติ ท่านก็ต้องมีกิจ ต้องไปโปรดเค้าด้วยเหมือนกัน


    ข้อที่น่าศึกษา ก็คือ อาจารย์คนนี้ ไปเข้าใจผิด
    แล้วตีความคำว่า ตัดกิเลส และ ไฟเผากิเลส ผิดไป

    ท่านคิดว่า การตัดกิเลส ต้องใช้อะไรมาตัด เหมือนตัดเครือกล้วย
    ท่านก็เลย เสกมีดวิเศษมาอันหนึ่ง แล้วเที่ยวตัดกิเลสอยู่อย่างนั้น
    แล้วหวังว่า กิเลสจะขาดลงมา เหมือน เครือกล้วย
    ต่อมาเมื่อถึงที่สุด มันก็ตัน มันหมดหนทาง
    เพราะเมื่อท่านยิ่งอยากตัด เครือกล้วย
    ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกิเลสคือความอยาก
    หากมี พระอริยะเจ้า แนะนำเค้าซักหน่อยเดียว
    ให้เค้าปล่อยกิเลส หรือ เครือกล้วย
    เอาไว้ตามธรรมชาติ ของมันอย่างนั้น
    ไม่ต้องไปคิด อยาก ตัดเครือมัน
    เดี๊ยวเครือกล้วยนั้น มันก็ร่วงหล่นลงมาเอง
    ตามธรรมดาของมัน เมื่อมันสุกแล้ว
    สรุปคือ ให้ดูเฉย แล้วปล่อยวาง
    หากปล่อยวาง ได้ครั้งหนึ่ง
    ก็เป็นการบรรลุธรรมครั้งหนึ่ง เหมือนกัน

    ส่วนอีกอันหนึ่ง ท่านไปแปลคำว่า ไฟเผากิเลส
    เป็นการใช้ธาตุไฟในกาย ติดไฟให้มันร้อน จนลุกไหม้
    แล้วขยายให้ใหญ่ จนไหม้กลายจน เป็นจุลไป
    แล้วก็ไปเข้าใจว่า การไหม้เป็นจุลของกายทิพย์
    เป็นการบรรลุ พระอรหันต์ ได้จริง
    วิธีนี้ ฤาษีทำมาก่อน แล้วก็ไปเข้าใจว่า ตนเองนิพพานเช่นกัน
    พระพุทธเจ้า จึงไปชี้แนะว่า กิเลสก็ร้อนรุ่มดั่งไฟที่ท่านเพ่ง
    ประโยชน์อะไรที่ท่านจะไปถือไว้ ปล่อยวาง หรือ วางวิธีการลง
    ท่านก็จะบรรลุธรรมได้ การบรรลุธรรม
    ก็เปรียบดังจิตที่เย็นสบาย เสมือน นอนอยู่ในน้ำ
    เมื่อมีคนมาเรียกท่าน คือ กิเลสจรมา
    ท่านก็ไม่ต้องไปใส่ใจลุกขึ้นมา
    แต่ให้นอนสบายในน้ำนั้นต่อไป แค่นี้ก็พอ
    การบรรลุธรรม ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่ท่านคิด
    เพียงแต่ว่า ที่ท่านยังไม่บรรลุธรรม
    เพราะท่านยังทำผิดวิธีอยู่

    อาจารย์ท่านนี้ ก็มีอินทรีย์ แก่กล้าดี
    พร้อมที่จะบรรลุธรรมได้แล้ว
    ใครที่เป็นสายอภิญญา ก็ควรไปโปรดเค้าบ้าง
    อย่าปล่อยให้เค้าไปผิดทางต่อไป
    เดี๊ยวจอมมารจะได้ช่อง
    หลอกเอาจิตไปเป็นพวก แล้วก็เสร็จกัน
    หากเค้ารู้จัก มโนมยิทธิ สักหน่อยเดียว
    ก็มีโอกาสแล้ว ผู้ที่ดึงเค้ากลับมา ก็จะได้บารมีเช่นกัน
     
  3. บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    มายาจิต เป็นแค่เพียงกลจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดไม่ได้...

    ปล.ปรุงจิตติดภพ ปลงตกหมดภัย...
     
  4. กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ท่าน Nilakarn กล่าวได้ถูกใจข้าพเจ้ายิ่งนัก หลายท่านก็กล่าวได้ดี แต่ท่านนี้ตรงจุด แม้ข้าพเจ้าไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิมาก่อนก็ตาม:)
     

แชร์หน้านี้