เจตสิก ๕๒ เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต อาศัยวัตถุเดียวกับจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 14 กรกฎาคม 2012.

  1. นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อี๋ อี๋ ...หยะแหยง อะ

    ภาวนามาตั้งนาน ยัง เห็นเกิดดับแบบคิดเอาเอง สวมทับ
    การเห็นตามความเป็นจริงอีกเหรอเนี่ยะ......

    ป่านนี้ ไตรลักษณ์ยังฟังตามๆชาวบ้านเขาอยู่อีกเหรอเนี่ยะ...

    อี๋...................
     
  2. ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การพิจารณาธรรม ต้องหมั่นจับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ที่ผ่านมา ที่เราเห็นว่าเป็นโทษเป็นภัยกับใจตนเอง
    แล้วระลึกเรื่องราวให้ได้ว่า เราวิปลาสทึกทักไปตามสัญญาอารมณ์ หรือไม่
    แล้วเราจะเห็นตัวโง่
    นี่จำเอาไว้

    แต่สำคัญกว่าคือ จิต ที่เป็นเอกคตาจิต ตั้งมั่นในขณะใช้ชีวิตปกติ
    ไม่ใช่ว่า นั่งสมาธิเสร็จลืมตาแล้ว สมาธิจะดับไปนะ ถ้าฟอกจิตชำระจิตดีๆ จิตจะเป็นเอกคตาจิต
    เอาจิตตรงนั้นแหละ พิจารณาธรรมเวลาใจไปกระทบกับสิ่งที่เป็นภัย

    นี่จำกันเอาไว้ แล้วไปฝึกลองทำกันดู
     
  3. Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    เจตสิกปรมัตถ์
    ในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น มีนามปรมัตถ์อีกประเภทหนึ่งเกิดร่วมกับจิต
    และรู้อารมณ์เดียวกับจิต นามปรมัตถ์นั้นคือเจตสิก เจตสิกได้แก่ ความโกรธ ความรัก
    ความสุข ความทุกข์ ความตระหนี่ ความริษยา ความเมตตา ความกรุณา เป็นต้น
    สภาพธรรมเหล่านี้เป็นเจตสิกปรมัตถ์ ไม่ใช่จิตปรมัตถ์
    ความโกรธ ความรัก ความสุข ความทุกข์ เป็นต้นนั้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
    เป็นสภาพธรรมที่ต้องเกิดกับจิต ถ้าไม่มีจิต เจตสิกคือ ความโกรธ ความรัก ความทุกข์ เป็นต้นนั้น
    ก็เกิดไม่ได้ เจตสิกปรมัตถ์มี ๕๒ ประเภทหรือเรียกว่า ๕๒ ดวง เช่น ความโกรธ (โทสะ) ก็เป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง
    มีลักษณะหยาบกระด้างดุร้าย ความรักก็เป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง คือ โลภเจตสิก มีลักษณะยึดติด
    ไม่สละและปรารถนาอารมณ์ จะเห็นได้ว่า เจตสิกแต่ละประเภทเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง
    ไม่ใช่สภาพธรรมอย่างเดียวกัน นอกจากมีลักษณะต่างกัน กิจของเจตสิกแต่ละอย่างก็ต่างกัน
    ผลคืออาการที่ปรากฏก็ต่างกัน และเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดเจตสิกแต่ละประเภทก็ต่างกัน

    จิตปรมัตถ์และเจตสิกปรมัตถ์ เป็นนามธรรมที่รู้อารมณ์และเกิดร่วมกัน
    เจตสิกเกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต และเกิดที่เดียวกับจิต
    คือ จิตเกิดดับที่ไหน เจตสิกก็เกิดดับที่นั่น จิตปรมัตถ์และเจตสิกปรมัตถ์นั้นไม่แยกกัน
    คือไม่เกิดดับแต่เพียงปรมัตถ์เดียว จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้อารมณ์ ส่วนเจตสิกต่างๆ ที่เกิดร่วมกับจิต
    ก็รู้อารมณ์เดียวกับจิต แต่มีลักษณะและหน้าที่ในการรู้อารมณ์นั้นต่างกันไปตามลักษณะ
    และกิจการงานของเจตสิกแต่ละประเภท เพราะเหตุที่จิตแต่ละดวงที่เกิดขึ้นนั้น มีเจตสิกเกิดขึ้นร่วมด้วยมากน้อยต่างๆ กัน
    และเป็นเจตสิกต่างประเภทกัน จึงทำให้จิตต่างกันเป็น ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท โดยพิเศษ
    จิตแต่ละประเภทนั้นไม่เหมือนกัน โดยรู้อารมณ์ต่างกันบ้าง โดยทำกิจต่างกันบ้าง โดยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยต่างกันบ้าง
    เช่น จิตบางดวงมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ จิตบางดวงมีเสียงเป็นอารมณ์ จิตบางดวงทำกิจเห็น จิตบางดวงทำกิจได้ยิน เป็นต้น
    จิตบางดวงมีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตบางดวงมีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย ดังนี้เป็นต้น
     
  4. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    การบูชาด้วยการภาวนา - 24 ส.ค 29.mp3ฟังที่นี่


    หลวงปู่สิม พุทธจาโร
    ฯลฯ
    พอจิตสงบลง.......ไม่ปล่อยให้จิตใจเลอะเทอะเปอะเปื้อน........
    ..จิตก็ใสสะอาดเที่ยงตรงคงที่....จิตปล่อยวางได้ทั้งภายนอกและภายใน
    ทั้งกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด...ฯลฯ
    ^
    ^
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    ท่านเป็นพระที่ได้รับความเคารพอย่างสูงยิ่งจากเราชาวพุทธ
    ธรรมะที่ท่านเทศนาสั่งสอนมานั้น
    ย่อมเกิดจากผลของการปฏิบัติของท่านแบบเอาชีวิตเข้าแลก
    เพื่อผู้ฟังนำไปสู่การปฏิบัติล้วนๆ
    เป็นธรรมชั้นสูง ที่รู้แจ้งเห็นจริงจากการภาวนา"พุทโธ"

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  5. Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    เมื่อเวไนยสัตว์ฟังพระอภิธรรม ก็พิจารณาสภาพปรมัตถธรรมที่ปรากฏ
    ด้วยปัญญาที่ได้อบรมสะสมมาแล้วในอดีต จึงรู้ความจริงของปรมัตถธรรมในขณะนั้นได้
    ด้วยเหตุนี้ในครั้งพุทธกาล เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมจบลง
    จึงมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นจำนวนมาก เพราะท่านเหล่านั้นฟังพระธรรมเข้าใจ
    และพิจารณารู้ความจริงของสภาพปรมัตถธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนั้น
    เช่น เมื่อพระองค์ทรงเทศนาว่า จักขุวิญญาณ คือจิตที่ทำกิจเห็นนั้นไม่เที่ยง ท่านเหล่านั้นก็มีสติสัมปชัญญะ
    รู้สภาพลักษณะของจิตในขณะที่กำลังเห็นนั้นได้ถูกต้อง ว่าเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม
    ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ในขณะที่กำลังได้ยิน

    ท่านเหล่านั้นก็มีสติสัมปชัญญะรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะที่กำลังได้ยินนั้น
    เมื่อปัญญารู้แจ้งลักษณะไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นทุกข์ ของปรมัตถธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น
    แล้วก็ละคลายความยินดีเห็นผิด ที่ยึดถือปรมัตถธรรมเหล่านั้นเป็นตัวตน เที่ยง และเป็นสุข
    ฉะนั้น พึงเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงเทศนาสั่งสอน
    ซึ่งได้รวบรวมบันทึกไว้เป็นพระไตรปิฎกนั้น เป็นเรื่องความจริงของสภาพธรรมทั้งปวง
    เมื่อศึกษาและเข้าใจปรมัตถธรรมแล้ว ก็ควรพิจารณาปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ
    เพื่อรู้แจ้งลักษณะความจริงของ ปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏนั้น จึงจะละความสงสัยและความไม่รู้
    ในสภาพลักษณะของปรมัตถธรรมได้อย่างแท้จริง

    การศึกษาเพื่อให้เข้าใจปรมัตถธรรมนั้น จะต้องพิจารณาถึงเหตุผลจึงจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง
    เช่น จะต้องรู้ว่าสภาพที่เห็นกับสภาพที่ได้ยินนั้นเหมือนกันหรือไม่ ถ้าเหมือนกัน เหมือนกันอย่างไร ถ้าไม่เหมือน ไม่เหมือนกันอย่างไร
    สภาพเห็นและสภาพได้ยินเป็นจิตปรมัตถ์ก็จริง แต่ไม่ใช่จิตเดียวกัน เพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดต่างกัน
    จิตเห็นนั้นต้องอาศัยสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขุปสาทเป็นปัจจัยจึงจะเกิดได้ ส่วนจิตได้ยินต้องอาศัยเสียงกระทบกับโสตปสาทเป็นปัจจัย
    จึงจะเกิดได้ จิตเห็นและจิตได้ยินมีกิจต่างกันและเกิดจากปัจจัยต่างกัน
     
  6. เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไม่ใช่สิ ก็ตะกี้ เขียนบอกอยู่เองว่า รู้ปรมัตถ์ธรรม เพื่อเข้าไปเห็นจิตที่ประกอบด้วย
    ปรมัตถ์ธรรม ตามความเป็นจริง จึงพบว่า จิตนั้นเป็นของแปรปรวนไม่เที่ยง แปรผัน
    ไปตามเจตสิกจำนวนมาก รวมถึง การพยักหน้าทำทีว่าเข้าใจธรรมะที่ฟัง นี้ก็เกิดจาก
    เจตสิกทั้งสิ้น โดยมีตัวการใหญ่คือ สังขาร3 (มโนสังขาร วจีสังขาร กายสังขาร)เป็น
    ตัวเล่นละครตบตา มีทิฏฐิที่ผิดคือ เห็นว่าสัตว์มีสัญญาเป็นของตน ทำให้ดำริไปว่า
    "ความจำคือความรู้โดยมีสัตว์หน้าคนมาทรอดแทรกรองรับ" เห็นผิดไปจาก "การ
    ประจักษ์ความแปรปรวนของจิตคือการแจ้ง
    ในอรรถสาระในธรรม"


    ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ ก็ตะกี้บอกอยู่เองว่า ศึกษาเพื่อเข้าไปประจักษ์ปรมัตถ์ธรรมที่ลากพา
    จิตไปทางนู้ที ทางนี้ที แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แต่นี้กลับมาระบุถว่า "เพื่อเข้าใจ"

    พอเข้าใจว่า สัตว์มีสัญญา มันก็แล่นไปว่า ศึกษาเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เอาไว้อาศัยระลึกเป็น
    คราวๆยามที่กระทบผัสสะตามความเป็นจริงในปัจจุบันเท่านั้น พอไม่ได้อาศัยระลึกแบบ
    ชั่วครั้งชั่วคราว(ไตรลักษณญาณสัมปยุต) ก็แล่นไปสู่การเห็น สัญญาเที่ยง(อโยนิโสมนสิการ)

    พอเห็นว่า "สัตว์มีสัญญาเป็นของตน" เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ถูกกระทืบซ้ำด้วยการเห็นว่า
    "สัญญาเที่ยง" ก็เรียบร้อย เข้าใจว่า ธรรม เรียนเพื่อ "ทำความเข้าใจ" โดยมีเครื่องมือ
    คือ "ตรรกศาสตร์" เทียบสัญญาที่ตั้งไว้เที่ยง( Thotology ) ไปเรื่อยๆ เป็นการพิสูจน์
    "พจน์" "ประพจน์" ทั้งหมดกลายเป็น ศึกษาธรรมเพื่อสนองโลก ไม่ใช่เพื่อ สิ้นโลก
    เหลือธรรม


    ถ้าศึกษาธรรมะจนพ้นสัญญาได้หละก้อ คำว่า จิตในจิต ก็จะรู้ว่า จิต ในคำแรกหมาย
    ถึง "จิต" ที่พ้นออกจาก "จิตที่มีเจตสิกร่วม(จิตที่พยักหน้าเข้าใจตามตรรกะ)" นั้นมีอยู่
    เรียกว่า แยกธาตุ แยกขันธ์ ได้

    พอแยกธาตุแยกขันธ์ได้ แยกจิตที่รู้เป็นเรื่องๆพยักหน้าหงึกๆ(สังขาร3 มีอวิชชา
    เป็นปัจจัย) ให้กลายเป็นของถูกรู้ถูกดูเมื่อฝึกไปเรื่อย ก็จะเรียกว่า รู้เห็นตามความเป็นจริง และ เพราะรู้เห็นตามความเป้นจริงจึงคลายกำหนัด........

    สังเกตุดีๆนะ รู้ความจริงของพุทธ รู้แล้วจะต้อง เบื่อหน่ายคลายกำหนัด จากสิ่งที่รู้ ไม่ว่า
    ความรู้นั้นจะดีเลิศมีอำนาจสักเพียงใด หากมันปรากฏเป็นความจริงแล้ว จะต้อง เบือหน่าย
    คลายกำหนัด สละออก ไม่ใช่ ยิ่งรู้ยิ่งอมเอาไว้เพราะไปดำริว่าสัญญาเที่ยง หรือ สัตว์มี
    สัญญาเป็นของตน
     
  7. JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    มรรคของปุถุชน คืออะไร อธิบายให้ฟังด้วย
     
  8. deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ดีแล้ว หลงเข้ามา เน้นบ่อยๆ จะได้ชิน
     
  9. JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ลุงหมาน อยู่แถวนี้ป่าวคะ กลับบ้านแสวงฯ ด้วย
    หลานรออยู่
     
  10. deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    พี่เล่ายาว เว้นในส่วน ซ้ำๆไว้ :'(
     
  11. วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    มนต์ หมายถึง หลักคำสอนประพฤติ ปฏิบัติ

    หากเราสาธยายมนต์ของพระพุทธเจ้า เราก็จะได้หลักคำสอนพระพุทธเจ้า

    ฉะนั้นแล้ว เขาสวดมนต์กันเพื่อให้จำ และนำไปปฏิบัติตาม

    คิดว่า เมื่อกล่าวถึงมนต์ น้องโหน่งจะเลือก มนต์ของใคร

    ไปเอาลูกเขยมานั้งเกวียนพ่อตา มันก็ไม่ถูกต้อง
     
  12. วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เรียงให้ใหม่

    สัญญาเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ
     
  13. ลูกบัวผัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +295
    ด้วยความสงสัย ว่าจริงหรือเปล่าเลยเอาหัวข้อกระทู้ไปกราบเรียนครูอาจารย์

    ที่ท่านเรียน และปฏิบัติไปพร้อมกัน ว่าเจตสิค 52 เกิดพร้อมกับจิตไหม

    คำตอบที่ได้รับเป็นที่น่าสนใจมาก ท่านบอกว่าไม่มีทางที่จะเกิดได้พร้อมกัน

    แต่เพราะอะไร ท่านไม่อธิบายต่อ ท่านบอกว่าเธอจงไปทำต่อให้เห็นเอง

    การที่เรารู้อารมณ์เดียว ไม่ได้หมายความว่า ขณะนั้นเรามีอารมณ์เดียว

    แต่มันมีหลายอารมณ์ แต่จริตเราจะหนักไปทางไหน ในขณะทางครองขันธ์นั้น

    อารมณ์มี 108

    สวดมนต์ที่ให้ลูกประคำ 108 ลูกนั้นเป็นอุบายอย่างนึง ในการรู้อารมณ์
     
  14. วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อย่างนั้นหรือ อาซิ๊มเผือก
     
  15. ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    มาทบทวนค่ะ(เป็นคนความจำไม่ค่อยดี)



     
  16. ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ......................................................
     
  17. chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เอ เมื่อวานยังมีเเค่4หน้ากระดาษอยู่เลย เยอะเเบบนี้สงสัยว่าคงมีเหตุผลที่ว่าเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ไว้มากๆ ดีกว่าคำสอนที่เข้าใจยากๆ เป็นไหนๆ ไม่ทันใจ
    ผมจะอถกาถาเรื่องเดิมๆนี้เเละ จะได้รู้ว่าสิ่งไหนที่เค้าว่าดี ผมก็รับฟังบ้างอยู่ ยิ่งถ้าเป็นคำของตถาคตผมก็จะเชื่อฟัง ไม่ใช่ว่าเห็นเเล้วก็ผ่านๆไป
    เรื่องจิต 121 52 28 นี้ผมคิดว่ามันเป็นความเชื่อของบุคคล กลุ่ม1 ที่คิดว่ามีเพียงเท่านี้ เข้าใจเเจ่มเเจ้ง จนกลายไปคิดว่าจับจังหวะได้ถูกต้อง เเล้วเมื่อคิดว่ารู้อะไรที่เยอะๆ เเล้วจะช่วยทำให้เเทงตลอดซึ่งธรรม ซึ่งจิตของตัวตน เเท้จริงเเล้วไม่ได้นำไปใครควรว่ามีอะไรที่ผิดบ้างมั้ย เคยได้ลองดูบ้างมั้ยว่ามันเป็นยังไง เเต่นำมาพูดลอยๆเเบบนั่นเเบบนี้ ก็สรุปไปเองว่าบรรลุธรรมทั่งที่เป็นความรู้ของอาจารย์รุ่นเก่าๆ
    ที่ท่านประพฤดี ทำถูก ทำชอบเเล้ว เนื้องจากการศึกษาคำสอนของตถาคตมาทั่งนั้น ท่านถึงได้บรรลุเข้าใจหลัก เเต่ก็ยังไม่หมด เพียงใบไม้นำกำมือ
    ถ้าเกิดเราจะนำหลักอาจารย์ ก็ต้องทำให้ได้เเบบท่านบ้าง คือรู้ธรรม เเละต้องมีสติให้ได้ระดับ1ก็ยังดี อาจจะได้เห็นอะไรที่ตรงกันบ้าง เรื่องนี้จริงๆ ก็แปลกหน่อย ทีสาวกอภิธรรมนำสภาวะจิตที่ไวกว่าเเสงมาพูดเป็นของง่าย พูดเหมือนจะเข้าใจได้ด้วยดี ตีเเตกในสภาวะที่ตนศึกษา ก็ยักจะวนกลับมาที่เก่า ไปคิดว่าจิตของตัวเองนั้นดวงที่เท่าไรเเล้ว อ้าวตอนนี้อยู่ดวงไหนหนอ เเต่ไม่นึกได้เลยว่าเมื่อคิดอะไรขึ้นมาสัก1อย่างเนี่ย นี้มันเปลี่ยนไปเกาะสัญญาเเล้วนะ ยังดันต่อไปว่าเรารู้อยู่
    สรุปเรื่องนี้จิตมันดับไปเป็นโขงช้างยังไม่ทราบชัด ตรงนี้มันเป็นสภาวะที่รู้ได้เพียงทีละอย่างเท่านั้น
    ตัวเองยังนึกปลิมกิมภูมิใจอยู่กับที่ ไม่พอยังนึกสนุกทายทักผู้อื่น เป็นเรื่องตลก เกินหน้าอาจารย์ ซึ่งจริงๆอารมของเค้านั้นอาจจะดับไปเเล้ว ใครเค้าจะรู้ถ้าไม่ใช่เค้า ถ้าอย่างนั้นไม่พูดออกมาตรงๆเลยว่าจิต วิญญาณ มันต่อเนื้อง มันไม่เกิด-ดับ
    เป็นของเรา เป็นของเค้า ตรงนี้ก็เป็นผลพวงที่ไม่ไปทำความเข้าใจคำตถาคตให้ดีๆ
    เพราะมันจะเปลียนไปเกาะ รูปบ้าง นามบ้าง สลับกันไปมาตลอดวันตลอดคืน
    ผู้ที่ฝึกวิปัสสนา+สมถะ เค้าจะระงับอารมตัวนั่นได้ เเล้วมาอยู่กับปัจจุบันได้ไว คือละนันทิ ไวระดับไหน พระตถาคตตรัสบุคคลละได้ไวเท่าพระพริบตาอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิส (สติระดับไวเท่ากระพริบตาก็ยังไม่พอ ที่จะระงับไม่ให้จิตเกิดไปรับรู้ หรือตามทันสภาวะก่อนได้เลย) เเล้วอย่างนี้จะรู้สภาวะที่เกิดพร้อมๆกับจิต วิเคราะได้ทันไปด้วยตลอดเวลา ตลอดวันตลอดคืน ต่อไปเรื่อยๆเรืองนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้เลย
    ''เธอย่อมยุบย่อมไม่ก่อย่อมขว้างทิ้ง ย่อมไม่ถือเอาไม่ทำให้เป็นกอง ย่อมทำให้มอด ไม่ทำให้ลุกโพรง'' คือรู้อยู่ที่ปัจุบัน ไม่ใช้ที่เรื่อง(สัญญา) ให้อยู่ที่รู้เท่านั้น
    หรือให้อธิบายชัดๆ ง่ายๆคือ อกุศล ทั่งหลายที่เกิดขึ้น
    ให้มีความเพียร พยายาม อุสาหะ ที่จะดับมันให้ได้ เหมือนกับไฟที่กำลังไหม้เสื้อของบุคคล หรือ ผม ของบุคคล จงมีสติ สัมปะชัญญะ ดับมันให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
     
  18. นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    จายเย็ลล เย็ลลลล คนฉลาด ไม่สามารถรีบร้อนเสวนา กับ คนแปลกๆ ได้

    ตะละแม่ตะละจิตตะละใจตะลาเลิฟตะละลา จะต้อง ศึกษา และ ทดลองปฏิบัติ
    ตามธรรมะ ตามปฏิปทาของสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สักองค์ สักวิธี สัก
    นิสัยหรือวินัหนึ่งๆ มาก่อน

    เช่น เคยยินดีในธรรมหลวงพ่อสุรศักดิ์ ก็ให้ สมาทานการปฏิบัติตามท่าน
    ไปนิดๆหน่อยๆ ก่อน

    แล้วจะทราบเองว่า มรรคแบบปุถุชนที่ถือว่าเป็นส่วนตบแต่งขันธ์(ที่ไม่ใช่เรา)
    นั้นเป็นอย่างไร

    ถ้าไม่ลงมือปฏิบัติ มันจะคัดค้าน เพราะ สัญญาความจำที่เห็นว่าเป็นของเที่ยง
    มันจะลากไปเห็น "ไม่ใช่เรา" เสียก่อน ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าเห็น
    ได้ตามความเป็นจริง แม้นว่าขันธ์ไม่ใช่เรา เราก็ตบแต่งให้มันเป็นมรรคได้
    และถูกต้องด้วย เพราะ พระพุทธองค์ตรัสว่า "บางอย่างควรเสพ บางอย่าง
    ไม่ควรเสพ" และ "วิญญาณขันธ์ เวทนาขันธ์ บางส่วนเป็นอุปทานขันธ์
    บางส่วนไม่ใช่อุปทานขันธ์"
     
  19. วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    แล้ว โลนินโย่ คิดว่า

    เราจะนำการศึกษาจากพระอภิธรรมปิฎก มาใช้อย่างไร
    เพื่อความหลุดพ้น
     
  20. ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    มีใครตบแต่งโพส ตบแต่งกระทู้ในนี้รึเปล่า

    ทำไมลำดับกะทู้ลดลง อีกแล้ว^^
     

แชร์หน้านี้