เพิ่งเคยได้ดูครับมีนางฟ้ามาร้องเพลงเพราะๆให้ฟังด้วย
หนูน้อย Connie น่ารักมากครับ ร้องเพลงกินใจจนกรรมการน้ำตาไหลพราก
สมควรชนะใจกรรมการแล้วครับ..วัยเด็กสดใสเสมอ ถ้าพี่เฉลยได้ดูคงอยากได้ลูกสาวตัวเล็กแบบนี้ไปเลี้ยงสักคน..น่ารักจริงๆครับพี่ฯ
เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.
หน้า 121 ของ 454
-
จิตวิญญาณของมนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร...สิ่งที่ไม่มีชีวิตจะมีจิตวิญญาณด้วยหรือไม่ครับ...
-
บทที่ 5 จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต-อนาคตชาติ
สรุปสาระที่ได้จากบทนี้ตรับ
จิตวิญญาณรวมหรือตัวตนรวมของเรา ณ ปัจจุบันเปรียบเสมือนภูเขาทั้งลูก ส่วนของยอดเขาเป็นเสมือนจิตวิญญาณ เรา ณ ปัจจุบัน ส่วนชั้นที่ลึกลงไปเรื่อยๆเป็นจิตวิญญาณต่างร่างที่เป็นอดีตของเรา
ส่วนจิตวิญญาณต่างร่างในอนาคตคือจิตวิญญาณที่เราไปต่อเป็นเครือข่าย อื่น (ภูเขาลูกอื่น)
ผมสรุปอย่างนี้ถูกมั๊ยครับ? -
อยากมีลูกสาวมั้งจัง คงต้องตู่ลูกคนอื่น เป็นของตัวเองไปก่อนฮะ
กะลังจินตนาการได้เลี้ยงหลานน้อยๆ ขี่สกูตเตอร์ที่แม่น้ำปิงหน้าบ้านคู่กันระหว่างปู่กับหลาน -
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่สนใจศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณนั้น โอกาสที่จะถามคำถามกับผู้รู้จริง ๆ นั้นหาโอกาสได้ยากมาก เนื่องจากว่าท่านเหล่านั้นไม่ได้มีเวลามากพอที่จะตอบคำถามแบบคำถามต่อคำถามเช่นนี้ เพราะทุกท่านต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเอง เมื่อพี่นักเขียนเปิดโอกาสให้พวกเราถามคำถามแล้ว จะด้วยภาระหน้าที่ทางจิตวิญญาณในปัจจุบันของพี่นักเขียนเอง หรือด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ที่เราไม่อาจทราบได้ เราในฐานะนักเรียนที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตวิญญาณอยู่ ก็ควรจะศึกษาและถามทันทีที่สังสัย เพราะในอนาคตหากพี่นักเขียนหมดหน้าที่ตรงนี้แล้ว หรือพวกเรามีภาระหน้าที่อื่นที่ต้องทำ หรือจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ เราก็คงต้องแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดตามพันธสัญญาที่พวกเราอาจจะลืมเลือนกันไปแล้วก็เป็นได้ค่ะ..
(b-2love) -
ครับพอเข้าใจครับ...ผมเคยอ่านปรัชญาไทยทรอนิกส์ของอาทิตย์ ทรงกลดที่เขียนไว้เกี่ยวกับจิตวิญญาณจึงเข้าใจได้ง่าย...แล้วสิ่งไม่มีชีวิตมีจิตวิญญาณหรือป่าวครับ
-
(bb-flower -
ไม่ได้ตอบคำถามคุณ Drkhoon นะครับแต่ขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
คำว่าจิตวิญญาณ ก็คือความรู้หรือพลังงาน ความรู้หรือพลังงานสามารถเเปรเปลี่ยนเป็นวัตถุได้ วัตถุก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานได้เช่นกัน
ดังนั้น วัตถุก็มีจิตวิญญาณครับ เช่นก้อนหินก็มีจิตตวิญญาณ คื่อเค้ารู้ว่าเค้าเป็นก้อนหินครับ
หรือถ้าพูดตามหลักวิทยาศาสตร์ ก้อนหินประกอบไปด้วยธาตุต่างๆ และถ้าแยกธาตุลงไปอีกก็จะเป็นนิวเคลียสเป็นอิเล็กตรอน โปรตอน ซึ่งส่วนนี้ก็จับเป็นโครงสร้างที่ต้องใช้พลังงานยึดเหนี่ยวกัน
ดังนั้นก้อนหินจึงมีพลังงาน หรือมีจิตวิญญาณนั่นเอง
งงมั๊ยฮะ อันนี้แลกเปลี่ยนกันนะ -
-
พี่นักเขียนคะ อยากจะถามพี่นักเขียนเกี่ยวกับการฝึกนอนสมาธิที่พี่นักเขียนเคยแนะนำไว้น่ะค่ะ..
คือเมื่อครั้งที่ฝึกสมาธิตามแนวสติปัฎฐาน 4 นั้น มีอิริยาบทหนึ่งที่เราต้องฝึกก็คือการกำหนดยืน และจับความรู้สึกจากกลางกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้าและจากปลายเท้าขึ้นมาที่กลางกระหม่อมแล้วรับรู้เหมือนมีคลื่นคล้ายกระแสน้ำไหลไปตามที่กำหนด แต่ก็รู้สึกเหนื่อยในการกำหนดเหมือนเราใช้พลังของตัวเองมากพอสมควร
เมื่อฝึกสมาธิในแนวของวิชาพลังจักรวาลพบว่า พลังไหลผ่านร่างกายจากกลางกระหม่อมผ่านจักระทั้ง 7 ลงไปจนถึงปลายเท้า
พอฝึกนอนสมาธิแบบพี่นักเขียนแล้วจากที่มีอาการชา พบว่ามีกระแสคลื่นผ่านร่างกายจากปลายเท้าไหลขึ้นมาจนถึงกลางกระหม่อมแต่ไม่สามารถนับ 1 - 10 อย่างที่พี่นักเขียนแนะนำไว้ จึงอยากจะทราบว่าจำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องนับ 1 - 10 หรือว่าขจรวรรณทำอะไรผิดไปรึปล่าวคะพี่นักเขียน..
(b-hmm) -
ขอถามคำถามต่อนะคะพี่นักเขียน.. ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 6 จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ
หน้า 76 - 77 ธรรมชาติความเป็นจริงนี้มีปรากฏเสมอ ๆ ในกลุ่มคนที่เธอเรียกกันว่าเป็นเด็กอัจฉริยะหรือศิลปิน คนเหล่านี้ถ่ายทอดความรู้ความสามารถของจิตวิญญาณต่างร่างมาสู่สติสัมปชัญญะ ทำให้เขาใช้ความรู้ความสามารถจากจิตวิญญาณต่างร่างและต่างชาติภพได้ในปัจจุบัน
ทำไมมนุษย์คนอื่น ๆ จึงไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ความสามารถของจิตวิญญาณต่างร่างมาสู่สติสัมปชัญญะได้เหมือนเด็กอัจฉริยะ? แล้วถ้าหากพวกเราต้องการถ่ายทอดความรู้ได้เหมือนพวกเค้า เราจะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถติดต่อสื่อสารกับจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของพวกเราได้คะ?
(sing) -
จากหน้า 86 มนุษย์ทั้งหลายมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าที่เธอเข้าใจและความสัมพันธ์เหล่านี้ก็ปราศจากขอบเขตทางกายภาพ มนุษย์โลกมีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเป็นระบบเครือข่าย และมีความสัมพันธ์ซึ่งส่งผลกระทบต่อสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกทั้งหมด
ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของมนุษย์โลกที่เป็นระบบเครือข่ายจะส่งผลกระทบต่อสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกทั้งหมดอย่างไร?
(good) -
คุณกล่าวได้....เหมือนกับเรื่องพลังจิตในปรัชญาไทยทรอนิกส์ที่เขียนโดยคุณอาทิตย์ ทรงกลดเลยครับ...ข้อมูลที่เขาเขียนนั้นคล้ายๆกับของ Nova analai เขียนครับ...แต่ไม่ได้เขียนจากความฝัน เขาเขียนโดยการปรับคลื่นสมอง( จิต )ของเขาให้ตรงกับคลื่นพลังานของจักวาล(จิตจักรวาล ) เมื่อคลื่นทั้งสองสอดคล้องกัน ก็เกิดการถ่ายทอดรหัสข้อมูลระหว่างกัน...และเขาก็ได้แปลรหัสข้อมูลที่ได้รับจากคลื่นจักวาลนั้นให้เป็นข้อมูลหรือภาษาที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้...โดยยังมีสติสัมปชัญ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
<o:p></o:p>
ซึ่งเขาค้นพบวิธีการนี้โดยความบังเอิญ และใช้เวลาเรียบเรียงปรัชญาไทยทรอนิกส์นี้ยาวนานถึง 18 ปีเลยครับ...( เขาเขียนเรื่องราวของเอกภพตั้งแต่อายุ 19 ปี )ครับ ปรัชญาไทยทรอนิกส์เป็นปรัชญาเชิงวิทยาศาสตร์ที่กล่าวถึงเรื่องราวของการให้กำเนิดเอกภพและสรรพสิ่งทั้งหลาย ตั้งแต่สภาวะความว่างเปล่าจนกระทั่งมาเป็นระบบจักวาลและสิ่งมีชีวิต ส่วนหนึ่งของงานเขียนเขานั้น...มีเรื่องราวของการสร้างจิตวิญญาณในเอกภพ...<o:p></o:p>
<o:p> </o:p>
ขออธิบายเนื้อหาในปรัชญาไทยทรอนิก์ให้คร่าวๆนะครับ...พลังจิตเป็นพลังงานที่เอกภพสร้างขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อโลกจินตนาการ( ความฝัน จินตนาการ ความคิด)ซึ่งอยู่ในรูปของรหัสข้อมูลให้เข้ากับโลกของความเป็นจริง( พลังงานและสสาร ซึ่งเป็นรหัสข้อมูลเช่นกันแต่เป็นรหัสข้อมูลที่เราสัมผัสจับต้องได้ ) พลังจิตนี้จึงอยู่กึ่งๆระหว่างสองมิตินี้ สมองของมนุษย์ไม่สามารถคิดหรือจินตนาการเองได้ เพราะมันเป็นเพียงแค่ก้อนสสารเท่านั้น แต่พลังจิตที่เชื่อมต่ออยู่นั้นมันสามารถ Down Load ข้อมูลมาจากมาจากโลกจินตนาการได้ ดังนั้น จึงทำให้เกิดเรื่องราวแปลกๆจากจิต เห็นอนาคตล่วงหน้าบ้าง รักษาโรคได้บ้าง มีลางสังหรณ์บ้าง มีตาทิพย์บ้าง กายทิพย์บ้าง <o:p></o:p>
บางท่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องแปลกหรือปาฎิหาริย์ ...ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเราไม่รู้ว่าจิตมันมาได้อย่างไร....ในเอกภพนี้ไม่มีสิ่งใดปาฎิหาริย์นอกจากสิ่งที่เราไม่รู้<o:p></o:p>
<o:p> </o:p>
<o:p></o:p>
ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งตัวตนของเราเป็นเพียงรหัสข้อมูลเท่านั้น ระบบประสาทสัมผัสของเราเป็นเพียงแค่ตัว Sensor ข้อมูลเท่านั้น ด้วยเหตุที่ทุกสิ่งในเอกภพมีจิตจึงทำให้เกิดพลังจิตจักรวาลขึ้น แต่ด้วยเหตุผลที่ธรรมชาติไม่ยอมให้ใครได้ล่วงรู้ความลับที่แท้จริงของเอกภพ สิ่งที่เรารับรู้ทางจิตต้องกลั่นกรองให้ดีครับ มิเช่นนั้นแล้วเราอาจจะถูกหลอกด้วยจิตของเราเองก็ได้...จิตมีการสร้างเรื่องราวต่างๆ...ขึ้นมากมาย...บางเรื่องอาจจะเป็นจริงและบางเรื่องอาจจะไม่เป็นจริง...คละเคล้ากันไป...จิตของเราไม่ใช่ของตัวเราเองครับ...มันถูกส่งมาให้ควบคุมเราอีกทีครับ <o:p></o:p>
<o:p></o:p>
...ลองไปหามาอ่านดูซิครับ...จะทำให้เข้าใจเรื่องราวของจิตในขณะบริสุทธิ์ก่อนจะมีภพชาติได้ดีขึ้น...สามารถนำไปประยุกต์ได้ครับ.. <o:p></o:p>
<o:p> </o:p> -
วันนี้มีคำถามมาถามคุณน้านักเขียน และอยากได้คำแนะนำจากพี่ๆนะคะ
คือตอนนี้อยากเก่งภาษาอังกฤษมากๆ พึ่งมาสำนึกว่าเป็นอะไรที่ใกล้ตัวจริงๆ
หลายคนแนะนำว่า ก็ไปเรียนที่สถาบันสอนภาษาสิ แต่ไม่มีงบค่ะ(เพื่อนบอกถ้าใครถามว่าอังกฤษหนูระดับไหน ให้บอกว่าระดับอนุบาลค่ะ...อูย)
ก็เลยต้องอ่าน ต้องศึกษาเอาเอง
วันนี้ซื้อหนังสือ"วาดเก่งเรื่องกล้วยๆวาดด้วยสมองซีกขวา" (ชอบคนแปลค่ะ)
เลยคิดว่าจะนำข้อมูลในเรื่องสมองซีกขวามาใช้ในภาษาอังกฤษอย่างไร -
เข้ามาห้องนี้ได้ความรู้เยอะเลยนะขออนุโมทนาทุกๆท่านเลยนะ
ที่เอาความรู้อันสูงค่ามาให้เรียนรู้โดยเฉพาะพี่นักเขียน
(good)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาทักทายครับ(bb-flower -
สงสัยว่าจะเอาความสามารถจากจิตวิญญาณต่างร่างมาใช้ประโยชน์ได้ยังไงค่ะ
ในการฝึกฝนภาษาอังกฤษ
ธรรมชาติของชาภพ
บทที่ ๖
น.77
"แต่แท้ที่จริงแล้ว ทุกชาติภพทั้งในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตมีอยู่พร้อมกันหมด มันจึงไม่ใช่การจดจำความรู้ความสามารถเหล่านี้มาจากอดีต แต่เป็นการถ่ายทอดความรู้ความสามารถเหล่านี้ทั้งจากอดีตและอนาคต-มาสู่ปัจจุบัน"
น.79
"การติดต่อระหว่างจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถประสงค์ตลอดวันเวลา"
"ความฝันของเธอหรือจินตนาการ จึงเป็นความจริงได้เสมอเมื่อเธอมีเจตนาและความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้มันเป็นจริงขึ้นในปัจจุบัน ภาวะดังกล่าวไม่ได้ทำให้เธอต้องลงทุนลงแรงเริ่มต้นจากศูนย์ แต่เป็นภาวะที่เปิดประตูไปสู่การสื่อสารถ่ายทอดระหว่างจิตวิญญาณต่างร่าง ซึ่งพร้อมที่จะแบ่งปันความรู้ความสามารถเหล่านี้กับเธอทุกเมื่อ"
คุณน้าเคยเล่าว่าเมื่อครั้งต้องตัดผมให้สามี ก็ได้กำหนดฝันแล้วดึงตัวตนที่เป็นช่างตัดผมมาสู่ตัวเองยามตื่น เป็นเหตุให้สามารถตัดผมได้ดี
ในกรณีที่หนูตั้งใจและฝึกฝนภาษาอังกฤษแล้ว แต่สิ่งที่ได้ก็พอกับทั่วไปคือ ต้องอาศัยเวลา อยากจะใช้วิธีย่นเวลาอย่างคุณน้า คือดึงตัวตนที่พูดได้เหมือนเจ้าของภาษามาสู่ตัวเองบ้าง มีขั้นตอนที่ชี้ชัดอย่างไรบ้างคะ
หนูคิดว่าขั้นแรกคงต้องเหนี่ยวนำสติสัมปชัญญะโดยสมาธิก่อน ถูกรึเปล่าคะ
แต่...แล้วไงต่อดี
นอกจากนี้วิธีการอื่นๆตามที่ได้กล่าวมาในเรื่องของสมองซีกขวา หรือวิธีอื่นใด
จะนำมาใช้โดยมีขั้นตอนอย่างไรดีคะ (ขอคำแนะนำค่ะ)
หนูกำลังคิดถึงการนำความสามารถจากจิตวิญญาณ่างร่าง กับ การทำงานของสมองมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ
ใครมีคำแนะนำให้กับอนาคตของชาติ(รึเปล่า)บ้างคะ
น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้มีลูกหลานอยู่ในวัยเรียนด้วย ถ้าใช้กับภาษาอังกฤษได้คงใช้ได้กับแทบทุกวิชา และการเรียนรู้ที่ชีวิตต้องมีต่อไปตลอดไม่ว่าในเรื่องใด
ขอน้อมรับคำแนะนำ
และขอบคุณคุณน้านักเขียนล่วงหน้าค่ะ
เผื่อว่าจะเป็นการพัฒนาหลักสูตรการเรียนในอนาคก็ได้ใครจะรู้
แล้ววันนั้นอาจมีชื่อคุณพี่คุณน้าในห้องวิทย์ของเรา ในรายนามพัฒนาหลักสูตร อิ อิ
[b-wai] -
ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่าน
ขอบคุณคุณน้องขจรวรรณและคุณเฉลยที่ช่วยตอบคำถามให้สมาชิกใหม่ค่ะ
ความเป็นไปในห้องวิทย์ฯเข้าล้อคที่พี่นักเขียนคาดหวังไว้ คือให้พวกเราช่วยกันตอบคำถามและแสดงความคิดเห็นกัน หากมีข้อความใดจากหนังสือที่ไม่เข้าใจจริงๆ พี่นักเขียนยินดีมาช่วยขยายความเพื่อช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น แต่ส่วนที่พวกเราเข้าใจกันดี ก็ช่วยกันตอบคำถามและแสดงความคิดเห็นกันเช่นนี้ นอกจากผู้อ่านและผู้อ่านจะได้ช่วยกันเรียนรู้แล้ว ยังทำให้พี่นักเขียนได้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พวกเราเข้าใจสาระจากหนังสือไปในทิศทางใด และพี่นักเขียนก็จะได้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากความคิดเห็นของผู้อ่านด้วย ซึ่งสำคัญมากสำหรับพี่นักเขียนในฐานะผู้ที่ยังเรียนรู้เหมือนกัน
ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านนะคะ ทั้งน้องๆและหลานๆ ให้แสดงความคิดเห็นและช่วยกันตอบคำถามตามความเข้าใจอย่างเปิดเผย เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันค่ะ คุณน้องขจรวรรณพูดถูกที่ว่า ณ วันนี้หากเรามีเวลา สละเวลามาเรียนรู้ร่วมกันด้วยการอ่านหนังสือ ตั้งคำถาม-ตอบคำถาม-แสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน เพราะต่อไปเราต่างก็ต้องมีภาระหน้าที่อื่นๆ ที่อาจจะทำให้เราไม่สามารถสละเวลามาเรียนรู้ ณ ห้องวิทย์ฯนี้ได้ต่อไป อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้ทิ้งข้อมูลความรู้ที่มีประโยชน์ มีคุณค่าให้ผู้อื่นได้ศึกษาต่อไปไว้ ณ ที่นี้
ต่อไปหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยจะกลายเป็นสื่อชนิดอื่นๆที่ช่วยให้ถึงมือผู้อ่าน ผู้ฟังได้ในวงกว้างต่อไป พี่นักเขียนจึงได้รวบรวมคำถาม-คำตอบทั้งหมดที่ปรากฏในกระทู้นี้ไว้ที่ website เดียวกันกับหนังสือ (rose)
http://www.novaanalai.com/novaanala...860/64A62772-7160-11DC-937B-000D932ED860.html -
อนาคตก็อยู่ในภูเขาลูกเดียวกันนี้
อยู่ในหนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ
บทที่ 5 จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต-อนาคตชาติ
หน้า 63
เธอคิดว่าอดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วเสมือนชั้นหินที่ถูกทับถมด้วยชั้นหินใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลัง ปัจจุบันของเธอไม่ใช่ยอดเขา มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหน้าผาซึ่งทำให้เธอมองเห็นหุบเหวลึกสุดสายตาจนเธอนึกไม่ออกว่า ภูเขาลูกนี้ยังคงมีชั้นหินที่ทับถมขึ้นไปอีกไม่มีวันจบสิ้น การถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาทำให้เธอไม่สามารถจะแหงนมองได้สูงไปกว่าตำแหน่งที่เธอคิดว่าคือยอดเขา เสมือนกับการที่เธอคิดว่า เธอไม่สามารถจะมองเห็นอนาคตได้ ความเชื่อและมุมมองที่จำกัดทำให้เธอมักจะคำนึงถึงชาติภพได้แต่เพียงอดีตชาติ
ความเป็นระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึง มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกี่ยวพันกัน ส่งผลกระทบกัน สนับสนุนกัน เกื้อกูลกัน ไม่ว่าจะเป็นอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ก็ล้วนมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปร่วมกันเป็นปัจจุบันทั้งหมด แม้แต่อนาคตที่เรามองไม่เห็นก็กำลังมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปและส่งผลกระทบต่อปัจจุบันและอดีตของเราอยู่ด้วยในขณะนี้
ความเป็นจริงนี้เป็นสิ่งที่เรารู้เห็นได้ในความฝันเสมอๆ เมื่อใดก็ตามที่เราฝันเห็นเหตุการณ์หรือความเป็นไปที่เราเรียกมันว่าอนาคต เมื่อเราตื่นขึ้นและจดจำรู้เห็นประสบการณ์เหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ เราย่อมนำความฝันมาเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจของเราไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความฝันที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้รับการเตือนภัย หรือให้ข้อคิดเกี่ยวกับปัญหาในปัจจุบัน อนาคตที่ปรากฏในความฝันจึงส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการกระทำของเราในปัจจุบันเสมอไม่ว่าเราจะจดจำมันได้ในระดับจิตสำนึกหรือไม่ก็ตาม ท่านอาจารย์อนาลัยจึงสนับสนุนให้เราเอาใจใส่ในความฝัน ฝึกฝนที่จะมีสติสัมปชัญญะที่คมชัด ติดตามความฝัน จดจำความฝัน และนำประสบการณ์ในความฝันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของเรา (rose) -
การนอนสมาธิ
หากเราไม่นับ เราจะหาเครื่องช่วยอื่นๆก็ได้ค่ะ เช่น จินตนาการครอบคลุมส่วนต่างๆของร่างกายจากปลายเท้าจนจรดศีรษะเสมืิอนการเติมน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ หรือจินตนาการให้มีแสงครอบคลุมขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงกระหม่อมก็ได้ค่ะ
การนับหรือการใช้จินตนาการล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ จดจ่อกับส่วนต่างๆของร่างกาย โดยครอบคลุมจากปลายเท้าจนจรดศีรษะ การจดจ่อดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นการสะกดจิตตนเอง เพราะโดยธรรมชาติแล้วเราไม่เคยจดจ่อกับร่างกายของเราในทิศทางดังกล่าว เราปล่อยให้ร่างกายของเราดำเนินไปด้วยสติสัมปชัญญะที่ทำงานเสมือนแยกส่วนกัน คือ
สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับร่างกายก็ดูแลร่างกายไปโดยที่ สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายนอกใส่ใจกับสิ่งอื่นๆภายนอกตัวตนของเรา สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายในก็จดจ่อกับโลกภายใน
การทำสมาธิด้วยการจดจ่อกับส่วนต่างๆของร่างกายทำให้ สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับร่างกาย สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายนอก และ สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายใน จดจ่อร่วมกันหรือร่วมกันทำงานเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งยังผลให้พลังงานสามารถผ่านร่างกายเนื้อหนังได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยปราศจากการขัดขวาง การนอนสมาธินี้จึงเป็นวิธีการรักษาโรคด้วยตนเองที่ได้ผลที่สุด
หากเราสามารถจดจ่อได้ด้วยสติสัมปชัญญะที่คมชัด เราจะพบว่านอกจากร่างกายชาเพราะมันละประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ขัดขวางการหลั่งไหลของพลังงานแล้ว เราจะพบด้วยว่า พลังงานไม่ได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเราทางเดียว คือเข้าจากปลายเท้าแล้วไหลขึ้นสู่กระหม่อม แต่พลังงานหลั่งไหลส่วนทางด้วย คือเข้าจากกระหม่อมและออกปลายเท้าด้วยพร้อมๆกัน และหากจดจ่อได้ต่อไปเราจะพบว่าพลังงานหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายเนื้อหนังของเราทุกทิศทาง ทุกอนู หากจดจ่อได้จนถึงภาวะนี้ เราจะรู้สึกเสมือนว่าปราศจากร่างกาย แขนขา โปร่งใส หรือเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงาน ซึ่งภาวะนี้พี่นักเขียนเปรียบได้กับภาวะของการเป็นฌานระหว่าง ฌาน 4 กับ 5 ดังที่เคยกล่าวมาแล้วค่ะ (rose) -
การถ่ายทอดความรู้ความสามารถของจิตวิญญาณต่างร่างมาสู่สติสัมปชัญญะ
เด็กๆที่กลายเป็นเด็กอัจฉริยะ มักเป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นและความเพียรสูง พวกเขาไม่ปล่อยให้แรงบันดาลใจผุดขึ้นมาแล้วดับไป หากแต่พวกเขาเอาจริงจังกับแรงบันดาลใจมากมายที่ผุดขึ้นมา แล้วลงมือทำทุกอย่างอย่างตั้งใจโดยไม่ย่อท้อ ความเป็นเด็กทำให้พวกเขายังไม่ถูกจำกัดด้วยความคิดและความเชื่อมากมายที่ถูกล้อมกรอบด้วยสังคมและวัฒนธรรม ?ทำให้เด็กเหล่านั้นแทบจะไม่รู้จักคำว่า-เป็นไปไม่ได้
หากเราเติบโตขึ้ีนในครอบครัวหรือสังคมที่ไม่เคยได้รับการสนับสนุนให้นำแรงบันดาลใจมาลงมือทำให้เป็นความจริง เมื่อเราเติบโตขึ้นจนล่วงเลยวัยที่เราเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ไปแล้ว ซี่งเป็นวัยที่ระบบการศึกษาล้อมกรอบและจำกัดความคิดของเรา ความเชื่อของเราจะเริ่มจำกัดความเป็นไปได้ของตนเอง จนทำให้การถ่ายทอดข้อมูลความรู้และความสามารถจากจิตวิญญาณต่างร่างมาสู่สติสัมปชัญญะถูกปิดกั้น คือเมื่อใดมันผุดขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจ เราก็มักจะมีข้ออ้างมากมายให้กับตนเองว่า เราทำไม่ได้ เราไม่มีพรสวรรค์พอ หรืออ้างว่าบุคคลอื่นๆและสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย และในที่สุดก็ไม่ได้ทำหรือทำไม่สำเร็จ เพราะเราไม่มีความเชื่อถือในตนเองมากพอตั้งแต่แรกว่าเราจะทำได้สำเร็จด้วยซ้ำไป
หากเราติดตามฟังสัมภาษณ์เด็กอัจฉริยะทั้งหลาย เราจะพบว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่ไม่ใช้ความเพียร หรือทำสิ่งต่างๆได้ง่ายๆโดยไม่ต้องตั้งใจหรือใส่ใจจะทำสักเท่าไรนัก ในทางตรงกันข้ามเราจะพบว่าเด็กพวกนี้มีสมาธิสูง ทำสิ่งใดก็จะทำอย่างหมดใจและจดจ่ออย่างยิ่งยวด หากพวกเขามุ่งมั่นที่จะทำอะไรแล้ว ไม่มีสิ่งใดห้ามเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใกล้ตัวหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย หากเขาเล่นดนตรี เขาก็จะเล่นจากใจ-ล่องลอยไปกับดนตรีของเขา เรียกได้ว่าทุ่มเททุกอนู-จดจ่อกับสิ่งที่เขาทำ หากเขาวาดภาพระบายสี เขาก็จะจมหายไปกับจินตนาการของเขาอย่างหมดใจ หากเขาคิดเลข เขาก็จดจ่อเป็นสมาธิกับการคิด หากร้องเพลง เขาก็ร้องแบบที่เรียกได้ว่าด้วยจิตวิญญาณ
ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเรากลายเป็นผู้ใหญ่และยังไม่ได้ทำอะไรอีกมากมายตามแรงบันดาลใจแล้ว เราจะหมดโอกาสที่จะถ่ายทอดข้อมูลความรู้และความสามารถจากจิตวิญญาณต่างร่างมาสู่สติสัมปชัญญะของเรา ความเป็นไปได้นั้นยังมีอยู่เสมอ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างได้ผล ก็ต่อเมื่อเรามีความเชื่อมั่นว่ามันเป็นไปได้ มีเจตนาที่มุ่งมั่น มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำและลงมือทำให้สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจนั้นๆเกิดขึ้นอย่างสุดความสามารถ
พี่นักเขียนได้ยกตัวอย่างคุณครูสอนเปียโนของพี่นักเขียน ซึ่งหันมาหัดเต้นบัลเล่ย์เมื่อมีอายุได้ 47 ปี พี่นักเขียนได้มีโอกาสคุยกับคุณครูท่านเมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านบอกอีกว่าหัดเรียนเต้นรำ Ballroom เมื่อมีอายุได้ 50 ปี จนเต้นรำได้ดีและชนะประกวดด้วย ท่านบอกว่าเมื่อมีแรงบันดาลใจที่จะทำ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนใกล้ตัวเลย เพราะมีแต่คนห่วงเนื่องจากเห็นว่ามีอายุมากไปที่จะเป็นไปได้ แต่คุณครูท่านก็ไม่ท้อแท้ ท่านบอกว่าแอบหัดเองคนเดียวในห้องน้ำจนกระทั่งรู้สึกว่าพอเข้าท่า จึงไปหาครูให้สอนอย่างเป็นกิจลักษณะ ซึ่งครูก็ปฏิเสธในชั้นแรก แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าจึงยอมสอนให้ และต้องประหลาดใจกับความตั้งใจ ความเพียรและการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
พี่นักเขียนจะขอไปตอบต่อเรื่องนี้กับน้องลูกเกดนะคะ เพราะเป็นเรื่องสืบเนื่องกับสมองซีกขวาที่น้องลูกเกดหยิบยกมาพอดี (rose)
หน้า 121 ของ 454