ฝึกฝนขยายการรู้เห็นของสติสัมปชัญญะ
ท่านอาจารย์ได้ให้บทฝึกฝนขยายการรู้เห็นของสติสัมปชัญญะเพื่อครอบคลุมอดีตและอนาคตไว้ในหนังสือ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-ภาคต้น
บทที่ 4 ระบบรหัสของสติสัมปชัญญะ หน้า 47-50
ความรู้คือสิ่งที่ถูกถ่ายทอดจากยุคสมัยหนึ่งไปู่อีกยุคสมัยหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงของเธอ ในรูปของหนังสือ หรือบทความทางประวัติศาสตร์ แต่ในแต่ละบุคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนก็บรรจุไปด้วยข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวกับอดีตโดยการเรียนรู้หรือรับและถ่ายทอดข้อมูลในระดับจิตไร้สำนึก
โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติเป็นโลกที่เธอไม่รู้จัก เพียงเพราะเหตุว่าความเชื่อของเธอปิดกั้นเธอจากความรู้ การรู้เห็นด้วยสติสัมปชัญญะของเธอปราศจากขีดจำกัด แต่เพราะเหตุว่าเธอยอมรับเอาความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเป็นเส้นตรง เธอจึงไม่อาจมองเห็นประสบการณ์ที่เธอเรียกว่าก่อนการเกิดหรือหลังความตายได้ แต่สติสัมปชัญญะของเธอก็มีสติรู้เห็นประสบการณ์เหล่านั้นเสมอๆ
ตามอุดมการณ์แล้ว มันไม่เพียงแต่จะเป็นไปได้ที่เธอจะจดจำอดีตชาติของเธอได้เท่านั้น แต่เธอยังสามารถวางแผนอนาคตชาติของเธอได้ในปัจจุบันอีกด้วย
ในนัยที่กว้างกว่านั้นธรรมชาติความเป็นจริงคือ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต-มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน โครงสร้างของระบบประสาทของเธอทำให้เธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สติสัมปชัญญะของเธอก็ไม่ได้ถูกขัดขวางไม่ให้รู้เห็นธรรมชาติความเป็นจริงนี้
บทฝึกฝนที่ ๒ : ขยายการรู้เห็นของสติสัมปชัญญะ
สติสัมปชัญญะของเธอสามารถบรรจุข้อมูลที่เธอรู้เห็นและสนใจได้มากมายกว่าที่เธอคิด แต่เธอทั้งหลายสะกดจิตให้ตนเองเชื่อว่าสติสัมปชัญญะของเธอรู้เห็นหรือจดจำได้เพียงจำกัด
บทฝึกฝนช่วงที่หนึ่ง
ให้เธอนึกคิดย้อนไปถึงเมื่อวันวานนี้ และพยายามระลึกว่าเธอได้ทำอะไรบ้างตั้งแต่ตื่นนอน เธอสวมใส่ชุดอะไร พยายามติดตามลำดับเหตุการณ์และกิจกรรมต่างๆอย่างละเอียดละออตั้งแต่นาทีที่เธอตื่นนอนไปจนถึงนาทีที่เธอเข้านอน จากนั้นให้พยายามระลึกถึงความรู้สึกทั้งหมดที่เกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์และกิจกรรมเหล่านั้น
พวกเธอหลายคนอาจโชคดีพอที่จะจดจำหลายสิ่งหลายอย่างได้ หากเธอจดจำและระลึกได้ให้เธอระลึกต่อไปว่า เธอมีความฝันกลางวันอะไรเกิดขึ้นบ้างตลอดวันวานนี้ และมีความคิดอะไรที่ผุดขึ้นมาบ้างตลอดวัน ในชั้นแรกเธอจะพบว่าการที่เธอจะระลึกถึงเหตุการณ์และลำดับกิจกรรมต่างๆเมื่อวันวานนี้ได้ต้องอาศัยการจดจ่อเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เธออาจทำบทฝึกฝนนี้เมื่อเธอนั่งอยู่ตามลำพังในความเงียบ หรือขณะที่เธอกำลังเดินทางอยู่ในรถโดยสารประจำทางหรือรถไฟฟ้า หรือรอคอยใครสักคนอยู่ที่ทำงานของเธอ แต่อย่าพยายามทำบทฝึกฝนนี้ในขณะที่เธอกำลังขับรถเป็นอันขาด เธออาจระลึกถึงเหตุการณ์และลำดับกิจกรรมต่างๆขึ้นมาได้อย่างเป็นอัตโนมัติ
เมื่อเธอสามารถระลึกข้อมูลเมื่อวันวานได้ชำนาญขึ้น ต่อไปให้เธอตั้งใจทำกิจกรรมอื่นๆทางกายภาพไปพร้อมๆกันกับที่เธอทบทวนความจำในลักษณะนี้ เช่น ทำในขณะที่เธอกำลังออกกำลังหรือทำความสะอาดบ้านของเธอ เป็นต้น
แรกๆเมื่อเธอทำบทฝึกฝนบทนี้เธอจะรู้สึกเสมือนว่าเธออยู่ในภาวะเดินละเมอ
การสัมพันธ์ประสาทสัมผัสอย่างแม่นยำกับกิจกรรมอื่นๆที่เธอกำลังทำอยู่จะดูเสมือนว่าเลือนหายไป แต่เธอก็จะระลึกถึงรายละเอียดต่างๆได้มากขึ้นเรื่อยๆและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เธอจะพบว่าอย่างน้อยสติสัมปชัญญะของเธอก็บรรจุและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริงของวันวานไว้ได้ ในขณะเดียวกันกับที่มันก็คงสภาพการบรรจุและบันทึกข้อมูลของโลกแห่งความเป็นจริงในวันนี้ไว้ได้ด้วย
ในนัยที่กว้างกว่านั้นเธอไม่ได้มีเพียงวันวานหรืออดีตในชีวิตนี้แต่เพียงชีวิตเดียวที่อยู่ในความทรงจำในสติสัมปชัญญะของเธอ เพราะจิตวิญญาณคือข้อมูลความรู้-อารมณ์-ความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำข้ามชาติภพ และสติสัมปชัญญะคือการจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณ ดังนั้นสติสัมปชัญญะของเธอจึงครอบคลุมถึงความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตชาติภพอื่นๆมากมาย ซึ่งเธอคิดว่าเธอลืมเลือนไปหมดแล้วเหมือนกับที่เธอลืมเมื่อวันวาน
ความทรงจำเกี่ยวกับชาติภพก่อนเป็นเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่เป็นรอง ซึ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังสิ่งที่เธอจดจ่อและเกี่ยวพันด้วยในชีวิตปัจจุบัน ข้อมูลและความทรงจำเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของปัจจุบันซึ่งอยู่ในจิตไร้สำนึก และเชื่อมต่อกับปัจจุบันในลักษณะเดียวกันกับข้อมูลและความทรงจำเกี่ยวกับเมื่อวันวาน
บทฝึกฝนช่วงที่สอง
ให้เธอจินตนาการอย่างคมชัดว่าเธอจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้ ให้เธอวางแผนโดยละเอียดถึงวันพรุ่งนี้อันเป็นไปได้ที่จะผุดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติจากประสบการณ์-พฤติกรรมและเป้าหมายในวันนี้ ให้เธอติดตามจินตนาการของเธอไปเช่นเดียวกันกับที่เธอทำในบทฝึกฝนช่วงที่หนึ่ง
ด้วยจินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเธอ เซลล์์ทั้งหลายในร่างกายของเธอจะเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับโลกแห่งความเป็นจริงของวันพรุ่งนี้ ร่างกายของเธอก็จะเตรียมตัวด้วยการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงการทำหน้าที่และการมีชีวิตอยู่-เป็็นอยู่-ดำเนินไปในวันพรุ่งนี้
โดยธรรมชาติแล้วชีวิตในอนาคตของเธอมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในลักษณะเดียวกันทุกประการกับบทฝึกฝนช่วงที่สองนี้ ในนัยของเธอกล่าวได้ว่าอนาคตชาติของเธองอกงามขึ้นจากชาติภพนี้ เช่นเดียวกันกับที่พรุ่งนี้งอกงามขึ้นจากวันนี้ของเธอ
การทำบทฝึกฝนช่วงที่สองนี้เป็นการทำให้เธอคุ้นเคยกับธรรมชาติของสติสัมปชัญญะของเธอ การทำบทฝึกฝนนี้จะเปรียบเสมือนการออกกำลังกล้ามเนื้อล่องหนของสติสัมปชัญญะให้แข็งแรงและมีความยืดหยุ่นตามธรรมชาติ เช่นเดียวกันกับที่เธอออกกำลังกล้ามเนื้ออื่นๆในร่างกายของเธอ
ส่วนอื่นๆของเธออาจมองเห็นตัวตนของเธอในขณะที่ทำบทฝึกฝนช่วงสองนี้เสมือนคนเดินละเมออีกเช่นกัน การมีส่วนร่วมด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัดในช่วงขณะใดๆที่เธอจินตนาการถึงอนาคตของเธอจะทำให้เธอตื่นขึ้นและตระหนักได้ถึงความเป็นไปได้ของสติสัมปชัญญะของตนเอง และเอื้ออำนวยสติสัมปชัญญะของเธอให้มีความเป็?นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสติสัมปชัญญะในระดับเซลล์
สติสัมปชัญญะในระดับเซลล์รู้การณ์ล่วงหน้าได้ตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ เซลล์ของเธอจึงมีความเป็นจิตวิญญาณหรือมีพลังอำนาจและความสามารถเยี่ยงจิตวิญญาณมากกว่าที่เธอรู้สึกหรือนึกคิดว่าเธอเป็น-หรือสมควรจะเป็น
การทำบทฝึกฝนช่วงที่หนึ่งจะทำให้เธอคุ้นเคยกับการขยาย สติสัมปชัญญะให้เป็นไปตามธรรมชาติที่จิตวิญญาณของเธอเป็น คือรู้เห็นอดีตซึ่งครอบคลุมถึงอดีตชาติและอดีตอื่นๆนอกเหนือวงจรของชาติภพ
การทำบทฝึกฝนช่วงที่สองจะทำให้เธอคุ้นเคยกับการขยายสติสัมปชัญญะให้เป็นไปตามธรรมชาติที่จิตวิญญาณของเธอเป็น คือรู้เห็นอนาคตซึ่งครอบคลุมถึงอนาคตชาติและอนาคตอื่นๆนอกเหนือวงจรของชาติภพ
พี่นักเขียนขอแนะนำให้อ่านข้อมูลจากหนังสือเล่มนี้เพื่่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะจิตของเราให้ละเอียดก่อนค่อนใช้บทฝึกฝนดังกล่าวนี้ เพราะจะทำให้ได้ผลมากกว่าฝึกฝนโดยไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมดค่ะ (rose)
เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.
หน้า 123 ของ 454
-
-
เห็นเสียง ได้ยินสี
คำว่า " มองเห็นเสียง " หรือ " ได้ยินสี " หมายถึงการรู้เห็นนอกเหนือความเป็นไปที่เรารู้จักเช่นการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงสำนวนหรือการเล่นคำ แต่เป็นการเห็นได้จริง ได้ยินจริงในทิศทางที่เราจะเข้าใจไม่ได้หากไม่ได้เผชิญกับประสบการณ์นั้นด้วยตนเอง
ตามธรรมชาติแล้ว เราเผชิญกับประสบการณ์ มองเห็นเสียง " หรือ " ได้ยินสี " ในความฝัน แต่มันจะกลายเป็นสิ่งที่เรากล่าวเป็นคำพูดไม่ได้เมื่อตื่นขึ้น หากเราพยายามอธิบายประสบการณ์นี้ด้วยคำพูดที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกยามตื่น ความเป็นจริงของมันจะถูกบิดเบือนไปทันที
เมื่อพี่นักเขียนเขียนดังนี้ กล่าวได้ว่าเขียนตามความเป็นจริงที่เป็นไปภายใน หากเราทบทวนความฝันของเรา และสามารถกล่าวเป็นคำพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยที่ไม่ได้พยายามบิดเบือนให้มันสอดคล้องกับโลกยามตื่น บ่อยครั้งเราจะพบว่าเราเผชิญกับประสบการณ์และความเป็นไปนอกกรอบการรู้เห็นของประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น เผชิญกับภาวะที่ว่า คิดว่าจะไปสถานที่หนึ่งๆ แล้วเราก็พบว่าเราไปปรากฏ ณ ที่นั้นอย่างฉับพลัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในยามตื่น เป็นต้น
ภาวะทั้งหมดและประสบการณ์ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และเกิดขึ้นเสมอๆในโลกแห่งความเป็นจริงอันเป็นจินตภาพ ซึ่งเราจะนำมาเปรียบเทียบกับภาวะหรือประสบการณ์ใดๆในโลกทางกายภาพไม่ได้ เพราะมันอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา และนอกเหนือการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า(rose) -
จิตวิญญาณไม่ดับสูญแต่แปลงสภาวะ
พลังงาน คือ จิตวิญญาณ
พลังงานย่อมไม่สูญหาย แต่แปลงสภาวะเป็นสสารได้ และสสารก็แปลงสภาวะกลับเป็นพลังงานได้
จิตวิญญาณแปลงสภาวะเป็นร่างกายเนื้อหนัง และเมื่อร่างกายเนื้อหนังถึงแก่ความตายทางกายภาพ ก็แปลงสภาวะกลับเป็นจิตวิญญาณ (rose) -
จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์
หากนอนกลางคืนติดต่อยาวนานหลายชั่วโมง สติสัมปชัญญะมักจะขาดการจดจ่อยาวนานทำให้จำความฝันไม่ได้มากเท่าการนอนกลางวันหรือการนอนหลับช่วงสั้นๆ ซึ่งสติสัมปชัญญะไม่ได้ขาดการจดจ่อยาวนานเท่า แต่ถ้าหากนอนการนอนกลางวันและฝันมักจดจำรายละเอียดได้มากกว่ากลางคืนทั้งที่นอนจำนวนชั่วโมงเท่ากัน ก็อาจเป็นไปได้ว่า ในเวลากลางคืนเราเข้านอนด้วยความรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า เราละการจดจ่อมากกว่ากลางวัน แต่กลางวันเรามักหลับไปด้วยความพร้อมที่จะตื่นขึ้นมาทำงานหรือทำธุระอื่นๆต่อ ยังผลให้สติสัมปชัญญะยังคงมีความตื่นตัวและมีความคมชัดมากกว่ากลางคืน
จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ มันเป็นบุคคลที่ร่วมองค์กรหรือกลุ่มที่มีเป้าหมายบางอย่างร่วมกัน และใช้ความคิด และการกระทำร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นๆร่วมกัน
พี่นักเขียนมีความเห็นว่า โรงเรียนน่าจะเป็นสถานที่ที่จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติมารวมตัวกันได้มากกว่าโรงภาพยนต์ เพราะเราใช้เวลาในโรงเรียนด้วยการมีกิจกรรมและมีเป้าหมายร่วมกันหลายอย่าง เพื่อทำให้โรงเรียนของเรามีความดีเด่น มีชื่อเสียง เรียกได้ว่านักเรียนจำนวนมากเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ เพราะต่างก็ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหลายๆระดับ แต่โรงภาพยนต์เป็นเพียงสถานชุมนุมระยะสั้น แม้บุคคลจำนวนมากจะมาชมภาพยนต์ร่วมกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีเป้าหมายตรงกันเสมอไป บ้างก็ไปชมภาพยนต์เรื่องนั้นๆเพื่อฆ่าเวลา บ้างก็ไปชมเพราะชอบดารา บ้างก็ชอบหนังแนวนั้น พวกเขามีเป้าหมายหลากหลาย และไม่ได้มีสัมพันธภาพในเชิงผู้ให้ผู้รับต่อกัน ต่างคนต่างก็เพียงไปรับในทิศทางของตนเองแล้วแยกย้ายกันไป
จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติมีความสัมพันธ์ในเชิงผู้รับ กับผู้ให้เสมอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นการให้และรับที่รู้จักหรือเห็นหน้ากัน ผู้บริจาคอวัยวะกับผู้รับบริจาค เป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ เพื่อนร่วมงานมักเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ ศัตรูก็มักเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ สมาชิกในครอบครัวมักเป็นปจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติของกันและกัน
เป้าหมายหลักของจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ คือการให้ความรู้ซึ่งกันและกัน ?โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดในภาวะที่มีความรู้ด้อยกว่า ถูกครอบคลุมด้วยความเชื่อในทางที่ผิดมากกว่า มักได้รับความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติเสมอ
แต่หากจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์นั้นๆปฏิเสธการช่วยเหลือ หรือไม่ยอมรับความรู้จากจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของตน เขาก็จะไม่ได้เป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติร่วมกันอีกต่อไป เรียกได้ว่า แยกทางกันด้วยมีวัตถุประสงค์ไม่คล้องจองกันอีกต่อไป ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียที่ค่อนข้างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาจิตวิญญาณ เพราะจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติมีเป้าหมายที่จะมาเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างร่วมกัน ตัวอย่าง เช่น พ่อมาเรียนรู้การเป็นผู้รักและให้ลูกอย่างปราศจากเงื่อนไข หากพ่อไม่ได้เรียนรู้ในชาติภพนี้ ก็จะต้องเรียนรู้ต่อไปในชาติภพอื่นๆจนกว่าจะเรียนรู้ได้ ส่วนลูกมาเรียนรู้การเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณพ่อ และเรียนรู้ที่จะรักพ่อผู้ให้กำเนิดอย่างปราศจากเงื่อนไขเช่นกัน หากลูกโกรธเกลียดพ่อด้วยสาเหตุใดก็ตาม ไม่เรียนรู้ในชาติภพนี้ ก็จะต้องเรียนรู้ต่อไปในชาติภพอื่นๆจนกว่าจะเรียนรู้ได้ เป็นต้น แต่ถ้าหากฝ่่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียนรู้ที่จะรักได้โดยปราศจากเงื่อนไขแล้ว อีกฝ่ายไม่เรียนรู้ ก็จะหมดสัมพันธภาพที่จะเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์กันต่อไป (rose) -
เกดเป็นค่อนข้างขี้อายพอสมควรค่ะ ปรกติแล้วชอบส่ง Mail ไปรบกวนคุณน้าบ่อยๆ ข้อความข้างล่างก็เช่นกัน เลยถูกขอว่าเอามาลงในห้องวิทย์ด้วยนะคะ
เอาหล่ะค่ะ เผื่อจะได้ เกรด A ตอนสิ้นเทอมม่างเพราะปรกติไม่ค่อยได้ส่งการบ้านเหมือนคนอื่นเค้าเลย
(*)
วันนี้สดใสจริงๆค่ะ
เข้ามาทักทายพร้อมหอบความสดชื<WBR>่นมาด้วยค่ะ
ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตจะมีความส<WBR>ุขได้เพียงนี้ราวปาฏิหารย์
ตอนนี้เข้าใจตามที่คุณน้า<WBR>่เคยบอกว่า
เราเกิดมาเพื่อรับพรโดยแท้
ตอนนี้ที่นี่ก็สายๆแล้ว
แต่วันนี้อากาศสดชื่น
ลมหนาวมาถึงแล้วค่ะ
นั่งจิบกาแฟ ฟังเพลงเบาๆเสียงนกร้องจิ๊บๆเต<WBR>็มไปหมด
เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีจร<WBR>ิงๆ
คุณน้าคงรับรู้ความสุขในความเร<WBR>ียบง่ายอย่างนี้มาแสนนาน
จนเป็นพี่ใหญ่ไปแล้ว
หนูขอเข้าสู่โลกแห่งความสุขที<WBR>่เรียบง่ายบ้างนะคะ
คุณน้าจำที่หนูเคยบอกว่าอยากเป<WBR>็นนักเขียนภาพประกอปจังได้มั้ยคะ
ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีคนชวนให้ทำหนังสือ
เขาบอกว่าชอบความคิดของหนู
ให้หนูคิดและเขียนภาพประกอปด<WBR>้วยตัวเองเอามั้ย
น่าแปลกว่าหนูเองไม่เคยเล่าให<WBR>้ใครฟังว่าลึกๆแล้วอยากวาดภาพประ<WBR>กปหนังสือมั่งนะ
แต่อยู่ๆก็มีคนเสนอเข้ามา
อีกเรื่องนึงคือหนูอยากไปเรียนท<WBR>ี่สถาบัน สอนออกแบบสอนพวกงาน Multimedia ที่ชื่อว่า Net Design มาก
เพราะอยากมีครูสอน เพื่อจะรู้จักใช้อุปกรณ์ต่างๆให<SCRIPT><!--D(["mb","\u003cWBR\>้ชำนาญได้เร็วกว่าอ่านหนังส\u003cWBR\>ือลองผิดลองถูกเอง เพราะว่าจินนาการที่อยากทำออกมาม\u003cWBR\>ันไปไกลแล้ว แต่เหมือนยังไม่มีมือ คอสที่อยากเรียนก็ Motion Editing with Premiere 1.5 กับ Movie Special Effect (After Effect) ค่ะ\n\u003c/div\>\n\u003cdiv\>แต่ไม่ค่อยมีงบก็เลยบอกตัวเองว่า ต้องหัดทำเอง\u003c/div\>\n\u003cdiv\>ปรากฏว่ามีคนเสนอ(อีกแย้ว เย) ว่าจะช่วยออกในส่วนนี้ให้โดยเข\u003cWBR\>้าเรียนคอสแรกก่อน ถ้าผลงานใช้ได้\u003c/div\>\n\u003cdiv\>ก็อาจสนับสนุนในคอสต่อไป\u003c/div\>\n\u003cdiv\>แต่จริงๆแล้ว ก็เกรงใจอยู่ดีนะคะ\u003c/div\>\n\u003cdiv\>ยังคิดว่า เราจะทำให้โอกาศกับความเกรงใจอย\u003cWBR\>ู่ร่วมกันได้มั้ย\u003c/div\>\n\u003cdiv\>ซึ่งเมื่อมีโอกาศในหลายอย่าง ความเกรงก็เหมือนกรงอันใหญ่มากั\u003cWBR\>้นไว้อยู่เรื่อยค่ะ\u003c/div\>\n\u003cdiv\> -
เมื่อวันศุกร์ขึ้นรถไฟฟ้า ก็ไม่ลืมหยิบหนังสือของอาจารย์อนาลัยมาอ่านเหมือนเดิม
คนข้าง ๆ แอบอ่านด้วย แต่นกอ่านหนังสือเร็ว คิดว่าเค้าคงอ่านไม่ทันแน่เลย
และแล้วหนังสือของอาจารย์อนาลัยก็ดึงดูดผู้คนเหมือนเคย
ยังไงเราก็พยายามเปิดช้าแล้วเลื่อนให้เค้าเห็นชัด ๆ แล้วน่า ขอให้ไปหาซื้ออ่านทีเถอะ สาธุ
นกอ่านจากบทที่14 ไล่มาบทที่13 รู้สึกครั้งแรกที่ได้อ่านกับครั้งนี้
ความเข้าใจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย ครั้งนี้เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่ามาก
มีหลายบทหลายตอนที่จะเอามาลง ไว้กลับไปบ้านก่อนแล้วกัน
แต่เป็นสิ่งที่เราคิดอยู่ เข้าใจอยู่ สงสัยอยู่ แล้วอ่าน ๆ ไปก็เจอคำตอบที่ชัดเจนขึ้น
มีเรื่องนึงอยากจะถามพี่นักเขียนมานานแล้ว วันนี้มีเหตุการณ์เลยได้ถามซะที
นกอยากรู้ว่าความคิด ความรู้สึกเราที่มีต่อคนอื่น ๆ มันสามารถเข้าไปกระทบ
กับการดำเนินชีวิตของเค้าได้หรือไม่คะ แล้วเป็นเพราะเหตุใด
ที่ว่าเมื่อเช้ามีเหตุการณ์คือ นั่งรถเมล์ไปทำงาน คนขับขับช้าเป็นเต่าเลย
เราก็นึกในใจ ว่าพี่ขับอืดอย่างนี้ไม่ไปแซงคันอื่นที่มันแซงพี่ไปตะกี้อ่ะ คงจะได้คนหรอก
พี่แกก็ยังขับอืดเป็นเรือเกลือไปเรื่อย นั่งหลังคนขับก็พยายามนึกในใจ ขับซิ่ง ๆ เลยสิพี่
ซัก 5 นาทีเห็นจะได้ อยู่ ๆ พี่คนขับแกก็ขับซิ่งเป็นตับแลบเลย ผิดกับตอนแรกมาก
คราวนี้ก้นไม่ติดเบาะเลย หรือว่าเราคิดดังไปหรือเปล่าฟ่ะเนี่ย พี่แกเลยขับประชด 55
แต่นกก็ชอบนั่งรถซิ่ง ๆ กว่านั่งรถอืด ๆ นะ ความสะใจมันต่างกัน
บ่ายนี้ต้องออกไปหาลูกค้าแถวบางกะปินู้นแน่ะ อ่อ ไม่ได้มั่นใจขนาดไปเองหรอก
ขับรถไปให้หัวหน้าต่างหาก นกเป็นลูกสมุน พอดีช่วงหน้าหัวหน้าเพิ่งผ่าตัดต้อกระจก
ก็เลยการมองเห็นยังไม่เข้าที่ อาสาเป็นตาแทนหัวหน้าก่อน แต่อิ่มมากเลยจุกจะขับรถไหวม่ะเนี่ย อ๊อก ๆ -
(ping-love
ขอบคุณพี่ Mead น้าคะที่แนะนำในการฝึกภาษา
The Sound Of Music ก็เคยดูเหมือนกัน รู้สึกว่าเก่ามากเลยนะคะ ดูรำลึกอดีตใช่ป่ะ
แล้วพี่ Mead เป็นเด็กคนไหนของมาเรียดีคะ -
ขออนุญาตนำบทกวี...มาเผยแพร่ให้อ่านกัน...
การกระทำเท่ากัน...ต่างกันที่ความพยายาม
ความพยายามเท่ากัน...ต่างกันที่ความคิด
ความคิดเท่ากัน...ต่างกันที่โอกาส
โอกาสเท่ากัน...ต่างกันที่โชคชะตา
โชคชะตาเท่ากัน...ต่างกันที่ฟ้าลิขิต...
อาทิตย์ ทรงกลด
แต่...ชะตาฟ้าหรือจะสู้มานะตน...ขงเบ้ง -
(b-uh)หวัดดีครับพี่นักเขียนและเพื่อนๆจิตวิญญานทั้งหลาย<o></o>
ผมมีเรื่องจะถามพี่บ้างเห็นคนอืนถามกันจังเลยโดยเฉพาะคุณkhajornwanและคุณChalhoei<o></o>
แต่ก็ดีครับที่ชวยถามให้ผมเพราะผมก็ไม่ชอบจะถามอะไรใครอยู่ด้วย อิอิอิ<o></o>
อยากรู้ว่าถ้าหนังสือเหรอความรู้ของท่านอาจารย์อนาลัยทำให้ความเชื่อเหรอความรู้สึกนืก<o></o>
คิดปัจจุบันของเราเปลียนไปมั่นจะทำให้ความเชื่อและความรู้สึกนืกคิดเหรอเหตุการในอาดีตของเราเปลียนไปด้วยไหมครับ?<o></o>
<!--[if !supportEmptyParas]--> <o></o>
เรื่องมั่นมีอยู่ว่าเมื่อตอนเช้าผมฝันเกี่ยวกับหนังสือของอาจารย์โนว่าอนาลัย ผมฝันว่าครั้งหนึงคงเป็นอาดีตเพราะตอนนั้นใส่ชุดนักเรียนแล้วมีเพื่อนตอนเรียนหนังสือรวมอยู่ด้วย ในฝันผมไปหาซื้อหนังสืออะไรสักอย่างในที่แห่งหนึงคงเป็น Shopping Complex มีร้านหนังสืออยู่หลายร้านตอนเข้าไปได้เจอกับเพื่อนที่เคยเรียนอยู่โรงเรียนด้วยกันแล้วเขาก็ตามไปหา
หนังสือกับผมด้วย ไปหาอยู่หลายชันแต่ไม่เจอแต่ไปเจอร้านหนึงอยู่ชันบนแล้วผมก็ถามคนขายว่าหนังสือของ<o></o>
โนวาอนาลัยมีขายใหมเขาคิดอยู่สักผักหนึงแล้วไปดูที่หลังร้านแล้วออกมาบอกว่ามีแค่<o></o>
เล่ม1-3ผมถามว่าแบบเป็นชุด10เล่นมีไหมเขาว่าไม่มีแล้วเขาก็ถามอีกว่าจะเอาไหมผมบอก<o></o>
ว่าเอาแล้วต่อจากนั้นผมก็ไปเที่ยวต่อกับเพื่อนที่ชันบน<o></o>
<!--[if !supportEmptyParas]--> <o></o>
ถ้าตามความรู้ที่ท่านอาจารอนาลัยบอกมาเรื่องที่ฝันในปัจจุบันนี้มั่นคือความจริงที่เกิดขึ่นใน้<o></o>
อาดิตหรืออนาคตหรือช่วงอืนๆอีกมากหมายใช่ไหมครับ แต่ความฝันนี้มั่นแปลกๆอยู่นะเพราะเหตุการในความฝันมั่น10กว่าปีที่แล้ว และตอนนั้นจะมีหนังสือของโนวาอนาลัยขายได้ไง อีกอย่างแถวนี้ก็คงไม่มีหนังสือไทยขาย<o></o>
ถ้าคิดว่าผมจินตนาการไปเองก็แปลกๆเหมือนกันเพราะเพื่อนที่เจอในฝันไม่ใช่เพื่อนที่สนิด<o></o>
กันเท่าไรแล้วผมก็ลืมเขาไปนานแล้วแต่ในฝันเห็นเป็นเขาชัดมากนะใบหน้ารอยยิ้มเขาและ
ความรู้สึกเหมื่อนจริงเลย…
ถ้าฝันนี้เป็นจริงตามที่ท่านอนาลัยบอกตอนนี้ตัวผมอีกคนในอาดีตชาติก็กำลังอานเรียนรู้หนังสือ
เล่ม1-3ของท่านอาจารย์อนาลัยอยู่ใช่ใหม่ครับ? <o></o>
<!--[if !supportEmptyParas]--><o></o>
เมื่อวานผมก็ไม่รู้เป็นอะไรนะแรกๆผมนั่งอานคำถามคำตอบเก่าๆของพี่นักเขียนอย่างจดจอรู้สึกอิน
เข้าไปถึงอารมณ์ข้า่งในเลยนะนั่งอานอยู่นานหลายซัวโมงแต่ในที่สุดคงนั่งอานนาม<o></o>
เกินไปมังอารมณ์-ความรู้สึกนึกคิดก่อนหน้านี้ที่อินกับเรืองที่อานก็ค่อยๆหาย<o></o>
ไปแล้วสมองก็เริ่มจะคิดอะไรไม่ออกและความรู้สึกนึดคิดก็วนไปวนมาแบบไรจุดหมายทำให้มั่นสงบไม่ได้เลย
เวลานั้นอยากจะนอนหลับอย่างเดียวพอกลับไปถึงบ้านอาบน้ำเข้านอนเลยแต่นอนก็ไม่หลับความรู้สึกวุนวาย
สับสนสมองก็คิดอะไรไม่ออกควบคุมความคิดไม่ได้เลย<o></o>
นอนพลิดตัวไปมาอยู่หลายรอบน่าเบื่อทรามารมากๆเลยหลายช.มถึงจะนอนหลับได้ นอนยาวเลยแล้วก็ฝันหลายอย่างแต่จำอะไรไม่ได้เลยพอรู้สึกตัวก็ดูนาฬิกาแล้วก็นอนต่อ<o></o>
แล้วฝันถึงเรื่องที่บอกไปแล้วแต่ความฝันนี้ตื่นมาจำได้ชัดมาก<o></o>
<!--[if !supportEmptyParas]--><o></o>
หลังจากได้รู้จักกับความรู้ของท่านอาจารย์อนาลัยความรู้สึกนึกคิด-อารมณ์เปลียนไปจากเดิมที่เคยเป็น ชวงนี้ก็ฝันบ่อยนะแปลกๆแต่สวมมาก<o></o>จำได้แต่ฝันตอนที่ตื่นแล้วนอนต่ออีกแต่พอรู้สึกตัวอีกครั้งจะเหมื่อยตัวออน่ล้า
อารมณ์<o></o>ไม่ดีเลยไม่เหมือนครังแแรงที่รู้สึกตัวจะสดชืนมากกว่า<o></o>
พี่นักเขียนเหรอว่าอาจารย์ท่านอืนๆมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับกับเรืองที่ผมเล่ามา<o></o>
โอเคแค่ก่อนนะครับบายๆ
(tm-love)
<o>
</o> -
วันนี้เตรียมตัวไปศูนย์ประชุมฯจะคุยกับคุณ mead คุณขจรวรรณ แล้วครับแต่ไม่ได้ไป ให้น้องๆไปแทน เพราะนายสั่งไว้ให้หัวหน้างานไปงานสัปดาห์หนังสือฯ ก็เลยต้องอยู่เฝ้าโรงงานแทนน้องๆ เอาไว้ปีหน้าก็เป็นอิสระจากลูกจ้างแล้วจะไปไหนก็ได้ละคราวนี้
บทที่ 7 จิตวิญญาณ(เสมือน)ร่วมร่างแต่ต่างมิติในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
หน้าที่ 92
จนในที่สุดเมื่อเธอพบความรู้ที่แท้จริง ความเชื่อก็จะสลายตัวไปเหลือแต่ความรู้
ขออาจารย์ยกตัวอย่างสักตัวอย่างครับ -
ยิ่งตอนร้องเพลงเหมือนร้องด้วยจิตวิญญาณแท้ๆเลย
ฟังแล้วก็เพลินมีความสุขเหมือนนางฟ้าตัวน้อยมาร้องเพลงให้ฟัง
เห็นแล้วก็นึกถึงธัญญ่าหลานรัก ชอบร้องเพลงเหมือนกัน
แอบนึกถึงตัวเองบ้างนิดหน่อย อิอิ แต่เด็ก ๆ เราไม่น่ารักเหมือนหนูน้อยทั้งหลายหรอก
จำได้ว่าตอนอนุบาลชอบร้องลิเกให้ครูฟัง แป่วววว
นึกขึ้นมาก็ขำตัวเองว่าไปเอามาจากไหน
แล้วร้องก็นึกบทเองซะด้วย อันตัวข้ามีนามว่าขวัญชนก.....(มือไม้ไปหมด)
จากนั้นก็นึกบทมั่วร้องไปเรื่อยเปื่อย แหม ทำไปได้
ครูสุปราณีก็ชอบให้นกร้องให้ฟัง มีครั้งนึงครูให้ไปยืนบนโต๊ะหน้าห้อง
เพื่อให้ร้องลิเกให้เพื่อนฟัง แต่ตอนนั้นอายมากไม่กล้าร้อง
เพลงที่ร้องเลยกลายเป็น แตงโมผลใหญ่ ๆ แช่ไว้ในตู้เย็น...... จากลิเกเป็นแตงโมซะงั้น
อ่อ ลืมเล่าอีกอย่าง ชื่อจริงของนก ยายเป็นคนตั้งให้
ยายเล่าว่าชอบดูลิเก แล้วมีนางเอกชื่อนี้ เลยเอามาตั้งให้หลาน
อืม มิน่าล่ะ ทำไมถึงไปร้องลิเกซะได้ 555ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
-
บทที่ 13 ความสัมพันธ์ของชาติภพ
หน้า 216 ความรู้เกี่ยวกับอดีตชาติซึ่งปราศจากความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของปัจจุบันเป็นความรู้ที่เปล่าประโยชน์
เธอไม่สามารถให้เหตุผลและสนับสนุนปัจจุบันได้ด้วยการกล่าวว่า
"ฉันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เพราะการกระทำของฉันในอดีตชาติ"
เพราะปัจจุบันคืออำนาจที่สามารถทำให้เธอเปลี่ยนแปลงอิทธิพลในทางลบได้ทั้งหมด
บทที่ 14 ความสามารถอันลึกลับของจิตวิญญาณ
หน้า 228 ฉันต้องการให้เธอเข้าใจให้ชัดเจนว่า"บุคลิกภาพ"ของเธอในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่"ลบล้างไม่ได้"
บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่จะติดไปกับจิตวิญญาณ และจะดำเนินต่อไปหลังความตาย
บุคลิกภาพเป็นปัจจัยสำคัญของจิตวิญญาณที่ต้องถูกพัฒนาต่อไปอย่างไม่มีวันหยุดยั้ง
ฉันต้องการให้เธอจดจำความรู้นี้ไว้ เพื่อที่เธอจะได้ไม่รู้สึกว่าหลงทาง-รับไม่ได้-หรือเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีความสำคัญกับเธอ
หน้า 231 เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ในปัจจุบันและอนาคตก็เช่นกัน มันไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว
ฉันกำลังพยายามอธิบายด้วยคำพูดที่เธอใช้อยู่เป็นประจำ เพราะเธอควรจะตระหนักว่า
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตไม่ได้มีความหมายเลยเช่นกันเดียวกับคำว่า
ตัวตน จิตสำนึก จิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก จิตเหนือสำนึก ที่พวกเธอพยายามตีความหมายต่าง ๆ กัน
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตไม่ได้มีความหมาย
ตามธรรมชาติแห่งความจริงมีแต่ปัจจุบันเท่านั้น
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตมีอยู่พร้อมกันหมดในปัจจุบัน
นกไม่ชอบจมอยู่กับอดีตเพราะคิดว่ามันได้ผ่านมาแล้ว
เหตุการณ์เลวร้ายเก็บไว้เป็นประสบการณ์
เหตุการณ์ที่สวยงามเก็บไว้เป็นความทรงจำแห่งความสุข
นกไม่ชอบนึกถึงอนาคต อันนี้ก็โดนว่าบ่อย ๆ ว่าไม่ชอบคิดล่วงหน้าไม่วางแผน
แต่ถ้าให้คิดไปไกลโขมันนึกไม่ออกจริง ๆ ก็ตอนนี้เรายังอยู่กับวันนี้อยู่เลย
เลยได้แต่คิดว่าปัจจุบันสิ่งที่จะทำนี่ล่ะ มันจะเป็นอนาคตข้างหน้า
ทำวันนี้ให้ดี ดีมาก ดีที่สุด วันพรุ่งนี้มันก็ต้องดี ดีมาก ดีที่สุดเหมือนกันว่าไหมล่ะ
อ่อ แต่ไม่ว่าจะทำอะไร ใส่จินตนาการเข้าไปเสมอ -
เส้นทางแห่งความเป็นไปได้
-
ความเชื่อสร้างโลกแห่งความเป็นจริง
บทที่ 7 จิตวิญญาณ (เสมือน)ร่วมร่างแต่ต่างมิติในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตชาติ หน้า 91-92
ความเชื่อเป็นสิ่งที่ทำให้เธอสร้างกำแพงล้อมตัวตนของเธอไว้เพื่อปกปักรักษาความเชื่อนั้น หากใครสักคนปฏิเสธสิ่งที่เธอเชื่อ เธอจะมีความขัดแย้งในใจและไม่พอใจอย่างที่สุด ความเชื่อก่อให้เกิดความขัดแย้งเสมอในโลกมนุษย์ ความเชื่อเป็นจุดอ่อนและจุดบอดในมนุษย์ แต่ความเชื่อก็เป็นปัจจัยหลักของวิวัฒนาการและการพัฒนาของจิตวิญญาณ ความเชื่อของพวกเธอทั้งหลายจะเปลี่ยนไปตลอดวันเวลา จนในที่สุด-เมื่อเธอพบความรู้ที่แท้จริง ความเชื่อก็จะสลายตัวไปเหลือแต่ความรู้
เธอจะแยกแยะได้ไม่ยากว่าสิ่งใดคือความเชื่อและสิ่งใดคือความรู้ ความรู้เป็นของกลาง และเป็นความเป็นจริงเสมอ เมื่อใดที่กลุ่มชนมีความรู้ เมื่อนั้นย่อมเกิดความเมตตาปรานี-ความรัก-ความสามัคคีและสันติภาพ ความเชื่อเป็นปัจจัยที่สร้างข้อจำกัดต่างๆอันทำให้เกิดการแบ่งแยกแตกร้าวและความ ขัดแย้งต่างๆ ตราบใดที่มนุษย์ยังดำเนินวิถีชีวิตไปด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน โลกมนุษย์ก็ยังคงเกิดสงครามและการล้มล้างกันต่อไป
ก่อนที่จะยกตัวอย่าง พี่นักเขียนขอยกเอาคำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัยมาไว้ ณ ที่นี้อีก 2 ประโยคคือ:
เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง
จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด
จิตวิิิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้น
พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้น
ตัวอย่าง
การเชื่อว่า เราทำแต่ความดี ไม่เคยคดโกง ไม่เคยทำลายสัมพันธภาพ ไม่เคยไร้น้ำใจกับผู้อื่น การเชื่อว่าตนเองไม่สมควรได้รับสิ่งเลวร้ายในชีวิตจากการทำดี แต่กลับต้องเผชิญกับประสบการณ์ชีวิตที่ไม่พึงปรารถนา และเชื่อว่าสิ่งเลวร้ายทั้งหลายมาจากภายนอกตนเอง
-เมื่อเผชิญกับการเป็นหนี้สินหรือพบกับอุปสรรคทางธุรกิจ เราก็เชื่อว่าผู้อื่นสร้างปัญหาให้เรา คดโกงเรา สร้างความเสียหายให้เรา หรือฉวยโอกาสที่สมควรจะเป็นของเราไป หรือกล่าวโทษเหตุการทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ หรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
-เมื่อเราเผชิญกับสัมพันธภาพที่ไม่ดี ความบาดหมาง โกรธเคือง กล่าวโทษ เรามักเชื่อว่าความคดโกงของผู้อื่น ความไร้น้ำใจของผู้อื่น หรือความเลวร้ายของผู้อื่นเป็นสาเหตุของความขัดแย้งเหล่านั้น
-เมื่อเราเผชิญกับสุขภาพที่ไม่ดี ไม่แข็งแรงหรือโรคภัยไข้เจ็บ เรามักเชื่อว่าเชื้อโรค สุขอนามัยที่ตกต่ำของสภาพแวดล้อม หรือแม้แต่การกระทำของผู้อื่น เป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บของเรา
ความเชื่อในความดีของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ีดี เพราะทำให้เราจดจ่อกับการทำดีต่อไป แต่ส่วนของความเชื่อที่ให้ผลเสียต่อเราคือ การเชื่อว่าสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายที่เราเผชิญในชีวิตนั้นมาจากภายนอก หรือมาจากผู้อื่น เพราะพลังอำนาจที่แท้จริงที่ดึงดูดประสบการณ์อันไม่พึงปรารถนาเข้ามาสู่ชีวิตของเราคืออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบของตนเอง ซึ่งเกิดขึ้นก่อนประสบการณ์ทั้งหลายเสมอ - ไม่ใช่ในทางกลับกัน แต่เมื่อเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตได้เกิดขึ้นแล้ว มันมักจะเป็นการยากที่เราจะตระหนักได้ว่า ความเชื่อในแง่ลบของตนเองคือสาเหตุสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อเกิดประสบการณ์ในแง่ลบทั้งหมด
ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า การทำดีเป็นสิ่งเปล่าประโยชน์ และไม่ได้หมายความว่า ไม่ว่าเราจะทำดีหรือทำชั่ว เราก็สามารถใช้พลังอำนาจของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อก้าวล่วงไปสู่การรับผลกำไรในชีวิตได้อย่างลอยลม เพราะอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบมักคล้องจองกับความกลัว ความลังเลสงสัย ความไม่แน่ใจหรือความขัดแย้งในใจเสมอ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่กระทำความชั่ว ทำผิด หรือมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์จะสามารถจดจ่ออยู่กับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกได้้โดยปราศจากความรู้สึกผิด ความลังเลสงสัย หรือความขัดแย้งในตนเอง
มันแทบจะเป็นการเปล่าประโยชน์ และน่าเสียดายอย่างยิ่งหากเราเชื่อว่าตนเองเป็นคนดี แต่ไม่รู้จักใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึึกคิด ให้จดจ่อและคล้อยตามความเชื่อในแง่บวก เพราะไม่ว่าเราจะพยายามตั้งอยู่ในความดีเพียงใด หากเราไม่เรียนรู้ที่จะใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึึกคิดจดจ่อและคล้อยตามความเชื่อในแง่บวก เราก็จะเผชิญกับประสบการณ์ชีวิตที่ไม่พึงปรารถนาเสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การพลิกผันอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึึกคิดของเราให้จดจ่อและคล้อยตามความเชื่อในแง่บวก จึงเป็นพลังอำนาจเดียวเท่านั้นที่จะดึงเราออกจากเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่ไม่พึงปรารถนา ไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ณ ปัจจุบันนี้-หากเราเผชิญกับชีวิตที่กำลังตกต่ำ เต็มไปด้วยหนี้สิน มีสัมพันธภาพในแง่ลบ หรือ มีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงสมบูรณ์ ชีวิตของเรากำลังดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นหนึ่งที่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด ที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบเป็นปัจจัยเหนี่ยวนำให้เส้นทางดังกล่าว พร้อมด้วยประสบการณ์ในแง่ลบที่คล้องจองกับความคิดนั้นๆมาสู่ความเป็นจริงในปัจจุบัน
หากอดีตของเราเคยดีกว่านี้ เราอาจมองเห็นว่าสิ่งดีๆที่เราเคยมีกำลังดับวูบหรือหลุดลอยไป หากอดีตของเราเคยหม่นหมอง เราอาจมองเห็นว่าเราถูกโชคร้ายกระหน่ำซ้ำเติมเรา
ไม่ว่าอดีตของเราจะเป็นอย่างไร เมื่อปัจจุบันของเรากำลังเผชิญกับประสบการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา เรามักจะมองไม่เห็นว่า อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบของตนเองนั้น เกิดขึ้นก่อนที่เราจะเผชิญกับประสบการณ์ทั้งหมด-ไม่ใช่ในทางตรงกันข้าม เช่น จดจ่อกับความไม่สามารถที่จะใช้หนี้ จดจ่อกับความกลัวที่จะล้มเหลว จดจ่อกับความกลัวที่จะถูกกล่าวโทษ หรือจดจ่อกับความเจ็บป่วย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากภายนอกตัวตนของเราเลย
อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบของตนเองที่คล้อยตามความเชื่อที่ผิด คือต้นเหตุที่นำพาเรามาสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นที่ทำให้เราเผชิญกับประสบการณ์ที่ไม่พึึงปรารถนา แต่เรามักจะมองไม่เห็นว่าต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้มาจากตนเอง เรามักปักใจเชื่อต่อไปว่า บุคคลอื่นๆและเหตุการณ์นอกตัวตนของเราคือต้นเหตุของประสบการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านี้
ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าอดีตของเราจะเป็นอย่างไร หากปัจจุบันนี้เรากำลังเผชิญกับประสบการณ์ชีวิตที่สดใสรุ่งโรจน์ เราควรจะตระหนักได้ว่า อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่บวกของตนเองนั้น เกิดขึ้นก่อนที่เราจะเผชิญกับประสบการณ์ทั้งหมด-ไม่ใช่ในทางตรงกันข้าม ซึ่งหมายความว่า โชคดีและประสบการณ์ชีวิตที่ดีทั้งหมดล้วนเกิดจากปัจจัยภายในอันได้แก่จากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่บวกที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกของตนเอง
หากเราเรียนรู้และตระหนักได้ว่า อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกของตนเอง คือปัจจัยที่สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตนเองได้อย่างแท้จริง ความเชื่อในทางที่ผิดที่ว่า ประสบการณ์เลวร้ายในชีิวิตเกิดจากปัจจัยภายนอกจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป หรือหากเกิดขึ้น เราก็จะตระหนักได้ และสามารถพลิกผันประสบการณ์นั้นๆให้เป็นไปในทิศทางที่พึงปรารถนาได้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อ
การพบความรู้ที่แท้จริง คือการค้นพบว่า ประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดเกิดจากความเชื่อของตนเอง หากเราพบความเป็นจริงดังกล่าวนี้ และตระหนักได้ในธรรมชาติความเป็นจริงของการสร้างโลกของตนเอง ความเชื่อที่ว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกก็จะสลายตัวไป เหลือแต่ภาวะที่เรารู้ว่า อำนาจในการสร้างประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดนั้นอยู่ที่ตนเอง (rose) -
A + A
-
จิตวิญญาณคือพลังงาน พลังงานคือจิตวิญญาณ
-
จิตวิญญาณของเราทุกคน นกเชื่อว่ามีพลังมากมายอยู่แล้ว
จิตวิญญาณไม่ได้จบแค่ปัจจุบันภพเดียว แต่ล้วนผ่านกาลเวลาแต่ละมิติมายาวนาน
แต่เมื่อมาอยู่ในร่างกายเนื้อหนังบางทีเราอาจลืมจิตวิญญาณที่แท้จริงของเราไป
ถ้าเราสามารถทบทวนความรู้เดิมที่จิตวิญญาณเราเคยได้เรียนรู้มา
ไม่ว่าจะทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียนรู้รับรู้ได้เร็วขึ้น เพราะมันคือสิ่งที่เราได้ผ่านมาแล้ว
แล้วพลังจิต หรืออิทฤทธิ์ที่บางคนมี เป็นเพราะเค้ารื้อฟื้นสิ่งที่เค้ามีอยู่เดิมมาใช้ได้มาก
ความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คิดมันเป็นไปได้ สิ่งนั้นมันก็จะเป็นไปได้อย่างแน่นอน -
คืนก่อนฝันว่าอยู่ในshopเดินเลือกของอยู่
มีผู้หญิงอีก2คน คุยกะนกเรื่องพลังในตัว
ทีนี้วัดได้ของนกเท่านั้นเท่านี้ และคิดว่าเราต้องทำอะไรได้ตามที่เค้าคิด
ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจความต้องการเค้าว่าคืออะไรกันแน่
แต่ก็บอกไปว่าเราก็เป็นอยู่อย่างนี้ไม่ได้ทำอะไรมากมาย เค้าก็ไม่เชื่อ
ด้วยความรำคาญอยากจะให้เค้ายุติซะที
เลยดึงดาบที่ยาวมากออกจากฝัก ดาบคมกริบเงาประกาย
ปลายดาบชี้ไปที่คอเค้า แต่ใจเราต้องการแค่ขู่เท่านั้น
แต่กลายเป็นว่าปลายดาบมันพุ่งๆเข้าไปหาเค้าเองจนตัวเค้าติดอยู่ที่กำแพง
ทีนี้เราจะดึงดาบเก็บ กลายเป็นว่าเค้าสะบัดตัวหนี ปลายดาบเลยไปบาดแก้มเค้าเลือดออกนิดนึง
ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครเลยจริงๆ แค่จะขู่ให้หยุดเท่านั้นแหล่ะ
พอตื่นขึ้นมาก็เลยนึกทบทวนถึงฝันโหดๆอย่างนี้อีกแล้วว่าหมายความว่ายังไง
บางทีเราเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้องยุติธรรม หรืออะไรที่ไม่พอใจ
มักจะชอบใช้วิธีสั่งสอนอย่างรุนแรงบ่อยๆ ไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำ
ซึ่งความต้องการก็แค่อยากให้เค้าเปลี่ยนนิสัยให้มันดีขึ้นบ้าง
แต่บางทีสิ่งที่เราทำอาจทำร้ายความรู้สึกเค้าเกินไปก็ได้มั้งนะ
เมื่อกี้แม่มาเรียกถามว่าทำอะไร ก็เลยบอกว่าเข้าเว็บพลังจิตอยู่
โดนแม่ว่าอีกแล้วว่าชอบงมงาย นกใครจะหลอกก็หลอกได้
ต้องบอกว่าตั้งแต่เด็กจนโต นกจะโดนคนในครอบครัวว่าตลอด
ว่าหัวอ่อน เชื่อคนง่าย หลอกง่าย ซึ่งสิ่งที่เราเชื่อมันไม่จำเป็นต้องตรงกับสิ่งที่ครอบครัวเชื่อเสมอไปนี่
เพราะไอ้การที่ชอบคิดชอบเชื่ออะไรไม่เหมือนเค้านี่แหล่ะ ถึงโดนว่าตลอด
ถึงทุกวันนี้สิ่งที่นกศึกษาเข้าใจเชื่ออยู่ อาจจะไกลเกินกว่าที่เค้าจะรับได้แล้ว
แต่นกไม่เคยคิดจะเปลี่ยนความคิดเลยว่าทุกคนต้องยอมรับในสิ่งที่เราทำนะ
พ่อแม่พี่สาวเพื่อนจะเชื่อในแบบไหนนั้นคือเรื่องของเค้า แต่นกจะเชื่อแบบนี้มันคือเรื่องของนก
แต่บางทีนึกน้อยใจเหมือนกันทำไมแม่ไม่เชื่อลูกตัวเองเลยว่าจะทำอะไรได้บ้างชอบว่าโดนเค้าหลอกตลอด
เมื่อกี้ทั้งน้อยใจทั้งหงุดหงิดเลยบอกแม่ไปว่าแม่เคยเชื่อบ้างไหมว่าหนูจะทำอะไรได้บ้างเนี่ย
สักพักแม่เห็นหงุดหงิดเลยแซวว่าพูดแทงใจดำเหรอ นกก็เลยบอกไปว่าไม่รู้แล้วไม่มีใครมาหลอกนกได้หรอก งอนๆๆๆๆๆๆๆ ชอบว่าเราโง่อยู่เรื่อยเลย
ถึงจะแปลกไม่เหมือนใครแต่ไม่ปัญญาอ่อนนะแม่ มิน่าโดนว่าบ่อยๆว่า ดื้อตาใส มึน ฯลฯ
หน้า 123 ของ 454