ในที่สุดก็เสร็จซักทีนะคะ นับถือได้ความพยายาม เย้ๆๆ เรามีสารบัญแล้ว~ เอามาขึ้นในหน้าใหม่ให้เลยคร๊า~
(bb-flower (b-smile)
เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.
หน้า 48 ของ 454
-
-
แหะๆๆ ขอบคุณนะค่ะ (b-flower) เห็นหายไปแว็บๆนึงนะคะ คุณเม้า กระทู้นั้นถ้าจะยุ่งๆนะคะ ยังไงอย่าลืม เอารูปมาลงให้ดูด้วยนะคะแล้วจะตามไปดูถึงที่เลย เสียดายอยากไปมากๆแต่ต้องไปตจว. เลยไม่ได้แวปๆไปดูเลย เสียดายอย่างแรงงง(b-ahh) -
-
เย้ๆ ในทีสุดรุ่นบุกเบิกก็กลับกันมาแล้วดีใจๆๆๆ~(b-smile) (evil2) -
(555) (555) (555) (555) -
เหมือนกับเรามีพลังบวก(รัก เมตตา) กับสิ่งไหน แล้วมันก็จะเหมือนดึงดูดสิ่งนั้นให้มาเจอเรา มาอยู่ใกล้เราใช่ไหมค่ะ
[Embarrass [Embarrass [Embarrass -
เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ~(good) (good) (good) -
รับทรานค่ะเดี๋ยวจะไปลองฝึกโดยด่วย เคยฝันดีๆ แล้วโดนปลุกแล้วพยายามจะฝันต่อเหมือนกันค่ะ บางครั้งก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง อืม...มีเรื่องที่เราไม่รู้อีกมากมายต้องศึกษาและฝึกฝนต่อไป การฝึกสติให้คมชัดตลอดแม้ในยามหลับเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากและเอามาใช้ให้ชีวิตเราดีขึ้นได้จริง แบบนี้ต้องฝึกรู้ในฝันให้มากๆๆแล้ว~
แสดงว่าการตีความฝันของเรานั้นไม่มีใครตีแปลได้ดีที่สุดเท่าตัวเราใช่ไม๊ค่ะ อืมพึ่งมาอ่านชัดๆอีกที ว่าให้จับอารมณ์ตอนที่ฝัน แล้วแปลงเป็นสัญลักษณ์ที่เราใช่กัน .... รู้สึกว่ามีอะไรอีกเยอะแยะให้ทำเลยนะเนี่ย (b-cap) -
แต่จะชอบสุนัขมากกว่าแมว เมื่อประมาณ 2 ปีกว่าได้นำสุนัขมาเลี้ยง
เป็นพันธุ์ผสมเห็นครั้งแรกรู้สึกว่าถูกชะตามาก เป็นเพศผู้วีรกรรมเธอจะสุดยอดมาก ไม่ยอมฟังใครนอกจากฟังเราคนเดียว หลังจากนั้นอีก 1 ปี ก็ไปนำน้องของเขาเป็นเพศเมีย (แม่เดียวกันท้องอีกครั้ง) คิดว่าจะให้เป็นเพื่อนกัน สุดท้ายเธอ 2 ตัว ชอบทะเลาเพื่อแย่งบุคคลอันเป็น
ที่รัก และถ้าเราอยู่ติดบ้านเธอ 2 ตัวจะไม่ยอมห่าง นั่งอยู่ตรงไหนเธอ 2 ตัวขอมานั่งข้าง ๆ ขนาบซ้ายชวา กินทุกอย่าง ชอบผลไม้ก็กิน สิ่งของที่เป็นของเราเธอจะหวงมาก บางครั้งเธอจะให้อุ้มทั้ง ๆ ที่น้ำหนักเธอเกือบจะ 20 โล ฯ เห็นจะได้ เราเลี้ยงแบบธรรมดาไม่ได้ทะนุถนอมมากนักแต่บางครั้งเธอเหมือนเด็กสปอย โดนนิดโดนหน่อยเธอก็จะร้อง แถมพาลอีกตะหาก ขออนุญาตเอารูปมาโพสเพื่อว่าพี่เลขาจะรู้สึกเอ็นดูเธอบ้างไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ขอให้โชคดีสมชื่อ กลับมาคนเลี้ยงไวๆด้วยครับ!
งีบหลับอยู่ที่ไหน ตื่นด้วย เจ้าของคิดถึงแล้วครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หนูม่ายกิงโนม หนูจากิงเค๊กไฟล์ที่แนบมา:
-
-
[เจ้าแมวสีขาวนี่ของพี่เม้าส์ ชื่อเจ้ามาเฟีย น่ารักจริงๆ]
เจ้าทหารองครักษ์ทะเลาะกันเองเหรอครับคุณจิตต์ฯ
ชั่งโมงนี้คุยกันเรื่องสัตว์เลี้ยงครับ
ที่บ้านก็เลี้ยงสุนัขไว้ 4 ตัวฮามาก
จิตใจเค้าน่ารัก เล่นกันทุกวัน กลางคืนก็มาเฝ้าที่รองเท้าหน้าประตู
เช้ามาก็วิ่งมาทักทาย เปิดประตูก็วิ่งออกมาด้วยทุกวัน
เหมือนเอาใจคนเลี้ยงไงไม่รู้ อิอิไฟล์ที่แนบมา:
-
-
อะไรช้ำอ่ะคับ ขำมาก 5555+++
คันล่าง..พี่คลิก เหมือนอาโนว์..ชวาก..จิงๆ -
คุณชยุตทำกระทู้อาจารย์อนาลัยเพิ่มมาอีก 1 ครับ ขอบคุณมากครับ
อยากจะใช้คำว่า Highly Recommend
และอยากบอกว่า "อย่าเพิ่งรีบตายนะ ถ้ายังไม่ได้อ่าน"
จุดประสานมิติ (6คน กำลังดูอยู่)
Chayutt -
น้อง ๆ (หมา) ในวัยละอ่อน
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ดีใจที่สุดในโลกเลยเจอโชคดีแล้วจ้า (^_^)
เมื่อวานเลิกงานกลับไปบ้าน แม่บอกว่าตอน10โมงอุ้มโชคดีไปเดินเล่นข้างนอก อยู่ๆมันก็กระโดดวิ่งหนีไปเฉยเลย แล้ววิ่งลงใต้ถุนบ้านคนอื่นไป เรียกยังไงก็ไม่ออกมา แม่จะลงใต้ถุนไปดูก็ไม่ได้เพราะว่ามันเป็นช่องเล็กนิดเดียว ถ้าเข้าไปต้องคลานคลุกกับดินกับน้ำเน่า เอาอาหารมาเขย่าเรียกก็ยังไม่มา ข้างใต้มันมืดมองยังไงก็มองแทบไม่เห็น คนแถวบ้านก็มาช่วยกันหาว่าปีนออกไปตรงอื่นอีกหรือเปล่า เพราะว่าถ้าทะลุไปอีกด้านมันจะเป็นเขื่อน แม่ก็ไปเดินตามทางตั้งแต่ต้นยันท้ายก็ไม่มีวี่แวว ที่น่ากลัวอีกอย่างคือแถวบ้านนกมีงูเหลือมเยอะ แมวแถวนั้นหายไปบ่อยๆเพราะโดนกิน เพื่อนบ้านก็เล่าให้ฟังว่าเค้าเห็นต่อหน้าต่อตาเลยแมวเค้าถูกงูรัดกินไปจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ แม่บอกว่าแม่ไม่เป็นอันทำอะไรเลย หาโชคดีทั้งวันเปิดประตูรั้วรอก็ยังไม่มา
ตอนที่นกกลับมาก็ทุ่มกว่าแล้ว ฟังแม่เล่าปุ๊บใจหายไปอยู่ตาตุ่ม รีบไปเรียกตรงใต้ถุนที่โชคดีวิ่งเข้าไปแต่ก็เงียบ อยากจะมุดลงไปหาที่ใต้ถุนไปดูทุกซอกทุกมุมเลยว่าอยู่ตรงไหน แต่มันมืดก็เลยได้แต่นอนไปกับพื้นนี่แหล่ะเอาหัวมุดเข้าไปดูมือก็ส่องไฟฉายแต่ไร้เงาไร้เสียง ตอนนั้นอยากจะบ้าอยากจะหาโชคดีให้เจอ อย่างที่นกเคยเล่าว่าโชคดีเคยถูกรถชน ตามองไม่ค่อยเห็น ออกจะหลอนๆกลัวๆ แค่ได้ยินเสียงดังมากๆก็จะรีบไปหาที่หลบ เวลาเรียกเหมียวๆจะไม่มาต้องเรียกชื่อโชคดีย้ำๆหลายๆรอบ ตอนปล่อยไปเดินเล่นถ้าได้ยินเสียงแมวอื่นจะรีบวิ่งเข้าบ้าน นกก็เลยจะเลี้ยงโชคดีอยู่ในบ้านตลอดไม่เคยให้ออกไปข้างนอกเลย ถ้าเป็นแมวอื่นก็คงจะไม่กังวลและคิดว่าต้องกลับบ้านถูกแน่ๆ แต่โชคดีให้กลับมาเองมาไม่ถูกแน่เลย
หาจนเหนื่อยก็ไม่เจอเลยกลับเข้ามานั่งในบ้าน แต่ในใจรู้อยู่ลึกๆว่าโชคดีต้องอยู่ใต้ถุนไม่ได้ไปไหนแต่คงจะแอบอยู่เงียบๆมุมใดมุมหนึ่ง พยายามนั่งเพ่งสมาธิเผื่อจะมีทางออกอะไรได้บ้าง มีภาพแว้บเข้ามามืดๆเห็นโชคดีเดินไปเดินมาอยู่บนเสื่อน้ำมันยิ่งทำให้ใจชื้นขึ้น ออกไปขอให้กุมารที่ศาลหน้าบ้านพาโชคดีกลับมาด้วยเถอะ เดินไปตามทางในซอยเห็นแมวก็รีบวิ่งไปดูเผื่อจะใช่โชคดีแต่ก็ไม่ใช่ ดึกมากแล้วเข้ามานั่งรอในบ้านจะนอนก็นอนไม่หลับ ถามแม่ขึ้นมาว่าแม่ว่าโชคดีจะกลับมาไหม แม่ก็บอกว่าคงไม่กลับแล้วให้ทำใจ แม่เล่าให้ฟังทีหลังตอนที่เจอโชคดีแล้ว ว่าแม่จะพูดว่าคงโดนงูเหลือมกินไปแล้ว ก็กลัวนกจะเสียใจมากกว่านี้เพราะแม่คิดว่าถ้าไม่กลับมาคงโดนงูกินแน่
คืนนี้ไม่ได้ปิดประตูรั้วเปิดแง้มๆเอาไว้เพราะหวังว่าโชคดีอาจจะเดินกลับมาก็ได้ ตี1ครึ่งแล้วก็เลยสวดมนต์ก่อนนอน ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอให้ได้โชคดีคืนด้วยเถอะ พอไหว้พระ ปิดไฟก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรชนถังที่วางไว้ตรงประตู ยืนแอบดูจากข้างในบ้าน ปรากฎว่าโชคดีเดินมา ดีใจจนร้องดังลั่นเลย แม่โชคดีมาแล้ว แม่หลับๆอยู่ก็รีบตื่นเลย เปิดไฟเปิดประตูโชคดีก็วิ่งเข้ามา รีบอุ้มโชคดีมากอดตัวเหม็นหึ่งๆแต่ไม่เป็นไรหรอกกลับมาได้ก็ดีแล้ว ความรู้สึกมันยิ่งกว่าคนถูกหวยซะอีก(ทั้งที่จริงก็ไม่เคยถูกหวยหรอก อิอิ) นึกไว้ว่าต่อให้เสียอะไรไปแต่โชคดีกลับมาก็ยอม
โชคดีกลับมาแบบตาโรยๆตัวเหม็นๆ แต่ยังคึกคักไล่ข่วนไล่กัดนกได้แสดงว่ายังสบายดี ไม่มีแผลตามตัว แต่คงจะหิวโซเลยก็เลยเทอาหารให้กินซะชามใหญ่
แม่บอกว่ากุมารพากลับมาแน่เลย เพราะแม่ก็ขอกุมารเหมือนกันให้ช่วยพาโชคดีกลับมา
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ กำลังใจของนกกลับมาแล้ว
ต่อไปจะได้มาเล่าเรื่องราวเหมือนเดิมล่ะ มีความสุขจัง -
เมื่อสักครู่ได้คุยกับคุณ Bassate (อีกแล้ว)
ได้คุยเรื่องประสบการณ์สัมผัสพิเศษที่น้องเค้าได้รับสื่อมา ปรากฎว่าคล้ายๆที่พี่นักเขียนเล่าให้ฟังมาก เลยขอน้องเค้ามาเล่าให้เพื่อนๆที่นี่ฟังครับ
เค้าเล่าให้ฟังว่าเค้าทดลองทำสมาธิก่อนเข้านอน (ที่ได้รับสื่อมา)เพื่อการเรียนรู้ความจริงแท้ของสัจธรรม เค้าเคยทำได้สองครั้งครับ ขึ้นอยู่กับสติขณะนั้น
วิธีการดังนี้ครับ
+นอนราบกับที่นอนที่ไม่เป็นสื่อไฟฟ้า ห่างไกลจากเครื่องใช้ไฟฟ้าสัก 5เมตร
+กางแขนทั้งสองข้างวางข้างลำตัว ผายมือออก กางขาเล็กน้อย
+ทำจิตให้เป็นสมาธิ กำหนดว่าร่างกายตัวเองเป็นรากไม้ หยั่งรากฝังลงในพื้นดิน
+ส่งพลังออกจากจักระทั้ง 7 แล้วเพ่งบริเวญตาที่สาม ตั้งจิดเพื่อการเรียนรู้ธรรมชาติ
+กำหนดจิตให้มีแสงสว่างสีขาว แผ่งลงมาปกคลุมร่างกายทุกๆส่วน
+เชิญครูบาอาจารย์ของเรา และจิตวิญญาณที่เป็นพี่เลี้ยงของเรา
ให้คอยช่วยปกป้องดูแลจิตวิญญาณและร่างกายของเราระหว่างการท่องเที่ยวของจิต
+ตั้งสติให้มั่งคง แล้วกำหนดจิตที่เราต้องการจะไปรู้เห็น
ค่อยๆผ่อนคลาย จนสงบในที่สุด ในช่วงที่เราครึ่งหลับครึ่งตื่น..(ช่วงนี้มักจะได้ผล)
ครั้งแรกคุณ Bassate บอกว่าพอจิตเค้าดำดิ่งลงไป เค้าได้ยินเสียงรอบทิศทางมากมายก้องไปหมด..เสียงคนคุยกัน เสียงดนตรี..เสียงธรรมชาติ..เสียงดนตรีที่ไม่เคยได้ยิน เหมือนบทเพลงในอนาคต ชัดเจนมาก เค้ายังจำความรู้สึกนั้นได้ดี
ครั้งที่สอง เค้ากำหนดจิตว่า "เที่ยวนอกโลก"
แต่ไม่ได้ระบุสถานที่ พอจิตดิ่งลงไป เค้าพุ่งไปอยู่ท่ามกลางก้อนหินมากมาย
เหมือนเป็นทางช้างเผือก หินพวกนั้นพุ่งเข้าหาเค้านับไม่ถ้วน เค้าตกใจมากจนสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมา..เหงื่อแตกพลั่ก ความรู้สึกเหมือนไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่..เลยไม่ทำต่อครับ
เค้าบอกว่าตอนนั้นเหมือนมือใหม่ที่ไม่รู้ว่าต้องไปพบกับอะไรบ้าง..เลยย้ำว่าต้องบอกครูบาอาจารย์ให้ไปกับเราด้วยตลอดครับ ไม่งั้นช็อคเอาง่ายๆ
ทุกวันนี้เค้าก็รับสื่อมา เค้าบอกว่าไม่สนใจว่าท่านเป็นใคร แต่ถามอะไรไปท่านก็ตอบกลับมา น้องเค้าเล่าว่า ส่งมาไม่เป็นคำพูด-ไม่เป็นภาษา แต่สัมผัสวูปเข้ามาจะรู้สึกปิติอิ่มเอิบมากๆ..ความรู้สึกตรงนั้นเหมือนความเข้าใจ แล้วแปลความออกมา เหมือนการแตกซิปไฟล์ ข้อมูลจะล้นออกมาเอง
ตัวอย่างเช่น วันหนึ่งเค้าขับรถผ่านโบสถ์คริสต์ เห็นรูปปั้นพระเยซูกับลูกแกะ เค้ารำพึงกับตัวเองว่า "ไม่ขอเป็นลูกแกะของท่านอีกแล้ว" พลันก็มีคำตอบวูปเข้ามาตอนนั้น ความว่า "มนุษย์โลกยังไงก็คือเด็กทารกวันยังค่ำ ต้องเรียนรู้จนกว่าจะเข้าสู่โลกของจิตวิญญาณรวมได้นั่นล่ะ "
เค้าเป็นแบบนี้มาตลอดครับ..ทุกวันนี้เค้าบอกว่าเค้าเบื่อโลกแล้ว ไม่อยากกลับมาเกิดโลกนี้อีก สวรรค์ไม่เอา ถ้าไปเกิดขอเป็นที่ที่ไม่ใช่โลกแบบนี้ ขอให้เป็นโลกดีกว่านี้ครับ
ท่านยังสื่อมาบอกเค้าอีกว่า ...
"จิตวิญญาณเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเท่าเทียมกัน เราสามารถ จัดสรรพลังงาน ให้กับตัวเราเองได้เสมอ เลือกที่จะรับ-ไม่รับได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมืออื่นใด นอกจากใช้เจตนาที่มุ่งมั่น กลับสู่โลกของจิตวิญญาณรวมของเราให้ได้ด้วยตนเอง คำว่าปาฎิหารย์ไม่มีอยู่จริง มีแต่ธรรมชาติของจิตวิญญาณที่สร้างสรรค์เท่านั้น"
ผมคุยกับน้องทีไรยาวทุกทีครับ.. ขอเล่าเท่านี้ก่อนนะครับ!
น้องเค้าชื่นชมพี่นักเขียนมาว่า รู้สึกตัวตนของพี่นักเขียนเหมือนพลังสัมผัสของ"รัศมีของโนวา"ราวกับได้สัมผัสกระแสของจักรวาลที่มาอยู่ตรงหน้าทีเดียวครับ -
คงเพราะความรักที่มีระหว่างกัน..มาตามเส้นทางของพลังงานความรัก
แบบนี้หายเศร้าไปเลยนะครับ *-* -
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Little yoda
สวัสดีครับพี่นักเขียน ผมก็เป็นคนนึงที่กำลังติดตามอ่านและ ค้นหาประสบการณ์ต่างๆ ในความฝัน จากเพื่อนๆ ในห้องวิทย์นี้เหมือนกันครับ
และได้ซื้อหนังสือมาอ่านแล้วเล่มนึง "เรื่องธรรมชาติของชาติภพ"
เพิ่งอ่านได้ประมาณครึ่งเล่มครับ มีคำถามอยากจะถามพี่นักเขียนดังนี้
1. เราจะสามารถติดต่อสื่อสารกับตัวตนของเราในมิติอื่นๆ ทุกๆ ตัวตน
ที่เป็นของเราพร้อมๆ กันทีเดียวจะได้หรือเปล่า ด้วยประสาทสัมผัสที่หก?
2. คนที่บรรลุอรหันต์
- จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต- อนาคต จะบรรลุอรหันต์ไปกับคนๆ นั้นหรือเปล่า?
- จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ จะบรรลุอรหันต์ไปกับคนๆ นั้นหรือเปล่า?
- จิตวิญญาณ (เสมือน) ร่วมร่างแต่ต่างมิติ จะบรรลุอรหันต์ไปกับคนๆ นั้นหรือเปล่า?
ขอความรู้เท่านี้ก่อน... ขอบคุณครับ
</TD></TR></TBODY></TABLE>
1. เราจะสามารถติดต่อสื่อสารกับตัวตนของเราในมิติอื่นๆ ทุกๆ ตัวตนที่เป็นของเราพร้อมๆ กันทีเดียวจะได้หรือเปล่า ด้วยประสาทสัมผัสที่หก?
การรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หก เป็นไปนอกเหนือกฎเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ ซึ่งหมายความว่าการติดต่อสื่อสารกับตัวตนของเราในมิติอื่นๆทุกตัวตน เป็นไปอย่างฉับพลันพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบ้น
ก่อนอื่นเราต้องตั้งจิตให้แน่วแน่เสียก่อนว่า เราต้องการรู้เห็นตัวตนต่างมิติเหล่านั้นเพื่ออะไร เพราะตามธรรมชาติแล้ว จิตวิญญาณของเราไปชะโงกดูตัวตนเหล่านั้นอยู่แล้วอย่างไร้จุดหมาย ดังนั้นหากเรามีจุดหมายหรือมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน การไปรู้เห็นตัวตนต่างมิติอื่นๆจะเป็นประโยชน์กับเรามากกว่าการเที่ยวไปอย่างสะเปะสะปะ
ตามประสบการณ์แล้ว พี่นักเขียนจะต้องการรู้เกี่ยวกับตัวตนต่างมิติของตนเองเมื่อ :
1. ค้องการรู้เห็นความเป็นไปได้ในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เราทำการตัดสินใจสำคัญในปัจจุบันได้
2. ต้องการถ่ายทอดความรู้และทักษะบางอย่างจากตัวตนหนึ่งๆ มาสู่ตัวตนยามตื่นในปัจจุบัน เพื่อร่นระยะเวลาในการเรียนรู้ และการทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยทำหรือทำไม่ได้ดีให้เป็นผลสำเร็จ
การรู้เห็นตัวตนต่างมิติเป็นไปในความฝันก็ดี ในยามตื่นที่เรากำลังเข้าภวังค์สมาธิก็ดี หรือในภวังค์ที่เสมือนฝันกลางวันก็ดี เราได้รู้-ได้เห็นอย่างฉับพลันพร้อมกันหลายตัวตน แต่เมื่อเรากลับมาสู่สภาวะยามตื่นพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะยามตื่น อย่างมากที่เราจะจำได้ก็คือ ระลึกได้ทีละเรื่อง ทีละตัวตน โดยระลึกได้เกี่ยวกับตัวตนที่โดดเด่นกว่าตัวตนอื่นๆ หรือระลึกได้เพียง 2-3 เรื่อง 2-3 ตัวตนที่คล้องจองกับความอยากรู้หรือความสนใจของเรา เช่นเดียวกันกับที่เราจำความฝันได้เสมือนว่า เรื่องราวต่างๆดำเนินไปทีละเรื่องไม่ปะติดปะต่อกัน
ระบบประสาทของเราดำเนินไปตามเส้นทางแห่งกาลเวลา เช่นเดียวกับการเต้นของหัวใจที่เป็นจังหวะ หรือลมหายใจที่เป็นจังหวะต่อเนื่องเป็นเส้นตรงตามกาลเวลา แต่ประสาทสัมผัสที่หกก้าวข้ามจังหวะเหล่านี้ไปทั้งหมด แม้จะรับรู้มาอย่างฉับพลันพร้อมกันหมด แต่ก็มา re-run หรือ เล่นเทปใหม่ในระบบความจำของเราตามเส้นทางแห่งกาลเวลาตามเดิม
สิ่งที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามข้อจำกัดของการเวลาได้คือ เมื่อรับรู้หลายสิ่งหลายอย่างมาแล้ว ต้องไม่พยายามนำมันมาลำดับตามเส้นทางแห่งกาลเวลา แต่ให้รับเป็นภาพรวม
ยกตัวอย่างจากประสบการณ์นะคะ พี่นักเขียนต้องการขายบ้านทางเมืองไทย และมาซื้อบ้านใหม่ที่อเมริกา เมื่อฝัน-รู้เห็นตัวตนของเราเดินอยู่ในบ้านทางเมืองไทยซึ่งว่างเปล่า คือขนย้ายของออกไปแล้วก่อนหน้าที่บ้านจะขายได้ เห็นนายหน้าพาฝรั่งเดินเข้ามาในบ้านที่ว่าเปล่า ฝรั่งไม่สวมรองเท้า(เหมือนเจ้าของบ้านคนไทย) และก็ฝันเห็นอีกตัวตนหนึ่งดำเนินชีวิตอยู่ในบ้านใหม่ที่อเมริกา และก็ฝันเห็นการปิดไฟ ปิดบ้านหลังเก่าในเมืองไทย
ถ้าเราคิดถามเส้นทางแห่งกาลเวลาอย่างเป็นเหตุ-เป็นผล สิ่งที่คนส่วนมากจะทำเป็นลำดับคือ
1.ขายบ้านทางเมืองไทยก่อนเป็นสิ่งแรก
2.ซึ้อบ้านใหม่ที่อเมริกา
3. pack แล้ว ship ของไปอเมริกา
แต่ภาพทั้งหมดที่เห็น เป็นภาพรวมเสมอ ซึ่งบอกให้เรารู้ ผลลัพธ์จะเป็นสิ่งที่ครบหรือเต็มภาพ คือให้เห็นทั้งหมดว่ามีความเป็นไปได้อยู่ข้างหน้าแล้ว พี่นักเขียนกลับทำดังนี้คือ
1. ให้สามีซึ่งอยู่ทางอเมริกาซื้อบ้านใหม่ แม้ว่าจะมีแค่เงินดาวน์ - แล้วถ้าหากบ้านทางเมืองไทยขายไม่ได้ไปอีกหลายปีก็แย่แน่ๆ
2. ตัวพี่นักเขียนอยู่ทางเมืองไทยก็จัดการ pack แล้ว ship ของไป อเมริกา
3. ทิ้งบ้านทางเมืองไทยให้นายหน้าขายให้
ลำดับเหล่านี้ไร้เหตุผลมากๆใช่ไหมคะ แต่เมื่อเรารู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งหก มันรู้รอบ รู้หมดในภาพรวม เราเพียงแต่จะต้องหัดที่จะไว้วางใจและเชื่อถือความรู้เหล่านี้ ห้ามกังวล ห้ามคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้น-ถ้าหากว่า... แล้วตามด้วยจินตนาการในแง่ลบ เพราะความกังวลและความไม่เชื่อถือของเราจะเปลี่ยนความเป็นไปได้ทั้งหมด ให้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และล้มเหลว
เมื่อเชื่อถือในความรู้ของประสาทสัมผัสที่หก มันมักทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นง่ายดาย เพราะเมิื่อสามีของพี่นักเขียนซื้อบ้านใหม่แล้ว พี่นักเขียนก็บินปร๋อกลับมานอนคอยที่บ้านใหม่
ซึ่งว่าง ทำให้สะดวกต่อการทาสี ตกแต่งใหม่หมดทั้งหลัง ระหว่างนั้นนายหน้าก็ขายบ้านทางเมืองไทยได้สำเร็จ ก่อนที่เฟอร์นิเจอร์ถูก ship ออกมาจากเมืองไทยด้วยซ้ำ จากนั้นของทั้งหมดก็มาถึง เข้าที่พอดีเมื่อทาสีและตกแต่งภายในบ้านใหม่เสร็จ
ถ้าไม่เชื่อสิ่งที่รู้เห็น สามีของพี่นักเขียนหรือตัวเองคงต้องบินไป-มาหลายเที่ยว เพื่อกลับไป pack และ ship ของทีหลัง ซึ่งทำให้สิ้นเปลิืองค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
การรู้เห็นตัวตนในลักษณะที่พีีนักเขียนยกตัวอย่างจากประสบการณ์มาเล่าให้ฟังนี้ ใช้ประโยชน์ได้ในกรณีที่เราต้องการทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต ความเป็นไปได้ และจำเป็นต้องตัดสินใจในสิ่งที่สำคัญ แต่หาสิ่งที่สนับสนุนยามตื่นไม่ได้
พี่นักเขียนจะเข้านอนด้วยการตั้งจิตขอฝันเห็นความเป็นไปได้ในแง่บวก ขอเห็นความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ป้จจุบัน และมักจะตั้งจิตว่า เมื่อเห็นแล้วขอให้จิตแน่วแน่ ยามตื่นขอให้เอาความรู้ที่ได้มาใช้ตัดสินใจได้ถูกโดยปราศจากความลังเลสงสัย
เหตุที่ขอเห็นแต่ความเป็นไปได้ในแง่บวก เพราะเชื่อในคำสอนของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า "เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง"
ดังน้้นเราจะขอเป็นความเป็นไปได้ในแง่ลบทำไม? เมื่อเราไม่จดจ่อ และตั้งจิตว่า ฉันจะขอก้าวไปสู่เส้นทางชีวิตใหม่ เราเลือกได้ด้วยความเชื่อของเราว่า มันต้องเป็นเส้นทางที่ดีกว่าเดิม
หากคุณ Little Yoda ต้องการรู้เห็นตัวตนอื่นๆในมิติอื่นๆ เพื่อรับถ่ายทอดเอาความรู้และทักษะจากตัวตนเหล่านีั้นมา สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องตั้งจิตว่า เราต้องการความรู้และทักษะจำเพาะหนึ่งๆ ในยามตื่นเราต้องขวนขวายก่อน ยกตัวอย่างจากประสบการณ์นะคะ
เมื่อพี่นักเขียนต้องการวาดภาพ paint ต้องการวาดภาพอย่างมีฝึมือ ไม่ใช่วาดแค่เล่นๆ คืออยากวาดได้ดีพอที่จะได้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ นึกคิด ฝัน และจินตนาการถึงความเป็นไปได้ที่ปรารถนา อ่านคอลัมภ์ที่เขาสัมภาษณ์ศิลปินอืิ่นๆลงหน้าหนึ่งแล้วยิ้มกับตัวเองว่า สักวันหนึ่งเราอยากปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์เช่นนั้นบ้างเพื่อให้สามีและลูกๆของเราภูมิใจในตัวเรา (ฟังดูไร้เหตุผลนะดะเพราะตอนที่ยิ้มยัง paint ไม่เป็นเลย)
ยามตื่นขวนขวาย อ่านหนังสือ หาอุปกรณ์มาหัดวาดภาพระบายสี ล้มเหลวก็ไม่โกรธ เพราะเชื่อว่าหากตัวตนที่เป็นศิลปืนพบเมื่อไร เราจะทำได้สมความปรารถนาโดยไม่ต้องหัดไปอีกหลายปี
เมื่อลงมือทำตามเจตนาแล้ว แม้จะไม่ได้ผลตามความคาดหวัง ก็ให้ตั้งจิตด้วยความรู้ที่ว่า แรงบันดาลใจที่เรามี ในกรณีของพี่นักเขียนคือ มีแรงบันดาลใจอยากเป็นศิลปินนี้ เกิดจากการที่เรามีตัวตนต่างมิติของเราเป็นศิลปินอยู่ และตามธรรมชาติของจิตวิญญาณแล้ว เราไปถ่ายทอดเอาความรู้และทักษะเหล่านั้นมาได้เสมอ
ตั้งจิตก่อนนอนให้แน่วแน่ว่า เราจะขอฝันเพื่อรู้เห็นตัวตนดังกล่าว และต้องการถ่ายทอดความรู้และทักษะมาเป็นของเรา
ฟังดูว่าจะให้ฝัีนนั้นยาก แต่จะถ่ายทอดมานั้นง่ายจนเหลือเชื่อใช่ไหมคะ?
ให้เชื่อถือว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงธรรมชาติ เราเดิบโตขึ้นมา หัดมองเห็น หัดพูด หัดเดิน หัดรับประทานอาหาร ก็ด้วยวิธีการเดียวกันนี้แหละ เพียงแต่เด็กๆไม่ได้ตั้งคำถามว่า เขาจะเดินได้หรือ เขาจะพูดได้หรีือ เขาเพียงแต่ถ่ายทอดและนำความรู้และทักษะเหล่านั้นมา แล้วก็ใช้การเลย
เราทั้งหลายก็ทำได้เช่นนั้นจริงๆ สำหรับความรู้และทักษะทุกชนิดที่เราปรารถนาจะมี จะได้ จะทำ
2. คนที่บรรลุอรหันต์
- จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต- อนาคต จะบรรลุอรหันต์ไปกับคนๆ นั้นหรือเปล่า?
- จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ จะบรรลุอรหันต์ไปกับคนๆ นั้นหรือเปล่า?
- จิตวิญญาณ (เสมือน) ร่วมร่างแต่ต่างมิติ จะบรรลุอรหันต์ไปกับคนๆ นั้นหรือเปล่า?
การบรรลุอรหันต์ เป็นความคิดทางศาสนาที่เป็นไปตามกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ซึ่งหมายความว่า คนจำนวนมาตีความหมายพัฒนาการของจิควิญญาณด้วยกาลเวลา คือใช้เวลาในการบำเพ็ญ ใช้เวลาในการบรรลุความสำเร็จ และเราก็มักมองเห็นการเป็นบุคคลตัวตนเป็นสิ่งที่แบ่งแยก มีการเป็นเรา-เขา หากคนหนึ่งบรรลุผลสำเร็จ เราก็มักเปรียบเทียบว่า บุคคลนั้นๆสูงกว่าอีกคนหนึ่ง เป็นต้น
จิตวิญญาณปราศจากขอบเขต และปราศจากปริมาตร ปราศจากปริมาณ ปราศจากหน่วยนับ
จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต-อนาคต แม้จะเป็นจิตวิญญาณส่วนที่เป็นบรรพบุรูษของเรา ก็ไม่ได้หมายความว่า เคยเป็น แล้วกลายมาเป็นของเรา หากแต่ว่าเป็นไปพร้อมๆกันในปัจจุบัน
จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ แม้จะเป็นจิตวิญญาณส่วนที่เป็นของพ่อแม่ คนรัก เพื่อน ลูก ศัตรู หรือคนแปลกหน้า ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างแบ่งแยกจากตัวตนของเรา
จิตวิญญาณ (เสมือน) ร่วมร่างแต่ต่างมิติ แม้จะเป็นจิตวิญญาณที่เสมือนไม่ได้อยู่ร่วมโลกกับเราในกาลเวลานี้ แต่ก็มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป เป็นส่วนหนึ่งของเราเสมอ
สำหรับพี่นักเขียน ท่านอาจารย์อนาลัยคือจิตวิญญาณ (เสมือน) ร่วมร่างแต่ต่างมิติที่พี่นักเขียนรู้จัก รับถ่ายทอดและติดต่อสื่อสารอยู่เสมอ ซึ่งพวกเราทุกคนก็มีเหมือนกันไม่แตกต่างไปจากพี่นักเขียน เพียงแต่ว่าเราแต่ละคนจะมีชื่อให้ท่านว่าอย่างไรเท่านั้น ที่แตกต่างกันไปตามความหมายและมุมมองส่วนบุคคล
จิตวิญญาณจากทั้ง 3 แหล่งข้อมูลถ่ายทอดแลกเปลี่ยนและประสานกับเป็นระบบเครือข่ายเหมือนลมหายใจเข้าออกที่ปราศจากเจ้าของ เราจึงไม่อาจกล่าวได้ว่า ลมหายใจส่วนหนึ่งบริสุทธฺ์และบรรลุภาวะหนึ่งๆอันเป็นเลิศ และทำให้ทุกร่างที่หายใจเอาลมหายใจส่วนนั้นเข้าไปจะบรรลุความเป็นเลิศนั้นตามไปด้วย เพราะการแบ่งแยกแบบเด็ดขาดด้วยการแปลงสภาวะนั้นไม่มีอยู่จริง
จิตวิญญาณคือความรู้ ความรู้คือจิตวิญญาณ ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่าเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณคือ การเปลี่ยนความเชื่อเป้นความรู้
ดังนั้นจึงไม่มีจิตวิญญาณส่วนใดที่เมื่อแปลงสภาวะเป้นความรู้อันบริสุทธิ์แล้ว จะแบ่งแยกออกไปอย่างโดดเดี่ยวจากจิตวิญญาณทั้งหมดซึ่งประสานกันเป็นระบบเครือข่าย หากแต่จะยังคงอยู่ในระบบและให้การสนับสนุน เพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ดำเนินต่อไป
พี่นักเขียนเข้าใจว่า การแบ่งแยกทั้งหลายทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณ เป็นความคิดอันจำกัดที่มนุษย์เราตั้งขึ้น เช่น แยกคนดีออกจากคนชั่ว เอาคนไม่ดีใส่คุก เอาคนดีไว้นอกคุก
หากเรามองให้ลึกซึ้งกว่านั้น คนในคุก ไม่ใช่คนเลวบริสุทธิ์ และคนนอกคุกก็ไม่ใช่คนดีบริสุทธื์ ไม่ว่าเราจะแบ่งแยกอย่างไรตามความเชื่อ ธรรมชาติที่แท้จริงก็คือ มนุษย์ในร่างกายเนื้อหนัง พร้อมด้วยจิตวิญญาณอันเป็นความรู้สึกนึกคิดของเรามีทุกคุณสมบัติอันเป็นไปได้อยู่ในตัวด้วยกันทุกคน
เรามีสังคมที่ทำให้คนปะปนกันเพืิ่อการแลกเปลี่ยนสนับสนุนและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แข่งขันเพื่อแบ่งแยก และคนที่ดีกว่าก็แตกตัวออกไปอย่างถาวร หากแต่ว่าสังคมโลกต้องการคนที่ดีกว่า มีความรู้ความสามารถเหนือกว่า เพื่อสนับสนุนเกื้อกูลผู้ที่ด้อยกว่าให้พัฒนาขึ้นไปเริ้่อยๆ หากคนในสังคมเมื่อได้ดีแล้ว ต่างก็แยกตัวออกไปอย่างถาวรเรื่อยๆ สังคมส่วนที่ประกอบด้วยผู้ที่ด้อยกว่าจะเหลืออะไร? และความก้าวหน้าจะมาจากไหนหากไร้การสนับสนุนจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูงกว่า?
ในสภาวะของจิตวิญญาณซึ่งเป็นระบบเครือข่ายที่ผูกพันธ์ลึกซึ้งยิ่งกว่าสภาวะทางกายภาพอย่างเปรียบกันไม่ได้แล้ว การบรรลุไปสู่ความเป็นเลิศของจิตวิญญาณส่วนหนึ่งๆคือการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ จึงเป็นไปเพื่อการสนับสนุนและเกิื้อกูลส่วนอื่นๆที่ยังไม่ได้เปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้
ดังนั้นคำตอบสำหรับคำถามขัอนี้ จึงไม่ใช่คำตอบที่ว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ เท่านั้น เพราะภาวะของจิตวิญญาณไม่เคยมีการแบ่งแยก แต่ประสานกันเป้นระบบที่ไม่มีวันแยกจากกัน แต่เป็นไป หรือพัฒนาไป เพื่อสนับสนุนเกื้อกูลกันต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด (rose)
ขอบคุณพี่นักเขียนมากครับสำหรับคำตอบ ได้ความรู้มากเลยครับ
จะพยามฝึกฝันอย่างมีสติต่อไป
<!-- / message --><!-- sig -->
หน้า 48 ของ 454