ยิ้มเอ้ย ฝึกมาตั้งนาน ยังแยกอารมณ์จิตเปน 2 ไม่ได้อีกรึ มันโครตเบสิกเลยนะขั้นเนี้ยะ ก้ว่าชอบตัดแปะอารมณ์สั่นสะเทือนมาลงเรื่อย เด็กชายปลาบุ่ที่เปนพระศรีของห้องนี้ เวลาโดนรุมกินโต๊ะ ไม่มีแม้แต่จะตัดแปะบทความสั่นสะเทือน หรือโกรธใคร ว่าใครให้เหนแม้แต่น้อย ดูแล้วอุเบกขาขั้นเทพดีกว่าคนบวชบางคนอีกนะ
จิตจักรวาลกรมศาสนาไม่รับรอง มันก้เปนลัทธิวันยังค่ำนั่นแหล่ะ เพราะศาสดา ป. มันตอบสภาวะที่ตัวเธอว์เข้าใจว่าได้สภาวะ "โสดาบัน"แล้วงั้นรึ เลยยึดมั่นถือมั่นไม่ยอมวางอยุ่แบบนี้ เหนคอยมาถามคนห้องโน้นห้องนี้ ก้โดนเขาด่ากลับตลอด เขาบอกไม่ใช่ก้ไม่เชื่อ แล้วไม่คิดว่าศาสดา ป. กะจิตจักรวาลนี่มันของเก๊มั่งไง ..คนจะได้โสดายังมีประชด มีแขวะ อยุ่เรอะ แกรนี่มาเต็มตลอด อ่านมาก รุ้มาก(มั้ง) วิปัสสนึกกิน เอาบทความมามโนลงเน็ตไปวันๆ แกรนับถือจิตจักรวาลแต่แกรยังไม่รุ้เลยว่ามันคือจิตหรือไม่ใช่จิต ดีแต่ก๊อปบทความเขามาตอบไปวันๆ ..จจว.ของศาสดา ป. ของแกรนี่ลิเกสุดละที่ปวีอ่านมา ทำไมแกรไม่ทิ้งพวกนี้ไปแล้วยึดตามคำสอนพระสมณโคดมเปนหลัก ถ้าแกได้โสดา วิปัสนาญาณ 16 รอบที่ 1 คือโสดา ก้ตอบแกได้แระ แกมัวมาหลงทางอะไรนักหนากะเรื่องพวกนี้
เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.
หน้า 3 ของ 183
-
-
ที่จริงแล้วศาตร์นี้คือศาสตร์สำหรับมนุษย์ส่วนใหญ่ในซีกโลกตะวันออก มันคือสมองอัจฉริยะที่สามารถแสดงพลังอำนาจและสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาลได้ที่ค้นคว้าพัฒนาจิตวิญญาณของตน วิทยาศาสตร์ทางจิต เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของมนุษย์นะค่ะ
จักรวาลยึดถือความเป็นหนึ่งเดียวของทุกชนชาติทุกศาสนา นอกจากนั้นอำนาจแม่เหล็กโลกที่เพิ่มขึ้น มนุษย์จะเข้าใจนัยของปรัชญาทางศาสนา และอภิปรัชญาเหนือวิทยาศาสตร์โลกในยุคพลังงานเก่าได้อย่างแจ่มแจ้งมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงอำนาจแม่เหล็กที่เกิดขึ้น จึงมีผลโดยตรงต่อพลังงานชีวิตและจิตวิญญาณมนุษน์ทุกคน
มนุษย์ทุกคนบนดาวเคราะห์โลก จะเกิดการเรียนรู้ได้ว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก เป็นเรื่องการเกิดขึ้นของจักรวาลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่พื้นฐานของศาสตร์ใด ๆ แม้แต่เพียงศาสตร์เดียว และไม่ใช่หลักสัจธรรมของศาสนาใดแต่เพียงศาสนาเดียว ถ้ามนุษย์รู้จักนำศาสาตร์ทุกแขนงมาผสมผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ มนุษย์จะค้นพบศาสตร์ใหม่ ๆ อีกมากมาย ถ้ามนุษย์เข้าในหลักสัจธรรมที่แท้จริง มนุษย์ก็จะพบว่า ปรัชญาของศาสนาใด ๆล้วนมีความเป็นหนึ่งเดียวเช่นกัน
หลักปรัชญาของศาสนาพุทธ สอนให้มนุษย์มีความดีงาม ด้วยการหมั่นทำความดีละเว้นความชั่ว มีเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง ในขณะที่หลักศาสนาคริสตร์สอนให้มนุษย์ค้นหาพระเจ้าในตนเองให้พบ แล้วแสดงออกมาให้ปรากฎและมอบความรักแบ่งปันให้แก่ผู้อื่น ซึ่งพระเจ้าในตนเองก็คือ "ความดีงาม" และความรัก ก็คือ การมีจิตใจเมตตากรุณา รู้จักการยอมรับ การอดทนอดกลั้น และการให้อภัยต่อการกระทำไม่ถูกต้องของบุคคลอื่นนั่นเอง ไม่มีสิ่งใดต่างกัน
ในส่วนหลักปรัชญาทางศาสนาพุทธที่มีอายุกว่าสองพันห้าร้อยปีกว่าถึงปัจจุบันนั้น ได้วางแนวทางและชี้แนะสัจธรรมไว้ให้มนุษย์โลกล่วงหน้า บางแง่มุมของความจริงที่จริงแท้เหล่านั้น แต่เรื่องนามธรรมของมนุษย์ยุคนั้น ๆ ยังขาดทักษะและความเข้าใจ จนแลดูคล้ายลึกลักลับเพราะไม่อาจล่วงรู้ แต่ด้วยพลังอำนาจแม่เหล็กที่เพิ่มขึ้นที่จักรวาลกระทำต่อดาวเคราะห์โลกและมนุษย์ ในอดีตที่ผ่านมาสิ่งที่เป็นนามธรรมอันยากแก่การเข้าใจ ที่มนุษย์เรียกว่า ปรัชญาทางศาสนาก็มีความชัดเจนยิ่งขึ้น มนุษย์เข้าใจมากขึ้นกว่าเก่า
กรณีที่มนุษย์เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันนำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดกันมาตลอด มนุษย์รู้เพียงว่าเป็นหลักปรัชญาจริง แต่ตอบไม่ได้ว่ากรรมคืออะไร?
กลไกลแห่งการเกิดวัฏจักรของชีวิต การมีภพชาติที่เรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้น กรรมของคนมีส่วนต่อกระบวนการนี้อย่างไร?
การที่เราเคยตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊กไว้ในชาตินี้ เมื่อตายไปสู่การเกิดขึ้น เราจะต้องกลับชาติมาเกิดเป็นหมา เป็นเจ๊ก ให้หมากับเจ๊กได้กลับชาติกลับมาเกิดเป็นเรา เพื่อเราจะเป็นฝ่ายถูกตีหัวหรือถูกด่าแม่เข้าให้บ้าง ตามกฎแห่งกรรมจริงหรือ? และถ้าไม่เป็นเช่นนั้น กฎแห่งกรรมที่แท้จริงสำหรับตัวเราที่กระทำไม่ถูกต้อง เราจะต้องเผชิญผลกรรมนั้นอย่างไร? ความหมายที่แท้จริงของการชดใช้กรรม คืออย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นคำถามจากหลักพุทธปรัชญาที่ยกมาข้างต้น หรือสัจธรรมใด ๆ ที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจ และไม่อาจอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมหรือเป็นวิทยาศาสตร์โลกกันได้ มนุษย์จะเกิดการรู้แจ้งมากขึ้นด้วยศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า เมตาฟิสิกส์ หรือ อภิปรัชญา ซึ่งจิตจักรวาลเรียกว่า "ธรรมะที่เป็นวิทยาศาสาตร์" ถ้าจะนำคำถามข้างต้นนั่นมาอธิบายหลักปรัชญา ให้เป็นวิทยาศาสตร์เสียได้ พุทธปรัชญานั้นก็จะเปลี่ยนเป็นอภิปรัชญาไปทันที -
ลัทธิจิตจักรวาลมันเป็นคริสต์แบบแปลงร่างผสมพุทธ คุณป.วันดีคืนดียังเอาพระคัมภีร์มาสอนเลย
http://www.jitchakraval.com/home/in...le&id=621:-722-23&catid=67:news-jit&Itemid=48
ดูให้ดีนี่เป็นหนังสือลูกาและอีกมากมาย -
เข้าเรื่องคำทำนายมั่ง คุณจิตยิ้มรู้หรือเปล่าว่าคำทำนายที่คุณจิตยิ้มเชื่อและอยู่ในศิลาจารึกที่ไม่มีจริงน่ะ บางส่วนมันมาจากไหน
-
แต่ที่ทราบ ณ ขณะนี้ นะค่ะ ความสมดุลของระบบ ประกอบด้วยความสมดุลของน้ำหนักมวล ความสมดุลของจำนวนรูปธรรมของทุกสรรพสิ่ง ความสมดุลของพลังงาน และความสมดุลของการสั่นสะเทือนของสรรพสิ่งทั้งหมดที่เป็นรูปธรรม ทั้งในมิติที่สองและมิติที่สามแห่งกาลเวลา ถ้าด้านใดด้านหนึ่งขาดความสมดุลไป ไม่ว่าจะเป็นทางเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ตาม ความสมดุลของระบบจะถูกทำลาย สภาวะวิกฤติรูปแบบต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้น มนุษย์เองจะต้องเผชิญความยุ่งยากใด ๆ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เนื่องจากสภาวะวิกฤตินั้นเป็นผลมาจากการจัดระบบองค์กรให้สมดุลด้วยกลไกของจักรวาล ในทันทีที่ระบบกำลังถูกทำลาย เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงและการสร้างใหม่เพื่อยกระดับความสมดุลของทั้งระบบให้สูงขึ้นไปอีก การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่จักรวาลเลือกใช้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ระบบ คือ การคลี่ขยาย และการม้วนกลับของพลังงานสู่ศูนย์กลาง ระบบใดระบบหนึ่งที่มีความเหมาะสมที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นการม้วนกลับ หรือขบวนการคลี่ขยาย เมื่อเกิดขึ้นการไหลวนของพลังงานที่เกิดจากการเปลี่ยนถ่ายระหว่างสรรพสิ่งที่อยู่ในกระบวนการก็จะเกิดขึ้น ความรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับว่าการเสียสมดุลทางพลังงานของระบบมากน้อยเท่าใด มนุษย์ที่เป็นมวลของสรรพสิ่งหนึ่งในบริเวณนั้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ นอกจากนั้นขณะเกิดการเปลี่ยนแปลง มันจะเกิดภาพมายาต่าง ๆ ให้ปรากฎขึ้นอีกด้วยเช่นกัน ยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมา มนุษย์ล้วนผ่านประสบการณ์ภัยธรรมชาติและได้เห็นมายาที่เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ จากกระบวนการของจักรวาลที่ว่านี้มาแล้ว -
-
+++ "การสั่นสะเทือน" ทุกชนิด ย่อมอยู่ "ข้างนอก ความเป็น ตน/อัตตา"
+++ หาก "การสั่นสะเทือน" อยู่ข้างใน "ตน/อัตตา" นั่นคือ "การแกว่ง ของตนเอง" ทั้ง ๆ ที่ "การสั่นสะเทือน" ไม่มี (มโนขึ้นเอง)
+++ ดังนั้น "การสั่นสะเทือนที่ตรงกลางอก" เป็นเครื่องวัดได้ว่า "ทำขึ้นมาเอง"
+++ หาก ไม่เท่าทัน "เหตุเกิด" ถือว่ายังเป็นแค่ "จิตจักรยาน"
+++ หาก "รู้" เท่าทัน "เหตุเกิด" ก็จะ upgrade เป็น "จิตมอเตอร์ไซค์" ได้
+++ จากนั้นให้ "เพิ่ม momentum" ของการกวัดแกว่ง ให้ถึงระดับ "สะท้านจักรวาล" เดี๋ยว จิตจักรวาลในบริเวณนั้นก็จะ "ปรากฏตัว" ออกมาเอง
+++ จิตที่ map เข้ากับเนื้ออวกาศได้ ก็จะ "เริ่มได้สติ" ประดุจ "โดนปลุก" ให้ตื่นจาก "หลับไหล" ถือว่าเป็นการ "โปรดสัตว์" ในระดับสูง
+++ การโปรด "สัตว์นรก" อาจได้บาปด้วยซ้ำ เพราะไปแทรกแซง วงจรกรรม ที่ยังไม่ถึงเวลาสมควร
+++ ตรงนี้เป็น "การโปรด God" ที่หลับไหลอยู่ ดังนั้น รีบ ๆ ทำซะ ตรงนี้เป็น เนื้อนาบุญ ในระดับ ฌานอรูปกว้างใหญ่
+++ ในอาการ "รู้ นิ่ง ว่าง" ให้เน้นที่อาการ "รู้" หากทำได้ ก็จะกลายเป็น "จิตพิชิตจักรวาล" หันกลับเข้าสู่ "จิตพุทธะ" แล้ว "เลิกหมุน แบบ ล้อจักรยาน" ได้
+++ ทำได้ถึงจริง ๆ ก็จะรู้ได้เองว่า "จักรวาล ไม่มีความเป็นจิต" แต่จิตที่ "หลับไหลใน จักรวาล" ย่อมถูก "ปลุกให้ตื่นได้" ด้วยการ เพิ่ม momentum ทางจิต
+++ หากจะอ่านแบบเล่น ๆ ก็เพลิดเพลินแบบเล่น ๆ ได้ อ่านแบบผ่าน ๆ ไปวัน ๆ เท่านั้น
+++ หากจะอ่านแบบจริง ๆ ก็ให้รู้ไว้ว่า เรื่องการ ปลุกจิตที่หลับในอวกาศ นี้ มาจาก "ประสพการณ์" ของกลุ่มฝึกเกือบทุกคน ที่ให้ผลตรงกัน นะครับ -
ถามในสิ่งที่คุณจิตยิ้มเชื่อก็ไม่รู้อะไรซักอย่าง ได้แต่เอาโวหารความรัก การสั่นสะเทือนมาตอบ มโนไปเรื่อยๆ วนอยู่แค่นั้นแหละ
มา มาจะเล่าให้ฟัง ในสมัยก่อนนะ เวลาผู้คนมีความคับแค้นใจกับบ้านเมือง เค้าไม่มีที่ระบาย ก็จะแต่งเป็นกลอนมั่ง เพลงยาวมั่ง ไอ้ที่บอกไปคัดลอกมาจากศิลาจารึกลวงโลกนั่น แท้ที่จริงแล้วได้ไอเดียแต่งคำทำนายมาจาก “เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา”(เอาไปยำรวมกับหนังสืออีกเล่มหนึ่ง) มันเป็นบทประพันธ์ว่าผู้ปกครองเวลานั้นไม่ดีและจะทำให้กรุงศรีอยุธยาต้องสูญสิ้นไป
จะยกมาบางส่วนให้ดู
ข้างล่างคือข้อความที่อ้างว่าไปคัดลอกมาจากศิลาจารึกลวงโลก
ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทธจะชอกซ้ำ สงครามจากทั่วทิศศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลนทั่วแคล้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมือง ทรงเมือง จะหนีเข้าไพร
ส่วนอันนี้มาจาก เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองนั้นจะออกไปสู่ไพร
พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี พระกาลกุลีจะเข้ามาเป็นไส้
พระธรณีจะตีอกไห้ อกพระกาลจะไหม้อยู่เกรียมกรม
เพลงยาวพยากรณ์การสิ้นสูญของอยุธยา เขาแต่งมาอย่างไพเราะ ไอ้นี่จับมายัดๆเข้าไปรวมกับหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ไม่มีclassเลย แถมหลอกอีกว่ามาจากศิลาจารึก
-
รุ้สึกยิ้มจะแอ๊บบังเอิญก๊อบบทความมาแขวะชาวบ้านได้ตรงสถานการณ์ ตรงคน ตล๊อดๆ นะ แอ๊บว่าไม่ได้ออกมาจากจิตตัวเอง ไม่มีอารมณ์ใดๆ อีก แหม่ เหมือนยืมมีดแทงคนเนอะ แทงไปแล้วบอกไม่ใช่มีดตัวเอง ..คนถ้าใจมันอุเบกขาจิง เปนนักบวชจิง สักบทความลักษณะแบบนี้ก้ไม่มีวันได้เห็นหรอก เวลายิ้มจะแอ๊บเปนนางเอกอ่ะ พูดกะทำอย่าให้มันสวนทางกันดิ แบบนี้ปวีเรียกสตออ่ะ -
เวลาจะถามจิตยิ้ม อย่าถามอะไรยากๆ เดวนางหาสำนักตัดแปะมาตอบไม่ทัน ชีวิตนางโดยมากมีแค่นั้น ถ้าไปไม่เปนนางจะแถไปประเด็นอื่นนะจ๊ะ
-
ขอสอบถามคุณจิตยิ้มสักนิดครับ
คุณจิตยิ้ม เป็นแม่ชี ใช่หรือไม่ หากใช่ คุณจิตยิ้มเป็นชีอะไร
ชีพราหมณ์
ชีพุทธ
ชีคาทอลิค
ชีโปรแทสแท้นท์
ชีมอม่อน
ชีอิสลาม
ชีมุสลิม
ชีเต๋า
ชีเซน
ชีโยเล
ชีไหล
ชีจักรวาล
ชีมอเตอร์ไซค์
ชีบิ๊กไบค์
ชี อื่น ๆ.... โปรดระบุ
ให้คุณจิตยิ้ม ช่วยระบุให้ได้หรือไม่ ผมสงสัย มากๆ
ขอบคุณครับ -
ประสบการณ์การสั่นสะเทือนภายใน นั้นคือความจริงของตนเองกันทุกคนค่ะ เพราะครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้กล่าวไว้ว่าให้เข้ามาเรียนรู้ที่กายใจในตัวเรานี้ และไม่ว่าสรรพสิ่งใดก็ตาม ถ้าสามารถแสดงออกซึ่งความมีอัตตาตัวตนให้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ สรรพสิ่งนั้นย่อมเป็น "มายา" อันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างในทั้งสิ้น "เพราะสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา จะเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาเสมอ"
ประสบการณ์ในการเจอสภาวะคลื่นสั่นสะเทือน
คลื่นการสั่นสะเทือนภายนอก
๑.ขณะที่นั่งสมาธิกำหนดรู้ด้วยจิตนิ่ง ในสภาวะสมาธิเห็นละอองเม็ดฝอยอันละเอียดยิบ ได้รวมตัวกันแล้วเคลื่อหมุนวนเป็นรูปก้นหอยแล้วม้วนเข้าหาจุดศูนย์กลาง ละอองฝอยอันละเอียดยิบนั่นคือ อณูซึ่งเป็นสภาวะของอนัตตา ก่อกำเนิดสังขาราตามปฏิจจสมุปบาท คือจุดกำเนิดการเริ่มต้นของคลื่นสั่นสะเทือน คือ อนัตตาเป็นผู้สร้างอัตตา
๒.เจอสภาวะเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล มีสภาวะที่สุขละเอียดโปร่งโล่งเบาสบายอิสระ แต่สภาวะนั้นก็ไม่เที่ยง ยังมีลักษณะคลื่นละเอียดเบา ๆ อยู่ในกระแสนั้นด้วย ท่านเคยบอกว่าเป็นลักษณะวิมุตติที่แยกออกจากขันธ์ หรืออย่างไรไม่แน่ใจนะค่ะ แต่รู้ว่าสภาวะนี้คนละลักษณะกับสภาวะนิพพาน
๓.ขณะที่เดินจงกลม 4 ชม. แล้วหยุดนิ่งมองพื้นไปด้านหน้าจะพบคลื่นพลังงาน เป็นลักษณะคลื่นเวฟ ที่เคลื่อนเวฟตัวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ไปค้นดูแล้วนั้นคือลักษณะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีอยู่ในสนามพลังงานของโลกนั่นเอง
คลื่นสั่นสะเทือนภายใน
๑.สภาวะนี้คือถ้าใครอ่านติดตามจะรู้ว่าลงในโพสประมาณ 4 - 5 ครั้งแล้ว เป็นการสลดปลงสังเวชในชะตาชีวิตตนเอง หลังจากนั้นเป็นสมาธิแนวดิ่งชั่วพริบตาเดียว ผ่านคลื่นกระแสสั่นสะเทือนลงไปพบกับคำตอบของสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และยอมรับได้อย่างดุษฏี ถึงความจริงที่จริงแท้ของทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดยึดถือได้ไร้แก่นสาร ลองมองย้อนมองกลับไปกับชะตาชีวิตที่ผ่านมาเปรียบดั่งสุญญากาศไขว่คว้าอะไรไว้ไม่ได้เลย เป็นคำตอบของสัจธรรมที่ไม่มีสิ่งใดเทียมค่าได้ นั่นคือ การเข้าถึงสภาวะพุทธะ หรือแก่นแท้อนัตตา ตนเองเข้าใจว่านั้นคือ สภาวะของอาสวักขยญาณ เพราะตรงกับลักษณะการลอยถาดเป็นบุคคลาธิษฐานของพระพุทธเจ้าในก่อนวันตรัสรู้
๒.การเมตตาสงสารสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างสุดซึ้ง อยากให้เขาพ้นจากทุกข์ที่เป็นอยู่ เกิดคลื่นสะเทือนลึกลงไปภายใน สุขมาก ๆ ไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบได้ สุขล้ำลึกเปรียบดั่งน้ำอมฤตชุ่มฉ่ำหัวใจ สุขชนิดนี้ในโลกหาสิ่งใดเทียม ซึ่งเคยรู้มาว่าสภาวะแก่นแท้บรมสุขอย่างยิ่ง น่าจะเป็นลักษณะสภาวะนี้ เพราะคลื่นความถี่อันละเอียดที่เป็นบรมสุขลึก ๆ ในหัวใจที่เกิดการผ่านคลื่นสั่นสะเทือนชนิดนี้ ยากจะหาสิ่งใดมาอธิบายได้
จะเห็นได้ว่าการเข้าถึงแก่นของทุกสรรพสิ่งก็จะต้องผ่านคลื่นสั่นสะเทือนนั้นด้วย เพราะเริ่มแรกเลย คือ อณู(คลื่นอนัตตา) ที่เกิดการสั่นสะเทือนเคลื่นเลื่อนไหวอยู่ในสนามพลังงาน ก็เปรียบได้ดั่งการเคลื่อนเลื่อนไหลลอยล่องไปหาที่สุดมิได้ คือ หาต้นหาปลายมิได้ ทับซ้อนอยู่บนสนามพลังงานที่แก่นแท้ของความว่างนั้นนั่นเอง -
ชอบจิตบิ๊กไบค์ฮับ
-
จงกรมนี่มันคือนิมิตรธรรมดานั่นแหล่ะนังยิ้ม ..ปวีเดินจงกรมยังเหนตัวเองใสๆ โปร่งๆ ตั้ง 2 ครั้ง..ขาจมลงพื้น (และอีกมากมาย) ยังไม่เหนสนใจอะไร และการเดินจงกรมมันกลายเปนฤทธิ์ ไปรุ้อนาคตบางอย่างของคนอื่นได้ด้วยตอนลืมตาใช้ชีวิตประจำวัน เวลาจะรุ้ คนๆ นั้นจะมีแสงสว่างส่องออกมาเฉพาะที่หน้าผากเท่านั้นทุกครั้ง เคยเหนพระเกจิมองหน้าคนแล้วบอกอนาคตคนๆ นั้นได้มะ แบบเดียวกันนั่นแหล่ะ แบบนี้ปวีน่าจะบรรลุแล้วหล่ะ
ส่วนนั่งมาธิ ปวีว่าแกรเข้าฌาน 4 สภาวะนี่เหมือนม้ากมาก แถมทำได้ครั้งเดียวครั้งต่อไปทำไม่ได้ ฌาน 4 อารมณ์ องค์ฌานปรากฎตรงหน้าแบบปฎิเสธไม่ได้ เหมือนแสงอาทิตย์จ้าๆ แสนเท่า มีความสุข ไม่มีตัวตน ไม่มีเวลา เวลาถอนออกจากมาธินี่ติดพวกเหมือนหมดกิเลส บรรลุออกมาด้วย เพ้ออยุ่เปนเดือน ถ้าใช่นี่ฮาเลยนะ - รึป่าวเจ้าคะคุนธรรมชาติ หมายถึงสภาวะที่นังยิ้มมันได้นะ (เฉพาะมาธินะ) ปวีเคยได้ตอนเข้าคอร์สอาทิตย์ที่ 2 เจ้าค่ะ -
การจะได้สภาวะธรรมอะไรก้ตาม ลมหายใจจะเปลี่ยนเสมอนะนังยิ้ม (ทุกสาย)ไม่จำเปนต้องผ่านคลื่นแบบแกรบอกนะ
-
+++ อีกประการหนึ่ง คือ "อัตตา" ยังมีอยู่เต็มที่ เพียงแต่ "จางคลายลงไปบ้าง"
+++ อาการที่ "แท้จริง" ในบริเวณนี้ ไม่มีคำว่า "จิตนิ่ง" แต่เป็นอาการที่ "ไม่มีจิต" และ ความเป็นจิต "ไม่สามารถ ตั้งอยู่ได้"
+++ สภาวะที่ เป็นหนึ่งเดียวกับ จักรวาล/อวกาศ จะไม่มีอาการของ "ฌาน 1-8" เป็นองค์ประกอบ แม้แต่นิดเดียว
+++ สภาวะที่ "แท้จริง" คือ อาการ "เคว้งคว้าง/โดดเดี่ยว/ไร้จุดหมาย" ท่ามกลาง กลุ่มดาว/กาแลคซี่
-
ส่วนที่ว่าเป็นสภาวะอาวักขยญาณหรือไม่? สิ่งนี้ตนเองก็ไม่มั่นใจ แต่สิ่งที่ทำให้แน่ใจคือ ลักษณะที่ประสบพบว่าตรงกับการลอยถาดบุคลาธิษฐานในวันก่อนตรัสรู้ เพราะ...ถาดที่ลอยขึ้นทวนกระแสน้ำ เปรียบดั่งการทวนกระแสอารมณ์ ทวนกระแสโลก การปลดปลงสลดสังเวชในชีวิต นั้นบ่งบอกถึงการทวนกระแสโลก กระแสอารมณ์ เพิกถอนการไหลไปตามกับกระแสโลกได้เป็นอย่างดี แต่การสลดปลดปลงนั้นต้องออกมาจากการเห็นแจ้งจริง ๆ แล้วการที่ถาดทองมีน้ำหนักเบา แต่สามารถตรงดิ่งฝ่าคลื่นกระแสใต้น้ำโดยสามารถตกลงไปที่ห้วงท้องน้ำได้ โดยไม่ถูกกระแสใต้นำพัดพาไปตกที่อื่นเสียก่อน ถาดที่เบาและตกดิ่งฝ่าฟันคลื่นกระแสใต้น้ำได้ จะต้องมีคุณภาพมาก ก็คงจะเปรียบเสมือนจิตที่เบาไร้น้ำหนัก จิตนั้นต้องมีคุณภาพก็คือ จิตที่มีความอุเบกขาในระดับที่ถาวรจริง ๆ (แต่ของ jityim อาจจะเป็นแค่ปาฏิหาริย์มั้งค่ะ) จึงจะสามารถฝ่าฟันคลื่นกระแสสั่นสะเทือนดิ่งลงไปสู่ถึงความเป็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งได้ และถ้าหากว่า สภาวะนี้ คือ การลอยถาดบุคลาธิษฐานใช้ได้กับพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นหรือเปล่า? หรือว่าบ่งบอกนัยยะของอาสวักขยญาณ ที่ผู้บรรลุพระอรหันต์ทุกท่านต้องเข้าบรรลุให้ถึงญาณสภาวะนี้จึงจะหลุดพ้นได้ ตรงนี่น่าคิดเหมือนกันนะค่ะ
ส่วนประเด็นทำไมมนุษย์ส่วนใหญ่จึงอยากอยู่กับโลกนัก เหตุใหญ่ล้วนมาจากห่วงบ่วงรักทั้งหลาย และห่วงบ่วงรักทั้งหลายนี้ ก็สามารถทำให้แตกเหล่ากอเป็นไฟสามกองได้108พันประการ เพียงแค่รักและปราถนาดีต่อใครอย่างสุดซึ้ง ความสุขก็สุขล้ำลึกยากจะเปรียบได้แล้วค่ะ เพราะนั่นกำลังเข้าถึงสภาวะอันบริสุทธิ์ที่แท้จริงของตนนั่นเอง จึงทำให้คนทั้งหลายติดบ่วงอยู่ในโลกแม้จะสุขบ้างทุกข์บ้างก็ตาม นั้นแค่เป็นพลังรักบริสุทธิ์ของโลกียะแค่นั้นจึงทำให้คนหลงติดวนอยู่ถึงปานนี้ ถึงแม้จะเป็นสุขอันน้อยนิดของแก่นแท้ที่พอจะเข้าถึงได้บ้างในบางครั้งบางคราวก็ตามที แต่ยังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจให้ชุ่มฉ่ำอยู่บ้าง แต่ถ้ามีความสุขบริสุทธิ์อีกชนิดหนึ่ง คือสภาวะบรมสุขอย่างยิ่งคือไม่วนเวียนกลับมาทุกข์อีก เป็นความสุขบริสุทธิ์ที่งดงามกว่าโลกยิ่งนัก อายตนะอันบริสุทธิ์นั้นคงบรมสุขจะหาอะไรเปรียบปานมิได้ คนไม่เข้าถึงแก่นแท้ของนิพพานอย่างแท้จริง จึงปราถนาที่จะไปกันน้อยนักดังนี้แล
-
http://oknation.nationtv.tv/blog/buddhaquote/2010/01/19/entry-2
+++ เรื่อง "ถาดทอง" หากคุณ jityim "ไม่เคยเป็นเจ้าของ ไม่เคยถวายพระ/วัด ไม่เคยทำบุญด้วยถาดทอง" แล้วเอามา "มโน" จนล่องลอย ยัน ทวนกระแสโลก
+++ ผมก็บอกแบบตรง ๆ ได้ว่า คุณ jityim กำลังโดน "มโนหลอน" อย่างถึงขนาด เรียบร้อยแล้ว
+++ การ "ตามการสอนนอกศาสนา" จากเจ้า ป นั่นแหละ มันทำลายตัวคุณรวมทั้ง มรรคผล ไปเรียบร้อยแล้ว
+++ การที่คุณเกิดอาการ "จิตดับ" ไปชั่ว ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น นั้น ตรงนี้เป็นเรื่อง "ธรรมชาติของจิต" ที่มันสามารถเป็นไปเองได้
+++ เพียงแต่ "ชาตินี้" คุณ ไม่ได้เดินตาม วาสนาแห่งมรรคผล ที่ปรากฏขึ้นมากับตัวคุณเองเอาเสียเลย
+++ คุณกลับเดินตามเจ้า ป ที่โดน "ไอ้เตี้ย" มันหลอกเอาจนเสียศูนย์ไปจนเกลี้ยงแล้ว น่าอนาถมาก
+++ หากชาตินี้คุณ jityim ไม่สามารถ "ดำรงค์สติมั่น รู้ ธรรมเฉพาะหน้า" ได้จนถึง "จิตดับ" อีกครั้ง ก็ถือได้ว่า "มรรคผล โดน ตัด" ไปแล้วนั่นเอง
+++ ตรงนี้ "เป็นทางเดิน ทางออก เฉพาะตัวบุคคล" ของตัวคุณเอง ทั้งหมดขึ้นกับ กุศล/วิบาก ที่จะ "บันดาล" ตัวมันเองให้เดินไป
+++ แล้วแต่ "การติด อยู่ใน ความคิด/มโน" ของคุณเอง ตรงนี้ คือ กุศล/วิบาก ที่จะ "บันดาล" ตัวมันเอง และคำว่า "ตัวมันเอง" ก็คือ "อัตตาของคุณ" นั่นแหละ
+++ ดูถ้าคุณ jityim คงยังไม่สามารถ "พ้น" ออกมาจาก ดง แห่ง "ความเห็น/ความหมาย" ได้เลยนะ
+++ หากคุณ jityim ยังไม่สามารถเข้าถึง อาการ "จิตดับ" ได้อีกแม้แต่ครั้งเดียว "ในชาตินี้"
+++ การตัดสินของการ "ตัด VS ต่อ" มรรคผล จะยืนยันด้วยตัวมันเอง ว่าจะเป็น "ตัด หรือ ต่อ" กันแน่
+++ เดินอยู่บน "ขอบเหว" โดยไม่รู้ตัวเอาเลย ให้รีบ ๆ "เร่งความเพียร" ได้แล้วนะ -
-
แบบจอมยุทธคือกำหนดจุดตัวดู ซึ่งหลายๆคนเรียกว่าจุดจักระซึ่งจริงๆมันไม่มี เมื่อเราเชื่อและกำหนดมันจึงมีเพราะตัวดูอยู่ไหนเราก็จะรู้สึกและสัมผัสถึงตรงนั้นได้ เช่นจิตคือกลมๆในหัวซึ่งมันก็ไม่มีเช่นกัน แล้วเวลาคิดละพูดในหัวละมันมาจากไหน? สิ่งที่มีมันคือ วจีจิตตสังขาร/มโนจิตตสังขาร. ที่เค้าใช้คำว่าสังขารเพราะมันมีตัวตน ซึ่งอยู่ในหัวนั่นแหละ
ดังนั้นจิตจรืงๆคืออะไร? คือการไปอยู่ในสภาวะนั้นๆนั่นเองคือจิตไม่มีลูกกลมๆหรืออะไรทั้งนั้น แบบนิวเอจอันนึงที่บอกจุดจักระแบบนี้มันไม่ถูกต้องมนุษย์ยุคนิวเอจต้องทำจุกจักระที่เรียงกัน 7 อัน เป็นรูป กี่เหลี่ยมก็ไม่รู้ผมจำไม่ได้ผมอ่านมานานแล้ว ผมก็ไปทดลองมา สรุปมันก็แค่กำหนดตัวดูนั่นแล ดังนั้นลัทธินิวเอจนี้ก็ตกไปคุ้นๆว่าลัทธินี้บูชาเทพเมต้าตรอนละมั้ง
ต่อมาลัทธิจิตจักรวาล
เมื่อคุมตัวดูได้ผลจากการฝึกมาแบบจอมยุทธนำตัวดูออกจากหัว และส่งขึ้นไปสูงเรื่อยๆจนถึงอวกาศ สังเกตุว่าขณะที่ตัวดูสูงขึ้นไปเรื่อยๆสภาพกายจะเปลี่ยนซึ่งสามารถสังเกตุได้จากผู้ฝึกมหาสติปัฏฐานเท่านั้น ขณะที่ขึ้นสูงจนถึงอวกาศจะพบก้บอาการว่าง โหวงเหวงซึ่งท่านจิตยิ้มไม่ได้สัมผัสกับกายแบบนี้ยังสบายอยู่ดังนั้นฟันธงว่าไม่ใช่จิตจักรวาล และพอตัวดูส่งถึงแล้วก็ขยายการดูออกไปทั่วสารทิศจนครอบจักรวาล นี่แหละคือสูงสุดแล้วของสายนี้ หากอยากจะสูงกว่าก็มีวิธีแต่ไม่แนะนำมันจะกลายเป็น มังกรอวกาศแทนเมื่อตายไปดังนั้นที่ท่านจิตยิ้มสบายกายและใจ ความหมายของมันคือยังไปไม่ถึงอวกาศเสียด้วยซ้ำจิตยังอยู่ในภพภูมิอยู่เลย และไม่ว่าจะแบบคุณจิตยิ้มหรือแบบผมก็ตามยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่เพราะยังมีจิตไม่ว่าจะการสั่นสะเทือนแบบไหนละเอียดเบาหรือยังไงถ้ายังมีแสดงว่า ไม่พ้นเพราะกระแสทั้งหมดที่สัมผัสได้คือ ตัวดูหรืออัตตานั่นเอง
ปล.หากไม่รู้จักตัวดูก็ลองมองตรงข้างหน้าตาห้ามขยับและย้ายจุดโฟกัสดูจะพบว่าตัวดูนั่นแหละที่ย้าย นี่แหละคืออัตตาตัวจริง
ดังนั้นก็จะตอบคำถามเรื่องเมตตาสุดซึ่งของคุณจิตยิ้มได้อีกสมาธิแนวดิ่งไม่มีครับมีแต่จิตเข้าไปอยู่ในสภาวะอะไร เช่นฌานนั่นแหละหากทำสติปัฏฐานมาก็จะพบว่ามันอยู่ของมันนั่นแหละเรานั่นแหละที่เข้าไปเป็นมันเองและไอ้คลื่นสั่นสะเทือนสุขมากๆของท่านจิตยิ้มมันแสดงผลออกมาตรงๆเลยคือไม่ใช่เพราะหากใช่แล้วมันย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ดังนั้นมีวิธีทำอีกครับ หากคิดว่าใช่ต้องพิสูจน์โดยการคงอยู่ในแล้วลองทำฌานอื่นๆดูในบางจุดของสภาวะนั้นหากพบว่ามันตั้งอยู่ได้ตอบเลยว่าไม่ใช่และอย่าหลอกตัวเอง ผู้หลอกตัวเองทุกคนปิดมรรคผลหมดเพราะเชื่อ แต่ไม่ได้สนความจริงหากอยากจะถกก็ไปลองทำครับแล้วมาบอกผลด้วย เพราะสภาวะพุทธะจริงๆใช้คำว่าเชื่อไม่ได้ต้องทำให้ได้ หากอยากมั่นใจก็ต้องทดลองครับและที่สำคัญเวลาทดลองต้องรู้รอบข้างด้วยไม่งั้นมันจะทำไม่ได้เพราะสมาถะมันคือการปิดตนไปหลบในฌานอยู่แล้ว
Edit:ดังนั้นหากจะเชื่อนิวเอจก็ไม่ว่ากันครับแต่มองความจริงด้วยเพราะเหตุถูกผลก็ถูกหากไม่อยากจะนิพพานถ้าทำเหตุถูกผลก็ตามมาแม้ไม่อยากไปยังได้ไปเลยครับกรุณาไตร่ตรองและทดลองให้ดี เพราะหากใช่ก็ดีไปแต่ถ้าไม่ใช่คือปิดมรรคผลแล้วนะครับ
หน้า 3 ของ 183