เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    การทำบุญแบบพุทธะมีออพชั่น และสเป็คที่
    มากกว่านี้ บางออพชั่นมีคุณค่าและมีผลสูง
    มากทั้งที่หวังหรือไม่หวัง
    ที่สำคัญคือต้องมีปัญญากำกับ
    ด้วยทุกออพชั่น
    ฮับ
     
  2. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ว้าว! น่าทึ่งจังเลยค่ะ

    การหยั่งรู้ในยุคพลังงานใหม่นี้ มีความรู้แปลก ๆ ใหม่มาให้กันค่ะ เขาบอกว่า จากระยะห่างจากจุดกึ่งกลางจากโลกออกไป 60,000 กิโลเมตร จะมีสนามพลังงานทางการคิดรู้ เชื่อมโยงกับสนามพลังงานแม่เหล็กโลกอย่างลงตัว สนามพลังงานแห่งการคิดรู้ ซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลรู้ของศาสตร์แขนงต่าง ๆ มากมาย รูปธรรมที่เก็บคุณสมบัติข้อมูลต่าง ๆ ไว้ก็คือ จิตจักรวาล

    มนุษย์สามารถสร้างกระบวนการคิดรู้ระบบใหม่ โดยใช้สมองซีกขวานำซ้ายในสภาวะสมาธิ เพื่อสร้างคลื่นการคิดให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสามารถปลดปล่อยคลื่นการคิดผ่านช่องทางตาที่สามบริเวณหน้าผากออกมาภายนอกร่างกาย สู่สนามแม่เหล็กโลกเส้นใดเส้นหนึ่ง แส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกจะเป็น ผู้นำทาง นำคลื่นการคิดรู้นั้นสู่สนามพลังงานจักรวาลสัมผัสกับจิตจักรวาลดวงใดดวงหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติข้อมูลที่ต้องการ แล้วรับเอาคุณสมบัตินั้นกลับเข้ามาสู่ศูนย์กลางการคิดรู้ที่สมองมนุษย์อีกครั้ง การเดินทางไปและกลับของคลื่นการคิดรู้ จะใช้เวลาเท่ากับการเดินทางของจิตจักรวาลที่ความเร็วแสงซึ่งเปลี่ยนค่าเป็นสองเท่าในทุกวินาที

    กระบวนการคิดรู้แบบใหม่เพื่อให้ได้ผลึกการคิดรู้เช่นนี้เรียกว่า วิธีการหยั่งรู้ เป็นความรู้ที่ได้มาโดยไม่ต้องผ่านการเรียนรู้ การตั้งสมมุติฐาน การคาดคะเน การสร้างจินตนาการ และการพิสูจน์ทดลองด้วยการลองผิดลองถูกใด ๆ เพียงแต่สร้างกระบวนการคิดรู้ จะต้องมีคำถามที่ตนอยากรู้เข้าไปในสมาธิ เท่านั้น

    ของลุงแมวเป็นอย่างนี้เปล่าคะ มีข้อมูลแปลก ๆ ใหม่ ในโลกนี้ที่หลายคนยังไม่รู้ และอยากรู้ บางคนก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่สมควรต้องรู้ อะไรที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ บางคนอาจจะรู้แล้วก็ได้ และหลายคนที่ยังไม่รู้ โดยเฉพาะตนเอง จะนำมาลงไว้ให้อ่านกันค่ะ
     
  3. ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จิตจักรยานกับจิตที่มีสติควบคุมให้มีแต่ความว่าง
    ก็คือสิ่งเดียวกัน
    หรือนัยหนึ่งคือ
    จิตที่ครองกายนี้ถ้ามีสติควบคุม
    ให้อยู่ในสภาวะว่างก็รู้
    เท่ากับจิตจักรยานรู้ เพราะเป็น
    อันหนึ่งอันเดียวกัน
    ไม่มีไรน่าตื่นเต้ลล์ฮับ
     
  4. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ที่จริงมีคำเหล่านี้มา ลองพิจารณาดูว่าเป็นเช่นไร?

    จิตจักรวาลไม่มีประจุไฟฟ้า สามารถเดินทางข้ามมิติได้ และรับรู้แรงดึงดูดของโลกได้

    จิตจักรวาลต่างจากเทพพรหมอย่างไร ?

    บรรดาเทพพรหมเทวา ไม่อาจนำพาตนเองกลับสู่คุณสมบัติเดิมในการเป็นจิตจักรวาลที่สมดุล เพื่อกลับคืนมิติเดิมได้ เพราะยังมีพลังงานหยาบ ๆ ติดตัวไปเป็นคุณสมบัติพลังงานของตนอยู่ พลังงานส่วนนี้เรียกว่า พลังงานกรรมที่มีคุณสมบัติด้านบวกและด้านลบ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบวกมากกว่าลบ เนื่องจากพลังงานกรรมหยาบ ๆ แม้คุณสมบัติด้านบวกก็ตาม มันสามารถรับรู้แรงดึงดูดของโลกได้ จะกลายเป็นส่วนเกินเหนี่ยวรั้งให้จิตวิญญาณนั้น ดำรงอยู่ในจักรวาลโลกต่อไปตรงบริเวณใกล้ ๆ สุดเขตจักรวาลโลก ที่เรียกว่าสวรรค์พรหมโลกนั่นเอง

    การปลดเปลื้องคุณสมบัติพลังงานกรรมที่เป็นส่วนเกินของจิตวิญญาณของตนเองให้หมด จนเหลือความเป็นแก่นแท้ของตนอย่างแท้จริง ที่มนุษย์เรียกว่า จิตวิญญาณบริสุทธิ์ จึงหลุดพ้นไปจากอำนาจแรงดึงดูดของโลกได้ สามารถกลับไปเป็นจิตจักรวาลดังเดิมเพื่อกลับคืนสู่สถานที่เดิมที่ตนเคยดำรงอยู่ก่อนเข้ามาสู่มิติโลกต่อไป ในความหมายว่า "นิพพาน" ของมนุษย์ นั่นเอง

    และรหัสบุรพกรรมแม่เหล็กไฟฟ้า ก็คือพลังงานกรรมบวกและลบ ที่เป็นคุณสมบัติส่วนเกินที่ติดไปกับจิตวิญญาณที่นำพาให้ต้องมาเกิดวนเวียนในวัฏฏสสาร นั่นเองค่ะ
     
  5. ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จิตของพระอรหันตสัมมาฯ
    ไปได้ทั่ว 3 แดนโลกธาตุ
    ทั่วอนันตจักรวาล

    เราคงทำไม่ได้ขนาดนั้น เอาแค่ให้ว่างๆ
    พ้นจากการครอบงำของกิเลสก็หรู
    แล้วฮับ
     
  6. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    การเกิดภพชาติของมนุษย์

    การที่จิตจักรวาลดวงเล็กแบ่งภาคให้จิตวิญญาณมาสู่รูปธรรมมนุษย์ ซึ่งโลกได้สร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือร่างกายมนุษย์เอาไว้ เพื่อให้จิตวิญญาณแต่ละดวงได้อาศัยเป็นเครื่องมือในการสร้างพลังงานบวก เพื่อกระตุ้นให้จิตสำนึกเกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกตามกฎของจิตจักรวาล สู่ความสมดุลของระบบโลกเองในจักรวาลนี้ ด้วยเงื่อนไขบทเรียนในพันธสัญญาที่สร้างไว้ตั้งแต่ต้น

    เมื่อจิตวิญญาณมาสู่รูปธรรมโลกมนุษย์เข้าจริง ๆ ปรากฎว่าบานประตูระหว่างมิติถูกปิดสนิทจนมนุษย์นั้นไม่รู้ที่มาที่ไปของตนเองเลย จึงได้ก่อกรรมด้านลบเป็นพันธกรรม ทับซ้อนขึ้นมากมาย พลังงานกรรมที่สร้างขึ้นไม่อาจสูญหายไปไหนได้ กลุ่มพลังงานกรรมนั้นจะไร้พลังอำนาจก็ต่อเมื่อเจ้าของมัน ทำให้แตกสลายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางแทรกซึมไปทั่วจักรวาลแล้วเท่านั้น คุณสมบัติของกรรมนั้นจึงจะหมดไปได้
     
  7. ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ความรู้เรื่องจิตจักรยานไม่สามารถ
    ทำให้สัตว์โลกพ้นจากวัฏสงสารได้ฮับ
    แต่ความรู้ หรือHow to
    ที่สามารถทำจิตให้ว่าง
    ได้จิตจะรู้การละกิเลสอนุสัย
    จนสะอาดบริสุทธิ์และดับภพดับชาติได้
    น่าสนใจกว่าเยอะ
    เพราะเป็นเป้าหมายสูงสุดของ
    ศาสนาพุทธฮับ
     
  8. Reflect เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    887
    ค่าพลัง:
    +1,439
    เราไม่รู้จักจิตจักรยานของท่านแมว รู้จักแต่ลัทธิจิตรูทวารของ ป.ปัญญาอ่อน
     
  9. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    จิตจักรวาลติดต่อกับมนุษย์โดยตรงเพื่อสิ่งใด?

    1.เพื่อแจ้งข่าวสารจากจักรวาลให้มนุษย์รู้ว่า ขณะนี้จักรวาลกำลังกระทำการทางเทคนิค ต่อโลกและมนุษย์ เพื่อยกระดับความสมดุลทางพลังงานสู่สมการสามมิติระดับ 666 เพื่อนำมนุษย์กับโลกเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้ามาก่อน พร้อมแจ้งมนุษย์ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? ต้องเผชิญกับเคราะห์ภัยแบบใด และควรปฏิบัติตนอย่างไร?

    2.มอบพลังงานความรักให้แก่มนุษย์โลกด้วยความรู้ใหม่ และเฉลยบททดสอบเก่าที่มนุษย์สอบตกกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องบทเรียนกรรม พร้อมคำแนะนำเรื่องวิธีการกำจัดกรรมและการทำกรรมอดีตให้เป็นโมฆะ การรักษาชีวิตให้ยืนยาว และอื่น ๆ

    3.เปิดเผยความลับเบิ้องหลังมิติโลก ที่มนุษย์ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน

    4.เปิดเผยความรู้ใหม่อภิปรัชญา ในสิ่งที่มนุษย์อธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และการกระทำของมนุษย์เองในมิติคู่ขนาน

    5.แนะนำให้มนุษย์ทำตนให้เป็นหนี่งเดียวกันกับโลก เพื่อสร้างพลังอำนาจให้แก่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ในการดำรงอยู่ในระบบสุริยจักรวาลอย่างปลอดภัย แกนโลกไม่พลิกคว่ำ เทหวัตถุจากภายนอกไม่อาจเข้าพุ่งชนโลกได้ และอื่น ๆ

    6.เปิดเผยนามรูปธรรมชั้นสูง ที่เข้ามาช่วยเหลือรักษาความสมดุลทางพลังงานการค้ำจุนคลื่นสนามแม่เหล็กโลกเป็นต้น

    7.เปิดเผนวันสิ้นยุคพลังงานเก่า และมนุษย์จะถูกบททดสอบด้วยบทเรียนใหม่ที่ท้าทายกว่า นั่นคือการสร้างจิตสำนึกแห่งดาวเคราะห์โลก และการเผชิญหน้ากับรูปธรรมมีชีวิตและจิตสำนึกจากต่างเผ่าต่างดาวกาแล็กซี่ ซึ่งกจักรวาลกำลังเปิดมิติให้อยู่ในขณะนี้

    8.ต้องการให้มนุษย์ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องมากกว่ายุคพลังงานเก่า ให้มีสติทางวิญญาณมากขึ้น เลิกศรัทธาลุ่มหลงในตัวตนในวัตถุ รู้จักใช้สติปัญญาที่มีอยู่แทนความงมงายในอวิชชาใด ๆ โดยยินดีจะเฉลยคำตอบที่เหมาะสมให้เพื่อลบล้างความงมงายในอวิชชาใด ๆ เพื่อยกเลิกคำว่า ศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ ให้หมดหรือน้อยลงไป ให้มนุษย์มีโอกาสเข้าถึงอภิปรัชญศาสตร์ที่แท้จริงของจักรวาลให้มากขึ้น

    9. แจ้งนิยามใหม่ของคำว่า สมาธิ สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ และใช้มันได้ทันทีที่ต้องการโดยไม่ต้องปลีกวิเวกเหมือนยุคพลังงานเก่า อันเป็นอำนาจใหม่ที่จักรวาลได้มอบให้มนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว
     
  10. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ไม่สนใจที่มาที่ไปของตนเองบ้างหรือคะ

    มนุษย์ทุกคนที่มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนแก่นแท้ ไม่ว่าชาติใด ศาสนาใด สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์ที่ต้องการหลุดพ้นแท้จริง ซึ่งเป็นอุปสรรคมากที่สุดที่จะต้องฝ่ามันไปให้ได้ โดยเริ่มจากคำถามที่มนุษย์ต้องตอบตนเองให้ได้ พอสังเขป ดังต่อไปนี้

    1.การมีสองภาคของตนเอง (สองมิติ) คืออย่างไร?

    2.กฎแห่งกรรมคืออะไร?

    3.การสร้างพลังอำนาจในตนเอง เพื่อการหยั่งรู้ให้รู้แจ้งสู่การหลุดพ้นต้องทำอย่างไร?

    4.นิพพานคืออะไร ? จะเข้าถึงนิพพานแท้จริงได้อย่างไร?

    5.วงเวียนกรรมของตนเองเกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครเป็นผู้ควบคุมมัน?

    6.หน้าที่ของตนที่แท้จริงในการเกิดมาเป็นมนุษย์คืออะไร?

    7.ศาสดาแต่ละศาสนามอบแก่นแท้สัจธรรมแก่มนุษย์ทำไม? อะไรคือแก่นแท้นั้น?

    ถ้ามนุษย์สามารถค้นหาคำตอบเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง สภาวะการรู้แจ้งเบื้องต้นจะเกิดขึ้นทันที วงเวียนกรรมจะหมันช้าลงจนหยุดนิ่งได้ในที่สุด ถ้ามนุษย์แปลความหมายจากคำตอบทั้งหมดสู่การกระทำที่ถูกต้องกว่า จากความรู้ใหม่เหล่านี้ได้
     
  11. ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จิตจักรยานจะสื่อสารกับสัตว์โลกได้ในวง
    จำกัดเท่านั้น
    ใช่ว่าทุกคนจะรับการติดต่อได้
    คงมีเฉพาะมนุษย์ที่มีจิตบริสุทธิ์ดุจเดียวกับ
    นักบวชในศาสนาพุทธ
    ได้แก่อริยะบุคคลทั้งหลายซึ่งในศาสนาพุทธ
    หรือจากศาสนาอื่นๆ ด้วย
    สำหรับพุทธขน
    เองก็มีผู้ส่งข่าวสารเชิงพยากรณ์
    ต่อสาธารณะ
    ที่ไม่ได้อ้างที่มาว่าได้รับสารมา
    ใครที่ไหน
    เพราะจิตที่ว่างของเหล่าอริยะบุคคล
    เองก็หยั่งรู้ได้เองอยู่แล้วฮับ
     
  12. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    โลกนี้คือมายา

    "การหลงมิติทางกายภาพ" เหตุใดพระบิดา(แก่นแท้สุญญตา) จึงกล่าวเช่นนั้น....

    เพราะมนุษย์ทั้งหลายไม่ว่าจะคิดแบบจิตสามัญทั่วไป หรือคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ ต่างก็หลงมิติกายภาพของสรรพสิ่งและปรากฎการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดทั้งหลายอยู่ด้านเดียว สิ่งใดที่สัมผัสรู้ดูเห็นไม่ได้ มนุษย์จะเชื่อว่า สรรพสิ่งนั้นไม่มี เสมอ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด

    มนุษย์ต้องรู้ว่า ไม่ว่าจะคิดแบบวิทยาศาสตร์โลกหรือว่าจะคิดแบบจิตมนุษย์ ในการศึกษาเรียนรู้สรรพสิ่งใด ๆ ถ้ามนุษย์มองมิติกายภาพอยู่ด้านเดียว เห็นที่จะผิดพลาดบกพร่อง เกิดความสับสนตนเองเสียตั้งแต่แรกแล้ว

    สิ่งที่เป็นสสารมวลธาตุทั้งหลายแบ่งได้ 4 กลุ่ม

    ของแข็ง
    ของเหลว
    ก๊าซ
    พลังงาน


    สรรพสิ่งที่เป็นก๊าซ และพลังงานทั้งหลาย สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยอวัยวะประสาทสัมผัสได้ง่าย ๆ ดังของแข็งกับของเหลวหรือไม่ ?

    พอสัมผัสก๊าซหรืออากาศได้เป็นเพียง "ลม" เมื่อพัดโบกผิวกาย แต่ทว่าไม่อาจรับรู้ "รูปธรรมหรือตัวตน" ของอากาศหรือคลื่นพลังงานได้เลยว่า ทรวดทรง รูปลักษณ์ หน้าตา เป็นเช่นไร? รายละเอีดยดของบุคคลิกมันเป็นเช่นไรมิใช่หรือ?

    การหลงมิติกายภาพของมนุษย์คือ การหลงยึดติดในตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งทั้งหลายนั่นเอง

    ความมีตัวตนรูปลักษณ์ในมิติทางกายภาพของจักรวาล ที่มนุษย์หลงงมงาย สามารถแบ่งได้ คือ

    1.สรรพสิ่งที่เป็นมวลวัตถุหยาบ ๆ ทั้งหลาย
    2.ปรากฎการณ์ต่าง ๆ
    3.อาการทางจิตหรืออารมณ์รู้สึกทั้งหลายของมนุษย์ที่ตนรับรู้ได้
    4.พฤติกรรมการแสดงออกหรือการกระทำใด ๆ ของมนุษย์ที่ต่างสังเกตุได้


    มนุษย์ทั้งหลายต่างยึดเอา 4 ประเภทที่กล่าวนั้น เป็นตัวตนตั้งมั่นอยู่ในสภาวะจิตของตน อันประกอบด้วย การสัมผัสรู้ของจิตอยู่ 2 อย่าง คือ

    1.รับรู้ว่าสรรพสิ่งนั้นมีอยู่ ดำรงอยู่
    2.การรับเอาว่าสรรพสิ่งนั้นมีจริง เป็นจริง

    เมื่อเกิดการรับรู้แล้วเกิดอาการหลงทางมิติกายภาพ มุ่งถามหาแต่ตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่ง แม้บางสิ่งจะเป็นเพียงแค่"เงา" เป็นเพียงแค่ "ภาพ" เป็นเพียงแค่ "ความรู้สึกนึกคิด" อันเกิดจากอารมณ์และจินตนาการของตนเอง ก็สามารถทึกทักเอา เป็นตัวตนเป็นรูปลักษณ์ ด้วยการ"รับเอา" ตัวตนหรือสรรพสิ่งที่ตนได้รับรู้แล้วว่า มีอยู่ ดำรงอยู่ และบอกตนเองว่าสรรพสิ่งนั้น มีจริง เป็นจริง เพื่อสร้างกระบวนการปรุงแต่งทางอารมณ์ ในอันที่จะนำไปสู่การแสดงออกหรือตอบสนองอารมณ์ของตนที่มีต่อสรรพสิ่งนั้นต่อไป

    การหลงยึดติดถามหาแต่ตัวตนรูปลักษณ์ และเชื่อคิดเข้าใจเองว่า ในจักรวาลอันไพศาลนี้รวมทั้วบนพื้นผิวดาวเคราะห์โลกของตนนั้ ในความมีอยู่จริง ดำรงอยู่จริง ของสรรพสิ่งทั้วหมดทั้งหลายที่พระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ในสนามพลังงานเอกภพนั้น มีเพียงด้านเดียว คือ ด้านกายภาพ จึงมุ่งเรียนรู้ใส่ในยึดติดกันอยู่เพียงด้านเดียว เป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง

    มนุษย์ยังต้องรู้อีกว่า แท้แล้วทุก ๆ สรรพสิ่ง ไม่ว่าจะมีเครื่องยนต์แห่งกรรมมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์แบบใด ไม่ว่าจะมีมวลขนาดเล็กสุดหรือใหญ่สุด ไม่ว่าสรรพสิ่งนั้นจะอยู่ใกล้สุดหรือไกลสุด ไม่ว่าจะสัมผัสมันได้โดยตรงหรือสังเกตุโดยอ้อมผ่านปรากฎการณ์ อาการ หรือ พฤติกรรมของมันก็ตาม

    สรรพสิ่งดังกล่าวเหล่านั้น มันเป็นแค่เพียงเปลือกนอกของบางสิ่ง ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงที่เร้นอยู่ข้างใน หรือที่มนุษย์ไม่อาจสัมผัสรู้ดูเห็นตัวตนแท้จริงของมันได้ ด้วยกลไกอวัยวะประสาทสัมผัสรู้ของมนุษย์เองต่างหาก

    มนุษย์ควรเรียก "ตัวตนแท้จริง" ที่เร้นอยู่ข้างในสรรพสิ่งที่เป็นตัวตนทางกายภาพ (ที่มนุษย์เหมาเอาว่าสรรพสิ่งที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น มันมีอยู่จริงเป็นจริง แท้ที่จริงมันเป็นเงา) สิ่งที่เร้นอยู่ข้างในนั้น คือ "ตัวตนแก่นแท้

    เดี๋ยวค่อยมาต่อกันค่ะ....
     
  13. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มนุษย์ต้องรู้เพิ่มเติมอีกว่า ทุกสรรพสิ่งที่พระบิดา (แก่นแท้สุญญตา หรือ มหาสุญญตา) ที่ทรงสร้างขึ้นมาบนสนามพลังงานเอกภพ ไม่ว่าจะเป็นดวงดาว เทหวัตถุ และสรรพสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหลาย โครงสร้างทางกายภาพของจักรวาลในแต่ละสรรพสิ่ง ซึ่งเหมือน ๆ กันอยู่ 2 ส่วน คือ

    1.ส่วนเปลือกนอกของสรรพสิ่งนั้น (ตัวตนกายภาพ วัตถุ)
    2.ส่วนแก่นแท้ของสรรพสิ่งนั้น (พลังงาน)


    สมมุติตามตัวอย่าง...ดั่งภาพล่างนี้



    เนื่องจากองค์บิดา ซึ่งเป็นผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิดถ้วนทุกสรรพสิ่งที่กล่าวมานั้น ทรงเป็นรูปธรรมทางพลังงานระดับ"มหาสุญญตา" และทรงเป็นแก่นแท้ของจักรวาล ทรงเป็นจิตแห่งจักรวาล ดังนั้น บุตรทั้งหลายของพระองค์ หรือทุกสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหลาย ย่อมต้องได้รับการถ่ายถอดความเหมือนกันทางบุคลิกภาพจากองค์พระบิดาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

    ถ้าพระองค์ทรงมีรูปธรรมเป็น "พลังงาน" บุตรทั้งหลายของพระองค์ย่อมต้องมีรูปธรรมเป็น "พลังงาน" ด้วยกันทั้งสิ้น มันมิได้แตกต่างไปจากการให้กำเนิดบุตรของบิดามารดาผู้มีเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นรูปธรรมมนุษย์หรือสัตว์ประจำโลกแต่อย่างใด กล่าวคือ

    ถ้าบิดามารดา เป็นมนุษย์ บุตรที่ให้กำเนิดจากครรภ์มารดานั้น ย่อมต้องเป็นมนุษย์

    ถ้าบิดามารดาเป็นสัตว์ชนิดใด บุตรที่ให้กำเนิดจากครรภ์หรือไข่ของบิดามารดานั้ร ก็ย่อมต้องเป็นสัตว์ชนิดนั้นเสมอ

    กรณีการให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายของพระบิดาจึงมิต่างกัน

    เพราะทรงมีรูปธรรมเป็น "พลังงาน" และทรงมีคุณสมบัติแห่ง "มหาสุญญตา" มีค่าคลื่นสั่นสะเทือนความถี่ด้านบวกสูงสุดด้านเดียว และมีอนุภาคประจุไฟฟ้าของคลื่นความถี่เป็นบวกร้อยเปอร์เซนต์ หรือ ทรงมีพลังงานความรักและคลื่นความรักเป็นทั้งพระบารมี และอำนาจ เมื่อทรงกำหนดสร้างสรรพสิ่งใด ๆ ขึ้น สรรพสิ่งนั้นย่อมมีบุคลิกลักษณะและคุณสมบัติเป็นพื้นฐานเช่นเดียวกันทุกประการ

    มนุษย์จึงต้องเรียกรูปธรรมทางพลังงานว่า "ตัวตนแก่นแท้" เพราะพลังงานไม่ว่าจะเป็นรูปธรมประเภทใดคุณสมบัติใด เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีวันสูญหายไปไหนได้

    ดังนั้น โครงสร้างกายภาพของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล จึงประกอบด้วยสองส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนของเปลือกนอก และส่วนของตัวตนแก่นแท้ที่เป็นพลังงาน ซึ่งเร้นอยู่ภายในดังภาพประกอบ นั่นเอง

    การที่เรียกสังขารร่างกายที่เป็นเปลือกนอกของแก่นแท้ของมนุษย์ว่า "เครื่องยนต์แห่งกรรม" ทรงเรียกบุคลิกลักษณะหรือรูปลักษณ์ของเครื่องยนต์แห่งกรรมนี้ว่า "รูปธรรมมนุษย์" และทรงเรียกนามแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคนส่า "จิตญาณ หรือ จิตวิญญาณ" โดยที่เมื่อแรกสร้างนั้น จิตวิญญาณแก่นแท้นี้ เป็นรูปธรรมทางพลังงานซึ่งมีคุณสมบัติทางพลังงานและอำนาจทางไฟฟ้าแม่เหล็กเฉพาะรูปธรรมเป็นด้านบวก คือ เป็นสุญญตา เช่นเดียวกันกับผู้เป็นพระบิดาทั้งสิ้น

    มนุษย์และสรรสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จึงล้วนมีแก่นแท้หรือตัวตนแท้จริงของตนเองเร้นอยู่ภายในด้วยกันทั้งสิ้น

    ขณะที่รูปธรรมทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้ คือ สิ่งที่ดำรงอยู่อย่างนิรันดร์ ไม่ว่าจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร พลังงานก็ยังเป็นพลังงานอยู่วันยังค่ำ ผู้ที่ต้องแปรเปลี่ยนตนเองไปตามการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางพลังงานของแก่นแท้ก็คือ ตัวตนเปลือกนอก หรือ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะ นั่นต่างหาก สรรพสิ่งที่เป็นเปลือกนอกของแก่นแท้ที่เรียกว่า "เครื่องยนต์แห่งกรรม" จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปตามสภาวะของแก่นแท้ของตนเองเสมอ

    การที่มนุษย์สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดสรรพสิ่งหนึ่งยังดำรงอยู่ ยังมีอยู่ ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ มนุษย์จึงไม่อาจจะไปหลง ยึดติด ตัวตนทางกายภาพของสรรพสิ่งนั้นได้เลย เพราะแม้มันจะมีให้เห็นอยู่ แต่มันก็เป็นสรรพสิ่งที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปได้เสมอ ความเที่ยงแท้แน่นอนในตัวตนรูปลักษณ์ใด ๆ ที่แลเห็นจึง "ไม่มี"

    เมื่อสรรพสิ่งที่มนุษย์เห็นว่ามีตัวตนรูปลักษณ์เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมหลากหลายนั้น มันพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปตามกระบวนการของแก่นแท้ภายในของมันเองอยู่ตลอดเวลา มนุษย์จะไปหลงยึดติดด้วยเชื่ออย่างปักใจว่า มันเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ แน่นอน เป็นจริง มีจริง เหมือนอย่างที่สัมผัสรู้ดูเห็นกันได้อย่างไร

    การที่มนุษย์มองเห็นว่า สรรพสิ่งนั้นดำรงอยู่อย่างยาวนานจนตลอดชั่วอายุขัยของตน นั่นมิใช่คำตอบที่จะสามารถบอกได้ว่า สรรพสิ่งที่แลเห็นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพราะทุก ๆ สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามจริงที่จริงแท้ดังกล่าวมาข้างต้นด้วยกันทั้งสิ้น

    เพราะในเมื่อทุกสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมาหรือเป็นผลลัพธ์อันเกิดจากกระบวนการทางพลังงานของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายใน และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเสมอเช่นนี้แล้ว

    มนุษย์จะเชื่อได้กระนั้นหรือว่า "ทุกสรรพสิ่งที่มีตัวตน" ในทางมิติกายภาพที่สัมผัสรับรู้ได้ เป็นสรรพสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวรจนมนุษย์เองหรือใคร ๆ สามารถที่จะยึดครองทุก ๆ สรรพสิ่งนั้นไว้ได้ตลอดไป เพราะสรรพสิ่งที่แลเห็นหรือสัมผัสรู้ได้ มันเป็นเพียงสรรพสิ่งที่เป็นตัวแทนของ "คุณสมบัติ" ทางพลังงานของแก่นแท้ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเสมอ

    เมื่อคุณสมบัติของแก่นแท้เปลี่ยนไปเมื่อใด สรรพสิ่งที่เป็นเปลือกนอกนั้นย่อมต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

    แสดงว่าสิ่งที่มนุษย์รู้เห็นอยู่ มีอยู่ หรือครอบครองมันอยู่ในมิติทางกายภาพของโลก ไม่ว่าสิ่งใด มันล้วนมิใช่สรรพสิ่งที่เป็นจริงด้วยกันทั้งสิ้น

    สรรพสิ่งที่ "ไม่จริง" แต่ดูเหมือนว่าจริง เพราะเป็นตัวแทน ของแก่นแท้ที่มีอยู่จริง ก็คือ "มายา" ใช่หรือไม่? มายาของแก่นแท้ ที่มนุษย์เรียกว่า "เงา" ทั้งสิ้น

    "โลกนี้ คือ มายา"
     
  14. ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไม่ใช่เป็นเรื่องจำเป็นที่ทุกคนต้องทราบ
    ให้เป็นความจำเป็นเฉพาะสำหรับ
    ผู้ที่เป็นนักบรรยายขายความเชื่อ
    ในเรื่องทางศาสนาของพระเจ้า

    แต่สำหรับชาวพุทธควรขวนขวายให้รู่
    วิธีการชำระจิตและทำใจให้ว่าง ด้วยสติสัมปชัญญะ
    เพื่อให้รู้ความจริงของรูปนามขันธ์ 5
    เพื่อความเห็นแจ้งใน
    ทุกขอริยสัจจ์ฮับ
     
  15. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    หลักไตรลักษณ์ค่ะ
    เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
    ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ เหตุเปลี่ยนผลย่อมเปลี่ยนค่ะ
    แล้วการที่เรารู้ว่ารูปธรรมพลังงานที่มีแก่นแท้เป็นอนัตตา หากเราพิจาณา เราจะเข้าใจสภาวะธรรมชั้นสูงได้ค่ะ
    ที่แน่ ๆ คือ ต้องการให้รู้ว่า...ความจริงของทุกสรรพสิ่งคืออะไร ? จะเข้าใจความยีดติดรูปลักษณ์ ที่หลายคนเข้าใจว่าที่มีอยู่จริง ๆ แล้วมาจากสิ่งใด และเข้าใจความไม่ใช่ตัวตนได้ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจด้านวิทยาศาตร์ค่ะ อาจจะไปกระตุ้นใจใครบางคนอยากให้เรียนรู้หรือศึกษาต่อก็ได้
     
  16. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เพราะคิดอย่างนี้ อารมณ์จึงเป็นเช่นนี้
    เพราะอารมณ์เป็นเช่นนี้ จึงเกิดการกระทำแบบนี้

    เพราะความคิดดับ อารมณ์จึงหยุด
    เพราะอารมณ์ไม่มี การกระทำก็ไม่มี

    เพราะนิสัยยังอยู่ การกระทำจึงเหมือนเดิม
    เพราะนิสัยเปลี่ยนไป การกระทำจึงเปลี่ยนแปลง

    เพราะสร้างเหตุสุข จึงได้รับสุข
    เพราะสร้างเหตุทุกข์ ทุกข์จึงเกิด

    เพราะสร้างกรรมไว้ จิตจึงสร้างรูป
    เพราะกรรมหมดไป จิตจึงบริสุทธิ์ถึงนิพพาน
     
  17. Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    นี่ยังไม่เลิกอีกเรอะวะ ถามจริงๆ? นี่เม้นท์สุดท้ายแล้วนะ "ไอ้ที่คุณได้สัมผัสมาจนมาเขียนอะ มันมีอัตตามะ?" ถ้าไม่มีก็เขียนไปตรงๆว่าไม่มี มีแต่สติ(รู้)ล้วนๆ แล้วมันเกี่ยวไรกับ "จิตจักรวาล" ? คือทำไม "ยึดติดกับคำๆนี้มากเลยอะ? อยากเป็นมากไง? จิตในความหมายผมคือ "อัตตาจิต/วิญญาณขันธ์" และจักรวาล = นอกโลก และมันพ้นตนตรงไหนอะ? ถ้าสภาวะไหนที่ได้รู้มันไม่มีตน "มึงจะสร้างให้มีตนอีกก็เรื่องของมึงแล้วละ" ไอ้ห่าเอ้ย "โปรดสัตว์ได้บาปจริงๆ"
     
  18. Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    แล้วก็ไม่ใช่ตามที่โม้เขียนไว้เลย "เขาใจดีอยากให้เห็นจริง เลยดึง "วิญญาณขันธ์/ตน" ออกเพราะโม้ถึงพลังงานไว้มาก "พอดึงไปไอ้ห่ากระแดะจะไปตามด้วยอีก เพราะเสือกตกอยู่ใต้อิทธิพลของแรงดึงดูด ทั้งๆที่สภาวะที่ไม่มีตนและรู้ตามสัจธรรมมีอยู่ ยังเสือกกระแดะตามแรงดึงดูดของอัตตาไป จนกระทั่งต้องแกะแม่งจนกว่าจะออก แล้วค่อยไปส่งคืนไม่งั้นเดี๋ยวกายมนุษย์เป็นห่านไรอีกจะจุติไหมเนี่ย "แล้วพอกลับไป ไอ้ห่านดันเสือกมโนมาเต็ม ทั้งๆที่สภาวะตอนนั้น "แม่งไม่มีตนมีแต่สติ/รู้ล้วนๆและรู้ตามจริงที่ปรากฏ" อนิจจิง ทุกขัง อนัตตา โปรดสัตว์ได้บาปจริงๆ น่าสงสาร "คนที่คุณยัดเยียดเขาให้เป็น god นะฮับ"
     
  19. Reflect เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    887
    ค่าพลัง:
    +1,439
    ลัทธิจิตรูทวารมันมั่วซั่วไปหมดเอาคำสอนของพุทธกับคริสต์มาปนมั่วกันหมด ยิ่งอ่านยิ่งงง พลังงาน hee tad อะไรบ้าบอ ปญอ. มีความพยายามจะดึงคนพุทธที่กำลังหลงทางให้เข้าไปลัทธินอกรีตและกำลังบ่อนทำลายพุทธศาสนา สอนอะไรมั่วไปหมด แต่ก็อย่างว่าไม่ได้รับความนิยมเพราะคนก็ไม่ โง่ พอที่จะคล้อยตามได้ง่าย
     
  20. คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402
    ถ้าจะเอาความจริง บล๊อกกันทำไมค่ะ นั่งพิมพ์ให้เป็นครึ่งค่อนชั่วโมง ผลปรากฎว่า ไม่สามารถเข้าเว็บไซด์ได้ ต้องยืมโทรศัพท์คนอื่นมาโพส
     

แชร์หน้านี้