การทำบุญแบบพุทธะมีออพชั่น และสเป็คที่
มากกว่านี้ บางออพชั่นมีคุณค่าและมีผลสูง
มากทั้งที่หวังหรือไม่หวัง
ที่สำคัญคือต้องมีปัญญากำกับ
ด้วยทุกออพชั่น
ฮับ
เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.
หน้า 58 ของ 183
-
-
การหยั่งรู้ในยุคพลังงานใหม่นี้ มีความรู้แปลก ๆ ใหม่มาให้กันค่ะ เขาบอกว่า จากระยะห่างจากจุดกึ่งกลางจากโลกออกไป 60,000 กิโลเมตร จะมีสนามพลังงานทางการคิดรู้ เชื่อมโยงกับสนามพลังงานแม่เหล็กโลกอย่างลงตัว สนามพลังงานแห่งการคิดรู้ ซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลรู้ของศาสตร์แขนงต่าง ๆ มากมาย รูปธรรมที่เก็บคุณสมบัติข้อมูลต่าง ๆ ไว้ก็คือ จิตจักรวาล
มนุษย์สามารถสร้างกระบวนการคิดรู้ระบบใหม่ โดยใช้สมองซีกขวานำซ้ายในสภาวะสมาธิ เพื่อสร้างคลื่นการคิดให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสามารถปลดปล่อยคลื่นการคิดผ่านช่องทางตาที่สามบริเวณหน้าผากออกมาภายนอกร่างกาย สู่สนามแม่เหล็กโลกเส้นใดเส้นหนึ่ง แส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกจะเป็น ผู้นำทาง นำคลื่นการคิดรู้นั้นสู่สนามพลังงานจักรวาลสัมผัสกับจิตจักรวาลดวงใดดวงหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติข้อมูลที่ต้องการ แล้วรับเอาคุณสมบัตินั้นกลับเข้ามาสู่ศูนย์กลางการคิดรู้ที่สมองมนุษย์อีกครั้ง การเดินทางไปและกลับของคลื่นการคิดรู้ จะใช้เวลาเท่ากับการเดินทางของจิตจักรวาลที่ความเร็วแสงซึ่งเปลี่ยนค่าเป็นสองเท่าในทุกวินาที
กระบวนการคิดรู้แบบใหม่เพื่อให้ได้ผลึกการคิดรู้เช่นนี้เรียกว่า วิธีการหยั่งรู้ เป็นความรู้ที่ได้มาโดยไม่ต้องผ่านการเรียนรู้ การตั้งสมมุติฐาน การคาดคะเน การสร้างจินตนาการ และการพิสูจน์ทดลองด้วยการลองผิดลองถูกใด ๆ เพียงแต่สร้างกระบวนการคิดรู้ จะต้องมีคำถามที่ตนอยากรู้เข้าไปในสมาธิ เท่านั้น
ของลุงแมวเป็นอย่างนี้เปล่าคะ มีข้อมูลแปลก ๆ ใหม่ ในโลกนี้ที่หลายคนยังไม่รู้ และอยากรู้ บางคนก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่สมควรต้องรู้ อะไรที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ บางคนอาจจะรู้แล้วก็ได้ และหลายคนที่ยังไม่รู้ โดยเฉพาะตนเอง จะนำมาลงไว้ให้อ่านกันค่ะ -
จิตจักรยานกับจิตที่มีสติควบคุมให้มีแต่ความว่าง
ก็คือสิ่งเดียวกัน
หรือนัยหนึ่งคือ
จิตที่ครองกายนี้ถ้ามีสติควบคุม
ให้อยู่ในสภาวะว่างก็รู้
เท่ากับจิตจักรยานรู้ เพราะเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกัน
ไม่มีไรน่าตื่นเต้ลล์ฮับ -
จิตจักรวาลไม่มีประจุไฟฟ้า สามารถเดินทางข้ามมิติได้ และรับรู้แรงดึงดูดของโลกได้
จิตจักรวาลต่างจากเทพพรหมอย่างไร ?
บรรดาเทพพรหมเทวา ไม่อาจนำพาตนเองกลับสู่คุณสมบัติเดิมในการเป็นจิตจักรวาลที่สมดุล เพื่อกลับคืนมิติเดิมได้ เพราะยังมีพลังงานหยาบ ๆ ติดตัวไปเป็นคุณสมบัติพลังงานของตนอยู่ พลังงานส่วนนี้เรียกว่า พลังงานกรรมที่มีคุณสมบัติด้านบวกและด้านลบ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบวกมากกว่าลบ เนื่องจากพลังงานกรรมหยาบ ๆ แม้คุณสมบัติด้านบวกก็ตาม มันสามารถรับรู้แรงดึงดูดของโลกได้ จะกลายเป็นส่วนเกินเหนี่ยวรั้งให้จิตวิญญาณนั้น ดำรงอยู่ในจักรวาลโลกต่อไปตรงบริเวณใกล้ ๆ สุดเขตจักรวาลโลก ที่เรียกว่าสวรรค์พรหมโลกนั่นเอง
การปลดเปลื้องคุณสมบัติพลังงานกรรมที่เป็นส่วนเกินของจิตวิญญาณของตนเองให้หมด จนเหลือความเป็นแก่นแท้ของตนอย่างแท้จริง ที่มนุษย์เรียกว่า จิตวิญญาณบริสุทธิ์ จึงหลุดพ้นไปจากอำนาจแรงดึงดูดของโลกได้ สามารถกลับไปเป็นจิตจักรวาลดังเดิมเพื่อกลับคืนสู่สถานที่เดิมที่ตนเคยดำรงอยู่ก่อนเข้ามาสู่มิติโลกต่อไป ในความหมายว่า "นิพพาน" ของมนุษย์ นั่นเอง
และรหัสบุรพกรรมแม่เหล็กไฟฟ้า ก็คือพลังงานกรรมบวกและลบ ที่เป็นคุณสมบัติส่วนเกินที่ติดไปกับจิตวิญญาณที่นำพาให้ต้องมาเกิดวนเวียนในวัฏฏสสาร นั่นเองค่ะ -
ไปได้ทั่ว 3 แดนโลกธาตุ
ทั่วอนันตจักรวาล
เราคงทำไม่ได้ขนาดนั้น เอาแค่ให้ว่างๆ
พ้นจากการครอบงำของกิเลสก็หรู
แล้วฮับ -
การที่จิตจักรวาลดวงเล็กแบ่งภาคให้จิตวิญญาณมาสู่รูปธรรมมนุษย์ ซึ่งโลกได้สร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือร่างกายมนุษย์เอาไว้ เพื่อให้จิตวิญญาณแต่ละดวงได้อาศัยเป็นเครื่องมือในการสร้างพลังงานบวก เพื่อกระตุ้นให้จิตสำนึกเกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกตามกฎของจิตจักรวาล สู่ความสมดุลของระบบโลกเองในจักรวาลนี้ ด้วยเงื่อนไขบทเรียนในพันธสัญญาที่สร้างไว้ตั้งแต่ต้น
เมื่อจิตวิญญาณมาสู่รูปธรรมโลกมนุษย์เข้าจริง ๆ ปรากฎว่าบานประตูระหว่างมิติถูกปิดสนิทจนมนุษย์นั้นไม่รู้ที่มาที่ไปของตนเองเลย จึงได้ก่อกรรมด้านลบเป็นพันธกรรม ทับซ้อนขึ้นมากมาย พลังงานกรรมที่สร้างขึ้นไม่อาจสูญหายไปไหนได้ กลุ่มพลังงานกรรมนั้นจะไร้พลังอำนาจก็ต่อเมื่อเจ้าของมัน ทำให้แตกสลายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางแทรกซึมไปทั่วจักรวาลแล้วเท่านั้น คุณสมบัติของกรรมนั้นจึงจะหมดไปได้ -
ทำให้สัตว์โลกพ้นจากวัฏสงสารได้ฮับ
แต่ความรู้ หรือHow to
ที่สามารถทำจิตให้ว่าง
ได้จิตจะรู้การละกิเลสอนุสัย
จนสะอาดบริสุทธิ์และดับภพดับชาติได้
น่าสนใจกว่าเยอะ
เพราะเป็นเป้าหมายสูงสุดของ
ศาสนาพุทธฮับ -
-
1.เพื่อแจ้งข่าวสารจากจักรวาลให้มนุษย์รู้ว่า ขณะนี้จักรวาลกำลังกระทำการทางเทคนิค ต่อโลกและมนุษย์ เพื่อยกระดับความสมดุลทางพลังงานสู่สมการสามมิติระดับ 666 เพื่อนำมนุษย์กับโลกเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้ามาก่อน พร้อมแจ้งมนุษย์ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? ต้องเผชิญกับเคราะห์ภัยแบบใด และควรปฏิบัติตนอย่างไร?
2.มอบพลังงานความรักให้แก่มนุษย์โลกด้วยความรู้ใหม่ และเฉลยบททดสอบเก่าที่มนุษย์สอบตกกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องบทเรียนกรรม พร้อมคำแนะนำเรื่องวิธีการกำจัดกรรมและการทำกรรมอดีตให้เป็นโมฆะ การรักษาชีวิตให้ยืนยาว และอื่น ๆ
3.เปิดเผยความลับเบิ้องหลังมิติโลก ที่มนุษย์ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
4.เปิดเผยความรู้ใหม่อภิปรัชญา ในสิ่งที่มนุษย์อธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และการกระทำของมนุษย์เองในมิติคู่ขนาน
5.แนะนำให้มนุษย์ทำตนให้เป็นหนี่งเดียวกันกับโลก เพื่อสร้างพลังอำนาจให้แก่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ในการดำรงอยู่ในระบบสุริยจักรวาลอย่างปลอดภัย แกนโลกไม่พลิกคว่ำ เทหวัตถุจากภายนอกไม่อาจเข้าพุ่งชนโลกได้ และอื่น ๆ
6.เปิดเผยนามรูปธรรมชั้นสูง ที่เข้ามาช่วยเหลือรักษาความสมดุลทางพลังงานการค้ำจุนคลื่นสนามแม่เหล็กโลกเป็นต้น
7.เปิดเผนวันสิ้นยุคพลังงานเก่า และมนุษย์จะถูกบททดสอบด้วยบทเรียนใหม่ที่ท้าทายกว่า นั่นคือการสร้างจิตสำนึกแห่งดาวเคราะห์โลก และการเผชิญหน้ากับรูปธรรมมีชีวิตและจิตสำนึกจากต่างเผ่าต่างดาวกาแล็กซี่ ซึ่งกจักรวาลกำลังเปิดมิติให้อยู่ในขณะนี้
8.ต้องการให้มนุษย์ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องมากกว่ายุคพลังงานเก่า ให้มีสติทางวิญญาณมากขึ้น เลิกศรัทธาลุ่มหลงในตัวตนในวัตถุ รู้จักใช้สติปัญญาที่มีอยู่แทนความงมงายในอวิชชาใด ๆ โดยยินดีจะเฉลยคำตอบที่เหมาะสมให้เพื่อลบล้างความงมงายในอวิชชาใด ๆ เพื่อยกเลิกคำว่า ศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ ให้หมดหรือน้อยลงไป ให้มนุษย์มีโอกาสเข้าถึงอภิปรัชญศาสตร์ที่แท้จริงของจักรวาลให้มากขึ้น
9. แจ้งนิยามใหม่ของคำว่า สมาธิ สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ และใช้มันได้ทันทีที่ต้องการโดยไม่ต้องปลีกวิเวกเหมือนยุคพลังงานเก่า อันเป็นอำนาจใหม่ที่จักรวาลได้มอบให้มนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว -
มนุษย์ทุกคนที่มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนแก่นแท้ ไม่ว่าชาติใด ศาสนาใด สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์ที่ต้องการหลุดพ้นแท้จริง ซึ่งเป็นอุปสรรคมากที่สุดที่จะต้องฝ่ามันไปให้ได้ โดยเริ่มจากคำถามที่มนุษย์ต้องตอบตนเองให้ได้ พอสังเขป ดังต่อไปนี้
1.การมีสองภาคของตนเอง (สองมิติ) คืออย่างไร?
2.กฎแห่งกรรมคืออะไร?
3.การสร้างพลังอำนาจในตนเอง เพื่อการหยั่งรู้ให้รู้แจ้งสู่การหลุดพ้นต้องทำอย่างไร?
4.นิพพานคืออะไร ? จะเข้าถึงนิพพานแท้จริงได้อย่างไร?
5.วงเวียนกรรมของตนเองเกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครเป็นผู้ควบคุมมัน?
6.หน้าที่ของตนที่แท้จริงในการเกิดมาเป็นมนุษย์คืออะไร?
7.ศาสดาแต่ละศาสนามอบแก่นแท้สัจธรรมแก่มนุษย์ทำไม? อะไรคือแก่นแท้นั้น?
ถ้ามนุษย์สามารถค้นหาคำตอบเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง สภาวะการรู้แจ้งเบื้องต้นจะเกิดขึ้นทันที วงเวียนกรรมจะหมันช้าลงจนหยุดนิ่งได้ในที่สุด ถ้ามนุษย์แปลความหมายจากคำตอบทั้งหมดสู่การกระทำที่ถูกต้องกว่า จากความรู้ใหม่เหล่านี้ได้ -
จำกัดเท่านั้น
ใช่ว่าทุกคนจะรับการติดต่อได้
คงมีเฉพาะมนุษย์ที่มีจิตบริสุทธิ์ดุจเดียวกับ
นักบวชในศาสนาพุทธ
ได้แก่อริยะบุคคลทั้งหลายซึ่งในศาสนาพุทธ
หรือจากศาสนาอื่นๆ ด้วย
สำหรับพุทธขน
เองก็มีผู้ส่งข่าวสารเชิงพยากรณ์
ต่อสาธารณะ
ที่ไม่ได้อ้างที่มาว่าได้รับสารมา
ใครที่ไหน
เพราะจิตที่ว่างของเหล่าอริยะบุคคล
เองก็หยั่งรู้ได้เองอยู่แล้วฮับ -
"การหลงมิติทางกายภาพ" เหตุใดพระบิดา(แก่นแท้สุญญตา) จึงกล่าวเช่นนั้น....
เพราะมนุษย์ทั้งหลายไม่ว่าจะคิดแบบจิตสามัญทั่วไป หรือคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ ต่างก็หลงมิติกายภาพของสรรพสิ่งและปรากฎการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดทั้งหลายอยู่ด้านเดียว สิ่งใดที่สัมผัสรู้ดูเห็นไม่ได้ มนุษย์จะเชื่อว่า สรรพสิ่งนั้นไม่มี เสมอ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด
มนุษย์ต้องรู้ว่า ไม่ว่าจะคิดแบบวิทยาศาสตร์โลกหรือว่าจะคิดแบบจิตมนุษย์ ในการศึกษาเรียนรู้สรรพสิ่งใด ๆ ถ้ามนุษย์มองมิติกายภาพอยู่ด้านเดียว เห็นที่จะผิดพลาดบกพร่อง เกิดความสับสนตนเองเสียตั้งแต่แรกแล้ว
สิ่งที่เป็นสสารมวลธาตุทั้งหลายแบ่งได้ 4 กลุ่ม
ของแข็ง
ของเหลว
ก๊าซ
พลังงาน
สรรพสิ่งที่เป็นก๊าซ และพลังงานทั้งหลาย สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยอวัยวะประสาทสัมผัสได้ง่าย ๆ ดังของแข็งกับของเหลวหรือไม่ ?
พอสัมผัสก๊าซหรืออากาศได้เป็นเพียง "ลม" เมื่อพัดโบกผิวกาย แต่ทว่าไม่อาจรับรู้ "รูปธรรมหรือตัวตน" ของอากาศหรือคลื่นพลังงานได้เลยว่า ทรวดทรง รูปลักษณ์ หน้าตา เป็นเช่นไร? รายละเอีดยดของบุคคลิกมันเป็นเช่นไรมิใช่หรือ?
การหลงมิติกายภาพของมนุษย์คือ การหลงยึดติดในตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งทั้งหลายนั่นเอง
ความมีตัวตนรูปลักษณ์ในมิติทางกายภาพของจักรวาล ที่มนุษย์หลงงมงาย สามารถแบ่งได้ คือ
1.สรรพสิ่งที่เป็นมวลวัตถุหยาบ ๆ ทั้งหลาย
2.ปรากฎการณ์ต่าง ๆ
3.อาการทางจิตหรืออารมณ์รู้สึกทั้งหลายของมนุษย์ที่ตนรับรู้ได้
4.พฤติกรรมการแสดงออกหรือการกระทำใด ๆ ของมนุษย์ที่ต่างสังเกตุได้
มนุษย์ทั้งหลายต่างยึดเอา 4 ประเภทที่กล่าวนั้น เป็นตัวตนตั้งมั่นอยู่ในสภาวะจิตของตน อันประกอบด้วย การสัมผัสรู้ของจิตอยู่ 2 อย่าง คือ
1.รับรู้ว่าสรรพสิ่งนั้นมีอยู่ ดำรงอยู่
2.การรับเอาว่าสรรพสิ่งนั้นมีจริง เป็นจริง
เมื่อเกิดการรับรู้แล้วเกิดอาการหลงทางมิติกายภาพ มุ่งถามหาแต่ตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่ง แม้บางสิ่งจะเป็นเพียงแค่"เงา" เป็นเพียงแค่ "ภาพ" เป็นเพียงแค่ "ความรู้สึกนึกคิด" อันเกิดจากอารมณ์และจินตนาการของตนเอง ก็สามารถทึกทักเอา เป็นตัวตนเป็นรูปลักษณ์ ด้วยการ"รับเอา" ตัวตนหรือสรรพสิ่งที่ตนได้รับรู้แล้วว่า มีอยู่ ดำรงอยู่ และบอกตนเองว่าสรรพสิ่งนั้น มีจริง เป็นจริง เพื่อสร้างกระบวนการปรุงแต่งทางอารมณ์ ในอันที่จะนำไปสู่การแสดงออกหรือตอบสนองอารมณ์ของตนที่มีต่อสรรพสิ่งนั้นต่อไป
การหลงยึดติดถามหาแต่ตัวตนรูปลักษณ์ และเชื่อคิดเข้าใจเองว่า ในจักรวาลอันไพศาลนี้รวมทั้วบนพื้นผิวดาวเคราะห์โลกของตนนั้ ในความมีอยู่จริง ดำรงอยู่จริง ของสรรพสิ่งทั้วหมดทั้งหลายที่พระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ในสนามพลังงานเอกภพนั้น มีเพียงด้านเดียว คือ ด้านกายภาพ จึงมุ่งเรียนรู้ใส่ในยึดติดกันอยู่เพียงด้านเดียว เป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง
มนุษย์ยังต้องรู้อีกว่า แท้แล้วทุก ๆ สรรพสิ่ง ไม่ว่าจะมีเครื่องยนต์แห่งกรรมมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์แบบใด ไม่ว่าจะมีมวลขนาดเล็กสุดหรือใหญ่สุด ไม่ว่าสรรพสิ่งนั้นจะอยู่ใกล้สุดหรือไกลสุด ไม่ว่าจะสัมผัสมันได้โดยตรงหรือสังเกตุโดยอ้อมผ่านปรากฎการณ์ อาการ หรือ พฤติกรรมของมันก็ตาม
สรรพสิ่งดังกล่าวเหล่านั้น มันเป็นแค่เพียงเปลือกนอกของบางสิ่ง ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงที่เร้นอยู่ข้างใน หรือที่มนุษย์ไม่อาจสัมผัสรู้ดูเห็นตัวตนแท้จริงของมันได้ ด้วยกลไกอวัยวะประสาทสัมผัสรู้ของมนุษย์เองต่างหาก
มนุษย์ควรเรียก "ตัวตนแท้จริง" ที่เร้นอยู่ข้างในสรรพสิ่งที่เป็นตัวตนทางกายภาพ (ที่มนุษย์เหมาเอาว่าสรรพสิ่งที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น มันมีอยู่จริงเป็นจริง แท้ที่จริงมันเป็นเงา) สิ่งที่เร้นอยู่ข้างในนั้น คือ "ตัวตนแก่นแท้
เดี๋ยวค่อยมาต่อกันค่ะ.... -
1.ส่วนเปลือกนอกของสรรพสิ่งนั้น (ตัวตนกายภาพ วัตถุ)
2.ส่วนแก่นแท้ของสรรพสิ่งนั้น (พลังงาน)
สมมุติตามตัวอย่าง...ดั่งภาพล่างนี้
เนื่องจากองค์บิดา ซึ่งเป็นผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิดถ้วนทุกสรรพสิ่งที่กล่าวมานั้น ทรงเป็นรูปธรรมทางพลังงานระดับ"มหาสุญญตา" และทรงเป็นแก่นแท้ของจักรวาล ทรงเป็นจิตแห่งจักรวาล ดังนั้น บุตรทั้งหลายของพระองค์ หรือทุกสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหลาย ย่อมต้องได้รับการถ่ายถอดความเหมือนกันทางบุคลิกภาพจากองค์พระบิดาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ถ้าพระองค์ทรงมีรูปธรรมเป็น "พลังงาน" บุตรทั้งหลายของพระองค์ย่อมต้องมีรูปธรรมเป็น "พลังงาน" ด้วยกันทั้งสิ้น มันมิได้แตกต่างไปจากการให้กำเนิดบุตรของบิดามารดาผู้มีเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นรูปธรรมมนุษย์หรือสัตว์ประจำโลกแต่อย่างใด กล่าวคือ
ถ้าบิดามารดา เป็นมนุษย์ บุตรที่ให้กำเนิดจากครรภ์มารดานั้น ย่อมต้องเป็นมนุษย์
ถ้าบิดามารดาเป็นสัตว์ชนิดใด บุตรที่ให้กำเนิดจากครรภ์หรือไข่ของบิดามารดานั้ร ก็ย่อมต้องเป็นสัตว์ชนิดนั้นเสมอ
กรณีการให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายของพระบิดาจึงมิต่างกัน
เพราะทรงมีรูปธรรมเป็น "พลังงาน" และทรงมีคุณสมบัติแห่ง "มหาสุญญตา" มีค่าคลื่นสั่นสะเทือนความถี่ด้านบวกสูงสุดด้านเดียว และมีอนุภาคประจุไฟฟ้าของคลื่นความถี่เป็นบวกร้อยเปอร์เซนต์ หรือ ทรงมีพลังงานความรักและคลื่นความรักเป็นทั้งพระบารมี และอำนาจ เมื่อทรงกำหนดสร้างสรรพสิ่งใด ๆ ขึ้น สรรพสิ่งนั้นย่อมมีบุคลิกลักษณะและคุณสมบัติเป็นพื้นฐานเช่นเดียวกันทุกประการ
มนุษย์จึงต้องเรียกรูปธรรมทางพลังงานว่า "ตัวตนแก่นแท้" เพราะพลังงานไม่ว่าจะเป็นรูปธรมประเภทใดคุณสมบัติใด เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีวันสูญหายไปไหนได้
ดังนั้น โครงสร้างกายภาพของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล จึงประกอบด้วยสองส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนของเปลือกนอก และส่วนของตัวตนแก่นแท้ที่เป็นพลังงาน ซึ่งเร้นอยู่ภายในดังภาพประกอบ นั่นเอง
การที่เรียกสังขารร่างกายที่เป็นเปลือกนอกของแก่นแท้ของมนุษย์ว่า "เครื่องยนต์แห่งกรรม" ทรงเรียกบุคลิกลักษณะหรือรูปลักษณ์ของเครื่องยนต์แห่งกรรมนี้ว่า "รูปธรรมมนุษย์" และทรงเรียกนามแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคนส่า "จิตญาณ หรือ จิตวิญญาณ" โดยที่เมื่อแรกสร้างนั้น จิตวิญญาณแก่นแท้นี้ เป็นรูปธรรมทางพลังงานซึ่งมีคุณสมบัติทางพลังงานและอำนาจทางไฟฟ้าแม่เหล็กเฉพาะรูปธรรมเป็นด้านบวก คือ เป็นสุญญตา เช่นเดียวกันกับผู้เป็นพระบิดาทั้งสิ้น
มนุษย์และสรรสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จึงล้วนมีแก่นแท้หรือตัวตนแท้จริงของตนเองเร้นอยู่ภายในด้วยกันทั้งสิ้น
ขณะที่รูปธรรมทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้ คือ สิ่งที่ดำรงอยู่อย่างนิรันดร์ ไม่ว่าจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร พลังงานก็ยังเป็นพลังงานอยู่วันยังค่ำ ผู้ที่ต้องแปรเปลี่ยนตนเองไปตามการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางพลังงานของแก่นแท้ก็คือ ตัวตนเปลือกนอก หรือ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะ นั่นต่างหาก สรรพสิ่งที่เป็นเปลือกนอกของแก่นแท้ที่เรียกว่า "เครื่องยนต์แห่งกรรม" จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปตามสภาวะของแก่นแท้ของตนเองเสมอ
การที่มนุษย์สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดสรรพสิ่งหนึ่งยังดำรงอยู่ ยังมีอยู่ ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ มนุษย์จึงไม่อาจจะไปหลง ยึดติด ตัวตนทางกายภาพของสรรพสิ่งนั้นได้เลย เพราะแม้มันจะมีให้เห็นอยู่ แต่มันก็เป็นสรรพสิ่งที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปได้เสมอ ความเที่ยงแท้แน่นอนในตัวตนรูปลักษณ์ใด ๆ ที่แลเห็นจึง "ไม่มี"
เมื่อสรรพสิ่งที่มนุษย์เห็นว่ามีตัวตนรูปลักษณ์เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมหลากหลายนั้น มันพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปตามกระบวนการของแก่นแท้ภายในของมันเองอยู่ตลอดเวลา มนุษย์จะไปหลงยึดติดด้วยเชื่ออย่างปักใจว่า มันเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ แน่นอน เป็นจริง มีจริง เหมือนอย่างที่สัมผัสรู้ดูเห็นกันได้อย่างไร
การที่มนุษย์มองเห็นว่า สรรพสิ่งนั้นดำรงอยู่อย่างยาวนานจนตลอดชั่วอายุขัยของตน นั่นมิใช่คำตอบที่จะสามารถบอกได้ว่า สรรพสิ่งที่แลเห็นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพราะทุก ๆ สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามจริงที่จริงแท้ดังกล่าวมาข้างต้นด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะในเมื่อทุกสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมาหรือเป็นผลลัพธ์อันเกิดจากกระบวนการทางพลังงานของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายใน และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเสมอเช่นนี้แล้ว
มนุษย์จะเชื่อได้กระนั้นหรือว่า "ทุกสรรพสิ่งที่มีตัวตน" ในทางมิติกายภาพที่สัมผัสรับรู้ได้ เป็นสรรพสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวรจนมนุษย์เองหรือใคร ๆ สามารถที่จะยึดครองทุก ๆ สรรพสิ่งนั้นไว้ได้ตลอดไป เพราะสรรพสิ่งที่แลเห็นหรือสัมผัสรู้ได้ มันเป็นเพียงสรรพสิ่งที่เป็นตัวแทนของ "คุณสมบัติ" ทางพลังงานของแก่นแท้ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเสมอ
เมื่อคุณสมบัติของแก่นแท้เปลี่ยนไปเมื่อใด สรรพสิ่งที่เป็นเปลือกนอกนั้นย่อมต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
แสดงว่าสิ่งที่มนุษย์รู้เห็นอยู่ มีอยู่ หรือครอบครองมันอยู่ในมิติทางกายภาพของโลก ไม่ว่าสิ่งใด มันล้วนมิใช่สรรพสิ่งที่เป็นจริงด้วยกันทั้งสิ้น
สรรพสิ่งที่ "ไม่จริง" แต่ดูเหมือนว่าจริง เพราะเป็นตัวแทน ของแก่นแท้ที่มีอยู่จริง ก็คือ "มายา" ใช่หรือไม่? มายาของแก่นแท้ ที่มนุษย์เรียกว่า "เงา" ทั้งสิ้น
"โลกนี้ คือ มายา" -
ให้เป็นความจำเป็นเฉพาะสำหรับ
ผู้ที่เป็นนักบรรยายขายความเชื่อ
ในเรื่องทางศาสนาของพระเจ้า
แต่สำหรับชาวพุทธควรขวนขวายให้รู่
วิธีการชำระจิตและทำใจให้ว่าง ด้วยสติสัมปชัญญะ
เพื่อให้รู้ความจริงของรูปนามขันธ์ 5
เพื่อความเห็นแจ้งใน
ทุกขอริยสัจจ์ฮับ -
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ เหตุเปลี่ยนผลย่อมเปลี่ยนค่ะ
แล้วการที่เรารู้ว่ารูปธรรมพลังงานที่มีแก่นแท้เป็นอนัตตา หากเราพิจาณา เราจะเข้าใจสภาวะธรรมชั้นสูงได้ค่ะ
ที่แน่ ๆ คือ ต้องการให้รู้ว่า...ความจริงของทุกสรรพสิ่งคืออะไร ? จะเข้าใจความยีดติดรูปลักษณ์ ที่หลายคนเข้าใจว่าที่มีอยู่จริง ๆ แล้วมาจากสิ่งใด และเข้าใจความไม่ใช่ตัวตนได้ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจด้านวิทยาศาตร์ค่ะ อาจจะไปกระตุ้นใจใครบางคนอยากให้เรียนรู้หรือศึกษาต่อก็ได้ -
เพราะอารมณ์เป็นเช่นนี้ จึงเกิดการกระทำแบบนี้
เพราะความคิดดับ อารมณ์จึงหยุด
เพราะอารมณ์ไม่มี การกระทำก็ไม่มี
เพราะนิสัยยังอยู่ การกระทำจึงเหมือนเดิม
เพราะนิสัยเปลี่ยนไป การกระทำจึงเปลี่ยนแปลง
เพราะสร้างเหตุสุข จึงได้รับสุข
เพราะสร้างเหตุทุกข์ ทุกข์จึงเกิด
เพราะสร้างกรรมไว้ จิตจึงสร้างรูป
เพราะกรรมหมดไป จิตจึงบริสุทธิ์ถึงนิพพาน -
-
-
-
ถ้าจะเอาความจริง บล๊อกกันทำไมค่ะ นั่งพิมพ์ให้เป็นครึ่งค่อนชั่วโมง ผลปรากฎว่า ไม่สามารถเข้าเว็บไซด์ได้ ต้องยืมโทรศัพท์คนอื่นมาโพส
หน้า 58 ของ 183