...ผมเคยได้มีโอกาศได้ไปใช้ชีวิต..อยู่ในต่างประเทศ..ในสมัยตั้งแต่เมื่อกว่า สามสิบปี..มาแล้ว..
..ครั้งนึง..แล้วหลังจากนั้น..อีกหกปี..หลังก็ได้ไปอีกครั้ง..แต่คนละทวีปกัน..ก็มีเรื่องหลากหลายที่ต้องใช้เทคนิคแบบรุ่นเก่า..เอาตัวรอดไปในต่างแดนแบบไทยๆ..ซึ่งก็น่าจะเอามาเล่าให้คนรุ่นหลังฟังบ้าง..และ..บางเทคนิคส่วนตัวของผม..ผมได้สอนให้ลูกหลาน..เอาไปใช้งาน..ในยุคนี้..ก็ปรากฎว่า..ยังใช้ได้ดี..ก็เลยจะเอามาสู่กันฟัง..ให้คนรุ่นหลังบางท่าน..ซึ่งอาจสนใจ..ได้เรียนรู้บ้าง...เรื่องราวของผมนั้น..จะเป็นเรื่องยาวมากๆ..จะทยอยลงต่อเนื่องไปเรื่อย..ซึ่งจะรวมกับประสพการณ์ต่างแดน..ในยุคโน้น..มาเป็นจุดเชื่อมต่อ..ของเรื่องด้วยครับ...
....พรุ่งนี้..ก็จะเริ่มตอนแรกเลย...
เทคนิคและประสพการณ์การเอาตัวรอดในต่างแดนยุคเก่า..ของคนรุ่นก่อน..
ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย modpong, 29 เมษายน 2015.
หน้า 1 ของ 9
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
.......
...หวัดดีครับ..คุณสร้อยฟ้า..ขอบคุณที่ให้การต้อนรับผม..
....ผมชอบภาพถ่าย..ของคุณมากครับ..มีศิลป..การจัดวางภาพที่ดี..
........และ..เล่าเรื่องในตัวของมันได้.... -
...............
.....................
...ผมเริ่มได้เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกเมื่อ..ประมาณ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว..โดยเริ่ม
ต้นที่..ประเทศญี่ปุ่น..โดยการไปเรียนเพิ่มเติมที่นั่นด้วยทุนของJICAจากรัฐบาลญี่ปุ่น
..ที่ให้กับ..ข้าราชการไทย..ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ..สาขานั้นๆ....
.......ผมก็สอบชิงทุน..ในระหว่างตัวแทนข้าราชการหลายๆหน่วยงาน..ที่ขอทุนนั้นๆ..
โดยเป็นการทดสอบภาษา..อังกฤษ..ของ กพ. (กรมข้าราชการพลเรือน)..และผม..
..ก็สอบผ่าน..เป็นที่ ๑ ...จึงไได้รับเลือกเป็นตัวแทนของเมืองไทย...ไปเรียน..
ด้าน..วิศวกรรมลำน้ำ ( RIVER ENGINEERING )...คนเดียว..สำหรับปีนั้น..
....ตอนนั้น..บ้านเรา..ยังไม่มี แมคโดแนลด์...เคนตั๊กกี้ (มี..หรือ ยังไม่ทราบ..ถ้ามีก็
คงมี..สาขาเดียว..)...ยังไม่มี ATM...ไม่มีอินเตอร์เนต...ไม่มีมือถือ...ไม่มีรถไฟฟ้า..
....ไม่มี..เครื่องหยอดเหรียญซื้อน้ำดื่ม..หรือ..ขนม...ไม่มีรถใต้ดิน...
............เรียกว่า..โลว์เทค...เมื่อเปรียบเทียบกับ..ญี่ปุ่น.....
...เรียกว่า..คนไทย..ที่ไม่เคยออกนอกประเทศอย่างผม..ไปถึงที่นั่น..นี่..
งง..เป็นไก่ตาแตก..ทั้งตะลึง..และ..ทึ่ง...ในความทันสมัย....
(..ไม่เหมือนกับปัจจุบัน..ที่ผมว่า..ไม่แตกต่างกันมากนัก..)..
....มันก็เลยเหมือน..กะเหรี่ยงดอย..เข้า..กรุงเทพ..อย่างไง..อย่างงั้นเลยครับ..
....ปัญหาที่..คนไทยที่ไปได้รับทุนที่นั่น(..โดยการทดสอบภาษาอังกฤษ)..อันดับ
แรก..ก็คือ..ภาษา...เรียกว่า..ยุคโน้น..น้อยคนมาก..แม้กระทั่งคนรุ่น..หนุ่มสาว..
ทำงาน..หรือ..นักศึกษามหาวิทยาลัย..ที่พอจะสื่อสารด้วยภาษาอังกษ..เข้าใจ..
เว้นแต่..ผู้ที่เรียนมาทางนั้น..โดยตรง..หรือ..ศึกษาเพิ่มเติมเอาเอง.....
...เขาเลย..มีคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเติม..ควบเข้าไปด้วย..ซึ่งก็พอช่วยได้บ้าง
.....แต่ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้งานจริงๆ..นั้น..มีตัวอักษร"จีน"..ที่เรียกว่าตัว"คันจิ"..ปนอยู่
มาก..โดยเฉพาะ..พวกป้ายบอกต่างๆ...จึงกลายเป็นเรื่องยากมากที่จะเข้าใจในระยะ
เวลาสั้นๆ.....
........
...ปกติ..ผมไม่เคยเข้าที่..ห้องบอร์ดนี้มาก่อน..ก็เพิ่งมาแบบหน้าใหม่...
...แม้ว่าจะหน้าเก่า..ที่ห้องอื่นก็ตาม..ก็รู้สึกอบอุ่นดีครับ..ยังอุตส่าห์มี
..เพื่อนสมาชิกมาต้อนรับ...
....ผมเขียนเรื่อง..แบบไม่ได้มีการร่างก่อน..นะครับ..คือ..แต่ละตอน..
..ก็นั่งพิมพ์ไปนึกไป..หน้าจอเลย..ลงในเวอร์ดก่อน..แล้วเอามา..paste..
ลงอีกที..ดังนั้นตอนนึงๆ..ก็จะเขียนได้ไม่ยาว..ปีนี้ก็ย่างเข้า ๖๑ ขวบครับ..
สายตา..ไม่ค่อยดี..และ..พิมพ์ได้ช้า..และ..พิมพ์ผิดโดยไม่รู้ตัวก็ไม่น้อย..
...ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าก็แล้วกัน....
...............
....ก็ต้องขออภัยล่วงหน้าถ้า..เขียนอะไรมันออกแนว..ไม่ค่อยเรียบร้อยหน่อย..
...เพราะผมมันเป็นแบบเถื่อนๆหน่อยครับ....
..อีกอย่าง..ผมมาอ่านกระทู้ที่นี่...พบว่า..MODERATOR..ห้องนี้..คุณมาคิโกะ...
...นี่อยู่เมืองไซตามะ..แล้วผมมาเขียนเรื่อง..ญี่ปุ่น..เมื่อกว่าสามสิบปีก่อน..
....มันก็เขินครับ..แล้วผมต้องลากเอาความทรงจำครั้งเก่าก่อน..เอามาเล่า..
..มันก็อาจมีผิดพลาดไปบ้าง..ก็หวังว่า..MODERATOR..คงไม่ว่าอะไร..แต่ถ้า
เกิดจำผิดพลาด..หรือ..บอกกล่าวเรื่อง..เกี่ยวกับญี่ปุ่น..อะไรผิดพลาดไป..
...ก็ขอความกรุณาฝาก..คุณมาคิโกะ..ช่วยแก้ไขให้ด้วยแล้วกัน..ครับ..จะเป็น
..พระคุณ..อย่างยิ่ง.....
..............................
-
มลเดินทางไปต่างประเทศบ่อยค่ะ เพราะเกี่ยวกับหน้าที่งานที่ทำ รวมทั้งในประเทศก็ต้องไปต่างจังหวัดด้วยเช่นกันค่ะ -
..หวัดดีครับ..น้องวรมล.....
...เรื่องของผม..นะ..ส่วนใหญ่มันจะเป็นเรื่องเก่าๆ..
..เป็นเรื่องที่ไม่มีเทคโนโลยี..ประกอบครับ..เพราะ..
..ยุคนั้น..มันต่างจากยุคนี้มาก..ประสพการณ์..ของผม..ส่วนใหญ่จะคิดเอาเอง..และ..ดัดแปลงตามสถานการณ์..ถ้าทำให้เกิดไอเดียบ้างก็คงจะดีครับ..
...การไปต่างประเทศสมัยนี้..ผมว่าโคตรสบายกว่าเก่า..เยอะครับ..ไปคนเดียวที่ๆปลอดภัย..ได้สบายๆ
...ก็ลองติดตามไปเรื่อยๆ..แล้วกันครับ.....
....มันเหมือนเรื่อง..."ลุงเชย เข้ากรุง"..ทำนองนั้นแหละครับ...
-
ก่อนต่อมา ขอขอบคุณในคำชมของคุณลุง modpong จ่ะ...
ก่อนสุดท้าย รู้สึกว่า เรียกว่าคุณลุง modpong ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ จะให้เรียกชื่อคุณลุงแบบสั้นๆ ว่าอย่างไรดีอ่ะจ่ะ....
และสุดท้ายสำหรับโพสต์นี้(แต่คิดว่าไม่ใช่โพสต์สุดท้าย ^^) เรื่องราวที่กำลังจะได้รับการถ่ายทอดของสังคม ความเป็นอยู่ วัฒนธรรมเมื่อ ๓๐ ปีที่ผ่านมาของญี่ปุ่นหรือจะของที่แห่งไหน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเห็นได้ในยุคปัจจุบัน นั่นคือ คุณค่าที่มาเทียบกันไม่ได้เลย คือ ไม่ใช่สิ่งที่ "เชย" เลยอ่ะจ่ะ.... -
..................
...หวัดดี..หลานสร้อยฟ้าครับ...
..ไม่เป็นไรครับ..เรียกลุงเฉยๆก็ได้..ดูสนิทดี.....
..ผมบังเอิญได้ไปอยู่ที่นั่นในช่วงของ..ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง..
...ของคำว่า.."ศิวิไลซ์"..ในความหมายของผม..มันเป็นยุค..
...ที่..กรุงเทพ..กับ..โตเกียว..มันห่างไกลกันมาก...ไม่เหมือนในยุคนี้..
...ผมเองนะ..เป็นคนกรุงเทพโดยแท้นะครับ..เกิด..โรงพยาบาลหญิง(โรงพยาบาลราชวิถี)..ที่อนุสาวรีย์ชัย....
....ขนาดแค่ก่อนไปญี่ปุ่น..ไม่ถึงปี..ผมไปทำงานอยู่ที่..พิษณุโลก..ผมยังว่า..พิษณูโลก..มันยังห่างไกลกว่า..กรุงเทพ..เยอะแยะ..ขนาดเป็นเมืองใหญ่....
...............
...ฉะนั้น..อย่าแปลกใจ..เวลาที่ผมเล่า..และถ่ายทอด..ความรู้สึกใน
ช่วงนั้น..เวลานั้นออกมา...มันไม่เว่อร์หรอกครับ..มันเป็นเรื่องจริง..
....ที่เด็ก..ยุคนี้ไม่เข้าใจ..เพราะเขาเกิดมาในยุคที่....
.....โตเกียว..กับ..กรุงเทพ..แตกต่างกัน..ไม่มากแล้ว... -
. .....................
........นั่นคือ..ปัญหาตลอดกาล..เพราะผมไม่เคยถูกโรค..กับไอ้ตัวแบบนี้เลย....
.....เรียกว่า..ตัวอักษร..แบบง่าย..แบบยาก..มันก็อ่านไม่ออก..ไม่เข้าใจ..ทั้งหมด..
ถ้าถามว่าผมไปเมื่อไหร่..บอกเป็น..พ.ศ. ผมยังจำไม่ได้.....
สำหรับ..คนไทย..ผมไปก่อนที่..การ์ตูนโดราเอมอน..จะมาฉายที่ทีวีเมืองไทย...
(...ผมกลับมาไทย..ผมยังไม่รู้จักเลยว่า..ไอ้โดราเอม่อน..นี่คืออะไร....
..เพราะ..ตอนนั้นที่ญี่ปุ่น..เขาเลิกเห่อกันแล้ว..)....
...สำหรับ..คนอยู่ญี่ปุ่น..ผมไปก่อนที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์..จะสร้างเสร็จ....
...สำหรับปีที่ผมไปมีนักร้องสาววัยรุ่นพุ่งแรง..กำลังเริ่มโด่งดังคือ..เซโกะ มัทสุดะ..
. ....ตอนไปอยู่..อาทิตย์แรก..ที่โตเกียว..(ผมพักที่..NEW CITY HOTEL..ที่..ชินจูกุ )
...(ผม นั้น..เป็น..คนไทยคนเดียว.ในคอร์สนี้..มีทั้ง..จากอเมริกาใต้..เอเซีย ..อเมริกากลาง..อาฟริกา..อาหรับ..เรียกว่า....เกือบทั่วทิศ..เกือบ ๓๐ คน...และ..มากกว่าครึ่ง..ที่ประเทศเดียวมา ๒ คน....)....
..ตอนนั้นศูนย์ที่เรียน..เบื้องต้น..อยู่ในโตเกียว..ก็ได้เจอ..กลุ่มคนไทยที่ได้เรียนอยู่ก่อน..
(ศูนย์นั้น..ชื่อย่อ TIC ...อยู่แถวสถานี อิชิกายา..รถไฟสายสีเหลืองผ่าน..)
...ก็มีการแนะนำ..ตัวกันเล็กน้อย...แต่พอตกเย็น..ผมและ..พวกที่เรียนด้วยกัน..ก็กลับ
ที่พัก..ที่เดียวกัน..แต่ละคนก็มี..ห้องเป็นของตนเอง..
.....ผมเองนั้น..ก็ยังไม่คุ้นกับ..เพื่อนๆเท่าไหร่..แต่ปรากฏว่า..มี ๒ หน่อ..ที่พอตุยกัน
ถูกคอ..คนหนึ่งเป็น..เนปาล..อีกคนเป็น..ฟิลิบปินส์..เรียกว่า..ผมเข้าห้องไป..แป๊บเดียว
..มันก็มาเคาะที่ห้อง..ชวนกันไปเดินเล่น..หาอะไรกิน..
....ผมนั้น..เป็นคนที่ชอบเที่ยวคนเดียว..มาตั้งแต่..หนุ่ม..เพราะชอบทำอะไรตามใจ
ตัวเอง..ความจริงอยากสำรวจโตเกียวเอง..แต่ก็เพื่อผูกสัมพันธ์กัน..ผมก็โอเค..ออกไปกัน
...โรงแรมของเรา..อยู่ใกล้สวนสาธารณะ..เดินไปเรื่อยๆ..ซัก ๒๐ นาที..ก็จะไปถึงย่าน
ใจกลางของ..ชินจูกุ...ไอ้คนทั้งสามนี่..มันก้โลว์เทค..เหมือนกัน..พอมาเห็น..ชินจูกุ..
..นั้นก็ตื่นตาตื่นใจ..เพราะมันโคตรทันสมัย(.."ชิน"..แปลว่า..ใหม่.."กุ"..นี่หมายถึง..เขต
พื้นที่..คงคล้ายๆกับ...ปทุมวัน..ทำนองนั้นมั้งครับ..ถ้าใหญ่กว่านั้นเป็นจังหวัด..ถ้าจำไม่ผิด
(ผิด..ก็ขอ..อภัยด้วย..ไปถาม..คุณ มาคิโกะ..เอาก็แล้วกัน..)..เขาเรียกว่า..”เคน”..)
...ภาพรวมก็คือ..เขตใหม่..หรือ..ย่านใหม่..ในยุคนั้น..)..รวมความทันสมัยในโตเกียว
ไว้ที่นี่...เราก็เพลินอยู่จนมืด..ผมกับ..พรรคพวกก็เริ่มหิวข้าวกัน..ก็..เลยเริ่มจะไปหาของ
กิน.....
.................................
....(.ก่อนหน้านี้..ที่ศูนย์เจ้าหน้าที่ประสานงาน..เขาก็พาพวกเราไป..ที่ธนาคาร..เพื่อไปรับ
เงิน..ซึ่งออกเป็นเหมือนเงินเดือน..แต่ละเดือน..เราก้ไปกรอกโน่นกรอกนี่..ได้รับสมุดบัญชี
มาแล้วก็...ได้รับ..บัตรพลาสติกแข็งมา..๑ ใบ..มีตัวพิมพ์นูนๆ..ด้านหลังมีแถบสีดำ..
..แล้วก็..มีแต่ภาษาญี่ปุ่น..ทุกคนมองหน้ากัน..ด้วยความงง..เพราะไม่รู้ว่า..ไอ้นี่ไว้ทำอะไร..
(..โปรดอย่าขำครับ..งงจริงๆ..นี่มันเหตุการณ์..เมื่อกว่าสามสิบปีมาแล้ว..บัตรเครดิต..ก็มีแต่
เศรษฐีใช้..กับ..ฝรั่ง..มีแต่บริษัทฝรั่งเป็นเจ้าของ..ของจริงไม่เคยเห็น..เห็นแต่ในรูป...)...
..เพราะไอ้ยุ่นที่ประสานงานมันยังไม่ได้บอกว่า..เอาไว้ทำอะไร..แค่เห็นสมุดฝากเงิน
ก็..งง..แล้ว..มีแต่ภาษาญี่ปุ่น....(เอาไว้แค่นี้ก่อนครับเดี๋ยวมาเล่าต่อ)..)
........................
. ..ทั้งสามควาย..เอ้ย..สามคน..พอเดินไปดู..หน้าร้านอาหาร...ก็แปลกใจ...
...หันมามองหน้ากัน...วิจารณ์กันใหญ่..
......ไอ้ปินส์..มันบอก.." ..มันเอาอาหาร..มาวางโชว์..หน้าร้าน..แบบนี้..
...เผลอไม่เก็บ..อาหารบูด..ไม่เหม็นแย่..เหรอวะ.."...
......ไอ้เนปาล..มันเลยบอกว่า.."..เฮ้ย..มันก็ต้องเก็บ..เอาไปทิ้ง..เปลี่ยนใหม่
ทุกวัน..นั่นแหละ..."....
......ผมเอง..เนื่องจากเป็น..นักเลงพระ..มาตั้งแต่เด็ก..ดังนั้น..เรื่องดูอะไร..จะค่อนข้าง
ละเอียด...ดูไปดูมา..เอ้..นี่มันไม่ใช่ของจริงนี่หว่า...แต่โคตรเหมือนเลย...
....ผมเลยบอกไอ้ สองควาย..นี่ว่า..มันไม่ใช่ของจริง..มึงดูใกล้ๆซิ..แต่กูไม่รู้ว่า..
....มันทำด้วยอะไร...
.....ไอ้สองตัวนี่..เลยก้มไปมองผ่านกระจกใกล้ๆ...แล้วก็หัวเราะ..กันใหญ่....
....เรียกว่า..เปิดหู..เปิดตาจริงๆ....แป๊บเดียวความยินดี..ก็หดหาย.....
........เพราะพวกเรา..อ่านไอ้ป้ายที่มันเขียนกำกับ..อาหรแต่ละแบบที่โชว์..
ไม่ออก..เว้นแต่..ราคา..ที่บอกเป็น..เยน(เงินญี่ปุ่น)....
......ไอ้ปินส์..เลยบอกไอ้เนปาลว่า..."มึงไปเรียก..ไอ้ยุ่น..ที่เคาวนเตอร์..มาดีกว่า..
....ขอให้มัน..ออกมาข้างนอก..ให้มันมาจดตามคำบอกพวกเรา..."....
.......ไอ้เนปาลเครางาม..ก็พยักหน้าพร้อมคลอนหัว..เล็กน้อย(แบบหนังอินเดีย...
..ไอ้เพื่อนผมคนนี้..เป็นฮินดูครับ..เรียนหนังสือ..ที่อินเดีย..และมีเชื้อสายอินเดียปน..
...มันเลยมีความเป็นแขกอินเดียเยอะ...เวลาพูด..จะต้องคลอนหัวไปมา..พร้อมมือ..
..ที่โบกแกว่งไปมา..ประกอบ..)....
......มันหายเข้าไป..ไม่นาน..แล้วเดินหน้าเหี่ยว..พร้อมกับ..หัวที่คลอนไปมาและ..
และมือที่แกว่ง...บอกกับ..พวกเราว่า....
....."..กูตะโกนบอกกับ..มันอย่างสุภาพ..เลย..มันหันมามองหน้ากู..แล้วก็..ส่ายหัว..
...แถมทำไม่รู้ไม่ชี้....พอกูพูดอีกที..มันก็ไม่หันมามองหน้ากู..ด้วยซ้ำ.."
...............................
-
...........
.....ผมหันไปมองหน้าไอ้ปินส์..พร้อมๆกับที่มันหันมามองผม..ทำหน้าแบบ..งงๆ
....แล้วผมก็..เดินออกจากหน้าที่โชว์อาหารนอกร้าน..โผล่หน้าเข้าไปในร้าน.....สภาพ
ร้าน..ก็คนเต็มร้าน..ไม่ถึงกับแน่น..และ..ยังมีที่นั่งเหลือ..เหลือบไปมอง..ที่เคานเตอร์..
..และ..พวกบริกร..ทุกคน..ก็ยุ่งกันหมด....
.....ผมเลยกลับออกไปใหม่...ไปยืนหน้ากระจกที่เดิม..ไอ้ ๒ ตัวกำลังเถียงกันใหญ่..
....ผมก็เลย..ปล่อยให้มันเถียงกันไป..มองอาหารไป..ยืนคิดหาวิธี...พวกเรา..
....ไม่เคยเจออะไรแบบนี้..หรือ..รูปแบบๆนี้..เมื่อกว่า ๓๐ ปีก่อน..มันเป็นอะไรที่แปลก
...และก็ชื่นชม..ที่ไอ้ยุ่นมันคิดวิธีนี้..ดีกว่า..สั่งอะไรไปโดย..มองแค่ภาพอย่างเดียว..
....แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาชื่นชม..เพราะ..ผมดูแล้ว..ไอ้๒ ตัวนั่นทำท่าจะไป..ที่อื่น...
........ผมดูที่ตัวหนังสือ..แล้วก็นึกออก..จะไปยากอะไรวะ..
(..ตอนนั้น..ในกรุงเทพ..มีร้านอาหารญี่ปุ่นน้อยมาก..และเกือบทั้งหมด..เป็นของ
คนญี่ปุ่น..โดยเจตนาเขามาตั้งร้านไว้เพื่อขายคนญี่ปุ่นที่ทำงานในกรุงเทพ..อยู่ตาม
ซอกหลืบ..ในกรุง..อย่างเช่นถนนธนิยะ..สีลม..ซึ่งไม่ใช่แหล่งที่..คนไทยทั่วไปเดิน..
..ดังนั้นคนไทยทั่วไป..ก็เลยไม่รู้รูปแบบ..การนำเสนอแบบนี้...ตอนนั้น..ไอ้ฟูจิฟูแจะ..
อะไรนี่..ยังไม่มีทั้งนั้นละครับ..).
.......ก็..ลอกที่มันเขียนนั่นแหละ..ใส่กระดาษ..แค่นี้..ก็เสร็จ..ตัวหนังสือ..ที่ใช้..
....ก็เป็นตัว.."ฮิรากานะ"..และ..ก็มีตัว"คาตาคะนะ"..ที่ไอ้ยุ่นมันคิดมาแทนตัวจีน..
...แต่ออกเสียงได้เหมือนกัน..แต่..คล่องตัวกว่าเพราะ..เป็นระบบผสมอักษร..ออกมาเป็น
คำ..แบบของ..ไทย..และ..ฝรั่ง...เขียนไม่ยาก....
.....ไอ้ตัวจีน(คันจิ)..มีไม่กี่ตัว...ผมคิดได้..เลยเรียกไอ้ ๒ คน..มาฟังแนวทาง...
....มันทั้งคู่ก็เริ่มยิ้มได้..หน้าตามีความหวัง...จากนั้น..ผมก็..สละซองบุหรี่..แบ่งเป็น
..๓ ส่วน..เรื่องปากกานี่..ผมเป็นคนพกปากกาติดตัวอยู่แล้ว...เผื่อไว้จดโน่นจดนี่..
.....เราก็เลือกอาหารตามใจชอบ..คนละ๑ อย่าง...และ..แน่นอน..เพราะทุกคนที่มา..
คิดเหมือนกัน..คือ..เหนียวไว้ก่อน..สะสมตังไว้..ซื้ออย่างอื่นที่ต้องการ...
....ทั้ง ๓ อย่าง..ล้วนเป็น..อาหารราคาถูกที่สุด..เท่าที่มีโชว์อยู่....
(..ไอ้ที่ลอกนี่..ลอกมันทุกอย่างเลยนะครับ..ราคงราคา..ลอกใส่เข้าไปด้วย..)
.....เรา..เดินเข้าไปนั่ง..ก็จะได้ยินเสียง..ที่แม้แต่ปัจจุบันในบ้านเราก็ได้ยิน..คือ..
.................อิราไสมัตเสะๆๆๆ...............
....พอไปนั่งเสร็จ..พนักงานมา..ตอนนี้..ผมกลายเป็นผู้นำโดยปริยายอยู่แล้ว....
ผมก็ยื่น..กระดาษที่ผมลอกมา..พร้อมกับ..ของไอ้๒ ตัวนั่น..แล้วก็มองหน้า..บริกร..
(ก่อนหน้านั้น..ข้างนอก..ไอ้ปินส์..นอกจากตัวมันจะเล็ก..แล้ว..ดันลอก..ตัวหนังสือ
มาเล็กตามตัว..พอผมเห็นก็เลยด่ามันว่า..ไอ้พวกเรานะ..มันเขียนไม่เหมือนเขาอยู่แล้ว..
..แล้วมึง..ยังมาเขียน..ซะตัวเล็กนิดเดียว..มันจะรู้เรื่องมั้ยนี่..ผมเลยขีดฆ่า..ให้มันเขียน
ใหม่ตัวโตๆ..ไอ้ปินส์ก็เอามือเกาหัว..ยอมรับสภาพ..แล้วก็ไปลอกมาใหม่..ตัวโตขึ้น..)
......ปรากฎว่า...ไอ้ยุ่นหลังจากมันดูกระดาษ..ทั้ง ๓ ใบ..มันก็ยิ้ม..แล้วก็ร้อง.."ไฮ้"...
......แค่นั้นแหละ..พวกเรา ๓ ควาย..ก็หันมามองหน้ากัน..แล้วก็ยิ้มออก..ไอ้ ๒ ตัวนั่น
...มันก็..ยกนิ้วโป้งให้ผม.....
........ผมมาทราบหลังจากนั้น..ไม่กี่วัน..เป็นวันเสาร์อาทิตย์แรก..ที่ไม่มีตารางเรียน..
เป็นธรรมเนียม..ของ..คนไทยที่อยู่ก่อน..จะพาพวกคนไทย..หน้าใหม่ไป..เที่ยว..แนะนำ
..และเรียนรู้..ทั้งสถานที่..ข้อสังเกต..เพื่อดำรงชีพที่นี่...พอไปถึง..ร้านอาหาร..ไปดูที่
..หน้าร้าน..คนนึง..ก็ส่งกระดาษให้ผม..บอกให้ลอกตาม..ที่อยากกิน...ผมหัวเราะในใจ
....แล้วคิดได้...ว่า...อ้อ..เขาก็ทำแบบเดียวกับที่เราคิดเลยนี่หว่า....
...(..แต่ผมไม่ได้..บอกนะ..ว่าเคยทำมาก่อนแล้ว...)
..............................
.........
-
อ่านสนุกมากค่ะ :cool::cool::cool:
-
...ขอบคุณครับ..คุณติงติง.....
....ผมเพิ่งสังเกต..ว่า..บอร์ดนี้..เรื่องอาหารการกิน..
..นั้นคนสนใจมากกว่า..เลยทำให้มี..สตรี..เข้าบอร์ดนี้มาก......
....เสียดายอย่างเดียว..ที่เรื่องอาหารการกิน..ผมห่วยมากๆ...
......ไม่งั้นคงมีเรื่อง..อาหารการกินในสมัยนั้น..แถมได้..อีกมาก...
-
-
.......................................
....เรื่องแบบนี้..การเอาตัวรอด..พลิกแพลงสถานการณ์..ไม่มีชาติไหน..เก่งกว่าเรา..
..ผมยืนยันได้..ไม่ว่า..เรื่องสถานที่แปลกๆ..ร้านช็อป..ย่านช็อปราคาถูก..มีแต่พี่ไทยนี่แหละ
....ที่รู้มากกว่า..ชาติอื่นทั้งหมด...คนญี่ปุ่นบางคน..ยังรู้ไม่เท่าคนไทย..
. .เรื่องนี้..ไม่ใช่เราเป็นคนไทย..ยกหางกันเอง...ชาติอื่นๆ..ที่ได้รับทุนเรียนJICA...
..ก็ยอมรับ..ไม่ว่าเรื่องการเดินทาง..สถานที่ช็อปปี้ง..ของกิน..และ..เทคนิคแปลกๆ..ล้วน
ลอกเลียนไป..จากเพื่อนคนไทย..ที่อยู่ในคอร์สเรียนเดียวกัน..แล้วเอาไปเผยแพร่
ให้ชาติเดียวกัน.
.............................
........ขนาดผม..เป็นผู้ชาย..และไม่ใช่นักช็อป..เพียงแต่ทราบและ..เคยไป..กับคนไทย
ที่เรียนอยู่ก่อน..วันนึง..ไอ้ปินส์เพื่อนผม..มาขอร้อง..ให้นำทางไป..แหล่งช็อปของถูก..
ให้กับ..สาวปินส์๒ คน..ที่เรียนอีก..สาขาหนึ่ง..ทั้งสองคนนี่รู้ว่า..คนไทยเป็นเจ้า..ของเรื่องนี้
..แต่ทำไมไม่ทราบ..ไม่ขอให้คนไทยที่เรียนด้วยกัน..พาไป..เสือกมาปรึกษากับไอ้ปินส์
เพื่อนผม..ไอ้นี่ก็ยกยอปอปั้นเรื่องต่างๆของผม..แล้วรับอาสาพามาคุย...ผมก็ขี้เกียจ..
..เพราะ..อยากจะไปที่อื่นบ้าง..เสาร์-อาทิตย์...ผมก็เขียนแผนที่..อธิบาย..มันก็บอกว่า..
..เคยไปแล้ว..ที่สถานีนี้..เพื่อจะเดินต่อไปแหล่งฯ..แต่หาไม่ถูก..หลง....
....ผมจนปัญญา..ต้องพาไป..เพราะเกรงใจ..และ..สงสารไอ้ปินส์เพื่อนผม..กลัวมันเสียฟอร์ม..
.....................
.....ผมจะกลับย้อนไปเล่า..เรื่อง..ATM..ที่เล่าค้างไว้..คราวก่อน..ต่อ..
....หลังจากพวกเราได้..รับสมุดบัญชี..และ..ไอ้บัตรพลาสติก..แปลกๆแล้ว...
......ไอ้ยุ่นคนประสานงาน..ก็แนะนำ..ถ้าเอ็ง..อยากถอนเงินจากบัญชี..ก็ไป..
ที่เคาวนเตอร์แบ็งค์..แล้ว..ก็กรอกใบ..และถอน..ก็คล้ายๆที่เอ็งทำที่บ้านเอ็งนั่นแหละ..
...ซึ่ง..ไม่มีใคร..ทำ..ไม่ว่าชาติไหน..หรือ..ที่เรียนสาขาอื่น...เพราะ..
....การติดต่อ..สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ..กับ..คนญี่ปุ่นยุคนั้น(..ผมก็ไม่รู้ว่ายุคนี้ดีขึ้นแค่ไหน)....
......เป็นอะไรที่ปวดหัวมาก..เนื่องจาก..
....๑. แม้จะเรียนมาด้านนี้..แต่..เกือบทั้งหมด..เรียนจาก..อาจารย์ชาวญี่ปุ่น..
...ก็รับรู้แต่..สำเนียงอังกฤษแบบญี่ปุ่น(ที่ห่วยกว่า..อังกฤษแบบไทยมาก)..ทั้งฟัง
และพูด..ก็จะคุ้นแต่แบบนี้...
.....ดังนั้น..ต่อให้เป็น..คนอเมริกัน..หรือ..อังกฤษ..ไปพูดด้วย...อีก็จะไม่เข้าใจ..
..หรือ..เข้าใจผิดไปเลย...
.....๒. ขั้นตอนและระเบียบมาก...
.....๓. เอกสารต่างๆ..แทบจะไม่มีภาษาอังกฤษเลย...
................
....เรียกว่า..แต่ละคนพึ่งไปถึงญี่ปุ่นใหม่ๆ..ไม่กี่วัน..ก็รู้แล้วว่าเป็นยังไง...
....ดังนั้นไม่มีใครซักคน..สนใจจะไปถอนจากเคาน์เตอร์..เพราะมีทางเลือกอีกทางก็คือ
.....ไอ้บัตรพลาสติกนี่เอง...
.........พรรคพวกที่เรียน..ด้วยกันสารพัดชาติด้อยพัฒนา..ทั้งหลายก็หยิบเอาบัตร..มาดู
แล้วพลิกไป..พลิกมา...เพราะทุกคนเหมือนกันหมด..ไม่มีใครเข้าใจว่า..ไอ้นี่มันจะทำ
ให้เงินออกมาได้ไง..(ผมนึกถึงตอนนั้น..แล้ว..ผมคิดว่า..คล้ายฝูงลิงชิมแบนซี..ที่มัน
ได้กระจกเงา..ไปคนละอัน..แบบนั้นเลย..)......
......ไอ้ยุ่นตัวประสานงาน..ก็พาเหล่าฝูงลิงชิมแบนซี..ไปยืน..หน้าตู้อะไรอย่างหนึ่ง...
..ที่มันอยู่หน้าธนาคาร..(..ตอนขาเดินเข้าแบ็งค์..ครั้งแรกก็สังเกตเห็น..คนญี่ปุ่นมายืน
เข้าคิว..ที่ตู้แบบเดียวกันนี้..หลายตู้แต่ก็ไม่ได้หยุดดูว่า..เขาทำอะไรกัน..)...
......มันก็แสดง..วิธีการใช้ให้ดู(..รหัส..ของบัตรนั้น..มันทำให้เลย..เพราะมันจะเสีย..
เวลา..โดยมันแนบรหัส..มาให้เราจำ..)...ปัญหาใหญ่..ของทุกคน..ที่มองหน้ากัน..
..เหลอหลา..ก็คือ...นอกจากที่บนตู้..ไม่มีอักษรภาษาอังกฤษอยู่เลยแล้ว....
....ไอ้ข้อความทั้งหลาย..ในจอของตู้ATM...มันก็ไม่มีเช่นกัน...............
...........มีแต่ตัวอักษรญี่ปุ่น..แถมเกือบทั้งหมด..เป็นตัว”คันจิ”..หรือ..ตัวอักษรจีนนั่นเอง..
....................
-
makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
:cool:
เรื่องเล่าเมื่อ30ปีก่อน อยากฟังมากเลยค่ะ โอ้โห คุณไปก่อนทีโตเกียวดิสนีย์แลนด์จะสร้างเสร็จ
ญี่ปุ่นตอนนี้กับตอนโน้น เป็นอย่างไร น่าสนใจซะแล้วซีคะ
รู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ แหม๋ๆ คงมิอาจไปแก้ไขอะไรนะคะ เล่ากันมาเลยค่ะ
แบบพี่ๆน้องๆในนี้ ขอติดตามอ่านด้วยคนค่ะ :cool: -
...หวัดดีครับ..และรู้สึกเป็นเกียรติเช่นกันครับ...
ที่ได้ทักทายด้วยอย่างเป็นทางการ....
...ปัญหามันมีนิดเดียว...คือ...เรื่อง..ญี่ปุ่น..ตอนนี้..
เป็นยังไงนี่..ผมก็คงไม่ทราบหรอกครับ..เพราะหลังจากนั้น..ไม่เคยโผล่ไปอีกเลย..แต่จากที่ได้สัมผัสจากทางสื่อ..ก็คงไปอีกเยอะ..พอควร..แต่มันต่างกับ
..เมืองไทย..ที่อัตราก้าวกระโดดมันแรง..กว่าเยอะ..
..ทำให้..คนไทย..ไป..ญี่ปุ่น..ตอนนี้..มันไม่เหมือน..
..กระเหรี่ยงดอย..เข้ากรุงเทพแบบผม....
...ผมใช้ชีวิตในญี่ปุ่น..ส่วนใหญ่..อยู่ที่เมืองซูคูบะ..ครับ..จังหวัดอิบารากิ...แล้วผม..จะค่อยๆ..เล่าไป..
.......
...ลืมไป...ที่แน่ๆครับ..ญี่ปุ่นยุคนั้น..เขาไม่สนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ..ครับ..ไม่ว่าป้ายอะไร..ก็ไม่มีภาษาอังกฤษ..ยกเว้น..แต่ที่..ป้ายสถานีรถไฟ..รถใต้ดิน....เขาไม่ง้อครับ..เพราะตอนนั้นเขาเป็นที่ ๑ ของเอเซีย(ไม่เหมือนปัจจุบัน)..เกาหลีนั่น..ยังล้าหลังกว่า..ไต้หวัน..
[COLOR=Blue].....เขาถือว่า..ใครมาอยู่ที่ญี่ปุ่น..ก็ต้องปรับสภาพตาม..และ..รับให้ได้...มันก็คือ..ที่มาของเรื่องที่ผม
[COLOR=Blue]เล่าคาอยู่..นี่แหละครับ...[/COLOR]
[/COLOR] -
...........................
............ผมลืมบอกไปว่า..มันต้องสอนพวกเรา ๓ รอบ..เพราะจำนวนคน..ประมาณ ยี่สิบกว่า
คน..จึงไม่สามารถ..ไปยืนมุงดูพร้อมกันได้..ก็ครั้งละ ๗-๘..คน (..นี่เป็นสิ่งแรกที่ผมเห็นเป็น
ครั้งแรกว่า..พวกไอ้ยุ่นนี่..ไม่ได้ฉลาดเสมอไป..).....
....แล้วไอ้ที่ยุงยากที่สองตามมา..คือ..พวกเรา..ต้องเอากระดาษมาจด..ขั้นตอน..ตำแหน่ง..
ของปุ่ม..ที่เลือกใช้..กันเอง..โดยมันจะทำอย่างช้าๆ..
(..เรียกว่า..แบงก์มัน..ต้องเสียเครื่อง ATM..ไป ๑ เครื่อง..ไปร่วม..ครึ่งชั่วโมง..ในการสอน..
พวกเรา..ผมสังเกต..ที่มีพวกไอ้ยุ่น..ที่จะมากดเงิน..ยืนตะโกนโหวกเหวก..กับ..เจ้าหน้าที่แบ็งก์
..ด้วยความไม่พอใจ..แม้ว่า..ที่นั่น..จะมีเครื่องATM..ประมาณ ๖ ตู้..ก็ตาม...นี่คือความไม่ฉลาด
อันที่ ๒).....
......แล้วอย่านึกนะว่า..ทุกคนจะจดตามขั้นตอน..ได้ทัน..และ..ถูกต้องทุกคน..เรียกว่า..ต่างคน
ที่ต่างจด..เอามาเทียบกันดู..ผิดกัน..หลายคน..ไม่ทันก็หลายคน..ต้องมาเขียนแก้กัน...
(นี่คือ..ความไม่ฉลาดอย่างที่๓..)....
....หลังจากสอนเสร็จ..ไอ้ยุ่นก็รับเละ...เพราะ..โดนพรรคพวกผมรุมด่า...จากสาเหตุดังกล่าว
....มันยังมีหน้ามาบอก..มันง่ายๆ..เด็กก็ทำได้..(..อันนี้ไม่จริงครับ..เพราะเด็กชั้นประถม..เขา
ยังไม่สอน..ตัว”คันจิ”กัน..ซึ่งผมมาทราบทีหลัง..)..แล้วเพราะ..พวกเรา..ไม่ได้ทราบความหมาย
อะไรเลย..เพราะ..อ่านไม่ออก..เพียงรู้ว่า..กดรหัส..เลือกบัญชี..กดถอน..กดจำนวน..กดโอเค..
(ผมจำได้เลย..ว่า..มันไม่ได้..บอกเรื่อง..ปุ่มยกเลิก..ในกรณีที่..กดปุ่มผิด..ด้วยซ้ำ)...แล้วก็..รอ
......มันพยายามย้ำว่า..อย่ากดผิดนะ..ไม่งั้นบัตรมึง..จะโดนเครื่องยึด....แต่ละคนก็เลยส่ายหัว
ด้วยความระอาและ..ความโกรธ..ทุกคนพยายาม..หาคู่มือ..ประกอบที่เป็นภาษาอังกฤษ...
....ไอ้ยุ่นมัน..ยิ้ม..พร้อมกับส่ายหน้า..บอกว่า..แบ็งก์นี้..ไม่ได้ทำไว้.....
.......จากนั้น..มันก็ให้พวกเราทดลองไปกดกัน...ก็ไม่ต้องห่วงรหัสกันแล้ว..เพราะ..ต้องจับคู่
บัดดี้..ช่วยกันกด..โดยมันบอกว่าจะคอยดูให้..โดยกระจายไปต่อคิว..เครื่องที่เหลือ..กัน....
....แล้วคิดดู..ว่า..คนเดียว..มันจะแบ่งร่างได้ยังไง...ปัญหาก็เลยตามมา....ก็คือ.....
..................บัตรโดนเครื่องกิน..เพราะกดผิด..........
...ก็ไม่ต้องโทษใคร..โทษมันนั่นแหละ..ก็มันคอยช่วย..คนหนึ่ง...แต่อีกเครื่องพวกเราก้ไปกด
เหมือนกัน..แล้วไม่แน่ใจ..จะไปตาม..มันก็เสียเวลา...บางคนแม่ม..ไม่รู้ก็อวดเก่ง..กดเอาเองมั่ง
........ผล...เละตุ้มเป๊ะ........แค่ครั้งแรก..เครื่องกิน..ไปประมาณ ๔-๕ บัตร...ถอนเงินไม่ได้..
ต้องรอ..ให้ไอ้ยุ่นไปรับบัตรคืนวันต่อไป...(..ความไม่ฉลาดอย่างที่ ๔..มันเลยเหนื่อยเอง..
สมน้ำหน้า..)....
........ทั้งๆที่มีวิธีง่ายๆ..ไม่ต้องเหนื่อย..ก็แค่แปลคู่มือ..เป็นภาษาอังกฤษ...ซะ..มันก็จบเรื่อง
แล้ว...พวกเราร่วมกัน..ด่า..คอมเมนต์ไปในแบบสอบถาม..ให้ทำแบบนี้..คาดว่ารุ่นที่ไปหลังผม
น่า..จะสบายขึ้น..เพราะคงไม่ใช่พวกผมเท่านั้น..ที่ร่วมกันด่า..ไอ้พวกที่เรียนสาขาอื่นก็ทำด้วย..
.......ยังไง...มันก็ต้องแปล..ในภายหลังแน่ๆ......
.......นี่แหละครับ..ไอ้ยุ่นยุคนั้น..นี่แค่เรื่องเดียวที่ผมยกมา..เพราะมันยังมีมากกว่านี้อีกมาก...
.....มันคิดแบบ..คนญี่ปุ่น..ว่า..ทำแบบนี้..ก็ได้แล้วมันไม่ยุ่งยากอะไร....ใช่ถ้ามันใช้ภาษาอังกฤษ
...แต่นี่..มันไม่มีใคร..รู้เรื่อง...แม้แต่การปฏิบัติบางอย่าง..ในหลายเรื่องที่พวกเราเจอ..มันก็
พยายาม..ยัดเยียด..จะให้เราทำแบบมัน..ทั้งๆที่วิถี..ของแต่ละชาติ..สามสิบ..สี่สิบชาติ..ใน
ทุกสาขาวิชา..เขาไม่ได้มีวิถีเดียวกับพวกมัน..และไม่คุ้นเคย..มันก็สร้างปัญหา..ความวุ่นวาย
กัน..สารพัด.....
.....นี่แหละครับ..ชีวิต..คนชาติอื่นที่ไม่รู้เรื่องภาษาญี่ปุ่น..แล้วต้องไปใช้ชีวิต..ในประเทศนี้..
..เมื่อกว่า..สามสิบปี..มาแล้ว..นี่แค่เริ่มต้นนะครับ...ยังมีอีกเยอะ...
..........................
-
.........................
......................
.........เรื่องการถอนเงินจากATM..พวกเราที่เรียนด้วยกัน..ก็ใช้แนวทางเดียวกันหมด..เพื่อ..
ป้องกันปัญหา..ก็คือ..เงินที่เข้าบัญชีของเราเป็นงวดๆแบบเงินเดือนนั้น..เข้ามาเท่าไหร่..ถอน
เหี้ยน..เหลือติดบัญชีไว้นิดเดียว..อย่างผมก็เช่นกัน...เหลือไว้ประมาณ ๑,๐๐๐ เยน..(ค่าเงิน
ตอนนั้น..๑๐ เยน..เท่ากับ ๑ บาท ..ราคาโซบะ..หรือ..อูด้ง..มาตรฐานร้านข้างถนน..ไม่เกิน
..๓๐๐ เยน..หรือ ๓๐ บาท )....เพื่อ..ลดจำนวนครั้งที่จะถอน..ก็จะได้ลดความเสี่ยงที่..จะเกิด
การผิดพลาด..ในการกด.......
.................................
..........ผมลืมเล่าไปว่า..ผมยังมีเพื่อนสนิท..อีกคนในพวกที่เรียนด้วยกัน..ผมเพิ่งนึกชื่อมัน
ออกเมื่อไม่เกิน ๒ วันมานี่เอง..แถมจำได้แม้นามสกุล...นิสัยดีมาก...มันเป็นคนบราซิล..ครับ
.....ชื่อ..ออร์ลานโด้ นาตาเล่...รู้สึกว่า..ไม่มีเชื้อสายพื้นเมืองอินเดียนแดง..หรือ..นิโกร..ปน
(..มีไม่มากนะครับ..ที่จะเชื้อสาย..ฝรั่งแท้..ในบราซิล..เพราะเขาไม่เหยียดผิว..พวกฝรั่ง..มัน
ก็ชอบ..สลับ..ไปจับคู่กับ..นิโกร..ส่วนพวกพื้นเมืองอินเดียนแดง..ก็มีบ้างแต่..ไอ้ที่มีเยอะ..
ไม่น่าเชื่อคือ..ญี่ปุ่น..คนเชื้อสายญี่ปุ่นในบราวิล..นี่มีเป้นล้านคน..เลยนะครับ..เรื่องจริง..)
....ตามันสวยมาก..ขนตางอนหนา..ม่านตาสีน้ำตาลปนกับสีเขียว..ผมมันนี่เด่นหน่อย...
เพราะ..ออกสีน้ำตาลทอง....หยักโศก..
..........ไอ้สาเหตุที่..สนิทกัน..ได้อีกอย่างเพราะ..ปรากฎว่า..บราซิล..ส่งมันมาคนเดียว...
..ขณะที่พวกอเมริกาใต้..อเมริกากลาง..นั้น..มาคู่..หมด...มี..ชิลี..เปรู..อาร์เจนติน่า..
..ฮอนดูรัส.....และ..อีกหลายประเทศ..จำไม่ได้แล้ว..มามากกว่า..พวกเอเซีย....
....ไอ้โด้(ต่อจากนี้ไปผมเรียกสั้นๆว่า..ไอ้โด้แล้วกัน)..มันนิสัย..ไม่บ้าบอ..เหมือนไอ้
พวกลาติน(..พวกที่พูดภาษาเสปน)อื่น..คือ..โวยวาย..เมา..ขี้โอ้..ขี้โม้..เก็กหล่อ....
..และ..ขี้หลี...เวลาออกทริป..ไปเรียนและดูงานต่างจังหวัด..ส่วนใหญ่มันก็จะไป..กับ
ผม..และ..ไอ้เบื้อก ๒ ตัว (..ผมพึ่งนึกชื่อมันออกเหมือนกัน..ไอ้ปินส์..นี่ชื่อ..ฟรานเชสโก้
ผมก็จะเรียกมันว่า..ไอ้โก้...ส่วนไอ้เนปาล...นั้น..จำได้แค่..ซิงห์..ผมก็จะเรียกมันว่า..ไอ้ซิงห์)
...มันเป็นคนเงียบ..ขี้อายหน่อย..แต่มันรูปหล่อ..เวลาไปไหน..สาวๆญี่ปุ่นเจอละก็เป็นมอง
เหลียวหลังแทบทุกราย..แม้อายุจะเป็นป้าก็เหอะ....อย่าลืมนะครับ..ว่าเมื่อกว่า สามสิบปีก่อน
..เมืองไทย..มันไม่มีใคร..นึกถึง..เรื่องเกย์กัน...ก็เช่นกัน..พวกเราก็ไม่เคย..มองมันเป็นเกย์
......มันมีอิทธิพล..ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต..ของผมอย่างหนึ่งคือ..เรื่องกาแฟ..
...............ผมเองนั้น..สมัยก่อนก็เป็นคนชอบกินกาแฟ..โอเลี้ยง..อยู่ที่ทำงานก็กินแต่เนส
คาแฟ..เหมือนชาวบ้านทั่วไปนี่แหละ..ไม่ได้มีอะไรให้เลือก..ยุคนั้นบ้านเราถ้าไม่ใช่ตาม
โรงแรมหรู..กาแฟคั่วบด..ใช้เครื่องชง..นี่หาไม่ได้หรอกครับ...เพราะ..สตาร์บัค..สตาร์แบ็ค
..มันยังไม่เข้ามา..ร้านคีอฟฟี่ช้อป..ที่เราเห็นกันนี่..ยังไม่เกิด.....มีก็อยู่ในโรงแรมหรูอย่างที่
บอกไป....................
..........แต่เพราะผม..คบกับ..ไอ้โด้นี่แหละ........สมัยนั้น..ในญี่ปุ่นนั้น..ร้านค๊อฟฟี่ช็อปก็เต็ม
บ้าน..เต็มเมืองไปหมด..แม้แต่เมืองเล็กๆก็มี..ซึ่งผมก็แปลกใจมาก..และโคตรชอบเลย..
เพราะผมเป็น..คนชอบ..กินเค็ก..กินพาย...ยังคิดเลยว่า..กลับเมืองไทยไป..กูจะไปหากิน
ตามโรงแรม..เหรอวะ..ที่ไหนได้..ไม่กี่ปี..ขึ้นมายังกะดอกเห็ด..แม้แต่ในปั๊มน้ำมัน....
.............ผม..ก็ไป..กินกับมันบ่อย..มันก็จะอธิบายว่า..ไอ้เอสเปรสโซ่..นี่มันเป็นยังไง..
คาปูชิโน่..เป็นยังไง..มีวิธีการยังไง...พันธุ์กาแฟไหนดี...แล้วมันก้ถามผมว่า....
........มึงรู้หรือเปล่า..ว่า..กาแฟพันธุ์ไหน..ดีที่สุดในโลก.........ผมก็ตอบไปเลยตรงๆว่า
.......กูจะไปรู้ได้ยังไง...ก็กูรู้เรื่องกาแฟทั้งหลายนี่ได้..ก็มาจากมึงทั้งนั้น...มึงก็บอกมา
ซะก็หมดเรื่อง..ไม่ต้องถามหรอก..............
.........มันก็เลยบอก..พร้อมกับอมยิ้ม..ก็กาแฟพันธุ์บ้านเกิดกูนี่แหละ..กาแฟพันธุ์เปาลิซ
(..คือ..กาแฟสายพันธุ์หนึ่งที่พัฒนาขึ้นมา..และ..ปลูกอยู่แถบ..เมือง..เซาเปาโล..บ้าน
เกิด..ของไอ้โด้เขา...เป็นกาแฟชั้นยอดจริงๆครับ..แต่ดีที่สุดในโลกหรือเปล่า..ไม่ทราบ)
......................
-
..............
..........แล้วไอ้โด้มันก็สาธยาย..เรื่องความผูกพันของคนชาติมันกับกาแฟ..ทำให้เป็นประเทศ
ที่มีสายพันธุ์กาแฟที่ได้มาตรฐานมากที่สุดในโลก...
.....ผมบอกไว้ซะเลยว่า..ทำไม..ไอ้โด้มันถึงมาเล่าเรื่องให้ความรู้เรื่องกาแฟกับ..ผม..ก็เพราะ
..ครั้งแรก..มันถามผมว่า..ชอบกินกาแฟมั้ย..ผมก็บอกไปว่า..ชอบมากเป็นอันดับหนึ่งของเครื่อง
ดื่มของผมเลย..แล้วมันถามต่อว่า..มึงกินกาแฟ..ประมาณวันละกี่แก้ว..ผมก็บอกตามตรงเรื่อง
จริงของผม..คือ..นอกจากจะกิน..ที่ทำงาน(ของฟรี)..ก็กินที่บ้านด้วย..ก็รวมกันประมาณ...
..๑๒ ถ้วย..ต่อวัน...นั่นแหละ..มันก็ผงกหัว..แล้วก็โอเค..ใช้ได้.....
........หลังจากนั้นไม่นาน..ตอนเย็นวันหนึ่ง..เราอยู่ในโตเกียว..ไอ้โด้มันบอกผมว่า...มึงรู้มั้ย..
ไอ้ร้านกาแฟทั้งหลาย..ที่กูกับมึง..ไปนั่งกินกันก่อนหน้านี้นะ..มันไม่ใช่ร้านกาแฟ..จริงๆ...
...ผมก็ตกใจ..อ้าวไอ้เวร..มันหมายความว่ายังไงวะ...
.......มันบอกว่า...ร้านกาแฟจริงๆ..ต้องขายแต่กาแฟ..และ..มีกาแฟสายพันธุ์มาตรฐานโลก..
ทุกยี่ห้อให้เลือก..และ..โดยเฉพาะ..กาแฟแต่ละสายพันธุ์..ต้องเป็นผลิตผลจาก..ต้นแหล่ง
สายพันธุ์โดยตรง..ไม่ใช่แบบญี่ปุ่น(คือ..อย่าง UCC..บริษัทกาแฟชั้นนำของญี่ปุ่น..นี่..มันจะ
สั่งกาแฟ..แต่ละสายพันธุ์..ซึ่งไม่เจาะจงแหล่งแท้จริง..เอามาบรรจุถุง..แล้วก็..ตีตรา..อย่าง
กาแฟพันธุ์โคลอมเบีย...อาจจะได้มาจากเม็กซิโก..ทำนองนี้..ซึ่งจริงๆแล้ว..รสชาติมันจะต่าง
ออกไป..เรียกว่า..คอกาแฟตัวจริงเท่านั้นจะทราบได้..แต่แค่..คนชอบกินกาแฟทั่วไปจะไม่
ทราบ..)....มันก็..พาผมไป..ก็ไปกันแค่สองคนครับ..ไปที่ตึกอะไรซักแห่ง..ผมก็จำไม่ได้..
อยู่แถวชินจูกุ...ไอ้ร้านนี้..มันอยู่บน..ชั้นดาดฟ้าเลย...ไปถึง..ก็โอ้โห..ฝรั่งเพียบ..ญี่ปุ่นที่ดู
แล้ว..มีคลาส..ก็เพียบเช่นกัน..เรียกว่าหาไอ้ยุ่นแบบธรรมดาไม่มี....
....ผมถามว่า..แล้วมึงรู้จักได้ไงวะ..เห็นปกติ..ไปไหนก็ไม่ค่อยเป็น..มันก็บอกว่า..เพื่อน
..บราซิล..ที่เขาอยู่มาก่อน..เป็นคนพามา..มันพาไปดูที่เคานเตอร์..เห็นชื่อพันธ์กาแฟ..
ที่เรียงราย..ก็อึ้งไปเลย..นึกไม่ถึงว่ามันจะเยอะขนาดนี้..ไอ้โด้บอกนี่แหละ..สายพันธุ์มาตรฐาน
...มาตรงจากแหล่ง..ทั้งสิ้น..แล้วมันก็ชี้ให้ดูชื่อ..เปาลิซ..กาแฟบ้านมันที่คยเล่าให้ผมฟัง....
.....มันก็ลงทุนเลี้ยงผม...ก็คือ..สั่งมา ๒ ถ้วย...แล้วนึกสภาพถ้วยกาแฟมาตรฐานจริงๆ..นะ
มันเล็กนิดเดียว..ครับ..พอบริกร..มาเสริฟ..ผมก็เลยสั่งเพิ่มแบบเดียวกัน..อีก ๒ ถ้วย..แล้วบอก
มันว่า..ไม่เป็นไร..เดี๋ยวหารกัน..กูกินกาแฟถ้วยเล็กๆ..ไม่เป็น...
........แน่นอนครับ..ผมก็รู้ว่า..การกินกาแฟให้มีรสชาติ..ควรทำยังไง..ก็คือ...
...๑. ไม่เติมอะไร..เพิ่มลงไป..เพราะจะทำให้เสียรส.....
...๒. ไม่ยกถ้วยกระดก..แล้วเทกาแฟเข้าปาก..ให้เอียงถ้วยเล้กน้อย..แล้วใช้ลมดูดจากปาก
ดูดอย่างแรงให้มันพา..น้ำกาแฟเข้าปากผ่านลิ้น..และต่อมรับรส..อย่างรวดเร็ว..
....๓. อมไว้ซักพัก..ดื่มด่ำกับสุนทรียแห่งรส..แล้วค่อยกลืนลงคอ....
.......ครับจริงของมัน..ทั้งความหอม..และ..ความกลมกล่อม..มันเยี่ยมยอดจริงๆ......
..........ตั้งแต่นั้นมา..ผมก็เลยเริ่มบ้าเรื่องกาแฟ..ถึงขนาดลงทุน..ซื้อเครื่อง”ไซฟอน”..ต้มกาแฟ
..แบบที่..มีตะเกียงแอลกอฮอล์จุดอยู่ข้างใต้..โถแก้วกลับมาด้วย...แล้วก็กินกาแฟมากขึ้น..
...เข้มขึ้น....จนถึงปัจจุบัน..เวลาไปสตาร์บั๊ค(ส่วนใหญ่ที่..เซ็นทรัลลาดพร้าว..ใกล้บ้าน)...
....ผมสั่ง..กาแฟ..ไม่ว่า..จะเป็นเอสเปรซโซ่..หรือ..คาปูชิโน่..ผมก็ไม่เคยเติมอะไรเลย....
....และ..ก็สั่งแบบเป็น..มั๊ก(ถ้วยใหญ่)ตลอด.....
............................
.........ผมเองนั้น..ได้ความรู้จากไอ้โด้..มาพอสมควร..ตามธรรมดาของคนไทย..เราที่น้ำใจ
ที่ดี..กันมิตรสหาย..นั้น..ผมก็ได้ตอบแทนมันเช่นกัน..ในเรื่องที่ผมเก่ง..ก็คือ..เรื่องการเดิน
ทางโดยรถไฟ..ในโตเกียว..แบบที่สามารถไปไหนมาไหน..ได้คนเดียว..ตามจุดหมายที่ต้อง
การ..และ..ไม่หลง....
.....เพราะมันเอง..ก็เคยชื่นชมผมว่า..มึงเก่งนะไปไหนมาไหน..ในโตเกียว..คนเดียวได้ตลอด
..ขนาดมาอยู่ไม่ถึงเดือน..มึงก็ไปได้แล้ว...กูไปไม่ถูก..งง..ขนาดมาอยู่ญี่ปุ่นเกินเดือนแล้ว..
...ไม่กล้าไป..คนเดียว..กลัวหลงวะ..ทั้งๆที่อยากไปไหน..คนเดียวบ้าง..
................ครับ..ผมก็แนะนำรูปแบบ..ของผมไป..ซึ่งมันอาจจะซ้ำกับคนอื่นบ้าง..หรือ..บาง
อย่างก็ไม่ซ้ำ..ก็ไม่เป็นไร..เพราะเทคนิคของผม..ผมก็คิดเอาเอง..ตามเหตุตามผล....
........แต่ไม่ว่า..เรื่องอะไรมันก็มีที่มาที่ไป..ทำไมเราเลือกแนวทางแบบนี้..ซึ่งผมก็จะทยอย
เล่า..ในตอนต่อๆไป....
..................................
-
ยังรออ่านอยู่ค่ะ ที่เมกาก็มีเรื่องเชยๆเล่าเยอะแยะเลย เหมือนตอนที่เพื่อนชอบทานsteak ก็คือเนื้อ ส่วนอีกคนชอบปลาก็คือFillet พอสั่งอาหาร คนนึงก็ชี้ไปที่เมนูปลาว่าเอาFillet mignon ส่วนคนที่ชอบเนื้อก็ชี้ไปที่ Halibut steak ปรากฎว่าFillet mignon(ปลา)ก็ได้เนื้อมา ส่วนเพื่อนที่สั่งHalibut Steak (เนื้อ)กลับได้ปลา ใครจะไปรู้ล่ะว่ามีปลาชื่อHalibut ส่วนFillet Mignonก็คือเนื้อชั้นดี ดีว่าชอบไม่เหมือนกัน เลยต้องเปลื่ยนจานกัน (deejai)
หน้า 1 ของ 9