เปิดตำนานพระอภิญญา-เปิดธรรมไตรโลกธาตุ
พระอาจารย์วิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ)
วัดป่าขันติธรรม(วัดป่าบ้านยาง) อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ
เว็บไซต์หลักหลวงปู่เณรคำ
http://www.luangpunenkham.com/lang-pref/th/
* เพราะเหตุใดชาตินี้จึงเป็นชาติสุดท้ายของภิกษุรูปนี้
* อายุเพียงน้อยเหตุใด คนจึงเรียกขาน '' หลวงปู่ ''
* ทำไมภิกษุรูปนี้จึงออกปฏิบัติธรรมตั้งแต่จำความได้
* " เณรองค์นี้สำคัญน่ะ อนาคตจะได้เป็นหมายเลยเลข 1 ของสายกรรมฐานน่ะ "
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พูดสนทนากับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
* " ตัวเจ้านี่ต่อไปจะได้เป็นหมายเลขหนึ่งของกรรมฐานในอนาคต "
ซึ่งเป็นคำพยากรณ์ของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ยังดังแว่วอยู่ในโสตทวารของหลวงปู่เณรคำ...
----------------------------------------------------------------------
เหตุใด ! พระอาจารย์สุนทร รตนญาโณ แห่งวัดดงน้ำคำ ต.เปิด อ.รตันบุรี จ.สุรินทร์
พรรษาที่ 25 จึงอนุญาตให้ทางพระและญาติโยมในวัด นำรูปถ่ายสูงขนาด 3 เมตรของภิกษุรูปนี้ ตั้งเด่นตระหง่านกลางลานวัด และกล่าวให้ทราบว่า “ ถึงแม้ท่านหลวงปู่เณรจะมีพรรษาน้อยกว่าเรา แต่คุณธรรมท่านมากกว่า ”
เหตุใด ! คณะแพทย์ พยาบาล จึงศรัทธาพระภิกษุรูปนี้ หรือเป็นเพราะคณะแพทย์ เคยเอ็กซเรย์กระดูกของท่านเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาพฉายให้เห็นกระดูกใสคล้ายแก้ว
เหตุใด ! ภายหลังวันที่ 30 ธันวาคมของทุกปี จึงมีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาหาพระภิกษุรูปนี้จำนวนนับหมื่นนับแสนองค์
เหตุใด ! ภิกษุรูปนี้ จึงออกปฎิบัติธรรม ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เหตุใด ! ภิกษุรูปนี้ จึงสามารถนั่งสมาธิในสมัยอายุเพียง 10 ขวบเศษได้นานถึง 12 ชั่วโมง
เหตุใด ! ภิกษุรูปนี้จึงออกธุดงค์ ตั้งแต่อายุ 15 ปี
เพราะเหตุใด ! ชาวบ้าน ลูกศิษย์ จึงเรียกขานพระภิกษุรูปนี้ที่มีอายุในวัยหนุ่มว่า หลวงปู่เณร หรือ หลวงปู่เณรคำ
-----------------------------------------------------------------------
นั่งพิจารณามหาทุกขเวทนายันรุ่งสว่าง
ค่ำคืนวันพระคืนหนึ่ง ณ วัดสว่าวอัมพวันหรือวัดบ้านทรายมูล ชาวบ้านจะพากันไปถือศีล ไหว้พระ ปฏิบัติธรรมภาวนา เด็กชายวิรพลเป็นเด็กน้อยอายุน้อยที่สุด ในกลุ่มจะมีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่พากันไปวัด ด้วยความตั้งใจมั่น ดำรงจิตมั่นจะนั่งภาวนาไปจนถึงสว่างนั่งในอิริยาบถเดียว เวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม เด็กชายวิรพลได้นั่งสมาธิขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ดำรงกายตรงเพื่อให้ลมหายใจเข้าออกกายผ่านเข้าออกได้สะดวก มิให้จิตหงุดหงิด จิตกำหนดรู้ด้วยมีสติในองค์บริกรรมภาวนา จิตมีสติรู้เห็นการเข้าออกของลมหายใจ ทุกอิริยาบถเข้าออก นั่งสมาธิกายดำรงตรง เวทนาความรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานทางกาย ค่อยๆ แสดงออกมาเพราะมันเป็นธรรมชาติ ของร่างกายที่ต้องเป็นเช่นนั้นเอง แต่เมื่อจิตไม่ไปจับต้องเอาความรุ้สึกนั้นของกาย เวทนากาย จิตก็ไม่ทุรนทุราย ไม่อึดอัด เจ็บปวดทรมาน เป็นอิสระแยกจากกัน กายสักแต่ว่ากาย เวทนาสักแต่ว่าเวทนาทั้งทางกาย ทางจิต จิตก็สักแต่ว่าจิต ธรรมก็สักแต่ว่าธรรม โดยมีสติกำกับรู้ ตามรู้ของเหล่านี้ เด็กชายวิรพลนั่งภาวนาค่อยๆ แรงกล้าขึ้นๆๆ จากความรู้สึกเจ็บปวดทรมานนิดๆ ก็เจ็บปวดทรมานทางกายอย่างทวีคูณขึ้นประดังทับลงในกายา จิตมีเพียงสติรู้เท่าทันความเจ็บปวดทรมานปานเส็นเอ็น แขน ขา กระดูก อวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกายแทบจะแยกสลายแตกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ ความเร่าร้อนแห่งธาตุขันธ์ของร่างกาย ทำงานได้ไม่สมดุลกัน ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สภาวะบางช่วงปรับตัวไม่สมดุล เนื่องเพราะกาย ระบบหมุนเวียนต่างๆ ในร่างกายทำไม่เป็นอัตโนมัติ ต้องให้กาลเวลาปรับสภาพร่างกายตามธรรมชาติของธรรมชาติสังขาร ธาตุขันธ์เอง นั่งภาวนาจนเวลาผ่านไป 7-8 ชั่วโมง จิตอันมีสติรู้ตัวตลอดเวลา เด็กชายวิรพลเกิดเวทนาร่างกายอย่างแรงกล้ายิ่งนัก ก็ได้เห็นเหล่าเทพเทวดาลงมาช่วยประคองกาย ให้การช่วยเหลือด้วยการบีบนวดเพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยประคองกายให้ผ่อนปรนจนมีความรู้สึกเบาสบายกาย หลังที่นั่งงอโค้งก็ค่อยๆ ยืดตั้งดำรงกายให้ตรง กล้ามเนื้อรู้สึกถึงกายผ่อนคลายช่วยให้ทางเดินหายใจคล่องตัวคลายตัว สติรู้เวทนาเริ่มค่อยๆ คลายจกาอาการปวดทรมานร่างกายรู้สึกถึงความโล่งสบาย จิตไม่ได้ยึดติดในสิ่งที่เป็นเวทนาปวดกาย แยกกาย แยกจิต แยกเวทนา ออกจากกันได้ชัดเจน.....ด้วยบุพกรรมเก่าที่เด็กชายวิรพลมีร่วมกันต่อเหล่าเทวดาเหล่านั้นได้มาช่วยประคองกาย จิตรำลึก
-----------------------------------------------------------------------
ดับความโง่ 30 ธันวาคม
พระพุทธองค์ปรากฏกายอนุโมทนา
การบำเพ็ญสมณธรรม เจริยจิตภาวนา ณ ภูตึก เทือกขุนเขาแห่งหนึ่ง สามเณรวิรพล สุขผล ได้ธรรมปฏิบัติจากเดือนที่ 1 ผ่านสู่เดือนที่ 2 ย่างเข้าเดือนที่ 3 การบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ เด็กอายุ 6 ปี จนถึงวัยเป็นสามเณร ความเพียรในสติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ก็มิได้ลดน้อยถอยลงแต่ประการใด กลับมีแต่สติดำรงแน่นหนักมิไหวหวั่น... วันนั้นตรงกับวันที่ 30 ธันวาคม...
สติมหาสติ กำหนดลงในกายานุปัสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน จิตได้สละดับความยึดมั่น อุปทานในภพชาติ สังขาร จิตเกิด นิพพิทาญาณ จนมุ่งแสวงหาโมกธรรม กิเลส ตัณหา ความยึดมั่นถือมั่น อุปทานของจิตถูกดับลงด้วยวิชชา ความโง่ความเคลือบแคลงสงสัยต่าง ๆ หายไปจนหมด ความเชื่อสนิทแนบแน่นในคุณพระพุทธเจ้า เชื่อสนิทใจในผลการปฏิบัติในผลแห่งความหลุดพ้น ศรัทธาในคุณพระพุทธเจ้าเต็มหัวใน ความหลงในภพชาติ สังขาร อวิชชา ความหลงต่างๆ โมหะ ในจิตถูกดับลงไม่มีเหลืออีกในจิตเป็นใจบริสุทธิ์ สุทธิธรรม เกิดญาณทัสสนะ อาสวขญาณใจจิตจนถึงจุดที่รู้ภายในจิต โมหะถูกพังทลายลงราบคาบไม่มีเหลือเป็นเชื้อในภพชาติหน้าอีกต่อไป จิตหลุดพ้นดับความยึดถือจนไม่มีความสมมุติว่าเป็นผู้หลุดพ้น ดับกิเลส ตัณหา อุปทาน ไม่มีสมมุติว่า คือ นิพพาน จิตก็หลุดพ้นแบบความหลุดพ้น นิพพานจึงสักแต่ว่านิพพาน คือ นิพพาน ไม่ได้ยึดถือเอาเป็นตัวเป็นตน ความรู้ในจิตปรากฎชัด ภพหน้าเป็นอันไม่มีสำหรับเรา เร่าจะไม่มาเกิดอีกต่อไป....
จิตเสวยวิมุตติสุข ปิติ อยู่ ณ ภูเขาภูตึก ถึง 7 วัน 7 คืน (และในคืนที่ 7 นั้น ได้ปรากฎมีพระบรมสารีริกธาตุ เสด็จมาอยู่ในมือหน้าตักของหลวงปู่เณรคำเต็มไปหมด ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุนี้จะเสด็จมาโปรดหลวงปู่เณรคำเป็นประจำทุกปี เมื่อเลยวันที่ 30 ธันวาคม จนถึงวันที่ 7 มกราคมของทุกปี จะปรากฎมีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาให้ประจำเสมือนเป็นวันครบรอบวันบรรลุธรรมสำเร็จกิจจึงมีของศักดิ์สิทธิ์มาอยู่ด้วยเสมอๆ )
ค่ำคืนนั้นนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันสูงยิ่งแห่งบรมพระศาสดาพร้อมเหล่าพระอรหันตสาวกจำนวนมากมายได้เสด็จมาทางอากาศ ในนิมิตที่สามเณรวิรพลได้เห็นภาพ ท่านได้เสด็จมาบิณฑบาตรเป็นทิวแถวยาว พระพุทธองค์เสด็จนำหน้า พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร และเหล่าอรหันตสาวกมากมาย ตลอดจนคณะธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็เดินมาในขบวน สามเณรวิรพล จึงได้ยกมือไหว้พระพุทธองค์ ท่านก็เมตตาแย้มโอษฐ์ที่มุมปากเล็กน้อย "ขอเธอจงมาเดินเข้าแถวต่อท้ายแล้วไปบิณฑบาตรด้วยกัน " สามเณรวิรพลจึงได้ลุกขึ้นเข้าร่วมขบวนบิณฑบาตรกับพระพุทธองค์แล้วนิมิตนั้นก็หายไป.... นับตั้งแต่นั้นมาโลกธาตุทั้ง 3 โลกธาตุ มนุษย์โลก กามภพ รูปภพ อรูปภพ สิ่งที่เคยได้เห็นสิ่งลึกลับ เร้นลับ พญานาค เทพ พรหม คนธรรพ์ ต่างๆ ที่ยังมีความเคลือบแคลงสังสัยต่างๆ อยู่ในขณะก่อนหน้านั้นความเคลือบแคลงสงสัยในภพภูมิต่างๆ ทั้ง 3 โลกธาตุ รู้เห็นเด่นชัด ประจักษ์ในจิตชัดแจ้ง ความรู้เห็นในไตรโลกธาตุนี้ไม่มีประมาณ ความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ ก็หมดไป เกิดเป็นความรู้จริงที่เด่นชัดมาแทนที่....
-----------------------------------------------------------------------
หลวงปู่เณรคำ กล่าวให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องอัฐิธาตุของครูบาอาจารย์ท่าน " ภายหลังจากที่ประชุมเพลิงแล้วบางท่านแปรเปลี่ยนเป้นพระธาตุใสๆ บางท่านเป็นพระธาตุก้อนกลม เหลี่ยมแตกต่างกัน มันไม่เหมือนกันนะ แต่ละองค์แล้วแต่บารมี บางองค์สำเร็จธรรมแล้ว ไม่เป็นพระธาตุก็มี คือ ความประสงค์ของท่านใช้ได้แล้ว ถ้าท่านประสงค์ไม่ให้เป็นก็ไม่เป็น บางท่านเพ่งกระดูกมากก็เป็นมาก ละเอียดมาก " คราวหนึ่ง หลวงปู่เณรคำนั่งรถยนต์ไปกับลูกศิษย์ขับด้วยความเร็วสูง 150 กม./ชม. รถเกิดประสบอุบัติเหตุ ปรากฎว่าทุกคนในรถปลอดภัย ไม่มีอาการกระดูกหัก กระดูกแตก กระดูกร้าวใดๆ เลือดตกยางออกก็ไม่มี ญาติโยมจึงเกิดความเป็นห่วงกลัวว่า หลวงปู่เณรคำจะไม่สบาย หรือกระดูกจะหัก ท่านจึงได้ไปเอ็กซเรย์ ที่โรงพยาบาลก็เป็นปกติทุกอย่าง ต่อมามีโอกาสเข้าไปใน กทม. ญาติโยมจึงขอให้ตรวจเอ็กเรย์ ดูร่างกายอีกครั้ง เอ็กซเรย์ผ่านกระบวนการฉายภาพ แล้วนำภาพนั้นไปตรวจดูด้วยระบบคอมพิวเตอร์ฉายภาพโครงร่างกาย โครงกระดูก บนจอคอมพิวเตอร์ก็เป็นร่างกาย โครงกระดูกปกติทุกอย่าง ไม่มีรอยกระดูกแตกหรือหัก แต่สิ่งที่แปลกจนทำให้คณะแพทย์พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตกตะลึง เมื่อภาพที่ขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ เป็นโครงกระดูกในเป็นแก้วเห็นเด่นชัดด้วยสายตาเปล่าบนจอคอมพิวเตอร์ หลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก เจ้าอาวาสวัดดอนธาตุมักกล่าวถึงศิษย์ของทานรูปนี้อยู่บ่อยๆ " คนบวชหลังถึงได้ก่อน คนบวชก่อนก็มี คนบวชก่อนเดินทางถึงทีหลัง คนบวชหลังก็มี "
" พระอริยเจ้าเป็นผู้มีจิตที่เป็นกลางไม่แบกหามเอาสมมุติใด ๆ ทั้งสิ้นมาหนักจิต แม้จิตนั้นดับไป ไม่มีเหลือ ไม่ได้ยึดถือจิตนั้นเป็นตัวเป็นตน วิญญาณนั้นก็ไม่มี ดับสิ้นไม่มีเหลือ สมมุติทั้งหลายสิ้นไปหมด ไม่มีอีกแล้ว หยุดลงแค่นั้น พรหมจรรย์ทั้งหลาย ก็ยังเป็นสมมุติแห่งพรหมจรรย์ เมื่อพรหมจรรย์จบสิ้นแล้ว สมมุตินั้นก็จบสิ้นไปด้วย ความยึดถือในพรหมจรรย์ ทั้งหลาย แดนเกิดแห่งพรหมจรรย์จึงไม่มีอีกแล้ว เพราะพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ฉะนั้น เราต้องเข้าใจความเป็นจริงของสมมุตินั้น "
เปิดตำนานพระอภิญญา-เปิดธรรมไตรโลกธาตุ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มโน, 9 มิถุนายน 2009.
หน้า 1 ของ 4
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่เณรคำ
พระธรรมเทศนา
หลวงปู่เณรคำท่านมีเมตตาธรรมต่อสานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทุกท่าน อยากให้ทุกคนได้เข้าถึงความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ ท่านจึงได้นำเอาแนวทางการปฏิบัติ ที่ท่านเคยบำเพ็ญมาตั้งแต่เป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน มาสอนให้เราท่านทั้งหลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายและจิตใจ สอนให้เป็นผู้มีปัญญารู้แจ้งตามหลักการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นตามธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว
ธรรมะและแนวทางการปฏิบัติ ที่หลวงปู่ได้เมตตานำมาสอนนั้น เป็นแนวทางลัดในการปฏิบัติ ให้บรรลุธรรมกันได้ง่ายขึ้น สามารถเข้ากับจริตของทุกๆ คน ทุกๆ จิตใจ ถ้ามีความเพียร ถ้ามีความศรัทธาในองค์พระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ความเพียรและความศรัทธาที่เด็ดเดี่ยวมั่นคงนั้น จะเป็นกำลังผลักดันให้เรามีตบะเดชะในใจ สามารถบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นมรรคเป็นผลได้ในที่สุด นี่แหละ คือ เมตตาธรรมอันยิ่งใหญ่ที่หลวงปู่ท่านได้หยิบยื่นให้แก่เราท่านทั้งหลาย ต่อไปนี้คือหลักธรรมคำสอนของหลวงปู่เณรคำ
• พระอริยเจ้าละสังขาร ไม่มีแดนเกิดแห่งกายนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นกายสัตว์ กายอะไรก็ช่าง กายละเอียดกายหยาบไม่มีอีกต่อไป
• นักปฏิบัติต้องกำหนดรู้อยู่ในกายให้มาก ให้เห็นแจ้งรู้จริงในกาย เมื่อกำหนดรู้ในกายเด่นชัดแล้ว ก็จะรู้เองโดยอัตโนมัติว่า จิตเป็นยังไง กายเป็นยังไง ไม่ต้องไปถามใคร
• นักปฏิบัติต้องทบทวนดูพฤติจิตของตนเองให้ดี ให้เด่นชัด ให้ละเอียด เพราะกลเกมกลลวงของกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันเฉียบคม
• ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติแล้ว อย่าเลือกที่ปฏิบัติ ที่ไหนๆ ก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น ปฏิบัติให้ตื่นรู้อยู่ในกายทุกอากัปกิริยา
• ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติแล้ว ไม่พึงแสวงหาวัตถุอย่างอื่นอันนอกเหนือจากความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
• การปฏิบัติธรรมนั้น แม้เกิดก็เกิดคนเดียว การจะเข้าถึงมรรคผลก็เข้าถึงคนเดียว ธาตุขันธ์จะแตกดับก็แตกดับคนเดียว
• การธุดงค์ป่านอกไม่มีผลสำเร็จดีเท่ากับเดินจาริกอยู่ในป่ามหานครกายและป่าใจของตัวเอง
• จงดำเนินองค์สติให้ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ควบคุมความคะนองทางใจ สำรวมระวังความคิด เจริญกองบุญกุศลให้ถึงพร้อม และให้ละบาปอกุศลให้สิ้น
• ไม่ยึดถือเอาสัญญาเป็นเจ้าของ หลุดพ้นออกจากสัญญาแล้วความขุ่นข้องหมองใจ ความพยาบาทปองร้ายก็ดับไป
• พอใจในสิ่งที่เรามี พอใจในสิ่งที่ตนได้ ถ้าดิ้นรนมาก ก็จะกลายเป็นกิเลส ตัณหา
• ท่านทั้งหลายที่เป็นสาธุชนนั้น ต้องอาศัยการให้ทาน ต้องอาศัยวัตถุทาน เป็นตัวนำจิตให้เข้าถึงบุญกุศล เป็นสิ่งที่ทำง่ายสำหรับท่านทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของท่านทั้งหลายยิ่งใหญ่ขึ้นในภายภาคหน้า
• การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารภพน้อยภพใหญ่นี้ มันทุกข์ร้อนมากๆ ผู้ไม่ปรารถนาที่จะมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องปฏิบัติตนรักษาศีล บำเพ็ญภาวนา ตั้งศรัทธาให้มั่นคง ปฏิบัติธรรมกำหนดรู้ ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งปวง ถอดถอนความยึดถือในโลกทั้งปวง ในธรรมทั้งปวง ความเป็นตัวเป็นตน ความแบกหาม เอาสมมุติทั้งหลายทิ้งไปให้หมด สละไปให้หมด จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
• ท่านผู้มีปัญญาย่อมมีธรรมปรากฏอยู่ในจิตใจเสมอ ปัญญาธรรมคือสิ่งที่เลิศที่สุดในชาติปัจจุบัน
• ธรรมทั้งปวงนั้นคือ เครื่องเตือนให้ท่านทั้งหลายตื่นจากการหลับใหลในความยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ให้รู้จักส่งคืนสิ่งยึดติดทั้งปวง ด้วยธรรมอันจิตไม่ยึดมั่น เห็นเด่นชัดนั่นเป็นสักแต่ว่า
• นักปฏิบัติต้องใช้สติปัญญาที่เฉียบคม ทบทวนดูผลของการปฏิบัติที่ผ่านมาให้ละเอียดมากลงไปเรื่อยๆ ว่ากิเลส ตัณหา อุปาทานที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจนั้น มันหมดไปมากน้อยแค่ไหน และทบทวนดูสภาพจิตของตัวเองให้ลุ่มลึกลงไปให้มาก ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างต้องดับไป
• นักปฏิบัติต้องทบทวนดูสิ่งที่ตนเห็นให้ดี เพราะสิ่งที่เห็น คือ อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น เมื่อเห็นแล้วเดินจิตปลงลงสู่ความไม่ยึดถือ เดินกระแสจิตเข้าสู่ความดับ พอมันหลุดไปหมดแล้ว จะเห็นอะไรมันก็เห็นเป็นปกติ
• นักปฏิบัติต้องใช้ปัญญาพิจารณาดูรูป เวทนา ให้เด่นชัด เมื่อเด่นชัดแล้ว จิตก็จะถอดถอนออกโดยอัตโนมัติ เห็นเป็นเพียงสมมุติเท่านั้น
• สาธุชนทั้งหลายอย่าเห็นเรื่องฤทธิ์เดชเหล่านั้น สำคัญกว่าการละกิเลสให้ได้เด็ดขาดอย่างแท้จริง
• ท่านทั้งหลาย เราอย่าเข้าใจว่าพระพุทธเจ้านั้นสอนให้เราสร้างแต่บุญเพื่อไปเกิดในสวรรค์อย่างเดียว แต่หัวใจของพระพุทธเจ้าที่เน้นหนักลงมา คือ ให้เราได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดตามพระองค์
• อุเบกขานั้นไม่ใช่การวางเฉยไปเลย แต่เป็นการเฝ้าดูโดยความสงบนิ่งของจิต ไม่มีอารมณ์อื่นแทรกแซง ท่านทั้งหลายจงมีอุเบกขาแบบอุเบกขาผู้มีปัญญา อุเบกขาแบบผู้มีปัญญาคือ การเฝ้าดูอยู่ไม่ให้ตนเองพลาดพลั้ง ไม่มีสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีสิ่งที่เป็นอกุศล
• เนื้อแท้ของธรรมชาติในโลกวัฏฏทุกข์นั้น ล้วนแล้วไม่ยั่งยืน แปรปรวนอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย จึงให้ทุกท่านเข้าไปรู้ความจริงของธรรมชาติแห่งวัฏฏทุกข์นั้น ด้วยสติปัญญาอันสุขุมละเอียด และด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ความจริงแจ้งชัดหายสงสัยปรากฏอย่างที่สุด หลุดพ้นทันที
• ความโง่ในโลกที่เราโดนหลอกเอย คนนั้นหลอก คนนี้หลอก มันไม่ใช่ความโง่ที่เรียกว่าหนักหนาอะไร แต่ที่หนักคือ เราโง่ให้กิเลสมาสับรางจิตใจของเราให้ไปผิดทาง
• ยุคนี้ คือ ยุคที่เราจะทำให้เป็นดั่งสมัยพุทธกาล คือ ให้มีผู้บรรลุสำเร็จเป็นอรหันต์มากที่สุด ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
• จิตที่หลงยึดติดว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราบรรลุแล้วจบสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว จิตที่หลงนี้ต้องกลับมาเกิดใหม่ และนำเอาจริตเดิม สันดานเดิมที่หลงติดไปด้วย
• ถ้าเรารักษาศีลไม่ดีก็เท่ากับว่าเรายังไม่แจ้งในศีล ถ้าเราบำเพ็ญภาวนาไม่ดีก็เท่ากับว่าเราไม่แจ้งในสติ ถ้าเราไม่มีความตั้งมั่นเพียงพอเท่ากับเราไม่ตั้งมั่นในสมาธิ ถ้าเราไม่มีความรู้เท่าทันกิเลสตัณหาอุปาทานเท่ากับเราไม่รู้แจ้งในปัญญา
• ถ้าเราได้จาบจ้วงพระอริยเจ้าองค์หนึ่ง ก็เหมือนเราได้จาบจ้วงทั้งหมด ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจนถึงปัจจุบันกาลนี้ ผลกรรมนั้นมันหนักหนาสากรรจ์มาก
----------------------------------------------------------------------
ให้เฝ้าดูอาการของจิตจนรู้จิตเด่นชัด การบรรลุธรรมจะปรากฏ รู้จิตเห็นธรรม
• จิตที่หลุดพ้นนั้น เหนือบุญ เหนือบาปทั้งปวง
• ทุกคนจงมาทำให้แจ้งในปัจจุบันนี้เลย อย่าทำเพื่อชาติหน้า อย่าทำเพื่ออนาคตอันยืดเยื้อยาวไกลไปมาก ทำปัจจุบันให้มันแจ้ง แจ้งทั้งกาย ให้มันแจ้งทั้งจิตใจ อย่าให้มีข้อลังเลสงสัย อย่าให้มันเกิดการพวักพวง ให้มันแจ้งไปหมด
• การขับเคลื่อนของสติปัญญานั้น ต้องเดินอย่างต่อเนื่อง
• เมื่ออำนาจสติมีกำลังพอเพียง จะสามารถเห็นความเป็นจริงได้ว่า สภาพจิตและกายไม่ได้เป็นเนื้ออันเดียวกัน มันแยกกันอยู่
• สัญญานั้นเหมือนเพลิงที่มาเผาจิตของเวไนยสัตว์ไม่ให้หลุดพ้น ออกจากกองทุกข์
• คำว่าขณะที่ปฏิบัตินี่ ไม่ใช่เฉพาะชั่วโมงนั้นชั่วโมงนี้นะ มันทุกอากัปกิริยา ทุกสภาวะในปัจจุบันนั้นๆ แต่ละลมหายใจเข้า-ออก แต่ละเวลา แต่ละชั่วโมง แต่ละนาที สภาพปัจจุบันด้วย
• ยศถาบรรดาศักดิ์ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณทั้งหมด เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ เราก็ไม่ได้เอาไปด้วย เป็นสักแต่ว่าสมมุติในโลกนี้แค่นั้น ท่านจะเป็นมนุษย์ผู้มีสมบัติใหญ่โต มีชื่อแปลกๆ มีรถยนต์ นั่นคือเครื่องสมมุติ ผู้ที่บำเพ็ญตนให้พ้นจากกิเลสตัณหา เห็นสมมุติเหล่านั้นให้เด่นชัด เห็นทุกอย่างเป็นสมมุติ รู้สมมุติเหล่านั้นแล้วทิ้งสมมุติเป็นแดนเกิด ภพชาติจึงดับไป
• หัวใจแก่นแท้ของนักปฏิบัติธรรมตามธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ความไม่ยึดถือเอาเป็นเจ้าของในสิ่งทั้งปวง
• คำว่าปฏิบัติให้ดี ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง คือ ไม่ให้เผลอ ไม่ให้หลงลืม ไม่ให้ด่างพร้อยไปตามอารมณ์
• การบำเพ็ญต้องบำเพ็ญด้วยสติล้วนๆ ปัญญาล้วนๆ ไม่ไปหลงกับอำนาจสมาธิ อำนาจความสุข ความปิติบางอย่าง ต้องตั้งสติให้มั่นคงเด็ดเดี่ยวขึ้นกว่าเดิม ตั้งกำลังปัญญาให้มันแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม พิจารณาให้มันแตกฉานไปเสียหมดเลย จึงจะหลุดพ้น
• การบำเพ็ญนั้น ต้องบำเพ็ญด้วยความเด็ดเดี่ยว คำว่าเด็ดเดี่ยวหลักสำคัญ คือ ไม่ต้องไปลังเลสงสัยกับคนอื่น ไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องอื่น ให้นั่งทำใจของตนให้สงบระงับ ไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปตามอารมณ์ต่างๆ
• การบำเพ็ญต้องหลีกเว้นออกจากสิ่งที่เคยยึดถือยึดมั่นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก เป็นตัวเริ่มต้นเลยในการถอน เมื่อเราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นเนื้อ หนัง เอ็น กระดูกแล้ว อย่างอื่นมันไม่ยึดถือกันอัตโนมัติ
• สภาพสติปัญญาที่จะน้อมนำธรรมคำสอนเข้าฝังในหัวใจ จะเข้าไปในจิตใจมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของแต่ละคนแต่ละท่านที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาตินี้ เพราะว่าการบำเพ็ญบารมี ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญด้วยการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ของแต่ละคน แต่ละท่านนั้น สะสมกำลังบารมีส่วนนี้มาแตกต่างกัน
• ยิ่งรู้แจ้งในกายมากเท่าไหร่ สติปัญญายิ่งมีกำลังมากขึ้นเท่านั้น
• ยอดที่สำคัญที่สุด คือ จิตใจของสาธุชนทั้งหลายนั้น ต้องให้ถึงที่สุดแห่งองค์พุทธะ ให้ถึงที่สุดแห่งองค์ธรรมะ และให้ถึงที่สุดแห่งองค์พระสังฆอริยเจ้า ด้วยเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนี้รวมเป็นหนึ่งหมุนเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้านั้น นั่นแหละคือว่าเราได้ทำให้ถึงยอดของพระพุทธศาสนา
• นิพพานนั้นไม่มีแดนเกิด นิพพานนั้นดับได้หมดเลย นิพพานเหนือโลกทั้งมวล เหนือโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด
• สาธุชนท่านใดปรารถนาให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายในการเกิด ต้องทำให้แจ้งในมหานครกายและมหานครใจ แจ้งจนหายสงสัย เมื่อหายสงสัยแล้ว ส่งคืนไม่ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ
• แม้ว่าเราจะอยู่ในวัตถุของโลก แต่จิตเราไม่ยึดติดในวัตถุของโลก เหมือนกับน้ำบนใบบอนที่ใสสะอาด แม้อาศัยอยู่ในใบบอน แต่ก็ไม่ได้ติดด้วยใบบอนนั้น
• ถ้าจะหลุดพ้นแท้ๆ คือ ไม่เป็นในสิ่งที่เป็น ไม่มีสิ่งที่เป็นยึดถือในหัวใจ
• หลุดพ้นออกจากความหลุดพ้น นี่คือ ที่สุดของการปฏิบัติ
• การบรรลุมรรคผล จิตนั้นจะไม่มีอะไรแทรกแซงในจิตเลย แม้แต่ความเห็นว่าจิตของตนนั้นใสดั่งแก้ว ก็ไม่มีเลย
• การเดินย่ำไปในโลกธรรม ถ้าจิตเหนื่อยล้าก็จงพักเอากำลังแห่งสติปัญญาอันกล้าหาญ ไม่หวั่นไหวในสภาพทั้งปวง โลกธรรมมันยาวไกลไม่สิ้นสุด จิตหลุดพ้นแล้ว แม้โลกธรรมจะแสนไกลไร้ความหมาย เจริญธรรมอันเลิศแด่ท่านผู้ประเสริฐ
• ความเชื่อในทางโลกนั้นมีกำลังมากกว่าความเชื่อในทางธรรม เพราะว่าทางโลกนั้นมีรูปธรรมสัมผัสได้จับต้องได้ แต่ทางธรรมนั้นต้องใช้สติปัญญา มันจับต้องไม่ได้ด้วยมือเปล่า แต่กำหนดรู้เข้าไปที่จิตสำนึกได้เท่านั้น ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมได้ ต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตั้งมั่นศรัทธาในศาสนาจนแก่กล้าจึงจะเข้าถึงรากได้
• เราก็ขอทุ่มเทให้กับพระพุทธศาสนาในปัจจุบันชาติ แม้ว่าเราจะอาศัยเป็นบ้านเกิดหลังสุดท้าย แต่เราก็ขอทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเกิดหลังสุดท้ายอย่างเต็มภาคภูมิ เพื่อประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายได้พึ่งพาต่อไปภายภาคหน้า ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานในอนาคตต่อไป คุณงามความดีจักประจักษ์เด่นชัดในใจของเรานี่เอง ถ้าเราทำดี ความดีก็มีในใจของเรา ไม่ต้องไปโอ้อวดใครทั้งสิ้น
• นับเป็นชาติสุดท้ายที่เรานำท่านทั้งหลายสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ จะไม่มีชาติอื่นปรากฏแก่เราอีกต่อไป ทำไปเถิด เมื่อมีโอกาสได้ทำ
• ท่านทั้งหลายอย่ายึดติดในอารมณ์ทั้งปวงเลย ทั้งร้อนและเย็นมันเป็นทุกข์ทั้งนั้น อารมณ์เปรียบดั่งทะเลเพลิง ถ้าจิตเหนืออารมณ์ ก็พ้นจากทะเลเพลิง ได้ถึงความหลุดพ้นในที่สุด
• ชีวิตทั้งหลายโดยมากลุ่มหลงในตน ยึดถือตนเป็นแก่นสาร เอาความเป็นตัวเป็นตนครอบงำจิต ชีวิตเหล่านั้นจึงเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว จงดับความยึดถือในตน ทุกข์โดยไม่รู้ตัวจักดับไป
• ธรรมอันบริสุทธิ์คือ เครื่องตื่น ผู้รู้แจ้งในธรรมทั้งปวง เปรียบดั่งว่าเป็นผู้ตื่นแล้วจากโลกมืด อันเป็นบาปอกุศล อุปาทาน กิเลส ตัณหาทั้งปวง เมื่อตื่นแล้วหลุดพ้นถึงซึ่งความเกษมบันเทิงใจในธรรม จนดับขันธ์นิพพานไป ไม่หวนกลับมาเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป
• ให้ตัดความกังวล ให้ตัดความยึดถือทั้งปวง เพื่อจะได้หลุดพ้นต่อไปในภายภาคหน้า
• ให้มีพรหมวิหารธรรมที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว เมตตาก็เมตตาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว กรุณาก็กรุณาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว มุทิตาก็มุทิตาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว อุเบกขาก็อุเบกขาด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวด้วย
• อุเบกขาที่มีปัญญาจะช่วยเราไปตลอดชีวิต นักปฏิบัติทุกวันนี้ รู้แต่ว่าการปล่อยวาง ปล่อยวาง นั่นสักแต่ว่าก็แค่นั้นเอง แต่ไม่รู้ว่าสักแต่ว่าแบบมีปัญญาเป็นยังไง
----------------------------------------------------------------------
• เมื่อสติ สมาธิ ปัญญา มีในหัวใจแล้ว เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีในหัวใจแล้ว อุเบกขามีหน้าที่ซุ่มดู เฝ้าระวังไม่ให้จิตใจตนเองเกิดอะไรขึ้นมาอีกเหมือนเดิม แล้วคอยประคองรักษาสภาพจิตนั้น ให้มันสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
• นักบุญทั้งหลายจงจำไว้เถิดว่า ให้ทำกุศลฝ่ายในและกุศลฝ่ายนอกให้บริบูรณ์ เมื่อบริบูรณ์คราใด บารมีจักเกิดครานั้น จงพิจารณาธรรมเหล่านี้ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเถิด
• ชนทั้งหลายผู้จักได้เกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ นั้น ต้องหนักแน่นในศีลแลให้ทานพร้อมทั้งภาวนา ผลคือดวงจิตดวงนี้เกิดมีความปิติสุขโล่งเบาโดยตลอด ไม่ด่างพร้อย เมื่อถึงวันธาตุขันธ์ดับแล้ว จิตวิญญาณเหล่านั้นหมุนเข้าสู่สุขคติสวรรค์ทันที อย่างไม่ลังเลสงสัย
• จิตที่หลุดพ้นนั้น เหนือบุญ เหนือบาปทั้งปวง
• สติปัญญาของท่านผู้ปฏิบัตินั้น แจ้งกำหนดรู้ไปยังที่ใจ ย่อมรู้แจ้งแจ่มชัดในที่นั้นอย่างหายสงสัย เพราะอำนาจสติปัญญามีกำลังเพียงพอ อันเกิดจากความเพียรที่มีอยู่ในปัจจุบัน ท่านทั้งหลายจงแสวงหาและสร้างสติปัญญาของตนให้เด่นชัดในหัวใจ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างเต็มตัว หายสงสัยในสิ่งทั้งปวง
• ผู้มีปัญญาแก่กล้านั้น เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งใดแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากสิ่งนั้นด้วย โดยไม่ยึดไม่ถือเอาเป็นเจ้าของ ส่งคืนไปตามสภาพสมมุติหมด
• การบำเพ็ญเพียรเพื่อให้หลุดพ้น ต้องทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ ทำด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ด้วยใจที่เต็มความภาคภูมิ เต็มไปด้วยความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้ด่างพร้อย ไม่ให้พลั้งเผลอเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าผลของการปฏิบัตินั้นจะมีมากเพียงใดก็ตาม
• บุญในอดีตชาติรวมเป็นหนึ่งกับบุญในปัจจุบันชาติ จักเกิดบารมีอันยิ่งใหญ่ สำเร็จประโยชน์ดังตั้งใจ
• สติ สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน รวมลงที่ใจโดยฝ่ายเดียว แต่ไม่ให้ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ส่งคืนตามสภาพความเป็นจริงนั้นให้หมด
• ถ้าศีลไม่สะอาด มันจะรวมสติ สมาธิ ปัญญา ลงไปที่ใจไม่ได้ รวมไม่ได้เลย
• ปฏิบัติตนให้รู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งในศีล รู้แจ้งในสติ สมาธิ ปัญญา
• แม้ว่าเราจะอยู่ในวัตถุของโลก แต่จิตเราไม่ยึดติดในวัตถุของโลก เหมือนกับน้ำบนใบบอนที่ใสสะอาด แม้อาศัยอยู่ในใบบอน แต่ก็ไม่ได้ติดด้วยใบบอนนั้น
• โลกยังคงหมุนไปตามธรรมชาติ สรรพสิ่งในโลกยังคงหมุนไปตามกรรม เรามาดับกิเลสตัณหาอุปาทานเพื่อระงับกรรมเหล่านั้น เหตุที่ทำให้กรรมยุติเบาบางลง คือ การดับกิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งปวง
• การออกจากทุกข์ก็คือ เราอย่าไปมองแค่สวรรค์ เป็นนักปฏิบัติต้องมองถึงพระนิพพาน อย่าไปยุติไว้แค่สวรรค์ แม้ว่าไปเกิดในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ไม่ว่าจะสูงส่งมากแค่ไหน เมื่อบุญหมด บารมีหมด ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่อีกไม่จบสิ้น แต่ที่มันจบก็คือความหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิเหล่านี้
• ให้เข้าใจถึงธาตุขันธ์ร่างกายโดยรวมคือ ธรรม จิตที่อาศัยร่างกายอยู่ก็คือธรรม ผู้ที่จะเข้าถึงความหลุดพ้นสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดถึงพระนิพพานนั้น ต้องมีความแจ่มแจ้งหายสงสัยในธรรมเหล่านี้ ธรรมเหล่านี้ก็คือร่างกายและจิตใจ เพราะเหตุเหล่านี้แหละ เพราะความยึดถือในร่างกายและจิตใจนี้แหละ สัตว์โลกทั้งหลายจึงต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น
• รีบทำในวันนี้ อย่ารอวันพรุ่งนี้
• คำว่า “ขันติธรรม” นี้ ยิ่งใหญ่มาก เป็นคุณธรรมชั้นสูง
• การตั้งจิตอยู่ ปัญญาอยู่ ให้ถึงพร้อมทั่วทั้งกายดีที่สุด ทำให้ได้
• ฝึกจิตให้แก่กล้า ชนะอารมณ์ เป็นคนดีของสังคม
• สิ่งที่ดีที่สุดคือ ปัญญาของเรา ทำให้แจ้งทั้งหมดเลย ไม่แจ้งเฉพาะที่ตรงใดตรงหนึ่ง เอาจิตเข้าไปตามรู้ทันให้หมด
• แก่นแท้ของจิตนั้น เป็นอาการที่คิดปรุงแต่ง รับรู้อารมณ์ทั้งปวงที่ปรากฏ
• อำนาจจิตที่แก่กล้ามีพลังนั้น เกิดจากความเพียรในปัจจุบันกาล เรียกว่า สภาวะปัจจุบันนั้นมีองค์มหาสติครอบคลุมอยู่ตลอด อย่างไม่ด่างพร้อย จึงไม่จำกัดว่าต้องอยู่ในอิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่ง ไม่จำกัดกาล เวลา และสมัย เมื่อสติปรากฏแจ่มชัด ชื่อว่าท่านเป็นผู้มีความเพียร จิตจะแก่กล้าขึ้นโดยอัตโนมัติ
• พระอริยเจ้าเป็นผู้มีจิตที่เป็นกลาง ไม่แบกหามเอาสมมุติใดๆ ทั้งสิ้นมาหนักจิต แม้จิตนั้นดับไป ไม่มีเหลือ ไม่ได้ยึดถือจิตนั้นเป็นตัวเป็นตน วิญญาณนั้นก็ไม่มี ดับสิ้นไม่มีเหลือ สมมุติทั้งหลายสิ้นไปหมด ไม่มีอีกแล้ว หยุดลงแค่นั้น พรหมจรรย์ทั้งหลายก็ยังเป็นสมมุติแห่งพรหมจรรย์ เมื่อพรหมจรรย์จบสิ้นแล้ว สมมุตินั้นก็จบสิ้นไปด้วย ความยึดถือในพรหมจรรย์ทั้งหลาย แดนเกิดแห่งพรหมจรรย์จึงไม่มีอีกแล้ว เพราะพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ฉะนั้น เราต้องเข้าใจความเป็นจริงของสมมุตินั้น
• ยุคนี้พระอริยเจ้ายังไม่สิ้นนะ พระอริยเจ้ายังคงอยู่ยังคงมี ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยังไม่สิ้นพระอริยเจ้า ปฏิบัติจริงก็ได้ของจริง เห็นของจริง
• เกลี้ยงทั้งใจ ใสทั้งกระดูก ชื่อว่าพระอริยเจ้าที่แท้จริง
• จะไปปฏิบัติยังไงก็ตาม เราอย่าไปเลือกที่ปฏิบัติ ที่ไหนที่ลมหายใจมันหมุนเข้าออกอยู่นั่นแหละ ปฏิบัติได้ตลอดไป ปฏิบัติได้ตลอดไม่จำเป็นต้องรอเวลาที่จะนั่งบำเพ็ญภาวนา รอเวลาที่จะต้องเดินจงกรม จะนั่งอยู่ที่ไหน จะเดินอยู่ที่ไหน ก็ต้องทำความเพียรได้ทั้งนั้นแหละ มันเป็นสากลไปเลยความเพียรอันนั้น
• บุคคลใดยังความทุกข์ ความลำบากให้แก่ผู้อื่น ความทุกข์ ความลำบากก็ย้อนกลับมาเป็นผลแก่ผู้นั้น แต่หากบุคคลใดยังความสุข ความสะดวกให้แก่ผู้อื่น ความสุข ความสะดวกก็จะย้อนกลับมาเป็นผลแก่ผู้นั้นเช่นกัน
---------------------------------------------------------------------- -
ท้าวสักกะเทวราชอาราธนานิมนต์สร้างพระแก้วมรกตใหญ่ที่สุดในโลก
ท้าวสักกเทวราช มหาราชองค์อินทร์ได้มาอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่เณรคำได้นำพาสาธุชนได้ร่วมกันสร้างองค์พระแก้วมรกตจำลอง หน้าตัก 15 เมตร ซึ่งครั้งนั้นก็เป็นครั้งที่อัศจรรย์เป็นอย่าง ซึ่งได้ปรากฎนิมิตเห็นมหาราชองค์อินทร์ในคืนวัน อาทิตย์ ที่ 4 ขี้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลาตี 2 ท้าวสักกเทวราช ได้เสด็จลงมายังอารามขันติธรรมได้ปรากฎอยู่เบื้องหน้าหลวงปู่เณรคำ ทำสักการะนมัสการแล้วได้ตรัสกับหลวงปู่เณรคำในการครั้งนั้นว่า ..ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้ามาในกาลครั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์แก่สาธุชนมวลมนุษย์ทั้งหลาย พร้อมทั้งเทวดา พรหมทั้งหลาย นิมนต์พระคุณเจ้าผู้เจริญได้นำพามวลมนุษย์ทั้งหลายสร้างองค์พระแก้วมรกตรัตนปฏิมากรจำลอง เพื่อเป็นพุทธบูชาถวายบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในไตรโลกทั้งหลาย และเพื่อยังอายุพระศาสนาให้วัฒนาถาวรสืบทอดพระศาสนาให้ครบ 5,000 ปี จิตใจมนุษย์ชนทั้งหลายจะเข้าถึงธรรมคำส่อนขององค์พระศาสดามากยิ่งขึ้น บุคคลผู้ได้สร้างจักมีใจอันงดงามผ่องแผ้ว จักมีกุศลถึงพร้อม บารมีจากการสร้างย่อมประจักษ์ เด่นชัดอย่างทวีคูณมหาศาลทั้งในโลกนี้และโลกหน้าอันเป็นสุขติภูมิเพื่อเป็นทีอันควรสัการบูชาของอินทร์ พรหมเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญการสร้างองค์พระปฏิมาจำลองขอให้มีหน้าตักกว้าว 15 เมตร สูง 18 เมตร โดยข้าพเจ้าจะช่วยอำนวยการสร้างให้ราบรื่นเสร็จด้วยพลังใจพลังจิตอันยิ่งใหญ่ ทั้งเทวดามนุษย์มิตรทั้งหลาย ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าจงรับอาราธนาครั้งยิ่งใหญ่นี้เถิด เพื่อประโยชน์แก่โลก หลวงปู่เณรคำจึงได้กล่าวกับมหาราชองค์อินทร์ว่า ขอเจริญพร ของถามมหาราชองค์อินทร์โดยความเอื้อเฟื้อบารมีในเราจะพอแก่การสร้างพระแก้วมรกตรัตนปฏิมากรครั้งนี้หรือ ด้วยพรรษยังอ่อน และอายุยังน้อย หลวงปู่เณรคำกล่าวกับพระอินทร์ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญข้าพเจ้าจักตอบโดยความเอื้อเฟื้อพระคุณเจ้าจงสดับเถิด บารมีพระคุณเจ้ามีพอแก่การสร้างมาแล้วพอแก่การทำให้อายุพระศาสนาวัฒนาถาวรแล้ว เพราะพระคุณเจ้าแม้ชาติก่อนนามมาแล้วยังเคยเกิดเป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน แลมวลมนุษย์ชนทั้งหลาย หลายชาติหลายแผ่นดิน พร้อมทั้งเคยเป็นพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในพระศาสนาก็หลายชาติ บำเพ็ญสมณธรรมมามากต่อมาชาติจนนับไม่ถ้วนจนถึงปัจจุบัน แม้อายุยังน้อยแต่การสร้างบารมีของพระคุณเจ้ามีมากแต่ชาติปางก่อน จึงไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ขอ พระคุณเจ้า จงตริตรองด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่เองเถิด จากนั้นหลวงปู่เณรคำก็ได้มีความตั้งใจมั่นเกิดขึ้นทันที โดยได้กล่าวตอบว่า เมื่อมหาราชจอมเทวดาเห็นสมควรแก่เรา ในการสร้างพระแก้วมรกตปฏิมากร เราจะไม่ขัดพระราชศรัทธาอันมหาราชจอมเทวดามีให้แก่เรา และพระพุทธศาสนาเพื่อยังอายุพระพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวรยิ่งๆ ขึ้นไป.. แลนับแต่นั้นหลวงปู่เณรคำได้รับอาราธนานิมนต์ครั้งนั้นด้วยความเอื้อเฟื้อทุกประการ ซึ่งปัจจับันนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างมาได้เยอะพอสมควร แต่หน้าที่สำคัญจะยังไงก็ช่าง จะเป็นวัตถุก็เป็นเพียงวัตถุสมมุติทางโลกแค่นั้น "แม้เราว่าเราจะอยู่ในวัตถุของโลกแต่จิตเราไม่ยึดติดในวัตถุโลกเหมือนกับน้ำบนใบบอนที่ใสสะอาดแม้อาศัยอยู่ในใบบอนแต่ก็ไม่ได้ติดด้วยใบบอนนั้น"
<!-- google_ad_section_end -->
__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
นำมาพิมพ์ลงบางส่วนในกระทู้นี้
เพื่อเผยแพร่ให้รับรู้ในยุคสังคมปัจจุบัน พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีอยู่
แต่โดยทั่วไปแล้วนักปฏิบัติ ย่อมรู้ดีอยู่ว่า ตราบใดที่มีผู้เจริญในองค์มรรค 8
โลกย่อมไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์<!-- google_ad_section_end --> -
สมัยหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลถามว่า สมณพราหมณ์บางพวกเป็นคณจารย์เป็นเจ้าลัทธิ มีเกียรติ มีชื่อเสียง ชนส่วนมากยอกย่องว่าดี คือ ปูรณกัสสปะ มัขลีโคสาล อชิตเกสมกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถนาฏบุตรสมณพราหมณ์เหล่านั้นเมื่อถูกข้าพระองค์ถามก็ยังมิกล้าปฏิญาณจนได้ว่าตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ส่วนพระโคดมผู้เจริญยังมีชันษาอยู่ในวัยหนุ่ม และเป็นผู้ใหม่ในบรรพชิต ไฉนจึงกล้าปฏิญาณได้เล่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ดูก่อนมหาบพิตร สิ่ง 4 ประการเหล่านี้ไม่ควรดูหมิ่นว่าเล็กน้อย คือ
- กษัตริย์ ไม่ควรดูหมิ่นว่ายังทรงพระเยาว์
- งู ไม่ควรดูหมิ่นว่าตัวเล็ก
- ไฟ ไม่ควรดูหมิ่นว่ากองเล็ก
- ภิกษุ ไม่ควรดูหมิ่นว่ายังใหม่ต่อเพศบรรพชิต
กษัตริย์ ได้เสวยราชสมบัติแล้ว เมื่อพิโรธย่อมทรงมีพระอาญาอย่างหนักแก่ชาย-หญิงได้ เพราะฉะนั้นผู้รักษาชีวิตของตนพึงงดเว้นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของกษัตริย์<O:p
งู ที่บ้านหรือที่ป่าก็ตาม ไม่พึงดูหมิ่นว่าตัวเล็ก เพราะงูเป็นสัตว์มีพิษ พร้อมที่จะฉกกัด ทำร้ายชาย-หญิงผู้เขลา เพราะฉะนั้น ผู้รักษาชีวิตของตนพึงงดเว้นการดูหมิ่นงูนั้นว่าตัวเล็ก
ไฟ แม้กองเล็กแต่เมื่อได้เชื้อย่อมลุกเป็นกองใหญ่ลามไหม้ชาย-หญิงผู้เขลาในบางคราว เพราะฉะนั้นผู้รักษาชีวิตของตน พึงงดเว้นการดูหมิ่นไฟนั้นว่ากองเล็ก
ภิกษุ ใดดูหมิ่นภิกษุผู้ยัง่ใหม่ต่อเพศบรรพชิต แต่สูงด้วยคุณธรรมเดชแห่งศีลของภิกษุ ย่อมทำความพินาศแก่ผู้นั้น อีกทั้งทายาทจะไม่ได้รับทรัพย์มรดก บุคคลนั้นจะเป็นผู้ปราศจากเผ่าพันธุ์ เปรียบเหมือนตาลยอดด้วน
.....เพราะฉะนั้น บุคคลผู้เป็นบัณฑิต พิจารณาเห็นกษัตริย์ผู้ทรงยศ งู ไฟ และภิกษุผู้มีศีลว่าเป็นแก่ตนพึงประพฤติ่ต่อสิ่งเหล่านั้นโดยชอบทีเดียว.....
เมื่อพระภาคเจ้าตรัสจบลง พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมีพระทัยเลื่อมใสในพระรัตนตรัยด้วยพระธรรมเทศนานี้........<!-- google_ad_section_end -->
__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --> -
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว )
อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว )
ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว )
สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว )
ยะทิทัง ( ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ )
จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา ( คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ )
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า )
อาหุเนยโย ( เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา )
ปาหุเนยโย ( เป็นผู้ควรแก่สักการะที่จัดไว้ต้อนรับ )
ทักขิเนยโย ( เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน )
อัญชะลีกะระนีโย ( เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี )
อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ. (เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้ )<!-- google_ad_section_end --> -
หลวงปู่เณรคำ ท่านบรรลุธรรมสิ้นอาสวะกิเลส ขณะที่ท่านบวชเณรอายุได้ 15 ปี
ปีนี้ได้กฐินตั้ง 27 ล้าน -
ส่วนถ้าต้องการเพลงก็สามารถคลิ๊กขวาที่ไฟล์เพลง Save taget as จัดเก็บได้เลยครับ
<TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD>เพลงหลวงปู่เณรคำ วัดป่าขันติธรรม.mp3 (3.03 MB, 60 views)</TD></TR></TBODY></TABLE><!-- google_ad_section_end -->
__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หากยังรักตัว กลัวตาย เสียดายทุกข์ ก็ย่อมไม่พ้นจากทุกข์<!-- google_ad_section_end --> -
อยากทราบว่าทำไมถึงเรียกท่านว่า "หลวงปู่" ล่ะคะ พระอาจารย์ท่านอายุยังไม่มากเลยหรือว่าเป็นเพราะนับจากจำนวนพรรษาที่บวชคะ
ท่านอายุไล่เลี่ยกับพระอาจารย์ของเราเลย พระอาจารย์เราบวชตั้งเเต่อายุ 12 ขวบ มีหลายคนเรียกท่านว่าหลวงปู่เหมือนกัน เเละสาเหตุที่คนเรียกว่าหลวงปู่ ก็มีสาเหตุด้วยกันด้วย
หนูขอนมัสการหลวงปู่ตรงนี้หมดจิตหมดใจทั้งหมดที่หนูมีเลยค่ะ
หนูรู้ว่าหลวงปู่เณรคำต้องรับทราบวาจาที่หนูกล่าวผ่านทางญาณของหลวงปู่ค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.luangpunenkham.com/about-luangpunenkham/why-name/
ที่มาของชื่อ “หลวงปู่เณรคำ”
เมื่อครั้ง พระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ท่านไปจาริกธุดงค์อยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ พุทธศาสนิกชนพากันไปกราบคารวะนมัสการและได้มองเห็นองค์หลวงปู่ ซึ่งท่านนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในกลดบาง ๆ เป็นพระแก่ชรา แต่พอท่านเปิดกลดออกมาก็กลายเป็นเณรน้อยออกไปบิณฑบาต ขากลับจากบิณฑบาต พุทธศาสนิกชนบางคน ได้มองเห็นองค์หลวงปู่ท่านเป็นพระแก่ชรา อายุราว 80 ถึง 90 ปี ผมหงอก หลังค่อม เหี่ยวย่น หนังยาน บางคนฝันเห็นพระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ไปยืนอยู่บนหัวเตียงเดี๋ยวเป็นเณรน้อยอายุน้อย ๆ เดี๋ยวก็กลายเป็นพระที่แก่ชรามาก
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชาตินี้ถ้ามีบุญขอให้หนูได้มีโอกาสกราบพระอาจารย์เณรคำซักครั้งนะคะ
สาธุค่ะ -
ป.ล. ล้อเล่นนะคะอย่าถือความ -
• ยุคนี้ คือ ยุคที่เราจะทำให้เป็นดั่งสมัยพุทธกาล คือ ให้มีผู้บรรลุสำเร็จเป็นอรหันต์มากที่สุด ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
• จิตที่หลงยึดติดว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราบรรลุแล้วจบสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว จิตที่หลงนี้ต้องกลับมาเกิดใหม่ และนำเอาจริตเดิม สันดานเดิมที่หลงติดไปด้วย
• ถ้าเรารักษาศีลไม่ดีก็เท่ากับว่าเรายังไม่แจ้งในศีล ถ้าเราบำเพ็ญภาวนาไม่ดีก็เท่ากับว่าเราไม่แจ้งในสติ ถ้าเราไม่มีความตั้งมั่นเพียงพอเท่ากับเราไม่ตั้งมั่นในสมาธิ ถ้าเราไม่มีความรู้เท่าทันกิเลสตัณหาอุปาทานเท่ากับเราไม่รู้แจ้งในปัญญา
อนุโมทนาสาธุครับ -
ได้ข่าวว่าชาติที่แล้วก็เป็นพระ แต่พลาดไม่สำเร็จ มรณภาพก่อน ชาตินี้เลยต้องต่อ
ไม่รู้ว่าเป็นจริงอย่างที่ล่ำลือกันหรือเปล่า หรือเป็นการรวมหัวกันสร้างกระแส
แต่ยังไง หากไม่ใช่การสร้างกระแส ก็ขออโหสิที่ได้ล่วงเกิน จากความไม่รู้มา ณ ที่นี้ด้วยก็แล้วกัน -
หยาก ไป วัดจัง
-
กราบ กราบ กราบ
-
-
<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 68 คน ( เป็นสมาชิก 19 คน และ บุคคลทั่วไป 49 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </CENTER></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>วิมุตติ, ณิช, Chayutt, nna, Palungjid, ผู้ด้อยในปัญญา, เสขะ บุคคล, chanyut1, เด็กหลังศาล, adis., tin.s, ศิษย์เซียน, kasikorn_f, สายชน, ptham, krisadaa, Nongnuj, koon y, Ayuraveda </TD></TR></TBODY></TABLE>
-
อ้างอิงถึง
หลวงปู่เณรคำ วัดป่าขันติธรรม (เว็บไซต์หลัก)
เดินจาริกต่อไปถึงบ้านช้างค้อน้อย ก็ไปอยู่บนยอดเขาอีก ๓ วัน จากนั้นก็เดินธุดงค์จากบ้านช้างค้อน้อย ลงมาอำเภอเขาวงบ้าง ขึ้นเขาบ้าง ไปถึงอำเภอเต่างอยโน้นแหละ ก็ไปอยู่ถ้ำช้างสีอยู่หลายเดือนพอสมควร พอไปอยู่ถ้ำช้างสีก็นิมิตเห็นเทวดาไปหาไปในอากาศ เหาะไปเลย ลอยไปในอากาศ กำลังนั่งภาวนาอยู่ปากถ้ำเวลาดึกสงัด นิมิตเห็นแล้วก็นึกว่า เอ๊ะ! มันเป็นนิมิตจริงหรือปลอมกันแน่ ลืมตาขึ้นก็เห็นอีก อ้าว! ของจริงนี่ “ มาจากไหนละ” “มาจากอีสานตอนล่าง จังหวัดศรีสะเกษพระคุณเจ้า มาขออาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าไปโปรดสัตว์ทางโน้นหน่อย ให้พระพุทธศาสนาเป็นปึกแผ่น เป็นแก่นสารด้วยพระคุณเจ้า เหล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นแสงสว่างไสวไปถึงโน้นจึงได้ติดตามมา ขออาราธนานิมนต์ด้วยเถิด” แล้วเราก็พิจารณาดู จึงเห็นตามความเป็นจริงว่าสมควรที่จะไปแล้ว
ที่จริงเรารู้ก่อนแล้วล่ะว่า ตรงจุดนี้เมื่อครั้งอดีตชาติ เราเคยเป็นพระอาจารย์ใหญ่ มีพระลูกศิษย์ ๒๐๐ – ๓๐๐ รูป ติดตามธุดงค์กันมาปักกลดอยู่ตรงนี้ สมัยนั้นมันเป็นป่าดงรกชัฏมาก ในการระลึกชาติเห็นตรงนี้นะ เราไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ก็เป็นผู้รู้อยู่ในระดับหนึ่งที่สามารถสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาให้ได้บรรลุธรรมชั้นสูงมากมาย ตอนนี้ก็รู้ว่า ตรงนี้เป็นที่ดั้งเดิม ถึงเวลาแล้วที่จะโคจรกลับไปที่นั่น เป็นวงเวียนชีวิต เป็นกงจักรหมุนรอบไปที่เดิม เป็นล้อเกวียนแห่งชีวิตของการเวียนว่ายตายเกิด แม้ว่าที่ใด เราเคยไปนั่น เราก็จักไปอีก เพราะการเวียนว่ายตายเกิดพาให้ไปในสิ่งเดิมๆ นั้น จึงได้รับนิมนต์จากเทวดาทั้งหลายที่ได้ไปนิมนต์จากถ้ำช้างสี
-----------------------------------------------------------------
บางทีเสียงลือเสียงเล่าอ้างอาจจะเป็นความจริงก็ได้ค่ะ -
อนุโมทนาสาธุ
ข้าพเจ้าได้ไปกราบหลวงปู่เณรคำมาแล้วท่านเมตตาดีมาก
เนื่องจากในขณะที่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรม(เดินจงกรม)อยู่นั้น
ได้เห็นภาพหลวงปู่ขึ้นมาสองรูป รูปหนึ่งเป็นรูปพระหนุ่ม
อีกรูปหนึ่งเป็นรูปพระหลวงปู่แก่ ๆ ส่งยิ้มอย่างเมตตาให้
ตอนแรกผมไม่รู้ว่าเป็นใคร พอดีเพื่อนได้นำหนังสือของหลวงปูเณรคำมาให้อ่าน
ผมก็เปิดอ่านไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้า 8 เห็นรูปในหนังสือจึงรู้ว่าเป็นหลวงปู่เณรคำ
นับว่าเป็นความมหัศจรรย์มาก ท่านสอนธรรมล้วนแต่เน้นให้หลุดพ้นจากวัฏทุกข์
และขอแนะนำให้ท่านที่สนใจในธรรมลองอ่านหนังสือของหลวงปู่เณรคำ
แล้วท่านจะได้รับธรรมะชั้นสูง นำไปปฏิบัติแล้วจะผลอย่างหาที่สุดมิได้ -
เป็นเรื่องราวทื่ดี นี่เลื่อมใสครับ
ผลไม้เมื่อสุกได้ที่ ย่อมยังประโยชน์แก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย
อนุโมทนาครับ -
ไม่ทราบว่าหัวข้อ นั่งพิจารณามหาทุกขเวทนายันรุ่งสว่าง และ ดับความโง่ 30 ธันวาคม พระพุทธองค์ปรากฏกายอนุโมทนา
หลวงปู่เป็นคนเขียนแล้วมาพิมพ์ต่อให้อ่านกันหรือคัดมาจากปากของท่านเองหรือฟังๆกันมาแล้วมาเขียนบรรยายต่อเพิ่มเติม ฯลฯ ครับ เพราะรู้สึกว่าแต่ละประโยคที่เขียน ราวกับว่าผู้เขียนได้เข้าร่วมเหตุการณ์การณ์ปฏิบัติธรรมของหลวงปู่จริงๆ รู้ลึกไปถึงว่าหลวงปู่เจ็บตรงไหนอย่างไร มีอามรมณ์แบบไหน ในขณะที่นั่งสมาธิ แล้วอธิบายถึงระยะเวลาในการนั่งโดยละเอียด เห็นถึงการพิจารณาร่างกายของหลวงปู่อย่างละเอียดทุกขั้นตอน ประดุจผู้เขียนนั้นได้เป็นส่วนหนึ่งในตัวของหลวงปู่เลย ก็แปลกดีครับ ถ้าออกมาจากปากของท่าน หรือท่านเขียนเองก็ดีครับ ตรงๆไปเลย ไม่แต่งเสริมเพิ่มเติม ของจริงทุกประการ แต่ถ้ามาแต่งเพิ่มเติมทีหลังนี่ ผมก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านพบเห็น รู้ ฯลฯ ทั้งหมด เป็นจริงตามข้อความที่เขียนมาหรือเปล่า
ผมมิได้คิดปรามาสท่านแต่อย่างใดนะครับ แค่สงสัยเฉยๆว่าผู้เขียนรู้ลึกไปถึงขนาดนั้นได้อย่างไรก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้มีการเขียนบิดเบือน หรือเสริมเติมแต่งพรรณณาข้อความให้น่าอ่าน จนบางคัร้งก็อดสงสัยไมได้ว่าผู้เขียนอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงหรือเปล่าแล้วจริงๆท่านเป็นอย่างที่เขียนหรือเปล่า ทุกถ้อยคำ ความคิด อารมณ์ ฯลฯ
หน้า 1 ของ 4