เมื่อจิตเกิด-ดับ การดูจิตจะเป็นไปตามความเป็นจริงได้อย่างไร???

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 10 สิงหาคม 2009.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เป็นที่ทราบดีกันอยู่แล้วว่า ทุกวันนี้มีการสอนให้ดูจิตที่เกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา

    ซึ่งถ้าเราฟังโดยไม่เพ่งพิจารณาให้ดีแล้วเราอาจจะถูกชักจูง
    ให้เห็นด้วย หรือคล้อยตาม และเชื่อไปตามนั้นได้ แบบง่ายๆ
    ทั้งๆที่สิ่งที่เราฟังมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและเป็นการขาดเหตุผลอย่างยิ่ง

    โดยความเป็นจริงแล้ว
    ผู้ที่ดูจิตที่เกิด-ดับนั้น เป็นใครอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเราคือจิต

    เมื่อถูกถามว่าเราคือใคร
    คำตอบที่ได้นั้น เป็นคำตอบที่หาเหตุผลไม่ได้เลยเช่นกัน เราก็คือเรา
    เราคือผู้รู้ ถึงผู้รู้หรือเราก็ไม่เที่ยง สุดท้ายจิตผู้รู้../เรา...ก็ต้องถูกทำลายทิ้งอยู่ดี

    ทั้งๆที่ขาดเหตุผลสิ้นดี ยิ่งพากันออกห่างจากความเป็นจริงไปอีกไกลโข
    ถ้าผู้รู้/หรือเรา ถูกทำลายทิ้ง เมื่อบรรลุ มรรคผลที่เกิดขึ้นกับตน จะรู้ได้อย่างไร???

    ด้วยมีการสอนว่าอารมณ์เกิดจิตจึงจะเกิด
    ซึ่งถ้าเราพิจารณาด้วยจิตใจที่เป็นธรรมแล้ว
    จะเห็นว่าขาดซึ่งเหตุผลเอามากๆเลย

    ในเมื่อจิตคือธาตุรู้ ย่อมต้องยืนตัวรู้ รู้ว่ามีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นที่จิต
    หมายความว่าอารมณ์เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งจิตใช่มั้ย? ...ใช่
    เมื่ออารมณ์เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งจิตแล้ว
    แสดงว่าจะต้องมีจิตอยู่ก่อนแล้ว/ของที่จะปรุงแต่งจิตจึงเกิดขึ้นมาได้

    เปรียบเหมือนจิตคือบ้าน อารมณ์คือสิ่งที่มาปรุงแต่งบ้าน
    เมื่อไม่มีบ้านอยู่ก่อนแล้ว จะมีเครื่องปรุงแต่งบ้านไปเพื่ออะไร
    ฉะนั้นพอสรุปได้ว่า...จะต้องมีจิตอยู่ก่อนจึงจะมีเจตสิกเกิดขึ้นมาในภายหลัง

    ;aa24
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    โดยตามความเป็นจริงนั้น เมื่อมีผู้ดู.../หรือผู้รู้ ย่อมต้องมีสิ่งที่ถูกดู.../หรือสิ่งที่ถูกรู้
    ซึ่งเป็นของคู่กันหรือที่เรียกว่าทวินิยมนั่นเอง

    การที่จะเป็นผู้ดู.../หรือผู้รู้นั้น
    สิ่งนั้นต้องยืนตัวดู.../หรือยืนตัวรู้...อยู่ตลอดเวลา
    จึงจะบอกได้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าอะไรเกิดขึ้น.../และอะไรดับไปบ้าง
    เมื่อสิ่งนั้นๆเกิดขึ้นก็รู้/....หรือดูสิ่งนั้นๆเกิดขึ้นอยู่
    และเมื่อสิ่งนั้นๆดับไปเมื่อไหร่ก็รู้/....หรือดูสิ่งนั้นๆดับไปอยู่

    แต่ถ้าผู้ดู.../หรือผู้รู้...พลอยเกิด-ดับตามไปด้วยนั้น
    เรา.../หรือผู้ดู.../หรือผู้รู้ จะบอกได้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้อย่างไรว่า
    มีอะไรเกิดขึ้น/อะไรดับไปหละ

    โดยนิยามคำว่า “เกิด”นั้นหมายถึงว่า สิ่งนั้นไม่เคยมีอยู่มาก่อนหน้า
    แล้ว “เกิด”มีขึ้นมา เราเรียกว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้น

    คำว่า “ดับ”นั้นหมายถึงว่า สิ่งที่มีอยู่นั้นดับหายไป

    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จิตที่เป็นธาตุรู้ ย่อมต้องยืนตัวรู้ว่า
    อะไรเกิดขึ้นที่จิตก็รู้/อะไรดับไปจากจิตก็รู้...

    ดังมีพุทธวจนะ...(พระบาลีมหาสติปัฏฐานสูตร)....กล่าวไว้ว่า
    เมื่อราคะเกิดขึ้นที่จิตก็รู้ราคะดับไปจากจิตก็รู้
    เมื่อโทสะเกิดขึ้นที่จิตก็รู้/โทสะดับไปจากจิตก็รู้
    เมื่อโมหะเกิดขึ้นที่จิตก็รู้/โมหะดับไปจากจิตก็รู้ ฯลฯ

    ตามพุทธวจนะดังกล่าว ก็เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า
    อารมณ์...หรือ/เจตสิก...เกิดขึ้นที่จิต.../และดับไปจากจิต
    เราจึงสามารถพูดได้เต็มปากว่า “ก็รู้”

    ถ้าอารมณ์เกิดจิตจึงค่อยเกิดนั้น แสดงว่าก่อนหน้านั้นไม่มีจิตอยู่ก่อน
    ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว เราทั่วทุกตัวคน ย่อมรู้ดีว่า
    เราแต่ละคนนั้นมีจิตผู้รู้อยู่กันคนละดวง หรือมีจิตผู้รู้ของแต่ละคน.../หรือของตนนั่นเอง

    ;aa24
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีพุทธวจนะกล่าวถึงเหตุแห่งทิฏฐิ ๖
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอย่อมพิจารณาเห็นรูปที่เห็นแล้ว
    เสียงที่ฟังแล้ว กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ทราบแล้ว
    อารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้วด้วยใจว่า
    นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา

    ในพุทธวจนะนั้นกล่าวเอาไว้ชัดเจนว่า ขันธ์๕นั้น ไม่ใช่จิต/และจิตก็ไม่ใช่ขันธ์๕
    โดยเฉพาะวิญญาณขันธ์นั้น ผู้ศึกษาใหม่โดยมาก เชื่อโดยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนว่า
    วิญญาณขันธ์นั้นเป็นเพียงขันธ์หนึ่งในขันธ์๕เท่านั้น ไม่ใช่จิต
    เป็นเพียงเครื่องปรุงแต่งจิตที่ชิดใกล้กันมากระหว่างจิตกับวิญญาณ
    จนแยกด้วยความรู้สึกนึกคิดเพียงอย่างเดียวไม่ได้

    ท่านต้องใช้วิธีของพระบรมครูที่เพียรพร่ำสอนไว้ว่า

    ดูกรอานนท์ กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์
    อาศัยความอนุเคราะห์ พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นเราทำแล้วแก่พวกเธอ

    ดูกรอานนท์ นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง
    เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง
    นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ ฯ


    ในพุทธวจนะบทนี้พระองค์ทรงเน้นนักเน้นหนาว่าที่เราพร่ำสอนแก่พวกเธอนั้น
    “จงเพ่งฌาน” อย่าประมาท(..แสดงว่าการเพ่งฌานนั้นเป็นเรื่องความไม่ประมาท)

    การที่ทรงตรัสไว้ว่า เธอจงเพ่งฌานนั้น ใครเป็นผู้เพ่งฌาน?
    นอกจากจิตแล้วยังมีอะไรที่ทำหน้าที่เช่นนี้ได้อีก
    ต้องใช้ตาในเท่านั้นในการเพ่งฌาน

    คำว่า “ฌาน” ณ.ที่นี้นั้นเป็นอื่นไปไม่ได้
    นอกจากฌานในสัมมาสมาธิที่ทรงตรัสไว้ในอริยมรรคมีองค์๘เท่านั้น
    เป็นทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์(จิตผู้ติดข้องในอารมณ์)ทั้งหลาย


    ;aa24
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การปฏิบัติสมาธิในพุทธศาสนานั้น
    พระองค์ทรงเน้นให้ใช้อานาปานสติเป็นเครื่องมือ
    พร้อมคำบริกรรม(พุทโธ) เพื่อหน่วงจิตให้เกิดสติได้ง่ายขึ้น

    เมื่อเราเดินตามรอยท่านที่ทรงตรัสไว้ ย่อมทำให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า
    ตลอดเวลาที่ปฏิบัติสมาธิอยู่นั้น จิตไม่ได้เกิด/ดับเลย
    ที่เกิด/ดับนั้นเป็นอารมณ์(กิเลส)ต่างหากที่เกิดขึ้น/ดับไปจากจิต

    หรือที่ครูบาอาจารย์บอกไว้ว่า
    เป็นเพราะกิเลสปรุงจิต/หรือจิตปรุงกิเลส
    กิเลสปรุงจิต/เป็นธรรมารมณ์ภายในผุดขึ้นมาปรุงจิต
    จิตปรุงกิเลสนั้น/เป็นธรรมารมณ์ที่จิตส่งออกไปรับเข้ามาปรุงจิต


    ถ้าจิตเกิด/ดับตามที่สอนให้เชื่อตามๆกันมาแล้ว เราจะชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร
    เมื่อกำลังฝึกอบรมชำระจิตอยู่ จิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
    เราไม่มีทางชำระให้บริสุทธิ์ได้หรอกครับ เดี๋ยวเกิด/เดี๋ยวดับ
    ซึ่งเป็นเรื่องที่ขาดเหตุผลอย่างมากๆ


    ยังมีการสอนอีกว่าระหว่างที่จิตเกิด/ดับอยู่นั้นมีการถ่ายทอดกรรมให้กันอีก
    ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับ
    ขณะที่ดวงใหม่เกิดขึ้นนั้นดวงเก่าก็ดับไปแล้ว
    /ดวงเก่าดับไปดวงใหม่ก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย
    จะเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาดเมื่อดวงเก่ายังไม่ดับ
    ฉะนั้นเอาเวลาตรงไหนมาถ่ายทอดกรรมหละ

    ถ้าเราลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาอย่างจริงจังนั้น
    จะทำให้เรารู้เห็นตามความเป็นจริงว่าจิตไม่ได้เกิด/ดับตามอารมณ์ไปด้วย
    ที่เกิด/ดับตามอารมณ์ไปนั้นเป็นเพียงอาการของจิตเท่านั้น

    เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงเช่นนี้
    เราย่อมฝึกอบรมจิตให้สงบตั้งมั่นโดยลำพังตนเองปราศจากอารมณ์ได้แน่นอนฉันใด
    เราย่อมดูจิตเป็น เห็นจิตและอาการของจิตแยกออกจากกันได้ฉันนั้น
    ไม่หลงไปติดความคิดและหลงในสมมุติบัญญัติอีกต่อไปครับ


    ธรรมภูต


    ;aa24<!-- End main-->
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ป๋าภูต

    มดกัน หน้าแข้ง มันรู้ที่ไหนฮะป๋า

    มดกันแขน มันรู้ที่ไหนฮะป๋า

    หยิกๆ หยอกๆ
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    การที่จะเป็นผู้ดู.../หรือผู้รู้นั้น
    สิ่งนั้นต้องยืนตัวดู.../หรือยืนตัวรู้...อยู่ตลอดเวลา
    จึงจะบอกได้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าอะไรเกิดขึ้น.../และอะไรดับไปบ้าง
    เมื่อสิ่งนั้นๆเกิดขึ้นก็รู้/....หรือดูสิ่งนั้นๆเกิดขึ้นอยู่
    และเมื่อสิ่งนั้นๆดับไปเมื่อไหร่ก็รู้/....หรือดูสิ่งนั้นๆดับไปอยู่

    แต่ถ้าผู้ดู.../หรือผู้รู้...พลอยเกิด-ดับตามไปด้วยนั้น
    เรา.../หรือผู้ดู.../หรือผู้รู้ จะบอกได้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้อย่างไรว่า
    มีอะไรเกิดขึ้น/อะไรดับไปหละ

    ของแสดงทัศนะ ในฐานะนักปฏิบัติดูจิต มาระยะหนึ่ง
    การจะดูจิตหรือดูอาการจิตได้ ก็ต้องมี ของถูกรู้ถูกดู และมีผู้รู้ผู้ดูตั้งมั่นอยู่ จึงจะรู้ได้ถูกตามจริง
    ในส่วนของผู้รู้ผู้ดู นั้นก็ไม่เที่ยง การตั้งมั่นอยู่ได้เกิดจากอำนาจสมาธิ
    ถ้ามีสมาธิมากก็ตั้งมั่นได้นาน ก็รู้ได้มาก ถ้ามีสมาธิน้อย ก็ตั้งมั่นได้น้อย ก็รู้ได้น้อย
    การตั้งมั่นของผู้ทรงสมาธิที่ได้ในส่วนของผู้ที่ยังไม่ข้ามโคตรไปสู่อริยภูมินั้นไม่เที่ยง
    ตามพระคัมภีร์ว่า สูงสุดคืออรูปพรหม ยาวนานอาจกจะหลายพุทธันดร (อ่านมาจำเวลาไม่ได้)
    แต่ก็สรุปได้ว่า การทรงสมาธิของผู้รู้ของจิตปุถุชนนั้นไม่เที่ยง มีเกิด มีดับ ยังไม่พ้นจาก
    กฏพระไตรลักษณ์ แต่อาศัยการทรงสมาธิของผู้รู้ได้นานในฐานะปุถุชนของมนุษยภูมิ
    จึงสามารถนำมาพิจารณาธรรมของสรรพสิ่ง จนจิตยอมรับความจริงของพระไตรลักษณ์
    จนเกิด ไตรลักษณญาณ จิตเกิดมีปัญญาญาณ ละความยึดมั่นถือมั่นของกายและใจตน
    ไม่ยึดถือกาย และจิต ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นของตน จึงเกิดมรรคผล แห่งการบรรลุธรรม

    การตั้งมั่นรู้ ถ้ารู้ถูกที่ รู้ถูกต้องได้ สมาธิจะมากจะน้อย ก็รู้ได้ ตั้งแต่ระดับขณิกสมาธิ
    ก็เริ่มพิจารณาได้แล้ว แต่บางคนต้องได้ระดับฌาณถึงจะพิจารณาได้ ก็ว่ากันไป
    แต่บางคน ได้ฌาณแล้วแต่พิจารณาผิดทิศผิดทาง ก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่น เห็นว่าจิต(ธรรมธาตุ)เป็นตน
    ก็ว่าไปตามวิบากกรรม

    "เราแต่ละคนนั้นมีจิตผู้รู้อยู่กันคนละดวง หรือมีจิตผู้รู้ของแต่ละคน.../หรือของตนนั่นเอง"

    ขอแสดงทัศนะ ต่อคำพูดนี้ต่ออีกหน่อย นะคะ
    เคยอ่านมาจากไหนก็จำไม่ได้ แต่มันฝังอยู่ในจิตว่า รูป จิต เจตสิก สรรพสิ่งทั้งหลาย
    ไม่ใช่ของเรา แต่เกิดประชุมกันแล้วเราก็มาอาศัยดำรงตนอยู่ตามวิบากกรรม พอมาอยู่แล้ว
    ก็ยึดมั่นถือมั่นว่า กายและจิต นี้ เป็นของเรา แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของสิ่งใด
    มาแล้วก็ไป ยังไม่ละความยึดมั่นถือมั่นก็ไปจุติใหม่ ในภพใหม่ รูปธรรมนามธรรมใหม่ เท่านั้น
    ถ้าจิตผู้รู้เป็นของเราจริง ก็ต้องสั่งการได้ตลอดเวลา สั่งให้เกิด สั่งไม่ให้ดับ แต่เราสั่งไม่ได้
    ตลอดเวลา แต่ถ้าใครสั่งได้ควบคุมได้ตลอดเวลาคงเป็นกรณีพิเศษสุดๆ

    จากประสบการณ์ส่วนตัว ที่ศึกษาอ่านและฟังธรรม มาบ้าง
    ความรู้ทางพระพุทธศาสนา ไม่สามารถคิดโดยตรรกะ ทำโดยตรรกะได้
    อยู่เหนือความคาดหมายของความคิดของคนอย่างเราๆ มีแต่พระพุทธเจ้า
    ที่บำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤตมานานมาก จึงจะค้นพบและเข้าใจได้ แม่แต่คำสอนของท่าน
    ก็รู้ด้วยความคิดไม่ได้ มีแต่ต้องรู้ด้วยการปฏิบัติและถูกต้องจึงจะรู้ได้ แม้แต่พระฤาษีที่มี
    ฤทธิ์ ทรงอภิญญา ก็ยังไม่อาจรู้ตามได้ด้วยตนเอง เพราะอยู่เหนือการคาดหมาย นอกจากว่า
    จะได้เคยสดับธรรมจากพระพุทธองค์เท่านั้น จึงรู้ตามได้

    ที่เราเจอจากประสบการณ์ด้วยตนเอง คือพบว่าความรู้ทางพระพุทธศาสนานั้น
    ไม่ได้ทำได้ตรงๆ หรือรู้ได้ตรงๆ ทุกเรื่อง อย่างเช่น

    การละความยึดมั่นถือมั่นในกายและจิต ทำให้ได้พบธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของจิตได้
    ไม่ใช่การขัดถูขัดเกลาให้จิตบริสุทธิ์ แต่อย่างเดียว แต่การขัดเกลาจิตด้วยอุบายต่างๆ
    มีผลให้การละความยึดมั่นถือมั่นในกายและจิต ทำได้ดีขึ้น แต่บางครั้งบางคนก็หลงไป
    กับความบริสุทธิ์ของจิต จนเพิ่มความยึดมั่นถือมั่นในตนก็มี เพราะอัตตามันเพิ่มตามกำลัง
    ของความบริสุทธิ์ก็เป็นได้

    หรือตัวอย่างอื่นเช่น การจะรู้เรื่องอริยสัจ์4 ไม่ใช่ไปคิดค้นคว้าเรื่องอริยสัจ4แล้วจะทำให้เข้าใจ
    แต่ผลมันกลับได้เป็นเรื่องฟุ้งซ่านในธรรมแทน ไม่ได้ทำให้เข้าใจเรื่องอริยสัจ์4 ทางที่ทำ
    ให้รู้แจ้งอริยสัจจ์4 กลับกลายเป็น การปฏิบัติสติปัฏฐาน4 รู้กาย เวทนา จิต ธรรม จนรู้แจ้ง
    ความจริงของกายและใจ จึงมีผลให้เรารู้แจ้งอริยสัจ4 ได้

    หรือการขัดเกลานิสัยต่างๆ เช่นโทสะ โลภะ โมหะ ไม่ใช่มุ่งแต่จะลดโทสะ โลภะ โมหะ
    เพราะธรรมชาติมันยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งข่มมันยิ่งเกิดรุนแรง ยิ่งบังคับมันยิ่งกระด้าง
    ความรู้ทางพระพุทธศาสนาสอนให้ใช้ ธรรมคู่ตรงข้าม ขัดเกลาอุปนิสัย เช่น เจริญเมตตา
    เพื่อลดโทสะ หรือให้ทานเพื่อลดความตระหนี่ความโลภ เป็นต้น เหมือนจะลดสิ่งหนึ่ง
    ต้องไปทำอีกสิ่งหนึ่งเพื่อล้างพิษกัน ให้อภัยเพื่อละความพยาบาท ต้องการจะรู้ธรรมมากๆ
    ก็ต้องฝึกใจให้กว้างๆไม่ใจคับแคบ ฝึกอ่อนน้อมถ่อมตนมีผลให้ลดความกระด้าง ฝึกมีมุทิตาจิต
    ลดอิจฉาริษยา เป็นต้น

    สรุปทิ้งท้ายเป็นความคิดส่วนตัว เรื่องจิตเป็นเรื่องที่อยู่เหนือกำลังความคิดจะตีความไป
    เพราะเราเองยังไม่ได้เคยสัมผัส ก็บอกตามจริงไม่ได้ แต่เท่าที่อ่านมามีแต่บอกว่า
    รูป จิต เจตสิก นิพพาน เป็นปรมัติถธรรม มีนิพานที่เที่ยง และปรมัติถธรรม ทั้งหลาย
    ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นของกลางๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ไปไกลมากแล้วนะครับ ^-^
     
  8. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ร้านขนมปัง
    ร้านขนมปัง มีขนมปัง นานา ชนิดถุกจัดใส่ไว้บนถาด ส่วนผสมที่ต่างกัน ใส่เกลือ ใส่ถั่ว ใส่ฟัก ใส่มัน ใส่......
    สารพัดจะปรุงเข้า เมื่อทำขึ้นหนึ่งชิ้น รสชาติก้เป็นหนึ่งอย่าง แต่ละชิ้นมีรสที่แตกต่าง บ้างเหมือนกันบ้างต่างกัน ส่วนผสมก้ต่าง แต่ล้วน เป็นขนมปังทั้งสิ้น ขนมปังนี้แม้ไม่ถูกซื้อออกไป เมื่อถูกทำขึ้นก้ย่อมเน่าบูดเสียหายไป อยู่ดี ตราประทับ ชื่อร้านที่ติดอยู่ทุกก้อนของขนมปังนี้ ทำให้รู้ว่ามาจากร้านเดียวกันเป็นขนมปังที่เดียวกัน ร้านๆนี้ก้ย่อมเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ภายในอุปกรต่างๆถุกหยิบใช้เปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง มีขนมปังถูกปรุงขึ้นมากมาย
    ภายนอกเผชิยแดดลม 100 ปีผ่านไปย่อมชำรุดทรุดโทรม เป็นธรรมดา จะอยู่ยั้งถึง 1000 ปีก้หาไม่

    สูตรขนมปังเหล่านี้ทำที่ร้านไหนก้เหมือนกันแต่ต่างชื่อป้ายที่แปะลงไปว่าเป็นของร้านไหน

    พนักงานทุกๆร้านย่อมรู้ในรสขนมปังและราคาของมันทุกชิ้น พนักงานย่อมรู้ว่ามันปรุงมาจากส่วยประกอปใดบ้าง สิ่งใดไห้รสอย่างไร ชอบใจพอใจกับคนแบบไหน
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    หลงทางไปไกลมากไปแล้ว หรือไงคะ ฮุฮุ...
    มันอร่อยไม่เลิก เกินห้ามใจ รู้แต่ไม่อยากหยุด รู้แต่อยากรู้มันจะไปสิ้นสุดที่ไหน

    ปล.เรื่องเดียวกันไหม ก็ไม่รู้ รู้แต่ใจมันอยากตอบแบบนี้ --"
     
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    หมายถึงเจ้าของกระทู้ที่ยังไม่ได้เข้าทางวิปัสสนาเลย แต่ก็สร้างกระทู้มาแสดงความเห็นที่คลาดเคลื่อน โดยที่เข้าใจว่าตนเดินมรรค แบบนี้อันตรายมาก ^-^
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    บางคนเขายึดมั่นในพระพุทธพจน์ มุ่งมั่นจะรักษาไว้ ยึดเป็นแบบแผนไว้
    แต่คนที่คิดแต่จะรักษาพระพุทธพจน์ ไม่รู้จะเข้าใจไหม ว่าพระพุทธพจน์มีไว้เพื่ออะไร
    หลวงพ่อท่านพุทธทาส ก็บอกว่าให้วางพระไตรปิฎกไว้ก่อน ศึกษาธรรมของจริงให้ถ่องแท้
    เมื่อเข้าใจธรรมตามจริง ย่อมเข้าใจพระพุทธพจน์ได้ตามจริง ย่อมรักษาธรรมไว้ได้ถูกวิธี

    พระเซน ก็สอนว่า เริ่มต้นเห็นภูเขาเป็นภูเขา เมื่อเริ่มปฏิบัติธรรมเห็นภูเขาไม่ใช่ภูเขา
    เมื่อบรรลุธรรม เห็นภูเขาเป็นภูเขาอีกครั้ง แต่เห็นไม่เหมือนเดิม
    ต่อไปจะเผยแพร่เรื่องของภูเขา ย่อมแสดงเรื่องของภูเขาได้ถูกต้องตามจริง ไม่มัวๆไม่คลุมเคลือ

    หลวงปู่มั่น ก็สอนว่า พระธรรมเมื่อสถิตย์ในใจปุถุชนย่อมกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป

    ความเห็นส่วนตัว
    ปุถุชนที่สืบทอดพระธรรมคำสอน สืบทอดได้เฉพาะรูปธรรม ตัวอักษร ที่ไม่ใช่การตีความ
    ด้วยความคิดของตน ว่าสิ่งนี้ถูกสิ่งนี้ผิด เพราะคิดได้แต่สัทธรรมปฏิรูป แต่ไม่รู้ความหมาย
    ตามจริง แต่ถ้าบรรลุธรรมแล้วจะมาช่วยตีความว่าความคิดปุถุชนนั้น ถูกตามจริง นี้ผิดตามจริง
    ก็ขออนุโมทนา ในทุกความเห็น ที่เห็นถูกตามจริง เห็นผิดตามจริง

    ปล. ข้าพเจ้าเอง อยู่ในข่ายของสัทธรรมปฏิรูปอยู่เหมือนกัน เพราะยังไม่รู้ตามจริง รู้แต่ที่อ่าน
    และฟังมา เข้าใจไปทางไหนก็พูดไปทางนั้น กำลังหัดรู้ตามจริงอยู่เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    วิบากกรรม ของแต่ละคน มีแต่ตนจะแก้ไขเอง
    เขาก็ว่าเราคลาดเคลื่อน ไม่เชื่อพระพุทธพจน์ ที่เขานำมาแสดง
    เราก็บอกว่าไม่เคยสงสัยว่าพระพุทธพจน์ไม่ถูกต้อง แต่เขาไม่คิดเหมือนเรา
    มีแต่เขาคิดไปเองว่าคนอื่น(รวมเราด้วย)ไม่เห็นด้วยกับพระพุทธพจน์ ไปโน่น

    แต่เราไม่ได้คิดอย่างที่จขกท.เข้าใจ เพราะเราไม่เห็นด้วยกับความคิดของ
    จขกท. เท่านั้น เราเห็นด้วยและไม่สงสัยในพระพุทธพจน์แน่นอน แน่แท้ จริงๆ

    ไม่รู้คุณ จขกท. จะเข้าใจไหม พระพุทธพจน์ ก็ส่วนหนึ่ง ความคิดของ จขกท.
    ที่มีต่อพระพุทธพจน์ ก็ส่วนหนึ่ง ไม่งั้นยิ่งคุยก็ยิ่งไม่เข้าใจ หาว่าเราไม่เห็นด้วย
    กับพระพุทธพจน์ ไปซะอีก มีแต่จะพาไปสู่เวรกรรม ไม่จบสิ้น
     
  13. แกะดำ2

    แกะดำ2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +14
    การขึ้นยอดเขามีหลายทางจริงๆนะครับแล้วแต่ใครจะเลือกแต่ถ้าเรามัวแต่ดูเพื่อนขึ้นทางนั้นผิดทางโน้นผิดทั้งๆที่เราเองก็กำลังปีนไม่ถึงยอดเลยครับมันจะทำให้เราช้าแต่ถ้าเราสังเกตุตัวเองว่าเราปีนมาตามทางที่ครูอาจารย์ท่านขึ้นไปบนยอดได้แล้วหรือยังครับถ้ายังก็รีบหน่อยครับเมื่อถึงยอดเขาแล้วเราจะรู้ได้ด้วยตัวเองครับที่สำคัญทุกคนที่รู้จักสังเกตุตัวเองได้ดีก็จะรู้ว่าที่เราทำอยู่มันถูกหรือผิดครับเพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงกับตัวเราเองให้เห็นชัดมากครับ
     
  14. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ก็เผาและทำลายร้านขนมปัง สะก็สิ้นเรื่อง ก็ไม่มีเหตุุให้เกิดแล้ว
    ง่ายจะตาย!!! อย่าลืมกลับไปเผาด้วยล่ะ เก็บไว้นา่นเดี๋ยวเป็นมะเร็ง....เออหมั่นเผาและทำลายวันละนิดเดี๋ยวหมดไปเองเชือดิ จิ๊ง ๆ กล้า ๆ หน่อย เอ้ย รีบเผาสะ



     
  15. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    จงเตือนตนด้วยตนเองนั่นแหละดี "อัตตนาโจทยัตตานัง" คนปฏิบัติจริงย่อมสงสัยหรือ หลงผิดมั่งเป็นธรรมดา แต่คนที่ไม่เคยลงมือปฏิบัติจริงๆ จัง ๆ
     
  16. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    เที่ยวตำหนิผู้ลงมือทำ น่ะ มันพวกอะไร อยู่ในราชรถอันตระการตาต่อไปเถอะ
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ตั้งแต่หัดเรียนรู้ปฏิบัติธรรม เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองขี้สงสัยเมื่อไม่นานมานี้เอง
    เมื่อก่อนมีสงสัย ก็ไม่รู้ว่าสงสัย
    แต่พอรู้ว่าสงสัย ก็เลยรู้ว่า สงสัยตัวเองไม่พอ ยังไปสงสัยคนอื่นอีก
    ยังไงก็อภัยให้คนขี้สงสัย หน่อยละกันนะ พอสงสัยจนอิ่มจนพอ เดี๋ยวมันหายสงสัยเอง
    อย่าถือคนบ้า อย่าหาความกับคนเพี้ยน ย่อมได้อานิสงค์ได้ช่วยคน(หมายถึงเราเอง)ให้พ้นกรรม...เนาะ..
     
  18. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    สาธุ...ครับ พี่ขวัญ คนไม่ทำสงสัย นั้นไม่แปลก แปลกแต่คนไม่ทำ แต่ขี้สงสัยนี่แหละครับ ว่ามะ
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    มะละเหว๋ย มาละแล้ว.. น้ำแข็ง หัวใส ใสหวานๆเย็น ๆคลายร้อน มั๊ยฮับ


    [​IMG]
     
  20. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    ขอบคุณครับ ท่านสำหรับน้ำแข็งใส มันร้อนผมดับเองได้ เก็บไว้ยามท่านร้อนเองเถอะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...