<label for="rb_iconid_30"></label><label for="rb_iconid_30"></label>ขออนุญาติคับ ผมถูกพลาดพิง... คุณนิวรณ์เอาผมไปเกียวกะคุณขันธ์ได้อย่างไรคับ... สิ่งที่ผมกล่าวก็คือผม... ของคุณขันธ์ ก็คุณขันธ์คับ..
ขอโปรด... แก้ไขให้ถูกต้องคับว่าคุณจะคุยกับผม หรือคุณขันธ์..
...
ขอท่านประธาน... ให้แก้ไขกระทู้ด้วยคับ...<label for="rb_iconid_30"></label><label for="rb_iconid_30"></label>... เด๋วคุณนิวรณ์ก็โดนข้อหา..มั่ว...อีกกระทงคับ <label for="rb_iconid_10"></label><label for="rb_iconid_10"></label>
เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.
หน้า 19 ของ 53
-
-
อ้อ ..พอนึกออกแระ....แหมย้อนไปซะไกลเลยนะคับ...ผมถามแนวทางคุณขันธ์ในการพิจารณากามราคะ...คุณขันธ์แนะนำมาก็โอนะคับ... ไม่เห็นคุณขันธ์ พูดถึง ทุกขสัจจะอะไรกับผมนี่คับ...มีแต่บอกว่า ให้พิจารณา หญิงนั้นๆเหมือนญาติเรา...ก็โอเคนะคับ...เป็นกุศโลบายที่ดี...
หลักฐานอยู่นี่คับ
-
จริงๆแล้วในขั้นการพิจารณา กามราคะ ในพระไตรปิฏกก็เคยกล่าวไว้.. เป็นกิเลสที่ต้องทำให้เบาบาง...เพราะเป็นของละเอียดมากๆๆ การจะละเลยโดยตรง ไม่ได้คับ.. โน่น..พระอนาคามี ถึงจะตัดได้ ขาด...
...
เห็นไหม?คับ...การพิจารณาธรรมให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง.. ไม่เกิดข้อโต้แย้งในการถกธรรม...ไม่งั้น คุณนั้นแหละคับ จะกลายเป็นธรรมภูติ#2...อย่าเอาพระธรรมมางัดเพื่อการเอาชนะเลยคับ...ผมขอละคับหยุดแล้วจิจารณาไหม่คับ -
ผมเป็นคนกล้าพูดนะคับ ...อะไรใช่คือใช่...ไม่ใช่ผมจะบอกเลย..
เพราะ ถ้าคนฟังเข้าใจ ประโยชน์จะเกิดกลับคนฟัง...ไม่ใช่ผม
...แต่ถ้าพูดแล้วไม่ฟังผมก็จะไม่พูดนะคับ... กรรมใครกรรมมัน
สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม....
สาธุ... -
...พระพุทธองค์ บอกให้พิจารณากายอยู่เนื่องๆ... เพราะเรายังต้องอาศัยกายนี้... กามราคะเมื่อเวลาผู้ชายเกิดอารมณ์ ...มันจะมีอาการของกายด้วยคับ
ของมันเนื่องกันนะคับ.. กายลม กายเนื้อ กับจิต... 3สิ่งนี้เกี่ยวเนื้องกันโดยตรง...ถ้าไม่เชื่อคุณพิสูจน์ดูคับ...
**เวลาที่คุณเหนื่อยนี่ ลมคุณจะหายใจสั้น..ถ้าปรับลมยาว..ร่างกายคุณจะสบายขึ้น..
**เวลาอากาศร้อน คุณจะหงุดหวิด...แต่ถ้าได้อาบน้ำ.. (คือทำกายให้สบาย) จิตคุณก็จะ เบาสบายปรอดโปร่งขึ้น...
**เมื่อกายเนื่องกับจิต...กายเนื่องกับลม ....จิตก็เนื่องกับลมด้วยเช่นกัน...
สามส่วน กาย ลม จิต จึ่งเป็นของเกี่ยวเนื่องกันโดยตรง... การจะเท่าทันกิเลส...เมื่อสติคุณไวพอ... คุณจะเห็นละเอียดหมด...มันรู้ของมันเองคับ...ไม่ต้องกำหนดอะไร....นี่คับผมอธิบาย ภาษาชาวบ้าน อ่านแล้วไปเที่ยบเคียงได้เลย ไม่ต้องมานักแปลบาลี...หวังว่าคงจะเข้าใจนะคับ ...
สาธุ...
เอามาให้อ่านอีกรอบคับ
-
สวัสดีปีใหม่ นักปฏิบัติ ทุกท่านครับ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆครับ
-
ปี่ไหม่แล้วเหรอ...ไม่รู้เวลาเลยเรา 555
</label> -
โดนแทงแล้วสลบไป ก็ไม่ทุกข์
งั้น ก็แสดงว่า ทุกข์ นี้ ไม่ได้ฝึก สติปัฏฐาน ก้รู้ทุกข์ได้ใช่ไหมครับ... -
โอกาศซักที....อนุโมทนาด้วยนะครับ -
....ขอตัวพร้อมหัว^^
...ไปพักผ่อนก่อนนะคับ ...พรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้าเด๋วไม่ทันหลวงพ่อ...
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม คับ สาธุ...
และขออนุโมทนาในธรรมทานที่นำมาฝากกันด้วยนะคับ ...สาธุ -
-
แต่ ทีนี้ คนทั่วไป หลงไป คือ ลืมไปว่า ทุกข์ เป็นอย่างไร เกิดเมื่อใด
ดับเมื่อใด แล้วก็ลืมไป ประมาทว่า ก็ตอนนี้สุขสบายดี เพราะว่ากิเลสมันฉลาดพอที่จะบดบัง
บางคนร้องไห้อยู่ ยังจะบอกว่า ร้องไปอย่างนั้นเองไม่ได้ทุกข์อะไร
บางคนเครียดจะตาย พอไปทักหน่อยบอกว่า ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆนะนี่ นี่เบิกบาน แล้วมันก็ทำหน้าเบิกบานขึ้นมาทันที
พวกนี้ให้มันทุกข์ให้เข็ด
นี่เราต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกตนอันดับแรก แล้วฝึกสติเพื่อที่จะได้ไม่หลง เห็นว่า เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมนั้นลึกซึ้งขึ้นไปอย่างไร แล้วเราจะเห็นจิตใจดวงนี้ว่า
การที่เราจะเอาอายตนะบริสุทธิ์ขนาดนิพพานได้ คงไม่ใช่สังเกตุทุกข์เพียงแค่มันกระเพื่อมหนักๆ แต่ เราจะต้องศึกษาและสังเกตุไปจนถึงว่ากระเพื่อมนิดหนึ่ง ก็เห็นได้
จนที่สุด ดับทุกข์ได้สนิท -
ยกตัวอย่างนิวรณ์ เป็นต้น จิตกระเพื่อมขนาดไหน เป๋ไปขนาดไหน ตัวเองก็รู้สึกได้ว่า ทุกข์หรือไม่ทุกข์ แต่ว่ากิเลสในใจมันก็บดบัง ให้หลงตามเพลงบรรเลงของกิเลส
มันก็มั่วตั้วไปเรื่อยๆ จับนั่นชนนี่ ทีนี้ กิเลสนี้ หลงไปอย่างนั้นอย่างนี้ ดังคนหลับ มิหนำซ้ำ เก่งกล้าสามารถอวดดีด้วยว่า ตกนรกก็ยอม นี่คนพูดแบบนี้ แสดงว่าลืมนรกไป
กิเลสมันกล่อมบอกว่า ไม่ต้องกลัวหรอกนรก ก็เลยอวดดี
ทีนี้คนไม่ประมาท ก็ให้เจริญสติเพื่อที่จะ ไม่หลง และมีกำลังสติพอที่จะเห็นทุกข์ที่ละเอียดได้ -
เรื่องมันธรรมดาอยู่แล้ว ใช้ชีวิตปกติอยู่แล้ว ที่จะต้องมีการหักห้ามใจ ในชีวิตคนเราแม้อะไรยังประหารไม่ได้ ก็ต้องหักห้ามใจ ต่อสู้กับกิเลส นี่บ้าขนาดว่า หักห้ามใจก็กลายเป็นหินทับหญ้า คุณ นิวรณ์ คุณจะบ้าเอาประหารกิเลสเลยหรือ
ทำอะไรอย่าให้มันสุดโต่ง ผมบอกแล้วไงว่า คนเขาจะพลอยขาดศรัทธาและ นึกในใจว่าไป ปฏิบัติธรรมประสาอะไร ออกมาพูดจาเรื่อยเปื่อย -
เมื่อถึงธรรมจริง จิตอะไรที่เคยดูแล้ว เราก็ไม่ต้องไปสังเกตุ มันก็จะเป็นอัตโนมัติไป ก็วางเฉยการดูในส่วนนั้น ได้โดยอัตโนมัติ แยกออกอะไรกิเลส อะไรธรรม อะไรเป็นสังขารขันธ์ ที่ทำงานไปตาม ธรรมชาติ
เราก็ไม่ต้องไปดูทั้งหมด ดูเฉพาะ ทุกข์ นี่จำไว้ อะไรเป็นทุกข์ดูตรงนั้นก่อน เรียกว่า เป็น ทุกขสัจจ ที่ต้องเรียนรู้ แต่ก่อนจะเห็นทุกข์นี้ ก็ต้องฝึกมหาสติปัฎฐานให้ดี เพื่อที่จะได้เห็นทุกข์ ที่ละเอียด เห็นทุกข์แล้ว เอาให้เห็นละเอียดให้มาก การเห็นละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไปนี้จะต้อง ฝึก มหาสติปัฎฐานให้ชำนาญ คือ เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต แล้วเลือกว่า ในส่วนใดที่เป็นทุกข์ แยกกองทุกข์ กับกองธรรม ให้ออก แล้วละทุกข์ พิจารณาธรรม ให้เห็น สมุทัย ยิ่งๆ ขึ้นไป ดับที่สมุทัย
ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เราเห็นตัวโกรธ คนไม่รู้ก็จะมองดูโกรธ รอจนกว่าจะดับ แล้วถ้าเราไม่ทันต่อ การคิดของเราหละ เราก็คิดไปถึงหน้าไอ้คนที่เราโกรธ คือเผลอคิด มันก็โกรธอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราใช้กำลังสติ กำลังสมาธิ ตัดว่าเอาหละเราจะไม่คิดไปถึงหน้า ไอ้คนที่เราเกลียด เราจะไม่ปรุงไป นี่ เราจะเห็นเหตุ อีกระดับหนึ่งของความโกรธ ว่ามาจาก การคิดไป แล้วเกิดเวทนาในสิ่งที่เขากระทำ จึงทำให้เราโกรธ
นี่ เราดับที่เหตุคือ ไม่คิดไป ไม่ก่อเรื่อง มันก็ดับได้ เรียกว่า ทวนกระแส
นี่เอาไปพิจารณาแบบนี้ ไม่ใช่เห็นโกรธแล้วดูเฉย กิเลสเอาไปกินหมด เพราะเหตุมันอยู่ที่ เวทนา และ เหตุของเวทนาคือ การเอาใจไปสัมผัส เหตุต้นคือ ไม่เท่าทัน เผลอตัวคิดไปตามเรื่องตามราวอันเป็นอวิชชา
นี่ดูกันหน่อย ผมอธิบายให้ฟัง เป็นธรรมแท้แน่นอน ปรากฎกับใจนี้แล้วจึงเอามาสอน
และ ไม่มีผิดเพี้ยนแน่นอน ตรงทางกับองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
</TD></TR></TBODY></TABLE>
จนที่สุด ดับทุกข์ได้สนิท[/quote] ทุกจะดับได้ไม่เกิด ไม่ใช่ไปดับที่ ทุกข์ แต่ดับที่เหตุ ทุกข์ถึงไม่เกิด เลยเรียกว่า ดับทุกข์ได้ใช่ไหมครับ
ทุกข์เป็นผล <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
สมุทัยเป็นเหตุ ถ้าดับที่เหตุ ก้จะพ้นจากทุกข์ใช่ไหมครับ<o:p></o:p>
เพราะฉนั้น การเจริญ สติปัฏฐาน 4 ก็เพื่อ เจริญ ให้เข้ามารู้ ที่กาย (หยาบ ) ที่ใจ (ละเอียด) ก้คือ รูป กับนาม <o:p></o:p>
ก่อนหน้านี้ ผมเห็น ท่านขันธ์ ชี้ว่า เจริญสติปัฏฐาน เพื่อรู้ทุกข์ <o:p></o:p>
ผมเลยสงสัยและมีคำถามต่อๆมาเพื่อถามน่ะครับ<o:p></o:p>
<o:p> </o:p> -
ถ้าหยิบมาไม่เจอ ถือว่า พูดจาเรื่อยเปื่อย -
โลกภายนอกว่างเปล่า มีแต่โลกภายในมันเคลื่อนที่ดิ้นรน
ในความเป็นจริง เปลือกโลกเคลื่อนตัวตลอดเวลา
แผ่นทวีปอินเดีย และแผ่นทวีปเอเชีย ก็เคลื่อนมาชนกันเป็นเทือกเขาหิมาลัย
ผลจากการเคลื่อนตลอดเวลาของเปลือกโลก เทือกเขาหิมาลัยจึงสูงขึ้นทุกปี
แต่เราไม่รู้สึกว่ายืนบนเปลือกโลก ที่เคลื่อนตลอดเวลา
ปล.ใครรู้สึกว่าโลกเคลื่อนตลอดเวลา คงจะปวดหัวแสนสาหัส
เอไม่สิ คงจะเห็นความจริงตลอดเวลา ตะหาก ^.^ -
-
ถ้า ใจเราไม่รู้ทุกข์ มันจะทุกข์ได้อย่างไรจริงไหม
แสดงว่า ที่ใจเรามีทุกข์นั้นแหละ เพราะใจมันรู้ทุกข์
ก็เปรียบว่า คนเอามือจุ่มน้ำร้อน แล้ว ลืมตัว พอมันร้อนมากๆ ถึงรู้ตัว จริงๆแล้ว เมื่อจุ่มไป มันก็ต้องสัมผัสรู้ได้แต่ทีแรก แต่เพราะหลง เพราะลืม ต้องรอให้มันหนักๆ ก่อนจึงจะสะดุ้งขึ้นมา -
ผมถามด้วยจุดประสงค์ 5 ข้อ
1.ถามสำหรับส่องเนื้อความที่ยังมองไม่เป็น
2.ถามเทียบเคียงกับสิ่งที่เห็นแล้ว
3.ถามตัดความสงสัย
4.ถามตามอนุมัติ
5.ถามเพื่อมุ่งจะแก้
และยังเป็นการฝึกไปเรื่อยๆ....ขอบคุณครับ
หน้า 19 ของ 53