เรื่องเล่าจากบ้านผม..
วันนี้..หลานมาเยี่ยมทีบ้าน..อายุประมาณ 2 ขวบ
พอมาถึง พ่อเขาก็บอกให้ สวัสดีผม..แต่เด็กเงียบ..ไม่ยอมทำไรทั้งสิ้น
ผมเลยถามเด็กนั้นว่า.."เมื่อไหร่เราจะพูดรู้เรื่องสักที่จ๊ะ"..คุณพ่อของเด็ก
ก็รีบบอกผมทั้นที.."โอ้ย เขารู้เรื่องทุกอย่างแหละแต่ดือ"..ผมก็ยิ้มๆไม่พูดอะไรต่อ
แต่สิ่งที่ผมได้คือ...
คำว่า"รู้เรื่อง" ของพ่อเขา กับ "พูดรู้เรื่อง"..ของผมไม่เหมือนกัน
รู้เรื่องของเด็ก2ขวบที่รู้คือ..เขารู้แต่ตัวเขาเอง ว่าจะเอาอะไรและก็จะเอาไห้ได้ดั่งใจ..โดยไม่สนใจใครจะอย่างไร ไม่ฟังคำพูดใคร เหตุผลของใครทั้งสิ้น...
แต่คำว่าพูดรู้เรื่องของผมคือ.. รู้เรื่องที่เราพูด..และเข้าใจเหตุผลที่เราบอก เช่นบอกให้สวัสดีญาติผู็ใหญ่ ก็ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งควรทำ และ ต้องทำตาม จึงเรียกว่าพูดรู้้เรื่อง...นี่เป็นตัวอย่างที่ว่า..พ่อแม่สอนลูกไม่เป็น ลูกถึงเอาแต่ใจตัวเอง..
...
สะท้อนใจคับ ... บางท่านในนี้ก็เป็นเช่นเด็ก 2 ขวบ คือเอาแต่ความรู้ของตัวเองออกมากล่าว โดยไม่สนใจว่าอีกผ่ายจะเ้ขาใจไหม?..พยายามจะสอน จะแนะนำธรรม แต่ไม่ได้ดูว่า... ผู้ที่ฟังธรรมอยู่นั้น ปฏิบัติถึงไหนแล้ว...คือไม่ได้ให้ธรรมตามสภาวะผู้ที่จะรับ..แล้วใครพูดธรรมผิดจากที่ตัวเองเข้าใจก็กลับโต้เถึยงใช้คำพูดรุนแรง...
ธรรมะแท้จากครูบาอาจารย์ แต่ละรูปแต่ละองค์..ผมไม่เห็นของท่านใดขัดกับใครเลย...ก็แค่บ่นๆไปนะคับ...อย่าถือสาไรกับผมเลย...
คิดซะว่า...ก็แค่ตัวหนังสือบัญญัติทางภาษาเท่านั้นเอง...ไม่มีไร..
เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.
หน้า 53 ของ 53
-
-
วันนี้วันพระ สัมมัปปธาน 4
[MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=3026[/MUSIC] -
ไปแระ...ไว้เจอการใหม่ บายคับทุกท่าน -
คนละประเด็น ไว้ว่างๆมาคุยกันใหม่ ขอบคุณนะครับ -
คุณ จรนี่ แกตลกดีนะครับ
แต่ธรรมที่แกแสดงบางอย่างถ้าน้อมพิจารณาก็ดีเหมือนกัน
ส่วนที่ผิด ๆ ก็เขี่ยทิ้งไป -
การพิจารณากายในเบื้องต้นนะใช้ได้เลยคับ
อะไรเป็นประโยชน์ ก็น้อมมาไว้ใช้
อะไรไม่ใช่ประโยชน์ ก็วาง.ไม่โต้ตอบ...จบ นี่จึงเรียกว่า ขันติ
สาธุ...<label for="rb_iconid_31">สุดท้ายก็ฟุ้งอยู่คนเดียว..อิอิ</label> -
ท่าน จร เป็นผู้ส่ง ที่ดี อีกท่านหนึ่ง
-
พอชมเข้าหน่อย อ่อนยังกับขี้ผึ้งลนไฟ หายบ้าไปเลย แบบนี้ถ้าเป็นสตรีก็ ประเภทชอบคำหวาน พวกประมาท
พอยิ่งด่า ยิ่งบ้า แกล้งบ้าไปโน่น -
-
เพราะคุณสรุปว่าเป็นแบบนี้ ในเมื่อผมปฏิบัติไม่ใช่แบบที่คุณพูด<O:p</O:p
ย่อมเป็นธรรมดาครับ ที่ผมจะต้องถามเพื่อหาความกระจ่าง<O:p
ส่วนที่คุณทราบว่าผมรู้ อาจเป็นการเข้าใจผิดของคุณเองก็ได้นะครับ <O:p
เมื่อเราได้ถกธรรมกัน ถูกผิดยกไว้ ถ้ายังไม่หาสงสัย <O:p
เราเองก็มีสิทธิที่จะสอบทานกับครูบาอาจารย์อีกที <O:p
เมื่อคิดว่ามีเหตุผลที่ดีกว่า <O:p
คุณเองก็สามารถจุดธูปเรียกผมมาถกอีก(ในข้อธรรมเดิม)ในโอกาสต่อไป<O:p
คุณนัทฯครับ คุณเองก็พูดไว้ว่า<O:p
-
แต่ที่ยังไม่เที่ยงเพราะมีกิเลสนอนเนื่องใช่มั้ยครับ???
ผมเองก็มีความเห็นเช่นเดียวกับคุณเกสท์นะครับว่า
ธรรมะของจอมศาสดานั้นย่อมเป็นสากลอยู่ตลอดเวลา
ลงมือทำเมื่อไหร่ได้ย่อมได้รับผลเมื่อนั้น
ทำไมเมื่อยุคที่พระอาจารย์ใหญ่มั่นที่ถูกกล่าวร้าย
โดยพระฝ่ายปกครอง(นักธรรม)ว่าเป็นผีบุญ
ซึ่งในยุคสมัยนั้นเป็นเรื่องใหญ่มากถึงขั้นจับสึก
เมื่อเรื่องเข้าสู่หูของเจ้าหนใหญ่ฝ่ายปกครองทางอิสาน(เจ้าคุณอ้วน ติสโส)
ท่านเป็นพระที่น่าเคารพยกย่องปกครองด้วยธรรม
ท่านจึงให้โอกาสพระอาจารย์ใหญ่มั่นเข้ามาแก้ต่าง
เมื่อได้สนทนาธรรมกันเจ้าคุณถึงกลับแปลกใจว่าทำไมถึงได้รู้ลึกซึ้งขนาดนี้
ในครั้งนั้นถือว่ารอดพ้นไป เมื่อครั้นท่านเจ้าคุณอ้วน ได้เลื่อนสมณะศักดิ์สูงขึ้น
ต้องเข้ามาอยู่กรุงเทพ จากนั้นผ่านมาอีกนานพอควร
ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นก็โดนข้อหาเดิมอีก ก็ได้ท่านเจ้าคุณท่านช่วยไว้อีก
ขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเจ้าหนใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ....
สรุป ไม่ว่านักปฏิบัติหรือนักปริยัติที่มีจิตใจเป็นธรรม ย่อมคุยกันและเข้าใจกันได้ครับ
;aa24
หน้า 53 ของ 53