คำว่า เราไม่มีในกาย และ กายไม่มีในเรา กระทบไหม
ก็ตอบว่า ถ้าหากว่าเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง เราก็ทราบดีแยกออกว่า บ้านหลังนั้นกับเรานั้นไม่ใช่ 1 เดียวกัน แต่ว่าเราอาศัยอยู่ ต้องมีการอิงกัน เกื้อกูลกันในสภาวะ ถ้าบ้านหลังนั้นเกิดเสียหาย มีพายุเข้า เราก็ต้องกระทบเป็นธรรมดา
ขันธ์ทั้ง5 นี้ ยังต้องปรุงไปตามปัจจัย แต่ไม่ยึดติด ร้อนหนาว มี แต่มันมีขึ้นมันก็ดับไป
เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.
หน้า 44 ของ 53
-
-
แต่หลังจากกลับมาแล้ว รู้สึกว่าจิตมันเปลี่ยนไปนะ ไม่เหมือนเดิม ก็ได้แต่ดู
ธรรมชาติของจิต ตนเองไป รู้ตัวว่ายังทำผิดๆถูกๆ แต่ที่ถูกที่สุดคือ ไม่ทำ
-
ช่วยขยายความหน่อยจิ...หุๆๆๆ -
เราย่อมไม่มีวันเข้าใจความจริงของธรรมะนั้น อย่างแท้จริง
สิ่งที่เราควรทำ คือพิจารณาความจริง ด้วยความรู้ตัว รู้สึกตามจริง
ว่าเรารู้ความจริงอะไรบ้าง จริงๆ เช่น เย็น ร้อน อ่อนแข็ง ชอบ ไม่ชอบ
ยินดี ไม่ยินดี โกรธ ไม่โกรธ .... ประมาณนี้
พิจารณาแบบนี้ เพื่อเจริญปัญญา ให้เกิดในจิต
เมื่อจิตมีปัญญารู้แจ้งความจริงในระดับที่เข้าใจธรรมะนั้นได้
จิตจะรู้จะเข้าใจสิ่งที่คุณผีเสื้อ สงสัยอยู่นั้นเอง รวมถึงธรรมะอื่นๆ
ที่ปัญญาระดับที่เราเจริญมาได้เข้าถึงเข้าใจได้ เราก็จะเข้าใจเอง
ที่พูดนี้เป็นความคิด เป็นทิฏฐิของเรา ที่เข้าใจแบบนี้ ปฏิบัติแบบนี้
ถ้าพูดถึงระดับปัญญาของเรา เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันระดับไหน
รู้อย่างเดียวว่า ยังเป็นระดับปุถุชนคนมีกิเลส เท่านั้น
เพราะ หลงประจำ เผลอเป็นปกติ เสวยทุกข์และสุข เป็นระยะ
เพราะสติยังขาดๆ เกินๆ มีรู้ตัว และไม่รู้ตัว
มีรู้ถูก และรู้ผิด มีเผลอไปทำอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำ
รอดูเขาอยู่ว่าเมื่อไร จะหยุดทำ ถาวร เป็นปกติ อยู่เนี่ย -
"คุณขวัญเพียรรักษาศีลไหม" ? -
พอดีมีกระทู้เรื่อง "ไม่มีเวลา" อยู่ข้างนอกกระทู้หนึ่ง แต่เกรงใจไม่อยากลากกระทู้เขาออกทะเล
เลยขอเอามาเล่าในกระทู้นี้ดีกว่า
คือว่า หลังจากได้มาปฏิบัติธรรมมาระยะหนึ่ง ผมก็สังเกตเห็นว่ามีสิ่งหนึ่งลดน้อยลงไป นั่นก็คือการรับรู้ถึงกาลเวลา
แต่ก่อนผมติดอยู่กับเวลา จะทำอะไรก็กำหนดเวลาแล้วก็เร่งๆ ทำเพื่อให้ตรงตามกำหนด
จะขับรถไปไหน มันก็คอยพะวงว่าจะไปทันไหม รถติดมันก็หงุดหงิด
แบบว่าต้องเหลือบตามองดูนาฬิกาทุกๆ นาทีเลย (เคยเล่าไปทีนึงแล้วเรื่องทำไมเราจึงเห็นตัวเลขแปลกๆ เวลาดูนาฬิกา เช่น 11:11)
ผมเพิ่งมาสังเกตอีกทีก็ตอนมีคนมาตั้งกระทู้เรื่องไม่มีเวลานี่แหล่ะ ว่าผมลืมนึกถึงเวลาไปอย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
ก็ลองพิจาณาดูก็พบว่าหลังจากที่ได้เริ่มเข้ามาดูกายดูจิต เวลาเผลอ มันก็สามารถรู้ตัวได้ทันก่อนที่มันจะปรุงแต่งไปจนไปรวมกับความรู้เรื่องกาลเวลา ไอ้การรับรู้เรื่องกาลเวลามันก็เลยไม่เกิดขึ้นมาในหลายๆ ครั้ง
เวลาที่เราเริ่มมีการรับรู้เรื่องเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง แท้ที่จริงมันก็คือการที่เราปรุงแต่งจนเกิดภพเกิดชาติไปถึงไหนต่อถึงไหนแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว
เวลาเราเผลอ มันก็เริ่มปรุงเป็นความต้องการขึ้นมาก่อน แต่เราดักจับมันไม่ทัน ไอ้ความอยากนั้นๆ เมื่อมันไม่ได้ตามประสงค์ ก็จะไปรวมเข้ากับความรู้ในเรื่องเวลาของเรา มันก็จะเริ่มสร้างความช้าความเร็วขึ้นมา และเริ่มทำให้เราโมโห หงุดหงิดที่ทุกอย่างมันช้า และความรับรู้เรื่องกาลเวลาก็จะยิ่งชัดขึ้น ชัดขึ้น และเผาใจเรา
ส่วนใหญ่เราจะไม่รู้ตัวว่ามันเกิดขึ้นมาตอนไหน จะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันเริ่มรับรู้เกี่ยวกับกาลเวลานี่แหล่ะ
เพราะกระบวนการมันผ่านไปเร็วมากจนเรามองไม่ทัน แต่ถ้าเราย้อนมองกลับไปมันก็จะเห็นว่าทำไมเราจึงมาได้ไกลจนถึงจุดที่เวลามันเกิดขึ้นมา (ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเวลามันไม่ได้มีตัวตนสำหรับเราเลย)
ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเราน่าจะใช้ประโยชน์จากไอ้เจ้าตัวเวลานี่แหล่ะในการดักจับสิ่งที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีกซึ่งเราไม่มีกำลังเห็นมัน
ความรู้สึกเรื่องเวลามันมีตั้งแต่หยาบไปจนถึงละเอียด เช่น:
กี่โมงแล้วน๊า ต้องไปรับลูกแล้วยัง
เมื่อไหร่จะถึงเวลาเลิกงานเสียทีเนี่ย
เมื่อไหร่งานนี้จะเสร็จเสียทีวะ จะได้ไปพักร้อน
เมื่อไหร่แฟนฉันจะมาถึงเสียที
ทำไมงานมันเยอะอย่างนี้
ทำไมอินเตอร์เน็ตมันโหลดช้าจัง
ไอ้ตำรวจจราจรทำไมมันเปิดแต่ไฟแดงข้างเราหว่า
เวลาเข้าแถวจ่ายเงินใน supermarket ทำไมคิวที่เรารอ จึงมักจะยาวและช้ากว่าคิวอื่น
ปฏิบัติมาตั้งนาน ทำไมทำได้แค่นี้เอง (หว่า)
เปิดมาอ่านทุกวัน เมื่อไหร่จะมีใครมาโพสอะไรใหม่ๆ ให้อ่านกันอีก มีแต่เรื่องเดิมๆ
รอดูเขาอยู่ว่าเมื่อไร จะหยุดทำ ถาวร เป็นปกติ
...
และมีอีกมากมายที่ละเอียดจนเรามองข้ามไป จนมันเกิดดอกออกผลมาเป็นรูปของเวลาไปเรียบร้อยแล้วแต่เราไม่รู้สึกตัวว่ามันเป็นรูปแบบหนึ่งของเวลา -
นั้นแหละ นั้นแหละ คุณ บุคคล 1 เรียกว่า ทันพฤติจิต ทันโดยไม่ต้องไปเสียเวลาคิด
เพียงตามรู้ ตามดู ก็จะรู้สึกตัว เกิดสติแบ่งแยกสิ่งที่จิตเข้าไปรู้ กับสิ่งที่ขันธ์เริ่มเข้ารู้
โลกเดิมๆก็ถูกแบ่งแยกให้รู้ เกิดการเห็น รูป-นาม ภพชาติน้อยใหญ่ จะเห็นว่า รูปพฤติจิตเดียว
จะมีภพชาตซ้อนเป็นรูปชีวิต(ที่ปุถุชนไม่อาจมองข้าม)อื่นๆอีกมากมาย
ก็เหมือน คุณ หลินจิ่งเฉิน ที่อาศัยดูการเปลี่ยนรูปแทนตัวผม ของคุณอาศัยเรื่องการ
ยึดมั่นตารางเวลา แต่ละคนก็มีสิ่งที่เข้าเห็นวิธีการปฏิบัติได้ต่างกัน สมัยพุทธกาลก็
มีการดูดอกบัว การดูกระดูก การดูผ้าขี้ริ้ว ดูแล้วก็จะเข้าใจ สติที่เกิดเอง มันมีรสธรรม
แบบไหน เงียบสนิทแต่ให้ปัญญาอย่างไร
พอได้แบบนี้ ก็ต้องหัดรู้ หัดดูอย่างอื่นเพิ่ม ก็จะค่อยๆ ถอดถอนอนุสัย เห็นไปอีกสักสอง
สามอัน คราวนี้ก็จะรู้แล้วว่า ไม่ต้องเลือก ดูทุกเรื่องลูกเดียว เพราะมันมีหมวดใหญ่ที่จะ
เป็นตัวสรุปให้ -
-
วาสนาพามาเจอจม ลมพาลางอกุศลล้างลา^-^
-
-
ผมสนใจในส่วนที่เป็นธรรมะเท่านั้น
เห็นคุณขวัญบอกว่า ไม่ทำ
ผมเห็นว่า คนทั่วไปก็ ไม่ทำ เหมือนกัน
แล้วมันจะต่างกันยังไง
ผมไม่สนว่าคุณขวัญจะรู้แจ้งเห็นจริง มีศีลบริสุทธิขนาดไหน
ผมสนแต่ว่า ที่บอกว่า ไม่ทำ มันหมายความว่าอย่างไร ผมจะได้เปิดทัสนะตัวเองให้กว้างขึ้น -
-
เรา อุเบกขา ด้วยความรู้ตัว ว่าจิตมีธรรมชาติอย่างไร จิตทำอะไร
เรียกว่า ไม่ทำ ด้วยความรู้ตัว เพื่อศึกษา ธรรมชาติแท้จริง ของจิตนั้น
ถ้าเป็นกรณี ทำด้วยความรู้ตัว ก็เหมือนบิดเบือนความจริง เพราะ เราทำ
เราไม่รู้ความจริง ตามจริงของจิตนั้น ว่ามีธรรมชาติเป็นอย่างไร
เราก็จะไม่รู้ตัว ว่าตัวตนเราจริงๆ แล้วเป็นเช่นไร มีแต่ตัวตนที่เราบิดเบือน
ให้เป็นตามที่เราต้องการ แต่เราไม่รู้ว่า จิตนั้นจะเป็นอย่างที่เราต้องการหรือไม่
ถ้าผลออกมาดี ก็โชคดี ผลออกมาตรงข้ามก็จะกลายเป็นเนิ่นช้า เพราะ
เรากับจิต มันจะขัดแย้งกันเอง ถ้าจิตหลงมากๆ ก็จะทุกข์มาก คิดว่างั้นนะ
อุปมาเหมือนเราเลี้ยงลูก บางอย่างอยู่ที่ลูกตัดสิน ไม่ใช่อยู่ที่เราตัดสินเอง
ทั้งหมด ใจลูก ไม่ใช่ใจเรา ทั้งหมด บางอย่างบังคับให้ได้ดังใจเราไม่ได้
ถ้า ไม่ทำ/ทำ ด้วยความไม่รู้ตัว ก็ไม่ได้อะไร เป็นเรื่องปกติของคนที่ไม่รู้ ทั่วไป
เรียกว่า จิตหลับ จิตไม่ตื่น จิตไม่ลืมตาขึ้นมาดูโลกตามความเป็นจริง
คนรู้/ไม่รู้ตัว หรือ คนมีสติ/ไม่มีสติ แต่จิตไม่รู้ จิตหลับ อุตุ อุตุ
-
ปกติผมก็ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่แกพูดเท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลาที่แกสื่อสารกับคนอื่น
แต่มันก็ไม่ใช่ว่าแกพูดเข้าใจยากหรอกผีเสื้อ
เป็นเพราะแกไม่ได้ตั้งใจจะสื่อสารกับเรา เราก็เลยไม่เข้าใจ
แต่เวลาแกพูดกับเราโดยตรง ไม่ได้พูดกับคนอื่น อย่างในกรณีข้อความข้างต้น ผมก็เข้าใจแกดี
เหมือนกับหลังจากเราโดนเตะก้นมา แกก็พยายามอธิบายอาการเจ็บเนื่องจากการโดนเตะก้น
คนที่โดนเตะก้นมา อ่านแป๊บเดียวก็เข้าใจแกเพราะก้นมันยังเจ็บอยู่ แต่คนอื่นมาอ่านก็อาจจะงงๆ
ของคุณขันธ์ก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเราไม่เข้าใจหรอกที่แกพูด จนกว่ามันจะเป็นเรื่องที่เราเห็นเหมือนที่แกเห็น เราจึงเข้าใจตรงกันกับแก -
-
อ่านแล้วยังงงๆ
ที่เรารู้ตัว เรียกว่า ทำ หรือ ไม่ทำ
ที่ว่า ไม่ทำ ด้วยความรู้ตัว
แล้วความรู้ตัว มีเจตนาไหม
ถ้าไม่เจตนาจะรู้ตัว จะกลายเป็นเผลอไปไหม
คุณขวัญพอจะชี้ให้มันชัดๆได้ไหมครับ -
การไม่ทำ จริงๆ แล้วคือ อกิริยา ซึ่งจะเกิดกับ อเสขบุคคล คือ ผู้ที่ ไม่มีบุญ ไม่มีบาปแล้วซึ่งก็คือ พระอรหันต์
เราอาจจะเห็น กิริยาไหวไปตามอาการของขันธ์ ที่มันปรุงไป แต่ กิเลสนี้หมด
เมื่อกิเลสหมด บุญบาป ก็ไม่มี เพราะใจที่ก่อเริ่มต้น นั้นไม่มีบุญไม่มีบาป มีแต่ธรรม
ทุกอย่่างเป็นธรรมหมด
ทีนี้ ถ้าปุถุชน พูดไปถึงทัสนะเบื้องปลายก็เท่ากับ คนฝัน คนฝันคือ ยังขาดสติที่จะระลึกว่า ขณะนี้เรามีธรรมอยู่ขนาดใด ขณะนี้ตัวเราควรจะทำอะไร
ขณะนี้ เราตื่นแค่ใด พูดไปถึงระดับพระอรหันต์ เรียกว่า นี่พูดด้วยทัสนะ แต่ยังไม่ตื่น
นี่ผมพยายามอธิบายและชี้ให้ฟังว่า ถ้าจะตื่นได้คือ มีอะไรมาสะกิด ให้ทุกข์เกิด จึงจะตื่น
คนไม่ตื่น ปลุกอย่างไร ก็ไม่ตื่น ก็จะจมอยู่กับทัสนะแบบเดิม เคยเห็นคนเมาพูดไหม
ไม่อยากพูดอะไรมาก เดี๋ยวจะกลายเป็นขุ่นเคืองใจ แล้วก็จะหาว่า แล้วนายขันธ์นี้เป็นใคร เคยเห็นการปฏิบัติของเขาแล้วหรือ จึงออกมาพูด
ผมก็ตอบว่า ก็ทัสนะมันตระหง่านอยู่ขนาดนี้ ไม่ต้องไปมองอะไรก็เห็นครับ
ไม่ผิดพลาด แม่นยำ ฟันธง คอนเฟริม -
ถ้าลูก(จิต)ดื้อ จะปล่อยแล้วดูเฉยๆ ไหม
หรือว่าต้องมีการ สั่งสอน
การสั่งสอน มีเจตนาไหม -
หน้า 44 ของ 53