ขอกราบอนุโมทนากับกระทู้ของคุณอ้องค่ะ จิตดิฉันสดชื่น และสะอาดขึ้นทุกครั้งที่ได้เข้ามาอ่าน (ยังอ่านไม่จบเลยค่ะ) ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง /\
เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร
ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.
หน้า 34 ของ 65
-
Lixalot's mummy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
-
ธรรมชาติภายนอกกระทบธรรมชาติรู้ภายใน
ในทางการเข้าถึงภพนั้น ไม่ว่าที่ใดมีจุดแม้เพียงเล็กน้อย มีตำแหน่งแม้เพียงเล็กน้อย มีขอบเขตแม้เพียงเล็กน้อย ที่แห่งนั้นย่อมมีภพในใจปรากฏเกิดขึ้น
อย่าว่าแต่กายที่เป็นสิ่งหยาบ ถ้าอ้องพิจารณากายเมื่อใด
อ้องจะเห็นรูปชนิดหนึ่งที่มีขอบเขตเป็นสัญฐานที่ยึดติดเอาไว้และเห็นการกระเพื่อมเป็นจุดเป็นตำแหน่งเป็นขอบเขต
เปรียบเสมือนกายอ้องเป็นน้ำ...
และมีสิ่งที่มากระทบและจิตเข้าไปรู้ในสิ่งกระทบ
อ้องจะเห็นวงคลื่นเล็กบ้าง ใหญ่บ้างเหมือนน้ำฝนที่ตกมาอย่างมากมายบนพื้นผิว
เป็นวงคลื่นกระจายไปทั่ว มีจุด มีตำแหน่ง มีขอบเขต มีขยาย มีหดกระชับเข้า มีละลายหาย เวลาที่จิตตั้งมั่นในสมาธิอันเป็นสิ่งใกล้ให้เกิดปัญญา
จิตที่อยู่ในอารมณ์หนึ่งอย่างมั่นคง มีความเป็นกลาง เป็นผู้ดูเหมือนอยู่บนบก
ดูกาย ดูจิต ที่กระเพื่อมสั่นไหวเป็นไปตามธรรมชาติ
ดั่งขุนเขาที่สูงใหญ่นั่งดูความกระเพื่อมและสั่นไหว
สายน้ำในนทีอันกว้างใหญ่ถูกฝนตกกระหน่ำเห็นจุดตำแหน่งแห่งใจ
อารมณ์นั้นเป็นไฉนใยไปคล้อยตามให้หมองหม่น
กายและจิตเป็นสิ่งหนึ่งมีเพียงใจที่มั่นคงเฝ้ามองธรรมชาติที่ผ่านไป... -
รัศมีกายหยาบของคนหยาบ
ความที่เป็นคนที่ได้เกิดมานั้น เมื่อเข้าใจเพียงแต่เป็นผู้ได้ไม่เป็นผู้ให้...
ย่อมจ้องเบียดเบียน ปราศจากศีลคือความบริสุทธิ์แห่งความเป็นคน
เมื่อเกิดเป็นคนคิดเพียงแต่ว่า จะกิน จะอยู่ จะสืบพีนธ์ อยากมี อยากได้
จิตภายในย่อมคิดปรุงแต่งอยู่เสมอด้วยราคะ โทสะ โมหะ โลภะ
ที่จะปรากฏเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา...
มนุษย์บนโลกนี้...
จึงหาผู้ตื่นขึ้นมารู้ความจริงของกายและจิตแบบธรรมดาที่สุดหาได้ยากที่สุด
ทั้งๆที่ทุกๆคนบนโลกต่างก็รู้สึกว่ามีกายและมีความคิดเกิดขึ้นตลอดเวลา
แต่ก็หาได้รู้ หาได้เห็น ความจริงของกายความจริงของจิตด้วยสติที่แท้จริง
ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่ต่างจากแมลงที่เห็นไฟเป็นความสวยงาม
ธรรมชาติล่อหลอกจิตมาอย่างยาวนาน สะสมจนสร้างเป็นอาสวะกิเลสนอนเนื่องเป็นชั้นๆเป็นเปลือกห่อหุ้มเป็นชั้นๆจนยากที่จะถอดถอนกิเลส ตัณหาอุปทานในใจของตนชั่วกาลปวสานต์
มนุษย์ที่มีใจเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ที่อ้องเห็นบ่อยที่สุดคือ มนุษย์แห่งความโลภ... โลภจัด
เอาความรู้สึกเมื่ออยู่ใกล้...จะเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งแม้ไม่เคยเจอกันมาก่อนก็มีความรู้สึกอึดอัด คับแคบ ไม่สบายใจ ไม่อยากพูด ไม่อยากคุย เพราะเหมือนเรากำลังถูกพลังงานชนิดหนึ่งแฝงเข้ามาครอบคลุมกายและจิตภายในของเรา
ไม่ต่างจากเปรตหรืออสูรกายต่างๆที่เวลาจะกด จะครอบงำภายในของเรา็
ต่างก็จะส่งพลังงานชนิดนี้เพื่อครอบงำ เพื่อกด เพื่ออำที่เรียกว่าผีอำ...
แต่อ้องเหมือนโดนคนที่เป็นๆ กำลังจะอำเราอยู่ภายใน...
อึดอัด คับแคบ เป็นพลังงานชนิดหนึ่งเป็นเมฆหมอกสีนำ้ตาลเข้ม
สีขี้เหล็กสนิมเป็นเหมือนเรากำลังเข้าไปอยู่ในกลุ่มของเมฆหมอกที่อับๆ อึดอัดของคนๆหนึ่ง
ถ้าอ้องถามเพื่อนๆบ้างว่าเคยไม๊ที่เราพบคนๆหนึ่งที่เราไม่เคยรู้จักแต่จะอึดอัดเมื่อได้พบหรือได้พูดคุย...
จิตคนเราที่สะสมเชื้อแห่งโลภะจิตตลอดเวลา ยามที่เค้าคุยกับเราก็จะหาช่องทางที่จะเบียดเบียนเราตลอดเวลาด้วยใจที่ไม่สุจริตเป็นนิสัย
จึงเหมือนการครอบงำ
การโน้มน้าว การจูงใจ ถ้าเค้ามีอำนาจมากกว่า เราก็จะถูกการครอบงำหลงเชื่อ
นั้นก็คือถ้าเรามีโลภะจิตเกิดขึ้นตามมาด้วย เราจะถูกดูดกลืนเข้าหา
เหมือนดั่งคนตกทองที่หาเหยื่อ เหมือนเล่นแชร์ลูกโซ่
ถ้าเราไม่มีโลภะจิต ถ้าเราไม่โลภ เราจะไม่ถูกหลอกเลย
นี่เรียกว่าการดูดกลืน การหาเหยื่อล่อปลามาติดเบ็ดของมิจฉาชีพ
จิตแห่งมิจฉาชีพที่จ้องเบียดเบียนเหยื่อล่อ จึงเต็มไปด้วยอำนาจแห่งโลภะจิตที่รุนแรงสะสมเป็นเชื้อเป็นกลุ่มเมฆหมอกที่อึดอัด คับแคบ เข้มข้น รุนแรง และพร้อมที่จะครอบงำคนที่มีโลภะจิตเช่นกัน
อ้องเรียกว่าตบะแห่งโลภะจิตมีอำนาจครอบงำคนที่มีโลภะจิต ดูดกลืนเข้าหา เหมือนดั่งน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
คนที่หลอกคนเก่ง เบียดเบียนคนเก่ง พวกนี้มีตบะและจะครอบงำด้วยกลุ่มหมอกสีน้ำตาลเข้มข้นแผ่มาปกคลุมกายและจิตเรา
ถ้าเราปราศจากโลภะจิต ศีลแห่งความบริสุทธิ์จะปกป้องเรา
นี่คือความสะอาดของศีลที่มีอำนาจเหนือตบะแห่งโลภะ
ศีลจึงนำความสุขมาให้เพราะความสะอาดของจิตที่ไม่จ้องเบียดเบียนใคร ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ โลภะ เข้ามาครอบงำได้นั่นเองครับ -
รัศมีกายหยาบของคนหดหู่เป็นนิจลักษณะ
ถ้าเราเคยเห็นคนเดินคอตก คนที่ตาหม่นหมองไร้ประกาย คนที่เหมือนหมดเรี่ยวแรงทางกายและใจ คนที่ซึมๆทื่อๆ เอาแต่คิด คนชนิดนี้มีอำนาจชนิดหนึ่งที่น่ากลัวกำลังปรากฏและพร้อมจะดูดกลืนเราเข้าไปในกลุ่มแห่งความอับเฉาของเค้าเพื่อเข้าไปคลายทุกข์ภายในด้วยการตั้งสติ
บุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วมีแต่คิดแต่เรื่องวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเข้ามาย้อนทำลายจิตใจตนเองอย่างสาหัส คิดแต่ว่า ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆๆ....
และเรื่องที่คิดก็เรื่องเดิม คิดได้ทั้งวัน คนที่หดหู่ เศร้าหมอง จึงเป็นคนที่ใครพบ
ใครเห็นจะถูกดูดกลืนเข้าไปทันทีนั่นก็คือ ความสงสาร...
บุคคลที่มีพรหมวิหารแห่งธรรมแค่เพียงแวบเดียวอ้องจะรับรู้ว่า
จิตที่หดหู่กระจายเป็นวงคลื่นที่ปราศจากระเบียบเรียบร้อยแผ่กระจายออกมารอบบริเวณด้วยรัศมีกายและจิตภายในเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆหมอกสีเทาเข้มข้นสูงจนสูงจัด
เมื่อมองเพียงแวบเดียวจิตอ้องจะกระพิบเพราะถูกผัสสะกระทบจิตแห่งพรหมวิหารของอ้องจะเหมือนอัตโนมัติ์แวบเข้าไปแต่ถ้าคนเยอะก็ไม่ไหว
อ้องจะเหมือนคนคอตกทันทีและคล้ายๆจะอาเจียร มึนหัว จนต้องถอนออกมาไม่งั้นอ๊วกแน่ๆ...คนที่หดหู่จึงเป็นคนที่น่ากลัวกว่าคนโลภะจิตเสียอีก
เพราะถ้าเราไม่มีโลภะจิตเค้าทำอะไรเราไม่ได้แต่คนหดหู่เศร้าหมองจะมีสิ่งหนึ่งที่จะทำให้จิตแห่งพรหมวิหารอดไม่ได้ที่จะแวบเข้าไปช่วยเหลืออันเป็นนิสัย
คนที่จิตใจดี มีเมตตา คนที่เห็นคนน่าสงสาร คนที่ชอบอนุเคราะห์ คนที่มีจิตเอื้อเฟื้อ คนขี้สงสาร ลองย้อนมาดูใจแห่งตนเอง เหมือนอ้องบ้างว่า...
เราจะถูกจิต ถูกรูปลักษณะ ย้อนมาทำร้ายเราเช่นกันคือหดหู่ เศร้าหมอง
นี่หละ... ให้ระวัง อย่าคล้อยตามให้วางอุเบกขาหรือเท่าทันสภาวะด้วยนะครับ
ขึ้นนชื่อว่าธรรมชาติของสสารวัตถุทางเคมี บางสิ่งก็หลอมกลมกลืนกัได้งาย
บางอย่างก็หนีห่างกัน บางสิ่งต้องปรับสภาพให้เข้าหาเพื่อจะคลายสภาพกรด ด่าง ขั้วบวก ขั้วลบ ให้ปรับเข้ามาในสภาพที่ปกติ
จิตคนเราไม่ใช่พลังงานแต่มันสะสมเป็นพลังงานเกิดขึ้นเพราะเอาแต่ตรึกนึกในอารมณ์ชนิดๆหนึ่งเป็นเชื้อ มันจะมีอำนาจมากขึ้นเป็นลำดับ เป็นตบะที่มีอำนาจชนิดที่คนทำลายล้างได้ยากมากทวีผลขึ้นไป
คนที่หดหู่ชนิดที่รุนแรงถึงที่สุดจะถึงขั้นทำลายล้างตนเอง ขนาดคิดสั้น ฆ่าตัวตาย หรือปล่อยให้ชีวิตนี้พังสลายเพราะคิดว่าถูกชะตา ถูกกรรมมาบรรดาล
แต่หารู้ไม่ว่า แท้จริงคือ ถูก ใจตนเองต่างหากที่ย้อนมาทำร้ายตนเอง
ไม่มีชะตากรรม ไม่มีเจ้ากรรม ไม่มีใครเลยที่มากระทำ มีแต่ใจเราย้อนมาทำร้ายใจเราเองอย่างสาหัสก็เพียงนั้น
แค่เพียงตื่น... แค่เพียงมีสติ.... สลัดอารมณ์สิ่งนั้นเสีย จะพบกับความสว่างที่สดใสเองด้วยปัญญา
กายเป็นทุกข์เป็นเรื่องของกาย จิตเป็นทุกข์เป็นเรื่องของจิต แค่เพียงแต่ตื่นขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับความจริงด้วยสติ เราจะเห็นว่า ไม่มีสิ่งใดทำร้ายเราได้เลย
ทุกข์จะหดหายไปไม่ใช่เพราะหนีทุกข์แต่เพราะรู้ทุกข์ต่างหาก
ว่าไร้สาระ มีแต่พิษ มีแต่โทษ มีแต่สับสน มีแต่วุ่นวาย
คนที่เศร้าหมองถึงที่สุดมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมแห่งพระพุทธองค์ได้ชั่วเพียงกระพิบตาแค่ตื่นเข้าไปรู้ความจริงว่ากำลังกอดอะไรอยู่
ก้อนทุกข์ที่ไม่ใช่ีตัวตนเค้าเรา กอดก้อนทุกข์แห่งเงามายาของจิต
เพียงแค่สลัดทิ้งคืนมันให้กับธรรมชาติจะอยู่เหนือธรรมชาติและจะหลอมกลมกลืนเข้าสู่สรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวคือสันติ สุขที่สงบเพราะปราศจากกิเลสชั่วนิจนิรันดร์ -
^
^
อ่านแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมาเลยครับ สาธุครับ ผมเองที่เคยเจอก็คนที่โมโหร้ายไม่อยากอยู่ใก้ลเลย ส่วนความโลภนี่อยู่ด้วยกันได้ครับเพราะผมก็มีเต็มไปหมด เลยไม่ค่อยแตกต่างกัน -
รัศมีกายหยาบแห่งพยาบาทขั้นรุนแรง
ความโกรธแค่เพียงโกรธกายจะร้อนขึ้นมาอย่างผิดปกติ หัวใจจะเต้นถี่ยิบและมีโอกาสขาดสติความยับยั้งชั่งใจ ขอให้ทำลายล้างในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ขอเพียงให้ได้ด่าว่า สาบแช่ง ทำทุกสิ่งให้พินาศ
พยาบาท อาฆาต ความโกรธจึงคือจิตที่ไปนรก จิตที่สะสมเชื้อแห่งอบายในขอบวงที่ลึกที่สุด หยั่งไม่ถึง นี่คือคนประเภทขี้โกรธแบบขั้นรุนแรง และผูกโกรธอาฆาตแค้นและจิตจะเอาแต่ยกวิถีจิตสะสมเชื้อเป็นภพ เป็นสถานที่ลองรับ
เพื่อไปเข้าถึงมโนทุจริต ตบะแห่งความเร่าร้อน ไฟแห่งจิตที่ร้อนลุ่มเหนือเกินจินตนาการ
บุคคลที่เต็มไปด้วยไฟภายในจึงเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆหมอกสีดำเข้มข้นสูงถึงสูงจัดวนเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่นเหมือนน้ำมันที่พุ่งหมุนวนดั่งเกลียวหมุน
ถ้าเพื่อนๆเคยเห็นคนที่โกรธเราจะรับรู้ถึงความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราจะรู้ถึงพลังงานเป็นก้อนๆชนิดหนึ่งกระทบเราจนเร่าร้อน น่ารำคาญ อยากหนีไป
หมอกพิษสีดำเข้มข้นมีสภาพกระจายไปทั่ว
บุคคลที่มีโทสะจริตจะถูกกระตุ้น ถูกท้าทายให้เผชิญหน้าเหมือนสสารทางเคมีกำลังเชื้อเชิญให้เข้ามาหลอมกลมกลืนเข้าหากันและกัน
แม่ค้าในตลาดที่ตบตีกัน สามีภรรยาที่ตบตีกัน คนที่ต่างก็พยายามจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งต่างก็ถูกกลุ่มควันพิษที่ไร้สภาพหมุนวนกลมกลืน วนเข้าหากันและกัน
สิ่งที่อ้องเห็นคือกลุ่มควันดำทั้งสองฝ่ายต่างก็หมุนวนเข้าหากันและกัน
สสารกำลังจะหลอมกลมกลืนกัน ท้าทายกัน เป็นไปตามอำนาจของธรรมชาติที่เชื้อเชิญกัน
แต่นี่คือจะเข้ามาทำลายกันให้พินาศ
ถ้าเรามีแค่เพียงศีลที่รักษา เราจะไม่ถูกอำนาจชนิดนี้ครอบงำ
ถ้าเราเพียงมีใจเเห่งพรหมวิหารคนที่โกรธเราจะเหมือนโยนหินลงทะเล ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
พวกคนขี้โกรธเมื่อเจอคนมีศีลมีธรรมมีใจแห่งพรหมจะทำได้แค่เพียงบ่นๆและหงุดหงิดภายในจนท้ายที่สุดจะแพ้ภัยตนเอง
เพื่อนๆคงเห็นนะครับว่า ศีลมีอำนาจเช่นไร พรหมวิหารมีอำนาจขนาดไหน
ไม่ว่าเราเจอใครที่มีราคะ โทสะ โมหะ โลภะที่รุนแรง ขอเพียงมีสติรักษา
ความผ่องใสแห่งศีลจะแผ่ขยายเป็นปริมณฑลที่มีอำนาจมาก ตบะแห่งความเย็นชนิดนี้จะไม่มีสิ่งใดเข้ามาทำร้ายได้เลย -
ความโกรธซ้อนคุณธรรม
บางครั้งเราอาจจะโกรธเพราะพบเห็นในสิ่งที่ไร้คุณธรรม ไม่ใช่เพราะโกรธเพราะความเกรียจชัง แต่เพราะไร้มนุษย์ธรรม ไร้คุณธรรม จิตแห่งคุณธรรมของเราก็แฝงออกมาในสภาพแห่งความโกรธด้วย
คราวนี้ละทำอย่างไง...
จิตที่กระทบอารมณ์รวดเร็วที่เกิดขึ้นสลับคุณธรรมภายในและโทสะ
อ้องเปรียบเหมือนอ้องพิงฝาบ้านสีดำแต่คุณธรรมอ้องกระจายออกไปโดยมีพื้นหลังเป็นสีดำ
รัศมีแห่งความโกรธถูกคุณธรรมสกัดเอาไว้ที่เบื้องหลังโดยเหมือนความโกรธอยู่เบื้องหลังคุณธรรมอยู่ข้างหน้า
สำหรับความโกรธที่ไม่ได้มีจิตอาฆาตมาดร้ายแต่เป็นอารมณ์ที่ขุ่นเคืองเพราะพบเห็นเรื่องที่ไร้มนุษย์ธรรมธรรม
ความโกรธที่ธรรมดาจะมีแค่ประกายแสงสีแดงกระจายออกไปปนน้ำตาลอ่อนจางๆ
คนที่รักความเป็นธรรม คนที่ใจสูงมีคุณธรรมภายในมากจะเปล่งประกายสุกใสสว่างเหมือนดั่งจิตได้กระจายออกเป็นรูปรัศมีเป็นรูปวงเกลี่ยวเสมอขอบวงที่มีระเบียบเรียบร้อยแต่แฝงอำนาจชนิดหนึ่ง มีประกายที่เรืองรองไปด้วยแสงสีแดงกระจายสว่างครอบคลุม
ที่จะเข้าไปคลี่คลายอำนาจที่ไร้มนุษย์ธรรมเกิดอาการหดกลัวด้วยเพราะความกลัวอย่างประหลาดใจ
วิญญาณร้ายหรือคนที่มีจิตใจร้ายๆที่เข้าไปข่มเหง รังแก กดขี่ โดยไม่เป็นธรรม
เมื่อเจออำนาจแห่งโทสะที่แฝงไปกับคุณธรรมจะโดนสยบลงด้วยเพราะเกิดความกลัวในอำนาจที่มากกว่า
ถ้าถามอ้องว่าเคยโกรธเพราะพบเห็นคนที่ถูกกดขี่ ข่มเหง คนจนที่ถูกคนรวยที่ตระหนี่ถี่เหนียวเอาเปรียบ ความอยุติธรรมต่างๆ
บางครั้งก็ทำเอาเรามีอารมณ์แห่งโทสะเช่นกันแต่จะรู้ถึงอารมณ์แห่งโทสะเป็นพื้นด้านหลังแต่คุณธรรมได้กระจายออกไปพร้อมกับอำนาจสยบ ข่มเพื่อที่จะให้ผู้ที่กระทำแบบไร้มนุษย์ธรรมละอายแก่ใจตนเอง -
การเชิญชวนของราคะ
สิ่งที่ผูกมัดสัตว์ให้ดิ้นออกได้ยากที่สุดคงหนีไม่พ้นกามคุณในทางเพศ...
เพราะสิ่งงนี้มีอำนาจโน้มน้าวใจ มีการเชื้อชวน มีการเรียกร้อง มีการสื่อ มีการสัมผัสรับรู้และหยั่งถึงที่ละเอียดซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
ธรรมชาติชนิดนี้มัดใจสัตว์ทุกชนิดให้ซ้องเสพเพื่อดำรงค์เผ่าพันธ์จึงสร้างความยั่วยวน ความอบอวน ความหอมหวาน เสน่ห์หาที่ติดตรึง สื่อสำพันธ์กันได้ด้วยใจ
ด้วยรัศมีแห่งกายและผัสสะกระทบกัน
ความยินดีในสุขแห่งการสัมผัสที่มีมาอย่างยาวนานฝั่งรากลึกเอาไว้เป็นสันดานของหมู่สัตว์ต่างก็ร่ำร้องเรียกหาเพื่อซ้องเสพกามเป็นนิจ
รัศมีแห่งกายที่ส่งประกายสีแดงดั่งอัญมณีสีเลือดเข้มข้นจนเข้มจัด
เมื่อปรากฏแก่บุคคลใดแสดงถึงบุคคลนั้นๆกำลังมีจิตไปกระทบอารมณ์แห่งราคะจิตที่รุนแรงและกำลังหาสิ่งมาตอบสนองหรือเชื้อเชิญคนที่อยู่ใกล้เข้ามาหา
สิ่งหนึ่งที่ดาราที่ถ่ายภาพยั่วยวนไม่ทราบก็คือกำลังกระทำวิบากที่ส่งผลต่อตนเองในอนาคตนั่นก็คือไร้รัก กายมีแต่สภาพแห่งการยั่วยวนเพราะให้ในสิ่งยั่วยวน
ดาราที่ให้ราคะแก่คนเป็นจำนวนมากจึงไร้รัก ไร้ความจริงใจ ชีวิตจึงเต็มไปด้วยการพลัดพราก ความไม่สมหวังดั่งใจ เมื่อเกิดในภพใหม่จึงเป็นผู้มีตัณหาราคะจริตมาก เพราะไปสร้างวิบาหแห่งคนหมู่มากนั่นเอง
ราคะจึงเป็นสิ่งที่มีอำนาจชนิดหนึ่งแต่สำหรับผู้รักษาศีลด้วยอำนาจแห่งศีล สติทีรักษาเอาไว้ การรักษาประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมทำให้อำนาจแห่งราคะในสันดานถูกระงับ ยัยยั้งลงด้วย ศีลและสตินั่นเอง
ราคะ โทสะ โมหะ จึงถูก ศีล สมาธิ ปัญญาที่อบรมมาดีแล้วกำลังเข้าไปลื้อถอนทำลายให้สิ้นไป ... -
ลองเข้าLucid Dreaming
ช่วงเวลาที่อ้องนอนถ้าไม่ดูลมจนหลับอ้องจะรักษาสติเอาไว้ตรงหน้า
รู้สึกตัวว่าตื่นอยู่ตรงหน้า
สิ่งที่เกิดขึ้นคือหลังจากนั้น5-10นาที กายมันจะหลับแบบให้เห็นว่ากายไม่ใช่เรา
คือกายมันจะกรนคร๊อกๆออกมาให้ดูทั้งๆที่เราตื่นอยู่ภายใน
นั่งนับกรนตนเองก็แปลกๆใจอยู่คือกายมันหลับแต่จิตภายในมันตื่นแบบคนปกติคือจะลุกขึ้นมาจากที่นอนเเบบเฉยๆเลยก็ทำได้ จะพลิกตระแคงตัวหรือรับรู้สิ่งภายนอกไม่ต่างจากคนตื่นทุกอย่างก็ทำได้
นี่คือกายมันแยกออกมาจากจิตคนละส่วนอย่างชัดเจนเวลาที่อ้องทำสมาธิหรือเวลากายมันหลับแต่จิตมันตื่น
สิ่งที่เคยสงสัยว่าคนที่เป็นเจ้าชาย เจ้าหญิงนิททรานั้น อ้องได้ย้อนกลับเข้ามาดูรับรู้ถึงความรู้สึกทางกาย อ้องว่ากายเค้าตกอยู่ในสภาพที่บังคับบัญชาไม่ได้แต่จิตภายในรับรู้เรื่องได้เป็นอย่างดีทุกๆอย่าง(คลื่นสมองอย่าหวังจับจิตด้วยการ
สแกรนหาคลื่นเพราะไม่มีส่วนไหนเชื่อมโยงกับกายอีกต่อไป)
บุคคลบางคนเคยเป็นเจ้าชายนิททรานอนหลับมาหลายปีแต่เมื่อตื่นฟื้นคืนสติไ้ด้กลับจดจำสภาพแห่งความรับรู้ตลอดระยะเวลาที่หลับยาวไม่ได้เลย
ตรงนี้อ้องเชื่อด้วยการฝึกดูภายในคือสมองอ้องไม่ได้ถูกทำลาย แต่กายที่หลับอ้องรู้สึกตัวมีสติตลอด ดังนั้นถ้าเพื่อนๆมีคนรักที่เป็น
เจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิททราก็จงอย่าเศร้าเสียใจว่าเค้าไม่รับรู้
แต่จงปลุกเร้าเค้าด้วยความดี สอนในสิ่งที่ดีเพื่อสร้างจิตวิญญาณที่ดีเกิดขึ้นเสียใหม่ด้วยการพัฒนาในทางที่ดีมากขึ้น
ช่วงระยะเวลาแห่งการนอน ทุกคืนอ้องจะนอนดูลมจนหลับไปเสมอ
การหลับไปบางครั้งจึงมีกำลังสมาธิปรากฏอยู่ด้วยบางครั้งมากบางครั้งก็น้อย
แต่การเข้าLucid Dreaming นั้น เป็นสิ่งที่ทำไ้ด้เสมอๆต่างจากกาถอดกายละเอียดออกไปท่องเที่ยวภายนอก สิ่งนี้ยากกว่าและทำไม่ได้บ่อยนักและยิ่งถ้าอยากไปก็จะยิ่งอด
การตื่นในฝันแบบธรรมดาของฝรั่งอ้องลองเข้าไปดูจึงรู้ว่า การรู้สึกตัวในโลกแห่งความฝัน เราจะบังคับบัญชาในทุกสิ่งไม่ได้เลย และมีสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปตามจินตนาการของตนเองที่แปลกพิสดาลและสวยงาม
เพียงแต่การเคลื่อนไหวก็ต่างจากการถอดกายออกไปตรงที่...
การตื่นในฝัน บางครั้งจะถูกบังคับให้ลอยละล่อง ให้เป็นไป ให้เห็น และรับรู้เหมือนตัวตนเราปรากฏจริงแต่ความจริงตรงหน้า
เราบังคับมันได้น้อยมากเช่นการเคลื่อนการลอยการเหาะก็ถูกดึงดูด นำพา ให้ลอยละล่องเหมือนไปตามยถากรรมแต่ถามว่าสนุกสนานไม๊ก็สนุกเอาเรื่อง
อย่างกับได้เที่ยวสวนสนุก เหมือนเรานั่งรถไฟลอยฟ้าที่นำพาร่างกายละเอียดของเราให้เพลิดเพลินกับจินตนาการแห่งความฝัน
ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลงที่แปลกใจ แสงสี สถานที่ เหมือนดั่งสวรรค์วิมานที่เราเคยสัมผัสมาก่อนแต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน เหมือนภาพแห่งอดีตมันไหลถ่ายเทเข้ามาปรากฏเกิดขึ้น
นี่คือLucid dreaming ย้อนอดีตภพที่สะสมเอาไว้ในชาติก่อนๆที่เคยมี เคยเป็น เคยไป แต่เป็นได้แค่เพียงภาพแห่งมายาที่ผุดขึ้นมาเพราะการย้อนทวนสติตนเองด้วยสมาธิในช่วงแรกแห่งการตื่น อ้องจะเห็นว่าตนเองกำลังใช้สมาธิเข้าไปเพื่อย้อนภาพและเพ่งเข้าไปเพื่อเข้าไปตื่นเต็มตัว
คล้ายการถอดกายละเอียดแต่ต่างกันที่กายละเอียดจะไม่ใช่ความฝันเลยแต่เป็นความจริงล้วนๆและสามารถมองเห็นกายเนื้อของตนอีกด้วย
แต่ตื่นในฝัน... อย่าหวังได้เห็นกายเนื้อของตน และจะมีช่วงเวลาที่กระชับสั้น
ไม่ได้นานเป็นนาที เราจะมีความรู้ว่า มันผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีก็เพียงนั้น
เพราะการตื่นในฝันนั้น สมาธิมีกำลังน้อยมาก เพราะไม่มีตัวเจตจำนงค์ที่จะตื่นในฝันเลยแต่มันเข้าไปเอง แยก กายแยกจิตออกจากกันเอง ชั่วลัดมือเดียวแค่นั้น.... -
รัศมีกายหยาบคนตระหนี่ถี่เหนี่ยวที่ขังใจภายใน
ในโลกของความอดออม ทุกๆคนล้วนแล้วแต่ต้องรู้จักการอดออม รู้จักใช้จ่าย
รู้จักความตระหนี่ในบ้างครั้ง แต่มีบุคคลบางคนเข้าขั้นรุนแรงคือขังใจตนเองภายในเอาไว้...
สิ่งที่คนตระหนี่แบบรุนแรงและร้ายกาจคือเงินและผลประโยชน์เป็นคนที่เรียกว่าอยู่เพื่อเงินและผลประโยชน์
ความตระหนี่จึงนำมาซึ้งจิตใจที่คับแคบทำร้ายผู้อื่นและทำร้ายตนเอง
คนที่ตระหนี่จัดมักจะไม่ยอมเคารพศาสนาแต่เคารพเงินและผลประโยชน์เพราะคิดว่าสิ่งที่ตนหามาได้ ไม่มีหน้าไหนที่จะแย่งชิงไปได้
บุคคลพวกนี้จึงขาดความเลื่อมใสในพระศาสนาอย่างจริงใจเพราะรู้สึกฝืนใจตนเองอย่างสาหัสเพราะพระศาสนาสอนให้เป็นผู้ให้แต่ไปเข้าใจว่าการให้ทานต้องใช้เงินโดยขาดซึ้งความรู้ความเข้าใจ
จิตใจจึงพยายามเลี่ยงในการเข้าหาพระศาสนาอย่างถูกต้องเพราะเพียงแต่ใจเปิดกว้างออกเป็นผู้ยินดีในกุศลผลบุญผู้อื่นจิตแห่งความตระหนี่จะถูกทำลายลงไปเพราะเมื่อยินดีในทานผู้อื่นก็ย่อมยินดีในการสละทานด้วยกำลังของตนเอง
แก่นแท้แห่งทานคือการสละอารมณ์ อารมณ์ที่ไร้ตัวตน สละออกนี่เป็นแก่นแห่งทาน เพียงแต่การสละทรัพย์เป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้นไม่จำเป็นต้องให้แบบเดือดร้อนตนหรือผู้อื่น
คนที่ตระหนี่ถี่เหนียว ละโมภชนิดรุนแรง จึงมักมีรัศมีกายที่เป็นรูปคล้ายกรงถี่ๆสีน้ำ้ตาลดั่งสีสนิมถี่ยิบกักขังความคิดตนเองอยู่ภายใน
ไม่เอาใคร มีความสุขในการกอดเงินที่ตายไปก็เอาไปไม่ได้
บุคคลที่ไร้ญาติ ขาดมิตรแท้ ขาดคนรัก ไม่เอารัก ตัดตนเองจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง หลีกเลี่ยงจากสุขสัมผัสภายนอกที่มากระทบเพราะกลัวเสียเงินทอง ทำลายทั้งคุณธรรมภายนอกที่ส่งถึง ทำลายทั้งคุณธรรมภายในด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ
บุคคลที่น่ากลัวและกำลังลงสู่ความมืดบอด บุคคลที่กำลังทำลายวิบากที่ดีที่สะสมมา บุคคลที่กำลังทำลายเรือนาวา บุคคลที่กำลังจุดไฟเผาเรือนแแห่งตนเอง คือบุคคลที่เริ่มมาจากการตระหนี่จากทีละน้อยเพิ่มทวีจนมากขึ้นกลายเป็นความคับแคบเห็นแก่ตัว
ไม่เอาญาติ ไม่เอามิตร แม้อาหารการกินก็กินแบบทำลายตน แม้การแสวงหาความสุขก็ไม่ยินดี ปิดขังตนเอง แม้ศาสนาก็ไม่เข้าถึง เป็นบุคคลที่ทำลายมงคลชีวิตตนเองอย่างสิ้นเชิง
เพื่อนๆที่เริ่มสะสมความตระหนี่ขอให้สลัดทิ้งลงอย่าไปสะสมเชื้อภายในให้มากขึ้นเพราะจะทำลายใจตนเองให้มืดบอด
เมื่อเกิดมาในภพหน้า จะขาดการอุปถัมภ์ค้ำจุนช่วยเหลือ
เกิดมาในตระกูลที่ต่อสู้ดิ้นรนและมีแต่ไร้รักเห็นแก่ตัว ขาดซึ้งความรัก ความจริงใจ หาเงินทองด้วยความยากลำบากมากขึ้น ขาดซึ้งโชคลาภทวีผล ขาดซึ้งความเห็นใจ ไร้มิตร ไร้ญาติ ไร้ความรัก มีแต่ความสันโดษและอ้างว้าง
อย่าทำลายตนด้วยความตระหนี่ คับแคบ เห็นแก่ตัว
อย่าทำลายความกตัญญู้รู้คุณด้วยผลประโยชน์เมื่อได้สมหวังแล้วผลักใส
เพราะเท่ากับเรากำลังสร้างกรงขังใจมาทำลายตนเองให้พินาศสิ้น
จงสละอารมณ์ในสิ่งที่เข้าไปยึดแม้วัตตุและแม้แต่อารมณ์เพื่อพบกับคำว่าสันติแห่งความสงบอย่างบริสุทธิ์ที่แท้จริง -
กฏแห่งความบริสุทธิ์ผ่องใส
นับตั้งแต่พุทธกาลเป็นต้นมา แสงแห่งพระพุทธธรรมได้สาดส่องไปทั่วผืนพิภพ
กระจายเจิดจรัสไปในท่ามกลางหมู่บัณฑิตที่มีปัญญาพวกท่านต่างก็เดินหนีหน้าออกไปจากโลกสมมุติที่มีแต่ทุกข์
ท่ามกลางสงครามแห่งการต่อสู้ดิ้นรนในทะเลทุกข์ พวกเราเหล่าผู้มีปัญญาต่างก็ให้แสงสว่างชี้นำให้แก่่อนุชนรุ่นหลังเพื่อการหยั่งถึงเพื่อสลัดคืนจิตให้กลับไปสู่วิถีทางแห่งธรรมชาติ
ทำลายวิญญาณทั้ง๕ประหารใจ...
ท่ามกลางวิญญาณที่แสวงหาความบริสุทธิ์ หลุดพ้นไปจากขันธ์๕ที่ครอบงำเพราะอวิชชาความไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงเกิดศึกสงครามแห่งการต่อสู้ดิ้นรนที่จะหนีออกไปจากภพเพื่อไร้ภพ...
บัณฑิตทั้งหลายต่างต่อสู้สงครามภายในแห่งตนด้วยขันติ ด้วยการสร้างคุณธรรมให้งอกงามขึ้นมาเพื่อเป็นกองกำลังเอาไว้ปราบมารแห่งกิเลสที่แฝงอยู่ภายในใจ
กฎแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นไทจึงต้องอาศัยตนเป็นที่พึ่งแห่งตนและอาศัยกัลยาณมิตรที่ดีที่มีความรู้ช่วยชี้ทางส่องสว่างให้ปรากฏโดยมีพระพุทธองค์เป็นครูในเบื้องต้น
วิญญาณแห่งปวงเทพเทวาทั้งหลายที่มีจิตอนุเคราะหฺ มีเมตตาคุณธรรมที่สูงมักจะมาคอยดลจิตดลใจให้ผู้ที่มีปัญญา คุณธรรมที่เสมอท่าน ต่างก็เข้ามาคอยช่วยเหลืออุปถัมภ์ชี้นำพาในการเข้าถึงพระธรรมอันบริสุทธิ์
ไม่มีเหตุแห่งการบังเอิญ ในการเปิดหนังสือแล้วพบปัญหาที่ไม่เข้าใจแล้วคลี่คลาย การพบเจอครูที่ถูกจริต การพบกัลยาณมิตรที่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นวิบากที่ดีแล้วได้รับการสนับสนุน เอื้อเฟื้อต่อเหล่าวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์อาศัยวิบากที่ดีของเราชี้นำให้เข้าหาด้วยเพราะอธิษฐานและบารมีที่สะสมมานับอเนกชาติไม่ถ้วน
เมื่อพวกเราก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ก้าวเข้าสู่สันติภายใน เข้าถึงธรรมแห่งพระพุทธองค์ พวกเราจะได้รับการตอบรับจากจิตวิญญาณทั่วไปที่มีอำนาจมาก มีคุณธรรมมาก เข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูล ให้เกิดความไม่ท้อแท้ ต่อสู้อุปสรรคต่างๆ
ซึ้งถ้าเราพบเห็นจิตวิญญาณของพวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นต่างก็คือ ครูอาจารย์ เพื่อนที่ปฎิบัติ์ธรรม กัลยาณมิตร ที่ต่างก็เดินมาเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์พร้อมๆกันทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าบางท่านอาจจะเป็นวิญญาณที่สถิตย์อาศัยอยู่อีกที่แห่งหนึ่งก็เท่านั้น
และวันใดก็ตามเมื่อเราต้องถึงกาลเวลาแห่งการจุติและไปปฏิสนธิในภพภูมิใดๆ
เราก็จะระลึกได้ว่า..
บุคคลคนนี้ เคยค้ำจุน เคยเอื้อเฟื้อ ในสิ่งที่เป็นความผ่องใส ความบริสูทธิ์ เราก็จะมาตอบแทนพระคุณและคอยชี้นำเมื่อพวกเค้าเหล่านั้นมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วเราไปเป็นเทพนางฟ้าต่างก็เดินจับมือกัน ตักเตือน ติเตียน เพื่อไม่ให้หลงไปในทางที่ลงต่ำให้เสียภพเสียชาติอย่างยาวนาน
เมื่อเราก้าวเข้ามาเส้นทางแห่งสันติ เราจึงมีเพื่อน มีครู ที่มีตัวตนและมองไม่เห็น คอยช่วยเหลือเกื้อกูลชี้นำจนกว่าการเดินทางจะสิ้นสุดลง สลัดคืนจิตให้กับธรรมชาติก้าวเข้าสู่สันติสุขตราบจนชั่วกาลปวสานต์ -
ตอบผึ้ง
ภาวะแห่งคนสองโลก...
จะอยู่ตรงช่วงภวังค์จิตนะแหละ ช่วงที่ป่วยมากๆ จิตมีโอกาสที่จะเคลื่อนออกเพื่อหาภพใหม่เพราะสภาพกายมหาภูตรูปมันแปรปลวนมาก เค้าเหมือนจะรู้ว่ากายนี้อยู่ต่อไม่ไหวก็พยายามแสวงหาภพ แต่ปรากฏว่าเมื่อเหลื่อมล้ำออกไป สายใยแห่งตัณหา
อันเป็นตัวผูกติดองค์รักษาภพเอาไว้ยังมีอำนาจของเศษกรรมอยู่ในกายวิบากเดิมจึงทำให้ผึ้งถูกแรงดึงดูดหน่วงนำเข้ามาที่กายเดิม แต่การที่กายละเอียดออกไปให้ทำเช่นนี้ดีแล้วคือการตัดสิ่งข้างหลังโดยไม่ต้องห่วงพะวง
จิตจะไม่ถูกอบาย๔ครอบงำ
หลวงปู่ดูลย์สอนการตายว่าให้ทำจิตเป็นหนึ่งแล้วหยุดเพ่งปล่อยวางทุกสิ่ง นี่แหละชอบแล้วผึ้ง
ส่วนการได้ยินเสียงเห็นรัศมีหรือพลังงานในรูปแบบคุณธรรมของเทวาต่างๆนั้นท่านคงจะมารับรู้และให้ผึ้งกลับมาต่อสู้อีกครั้งโดยอาศับบารมีท่านมาเกื้อกูลเรา
ไม่สบายหายยังเอ่ย...แล้วที่มึนๆ เบลอๆดีขึ้นแล้วนะ
คิดถึงน้องเสมอ
พี่อ้องครับ -
ปลุกเทพเจ้าในกายเราให้ตื่น
ขึ้นชื่อว่าภพแล้วล้วนมีเชื้ออยู่ภายในที่เราสะสมมานับไม่ถ้วน
คุณธรรมภายในเราได้ใช้หมุนเวียนสลับเปลี่ยนมานับครั้งไม่ถ้วน
การพัฒนายกระดับจิตของตนเองเพื่อก้าวข้ามขึ้นไปในจิตวิญญาณที่สูงล้ำ
เป็นเรื่องที่ทำได้ลำบาก
แต่ขอเพียงแค่รู้...
เราจะปลุกวิญญาณในคุณธรรมเพื่อยกระดับความเป็นเทพเจ้าให้ยิ่งใหญ่ให้ตื่นขึ้นมาทั้งหลังจากมีชีวิตและสิ้นอายุขัยไปแ้ล้ว
เทพเ้จ้าแห่งพรหมชั้นสูง...
ในสมัยที่เสวยปิติ สุขแห่งความละเอียดอยู่ในชั้นแห่งพรหม ได้เกิดความต้องการที่จะเลื่อนภพให้สูงขึ้นเพื่อนำมาสู่การพัฒนาจิตวิญญาณแห่งตนด้วยคุณธรรมแห่งพรหมวิหารให้ก้าวข้ามไปสู่ภูมิที่ละเอียดปราณีตและเป็นเทพเจ้าที่มีความยิ่งใหญ่เป็นที่พึ่งปรารถนาแห่งเทพนางฟ้าทั้งปวง
เพื่อเป็นประโยชน์ในการบำเพ็ญเพียร บารมี ในอนาคตกาลข้างหน้า
พระพรหมบางท่านจึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานบารมีเพื่อพัฒนายกระดับคุณธรรมแห่งพรหมวิหารให้ก้าวข้ามไปสู่จิตวิญญาณที่สูงขึ้นไป
เมื่อจะยกระดับคุณธรรมก็ต้องต่อสู้และถูกเคี่ยวเข็ญด้วยคุณธรรม...
บุคคลบางคนได้เกิดมาในภพแห่งมนุษย์เกิดมาท่ามกลางแห่งการถูกเคี่ยวเข็ญด้วยคุณธรรมต้องต่อสู้ด้วยพรหมวิหารธรรมตลอดเวลามีขันติธรรมและถูกสภาพแวดล้อมบีบบังคับให้แทบทำไม่ได้
ด้วยความหนักแน่นด้วยความมั่นคงบุคคลที่เกิดมาเพื่อยกระดับวิญญาณเหล่านี้จะมีอุปนิสัยคุณธรรมฝังลึกเข้ามาในจิตอยู่เสมอ ในช่วงแห่งวิกฤตแห่งการถูกบีบคั้น ถ้าภพนี้เค้าปลุกกายแห่งเทพเจ้าของเค้าให้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกในสามัญสำนึกว่า...
เกิดมาเพื่อยกระดับวิญญาณ...
จะเกิดการต่อสู้เรียกว่ายิบตากับคุณธรรมภายใน
ความรักแห่งพรหม...
ผู้หญิงคนนี้เลี้ยงดูลูกพิการตั้งแต่เด็กใครบอกเอาไปทิ้งเสียเธอก็ไม่ยอมเธอกระเตงลูกหนีภัยสงครามในดินแดนที่ทุรกันดาลหอบลูกเลี้ยงดูตลอดระยะเวลาหลายสิบปีจนเธอก้าวเข้าสู่วัยชรา
ความรักของแม่ที่ยิ่งใหญ่...
เธอต้องต่อสู้กับชะตากรรมที่บีบรัด อดมื้อกินมื้อเพื่อมาเลี้ยงดูลูกของเธอ ทั้งชีวิตต้องโอบอุ้มค้ำจุนลูกของเธอ เธอต้องต่อสู้กับคุณธรรมภายในอย่างสาหัส
ในยามที่เธอล้มป่วย เธอก็ต้องลุกมาหาอะไรให้ลูกเธอกิน เธอยอมที่อดมื้อกินมื้อเพื่อให้ลูกที่ทุกข์ทรมานแห่งกายมีความสุขมากกว่าเธอ
จิตที่เต็มไปด้วยพรหมวิหารถูกบีบคั้นจากสิ่งแวดล้อมการดำเนินชีวิตสุขภาพและชะตากรรมของลูกแต่ท้ายที่สุดในระยะเวลาหลายสิบปีคุณธรรมภายในก็งอกงามขึ้นเป็นลำดับ
เธอได้ปลุกเทพเจ้าภายในแห่งกายของเธอให้ตื่นขึ้น เธอสร้างพรหมวิหารแห่งใจได้งอกงามอย่างน่ายินดี เธอไม่ละอาย ไม่เสียใจอีกต่อไป และเธอก็ไม่ได้ว่าลูกเธอที่เกิดมาที่พิการ
ชีวิตเธอให้ลูกเมื่อลูกทุกข์เธอจะทิ้งได้อย่างไร...
ตลอดเวลาที่ได้มีลูกคนนี้ จิตวิิญญาณได้ยื่นขยายตัวเองตลอดเวลาด้วยใจแห่งพรหม เธอกำลังกระโดดข้ามเข้าไปสู่ดินแดนที่เหมือนอมตะเป็นเวลานานแสน
นาน นั่นก็เพราะเธอได้ยกวิถีจิตแห่งพรหมวิหารตลอดระยะเวลาที่ต่อสู้ในการเลี้ยงบุตรที่พิการ ไปที่ไหนก็มีแต่คนรังเกียจดูแคลน
โปรดอย่าดูรูปภายนอกแต่ภายในของเธอ เทพเจ้าที่หลับไหลได้ถูกปลุกให้ตื่นมาหลายสิบปีแล้ว
ลูกที่กตัญญูรู้คุณ เลี้ยงดูบิดารมารดา บางคนก็สู้ยิบตา อ้องมีน้องคนหนึ่งชื่อ อึ่ง
ไม่รู้จักกันมาก่อนเธออยู่ที่เว็บบุดเพจ เธอต้องโชคชะตากรรมที่เลวร้าย
พ่อทิ้งไปตั้งแต่เด็ก แม่รังเกียจเธอ พี่น้องไม่เอาเธอ แต่เธอด้วยใจรักเมื่อเติบโตได้ทดแทนพระคุณแม่อย่างไม่น่าเชื่อ...
อึ่งมีลูกที่น่ารักสองคน...
สามีข้าราชการเธอทำงานรายวันทั้งสองคนชีวิตก็น่าจะพออยู่พอเพียงแต่วันหนึ่ง แม่ที่ไม่รักเธอเลย แม่ที่ไม่ต้องการให้เธอเลี้ยงดูเพราะเมื่อมีลูกคนนี้สามีจึงทิ้งเธอไป
แม่อึ้งต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองและท้ายสุดคืออัมพาตตลอดชีวิตลูกชายลูกคนอื่นๆที่เธอหวังดูแลหนีหายเธอไปหมดสิ้นเหลือเพียงอึ่งที่อุ้มชูมารดาของตน
ลำพังเงินทองต่อเดือนก็อัตคัตพอสมควรไหนจะลูกสองคนในวัยกินวัยเรียน
เธอกำลังก้าวเข้าสู่การปลุกเทพเจ้าภายในให้ตื่นถ้าเธอสู้ผ่านไปได้...
รอบข้างกายมีแต่คนรังเกียจในความจน พี่น้องไม่เหลียวแลแม่ และเธอถึงต้องขนาดลาออกจากงานเนื่องจากแม่เกิดมีแผลกดทับต้องพลิกตัวทุกๆสองชั่วโมง
เธอสอนลูกทั้งสองให้มีคุณธรรมให้อดทนอดขนมเพื่อยาย และให้ลูกมาคอยบีบนวดยายที่ไม่เคยรักเธอรักหลานมาเลย
ครอบครัวเข้าขั้นวิกฤตตามมาเรื่อยๆ
(เดี๋ยวมาต่อครับ พี่นีน่า ไม่รู้เจ้าอึ่งเป็นไงเน๊อะ) -
อึ่งได้ต่อสู้กับสภาพร่างกายของแม่แทบไม่ได้หลับได้นอน ต้องพลิกตะแคงตัวและอาบน้ำเช็ดตัวอุ้มไปชำระล้างสิ่งต่างๆ แผลกดทับทวีมากขึ้นจนเธอเริ่มหดหู่และ
เศ้ราหมองเนื่องจากไม่มีเงินซื้อเตียงยางสำหรับผู้ป่วยแผลกดทับ
ที่สำคัญการไปเบิกยาที่โรงพยาบาลทั้งสำลีและยาทาแผลก็ได้มาพอใช้ประทังไปวันๆ บ้านที่จนอยู่แล้วยิ่งแย่ลงไป จนเธอต้องหาที่พึ่งทางใจคือเว็บทางธรรม
เธอต้องการความช่วยเหลือ...
แต่ไม่ได้ต้องการเงินเพียงต้องการคำแนะนำในทางจิตใจก็เพียงนั้น
สิ่งที่ตามเธอมาติดๆคือการกู้ยืมเงินมารักษาแม่ กู้ยืมเงินมาซื้อเตียงลม และที่แพงที่สุดคือนมสำหรับผู้ป่วยที่เข้าขั้นแพงอย่างหน้ามืด
ทุกสิ่งประเดประดังเข้ามาจนเธอเริ่มท้อแท้ในการต่อสู้เกือบสองปีแล้วที่เธอกัดฟัน ทำทุกอย่างเพื่อแม่ของเธอ ในขณะที่แม่ของเธอก็เริ่มมีอาการที่แย่ลงไปเรื่อยๆต้องเทียวไปโรงพยาบาลอยู่หลายครั้งจนเป็นที่รู้จักดีของหมอและนางพยาบาล
ความกตัญญูของเธอเป็นที่น่าซาบซึ้งยิ่งนัก เธอเริ่มเป็นที่รักของหมอและนางพยาบาลคอยช่วยเหลือเธอมากขึ้น แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอต่อการซื้อเครื่องดูดเสมหะที่ตามมาอีกต่อเนื่อง
ทุกๆวินาที ทุกๆนาที ทุกๆวัน เธอต้องสู้กับคุณธรรมภายในอย่างสาหัส เพราะลูกที่ตาใสๆตัวน้อยๆได้รับความลำบากตามไปด้วยแต่เด็กก็ถูกแม่สอนให้อดทน
ต่อสู้พร้อมกับแม่อย่างน่าสรรเสริญไม่ปลิปากบ่นและคอยดูแลยายเป็นอย่างดี
เธอร้องไห้สงสารลูก สงสารแม่ สงสารสามีที่ต้องแบกภาระค่าใช้จ่าย ในขณะที่เธอก็ไปทำงานนอกบ้านไม่ได้เลยตลอดระยะเวลาที่เธอต่อสู้พวกเราได้เข้าไปร่วมช่วยเหลือเธอในบางอย่าง ในฐานะพี่น้องที่ดีแก่กัน
จนในที่สุดแม่เธอก็ได้จากไปอย่างสงบ
สิ่งที่อ้องจะบอกคืออึ่งได้สร้างบารมีทางพรหมวิหาร ขันติธรรม คุณธรรมภายในได้งอกงามด้วยความกตัญญู ตลอดระยะเวลาแม้จะผ่านไปสองปีกว่าแต่จิตที่เกิดดับถี่ยิบตลอดระยะเวลาที่ได้สร้างภพนั้นเธอมีคุณธรรมที่แนบกับจิตตลอดเวลา
เทพในกายเธอได้ถูกปลุกขึ้นมา เธอรู้แล้วว่าเธอเกิดมาเพื่อสร้างบารมีแห่งพรหม... -
ความกตัญญูรู้คุณ
นี่คือรูปของแม่อึ่ง ลูกๆที่แม่เกียจ ไม่รัก ไม่เลี้ยงดู ด่า สาบแช่ง
จงดูอึ่งเป็นตัวอย่าง...
อึ่งได้ส่งแม่ขึ้นฟ้าไปแล้วด้วยการให้อภัยและตอบแทนพระคุณแม่ที่ให้กำเนิดมา
แม่อึ่งในท่านอนต้องพลิกตะแคงตัวทุกๆสองชั่วโมง
อุ้มแม่ไปนั่ง
ผ่าตัดสมองแม่...
อ้องอยากให้เพื่อนๆอนุโมทนาเพื่อยังจิตในความกตัญญูเช่นนี้แล้วย้อนทวนคุณธรรมภายในเพื่อสร้างจิตสำนึกแห่งการพัฒนาจิตวิญญาณของตนในอนาคตที่เราอาจจะต้องเผชิญกับความจริงที่ท้าทาย
เราอาจต้องเลี้ยงบิดามารดาที่เจ็บไข้แถมกับการต่อสู้ดิ้นรนในชีวิต
เราอาจจะ็ต้องเลี้ยงลูกที่พิการด้วยขันติธรรม ด้วยใจแห่งพรหมวิหาร
เราต้องเกิดกันอีกมาก วันใดที่เราอธิษฐานจิตเพื่อข้ามขั้นไปสู่คุณธรรมที่ปราณีีตมากขึ้น
เราจะได้รับการช่วยเหลือค่ำจุนและเป็นแรงชี้นำให้สร้างคุณธรรมได้สำเร็จด้วยวิบากแห่งการอนุโมทนาที่ดีเช่นกัน
ใครรักแม่ รักพ่อมากๆ ใครรักลูกมากๆ ขอให้สำรวจคุณธรรมภายใน ทำให้มากขึ้น ทำให้ดีที่สุด เพื่อความเป็นมงคลแห่งชีวิตตนเองครับ -
คุณอึ่งผู้อารี
น่าประหลาดใจจริงๆค่ะ ที่มาพบเรื่องของคุณอึ่งที่นี่วันนี้
พี่นีน่ารู้มาว่า คุณอึ่งไม่คอยว่างเพราะมีงานเฝ้าคนไข้ที่โรงพยาบาล
จากที่คุณแตงกวาเล่าไว้ในกระทู้คุณพริมที่ลานธรรม
เมื่ิอวานเข้าไปก็พบคุณอึ่งแวะทักทายในกระทู้ หลังจากที่หายไปนาน
พอดีมีคนไข้เด็กที่พิการทางสมองของพี่ กำลังต้องหาซื้อเครื่องดูดเสมหะ
พี่ก็จำไม่ได้แล้วว่าเธอยกให้ใครรึยัง ประกอบกับเคยบอกพ่อแม่เด็กว่า
จะลองติดต่อหาซื้อเครื่องมือสองที่ยังดีให้ จึงไปโพสทิ้งไว้
ปรากฎว่าเธอได้รีบตอบมาว่า เธอต้องการซื้อเครื่องใหม่มาให้ โดยผ่าน
คุณวรรณ พี่ตกใจมากรีบติดต่อเธอว่าไม่ได้ต้องการแบบนี้ แค่จะช่วย
ผ่อนภาระพ่อแม่เด็ก และเขาเองยังพอจะพึ่งตัวเองได้ระดับหนึ่ง
เธอกลับตอบมาว่า เป็นความต้องการของเธอที่อยากช่วยมาก และเป็นเงิน
ของคุณแม่เธอ
" ขอให้หนูได้ช่วยเถอะนะคะ "
"แต่มันจะเป็นการเบียดเบียนตัวหนูเองมั้ยคะ " เฮ้อ รู้สึกใจคอไม่สบาย
"แต่หนูตั้งใจจะไปโอนเงินให้พี่วรรณ วันจันทร์นี้แล้วค่ะ ตอนนี้หนูก็มี
งานทำแล้ว ให้หนูได้ช่วยเถอะนะคะ " เธอกลับไปทำงานที่เดิมค่ะ
คุณอ้องคะ พี่เองตื้นตันใจเธอมาก กับน้ำใจที่เธอตั้งใจให้ความช่วยเหลือ
คนที่ไม่เคยรู้จัก พี่ว่าที่ผ่านมาได้อนุเคราะห์ครอบครัวนี้มาบ้าง
ก็ไม่เท่ากับที่น้องเขาตั้งใจครั้งนี้เลย
เธอช่างมีจิตใจเปี่ยมความเมตตาเหลือเกินค่ะ พี่เองก็แทบพูดไม่ออกเลย
-
แสงสว่างแห่งรุ่งอรุณ
ความชั่วร้ายที่มุ่งตรงเข้ามาหาคนที่มีคุณธรรมเปรียบดั่งความมืดที่จะมาเยือนแสงสว่างที่ลาลับไป
มีบุคคลไม่น้อยที่ต่อสู้ขันติธรรมภายในไม่ได้ ต่างก็พ่ายแพ้ใจของตนเองตกอยู่ภายใต้กระแสธาราแห่งกิเลสที่มืดบอด
คนที่คิดว่าไหนๆก็ทำชั่วแล้วก็ทำซะให้ถึงที่สุดนั่นก็คือทำลายตนไปในภพหล้าจนแสนนาน
แต่มีบุคคลบางคนที่เอาคุณธรรมต่อสู้อิทธิพลอันชั่วร้ายทั้งกามคุณ๕ กิเลสภัยต่างๆเพราะเกิดสติยั้งคิดว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร...
บุคคลที่ศึกษาชีวิต ปรัญญา ศาสนา ได้เกิดสามัญสำนึกถึงสัจธรรมแท้ปรากฏเกิดขึ้นอันเป็นมงคลธรรมแห่งชีวิต ยิ่งอิทธพลแห่งความชั่วร้ายยื่นขยับขยายเข้ามามากเท่าไหร่แต่การต่อสู้คุณธรรมภายในยิ่งขยับขยายเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
บุคคลที่อยู่ท่ามกลางความตึงเครียด ความเลวร้าย ตกอยู่ภายใต้กการกดดันต่อสภาพแวดล้อมที่กีดขวางคุณธรรม จะเกิดจุดศูนย์กลางแห่งความสำนึกแผ่ขยายออกไปเผื่อแผ่ต่อบุคคลรอบข้างเหมือนดั่ง
ดวงอาทิตย์ยามเช้าที่อบอุ่นร่มเย็น...
แสงสว่างแห่งรุ่งอรุณ เกิดมาจากการต่อสูู้ในความมืดมิด เข้าใจในสิ่งเลวร้ายและผ่านพ้นวิกฤตที่เผชิญมา เมื่อผ่านพ้นย่อมมีประสพการณ์และชี้ทางสว่างให้แก่หมู่มิตรเพื่อก้าวข้ามความมืดบอดออกมาสู่ความสว่างที่สดใส
ไม่มีใครดีมาก่อน ทุกๆคนล้วนพัฒนาตนเอง สะสมคุณธรรม สร้างตนเองด้วยจิตสำนึกที่สดใส ดังนั้นอ้องจึงขอให้เพื่อนๆพังกำแพงแห่งใจ โซ่ตรวนที่ผูกตรึง
คุกมืดที่ขังพวกเรา ก้าวข้ามเข้ามาสู่อิสรภาพเพื่อตื่นมาชมแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณ
สำหรับเพื่อนๆที่ยอมแพ้ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมเท่ากับสร้างความหดหู่มาห่อหุ้มจิตตน การกระทำเช่นนี้จะทำให้การพัฒนากายและจิตหยุดสะดุดลงไปหลายภพหลายชาติและวิบากที่ไม่ดีจะส่งผลให้รับความทุกข์กายทุกข์ใจไปนานจนน่าใจหาย
ขอเพื่อนๆอย่าได้ทำลายโอกาสอันดีที่ได้พบพระศาสนา ได้เข้าใจในพระธรรมอันบริสุทธิ์ โอกาสอันที่พึงจะได้ โอกาสที่จะพึงพบ โอกาสที่จะเข้าถึง โอกาสที่จะพบสันติมีเพียงข่วงระยะเวลาที่กระชับสั้นจริงๆ
ดังนั้นอ้องจึงขอให้เพื่อนๆอบรมพัฒนาตนเองก้าวข้ามเข้าสู่เส้นทางแห่งการพ้นไปจากทะเลทุกข์เสียเถิด... -
แปลกๆดีพี่นีน่าวันนี้อ้องอดคิดถึงเจ้าอึ่งไม่ได้นะครับ
ส่วนวรรณอ้องก็ยังไม่ได้คุยกับวรรณเลยหลายวันแล้ว
อึ่งเค้ามีจิตอนุเคราะห์ที่ดี มีความกตัญญูรู้คุณคนมากพอชม
อ้องเองก็ยังต้องเลี่ยงๆน้องคนนี้อยู่เพราะเธอจะชอบส่งของกินมาให้อ้อง
แหะๆ..กาละแมอร่อยฮิๆ
พี่นีน่าก็ทำให้อึ่งมาเส้นทางธรรมด้วยและทำให้เพื่อนๆร่วมกัยยกระดับคุณธรรมภายในของเจ้าอึ่งให้ถึงพร้อมด้วยการเข้าไปช่วยกันจนอึ่งส่งแม่เค้าจนสิ้นลมไปต่อหน้า
เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมทั้งผู้ให้และผู้รับ คุณพริมก็น่ารักดีเป็นเพื่อนทางธรรมที่ดีต่อกันกับอึ่งเป็นอย่างดี นี่ก็เพราะร่วมบุญร่วมกุศลกันมานานจึงมาอุปถัมภ์ค้ำจุนกันต่อ
เป็นเรื่องที่น่ายินดีและปิติสุขเสมอที่ได้คิดถึง
จริงไม๊ครับพี่นีน่า -
แสวงหาสัจจะธรรมขั้นสูงสุด
จิตวิญญาณ...
บุคคล...
ที่พัฒนาตนก้าวเข้ามาสู่การแสวงหาสัจจะธรรมขั้นสูงสุดนั้นเป็นบุคคลที่ตั้งมั่นอยู่ในอุดมคติที่ฝังรากลึกอยู่ภายในอย่างเหนียวแน่น
เป็นบุคคลที่ตั้งความปรารถนาเหนืออามิสโลกเป็นผู้ที่เกิดมามีความแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ทั้งความสมดุลย์ทางศรัทธาและปัญญา ความเพียรและสมาธิ
ต่างก็เกิดความสมดุลย์เป็นกลางไม่มากกว่ากันอย่างน่าแปลกใจที่ฝึกอบรมมาอย่างยาวนาน
บุคคลที่เกิดมาเพื่อพบสันติ เพื่อทำลายภพ บุคคลที่เกิดมาพร้อมกับคุณธรรมภายในที่ยิ่งใหญ่รอวันประทุจุดระเบิดแหวกอาสวะทำลายกิเลสที่หมักดองในสันดานให้ขาดสิ้น
เกิดมาเพื่อทำลายสังโยชน์ให้สิ้นเข้าสู่ความเป็นกลางเป็นหนึ่ง
บุคคลเหล่านี้แม้วัยเด็กก็จะฉายแววแห่งคุณธรรมภายในโดยปรากฏรัศมีคุณธรรมที่ฉายส่องออกมาอย่างเลื่อมรัศมีดั่งดวงดาวบนท้องฟ้าที่ระยิบระยับท่ามกลางราตรี
จนครูอาจารย์ที่มีจักษุทิพย์อดที่จะตื่นเต้นที่จะได้ค้ำ้จุนศิษย์ที่จะได้เป็นครูเอกในอนาคต ความเลื่อมใสในทางพระศาสนาแสดงถึงแสงสว่างสีน้ำเงิน
ปัญญาที่สะสมแสดงถึงความสว่างประะกายทองระยิบระยับ
สติปััญญาการเลื่อนระดับเข้าสู่ความปราณีตมากจนอาจทำให้เด็กคนหนึ่งสามารถบรรลุธรรมได้เพียงธรรมไม่กี่บท
สสารวัตถุที่ปราณีตละเอียด อณูและปรณูที่ส่องประกายเรืองแสง กายรัศมีแห่งคุณธรรมที่ฉายส่องไหวระริกดั่งดวงดาวประกายพรึกแม้แต่เส้นผม กายเนื้อ โพลงกระดูกต่างก็ถูกคุณธรรมอาบแสงอยู่ตลอดเวลา
บารมีทางธรรมแต่ละบุคคลแต่ละครูอาจารย์สะสมมานับภพไม่ถ้วนต่างก็ส่องประกายออกมาจนครูอาจารย์ที่ได้พบอดที่จะพยากรณ์ลูกศิษย์แห่งตนว่า
"ภพนี้คือชาติสุดท้าย ขอให้เพียรพยายามจะพบสันติในไม่ช้าอย่างแน่นอน"
การเดินทางมาอย่างยาวนานเข้ามาสุดจุดแตกหักการทำลายภพแล้ว
การพัฒนาจิตวิญญาณพัฒนาสติสมาธิปัญญาก้าวข้ามาสู่เส้นทางแห่งการสลัดคืนแล้ว
จิตได้เริ่มบีบหดตัวเข้ามาสู่กายและจิตไม่ยื่นขยายขอบเขตไปในโลกหล้าที่เป็นแต่เงามายา จิตได้เริ่มย้อนทวนกระแสก้าวข้ามเข้าสู่ไร้การสั่นสะเทือนที่แม้แต่ดวงตาแห่งเทพเจ้าก็จะไม่มีทางได้เห็น เพราะไร้การสั่นสะเทือนจนหายไปปราศจากล่องลอยให้สืบค้นแม้พยายมราชก็ไม่มีวันได้พบเจอท่านได้อีก
ความงามที่สุกปลั่ง เลื่อมรัศมีแพรวพลาย คุณธรรมที่สะสมมามากมาย
ที่เหมือนดั่ั่งจุดระเบิดพวยพุ่งไปในภพหล้าจนเจิดจรัสทุกน่านฟ้า
ทั้งอ่อนหวาน ทั้งอบอุ่น ทั้งน่าเคารพ ทั้งน่าศรัทธา ปิติสุขได้เกิดขึ้นแม้เพียงเสี้ยวแห่งการได้เห็น
ณ วันหนึ่งที่ครูท่านนี้สิ้นบุญลง แม้แต่ปวงเทพเจ้าชั้นฟ้าจะหาท่านไม่พบเจอชั่วนิจนิรันดร์
พวกเรารออะไรกันอยู่... -
อนุโมทนา ครับคุณอ้องที่ได้นำเรื่องคุณอึ่งมานำเสนอ มีประโยชน์กับผมมากเลยครับ
หน้า 34 ของ 65