ชั้นล่างด้านในขวาสุด มี ตู้แสดง เครื่องมีด
เป็นชุดเครื่องมีด หมอ /มีด อาคม
อย่างของ หลวงพ่อ เดิม วัดหนองโพพธิ
ที่ ถือว่า สุดยอดแห่งยุทธจักร แห่ง มีดหมอ
......................................................
ของคงจะวางอยู่ในตู้มานานมากแล้ว..จนสนิมเขรือะ
เสียดายแทน..ถ้ามีผู้รู้ เอาน้ำมัน หรือ จาระบีแห้ง มาทาเคลือบไว้
ของดีดี เช่นนี้ จะอยู่ได้ นาน
................................................................
มีพวกเราสามคนเดินดู ชั้นล่าง..ไม่คิด จะขึ้นไปดู ชั้นบน
มีสอง คนใจกล้า คือ จิรศักดิ์ และ วิษณุ ขึ้นไป
เราก็ คุย สนทนากับ พระ ผู้ดูแล พิพิธภัณฑ์..รอเวลา
.................................................................
สัก 10 นาที สองคนก็ ค่อยๆๆ ทะยอย เดินลงบันไดมา
หน้า ตา..ไม่ค่อยดี..แสดงว่า ข้างบนต้องมีอะไร
เอาไว้ซักถามในรถตอนขากลับก็ได้
เราก็ ลาพระผู้ดูแล..ขับรถออกมา เพื่อเดินทางกลับ กทม
.............................................................
(มีต่อ อีก สองตอน)
เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์
ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย The Third Eyes, 12 พฤศจิกายน 2008.
หน้า 71 ของ 299
-
-
ค้าง อย่างแรง --
________________________
ดอกที่ 1 ซ่าๆ
ดอกที่ 2 โล่งมากกกกกกกกกกกกก แต่ลึกๆ มันบอกว่า น้ำมันจะหมดกลางทาง -*-
ดอกที่ 3 แปลกๆ ยังไม่ไม่รู้ค่ะ
ปล. อนุโมทนาสาธุ ค่ะ ^^ -
นี่คือดอกบัวสวรรค์ที่อาจารย์เล่าให้ฟังครับ -
เข้าเวปไม่ได้มาหลายวัน พอมาดูจะตอบน้องบาสก็ไม่ทันเฉลยละ เมื่อประมาณเดือนกพ.
ได้ไปสัมผัสดอกมณฑาทิพย์ ที่บูธอ.สามตา พร้อมๆ กับที่อ.เห็นครั้งแรกค่ะ อ.บอกว่ามี
นางฟ้าอยู่ด้านบน ชายผ้ายาวลงมาบนโลกมนุษย์ เมื่ออ.ให้สัมผัส..สมาธิจะนิ่งมากๆๆๆ
นางฟ้าพาไปเที่ยวป่าหิมพานต์ อ.จำได้ไหมค่ะ ต้องขอบพระคุณอ.สามตาอย่างมากค่ะที่
ให้ความรู้แปลกใหม่ เสมอมา ขอกราบขอบพระคุณคุณค่ะ -
น่าสนใจครับอาจารย์ รอฟังที่อาจารย์จะเล่าต่ออยู่ครับ ขอบคุณครับ
-
บรรยากาศวันทัวร์วัดภาคต่อครับ
เสาภายในเป็นการแกะสลักวัฒนะธรรมแต่ละประเทศไม่ซ้ำกันครับฝีมือคนไทย
ไม่แพ้ชาติใดในโลกครับ
ราวละเบียงแกะเป็นป่าหิมพาณได้สวนงามครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์
ตามคติพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน อันเป็นองค์ประธาน ๓ พระองค์ อันได้แก่
๑. พระศรีศากยมุนี พระศากยมุนีพุทธเจ้า คือพระสมณโคดมพุทธเจ้า องค์เดียวกับที่ศาสนิกชนชาวไทยทั้งหลายเคารพกราบไหว้บูชา มีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ หรือ สิทธารถะ ประสูติในสกุลกษัตริย์พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระราชบิดา และพระนางสิริมหามายาเป็นพระราชมารดา ประสูติที่สวนลุมพินี ในระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองเทวทหะ ติดต่อกัน เมื่อพุทธศก๘๐ ปี ( ก่อนคริสต์ศักราช ๕๔๓ ปี ) ครั้นประสูติได้ ๗ วันพระมารดาสิ้นพระชนม์ ได้พระเจ้าน้านางประชาบดีเป็นพระมารดาเลี้ยง ต่อมาได้ทรงศึกษาเล่าเรียนในศิลปะวิทยาการจากสำนักต่างๆจนจบ และได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือ ยโสธรา เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา มีพระโอรสองค์หนึ่ง ชื่อ ราหุล
ด้วยความเห็นว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ จึงตัดสินพระทัย ออกผนวช เมื่อพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างหนัก ก็ไม่บรรลุธรรมอันใด สุดท้ายทรงดำเนินมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง และสำเร็จธรรมชั้นสูงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่สุดทรงตรัสรู้ ความจริงอันประเสริฐ ซึ่งเรียกว่า อริยสัจสี่คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค หลังจากนั้นได้ทรงบำเพ็ญพุทธกิจตลอด ๔๕ พรรษา ตราบสิ้นพระชนมายุขัย ๘๐ พรรษา ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ละเว้นความชั่ว กระทำแต่ความดี และชำระจิตใจ ของตนให้ผ่องใส คำสอนของพระองค์งดงาม ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดเหมาะแก่กาลสมัย
๒. พระอมิตาภพุทธเจ้า ชาวจีนออกพระนามโดยทับศัพท์ว่า อามีท้อ พระนามเต็มของพระองค์มีอยู่ ๒พระนามคือ อามิตาภะ แปลว่า มีความสว่าง อันประมาณมิได้ และ อมิตายุ แปลว่า มีอายุอันประมาณมิได้
พระนามมีปรากฏอยู่ในพระสูตร มหายานหลายสูตร ที่สำคัญ “ อมิตสูตร ” พระสูตรนี้ได้บรรยายถึงความสุขสันต์รื่นรมย์ของ “ สุขาวดี ” อันเป็นพุทธเกษตรของพระองค์ท่าน ผู้ที่ไปเกิดในที่นั้นจะมีแต่สุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีการเสื่อมถอยจากการปฏิบัติธรรมจะต้องบรรลุสำเร็จเป็นพุทธเจ้าในที่สุด
การคิดจะไปเกิดที่สุขาวดีนั้นก็ไม่ยาก เพียงแต่สวดพระนามของ พระองค์ คือ สวดว่า “ นโม อมิตาพุทธ ” อย่างสม่ำเสมอ เมื่อถึงแก่กรรม พระองค์ท่านจะมารับไปเกิด ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตร
การปฏิบัติธรรมตามนัยแห่งพระสูตรนี้ ได้เกิดในนิกายสุขาวดีขึ้น ในปี พ.ศ. ๙๓๔ มีพระอาจารย์ ฮุ่ยเอี๊ยงเริ่มปฏิบัติก่อน ณ ภูเขาลู่ซาน แล้วก็แพร่หลายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว พระอาจารย์ทุกยุคส่วนมากก็สนับสนุนให้พุทธสาวกปฏิบัติตามนิกายนี้ เพราะถือว่าปฏิบัติกันได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าอาชีพใด จะมีความรู้แค่ไหน หรือไม่มีความรู้เลยก็ปฏิบัติได้
กล่าวโดยทั่วไป พระพุทธศาสนาในประเทศจีน เกือบจะเป็นนิกายสุขาวดีทั้งหมด เพราะนอกจากนิกายธรรมลักษณ์และนิกายมนตรยานแล้ว นอกนั้นส่วนมากมีการปฏิบัติตามนิกายสุขาวดีทั้งสิ้น การทำวัตรสวดมนต์เย็นก็ใช้แบบของสุขาวดี การบำเพ็ญกุศลในงานใด ๆ ส่วนมากก็เพื่อขอให้ได้ไปเกิดในแดนสุขาวดี ดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตรนี้ อยู่ทางทิศตะวันตกของโลกเรา ฉะนั้นคำว่าตะวันตกในทางพุทธศาสนาของจีนจึงหมายถึงสุขาวดีนั่นเอง คำว่า “ อมิตาพุทธ ” ใช้เป็นคำอุทานของชาวพุทธ รวมทั้งการปลงตกในกรณีเห็นผู้กระทำที่ไม่ชอบธรรมบางครั้งก็ใช้เป็นคำ อนุโมทนา
รูปปั้นของพระองค์ท่าน ส่วนมากจะทรงถือดอกบัว ซึ่งมีไว้สำหรับเป็นที่รองรับวิญญาณผู้ที่ไปเกิดในแดนสุขาวดี
๓. พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า
ชาวจีนออกพระนามพระองค์ว่า “ เอียะซือฮุก ” แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้เป็นครูแห่งยารักษาโรค พระนามเต็มของพระองค์คือ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาส
ชาวจีนออกนามพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์บ้างทับศัพท์ บ้างแปลศัพท์ ไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอน แล้วแต่พระอาจารย์ที่แปลหรือที่บรรยาย จะใช้อย่างไหนบางองค์ใช้ทับศัพท์และแปลศัพท์
พระองค์ท่านมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับพระอมิตาภพุทธเจ้า เช่น มีพุทธเกษตรของพระองค์เช่นเดียวกับสุขาวดีของพระอมิตพุทธเจ้า ชื่อว่าศุทธิไวฑูรย์ เป็นที่ที่มีความสันติสุขน่ารื่นรมย์เช่นเดียวกับสุขาวดี
การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน คือมีการสวดพระนามของพระองค์ท่านเสมอ ๆ เมื่อเวลาถึงแก่กรรม พระองค์ท่านจะมารับวิญญาณไปเกิด ณ ดินแดนพุทธเกษตร แล้วจะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก ศุทธิไวฑูรย์เกษตรนี้ อยู่ทางทิศตะวันออกของโลกเรา คือตรงข้ามกับสุขาวดีของพระอมิตาภพุทธเจ้า
เนื่องจากพระองค์ท่านมีปณิธานที่จะให้สัตว์โลกทุกรูปนามปราศจากโรคภัยไข้ เจ็บ ฉะนั้น ถ้าผู้ใดบูชานมัสการท่าน จะไม่มีโรคภัย ไข้เจ็บ ได้บูชาท่านแล้ว ก็หายเร็วขึ้น
วัดนี้อาจารย์ไม่เคยพาใครไปทัวร์แน่ครับ
กำแพงทุกด้านเป็นรูปพระแต่ไม่มีพลังเลย
อาจารย์เลยจัดให้กลายเป็นแรงมาก...ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
อันนี้วันเฉลิมพระเกรียติครับ
พระภายในโบสถ์ ดูด้วยตาที่สามจะเห็นเป็นพระศรีอริยเมตไตรย์ครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
บริเวณท่าน้ำของวัดครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ตอนที่ไปที่ วัดบรม (เล่งเนยยี่ 2)บางบัวทอง
พบว่า ที่ ชั้นบนสุด มีกำแพงพระเครื่อง โดยรอบ มากกว่า พันองค์
แต่ไม่มีพลัง..เป็นเพราะไม่มีระดับเกจิอาจารย์ มาปลุกเสก
จึงตั้งจิต อัญเชิญพลังมาให้..อัดลงไปด้วยพลังแห่งพระศรีอริยะเมตไตร
ทำให้ ห้องนั้นมีพลังแห่งพุทธคุณสูง
ผู้ที่ไป จะได้ รับพร จากพระองค์ ท่านทุกคน
เป็นพรที่ ความสุขสวัสดิ์ แก่ ผู้ ที่ประพฤติ ดี ปฏิบัติดี
........................................................ -
เรื่องเล่าก่อนอนคืนนี้ ตอนวัดไลย์ (ต่อ)
.....................................................
สองคนที่ ขึ้นไป ชั้นบนของพิพิธภัณฑ์..
คือ วิศณุ กับ จิรศักดิ์ เดินตามกันลงมา..หน้าตาไม่ค่อยดี
ตั้งใจจะถามตอนขากลับ..ขณะอยู่ในรถ
เมื่อได้ เวลา ก็ ลาพระผู้เฝ้า พิพิธภัณฑ์ กลับออกมา
.........................................................
ออกจากประตูวัด ก็เลี้ยวซ้าย เพื่อไป ชม ตลาด ท่าโขลง
ขับไปได้ แค่ระยะสั้นๆๆ..ก็จรดแม่น้ำ..ลักษณะเดียวกับที่ ปากเกร็ด
เป็นชุมชนเล็กๆๆ มีร้านค้า ประปราย..มีแผงค้า อาหารกระจาย ทางขวา
วนแค่ 10 นาทีก็ รอบเมือง..ก็เดินทางกลับ
................................................................
วิษณุ เล่า ว่า เมื่อ ขึ้นไป ที่ ชั้นบน ของพิพิธภัณฑ์
พอโผล่บันได..ก็พบว่า มีวิญญาณ มายืนรอ อยู่เต็มที่หัวบันไดข้างบน
แต่วิษณุ เป็นคนไม่กลัวผี..ก็แค่มองแล้วก็เดินผ่านไป..ผีทำอะไรไม่ได้
...........................................................................
ในบางจุด ของ วัตถุโบราณที่ แสดงไว้..มีวิญญาณ นั่งจ้องเขม็ง
ว่า จะมาทำอะไร กับ สิ่งของ ที่แสดงไว้หรือไม่
ในใจก็คิดว่า.เมื่อเราไม่ได้ ทำอะไร..แค่เดินดู..ไม่ได้ คิด ขโมย
วิญญาณที่เฝ้า คงจะไม่ทำอะไร เช่นกัน
...................................................................
ของที่แสดงไว้ที่ ชั้นบน..ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปหล่อบูชา มีหลายขนาด
ที่ มองแล้ว สังเวชใจ คือ มีร่องรอย ถูกคนไม่กลัวบาป หริอ เป็นมารศาสนา
มาลักขโมยไป..โดยตัดเป็นชิ้นส่วนที่ พอ ยกได้
บางองค์ถูกตัดที่ คอ... บางองค์ถูกตัดเป็น สามท่อน
มีร่องรอย การซ่อม โดยเชื่อมกลับไว้..เมื่อตำรวจตามเอาคืนมาได้
เห็นเป็นแนวรอยเชื่อม นูนเด่นออกมา
........................................................
บางองค์ก็จะเห็นการเชื่อมแบบโยงยึดไว้..ให้อยู่ในรูปทรงเดิม
ดูแล้วน่าสังเวชใจ..ที่ยุคนี้ผู้คนไม่กลัวบาป กลัวกรรม กันเสียจริง
.................................................................... -
คุณ จิรศักดิ์ ก็เล่า แบบน่ากลัว ในทำนองเดียวกับ วิษณุ
เพราะ ทั้งหมดที่ไปกัน เป็นกลุ่ม ของคนที่ มีตาทิพย์.จึงเห็นผี สบายๆๆ
เล่า ว่า พอโผล่ขึ้นไป ก็เจอผี..ก็กำหนดจิตบอก ว่า มาดี มาไหว้ พระ
ก็ยกมือไหว้ พระอย่างงาม..พอยกมือ ผีก็จ้อง ยกทำไม
จะมายกของขโมย..รึ..
แต่พอเห็นท่าไหว้ พระ.... ไม่ได้ จะยกขโมย..ก็รอดตัวไป
ลงมาได้ ก็ใจสั่นเอาการเหมือนกัน
.............................................................
สงสัยเบื้องบน กลัวเราจะจิตตก เรื่อง พระถูกตัด เป็นท่อนๆๆ
และเจอผี เป็น กุรุด..ยิ่งๆๆกลัวผีอยู่ด้วย..อีกสามคนที่เหลือ
คือ สามตา/วิโรจน์/จักรพล...จึงไม่ให้ ขึ้นไป
มีแค่สองคนเดนตาย..ขึ้นไป ลุยแบบ"ขุมทองแมคเคนน่า"
ก็เลยได้ เรื่อง กลับมา..ตามที่เล่าไป แล้ว
...........................................................
บรื๊อ..บรื๊อ...บรื๊อ..นะโมตัสสะ ฯฯฯ
พุทธังคุ้ม..ธรรมมังกัน สังฆังรักษา
อิติเมตตา นะโมพุทธายะ
ขอกำแพงแก้ว เจ็ดชั้น..คุ้มกันลูกด้วยเถิด
.................................................... -
ออกมา พอเลี้ยวซ้าย เข้า ถนนเอเซีย มุ่ง กทม
ก็แวะที่ ปั้มใหญ่ ปตท ที่อยู่ ข้างทาง..มีร้านสะดวกซื้อ 7-11 ด้วย
ก็จอดแวะเข้าไป..ไปเดินใน 7-11 เดินอย่างสะบาย
....................................................................
เลือก เครื่องดื่ม ตามแต่ชอบ..เราก็ใช้ วิธีเดิม
คือไป ยืนหน้า ตู้ แล้วมองด้วยจิต ถามกายทิพย์ ว่า จะกินอะไร
คราวนี้ คำตอบ มาแปลก คือ ให้ กิน "เกเตอเรด"
ต่างไป จากเดิม ที่ ถ้าไม่เป็น เอ็มสปอร์ต ก็ สปอนเซอร์
..................................................................
แปลว่า คราวนี้ ร่างกายต้องการอาหารเสริม เพิ่มขึ้น
เพราะ เกเตอเรด แพงกว่า เอ็มสปอร์ต และ สปอนเซอร์ .
มากกว่า สอง เท่า..เมื่อกายทิพย์เราอยากกินก็ ต้องยอม
เพราะ เมื่อ กายทิพย์ ดี แข็งแรง..กายหยาบเราก็ จะดี ไป ด้วย
..................................................................
นั่งพักบนที่นั่งที่ จัดไว้หน้า ร้าน หน้า 7-11
พอได้ ที่ ก็จะออก เดินทาง..ต้องไป ห้องน้ำก่อน
เดินผ่านร้านใหญ่ ร้านหนึ่ง..มองเข้าไป ข้าวของ เยอะมาก.
.................................................................
อ้อ..เป็นศูนย์รวมสินค้า "โอท๊อป" ทางแถบ ภาคกลาง
แถวนั้นใกล้ สิงห์บุรี..ของดี คือ ปลาช่อนแม่ลา ที่ โด่งดัง
ที่ดังเพราะ ปลาช่อน แถวนั้น กินลูกหอย ที่ มีเฉพาะ ในแหล่งน้ำนั้น
จึงทำให้ เนื้อ ปลาช่อน อร่อยเป็น พิเศษ กว่า ธรรมดา
...................................................................... -
จากเนื้อปลาช่อนแม่ลา มีรสชาดอร่อย ผู้คนจึงนิยมซื้อ ชนิดตากแห้ง
และต่อมาได้ พัฒนา แปลกออกไป..คือ ทำเป็นขนมเค้ก /ไอสครีมปลาช่อน
พอเราเห็นของหวาน/ ของคาวมาปนกัน..เราจะรู้สึกชอบกล
เพราะไม่แน่ใจในรสชาด..ก็เลยไม่อยากจะลอง
ใครเคยทานทั้งขนมเค้ก และไอสครีมปลาช่อนแม่ลา มาแล้ว
ลองเล่าสู่กันฟังบ้าง..เผื่ออาจะเกิด กิเลส อยากทาน บ้าง
.............................................................
พอได้เวลาจะออกรถก็จะเดินผ่านไป ห้องน้ำ ทั้งห้าคน ตามที่บอก
ด้านหน้า เขามี แถวของ อาหารแห้ง มากมาย
ที่เด่นชัดคือ ขนมโมจิ..จากกลุ่มร้านค้า ที่ มาจาก นครสวรรค์
....................................................................
เราก็ลองไล่สัมผัสดู..เป็นการฝึกดูว่า มีของใด..ใส่คุณไสยไว้
ทั้งห้า คนก็ ลองทำดู..ว่า มีจริงๆๆอยู่ยี่ห้อหนึ่ง
คือ พอเอามือเข้าไปใกล้ เหมือนจะมีพลังอะไร ที่รู้สึกได้ มาดูดที่มือเรา
ทำให้เรามึนงง อึดอัด..นี่คือ พลังคุณไสย ที่ ใส่ไว้
เพื่อบังคับให้ เราต้องมาซื้อของเขาเพียงเจ้าเดียว
เหมือน มีเบ็ดมาเกี่ยวหลังเรา..ให้ไปไหนอื่น..ไม่ได้
คนทำเป็นกรรม อย่างหนึ่ง ที่เอาวิชา มนต์ดำ มาใช้กับคน
............................................................ -
ออกรถได้ ก็เกือบ หกโมงเย็น.แต่ใกล้หน้าร้อน ความสว่างยังคงอยู่
เพราะ หน้า ร้อน กลางวันยาว กลางคืนสั้น..ตามแนวเอียงของแกนโลก
พอผ่านเข้าเขต บางปะหัน อยุธยา..ความอึดอัด เริ่มเข้ามาอีกแล้ว
แปลว่า เราทั้งหมด ที่เคยรบกับพม่า..ก็ต้อง มาเจอวิญญาณพม่า รังควาญ
เหมือนเป็นความอาฆาต...จองเวรกันไว้
.ที่ในยุคนั้นเขาตายเพราะ ฝีมือ นักรบที่เก่งๆๆๆ.. อย่างเรา
.......................................................................
จักรพล สารถี ขับรถช้าลง.อีกสักครู่ก็ ผ่านแนว กำแพงค่ายพม่า
ที่เคยมาตั้งไว้ ในคราวตีกรุงศรีอยุธยา..พม่า สร้างค่าย เป็นเนินสูง
ที่ต้องทำสูง เพราะ เวลาพม่า มาตีกรุงศรีอยุธยา
ต้องล้อมไว้ นาน 5-8 เดือน..เวลาฤดูน้ำหลาก น้ำจะท่วมสูง
พม่า ยืนแช่น้ำ..ตีนจะเปื่อย เป็น โรค "พม่าฟูต"
เพราะขณะนั้นยังไม่มีเกาะฮ่องกง จึงยังไม่มี "ฮ่องกง ฟูต"
..................................................................
พอเข้าไปใกล้แนวกำแพงค่ายพม่า.ก็ยิ่งอึดอัด
มองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัด หลังจากที่ได้ ผ่าน เมื่อ หลายเดือนก่อน ..
คือ แต่เดิม มีแค่แนวดินถมสูง ประมาณ 2 เมตร
ปรากฎว่า มีการตั้งประตู มีกรอบประตู มีบานประตู
เหมือน จะให้เป็นค่ายจริงๆๆ..ประตู นั้นมีสีแดง
................................................................
เข้าใจว่า คงจะเป็น ทางการส่งเสริม การท่องเที่ยวในแนวประวัติศาสตร์
ที่ จะให้ผู้คน ทั้งไทย และพม่า ได้ มาเที่ยว และดูเรื่องราวในอดีต
.......................................................................
จักรพล จอดรถ ตรงหน้า ประตูพอดี...อยากจะลองดุ ว่า..มันจะเป็นยังไง
นอกจากที่ กดหน้า กดตาให้เราหายใจไม่ออก ทั้ง รถ
พอจอดปั๊บ..โอ้ โฮ..แห่ กันมาเลย แน่นเอียด
ยังกะ พวกเสื้อแดง /เสื้อเหลือง เวลา มารุมล้อม
เนื่องจากปัญหาทางการเมือง ในยุค 2552
..........................................................
กวาดตา มองออกไป..เห็นชัดๆๆ วิญญาณ ทหารพม่า
น่าจะมากกว่า 700 วิญญาณ..กำลังจะรุมตึ๊บ พวกเราทั้งหมด
พวกเราก็ นั่งในรถ ไม่กล้าลงมา..อึดอัดมาก แบบที่เรียกว่า หายใจไม่ออก
.........................................................................
ทำไง ดี..ว่ะ
เอ้า!!! จำได้ ว่า เรามี ของดี จาก วัดไลย์
นั่นคือ วัตถุมงคล ที่เป็น สัญญลักษณ์ ของ องค์ พระศรีอริยะเมตไตร
ก็ อัญเชิญ พระบารมีของ พระองค์ ลงมา..และตั้งจิตเมตตา โปรด สัตว์
..........................................................................
ทันใดนั้น จากตาที่สาม มองเห็น
แสงสีทอง ค่อยๆๆ กระจาย ออกจากรถ อย่างช้าๆๆ
ทันทีที่แสงสีทอง ไหลออกไป..
วิญญาณ เหล่า ทหารพม่า กว่า 700 คน ก็ พากันถอยออกไป
รัศมี พระพุทธบารมี กวาด ออกไป ประมาณ 5 เมตร โดยรอบ ก็หยุด
เหล่า วิญญาณ ทหารพม่า ก็ มุงกันอยู่ห่างออกไป
.......................................................................
พวกเราก็ พากันค่อยๆๆ หายโล่ง ขึ้นอย่างช้าๆๆ
ตามการกวาดของสีทอง แห่ง พระบารมี อันไม่มีที่ สิ้นสุด
.......................................................................
ก่อนออกรถ หลังจากที่ หายใจโล่งได้ ปกติ
เราทั้งหมดก็ ตั้งจิต แผ่เมตตาให้ แก่ วิญญาณ ทหารพม่า ทั้งหมด
บอกในจิต ว่า อย่า ผูกเวร ผูกกรรม กันเลย
พระพุทธองค์ ทรง สอนไว้ว่า "กรรมย่อมระงับ ด้วยการไม่จองเวร"
.................................................................... -
เหตุการณ์ ครั้งนี้ ต่างไป จาก ประสบการณ์ ครั้งสุดท้าย
ที่ผ่านมายัง แนวกำแพง ค่ายทหารพม่า
ครั้งนั้น สามตา ไป แวะ สักการะ อนุสาวรีย์วีรชน "นักรบค่ายบางระจัน"
ที่อยู่ในเขต อ. บางระจัน ในเขต สิงห์บุรี
.....................................................................
ที่อนุสาวรีย์ จะเป็น แท่นสูง มีรูปปั้น นักรบ ดัง ยืนอยู่บนแท่นสูง
มีนายจัน หนวดเขี้ยว /ขุนสรรค์ พันเรือง/พระอาจารย์โชติ ฯลฯ
รวมทั้งกระบือ เขาโง้ง ยาวใหญ่..ที่เคยมาแสดง หนัง เมื่อ หลายปี ก่อน
เรื่อง"ศึก บางระจัน"
....................................................................
ในการคารวะ ครั้งนั้น เราไป กัน สี่ คน
พอขอถ่ายรูป หน้า แท่น อนุสาวรีย์ กลุ่ม คนผู้เป็นวีรชน
ทั้ง หมดก็ลง มาเรียงแถว ไป ด้วยกับ เรา
.......................................................................
พออัด รูปออกมา..อะฮ้า...มันพิศดารเกินไป
ให้ใครดูไม่ได้..จะเป็นบาป ถ้า ใครคิดในทางลบ ว่า เรา เมคขึ้นเอง
ไม่แสดงดีกว่า..จะได้ ไม่มีใครได้ กรรม ต่อไป
......................................................................... -
ถ่ายรูปเสร็จ เราก็ กลับ กทม..เห็น วิญญาณ กล้า นักรบ แห่ง ค่ายบางระจัน
ประมาณ 20 คน นั่งมาด้วย บนหลัง คา..ตีเกราะ เคาะไม้ ดัง ลั่น
แบบ รถ ท่องเที่ยว ที่เรียกว่า "ฉิ่งฉับ ทัวร์" ไป บางแสน .พัทธยา
.............................................................................
พอมาผ่านช้าๆๆ ที่ ค่ายแนวพม่า ที่ ว่า
ก็ได้ ยินเสียง นักรบ กล้า กระโดด ลงตุ๊บ ตั๊บ จากหลังคารถ
มองด้วยตาที่สาม..โอ้โฮ..ทหารพม่า มาเป็น ร้อย
ทหารบางระจัน ยี่คน ต่อ ทหารพม่า เป็น ร้อย..
ได้ ยินเสียง รบกัน ในระยะ สั้นๆๆ..ก็เงียบไป
.....................................................
แสดงว่า น้ำ น้อย ย่อม แพ้ไฟ
บางระจัน ยันพม่า ได้ ถึง 7 ครั้ง ในการศึก
ก่อนครั้งสุด ท้าย..ได้ ไป ขอปืนใหญ่ จากเมือง หลวง กรุงศรีอยธยา
แต่ ในเมืองไม่ให้..แต่ส่งคนมาช่วยหล่อ
หล่อเสร็จ ปืนใหญ่ นั้นแตก ใช้การไม่ได้
................................................................
พม่า เข้าตี ครั้งที่ เจ็ด..ค่ายบางระจันจึงแตก
ทีนี้มีปัญหา ให้คิด.........................
ทหารไทย กับ ทหารพม่า..เคยรบ และตายมาแล้ว
วิญญาณ มาเจอกัน..ก็รบกันอีก ในสัญญาเก่า ที่ ต้องรบกัน
วิญญาณที่เคยตาย มาแล้ว..มาพบกัน ฆ่า กันตายอีก
การตายแบบ สองเด้ง นั้น ตาย อย่างไร
ใครมีความคิดเห็น อย่างไร..ลองเล่ามาสู่กันฟังด้วย
........................................................
อมิตพุทธ..อมิตพุทธ...อมิตพุทธ
......................................................
(ยังมีต่อ) -
หนูคิดว่า
วิญญาณที่เคยรบกัน นี่ ในตอนมีชีวิต เขาสู้กันมาก่อนแล้ว พอตาย
มันยังยึดติดกับเรื่องตอนมีชีวิต คือ ตอนรบกัน สัญญาเก่าๆ นั่นแหละ
เมือ 2 ฝ่าย ยึดติดกับสัญญาเก่าๆ เจอกันใน เวอร์ชั่น วิญญาณ ก็ รบกัน ต่อ
พอถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าก็คิดว่า เขาคงรู้ว่า ที่ไอ่คู่ต่อสู้ ลงดาบ เขาตายแน่
เพราะ คิดว่าตาย มันก็วูบไป แล้วพอเหตุการณ์นั้นจบ ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะ สัญญา
ความจริงคงไม่ได้ตายจริงๆหรอกค่ะ เพราะ เขาคิดอย่างนั้น
ปล. ก็งง เหมือนกัน แต่ คิดว่า คงจะเป็นอย่างนี้แหละค่ะ -*- -
พรุ่งนี้ที่บ้านมีงานฟ้อนผีมด(ไม่ใช่วิญญาณของมดนะ เหอๆ)
เดี๋ยวถ้ามีโอกาสจะเก็บรูปมาฝากนะคะ ตามประสาคนธรรมดาไม่มีตาวิเศษ หุๆ
เป็นการจัดงานเลี้ยงให้กับผีบรรพบุรุษ อะคะเขาเชื่ออย่างนั้น
.
หน้า 71 ของ 299