ขออนุโมทนาบุญ คุณณฐมนฑ์ คุณปาริสัชชา และท่านผู้รู้ทุกๆท่าน
ช่วยชี้แนะทางสว่างในการปฏิบัติธรรมด้วยครับว่าผมเหมาะกับกสิณกองไหนดี
กราบอนุโมทนาอีกครั้งครับ
ปรัชญา นิลอยู่ prachya@jibuhin.co.th ผมจะรอคำตอบนะครับ
เล่าประสบการณ์ตรง และเทคนิควิธีการฝึกกสิณแสงสว่าง (จนถึงฌานสี่)
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ณฐมณฑ์, 12 ตุลาคม 2004.
หน้า 24 ของ 30
-
-
สวัสดีคะ ผู้ใจบูญช่วยอนุเคราะห์คนทั้งหลาย
หนูน้อยปูชิกาก็เดินต้วมเตี้ยมมาหลายเพลาแล้วเจ้าคะ
สนใจธรรมตั้งแต่ มัธยม แต่ได้นั่งสมาธิจริงจังก็อุดมศึกษา(ก็นั่งได้แค่ก่อนนอน5-10 ละคะ) แบบอานาปาณสตินะคะ อย่างมากก็แค่รู้สึกปีติ แบบว่าเรียนมะมีเวลา อิอิ
แต่ตอนนี้สนใจกรรมฐานแบบจิงจัง แบบว่ายังมะทำงานมีเวลาอิอิ
เค้าว่าฝึกกรรมฐานตรงกับจริตจะดี ก็เลยเปลี่ยนมาฝึกกสินสีขาว แบบว่าขี้โกรธเจ้าคะ
ฝึกได้3-4วันเจ้าคะ ก็อยากจะทราบว่าหนูเหมาะกับกสินกองนี้หรือเปล่า ตอนนี้รู้สึกว่าแม้แต่ภาพนิมิตมานก็ยังจับมะได้ งงๆมึนๆเจ้าคะ หรือว่าจะกับไปฝึกแบบเก่าดี ชี้ทางด้วยเจ้าคะ
dapreya@hotmail.com -
รบกวนทูลถามพระด้วยครับว่ากสิณกองใดเหมาะกับผมที่สุด
jakkapat_72@yahoo.com ขอบพระคุณมากครับ -
ขอเรียนถามท่านผู้รู้ค่ะ
กะเจี๊ยบก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการฝึกกสิณมากหรอกค่ะ
แต่พยายามที่จะนั่งสมาธิให้ได้ เวลาที่นั่งมีความรู้สึกเหมือนตัวเราจะลอยขึ้นจากร่าง
ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร และดีหรือไม่ดีค่ะ กลัวว่าหลุดไปแล้วจะกลับมาไม่ได้ -
อยากฝึกกสิณมานานแล้วค่ะแต่ไม่ทราบว่าจะฝึกกองไหนดีแบบไหนดี รบกวนช่วยชี้ทางที่เหมาะสมให้ด้วยค่ะ jibby_sp@hotmail.com
-
ความจากใจครับ
คุณณฐมณฑ์/คุณปาริสัชชา ที่นับถือครับ
ผมสนใจวิธีการฝึกกสิณเป็นอย่างมากและกำลังศึกษาและได้เข้ามาเจอกระทู้นี้ ซึ่งอ่านแล้วเป็นประโยชน์มากๆเลยครับ ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่ได้เสียสละเวลามาแนะนำและแบ่งปันมากๆครับเพราะสิ่งพวกนี้เป็นประโยชน์กับผมและเพื่อนๆคนอื่นๆอย่างมาก
ใจความในกระทู้นอกจากตัวอักษรที่ได้เขียนไปแล้วนั้น ผมสำผัสได้กับสิ่งที่พวกคุณให้มอบให้ครับ ถึงแม้ว่าผมจะได้เข้ามาอ่านหลังหลังที่พวกคุณไม่อยู่ในเว็ปนี้แล้ว สิ่งที่พวกคุณให้มาจะเป้นเหมือนครู และกำลังใจที่จะทำให้ผม ได้มุ่งมั่นฝึกต่อไป
ระยะเวลาการเดินทางของกระทู้ยาวนานมากเลยครับและเหตุการณ์ที่คุณทั้งสองได้ช่วยไขปัญหาต่างๆ ล้วนแต่มีคุณค่าทั้งนั้น ผมรู้ฝึกอิ่มเอมเมื่อผมได้เข้ามาอ่านเป็นอย่างมากครับ
หวังว่าถ้าผมได้มีบุญ และมีวาสนาผมจะได้เจอและได้พบกับคุณทั้งสองนะครับ สิ่งที่พวกคุณได้ให้มาผมจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์และพยายามทำความเข้าใจครับ มีหลายสิ่งที่ผมอยากถามมากครับ แต่ก็ต้องทำใจเมื่อมาดูในระยะหรือช่วงเวลาที่พวกคุณสองคนได้อยู่ในเว็ปแล้ว ผมมาเจอกระทู้นี้ช้าไปครับ แต่ก็ยังดีที่กระทู้นี้ยังไม่หายไป
พอทราบมาว่า คุณคุณณฐมณฑ์ ไม่ค่อยสบาย ผมขอให้คุณณฐมณฑ์แข็งแรงนะครับ ให้หายจากโรคภัยคุณปาริสัชชา ด้วยนะครับ
ขอบคุณด้วยนะครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ สาธุๆ -
เนื่องจากผมฝึกสมาธิอยู่แต่ผมก็ไม่สามารถ รู้สึกได้อย่างแน่นอนว่า กสิณกองใดเหมาะกับตัวผม ก็อยากจะถามนะครับ ถ้าสามารถบอกได้ก็ช่วยบอกด้วยละกันนะครับ
tamlampang@hotmail.com แต่ในใจมันรู้สึกสนเกี่ยวกับไฟ กับน้ำไม่รู้ทำไมสับสนตรง2อันนี้ -
ขอเรียนว่าคุณณฐมณฑ์เธอลาจากเว็บนี้ไปนานแล้วครับ...ผมเห็นเพื่อนสมาชิกหลายท่านทิ้งคำถามเอาไว้เยอะ ซึ่งบางคำถามถ้าย้อนอ่านทวนดูใหม่ตั้งแต่หน้าแรกๆก็จะพบว่ามีคำตอบคล้ายๆกันอยู่แล้ว แต่ในกรณีบางท่านที่ถามเรื่องกรรมฐานที่เหมาะกับจริตนั้น ผมขอให้ข้อแนะนำเพื่อการพิจารณาอย่างนี้ครับว่า...
ให้สังเกตุว่าหากฝึกกรรมฐานกองใดแล้วใจเป็นสุข สงบง่ายมีอาการเบากายเบาใจ ให้ใช้กรรมฐานกองนั้นต่อไปจนถึงที่สุด คำว่าที่สุดหมายความว่าไม่ลดละที่จะเจริญในกรรมฐานกองนั้นๆ แต่อุบายวิธีในการเจริญพระกรรมฐานนั้น ในการปฎิบัติจริงๆ ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำว่า ต้องใช้สลับกันบ้างในกรรมฐานสี่สิบวิธีเช่น ปรกติทุกวันใช้กสินแสงสว่างเป็นอารมภ์ แต่ทว่าวันนี้อารมภ์ฟุ้งซ่านมากภาพกสินไม่ทรงตัว ท่านแนะนำว่าให้สลับไปดูลมหายใจเข้าออก(อานาปานสติ)แทน เมื่อทรงตัวดีแล้วก็กลับมาทรงภาพกสินใหม่ หรือบางทีจะไม่ใช้อานาปานสติ ก็ใช้การใคร่ครวญพิจารณาแทน เช่นพิจารณาความตายเป็นอารมภ์,พิจารณากายให้เห็นความสรกปรก หรือพิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความไม่ทรงตัวของร่างกายอย่างนี้เป็นต้น
จุดประสงค์ของการฝึกจิตก็คือ เพื่อจิตสงบ เมื่อจิตสงบแล้วนำไปใคร่ครวญในอริยสัจก็ได้ พิจารณาขันธ์ห้าก็ได้ซึ่งมันจะเกิดปัญญาที่จะตัดกิเลสอันเป็นเป้าหมายหลักในการปฎิบัติธรรม...
กำลังของจิตต้องถึงปฐมฌานขึ้นไปจึงจะตัดกิเลสได้เด็จขาดในการเข้าถึงพระอริยบุคคลเบื้องต้น และสำหรับพระอริยบุคคลเบื้องสูงตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไปกำลังจิตต้องถึงระดับฌานสี่(เพราะเป็นผู้มีอธิจิต)
แต่สิ่งที่นักปฎิบัติหลายท่านพบอยู่บ่อยๆก็คือ ความไม่ทรงตัวของสมาธิ หรือที่เรียกว่าฌานไม่ทรงตัว ซึ่งเป็นธรรมดาของโลกียฌานอันมีได้และเสื่อมได้ ดังนั้นสิ่งที่ตัวผมเองประสบมา ก็อยากถ่ายทอดต่อกันไปก็คือว่า การปฎิบัติธรรมให้ได้ผลดีต้องเริ่มจากการปูพื้นฐานให้แน่นเสียก่อน นั่นก็คือเริ่มจากการให้ทาน การรักษาศีลและกรรมบท การสวดมนต์ให้เป็นปรกติและทำอย่างสม่ำเสมอ และการอยู่ในที่สัปปายะมีความสำคัญมากเช่นกัน
ครั้งหนึ่งผมได้มากราบครูบาอาจารย์ในสายอยุธยา (ต้องยอมรับว่าในสายนี้ส่วนใหญ่ท่านทรงกรรมฐานสี่สิบ จึงไม่แปลกใจว่าการใช้เจโตปริยญาณของท่านหรือแม้แต่อิทธิวิธีในบางโอกาสเพื่อสงเคราะห์นั้นยังมีอยู่) ท่านทักว่า "ถ้าเธอขึ้นบันไดไปชั้นบนได้ เธอก็จะลงมาได้ ฉนั้นเธอจงทำพื้นให้สูงขึ้นแทนบันไดเถิด" ท่านกล่าวเพียงเท่านี้ผมก็เข้าใจทันที!!!
ดังนั้นผมขอสรุปโดยย่อๆตรงนี้สำหรับท่านทั้งหลายที่รักการเจริญพระกรรมฐานว่า การเจริญพระกรรมฐานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จนั้นควรเริ่มจาก
๑.ทาน คือการเสียสละ ตั้งแต่สละทรัพย์ภายนอกไปจนถึงอภัยทาน...
๒.ศีลและกรรมบทสิบ ต้องบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจ ประคองไว้ด้วยหิริ-โอตัปปะ พร้อมด้วยพรหมวิหารสี่ให้เป็นปรกติ...
ยกตัวอย่างเรื่องการรักษาศีลและกรรมบทสิบให้บริสุทธิ์ เช่นเวลาได้ยินเรื่องดีหรือเรื่องร้ายของผู้อื่น(แม้แต่ในทีวี)ก็โมทนา หรือวางเฉย ไม่ซ้ำเติมใคร รักษาใจเบาๆ สบายๆ ไว้ให้เป็นปรกติ...
๓.ภาวนา ทั้งสมถะและวิปัสสนา ควรเริ่มจากสวดมนต์ให้เป็นปรกติจากน้อยไปหามาก และก็ใช้บารมีสิบให้ครบถ้วน เคารพในพระรัตนตรัยด้วยใจจริงๆ เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พยายามรักษาศรัทรา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาให้เสมอกัน และการพิจารณาเพื่อรู้รอบในกองสังขารทั้งปวงว่า ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตน (เห็นเป็นสิ่งว่างเปล่า)
ผมพูดอย่างย่อเพื่อให้ท่านที่รักการเจริญพระกรรมฐานเห็นภาพและเส้นทางอย่างนี้แล้ว หวังว่าทุกๆท่านที่ได้อ่านคงจะได้ประโยชน์และบรรลุเป้าหมายในการเจริญพระกรรมฐานทั้งสี่สิบวิธีตามแต่จริตของท่านในชาติปัจจุบันนี้นะครับ...สาธุ -
ผมก็อยากทราบเช่นกันคับว่าผมเหมาะกับกสิณกองไหน กรรมฐานแบบไหนเข้ากับผม ช่วยทูลถามให้ด้วยครับ (ปฏิเวธ แน่นอุดร) Firebestice1991@gmail.com อนุโมทนา สาธุคับ
-
ขอบคุณมากคับ
-
อนุโมทนาสาธุครับ
เชิญทำบุญซื้อ อิฐ หิน ดิน ทราย เหล็ก ปูน สร้างศาลาแก้วครอบสมเด็จองค์ปฐม
เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธานสมเด็จองค์ปฐมและศาลาแก้วพระจุฬามณี ที่ จ.นครศรีธรรมราช (สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ)
" บุญกุศลใดที่พึงจะได้รับ ก็ขอให้ทุกท่านได้รับเช่นเดียวกันถ้วนหน้าสถาพร ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ที่สุดถึงซึ่งพระนิพพานด้วยกันเทอญฯ สาธุ"<!-- google_ad_section_end --> -
ครับผมอยากฝึกกสิณน่ะครับ ช่วยแนะนำหน่อยได้มั้ยครับ ว่าควรจะฝึกอย่างไรดีครับ ฝึกกสินอะไรดีครับ noomau@gmail.com
-
ขอความเมตตาด้วยครับ ปกติผมสวดมนต์ภาวนาสมาธิอยู่ครับ ต้องการศึกษากสิณครับ ไม่ทราบว่าผมเหมาะสมกับกสิณกองไหนที่สุดครับ นายวันชัย สกุลยลไพศาล E-mail: kamkling@yaoo.com ขอบคุณครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ
-
แล้วผมเคยมีความถนัดในกสินกองใดครับ ช่วยตรวจดูใหฟ้ด้วยครับ
-
พี่ครับช่วยดูให้ผมด้วยครับกสิณกองไหน
khomson3562@hotmail.com -
เหนือญานคือ อภิญญา เหนืออภิญญา คือละอภิญญา
เหนือญานคือ อภิญญา เหนืออภิญญา คือละอภิญญา
เป็นทาสสิ่งนั้น เมื่อยึดสิ่งนั้น เป็นนายสิ่งนั้นเมื่อละสิ่งนั้น
เอาไปพิจารณาให้ดีน่ะครับ
ละชั่ว ทำดีทำจิตให้บริสุทธิ์ หลุดพ้น...
อันว่าความหมายของอวิชชา
อวิชชาไม่ได้แปลว่า ความไม่รู้ แต่แปลว่าสภาวะรู้ตามธรรมชาติที่ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลยที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากการตกอยู่ใต้อำนาจต่างๆอันจะทำให้จิตตัวเองเป็นอิสระได้
เช่น คนดื่มเหล้าเขามีความรู้เรื่องดื่มเหล้า เขารู้ว่าจะทำอย่างไร ระหว่างเหล้ากับโซดาจึงจะได้รสอร่อยตามกิเกสของตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองตกอยู่ใต้กิเกสโดนอวิชชาครอบงำ ทำตามอยากของตัวเองซึ่งไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลยที่จะทำให้จิตใจตัวเองเป็นอิสระ
วิชชา คือสภาวะรู้ตามธรรมชาติ ที่มีสาระแก่นสารที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากอำนาจต่างๆจนจิตใจตัวเองมีอิสระ อยู่เหนือดีเหนือชั่วที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้
คุณน้า คุณอาทั้งหลายท่านครับจงพิจารณากันเถิดว่าโดนอวิชชาครอบงำตัวเองโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
อันว่าเรื่องของ ญานอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งไร้ค่า ซึ่งจะทำให้ตนเองเกิดความลุ่มหลง
สิ่งที่ท่านได้มานั้นเป็นแค่เปลือกของพระพุทธศาสนาเท่านั้นหรืออาจจะไม่ใช้พระพุทธศาสนาเลยก็ได้
มีบางท่านน่ะคิดว่า เราจะยังไม่เชื่อในพุทธศาสนาหรอก เราขอทำญานให้เกิดให้ได้เห็น นรก สวรรค์เสียก่อนจึงจะเชื่อในพระพุทธศาสนาหารู้ไม่ครับว่าท่านดูถูกพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว
พระองค์ท่าน ไม่ทรงสรรเสริญในสิ่งนี้แต่หากเอาสิ่งนี้มาพิจารณาให้เกิดปัญญาต่างหาก
การที่เราจะเชื่อในเรื่องของ นรก สวรรค์ นั้นมิได้สำคัญเท่าไร หรอกครับ แต่การทำให้ตนเองไม่ยึดถืออะไรใดๆเลย หรือคลายการเป็นตัวกูของกู ออกจากใจ ไม่ยึดถือสิ่งใดเป็นของตนนั้นสำคัญกว่า
ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
การที่จะเป็นพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้แปลว่า เห็นนรก สวรรค์ แล้วจึงถือว่าเป็นพระพุทธศาสนา แต่การทำให้ตัวเองสละการยึดถือ การตกอยู่ใต้อำนาจต่างๆ จนจิตมีความอิสระต่างหากจึงจะเป็นพุทธโดยแท้
<O:p></O:p>
การที่เราคุยเฟื่องในเรื่องของสิ่งนี้ล้วนไม่มีแก่นสารอะไรเลยที่จะให้ตัวเองหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส
ส่วนผมน่ะครับ เรื่องญานนี้ผมตัดทิ้งไปเลย เนื่องจากว่าไม่มีแก่นสารจริงๆ
ท่านไม่ได้สอนให้เรากลัวนรก อยากมีวรรค์ แล้วจึงพากันปฏิบัติธรรมกันน่ะ แต่หากว่าให้เกรงกลัวต่อบาป ละอายต่อบาปก็เท่านั้น
ท่านควรจะพิจารณาเอาน่ะครับ
บางคนน่ะครับ ทำแต่สมถกรรมฐาน ไปจนวันตาย ก็ยังไม่หลุดพ้นเพราะมัวแต่ยึดถือ ไม่เคยได้ปล่อยวางอะไรเลย
อันคำว่าโง่ หรือฉลาดนั้นไม่ได้มีโดยจริงกับใครเขา
แต่การที่ตามใจกิเลส ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสเห็นกิเลสเกิดขึ้นมาแล้วไปทำตามกิเลส นี้จึงเรียกได้ว่า "โง่โดยแท้จริง"
อันว่าความฉลาด เมื่อมีกิเลสเกิดขึ้นมา แต่ไม่ทำตามกิเลสไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส จึงเรียกได้ว่า "ฉลาดโดยแท้จริง"
ท่านจงเข้าใจครับว่า โง่ ฉลาด ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวใครเลยเกิดแต่กับท่านเองส่วนที่ว่าเกิดกับผู้อื่นนั้นเป็นแค่สมมุติเท่านั้นเอง
อันว่าสมมุตินั้นใช้เพื่อบัญญัติให้รู้สิ่งต่างๆ แต่คนชอบหลงไปในสมมุติกันเสียหมด
เช่นเมื่อผมเห็นผู้หญิงสวยน่ะครับ ก็ให้รู้ว่าสวย แต่ใจไม่ไปชอบ ไปหลง ในสิ่งที่ตาเห็นว่าสวยนี่ถึงจะเรียกว่า "รู้สมมุติ"
แต่หากไปชื่นชมกับสิ่งนั้นจนลืมเนื้อลืมตัวนี้เรียกได้ว่า "หลงสมมุติ"
อันว่า ดี และ ชั่ว
สิ่งนี้ทั้งสองสิ่งเหมือนกัน แต่แตกต่างกันมากเพราะทั้งสองสิ่งนี้เกิดจากการกระทำทาง กาย วาจา ใจ
แต่ความดี คือสิ่งที่กระทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น และตนเอง อันมีแต่ความสุขความสบายใจเพื่อให้จิตใกล้เคียงความบริสุทธิ์
แต่ความชั่วนั้นเป็นสิ่งที่กระทำแล้วไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นมีแต่จะนำความเดือดร้อนใจมาให้เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
พระพุทธเจ้าท่านทรงสรรเสริญให้ละชั่ว ทำความดี แต่ท่านไม่ให้ยึดเอาความดีเป็นของๆ เรา
การกระทำความดีและชั่วนั้นล้วนมาจากการกระทำด้วย กาย วาจา ใจมัน สักแต่ว่าเป็นการกระทำเท่านั้นเอง
ส่วนที่เรียกว่าความดี และชั่วนั้นเกิดจากการที่เราพร้อมใจกันสรรเสริญว่า "สิ่งนั้นดีสิ่งนั้นไม่ได้"
การจะอยู่เหนือความดีและชั่วนั้นให้เห็นว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นแค่การกระทำ มิใช้ยกตนข่มท่านน่ะ
จงใช้สติปัญญาพิจารณา
ศาสตร์มนุษย์ ของมนุษย์โดยมนุษย์(โดยมนุษย์ ก็คือ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะถูกสรรญเสริญว่า เป็นพระพุทธเจ้านั้น ท่านก็คือมนุษย์)เพื่อมนุษย์
เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรกระทำกันควรศึกษาให้เกิดความเข้าใจโดยแท้จริง
คือการลายการยึดถืออัน "ตัวกูของกู"
พระองค์ท่านทรงสอนให้เจริญหลักธรรมของท่าน ดังที่ว่า "เมื่อใดเห็นธรรมมะ เมื่อนั้นเห็นเรา "
มิได้ทรงให้กราบให้สักการะบูชาพระพุทธรูปน่ะ เพราะพุทธแท้น่ะ มิใช่ลักธิบูชาเทพเจ้า มัวแต่ขอพรอ้อนวอนแต่สั่งสักสิทธิ์ลุ่มหลงมัวเมาตกอยู่ใต้อำนาจความศรัทธาที่ผิด ๆ
แต่การกราบนั้นเป็นการลดทิฏฐิของตัวเอง อัน "ตัวกูของกู"
ท่านลองพิจารณาดูสิ เมื่อท่านการได้แม่กระทั้งรูปปั้น แล้วการที่ท่านจะน้อมเอาคำสั่งสอนของคนอื่นมาปรุบปรุงตัวเอง มีหรือที่ท่านจะทำไม่ได้
พวกเราทั้งหลายนี้ อยู่กับภาพมายา หลอกตัวเองไปวันๆ อันว่าตัวกูของกูนั้นแหละ แท้ที่จริงแล้วตัวเราไม่ได้มีอยู่จริงเลยคนอื่นก็เหมือนกัน แต่มีอยู่โดยสมมุติ สมมุติโดยตัวตน ทุกคนไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงแต่มายึดเอาเท่านั้นเอง ทุกคนอยู่กับความว่างเปล่าแต่ไม่เคยค้นหาเลยไม่รู้อะไรเลยครับ
อย่างเช่นน่ะครับ ผมมีแม่อย่างนี้ แท้จริงแล้วแม่ไม่มี แต่มีโดยสมมุติ แล้วก็มีตัวตนโดยสมมุติเมื่อท่านตายไป(ตายในทางโลกน่ะ คือสภาวะร่างกายที่จิตวิญญาณนี้ไม่สามารถอยู่ได้ในร่ายกายได้เท่านั้นเอง) สมมุติก็จบลงก็คือไม่มีจริง เช่นตัวผมเองก็ไม่มีจริง แต่มีโดยสมมุติเท่านั้นเอง
กระผมใช้ความรู้จากญาน ฌานนี้ มาพิจารณาจนรู้แจ้งในสัจจธรรม โดยแจ่มชัดในเรื่องของสมมุตินี้
ท่านทั้งหลายจงทำตัวเองให้ "ตาย ก่อนตายเถิด"เมื่อท่านตายไปแล้วจะได้ไม่มีใครตาย
แต่ก่อนผมก็ห้อยพระน่ะครับ หากแต่ว่าทำสิ่งนี้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้ประมาทในตัวเอง มัวแต่อิงไสยศาสตร์ มัวแต่จะให้สิ่งเหล่านั้นช่วยเราให้หลุดพ้น โดยแทนที่ตัวเองจะเจริญ สติ ศีล ปัญญาภาวนาเสีย จะได้ไม่ประมาท
ดังคำของพระองค์ที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ตนนี้มิใช่ตน"
เป็นเพราะว่า ตนนั้นไม่ได้มีอยู่จริง แต่คำว่า "ตน"นั้นใช้เรียกแทนตัวเองเฉยๆแต่เราไม่ยึดถือเอาเป็นตัวเราของเรา
กระผมเองภาวนาเสียได้ฌาน ก็ได้สิ่งวิเศษความสามารถของฌานมา แต่มิได้ยึดเอาเป็นของเราแต่เอาสิ่งนั้นมาพิจารณาเป็นปัญญาให้หลุดพ้น
”เมื่อใดที่ไม่ละในสิ่งที่ได้มานั้น เมื่อนั้นมิใช่พุทธศาสนาแต่เป็นลักธิบูชาสิ่งนั้นอยู่”
จงทำตนให้อยู่เหนือดี เหนือชั่วกันเถิดครับท่านทั้งหลาย
ที่ผมอธิบายมานี้กระผมพิมพ์พิม์ประการใดขอท่านทั้งท่านอโหสิกรรมให้ด้วย และกระผมขอขอบพระคุณหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธทาส ที่ทำให้ผมเกิดปัญญานำหลักทำของท่านมาพิจารณาจนเกิดความแจ่มแจ้งในใจ
อย่าลืมครับ ศีล สติ สมาธิ ปัญญาต้องเสมอกันครับ เมื่อขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือขาดความประมาทในตนเองผมเองก็ยังขาดสติที่มั่งคงอยู่เหมือนกันต้องไม่ประมาทกันน่ะครับ
เมื่อตายไปแล้วจะต้องต่อสู้กับมรณสตินั้น เป็นเรื่องจริงน่ะครับเพราะเมื่อตายจะต่อต้านกับสติน่ะ ระวังไว้ให้ดีครับ ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนนั้นมิใช่ตน
เวลาทำสมาธิอย่าลืม ภาวนามรณสติกันน่ะครับ คือภาวนาว่าทุกลมหายใจเราต้องตายอย่างแน่นอน
เอาอย่างนี้น่ะครับ อย่ามัวเอาแต่ความสงบ เอาญาน หรือฌานเพราะสิ่งนี้จะมาของเขาเองครับผม
<O:p“แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือ ทำเพื่อละความเป็นตัวกูของกู ทำเพื่อให้จิตหลุดพ้นน่ะ อย่าหลงในปัญญาผู้อื่น ปัญญาตัวเอง หรือแม้แต่ปัญญาของพระพุทธเจ้า ทำเพื่อละน่ะจำไว้ ไม่ใช่มีแล้วไม่ละ อย่าเอามาบูชา มิเช่นนั้นจะเป็นลัดธิบูชาไปเสีย”
ขออนุโมทนาสาธุครับ ^.^
ตั้มครับ
หากท่านอยากคุยกับผมและคุณอาอ้อง ชัชวาลเพ่งวรรธนะ
ได้ที่ หมวด อภิญญา / สมเด็จหลวงปู่โต / เรื่องเล่าของข้าพเจ้าเมื่อสวดพระคาถาชินบัญชร โดยคุณอาอ้อง : ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
อยู่กระทู้บนสุดอะครับ
เราพร้อมจะช่วยท่านทั้งหลายให้เดินเพื่อละ<!-- google_ad_section_end --> -
สวัสดีครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ
ผมไม่ค่อยจะไหว้พระก่อนฝึก แต่ยังนับถือและศรัทธาอยู่ ผมไม่เคยคิดจะไปทำบุญเองเลยนอกจากมีคนพาไป
ผมฝึกสมาธิมา 4 ปีแล้วตั้งแต่อายุ 18 ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้จริงจังมากนักส่วนใหญ่ฝึกเพราะอยากรู้อยากเห็นโดยเริ่ม ที่กสิณสีแดง ตอนฝึกแรกๆเพ่ิง
กสิณได้อารมณ์อย่างมากก็ขนลุก นั้่งจนปวดหลังก็หยุดเพ่งแล้วมักมานอนจินตนาการแผ่นกสิณที่ฝึกคราวนี้ไม่ขน ลุกแต่เกิดอาการสั่นอย่างรุนแรงในหัวน่าจะประมาณตรงก้านสมองอ่ะครับสั่นแบบ มือถืออ่ะครับแถมรู้สึกจะเจ็บด้วย จากนั้นก็ไม่ค่อยได้จริงจังสักเท่าไหร่เพราะต้องทำงานพิเศษ ประกอบกับแผ่นกสิณที่ผมทำขึ้นมามันมีรอยด้วย แต่เมื่อ 4 เดือนที่แล้ว ผมกลับมาทำแผ่นกสิณขึ้นมาใหม่มาตั้งใจฝึกอีกที แต่ก็เหมือนเดิมๆคือไม่ได้อะไรและไม่มีปิติ ขนลุกอะไรเลยครับ คราวนี้ผมก็มาลองดูคลิปเสียงธรรมในบอร์ดมีคลิปหนึ่งหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านบอก ให้ฝึกอานาปาณสติเป็นสำคัญก็ลองฝึกดู ไม่ว่าจะเป็นจับลมเข้าออก จับลม3ฐานลองมาหมดก็ไม่ได้รัย จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งว่างๆเพิ่งตื่นนอนแต่ยังไม่ค่อยได้สติดีเพียงแต่รู้ ว่าตื่นก็ลองจับลมหายใจที่หน้าอกดูคราวนี้รู้สึกเหมือนว่าจู่ๆมีอะไรมาดูด ให้มารวมกลางอกเลยทำให้ตกใจสดุ่งตื่นทันที
ต่อมาคราวที่ 2
นอนจับลมหายใจอีกครั้งที่กลางอก สังเกตดูลมกระทบอยู่ข้างในจนไม่รับรู้อะไรภายนอกเลยไม่รู้ว่าสมาธิเป็นอย่าง ไรด้วย แต่จู่ๆก็เกิดเสียวว่าบปับผมคิดจะลืมตาแต่กลับเห็นสภาพของห้องที่ผมอาศัย อยู่ประกอบกับเห็นอะไรแดงๆรอบภาพที่เห็นแต่ตรงกลางเป็นภาพสีจริงเหมือนเห็น ด้วยตาปล่าว ประมาณ เหมือนมันถูกโฟกัสไว้ จากนั้นผมตัดสินใจจะออกจากสมาธิเองโดยที่ผมไม่เกิดอาการตกใจเหมือนก่อนๆ พอออกมาก็พบว่าผมนอนเอาฝ้าห่มคลุมหน้าไว้อยู่แต่ไม่คิดเอ๊ะใจอะไร ประมาณว่าฝันมั้ง
คราวที่ 3 เป็นวันว่างๆ ผมก็ทำแบบเดิม คราวนี้พอเสียววาปอีกผมก็นึกถึงสิ่งที่ผมประสบในคราวที่ 2 มันก็เห็นภาพเหมือนลืมตาดูเองแต่ยังมีสีแดงๆส่วนรอบๆอยู่
ควาวนี้มีเสียงด้วยเป็นเสียงเหมือนคลื่นพลังงานแม่เหล็กอะไรสักอย่าง
(จำเสียงมาจากในหนัง) ผมก็เลยลองพยายามจะหันไปดูรอบๆมันก็เห็น ทันใดนั้นก็มืดสนิททันทีแต่ก็มีแสงกลมๆสีฝ้าขาวๆอ่อนๆ(จำสีไม่ค่อยได้แ้ล้ว)
ปรากฎแทนแต่สีมันไม่ขาวจั๋ว ในใจผมก็นึกทึกการฝึกกสิณทันทีที่บอกให้ฝึกขยับสิ่งที่เห็นผมก็ขยับมันไปมัน ก็ไปแต่มัน กลับเล็กลงเรื่อยๆ เรื่อยจงหายไปผมจ้องซักพักพอไม่เจอของก็ตัดสินใจออก ด้วยวิธีค่อยๆลืมตาก็ปรากฎว่านอนเอาผ้่าห่มคลุมทั้งหน้าอยู่แต่ตอนตื่นนี้ สติมาแบบเต็มร้อยชนิดที่ว่ามั้นใจว่าไม่ได้ฝัน พร้อมทั้งดีใจประมาณว่าได้แล้ว เห็นแล้วประมาณนี้ และทั้ง 3 ครั้ง ไม่มีปิติ เกิดก่อนเลย
เหตุการณ์ 2-3 เกิดห่างกันประมาณ 4 วัน
คราวนี้ก็พยายามใหม่แบบตั้งใจมากมีสติมาก และไม่เจออะไรเลยพอมาพิจารณาก็รู้ว่าหวังมากไปครันไม่หวัง แบบทำใจได้แล้วมันก็ไม่เสียววาปอีก จนกระทั่งวันนี้จู่ๆผมก็เข้าใจวิีธีวางอารมณ์แบบว่างๆเข้ามาในหัวก็ลองจับลม ดูปรากฎมันเป็นสมาธิครับและก็เสียวว่าปๆอีกและรู้สึกว่าตัวมันจะลอยพอไปจับ ดูว่ามันจะลอยมันก็ลง ไอ้อาการจะลอยแล้วไม่ลอยผมเจอมาบ่อยมาก นอนอยู่บางทีจะตื่นแต่ยังไม่ลืมตา (แปลกป่าว ผมมักจะรู้ตัวว่าจะตื่นประจำ และผมก็ชอบทรงไว้แบบนี้เพราะมันจะไม่ได้ยิงเสียงรอบข้างเลยแม้กระทั่งเสียง ในหูที่เกิดจากความดันในหูไม่เท่ากัน )
นั้นเป็นประสบการณ์แบบแปลกๆที่ผมไม่เคยจออ่ะครับ ที่ผ่านๆมาผมก็เคยแค่เสียวว่าปเหมือนถูกดูดบ่อยๆ ทุกๆครั้งที่ผมจับลมหายใจ พอจับได้ที่แล้ว ก็เปลี่ยนเป็นนึกถึงกสินสีแดงทันที
(เพราะชอบที่มันดูดไปนั้นล่ะ และเอาวิธีฝึกแบบนี้มาจากเวปนี้ กระทู้พระพุทธเจ้าสอนกรรมฐาน ไปอ่านเจอในส่วนของคนมี วิตก ล่ะ) แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด
ผมพยายามจะทรงสมาธิให้ได้หลังจากมันถูกดูด แต่ไม่เคยทรงได้เลย
ผมจึงอยากจะเรียนถามท่านผู้มากประสบการณ์ช่วยชี้แน่ะด้วยครับควรจะไปต่อแบบไหน
อ่อ กสิณผมยังไม่เป็นสีจิงนะครับ ยังเป็นสีตรงกันข้ามอยู่ ถ้าจะให้ทำคงไม่ไหว
อยากนอนเพ่งจะแย่แต่ก็กลัวจะมีผลเสีย ประกอบสถานที่ค่อนข่างเป็นอุปะสักมากๆเพราะเป็นห้องเช่า แล้วพวกเขาก็ชอบเปิดเครื่ิองขยายเสียงดังๆแถมไม่ใช่ห้องเดียว ขนาบทั้ง 4 ด้านเลย ซ๊าย ขวา หน้า บน กลางวัน กลางคืน เซงสุดๆ สลับกันคนละห้อง จะนั้งสมาธิทีแทบบ้า แต่ประสบการณ์ทั้ง 3ครั้งพอออกสมาธิมาพวกนั้นก็ยังเปิดอยู่น่ะ แต่ก็จำไม่ได้ว่าตัวเองวางอารมณ์แบบไหน -
กำลังศึกษาได้ 3 วันมั้ง กสินไฟ และแสงสว่าง อยู่ค่ะ
จ้องเทียนเพื่อให้จิตสงบ แต่ภาพที่ได้มันเป็นสีแดงส้มคล้ายกองไฟ
จ้องหน้าจอคอม ภาพที่ได้เป็นสีดำพื้นสว่างอยู่เลย
ขอจิตสงบเป็นสมาธิก้อพอ -
กำลังศึกษาได้ 3 วันมั้ง กสินไฟ และแสงสว่าง อยู่ค่ะ
จ้องเทียนเพื่อให้จิตสงบ แต่ภาพที่ได้มันเป็นสีแดงส้มคล้ายกองไฟ
จ้องหน้าจอคอม ภาพที่ได้เป็นสีดำพื้นสว่างอยู่เลย
ขอจิตสงบเป็นสมาธิก้อพอ -
นิมิตเป็นอย่างไรครับ เป็น การนึกเหมือนจิณตนาการหรือ วิธีหลับตาเเล้วเห็นภาพครับ
หน้า 24 ของ 30