เมื่อก่อนผมนั่งสมาธิเองไม่ลง ฟุ้งซ่านเข้าขัดขวางมากเหลือเกิน ผมจึงใช้บทสวดมนต์เป็นเครื่องยึดจิต แล้วสู้กับฟุ้งซ่านที่เข้าต่อต้าน โดยการตั้งจำนวนไว้มากๆจบ เพื่อสู้กับฟุ้งซ่านเหล่านั้น (มันขัดใจผม ผมก็ขัดใจมันบ้างละ)
ตั้งใจไว้ว่า ไม่ครบไม่เลิกละ อะไรมาขวางก็ไม่ยอม (บุญน้อยนักเข้าสมาธิลึกๆอย่างเขาไม่ได้ เอาอย่างนี้ก็ได้ สะสมไปก่อน)
สวดสวดไปหลับตาสวด ก็ได้ยิน เสียงบอกว่า ไฟจะไหม้ จนถึงครั้งที่3เสียงดังชัดเจนเหมือนเอ็ด ลืมตาดู ไฟกำลังไหม้ โต๊ะหมู่เชียว
เราก็สงสัย เสียงนั้นมันเสียงใคร มันก็เหมือนเสียงเราเองซะเหลือเกิน มันก็ดังมาจากข้างใน ไม่ใช่ข้างนอก
อีกหลายปี นั่งสมาธิพอได้บ้าง ก็็ตั้งคำถามกับตัวเอง ก็มักจะได้คำตอบจากสมาธินั้นอย่างกระจ่างใจบ้าง เช่น ในเรื่องกรรมบาปบุญคุณโทษ ทำให้ตัวเองเข้าใจอะไรได้มากขึ้น แนวคิดหลายอย่างในตัวเปลี่ยนไปมาก
(เช่นถามว่าทำไมเราไม่เจริญ ก็ตอบว่าเรืองจิตที่ยังคิดไม่ดีต่อผู้มีพระคุณ ไม่ยอมวาง อยากให้ชีวิตเป็นอย่างที่ต้องการทำอย่างไร วางจิตอย่างไร ทุกวันนี้ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอย่างน่าตกใจ)
คำถามที่ถามกับตัวเอง แล้วกระจ่างใจ ขึ้นมา ครั้งหนึ่งที่ทำอย่างนั้น คือ นั่งจนเหมือนทุกข์เหมือนคิดที่ผ่านมามันจางหายไป มันเอาแต่รู้ ก็ถามกับตัวขึ้นมาว่า ทำไมเราทุกข์ มันก็มีคำว่า ตัณหา ขึ้นมา เราก็พิจารณา ในทุกทุกข์ของเรา ว่ามีตัณหาอยู่ไหม จริงแฮะ แล้วในทุกการเคลื่อนไหว ของจิตและกายก็มีตัณหาซะด้วยซิ
สำหรับคนอื่นเราไม่รู้ เรารู้แต่ว่า สุขไม่มี มีแต่ทุกข์กับคลายทุกข์ ตัณหา กับคลายตัณหา ใครแก้ใครคลายได้เท่าไหร่ ก็พ้นบ่วงทุกข์บ่วงตัณหาไปได้เท่านั้น
เสียงตัวเอง ถามตัวเอง ตอบตัวเอง ได้อะไรบ้าง ตามกำลัง
เสียงตัวเอง ถามตัวเอง ตอบตัวเอง
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รู้รู้ไป, 14 ธันวาคม 2010.
หน้า 1 ของ 2
-
...ความเพียรเป็นดอกไม้ที่ไม่ได้ขึ้นในสวนของทุกคน...
-
อย่าลืมดู ความพอใจ/ไม่พอใจ ในการถามเอง ตอบเอง หละ
มันจะมีอารมณ์ ยึดมั่น/แสร้งวาง แนบอยู่ด้วย
เพราะการถามเอง ตอบเอง มันเป็นแค่ วิญญาณขันธ์ ที่ทำงานเองได้
มีหน้าที่ป้อนอาหารเพื่อให้ชีพดำรงค์ ใครดึงออกมาได้มาก ก็ดำรงค์
ชีวิตได้ล้ำลึกมาก หากมีศีลประกอบทั้งสามกาลก็บริสุทธิ์ประมาณหนึ่ง
แต่ถ้ามีอาการยึดในรู้นี้ ก็จะเสร็จมันพาล้มละลายได้
กามมันมีตั้งแต่ กามตัณหา(หยาบ) กามราคะ(กลาง) กามฉันท(ละเอียด)
อาการยึดในรู้ เป็น "กามฉันทะ" พา ลามกได้เหมือนกันนะ
ไม่เชื่อลองตามให้ทันอาการถามเอง ตอบเองดู นิพพิทาปรากฏตามมา
เมื่อสติตามทันเหมือนกัน
คำว่า "ตามกำลัง" จึงควรเพิ่มด้วยว่า "ตามกำลังของศีล" ก็จะ"อะมิโน(แสลง)" -
Kama-Manas บางคราว บางคน บางคำ มีเนื้อหา คำพูด ที่ไม่มากมาย แต่แฝงไว้ด้วยเนื้อหาที่มากมาย คำบางคำมีเนื้อหากว่าหนังสือทั้งเล่ม ขอบคุณครับ
เอกวีร์ แหม พึ่งมีคนทัก ว่าพี่ชาย จะเข้ามา พี่ชายก็เข้ามา ขอบคุณพี่่ชายที่เข้ามาชี้แนะเพิ่มเติมครับ
อนุโมทนาด้วยครับ -
ที่ว่า สำหรับคนอื่นเราไม่รู้ เรารู้แต่ว่า สุขไม่มี มีแต่ทุกข์กับคลายทุกข์
แท้จริงแล้ว สุข กับ ทุกข์ติดกันคับ ตราบใดที่มีทุกข์ ก็จะมีสุขเสมอ เพียงแต่ คุณจะมองเห็นหรือป่าว พิจารณาให้มั่น จนคุณสามารถ เห็น สุขในทุกข์ ให้ได้คับผม แล้วคุณจะรู้ว่า สุขกับทุกข์นั้น ติดกัน แยกกันมิได้เลย คับผม -
บางทีตัวเราเองก็ให้คำตอบ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน
อนูโมทนา ครับ -
อนุโมทนา ขอบคุณ ในคำแนะนำ ในธรรม ของท่าน Sotoz ด้วยครับ
ตัณหาคือตัวทุกข์ ภาวะที่มีตัณหา ความอยาก เป็นภาวะแห่งทุกข์ ตัณหาถูกสนอง ตัณหาดับลง ทุกข์ถูกสนองให้ดับลง คลายทุกข์ ทุกข์ดับ จึงเรียกได้ว่าสุข
สุขด้วยตัณหา คือสุขเมื่อได้สนองตัณหา เมื่อตัณหาดับ ตัณหาคลาย ทุกข์ดับทุกข์คลาย จึงเรียกได้ว่า สิ้นตัณหา สิ้นทุกข์ เป็นสุข เป็นคราวๆ สุขด้วยตัณหานำ สุขด้วยสนองให้ตัณหาดับ เป็นคราวๆ
สุขบางอย่าง สุขแบบไร้ตัณหา เป็นตัวตั้ง ไม่อิงโลก ไม่อิงตัณหา ไม่ต้องทุกข์ก่อนจึงสุข ก็สุขอยู่ด้วยตัวเองเป็นธรรมดา
ผู้ใดไปถึงพบเห็น มักมองได้ว่าสุขอันเจือตัณหานั้น เป็้นของไม่สมบูรณ์ เป็นของสกปรก ไม่บริบูรณ์ เป็นสุขเจือทุกข์ ตามกำลังที่เห็นได้ ในความ ว่าไร้ตัณหานั้น
ย่อมหวลกลับสู่ทางอันเบาบาง อัน ว่างเว้นด้วยตัณหานั้น ไม่ช้าก็เร็ว เป็นธรรมดา ตามกำลัง
ผู้ใดเบาบาง ด้วยอยู่บนเส้นทาง แห่งความว่างเว้นทุกข์ พ้นทุกข์ อนุโมทนาด้วยครับ
ทุกวันนี้ บางคราวก็ขอบคุณทุกข์ที่ผ่านมา ที่ทำให้ได้เรียนรู้ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ข้อเดียวของทุกข์
ไม่เห็นทุกข์ หรือจะเห็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่รู้ทุกข์หรือ จะรู้ทางดับทุกข์
สุขกับทุกข์เฉียดกัน อยู่ติดกัน อนุโมทนาครับ -
หงษ์ สาธุด้วยเช่นเดียวกันครับ
Phusaard เวลาที่ตัวเราให้คำตอบกับตัวเอง มันก็แปลกนะครับ แสดงว่า สิ่งที่เราอยากรู้ สิ่งที่เราไม่รู้ ก็คือสิ่งเรา ก็รู้อยู่ แต่อะไรละที่มันขัดขวางเราเอาไว้ไม่ให้รู้ ขจัดมันออก ได้ คงไม่พ้นรู้ ที่ไม่รู้ทั้งหลายทั้งปวงนั้นเอง
อนุโมทนากับสหายธรรมทุกท่าน ที่แวะมาเยี่ยมเยียน แบ่งปันความรู้ความเห็นไมตรีทุกท่านครับ -
อยู่ท่ามกลางสิ่งบดบัง ดั่ง ยืนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยหมอกควัน อัดแน่นเต็มทั้งห้อง
สิ่งใดที่อยู่ใกล้เราแม้เส้นขน ก็มิอาจเห็นได้ หากอยากเห็น จงเปิดประตูห้อง ไล่หมอกควันออกไปเสีย จึงสามารถเห็นได้อย่างทะลุ
หลายท่านยังไม่เข้าใจบ้าง เนื่องด้วย ไม่ใช่ว่าท่านไม่สามารถเห็น แต่ท่านทั้งหลายต่างก็ปิดกั้น มิให้หมอกควันออกไปต่างหาก ฉะนั้นครุ่นคิดบ้าง ทำอย่างใดเล่า.... -
คำตอบที่ได้รับจากผู้อื่น บางครั้งเข้าใจแต่ไม่กระจ่าง
บางครั้งคำตอบที่ได้จากตัวเราเอง เราจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงแม้ผู้อื่นจะไม่เข้าใจหรือเราอาจจะไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้..
อนุโมทนากับคำตอบของทุกท่านค่ะ
เจริญในธรรมค่ะ -
ธรรมศึกษาทั้งหลายเป็นไปเพื่อขับไล่ อวิชชา ในตนเอง
-
ใช่แล้วครับผม สุข มาจาก ทุกข์ ทุกข์มาจากสุข (หากเคยเรียนเลข เรื่องเส้นจำนวน จาก0 ไปถึง+10และจาก0ไปถึง-10 หากเปรียบเทียบ ความสุขมากมายคือ+10 ถามว่ายังมีความทุกข์อีกมั้ยยังมีครับ แต่เป็นทุกข์แบบละเอียดนับลงคือ 9 8 7 6 จนถึง-10คือมหาทุกข์) พระอรหันต์ก็ยังมีทุกข์และสุขในธาตุขันธ์ท่าน แต่ท่านไม่เอาทั้งสุขและทุกข์
-
อริยะสัจจ
หรือ สิ่งที่เป็นความจริงของอริยะ มี 4 อย่าง แต่ก็เริ่มจาก ทุกขสัจจ
ดังนั้น สุขสัจจ ไม่มี สุข จึงไม่ใช่ สัจจ สูงสุด ที่ใครจะไปเอ่ยว่ามี
แต่ทว่า พระอรหันต์บางท่าน ก็ทักกัน ทุกข์ไหม ท่านก็ตอบว่าทุกข์!!
บางท่าน ก็ทักกันว่า สุขไหม ท่านก็ตอบว่า "สุขแท้ๆ น้อ!!"
ทำไมพระท่านถึงยัง พูด สุข กับ ทุกข์ ทั้งๆที่ จิตท่านก็ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง
ไม่มีสอง การจะบอกว่า ทุกข์แนบกับสุข สุขติดกับทุกข์ มันคือคำตอบ
ของสิ่งที่เป็นหนึ่งหรือ
ผมอยากตั้งข้อสังเกตดังนี้ สำหรับคนที่ เห็น พอเห็นจิตรวมลงเป็นสมาธิ
บ้างแล้ว เห็นความตั้งมั่นของจิตบ้างแล้ว แล้วพบว่า บางครั้งจิตรวมลงมา
แล้วกลับปรากฏเห็นว่าทุกข์ บางครั้งกลับเห็นว่าสุข โดยที่ มีอาการหยุดที่
จิตรวมเหมือนกัน ทำไมเห็นต่างกัน จะพบว่า
หากจิตรวมลง ตั้งมั่นอยู่ ไม่คลอนแคลน โดยการเกาะอารมณ์เป็นหนึ่งเข้ามา
แต่ต้น เอาตนนำออกแล้ว แล้วจึงมองออกไปยังโลกเกิดธรรมสังเวช เมื่อนั้น
จะปรารภว่า "ทุกข์แท้ๆน้อ" ก็จะเห็นว่า นักภาวนาที่เน้นการเพ่งจิตจนรวม
แล้วค่อยถอยมาดูโลก ทำไมเขาพูด "ทุกข์ ๆ" แล้วกลียดมากกับคำว่า
"สบาย สบาย" เกรงว่ากิเลสจะเต็มหัว ก็เป็นเพราะท่านเน้นการออกมารบ
กิเลสภายหลังความสงบนั้นแหละ
หากจิตรวมลง ตั้งมั่น โดยการแลเห็นโลกที่คลอนแคลน แล้วจิตมันรวมเข้า
มาเป็นหนึ่ง คือ ผ่านการมองโลกแล้วเข้ามาที่จิตเป็นหนึ่ง เอาตนนำออกแล้ว
มีเพียงธรรมสังวรณ์แบบนี้จะปรารภว่า "สุขแท้ๆน้อ" ก็จะเห็นว่า นักภาวนา
ที่เน้นการมองโลกแล้วจิตรวมเข้ามา ทำไมเขาพูด "สบาย สบาย" แบบไม่
ใช่กิเลสเต็มหัว แต่เป็นเพราะพึ่งห่างมาจากกิเลสต่างหาก
สุข ทุกข์ จึงน่าจะเป็น กริยาบางอย่าง ไม่ใช่เรื่อง คุณภาพสุขทุกข์ที่จะไปถือ
จะไปเห็นว่ามี
และที่เน้น เอาตนนำออกแล้ว เพื่อชี้ปัจจัยด้วยว่า สุขทุกข์ ที่ปรากฏ ไม่ใช่เรื่อง
ของผู้ภาวนาจะเอาหรือไม่เอา เพราะจะต้องรวมลงอย่างไม่มีอัตตาตัวตนเท่านั้น
ถึงจะเห็นตามความเป็นจริง ไม่เช่นนั้นแล้ว หากมีตนตั้งอยู่ สุขทุกข์ เป็นเรื่อง
การสนองกู ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร -
สาธุ..ทุกวันี้ ถ้าคนกันเองเกรงใจกันบ้าง..เขาผู้นั้นจะเป็น..ผู้ใหม่อยู่เสมอเลย จริงๆคับ
-
อนุโมทนาด้วยครับ
มือของผู้ให้ ย่อมอยู่สูงกว่า มือของผู้รับเสมอ -
จิตปรุง ไม่มีใครเข้าใจเราได้เหมือนอย่างที่เราเข้าใจตัวเรา ไม่มีใครแก้ทุกข์ให้เราได้เหมือนอย่างที่เราจะแก้ทุกข์ให้กับเราเอง
ongsathit1 จากหยาบถึงละเอียด จนถึงไม่เอาสุขและทุกข์ ก็ไม่อยู่ใต้สุขและทุกข์ ก็อยู่เหนือสุขและทุกข์
สับสน! เป็นความจริงที่เห็นคล้อยตามได้ครับ
เรือทุกข์ เป็นข้อคิดที่ดีครับ
อนุโมทนาและ ขอบคุณ ที่ได้นำความรู้ความเห็นแห่งตน มาแบ่งปัน ซึ่งจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ครับ สาธุ -
ไม่มีอะไรครับ ผมแค่มาหาประโยชน์เท่านั้น
มากมาย.....มากมาย เหลือเกิน
อนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ -
Supop ผู้เห็นประโยชน์ แม้มากน้อย ก็ย่อมเก็บเกี่ยวประโยชน์ได้มากน้อย ตามกำลังนั้น เป็นธรรมดา อนุโมทนาครับ
เพียงไมตรี เยี่ยมเยียนก็ควรค่าแก่การกล่าวว่า ขอบคุณแล้ว
วันนี้ แม้้ผมเอง ก็เก็บเกี่ยวเอาตามกำลังแล้ว พอสมควรแล้ว
คงต้องกล่าวว่า ราตรีสวัสดิ์ เจริญในธรรมทุกท่านครับ -
เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium
เมื่อตนรู้จักตน ก็รู้จักสิ่งที่ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
เมื่อตนเตือนตนได้ จักได้สอนตน
เมื่อตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนจึงเป็นที่พึ่งแห่งตนโดยแท้จริง
"ผู้อื่นเตือนสักพันครั้ง ไม่เท่าตนเตือนตนได้"
โมทนาสาธุ กับทุกท่านที่พึงเห็นประโยชน์แห่งตน จึงมองหาตน และ สั่งสอนตน สาธุ -
สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา โดยตัวของมันเองจะมีความหมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการให้ค่าความสำคัญของเราเอง..เคดิต พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)
อนุโฒทนาครับ
หน้า 1 ของ 2