เหตุที่ทำให้พระกรรมฐานไม่ค่อยได้ผล
เมื่อวันที่ ๒๔ ก.พ. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปฐมได้ทรงพระเมตตามาสอนเพื่อนที่ร่วมปฏิบัติธรรมของผม ที่ร่วมไปปฏิบัติพระกรรมฐานที่วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร แล้วไม่ค่อยได้ผล มีความสำคัญดังนี้
๑. “กรรมฐานเที่ยวนี้ล้มเหลวอีกแล้วหรือเจ้า เหตุก็เพราะเจ้าปล่อยให้ถีนะมิทธะ (ความง่วง) เข้าครอบงำจิต จึงเป็นผลให้นิวรณ์กดดันจิต ให้สิ้นกำลังที่จักเจริญพระกรรมฐานให้ได้ผล จำเอาไว้ เพราะเจ้ามีความประมาทในนิวรณ์ ๕ ประการ ต่อไปห้ามคิดว่านั่งต่อไปอีกนิดน่า ไม่เป็นไร ถ้ารู้สึกว่าความง่วงเข้าแทรกเมื่อไหร่ อาการง่วงหาวปรากฏ ให้รีบลุกขึ้นเดินทันที”
๒. “ถ้าระงับไม่ได้ก็ชนะไม่ได้ ห้ามโต้แย้งเป็นอันขาดว่า นั่นเป็นการหลับในฌาน หากกล่าวเช่นนั้นก็เป็นการเข้าข้างกิเลสมากเกินไป”
๓. “การหยิบเอาบันทึกคู่มือปฏับัติพระกรรมฐานขึ้นมาดูนั้น ถ้าอารมณ์นิวรณ์ ๕ แทรกได้แล้ว การพิจารณาก็จักไม่มีผล เพราะปัญญามันไม่เกิด เพราะฉะนั้น ต้องตื่นตัว ปลุกจิตให้ระงับนิวรณ์ ๕ ในขณะนั้น แต่ถ้าหากระงับได้ตลอดเวลา ก็ควรจะระงับ เมื่อระงับได้แล้วนั่นแหละ จึงจักหวนกลับมาพิจารณาธรรมต่าง ๆ ได้”
๔. “อย่าลืมแม่บทของการเจริญพระกรรมฐาน คือ อานาปานุสติ หมั่นเติมพลังให้แก่ดวงจิตเข้าไว้จักได้มีกำลัง ถ้าหากทำได้ก็ให้ทำจิตถึงฌาน ๔ เห็นภาพนิมิตกสิณเป็นแก้วแล้ว จิตชุ่มชื่นดีแล้ว หวนกลับมาจับอารมณ์วิปัสสนาญาณ อันนั้นแหละ จักเป็นผลดีทั้งสมถะและวิปัสสนาญาณ”
๕. “อย่าท้อถอยนะ ผิดแล้วก็เริ่มต้นใหม่ หมั่นกำหนดจิตรู้ลมเข้าออกอยู่เนือง ๆ จิตจักได้เคยชิน จักภาวนาควบคู่ไปด้วยก็ได้ ไม่ภาวนาก็ได้ ให้หมั่นกำหนดรู้อยู่เสมอ สมาธิจิตจักได้ทรงตัว”
๖. “รู้อย่างเบา ๆ มีสติสัมปชัญญะ กำหนดรู้การเข้าออกของลมหายใจ อย่าไปรู้แบบหนัก ๆ จิตมีวิตกกังวลแบบนั้น จักไม่เป็นผล เป็นอัตตกิลมถานุโยค จิตหนัก สมาธิหนักเกินไป ไม่เป็นผล”
---------------------------------------------------------------------------------------------
วิจารณ์
สำหรับพวกที่ยังไม่ได้กสิณ อาจคิดว่าตนทำไม่ได้ ผมขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
๑. ความสำคัญหรือหลักในการปฏิบัติพระกรรมฐาน ก็คือการระงับนิวรณ์ ๕ ให้ได้เสียก่อน
๒. แม่บทที่ทำให้จิตสงบ เป็นฌาน เป็นสมาธิได้ คือ อานาปานุสติ ผู้ใดไม่สนใจจุดนี้ ก็อย่าหวังที่จะทำให้จิตสงบและทรงตัวได้
๓. ผู้ไม่ได้กสิณ ให้สังเกตเอาเสียงเป็นหลักสำคัญ หากหูได้ยินเสียงดี แต่จิตเราไม่รำคาญในเสียง คงพิจารณาได้ต่อเนื่องนั่นคือ จิตถึงปฐมฌาน จัดเป็นอัปปนาสมาธิ ซึ่งมีกำลังพอพิจารณาตัดกิเลสให้ขาดได้แล้ว
หากจับรู้ลมหายใจเข้าและออกควบกับคำภาวนาอยู่ แล้วคำภาวนาหายไป จิตสงบดี หูได้ยินเสียงเบาลง นั่นเป็นฌานที่ ๒
หากปฏิบัติต่อ รู้สึกว่าตัวแข็ง ขยับตัวไม่ได้ อย่าตกใจ อย่ากลัวตาย ขณะนั้นเสียงจะเบาลงมาก ขณะนั้นจิตเข้าสู่ฌานที่ ๓
และหากเสียงหายไป หูไม่ได้ยินเสียงเลย กายจะเบา จิตจะเบาสบาย ขณะนั้นเป็นฌานที่ ๔ อย่างหยาบ และหากรู้สึกว่าแม้แต่กายก็ไม่มี หายไปด้วย จิตเบาสบาย และเป็นสุขมาก ขณะนั้นเป็นฌาน ๔ อย่างละเอียด ให้ใช้หลักการนี้เป็นข้อสังเกต
๔. อาการง่วงเหงาหาวนอนเกิด อย่าฝืน ให้ลุกขึ้นเคลื่อนไหวร่างกายโดยการเดิน ถ้าระงับนิวรณ์ ๕ ไม่ได้ การปฏิบัติก็ไม่มีผล
๕. อารมณ์จริงต้องเบา ๆ สบาย ๆ หากหนักและเครียด ไม่ใช่อารมณ์จริง ตึงเกินไปก็ไม่มีผล หย่อนเกินไปก็ไม่มีผล การบรรลุต้องใช้ทางสายกลางทั้งสิ้น
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๕
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com
ที่มา วัดท่าขนุน
เหตุที่ทำให้ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ค่อยเห็นผล
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Apinya Smabut, 17 สิงหาคม 2019.