เออ!...ตามมาทำไม..ถ้าไม่รักยายผีป่า?!!

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 23 มีนาคม 2005.

  1. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : .........(ไม่ชัด)................
    ตอบ : ทำไมล่ะ แป๊บเดียวของข้างบน ก็นิดเดียว เคยได้ยินไหม กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา เคยได้ยินพระสวดไหม ถ้าสวดต่อก็แป๊บเดียว ท่านเทศน์แต่หัวข้อแต่ว่าความเป็นทิพย์ของเทวดาน่ะสูงมาก อยู่ในระดับที่ว่า อุคติตัญญูคือฟังหัวข้อไปเข้าใจเลย เราฟังรู้เรื่องไหมล่ะ ท่านบอกว่า ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล เขาฟังปุ๊บเขาก็รู้แล้ว ธรรมส่วนที่เป็นกุศลคืออะไร ธรรมที่เป็นส่วนอกุศลคืออะไร ที่ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาปคืออะไร และเขาก็จะเลือกที่ถูกที่ควรของเขาได้ ฉลาดมากขนาดนั้น
    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเทศน์มาก เทศน์ข้างบนนี้ไม่ต้องเทศน์ยาว ๓ เดือน ก็แป๊บเดียวของข้างบน ถ้าจะเลิกสงสัยก็เป็นซะเองพอถึงเวลาก็ขึ้นไป (หัวเราะ) น่าสงสัยมั้ย ? สถานที่ที่อยู่เป็นสุขมันเหมือนกับผ่านไปเร็วใช่มั้ย ? เวลาเราสบายใจแป๊บเดียวหมดวันแล้ว คราวนี้เทวดาเขาสุขไอ้ความสบายใจของเรานับเข้าไม่ได้ เพราะเวลาของเขาพอนับเวลาของมนุษย์แล้วมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน ของเขาแค่วันเดียวของเราต่ำ ๆ ก็ไป ๕๐ ปีแล้ว ถ้าหากว่าชั้นดาวดึงส์วันหนึ่งก็ ๑๐๐ ปีของเรา
    นางปติปูชิกาเป็นภรรยาของมาลาพาลีเทพบุตร ลงมาเกิดเป็นมนุษย์แต่งงานมีลูกแล้ว ตายตอนอายุ ๕๐ เศษนิดหน่อย กลับขึ้นไป มาลาพาลีเทพบุตรถามว่าเธอหายไปไหนมาครึ่งวัน ไปเกิดเป็นมนุษย์อายุ ๕๐ กว่า มีสามีมีลูกแล้ว ตายแล้วกลับขึ้นไปใหม่ กลายเป็นครึ่งวันของข้างบนเท่่านั้น ท่านก็บอกว่าท่านไปเกิดเป็นมนุษย์มา มีสามีมีบุตรแล้ว แล้วก็ได้ทำบุญในสำนักของพระพุทธเจ้าอธิษฐานเพื่อขอกลับมาเกิดใหม่ในสำนักของท่าน มาลาพาลีเทพบุตรก็ตกใจ เอ๊ะ ! ชีวิตมนุษย์มันสั้นขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วเขามีความประมาทอยู่หรือว่าเป็นผู้ขวนขวายได้บุญ ปติปูชิกาบอกว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ประมาทลุ่มหลงมัวเมาอยู่ มาลาพาลีเป็นเทวดานี้ก็มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ ตั้งใจรู้อะไรก็รู้หมด ก็ได้แต่นั่งถอนใจสงสารมนุษย์ไม่รู้จะช่วยยังไง
    ถาม : น้องชายเขาบนบวชเอาไว้ ตั้งใจว่าบวชเมื่อเรียนจบปีหน้าเขาจะไปรับผู้พัน เขาจะบวชสักพรรษาหนึ่ง คือใช้ที่เขาบนเอาไว้ด้วย แล้วก็บวชให้ตัวเองด้วย แต่บังเอิญตำแหน่งที่ีมาเขาไม่สามารถบวชได้ในตอนนี้ มีวิธีไหนไหมคะ ที่จะ....?
    ตอบ : แล้วเขาไปบนในลักษณะที่ว่าจะบวชเมื่อไหร่หรือเปล่า ?
    ถาม : ไม่ได้บนในลักษณะว่าจะบวชเมื่อไหร่ค่ะ
    ตอบ : บนแค่ว่าให้บวชใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ พอได้สมดังใจแล้วก็จุดธูปบอกท่านเลยว่าเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะบวชให้เพราะตอนนี้ตำแหน่งหน้าที่ที่ให้มาไม่สามารถจะบวชได้จริง ๆ จนกว่าจะปลีกตัวได้ ยกเว้นว่าเราไปล็อกเวลาแน่นอนว่าถ้าได้ปุ๊บจะต้องบวชอะไรอย่างนั้น เพราะว่าเรื่องของเทวดาท่านตรงไปตรงมา
    ถาม : ไม่เกี่ยวกับอธิษฐานจิตใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ไม่เกี่ยว
    ถาม : มีอีกเรื่องหนึ่ง คือว่ารู้ตัวทุกอย่างแต่ว่ามันกดจนมันสุดทนแล้ว กดไม่ไหวแล้ว ปล่อยออกมาก็รู้ว่าผิด เก็บไว้ก็เก็บไม่ได้ ?
    ตอบ : ก็ปล่อยออกมาสิ แต่ว่าอย่าปล่อยให้มันเป็นโทษแก่คนอื่น ไประเบิดในห้องน้ำก็ได้
    ถาม : ...............
    ตอบ : นั่นแหละ เอาเลย เพราะอย่างเก่งมันก็เป็นแค่มโนกรรม วจีกรรม อย่าให้มันเป็นกายกรรม เราลดกรรมเหลือให้น้อยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ถ้าหากจะลดวจีกรรมลงด้วยก็เอาแค่ในใจก็ได้ ด่าให้มันระเบิดเถิดเทิงไปเลย แต่ด่าในใจ
    คือถ้ามันถึงเวลามันไม่ไหวจริง ๆ เพราะว่าสติมันตามไม่ทันไปรับเขาเอาไว้เยอะมันก็จำเป็นนะ ต้องใช้คำว่าจำเป็นเลยว่าถึงเวลามันไม่ไหวมันก็จะระเบิดเอา อันนั้นก็ลดกรรมให้มันเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะพึงเป็นได้ คือถ้าอย่างหนักก็กายกรรมใช่มั้ย ? เราก็ให้เหลือวจีกรรมหรือมโนกรรมก็พอ หรือถ้าเป็นไปได้ ให้มันเหลือแค่มโนกรรมให้อกแตกตายไปคนเดียวก็พอ อย่าให้ความชั่วของเรามันไหลไปปนเปื้อนให้คนอื่นเขาลำบากไปด้วย
    ถาม : (ถามเรื่องอยากมีลูก) จะเลี้ยงไหวไหมครับ เดี๋ยวมีเยอะน่ะครับ ?
    ตอบ : อาจจะได้แฝด ๘ (หัวเราะ) บายศรีคู่หนึ่ง ซ้ายขวา ๑ คู่ ไก่ต้ม ๑ ตัว หัวหมูต้ม ๑ หัว ขนมต้มขาวต้มแดงอย่างละถ้วย ข้าวปากหม้อ ถ้าหากบายศรีเขาอัดข้าวไปได้ก็อัดเ้ข้าไปในบายศรี ถ้าใส่ไม่ได้ก็เอาใส่ถ้วยไว้ต่างหาก แล้วก็ไข่ต้มยอดบายศรี ถ้ายอดบายศรีเขาไม่เตรียมไว้ให้เราเสียบไข่เราก็เอาไข่วางรวมไว้กับข้าวก็ได้ ก็เท่ากับว่าไข่ต้มอย่างน้อย ๒ ฟองนะ แล้วก็กล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ส้มโออย่างละ ๒ เพราะว่าเราจัดบายศรีซ้ายขวาใช่ไหม ? ก็อย่างละ ๒ จัดเป็น ๒ ชุด มีเทปบวงสรวงหลวงพ่อไหม ? รู้จักไหม ? หลวงพ่อท่านจะมีเทปสมาทานกรรมฐานอยู่ม้วนหนึ่ง อย่าให้เกิน ๙ โมงเช้านะ ยิ่งเช้ายิ่งดี เปิดเทปบวงสรวง ตั้งใจขอกับท่านปู่พระอินทร์เพราะว่าพระอินทร์ท่านเป็นนายของเทวดาทั้งหมด ตั้งใจขอท่านว่าเทวดาองค์ไหนจะที่จะเกิดมา เพื่อสร้างบารมีขอให้มาเกิดกับเรา จะบำรุงเลี้ยงเต็มที่ แล้วถ้ามาทั้งทีก็ควรจะให้คุณกับครอบครัวเยอะด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวเลี้ยงมันอย่างเดียว...ตาย
    ถาม : .........................
    ตอบ : เทวดาองค์ไหนที่จะมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ขอให้มาเกิดกับเรา ขอให้ท่านปู่พระอินทร์ช่วยสงเคราะห์ให้เทวดาองค์ไหนที่ท่านปกครองอยู่จะมาเกิดเพื่อสร้างบารมีน่ะ ขอให้มาเกิดกับเรา อธิษฐานขอกับท่านปู่ดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ
    ถาม : อย่างนี้มันก็อยู่ที่ว่าเขาก็ต้องเนื่องกับราด้วยสิครับ ?
    ตอบ : มันก็ต้องเนื่องกันมาในอดีตอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีอะไรกันนิดหนึ่ง
    ถาม : อยากมีลูกแต่กลัวเลี้ยงลูกไม่ดี แต่ก็จริง ๆ นะได้ิยินมาว่าตีก็ไม่ได้ ?
    ตอบ : เด็กที่มาจากข้างบน ที่มาจากพรหม จากเทวดา เขาจะรู้ภาษารู้เหตุรู้ผลตั้งแต่เด็ก ๆ ถ้าเขาทำผิดครั้งแรกอย่าเพิ่งลงโทษ ให้บอกเขาว่าสิ่งที่เขาทำแล้วผิด ต่อไปหนูทำอีกแล้วแม่ต้องตีนะ จะต้องลงโทษนะ แล้วต่อไปเขาทำผิดบอกเนี่ยหนูทำผิดอย่างที่แม่บอก แล้วตีเขาจะรับได้ แต่ถ้าไปตีเขาแล้วไม่ให้เหตุผลพวกนี้จะดื้อ แล้วถ้าดื้อขึ้นมาแล้วเลี้ยงยากอย่าบอกใคร ต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผล
    ถาม : พอดื้อปั๊บ ผมก็เสียงดัง
    ตอบ : พวกนี้จะรู้เหตุรู้ผล แต่ว่าเด็กก็คือเด็ก ความจำเขาจะสั้น เราบอกซ้ำไปแป๊บ ๆ เดี๋ยวก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้นถึงเวลาก็บอกเขาใหม่ แต่ถ้าหากว่าสิ่งนั้นเขารู้ว่าผิดแล้วเขาทำ ถ้าเราตีเขา เขารับได้
    มีเด็กอยู่คนหนึ่ง ตัวมันนิดเดียวแหละ อายุประมาณสัก ๓ ขวบนะ ชื่อจริงเขาชื่อสมาบัติ ไอ้นี่มาจากข้างบนแท้ ๆ เลย พอเขาทำผิดพ่อเขาตี เขาเป็นอาจารย์ด้ว ยพอตีปั๊บเขาถามว่าตีผมทำไม พ่อยิ่งโกรธยิ่งตีใหญ่หาว่าลูกหัวหมอ แต่จริง ๆ ลูกมันถามเหตุผลเท่านันแหละ ว่าตีทำไม แต่ไม่บอกเขา ตีเขาแบบระบายอารมณ์ พวกนี้ถ้าดื้อขึ้นมารับรองได้เลยว่าเอาอยู่ยาก
     
  2. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : นี่พอตั้งท้องก็ตั้งชื่อเลย ยังไม่ทันรู้เลยว่าลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะเคยแท้งน่ะค่ะ ตอนนั้นท้องได้ ๔ เดือน
    ตอบ : ระยะนี้ก็อย่าไปเล่นคอมฯ บ่อยก็แล้วกัน เห็นว่าใกล้คอมฯ แท้งเยอะ เพรามันเท่ากับโดนเอ็กซเรย์อยู่ตลอด
    ถาม : ก็นั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯ
    ตอบ : เอาหมอนนิ่ม ๆ ใบโต ๆ สอดไว้ข้งหน้าเราเวลาทำงาน มันช่วยได้เยอะ
    ถาม : .............
    ตอบ : กำลังของกรรมทั้งหมดเหมือนกับวังน้ำวนที่ดึงดูดเราอยู่ ถ้าหากว่ากำลังเราาสูงกวา่เราสามารถแหวกว่ายเพื่อที่จะฟันฝ่าให้หลุดพ้นจากวังวนอันนั้นขึ้นฝั่งไปได้ก็เป็นอันว่าจบ หนี้สินต่าง ๆ น่ะ ไม่ได้เกี่ยวกัน เจ้าหนี้อยู่ฝั่งโ้้น้น ถ้าจะตามขึ้นไปตามข้างบน (หัวเราะ) พอไปถึงข้างบนไม่มีใครเขาทวงกันแล้วจ้ะ มันต่างคนต่างหลุดพ้นสบายไปแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นภาระเป็นกิจที่ต้องทำอีก
    ถาม : วิธีเดียวที่จะหนีจากโลกคือต้องไปนิพพาน ?
    ตอบ : ไปนิพพานให้ได้ถึงจะจบ ไม่อย่างนั้น</B>แล้วกรรมทุกอย่างจะหมดลงด้วย ๒ สาเหตุ สาเหตุแรกเขาเรียกว่า อโหสิกรรม</B> คือว่าโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้ากัน พร้อมใจกันเอ่ยปากวา่กรรมทั้งหลายที่ทำมาขอให้เป็นอโหสิกรรม สิ้นสุดลงต่อกัน ถ้าตกลงกันได้อยา่งนั้น กรรมนั้นจะจบลง อีกอย่างหนึ่งก็ถือว่าเป็นอโหสิกรรมด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งทำความดีถึงที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งไม่อาจจะตามได้ก็จบลงเหมือนกัน เขาไปต่างประเทศแล้วเราอยู่ที่นี่ไม่มีสตางค์ค่าเครื่องบินน่ะ ก็เป็นอันว่าไม่สามารถทวงได้
    พระองคุลีมาล ใช้หมดมั้ยล่ะจ้ะ ? (หัวเราะ) ฆ่าไปซะบานเลย ยังไม่ได้ใช้สักคนไปนิพพานซะแล้ว กรรมเป็นของน่ากลัวไล่ตามเราอยู่ตลอดเวลาเหมือนสัตว์ที่ดุร้าย่ตามทันเมือ่ไหร่ก็ขบกัดทำอันตรายเราอยู่เสมอ บางทีถึงแก่ชีวิตลง อย่างเช่น อุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนทั้ง ๆ ที่ไม่ทันหมดอายุก็ต้องตายลงไป
    เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวขนาดนี้ตามเราอยู่ตลอดเวลา ขนาดนี้ถ้าไม่เร่งหนีมันให้พ้นก็จะโดนมันทำอันตรายอยู่เสมอ วิธีหนีที่ดีที่สุดก็คือต้องหนีไปนิพพาน ที่อื่นหนีไม่พ้น </B>พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ไม่ว่าจะหนีไปอยู่ใต้มหาสมุทร จะหนีไปอยู่ในกลีบเมฆบนท้องฟ้า หนีไปอยู่ในซอกเขาลึก ก้นเหวลึกสุดคณา กรรมทั้งหลายก็ยังคงตามได้เป็นปกติ ยกเว้นที่เดียวพ้นโดยสิ้นเชิง คือ พระนิพพาน</B>
    ถาม : ส่วนมากนี่คนที่ไปแล้วมักจะอยู่ไม่ได้ใช่ไหมคะ เช่น ฆราวาส ?
    ตอบ : ถ้าเป็นฆราวาสหากว่าบรรลุมรรคผลแล้วอยู่จะเป็นโทษแก่คนอื่นมาก ความดีก็จะตัดให้ตายไปเลยจะได้ไม่เป็นโทษกับเขา
    ถาม : โทษกับคนอื่นนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ?
    ตอบ : คนที่เขาไม่ทราบเขาก็ยังเห็นเราเหมือนเดิม แต่ความจริงกำลังใจของเราสะอาดถึงที่สดุแล้ว ในเมื่อเขาแตะนิดแตะหน่อยสิ่งที่ตอบคืนกลับไปนั้น ถ้าทำดีก็จะได้คุณอนันต์ ถ้าทำชั่วแก่เราก็จะได้โทษมหันต์
    นางขุชชุตตรา เพื่อท่านเป็นทภิกษุณีกลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ไปคุยกันอยู่ นางขุชชุตตราท่านนั่งอยู่ เพื่อนท่านนั่งแล้วขวางเครื่องแต่งตัวท่านอยู่นี่ ท่านก็บอกว่าพระแม่เจ้าโปรดหยิบเครื่องแต่งตัวให้ดิฉันหน่อย ภิกษุณีท่านก็พิจารณาดูว่าถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เธอโกรธจะลงนรก แต่ถ้าเราหยิบให้เธอโทษของการใช้พระอรหันต์ตายไปต้องเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ การเป็นคนใช้เขาย่อมดีกว่าลงนรก ท่านก็เลยหยิบส่งให้ นางขุชชุตตราต้องไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ เพราะว่าใช้เพื่อนที่เป็นภิกษุณีอรหันต์ นั่นขนาดเป็นภิกษุณีแล้ว คราวนี้ลองคิดดูว่าถ้าเราที่เป็นฆราวาสแล้วเพื่อนไม่รู้ล่ะ ?
    ถาม : ...............................
    ตอบ : เด็กผู้หญิงคนนี้อายุประมาณ ๕ ขวบเท่านั้น ตายลง แล้วพระยายามราชให้เทวทูต ไปตามหลวงพ่อจากวัดท่าซุงบอกว่าเด็กคนนี้เรียกหาหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา พอหลวงพ่อไปถึงก็แปลกใจว่าทำไมเรียกหา ก็ปรากฏว่ากำลังใจเขาทรงความดีอยู่ตลอด พระยายมบอกว่าเด็กคนนี้โตขึ้นจะเป็นพระอนาคามี แต่เนื่องจากเธอโตขึ้นจะเป็นคนสวยมาก และกรรมเก่าที่เคยทำไว้จะมาสนอง ทำให้ถูกผู้ชายเบียดเบียน จะเป็นโทษแก่ผู้ชายมหาศาล เลยตัดให้ตายซะดีกว่าขึ้นไปต่อข้างบนแทน เพราะฉะนั้นแค่นันยังเป็นโทษ
    อย่าว่าแต่พระอรหันต์ แต่ใช้คำว่าแค่นั้นสำหรับพระอริยเจ้านี่ แค่นั้นของท่านประเมินไม่ได้ มหาศาลจนกะไม่ถูก อยู่จะเป็นโทษ แต่ว่าสำหรับโยมแล้วใช้กำลังใจเราไปกังวลอารมณ์พระอริยเจ้า บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว หาคนอยากอยู่ไม่มีซักคนหนึ่ีง ส่วนใหญ่แล้วพร้อมที่จะไปอยู่ตลอดเวลา เพราะเห็นว่าร่างกายนี้โลกของเรานี้มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น เหมือยังกับจมอยู่ในกองทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า บุคคลที่ตกลงไปในบ่อคูถ ก็คือหลุมส้วม มีใครอยากจะแช่อยู่ในนั้นบ้าง มีแต่จะเร่งตะเกียกตะกายหนีมันไปให้พ้น ๆ เสีย เพราะทนอยู่กับความโสโครกเช่นนั้นไม่ได้ กำลังใจพระอริยเจ้าท่านสะอาดมาก จนกรั่งเห็นความไ่ม่ดีของร่างกาย ของโลกนี้อย่างชัดเจน เห็นอย่างชนิดที่ไม่มีอะไรปิดบังซ่อนเร้นได้ ดังนั้นท่านจะเบื่อเป็นอย่างยิ่ง ท่านจะไปเสียให้พ้นไปเดี๋ยวนี้ซะด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสตัดให้ถึงแก่ชีวิตลง นันถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปตามความต้องการของท่านเลย ท่านจะไม่มากลัวตายเหมือนกับพวกเรา
    ถาม : ขณะนี้ มีพระที่ฝึกถึงขั้นนี้มีบ้างมั้ยคะ ?
    ตอบ : มีจ้ะ เยอะด้วย เยอะกว่าที่โยมคิด แต่ว่าจำนวนมากส่วนใหญ่ ท่านจะเก็บองค์ท่านเงียบ ๆ อยู่ จนกว่าจะถึงวาระหรือว่าถึงเวลาที่งานจุดนั้น ท่านจำเป็นจะต้องทำ ท่านก็ทำ พอหมดจากงานท่านก็ไป
    ถาม : อยู่ทางภาคไหนมากที่สุดเจ้าคะ ?
    ตอบ : ทางภาคไหนมากที่สุด ปัจจุบันนี้จะอยู่างอีสานมาก
    ถาม : ทางใต้มีมั้ยคะ ?
    ตอบ : มีทุกที่ ที่ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังสมบูรณ์อยู่ และคนตั้งใจปฏิบัติธรรมอยู่ ไม่ใช่แต่ประเทศเรา ต่างประเทศก็มี
     
  3. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ท่านคะ แล้วทำไมพระพม่าต้องเขียนคิ้วล่ะคะ ?
    ตอบ : ปกติแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติให้ภิกษุต้องโกนคิ้ว ท่านบอกว่าปลงผม โกนหนวด ตัดเล็บ เท่านั้น แต่ว่าคราวนี้สมัยรัชกาลที่หนึ่งไทยกับพม่ายังมีศึกกันอยู่ รัชกาลที่หนึ่งทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ภิกษุไทยโกนคิ้วเสีย เพื่อให้เป็นจุดแตกต่างกัน ถ้าทางฝั่งพม่าเข้ามาเพื่อสืบข้อราชการ ปลอมเป็นภิกษุเข้ามา ก็จะได้แยกได้เป็นไทยหรือพม่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ยังไม่มีการยกเลิกประกาศอันนี้ ภิกษุของไทยก็ยังคงโกนคิ้วมาถึงทุกวันนี้ แต่ขณะเดียวกันว่าของพม่าเขาไม่มีการดกนคิ้ว ก็เลยเป็นปกติอยู่ ที่อื่นก็ไม่ได้โกนนะจะมีเมืองไทยที่เดียวที่โกนคิ้ว
    ถาม : ..............มีแต่คนชั่วทั้งนั้นเลย ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ มีทั้งขโมยพระในวัด ตัด ฆ่าพระเพื่อจะชิง
    ตอบ : มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ว่าสมัยนี้การข่าวมันรวดเร็ว เราก็เลยได้รับมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่มีอยู่เหมือน ๆ เดิม ยุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกัน
    ถาม : แล้วทำยังไงให้กรรมเห็นทันตาให้เร็วขึ้นกว่านี้หน่อยคือจับปั๊บ
    ตอบ : (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้นคงต้องไปตั้งกติกาใหม่ล่ะจ้ะ เรื่องของกรรมเขามีปรากฏอยู่อย่างชัดเจนอยู่แล้ว คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือ ทำกรรมที่ให้ผลทันตาในชาติปัจจุบันนี้ อุปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม เหล่านี้ให้ผลในชาติที่สองที่สาม อย่างเช่นว่า ตายไปแล้วค่อยตกนรกอย่างนี้เป็นต้น กรรมเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทำในส่วนที่เป็นครุกรรม คือ กรรมอันหนัก แล้วให้ผลในปัจจุบัน ก็ไม่สามารถเป็นไปได้อย่างที่โยมต้องการหรอกจ้ะ ไอ้ของเรามันจะกลายเป็นฟุ้งซ่านเดือดร้อนไปเองต่างหาก
    ถาม : ...............
    ตอบ : พระยาชมพูบดี ท่านเป็นกษัตริย์ที่มีอานุภาพมาก สามารถเหาะได้ มีพระขรรค์แก้ว มีธนูวิเศษ คราวนี้ท่านเองเหาะไปเที่ยว ไปเจอปราสาทพระเจ้าพิมพิสารเข้า พระเจ้าพิมพิสารปราสาทท่านสวยก็หมั่นไส้อยากจะให้พังซะ ใช้รองเท้าแก้วลองกระทืบดู ปกติแล้วอานุภาพเขาว่าเหยียบภูเขาจมดินได้ แต่กระทืบลงไป
    ปรากฏว่าพระเจ้าพิมพิสารท่านเป็นพระโสดาบัน พุทธานุภาพคุ้ม แทนที่ปราสาทจะพัง กลายเป็นว่าไปเหยียบซะจนแทงทะลุรองเท้าแก้วเข้าไป แล้วโมโหก็เลยฟันด้วยพระขรรค์แล้วพระขรรค์ที่สามารถฟันตัดหินตัดภูเขาได้ก็บิ่นซะอีก ก็โกรธ กลับไปถึงที่อยู่ของตัว ก็ส่งอวิตาศรมาเพื่อจะทำร้าย ธนูอันนี้ถือเป็นอาวุธที่สามารถตั้งได้ว่าจะยิงไปเป้าหมายไหน พอยิงไปแล้วสั่งว่าให้ไปทำร้ายใคร ก็ไปเฉพาะคนนั้น พระเจ้าพิมพิสารพอได้ยินเสียงธนูมา บอกว่าจะทำร้ายเฉพาะท่าน ท่านก็หนีเข้าไปในเชตวน พอธนูตามไปพระพุทธเจ้าใช้วาโยกสิณหอบคืนไป แล้วเห็นว่าพระยาชมพูบดีมีวิสัยที่จะได้เป็นพระอริยเจ้า เลยให้พระโมคคัลลาน์จัดการ
    พระโมคคัลลาน์ก็จัดแจงแปลงพระเชตวันกลายเป็นปราสาทราชวังของพระเจ้าจักรพรรดิไปเลย แล้วส่งเณรไปเป็นทูต เณรก็แปลงตัวแบบลักษณะพระเจ้าจักรพรรดิไป พระยาชมพูบดีมาเห็นว่าแค่ทูตยังขนาดนี้ เลยยอมตามมา ตามมาถึงเจอคนเฝ้าประตูก็ดีกว่า พ่อค้าแม่ขายอะไรก็ดูสวยกว่าตัวเองไปหมด ทำไมจะไม่ใช่ ไม่สวยกว่า เพราะส่วนใหญ่ภิกษุ ภิกษุณีอรหันต์ทั้งนั้น ท่านปลอมตัวมา จนเข้าไปถึงพระบรมมหาราชวัง ซึ่งจริง ๆ ก็คือพระเชตวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าท่านทรงเครื่องจักรพรรดิเต็มอัตรารออยู่ พระยาชมพูบดีไม่สามารถที่จะต่อต้านอานุภาพได้ ก็ยอมฟังธรรม เลยเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้
    พระพุทธเจ้าปางที่โปรดพระยาชมพูบดีนั้นจะทรงเครื่องพระจักรพรรดิ ถ้าจะดูตัวอย่างจริง ๆ ให้ดูที่วัดพระแก้ว วัดพระแก้วจะมีองค์ใหญ่ยืนทรงเครื่องอยู่สององค์ คือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สององค์นั้นจะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ เขาเีรียกปางปราบพระยาชมพูบดี ทรงเครื่องสวยมากแล้ลักษณะของพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานก็จะเป็นพระพุทธเจ้าทรงเครื่องที่หลวงพ่อท่านใช้ว่า พระวิสุทธิเทพ พระวิสุทธิเทพก็คือลักษณะทรงเครื่องแบบพระแก้วมรกต
    ถาม : ท่านเคยไปมั้ยคะ บ้านคุณหญิงสุรีย์พันธุ์ ?
    ตอบ : ของคุณหญิงสุรีย์พันธุ์จริง ๆ สมัยหลังไม่ได้ไปล่ะจ้ะ เพราะว่าสมัยแรก ๆ ที่หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายนั่น อาตมาจริง ๆ ตั้งใจจะบวชสายหลวงปู่มั่นซะด้วยซ้ำ แต่เพียงแต่ว่าไม่ทราบว่าจับพลัดจับพลูท่าไหน พอสิ้นหลวงปู่ฝั้นก็มาอยู่ที่หลวงพ่อแทน เพราะว่ารู้ัจักปฏิบัติตามหลวงพ่อตั้งปี ๒๕๑๘ พอปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นท่านก็สิ้น เหมือยังกับท่านส่งต่อให้ ใ้ห้รู้จักล่วงหน้าปีกว่าเกือบสองปี
    ก่อนหน้านั้นเกาะอยู่กับหลวงปู่ฝั้นเพราะว่าที่เกาะอยู่กับท่าน ไปสะกิดคำพูดของท่านง่าย แล้วฟังเข้าใจง่าย ปกติแล้วสมัยนั้นรุ่น ๆ คงซักขนาดนี้แหละ ไปโน่นไปนี่เจอหลวงปู่หลวงพ่อก็แบมือขอของดีหน่อยครับ องค์โ้น้นก็ให้องค์นี้ก็ให้ ไปหลวงปู่ฝั้นนี่ซิ บอกดีนอกเอาไปทำไม เดี๋ยวมันก็หาย ทำไมไม่หาดีในไว้ล่ะ พอได้ยินก็สะดุดหู ก็กราบเรียนถามท่านว่า ดีในเป็นยังไงครับ ท่านบอกว่าพุทโธไง คำเดียวคุ้มได้สามโลกเลย ท่านสอนให้ภาวนา
    ถาม : ............ช่วงสงกรานต์ หลวงปู่ หลวงพ่อสายหลวงปู่..........วัดบ้าน.......ท่านเอาพระธาตุมาให้ชมเข้าคิวกัน แล้วเอาเลนส์แว่นขยายส่องให้เห็นแสงรัศมีออกมาสวยมาก
    ตอบ : คุณหญิงท่านคล้าย ๆ กับว่า ต้องใช้คำว่าอะไร เกิดมาเพื่ออย่างนี้โดยเฉพาะ มีโอกาสได้อุปัฏฐากหลวงปู่หลวงพ่อ ซึ่งเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาตลอดเลย โดยเฉพาะหลวงปู่หลุยส์ หลวงปู่ชอบ สององค์นี้จะสงเคราะห์ท่านประจำ ๆ แล้วสายหลวงปู่มั่นก็ไปกันมาก
    ถาม : ท่านเคยไปที่ภูทอก ของอาจารย์จวนมั้ยคะ ?
    ตอบ : จ้ะ อาจารย์จวน ท่านก็มรณภาพเร็วไปหน่อย คราวนี้ว่าระหว่างที่พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านอยู่อย่างนั้น พรหมเทวดาท่านก็สงเคราะห์กันมาก เวลาทำกรรมฐานสวดมนต์ไหว้พระ บางทีพระธาตุก็เสด็จมาเองเฉย ๆ มากันเยอะต่อเยอะ
    เรื่องพระธาตุเสด็จนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่าท่านมาได้ไปได้ ประสบการณ์ของอาตมาเองที่เจอมาอย่างชนิดที่เรียกว่าต่อหน้าต่อตา ลืมตาเห็น ๆ ก็มี บางทีหล่นลงบนพื้น ทั้ง ๆ ที่เป็นพื้นขัดมันหล่นป๊อกหายปุ๊บเลย ไม่สามารถที่จะตามหาได้ว่าอยู่ที่ไหน
    ถาม : ก็ตอนที่น้าสาวไปไหว้เกศาของหลวงวพ่อ ก้มลงไปกราบกำลังนึกถึงเลย ขอให้หลวงพ่อนี่เสด็จมา พระธาตุนี่คะขาว ๆ ที่พื้นพรมแดงหล่นมาเลยค่ะ แต่แม่เอาไปไม่ได้นะคะ แต่น้าสาวที่ไปน่ะจะได้ หนูดีใจใหญ่ค่ะ เก็บไปบ้าน
    ตอบ : แล้วแต่ล่ะจ้ะ อันนั้นเป็นบุญเฉพาะของเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องนอกเหตุเหนือผล ของหลวงพ่อมีเรื่องหนึ่งที่อัศจรรย์ที่สุดในสายตาของอาตมา ชานหมากของท่านเป็นพระธาตุ อาตมาเคยเห็นเกศาพระเป็นพระธาตุหลายองค์โดยเฉพาะหลวงปู่มหาอำพัน ที่อาตมาจะทำบุญร้อยปีถวายท่่านนี่ เกศาของท่านนี่โกน ๆ แล้วลูกศิษย์เอาใส่กล่องพลาสติกไว้จะเป็นกล่องพลาสติกใหญ่ ๆ ประมาณแค่นี้
    คราวนี้วันนั้นอาตมาถวายการรับใช้ท่านเสร็จก็กราบเรียนหลวงปู่ขอบูชาหน่อย ท่านก็บอกว่าไปดูเอาซิ พอยกกล่องขึ้นมานี่งงเลย เพราะว่าดูจากด้านใต้กล่องนี่เป็นไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ นี่เต็มไปหมด ก็เลยกราบอย่างงามวางไว้ที่เดิม ไม่กล้าหยิบกลัวว่าบุญเราไม่ถึงจะรักษาไม่อยู่ พอตอนที่ท่านมรณภาพไม่ทราบว่าใครยกไปทั้งกล่อง แล้วของหลวงพ่อก็เกศาเป็นพระธาตุ อีกหลายองค์ก็เป็นให้เห็น ๆ อยู่ แต่ว่าเรามาสังเกตว่า การที่อัฏฐิเป็นพระธาตุหรือว่าเกศาเป็นพระธาตุ นั่นเป็นเนื่องด้วยร่างกายนะ
    แต่ว่าชานหมากเป็นพระธาตุนี่ ไม่ได้เนื่องด้วยร่างกายเลยใช่มั้ย ? เป็นสิ่งที่เราเอามาเคี้ยวมากินนั่นสำหรับเป็นคนทั่ว ๆ ไป แต่ท่านคายออกมาแล้วเป็นพระธาตุ ตอนครั้งแรกที่ได้เห็นกับตา ถึงได้เชื่อว่าใช่แน่นอน เพราะว่ากำลังเปลี่ยนสภาพอยู่ ส่วนที่เริ่มเป็นพระธาตุก็จะเป็นแก้วสีแดงใส ๆ ส่วนที่เป็นหมากก็ยังทึบอยู่ ส่วนที่เป็นพลูครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นสีเขียว ๆ ของพลูอยู่เห็นชัด ๆ เลยว่า เปลี่ยนจากชานหมากที่เป็นปกติแน่นอน ถึงได้เชื่อว่าที่แท้จริงแล้ว ถ้าหากว่าพระท่านจะสงเคราะห์อย่างหลวงปู่ หลวงพ่อที่ท่านต้องการให้เป็นไป มันจะเป็นไปตามที่ต้องการเอง แล้วเห็นว่าสิ่งที่ไกลตัวขนาดนี้ยังเป็นพระธาตุได้ เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นไม่ยากแล้วจ้ะ
    บางทีสำหรับเด็ก ๆ บางคนหลวงพ่อท่านใช้กระดาษทิชชุเสร็จแล้วก็โยนให้ เด็กเขาก็ฉลาดหยิบขึ้นมาดูก็เป็นพระธาตุอยู่ ก็ใช้ๆ อยู่เห็น ๆ นี่ พอโยนให้ก็เป็นพระธาตุ หมากที่ท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านเหลือปลายอยู่หน่อยหนึ่ง เหลือหางหมากพอ ท่านฉันเสร็จก็โยนให้ก็กลายเป็นพระธาตุ
    แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งพอชานหมากเป็นพระธาตุแล้วคนที่อยากได้แล้วไม่ได้ ท่านไปที่จันทบุรี บ้านคุณเวสา รัชชานนท์ ไปตำหมาก ท่านบอกว่าอยู่ ๆ พระท่านให้สั่งทำ ตำหมากเสร็จก็ปั้นเป็นองค์เล็ก ๆ มอบให้ท่านบอกว่าบูชาให้ดี ใครที่ได้ไปบูชา ต่อไปจะเป็นแก้ว คำว่าเป็นแก้วของหลวงพ่อก็คือกลายเป็นพระธาตุ สมัยโบราณคำว่าแก้วก็หมายถึงว่าดีที่สุด คราวนี้อะไรก็ตามที่เปลี่ยนสภาพไปในสายตาของเราอาจเป็นหิน จะเป็นเหมือนโลหะ เหมือนเงิน เหมือนทอง เหมือนทองแดง อะไรเหล่านี้เป็นต้น ภาษาโบราณเขาเรียกว่าแก้วทั้งนั้น
     
  4. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ตอนหลังช่วงสงกรานต์ ที่บ้านคุณหญิงท่านนิมนต์พระสายหลวงปู่มั่น ใส่บาตรน่ะค่ะ แล้วหลวงปู่สอ ที่สร้างพระนาคปรกที่ไปไว้ตามทิศของประเทศไทย
    ตอบ : ก็สายนั้น คือสายหลวงปู่มั่น ยังเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติอยู่ ที่ใดก็ตามที่มีผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างแท้จริง สถานที่นั้นจะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า จะต้องมีไปเรื่อย เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้มาติดประกาศว่าฉันเป็นแล้วจ้า ก็อยู่ที่ว่าเราจะต้องดูการปฏิบัติของท่านไปเรื่อย ๆ
    ถาม : ในช่วงปีนี้นะคะ เป็นช่วงที่ประเทศไทยต้องพบกับเคราะห์กรรมของประทศอะไรมั้ยคะ ? เพราะรู้สึกว่า
    ตอบ : ก็วาระที่หนักมันผ่านมาแล้วจ้ะ
    ถาม : ผ่านแล้วเหรอคะ ?
    ตอบ : ผ่านมาแล้ว จะเริ่มดีขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่ว่าปีหน้าจุดสะดุดใหญ่ยังมีเยอะ ปีหน้าของหนักมันจะมาจากภายนอกระวัง ๆ แถว ๆ ตะวันออกกลางไว้ กลัวเหลือเกินว่ามันจะเอาซะปีนี้ซะด้วยซ้ำไป แต่ตามเกณฑ์มันปีหน้า คือถ้าเขาตีกันเองก็ไม่มีปัญหา ประเทศต่อประเทศ แต่ถ้าเริ่มมีประเทศไหนเข้าข้างอีกประเทศหนึ่งล่ะก็ระวังให้ดี มันจะเริ่มขยายใหญ่แล้ว
    ถาม : จะเกิดเป็นสงครามโลกมั้ยคะ ?
    ตอบ : มันคงยังไม่ถึงสงครามโลกหรอก แต่ว่าผลกระทบมันจะกว้างมาก เพราะระยะนี้การข่าวอะไรทุกอย่างมันรวดเร็ว กลายเป็นว่าประเทศกลายเป็นบ้านเดียวกัน เพราะฉะนั้นเกณฑ์ปีหน้ายังเป็นเกณฑ์อันตรายอยู่
    ถาม : เป็นยังไงบ้างคะ ?
    ตอบ : ถ้าประเทศอาหรับรุมตีอิสราเอลเมื่อไหร่ มีอะไรที่เป็นปัจจัยต้องใช้ก็ต้องเก็บ ๆ ไว้บ้างล่ะจ้ะ มันก็มีพวกอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย อะไรพวกนั้นแหละ เพราะของพวกนี้จะกลายเป็นของแพง มันก็คงจะไม่ได้แพงอย่างเดียวหรอก ไอ้บ้านเรานี่มันแพง มันฉวยโอกาสแพงหมดนั่นแหละ
    ถาม : แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงยุคที่คนดีเกิดขึ้นเยอะล่ะคะ ?
    ตอบ : ตอนนี้มีเยอะอยู่แล้วจ้ะ เพียงแต่ว่าคนดนดีไม่ได้มีอำนาจในการปกครองมาก ยุคของคุณทักษิณนั่นน่ะ ถืือว่าเป็นยุคที่เริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง จากส่วนที่มันจะเป็นรอยต่อระหว่างเก่ากับใหม่ ในเมื่อเป็นรอยต่อระหว่างเก่ากับใหม่ ความวุ่นวายมันจะเยอะหน่อย แล้วหลังจากนั้นมันจะกลายเป็นว่าประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบฝ่ายปกครองมากขึ้น คนก็จะไม่กล้าที่จะทำความเลว ถึงทำก็ไม่อาจหลบรอด
    ถาม : แล้วคุณทักษณิณ มีสิทธ์จะโดนมั้ยคะ ? (เรื่องคดีซุกหุ้น)
    ตอบ : ไอ้ตัวนี้ไม่ต้องไปข้องใจ ไม่ต้องไปสงสัยเลยจ้้ะ ถึงเขาตัดสินว่าท่านผิด หลุดออกไป ท่านก็ยังบัญชาการอยู่ข้างหลัง ถ้าใช้คำว่าครบเทอมมั้ย ? ครบแหง ๆ เลย (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วถ้าหมดจากคุณทักษิณนี่ คนที่จะขึ้นมาแทนนี่จะดีกว่ามั้ยคะ ?
    ตอบ : มันจะอยู่ในลักษณะที่ว่า พอคนที่โดนตรวจสอบ โดนพักการทำงานไป มันก็จะหลุดออกไปเรื่อย ๆ คนที่มีความดีอยู่ก็จะกล้าปรากฏตัวมากขึ้น ๆ นั่นแหละ หลังจากนั้นก็จะเจริญมากน่ะจ้ะ พอเริ่มขึ้นรัชกาลที่สิบ ต่อไปเรารายได้อยู่ตัว
    แต่ว่าช่วงนี้การวางรากฐานของรัชกาลที่เก้าที่ยาวนานมาถึงขนาดนี้ ความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาของประชาชนเริ่มีขึ้นแล้วพอกฎหมายใหม่ที่ออกมาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การปกครองอะไรที่สามารถตรวจสอบ สามารถคานอำนาจ ถ่วงดุลกันได้ อะไรกันได้ ความดีก็จะเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าหากว่าโยมยังหายใจอยู่ ก็คงได้พบรัชกาลที่ีสิบ (หัวเราะ)
    ถาม : หญิงมั้ยคะ ?
    ตอบ : นี่กำลังลุ้นอยู่ว่าขอให้รัชกาลที่เก้าของเราอยู่ให้ครบสักเจ็ดสิบรอบเถิด สิบสองเจ็ดแปดสิบสี่ ไม่เอามากกว่านี้แล้ว ขอแค่แปดสิบสามพอ เพราะตามที่ทราบมาว่า ถ้าท่านอยู่ถึงแปดสิบสาม คนดีจะมีอำนาจขึ้นมามากกว่าจะเป็นฝ่ายปกครองบ้านเมืองมากกว่า ในเมื่อมันเกินหกสิบเปอร์เซนต์ขึ้นไป คราวนี้อะไรมันก็จะง่ายแล้ว
    ถาม : ตอนนั้นที่ไปทำบุญที่จังหวัดเลยนะคะ มีเจ้าอาวาสที่วัดไปที่เมืองจีน แล้วก็บอกใ้ห้คนไทยทุกคน คือทางเมืองจีนเขาจะเรียกว่า ตั๊กม้อ ให้ทุกคนนี่ร่วมภาวนาให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าพระเบื้องบนเนี่ยเขาจะเอาท่านไปแล้ว
    ในปีนั้น เห็นมีการบวชชีพราหมณ์มากที่สุด ในวันเกิดในหลวง ก็มีการบวชพระบวชอะไรนี่เยอะมาก แล้วก็สมเด็จพระสังฆราชให้วัดทุกวัดถวายพระพรกับในหลวง แล้วเขาบอกว่าคนเบื้องบนก็ว้าวุ่นใจเหมือนกัน เพราะของเรานี่เยอะ แล้วไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร วิธีที่ดีที่สุด คืออย่าไปมุ่งว่า รัชกาลที่สิบจะเป็นใคร ขอทำยังไงให้รัชกาลนี่อยู่ให้มีพระชนมายุยิ่งยืนนานมาที่สุด
    ตอบ : ตรงจุดนี่แหละที่คิดเหมือนกัน อาตมาเองก็มานั่งคิดว่า ปีนี้พระองค์ท่านมีพระชนมายุได้เจ็ดสิบสี่พรรษาแล้วเจ็บสิบสี่พรรษา ถ้าหากว่านับแปดสิบสามพรรษาก็อีกเก้าปีเท่านั้น แต่เราใช้คำว่าเก้าปีเท่านั้นไม่ได้ ถ้าหากว่าเรามานึกถึงว่าเป็นญาติเป็นโยมของเราใช่มั้ย เจ็บสิบสี่นี่ระัดับคุณปู่คุณตาแล้วนะ แล้วสุขภาพไม่ได้แข็งแรงเลย อีกเก้าปีนี่ต้องลุ้นวันต่อวันแล้วนะ ไม่ใช่ประเภทเดือนต่อเดือนหรือว่าปีต่อปี
    เพราะฉะนั้นเก้าปีนี่ถือว่าเป็นช่วงอันตรายมากจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ อยู่ที่ว่าเราที่เป็นต้องใช้คำว่าพสกนิกร ลักษณะเหมือนกับเป็นลูก ถ้าหากว่าลูก ๆ ทำความดีให้มากเข้าไว้ พ่อก็จะมีกำลังใจที่จะอยู่ แต่ถ้าหากว่าลูก ๆ ไม่ทำความดี มีแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านอาจไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างถวายกุศล วันก่อนออกมามีพระราชดำรัส เกี่ยวกับพวกทูตานุทูตไงล่ะ ที่ว่าให้ทั้งหมดให้รู้จักพอน่ะ ในหลวงเทศน์เก่งกว่าพระอีก (หัวเราะ)
    ถาม : ที่ท่านถามหลวงพ่อ หลวงพ่อฤาษีลิงดำนี่คะ ในหลวงรัชกาลที่เก้าน่ะค่ะ เวลาที่ท่านถามข้อธรรม หลวงพ่อบอกว่าท่านเก่งจริง ๆ มันต้องคิดให้ลึกให้ซึ้ง มันมีรายละเอียดอะไรมากเลยรัชกาลที่เก้านี่ เวลาทุก ๆ เช้าท่านจะสะพายกระเป๋า เทปธรรมะท่านจะอยู่ตลอดเลย ท่านจะเกินกรรมฐานตลอดเลย ท่านเก่งมาก
    ตอบ : หลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างแท้จริง แล้วมีคำสอนไว้ ในหลวงท่านจะบันทึกไว้ตลอดจะฟังตลอด แล้วที่สังเกตได้ชัด ๆ เลย </B>วัดไหนก็ตามที่มีแต่ชื่อเสียง แต่ว่าความดีแท้จริงไม่มี ในหลวงไม่เสด็จให้สังเกตไว้แค่นี้พอ</B>
     
  5. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : นี่ก็จะทำบุญตามวัดที่ในหลวงไป แต่ถ้าในหลวงไม่ไปวัดไหนนี่ก็ไม่ไปวัดนั้นเหมือนกัน
    ตอบ : (หัวเราะ) ดีเหมือนกัน ใช้ในหลวงเป็นเข็มทิศ คือของพระองค์ท่านได้ทิพจักขุญาณ ตั้งแต่เจ็ดพรรษาตอนนั้นพระชนมายุได้เจ็ดพรรษา
    ถาม : คิดว่าในหลวงท่านก็บรรลุเหมือนกันน่ะคะ ?
    ตอบ : ก็ อันนี้บอกได้ยากนะจ้ะ ไอ้เรื่องของเกณฑ์มรรคเกณฑ์ผล หรือว่าการปฏิบัติอะไร จริง ๆ แล้ว เป็นหน้าที่ ที่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่จะพยากรณ์ คราวนี้ว่าหลวงพ่อท่านรับทราบมา แล้วท่านบอกก็ถึงได้กล้าพูดอันจุดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังมาโดยตรงจะไม่พูดต่อ เพราะถือว่าผิดมารยาท รู้ก็พูดไม่ได้ ไม่รู้พูดไปยิ่งผิดใหญ่
    ถาม : ตัวยารักษามะเร็งที่เขาลงหนังสือพิมพ์นี่จริงหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไปทดสอบดูซิ แทนที่จะไปถามเขา มาถามพระ ถามเจ้าของยาเขาตรง ๆ ซิ ไอ้อะไร ไอ้วี ๑ ใ่ช่มั้ย ?
    ถาม : เห็นมันเป็นสูตรยาแผนโบราณ
    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ ไอ้เรื่องโรคทั้งหลายเหล่านี้ บางทีโบราณมันอาจะไม่มีก็ได้ แต่อย่างมะเร็งนี่มีอยู่แล้ว โบราณเขามียารักษาอยู่ แต่่ว่าไอ้โรคเอดส์นี่มันไม่น่าจะมีสมัยก่อน ถ้าไม่มี มันก็ยังคงไม่มีสูตรยา
    ถาม : ....................
    ตอบ : อันนี้ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของเรา ถ้าท่านมาลักษณะพระพุทธชินราช ก็แสดงว่างานมันจะลำบากแล้วตัวอาตมาเอง สัญลักษณ์เฉพาะตัวก็คือ สมเด็จองค์ปฐม เสด็จมาในลักษณะพระวรกายผิวดำ ก็งานลำบาก เลือดตากระเด็นนั่นแหละ แต่สำเร็จ แต่ถ้ามาแบบสีทองทุกอย่างสะดวก มันจะเป็นสัญลักษณ์เฉพาะ ที่ของหลวงพ่อก็ถ้าหากว่าเห็นสีแดงก็จะป่วย ยิ่งแดงมากก็จะป่วยหนัก เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเฉพาะที่ท่านสงเคราะห์ให้ ถ้าเราไปบอกคนอื่นว่าเราเห็นพระพุทธชินราชแล้วงานหนัก งานยุ่ง คนอื่นเขาเห็นเขาอาจรวย คนละอย่างกัน
    ถาม : มีประสบการณ์อยู่ว่าเวลานอน พอเคลิ้มแล้ว เห็นแสงสว่างทุกทิศเจิดจ้า...(ฟังไม่ชัด)........
    ตอบ : ก็อาจเป็นไปได้ เรื่องของพระท่านจะแสดงให้นี่ ยังไงก็แสดงได้อยู่แล้ว พุทธานุภาพไม่จำกัดอยู่แล้ว
    ถาม : ของผมจำไม่ได้เลย ท่านก็เทศน์ไปเรื่อย พอผมตื่นมาปุ๊บ
    ตอบ : ให้ตั้งสตินะ ตอนที่ฟังเรายังรู้ตัวอยู่ ให้ตั้งสติตั้งใจจำ พอตื่นมาปุ๊บรีบโน๊ตเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะหายหมด หลวงพ่อท่านเตือนนักเตือนหนาว่า นักปฏิบัติที่ดี กระดาษกับปากกาต้องใกล้มือไว้เสมอ ถ้าทิ้งให้ผ่านระยะแป๊บเดียวเท่านั้นเองจะลืม
    ถาม : กระดาษกับปากกาก้มี แต่ชะล่าใจ
    ตอบ : ไอ้ชะล่าใจน่ะ อาตมาโดนมาแล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาทวนเลย จำอะไรได้ตรงไหนก็รีบโน๊ตไว้เลย แล้วถึงเวลามาค่อย ๆ ไล่แล้วจะคิดออก แต่ถ้าถึงเวลาไม่มีอะไรที่เป็นเค้าเลา ๆ ให้เราหน่อยนี่ มันหายหมดเลย
    ถาม : มัวแต่นอนทบทวนไป ทบทวนมา หายไปเลย
    ตอบ : ทิ้งระยะเวลาหน่อยเดียวไปเลย อันนี้เจอมาด้วยตนเอง ไอ้เราก็ว่าหลวงพ่อสั่งงานแค่สามข้อเรื่องเล็ก สามสิบข้อยังจำได้ใช่มั้ย ปรากฏว่าพอสว่างเท่านันแหละ หายเงียบไปเลย เหลืออยู่ข้อเดียว อีกสองข้อแคะยังไงก็แคะไม่ขึ้น หายไปเหมือนยังกับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
    ถาม : ข้อที่ทำวัตรเช้า
     
  6. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : อย่างการฝึกมโน ..........(ไม่ชัด).........เหมือนการสร้างมโนภาพ
    ตอบ : สร้างมโนมันยาก มันได้แต่ภาพ ไอ้สีกลิ่นรส มันไม่มี มันไม่สะใจ
    ถาม : ผมเคยได้ยินว่า วัดแถวจังหวัดกาญจน์นะครับ ให้พิจารณาอสุภะให้สมไปเลยครับ แบบการแต่งตัว.............
    ตอบ : ที่สำนักของ เกาะมหามงคลก็มี คือเขาบริจาคศพมาใส่โลงแก้ว ถึงเวลาก็ไปยืนดูกัน ของเราเองถ้ามันหาศพคนไม่ได้ หมู หมา กา ไก่ มันตาย ก็ลักษณะ้เดียวกันแหละ ถ้าเป็นวิฉิททกะอสุภ มันขาดเป็นท่อน ถ้าเป็นโลหิตตะกะอสุภ เลือดไหลโทรมเลย เป็นปุฬุุวกะอสุภะ มีแต่ซากหนอนเต็มไปหมดอย่างนี้ เป็นวินีละกะอสุภ ก็ขึ้นเขียวปี๋เลย
    ถาม : เลือกกองใด กองหนึ่งก่อนใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : ลักษณะว่าศพมันเป็นแบบไหน ก็คือกองนั้นน่ะ เราเลือกไม่ได้นี่ เจอศพแบบไหนก็พิจารณาแบบนั้นไป แต่ว่าสมัยนี้มันมีโครงกระดูกขายก็เล่นอัฏฐิกะอสุภไป แตว่าโครงกระดูกมันไม่ค่อยขายกัน ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่นักศึกษาแพทย์ โอกาสครอบครองมันน้อย
    ถาม : นักศึกษาก็มีโอกาสได้ปลงอสุภะได้มากที่สุด
    ตอบ : พวกนั้นมันตายด้านกันหมด อยู่ซะจนชิน ถ้าหากว่าไม่มีปัญญาพิจารณามันก็จะตายด้าน ถ้ามีปัญญาพิจารณามันจะตายด้านลักษณะปล่อยวาง แต่ไอ้นั่นมันตายด้านเพราะชาชิน
    ถาม : ต้องไปทำงานร่วมกตัญญู
    ตอบ : คือจริง ๆ แล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านั้นโอกาสมันมีเยอะ เพียงแต่ว่าของท่านเอง กำลังใจมันคิดทางด้านนี้หรือเปล่า ลองดูก็ได้ ร่วมกตัญญูก็ได้ โอกาสเจอเยอะ แน่นอนเลยวัน ๆ หนึ่ง ต้องได้เจอซักศพสองศพ
    ถาม : แล้วที่ว่า คำภาวนาที่ อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง เพื่อ.........
    ตอบ : ตอนช่วงนั้นน่ะ เราใช้คำภาวนาพร้อมกับจำภาพ ต้องใช้คำว่า จำภาพ พอภาพมันทรงตัว แล้วคราวนี้ใช้คำภาวนาติดต่อกันไปเลย ปกติแล้วพอภาพติดตา คำภาวนาทรงตัวของเขาถือว่าสิ้นสุดแค่นั้น แล้วเกี่ยวกับอสุภกรรมฐาน แต่หลวงพ่อเราสอนให้ใช้วิปัสสนาญาณต่อไปเลย อย่างเช่น อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง อย่างที่ว่านั้นใช่มั้ย ? สภาพของกระดูกมันเป็นอย่างไร สภาพที่แท้จริงของมัน จริง ๆ แล้วมันมีเลือด มีเนื้อ มีอะไรอยู่ กระดูกเป็นเพียงโครงหนึ่งเท่านั้น
    พอถึงเวลา ถ้าหากว่ามันยังใหม่ ยังสดอยู่ มันก็สกปรกไม่เห็นมีใครอยากได้ ตัวของคนอื่นก็เ็ป็นอย่างนี้ จะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนหรือสัตว์ ก็เหมือนกัน พิจารณาต่อไป เรื่อยจนใจมันยอมรับเพราะสภาพจริง ๆ แล้วตัวเรามันไม่ใช่ของเรา
    ถาม : อย่างสมมุติว่าตัวอากาสนานัญจายตนะ ต้องใช้อารมณ์พิจารณาเข้าช่วยหรือเปล่า ?
    ตอบ : ไม่ใช่แต่ตัวอากาสานัญจายตนะ ทั้งสี่ของอรูปฌานนั่นเกือบจะเป็นอารมณ์พิจารณาทั้งหมด คล้าย ๆ วิปัสสนาฌานเลย เพียงแต่เขาเริ่มต้นด้วยฌานสี่ตั้งรูปขึ้นมาก่อน เสร็จแล้วทิ้งรูป แล้วพิจารณาไปตามที่ตนเองต้องการว่าจะใช้ข้อไหน
    ถ้าเป็นอากิญจัญญายตนะนี่ มันวิปัสสนาญาณดี ๆ นี่เอง ต่อท้ายนิดเดียวก็ไปนิพพานได้ อากิญจัญญายตนะนี่ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์ วัตถุธาตุ บ้านเรือน โรงอะไรในที่สุดก็เสื่อมสลาย ตายพังหมด ไม่มีอะไรเหลือสภาพจิตเดียวเท่านั้นเอง พอมันทรงอุเบกขาก็คือเต็มอารมณ์ของมัน พอเต็มอารมณ์ของมัน ตอนนั้นความรู้สึกของมัน มันเหลือแต่จิตดวงเดียว ตอนนั้นแม้แต่อะไรต่อมิอะไรก็ไม่เหลือ มันก็เป็นการพิจารณานั่นแหละ แต่เราใช้ฌานสี่เริ่มต้น
    ถาม : แล้วเวลาเราเ้ข้า เราเข้าไปทีละอย่างใช่มั้ย ?
    ตอบ : ทีละอย่าง
    ถาม : แล้วก็มาอากิญ ฯ
    ตอบ : แล้วแต่ พอคล่องแล้วก็สลับได้ แต่ถ้าหากว่าไม่คล่อง ว่าไปตามขั้นมันก่อน ตอนที่เล่นอยู่ก็แปลก ๆ ว่ามันเป็นตัววิปัสสนาญาณชัด ๆ เลย แต่เพียงแต่ว่าวิปัสสนาญาณส่วนใหญ่ของเรา นิยมตรงว่าถอยมาตรงอุปจารสมาธิ แล้วพิจารณาใ่ช่มั้ย ไอ้โน่นมันฟาดด้วยฌานสี่
    ถาม : แล้วการเข้าฌานสลับฌานมันทำได้เหรอครับ ?
    ตอบ : สลับได้ พอคล่องตัวแล้ว เราจะลดอารมณ์ของเราหรือเพิ่มอารมณ์ของเรา ให้ไปอยู่ตรงจุดไหน มันทำได้เดี๋ยวนั้นเลย
    ถาม : คือจากสี่ไปสอง สองไปสาม ไปได้ ?
    ตอบ : ได้สมัยที่ฝึกอยู่นี่ นั่ง ๆ นอน ๆ เป็นไอ้บ้าอยู่คนเดียว ถ้าลงก็ปึ๊บเต็มที่ พอขึ้นก็ปึ๊บ ๆ ทีละขั้นตรงนั้น สนุกอยู่คนเดียวแหละ ไม่อย่างนั้นแล้ว มันบังคับร่างกายไม่ได้นี่ ถ้าหากว่าปล่อยเต็มที่เลย ตัวมันเหมือนยังกับท่อนไม้ท่านหนึ่งน่ะ ต้องหัดให้คล่องไว้ ถ้าไม่หัดให้คล่องนี่สู้กิเลสยาก พอกระทบปุ๊บนี่ต้องเกาะไว้ก่อนเลย บางคนเขาบอกว่าเป็นการติดฌาน ติดในอรูปฌาน ยังไม่ต้องไปฟัง ติดไว้ก่อน เกาะไว้ก่อนถ้าเราไม่เกาะนี่ มันปล่อยไม่ได้ พอเกาะเต็มที่แล้ว มันปล่อยของมันเอง
    ถาม : แล้วเราต้องตั้งต้นด้วยกสิณก่อนมั้ย ?
    ตอบ : เรื่องของรูปฌาน ไม่จำเป็นต้องเป็นกสิณ ใช้อานาปานุสสติก็ได้ แต่ว่าอรูปฌานนี่จำเป็นจะต้องใช้ภาพกสิณเข้ามาเป็นเครื่องช่วยเมื่อตั้งภาพขึ้นมาก็ลืมซะ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาพิจารณาไป
    ถาม : จะปรึกษาเรื่องแต่งงาน ฤกษ์ไหนดี ?
    ตอบ : ไปดูฤกษ์ในโน้น (ฤกษ์ที่หาไว้ให้แล้ว) หาวันดี ๆ ที่ไม่ตรงกับวันพฤหัส กับ เสาร์ มันจะมีฤกษ์อยู่ แปะอยู่ตรงนั้น เขาเรียกว่าฤกษ์พรหมประสิทธิ์ เป็นฤกษ์ที่เหมาะกับทำการมงคลต่าง ๆ แต่ว่าเรื่องแต่งงานนี่หลวงพ่อบอกว่าให้เว้น พฤหัส กับ เสาร์วันพฤหัสแต่งงานกันก็ไม่น่าจะเกินสามปี แต่ถ้าวันเสาร์แต่งงานกันนี่ ชีวิตจะมันมาก ทะเลาะกันประจำ ถ้าอยากได้คนใหม่เร็ว ๆ ก็แต่งวันพฤหัส ไปลอก ๆ เอาว่ามีวันไหนบ้าง
    ถาม : ...........ทุกข์ สมุทัย ให้พิจารณายังไง ?
    ตอบ : มันแล้วแต่ว่าเราจะถนัดตรงจุดไหน อย่างเช่น เรามองไปก็จะเห็นว่าทุกคนน่ะ เป็นทุกข์ ไอ้ตัวเล็กมันอยากจะเดิน มันอยากจะวิ่ง อยากจะพูด มันยังพูดไม่ได้อย่างใจ มันก็ทุกข์ ผู้ใหญ่นั่งอยู่ทุกข์ เพราะว่าเมื่อย อาตมานั่งอยู่ตรงนี้ก็ทุกข์ ตั้งแต่เช้ามาจนป่านนี้ กว่าจะได้ลุกไปห้องน้ำแต่ละที มันแสนยาก ให้เห็นว่าทุกคนมีแต่ทุกข์ เราเองก็ทุกข์อยู่เช่นเดียวกับเขา
    ถาม : หลังจากนั้นก็ทรงอารมณ์ ?
    ตอบ : จ้า รักษาอารมณ์อานาปาฯ ประคับประคองเอาไว้ ให้ความรู้สึกของเรา ขึ้นชื่อว่าโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ ไม่มีสำหรับเราอีกเราขอเกิดชาตินี้ชาติเดียวแล้วรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด
     
  7. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : แล้วถ้าทรงพรหมวิหารสี่ ก็คือพิจารณา ?
    ตอบ : จ้ะ ก็คือพิจารณาตั้งใจแผ่เมตตาให้ใจทรงตัวแล้วก็จับอานาปาฯ ต่อ
    ถาม : ..................
    ตอบ : การปฎิบัติถ้าจะมุ่งพระนิพพานจริง ๆ มันเหมือนกับล่าช้าง งานใหญ่มโหฬาร ช้างมันมีสี่ขา เหมือนกับ รัก โลภ โกรธ หลงเราต้องพยายามตัดขามันให้ได้ เพราะช้างมันแข็งแรง ถ้าไม่สามารถตัดกำลังมันโดยการตัดขามันได้ โอากาสที่เราจะเอาชนะหรือล่าสำเร็จนั้นหาได้ยาก
    เพราะฉะนั้นต้องหาทางตัดขามันให้ได้ ขาใด ขาหนึ่งเสียก่อน คือ ในตัว รัก โลภ โกรธ หลง ตัวรัก หรือราคะ ตัดมันได้ด้วยกายคตานุสติ หรือ อสุภกรรมฐาน ใช่มั้ย ? ตัวโลภ อยากได้ ใคร่ดีตัดมันได้ด้วยจาคานุสสติ กับทานบารมี ตัวโกรธ โทสะ ตัดมันด้วยพรหมวิหารสี่ หรือกสิณสี่ กสิณสีสี่อย่าง ก็คือ เขียว ขาว แดง เหลือง ตัวโมหะ ตัวหลง ตัดมันด้วยวิปัสสนาญาณ ใช้ปัญญาเข้าช่วย ถ้าหากว่าตัวใดตัวหนึ่งมันโดนตัดขาดลง อีกสามตัวกำลังมันน้อยแล้ว ไปไม่รอดหรอก เสร็จเราแน่ เพราะฉะนั้นต้องพยายามหน่อย
    ถ้าหากว่าสามารถตัดมันได้สำเร็จ หรือตัดมันได้ไม่สำเร็จแต่ผูกมัดมันไว้อยู่กับที่ไม่สามารถที่จะทำอันตรายกับเราได้มากก็ยังดีนะ ผูกมัดมันแล้วก็บังคับมัน อย่าให้มันมาบังคับเรา เพราะฉะนั้นบางที บางอย่างมันก็เหมือนกับว่า เป็นลักษณะนิมิต ที่จะบอกเหตุล่วงหน้าได้ เราอาจผูกมันอยู่ก็ได้ ลากมันไปไหน ๆ ก็ได้ แต่ว่ามันยังไม่ตายนะ ต้องระวังให้ดี ใช่มั้ยล่ะ ? ในเมื่อมันไม่ตาย ก็ต้องหาทาง ค่อย ๆ หั่น ค่อ ๆ เฉือน จนกว่ามันจะตายไปทีละส่วน
    ถาม : รากมันลึกใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ตัวส่วนละเอียดเขาเรียกว่า อนุสัย ถ้าเปรียบเหมือนกับต้นไม้เราโค่นต้นไม้ลงได้ โอ้ย ! มันล้มลงที พื้นดินสะเทือน รู้สึกผลงานมโหฬารเหลือเกินเลยใช่มั้ย ? แต่ปรากฏว่าถ้าลองขุดลงไป รากมันอาจจะเยอะกว่าใบ หรือกิ่งข้างบนเสียอีก ยิ่งสาวไปมันก็ยิ่งเล็กลง ๆ แต่ว่าถึงช่วงนั้นปัญญากับสติมันจะเท่าทันกิเลส ถึงละเอียดแค่ไหนมันไล่กันทัน ไล่กันทัน แรก ๆ
    ถ้าเราเป็นนายพรานนะ ยิงช้างมันง่าย เป้ามันใหญ่ ต่อไปก็มามียิงพวกกวาง พวกหนูอะไรอย่างนี้ ตัวมันเล็กลง ยิงยากขึ้น ไปท้าย ๆ โน่นไปยิงยุง โอกาสจะถูกโอกาสที่จะเห็นมัน มันยาก แต่ถ้าหากว่าสติปัญญาถึง ตรงจุดนั้นแล้ว มันไม่เกินความสามารถของเรา
    ถาม : ความฝันมันบอกเหตุ
    ตอบ : ฝันมันบอกเหตุได้ล่วงหน้า ยกเว้นธาตุวิปริต จิตนิวรณ์อะไรพวกนั้น มันฟุ้งซ่านไปเปล่า
    ถาม : .........(ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : มันก็ต้องหาที่เกาะของมัน อย่าลืมว่า กิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งปวงน่ะ มันต้องมีสังขารเป็นที่เกาะ โดยเฉพาะร่างกายของเราน่ะเป็นที่เกาะ แล้วอาศัยสังขารของเราเป็นตัวหล่อเลี้ยงมันให้เติบโตตัวสังขารนี่หมายถึงความนึกคิด ปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ให้มันเกาะซะอย่าง มันก็เสร็จ หรือไม่ก็ เราเลิก ไม่เป็นที่ให้มันเกาะ มันก็เสร็จเหมือนกันน เจ้าพวกนี้มันจำเป็นต้องอาศัย
    ดังนั้น เวลาเราเกิดอารมณ์ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาแยกให้ออกมันเป็นอารมณ์ของร่างกายไม่ใช่จิตใจของเรา ในเมื่อธรรมดาของร่างกาย มันต้องมีอารมณ์เหล่านี้เรื่องของเจ้า มีก็มีไปเถอะ ข้าไม่ให้ความสำคัญกับเจ้า แล้วเราก็อย่าไปยุ่งกับมัน พอเรายุ่งไม่ไปปรุงแต่งต่อนี่ มันเองอยู่ได้เดี๋ยวเดียว มันก็ตายเห็นหนุ่ม ๆ เดินมาตรงหน้าสักแต่ว่าเห็น อย่าไปยุ่งกันมัน ไอ้ตัวราคะมันโผล่มาไม่ได้หรอก หล่อแค่ไหน ไม่ไปปรุง ไม่ไปแต่ง เพล็บเดียวมันก็เสร็จแหง
    ถาม : .............
    ตอบ : พุทธบูชา มหาเตชะวันโต ธรรมบูชา มหาปัญโญ สังฆบูชา มหาโภควโห แปลออกมั้ย ? บูชาพระพุทธเจ้าจะมีเดชอำนาจมาก บูชาพระธรรมจะมีปัญญามาก บูชาสงฆ์จะรวยมาก (หัวเราะ)
    ถาม : ...................
    ตอบ : ของพวกเราน่ะ มันอยู่ในยุคบุกเบิก ยุคหักร้างถางพงน่ะ มันเหนื่อยสายตัวแทบขาด รุ่นนี้เขามันซูเปอร์ไฮเวย์แล้ว แต่ว่าของเขาเสียเปรียบเราอยู่ตรงที่ว่า เราลำบากมาก เราเห็นทุกข์มาก คนเห็นทุกข์มากจะเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า ของเขาเองรุ่นนี้ส่วนใหญ่มันเป็นพวกฤทธิ์พวกอภิญญา พวกฤทธิ์พวกอภิญญานี่ ความสบายมาถึงตัวก่อน สบายเกินไป ติดอยู่ที่นั้นแหละ แล้วอิฉฉาเขาตรงที่ความสบาย แต่ให้เป็นอย่างเขา ไม่เอาหรอก
    ถาม : พวกนี้ถือว่าเป็นทิฏฐิมานะ เป็นทิฏฐิมั้ย ?
    ตอบ : มันเป็นอยู่ ตัวทิฏฐิมานะคือว่าเขามาสูง แล้วเขาอยู่กับเหตุกับผลมาก่อน อยู่กับความดีมาก่อน แล้วอยู่ ๆ เราเอาอำนาจ หรือความไม่ดีของเรามาบีบบังคับเขา เพราะฉะนั้นแรงต่อต้านจะมาก
    ถาม : แล้วพวกนี้ ถ้าดีก็ดีไปเลย ?
    ตอบ : มันก็ไม่แน่เหมือนกัน บางทีก็ต้นตรง กลางคด ปลาย ๆ ตรงอีกที พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุคคล แบ่งได้เป็นสี่ประเภท โชติ ตะโม ปรายโน สว่างมาแล้วมืดไป ณ เบื้องหน้า โชติ โชติ ปรายโน สว่างมาแล้วสว่างไป ณ เบื้องหน้า ตะโม โชติ ปรายโน มืดมาแล้ว สว่างไป ณ เบื้องหน้า ตะโม ตะโม ปรายโน มืดมาแล้ว มืดต่อไป ณ เบื้องหน้า เพราะฉะนั้นอันที่ถือว่าดี ก็คือว่า สว่างมาแล้ว สว่างไป ที่น่าชมเชยก็คือว่า มืดมาแล้ว สว่างไป นะ แล้วไอ้ที่น่าเตะก็คือ สว่างมาแล้วมืดไป (หัวเราะ) ส่วนมืดมาแล้วมืดไปนั้นน่าสงสาร
    ถาม : รากเหง้าของความโกรธ มันมีอะไรบ้างคะแล้วจะแก้ หรือจะขุดรากมันยังไง ?
    ตอบ : ถ้าจะขุดนะ ก็ควักตา แล้วก็อุดหู แค่นั้นแหละโกรธยากแล้วเพราะว่ามันเข้าง่ายที่สุดทางตา กับทางหู ตาเห็นเก็บเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ หูได้ยิน เก็บเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ ไม่พอใจกับถูกใจน่ะ แย่ทั้งคู่ ถูกใจแสดงว่าชอบใจไม่พอใจแสดงว่าไม่ชอบ ใช่มั้ย ? โบราณเขาบัญญัติคำศัพท์ดีจังเลย ถูกใจ ถ้าถูกเป๊ะก็เจ๊งเลย ของเราต้องสักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่าได้ยิน รู้เอาไว้แล้วรักษาใจให้ดี อย่าให้มันเข้ามาในใจได้ดูแล้วก็ไม่ยากนะ
    ถาม : แต่ทำยากจัง
    ตอบ : ค่อย ๆ ทำซิ ถ้าสติมันทันแล้ว เรื่องอื่น ๆ มันไม่ยาก ตามลมหายใจ เข้าออกให้ทัน ถ้าตามลมหายใจ เข้าออกมัน ต่อไปก็จะค่อย ๆ ไล่ กิเลสทัน คราวนี้ของเราไล่หมายังไม่ค่อยจะทันเลย หมาวิ่งเร็วกว่า
     
  8. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ถูกใจกับไม่ถูกใจนี่ อย่างไหนยากกว่าคะ ?
    ตอบ : ถูกใจนี่แกะยาก ไม่ถูกใจนี่ยังเดินหนีได้ง่ายกว่าใช่มั้ย ? แต่ว่ามันยังเป็นอารมณ์ที่ใช้ไม่ได้เหมือนกัน
    ถาม : ...............................
    ตอบ : ต้องดูตัวอย่าง คุณยายประคินไง คุณยายประคินแม่ของเจ้าเรนั่นน่ะ แกไม่สบาย ๆ เสร็จก็นอนหัวเราะ ลูกหลานก็แปลกใจ ยายจะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ นอนหัวเราะ ถามยายหัวเราะอะไร บอกขำไอ้พวกโรคภัยไข้เจ็บ มันไม่รู้หรอกว่า มันกินเราตายเมื่อไหร่ มันก็โดนเผาด้วย (หัวเราะ) คิดได้อย่างไร กำลังใจของคนเข้าถึงธรรมต้องอย่างนั้น แล้วบ้านนี้เขาจะมีประสบการณ์ตายเยอะเลย
    ล่าสุดก็เจ้าโชค น้องชายคนเล็กเขากระเพาะทะลุ ไอ้ของเราก็ไปเข้าพอดี มันเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเลยซักประมาณเที่ยงคืน พี่รสเขามาเรียกบอกว่าไปดูหน่อย บอกว่าเจ้าโชคเขาแย่แล้ว กะว่าคงจะไปแน่แล้ว เมียนั่งร้องไห้แล้ว พอไปถึงดูอาการเสร็จก็เลย เออ ! ถ้ามันขืนเวทนาหนักขนาดนี้ สงสัยมันจะเกาะความดีไม่ได้ ก็เลยใช่คาถาท่านลุงพระยายมที่ว่าบรรเทาเวทนาให้ พอเป่าหัวให้ไปอาการเขาเบาลง พอเบาไปปุ๊บ
    ปรากฏว่าทางบ้านเขาทำเป็น มาถึงก็เอาเงิน บอกให้โชคนี่ ตั้งใจอธิษฐานสร้างพระชำระหนี้สงฆ์องค์ใหญ่ไปเลย อย่างน้อย ๆ ให้ใจเกาะบุญว่าตัวเองได้สร้างพระใหญ่นะ แล้วพอเขาอธิษฐานเสร็จ คล้าย ๆ ว่าเกาะความดีได้ กำลังใจทรงตัว พอกำลังใจทรงตัวก็เหมือนกับว่าเขาหลับลึกไป พอหลับลึกลงไปก็บอกกับทางบ้านเขาว่า เฝ้านะ ถ้าเลยตีสาม รอดปรากฏว่าป่านนี้มันคงเดินปร๋อไปแล้วล่ะ เลยตีสามรอดแน่ คือคนเรา ช่วงวาระบุญมันหมดน่ะ แล้วเอาบุญใหญ่มาต่อเข้าพอดีทางบ้านเขามีประสบการณ์อันนี้มา พี่รสก็เป็น เจ้าเรก็เป็น ไอ้เรนี่ หลายรอบเลย มีเมียทีจะตายที ยิ่งมีหลายคนยิ่งจะตาย เขาเป็นกันทั้งบ้าน คล้าย ๆ กันหมด
    จนกระทั่งคุณยายประคินบอกว่าเดี๋ยวนี้ฉันเห็นว่าความตายไม่ใช่ของน่ากลัวเลยนะ พร้อมที่จะไปตายได้ทุกเวลาเลย รู้ว่าตายแล้วมันสบาย เพราะตอนที่มันเจ็บปวดมาก ๆ นี่มันไม่รับรู้กันแล้ว อาการทางร่างกายไม่รับรู้ มันเบาสบาย อยากจะไปซะเลยทีเดียว นั่นก็เลยพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ความตายไม่ใช่ของน่ากลัว
    ถาม : เพียงแต่ ให้รู้ใช่มั้ย ?
    ตอบ : ของท่านเองเกาะบุญ เกาะอะไรแน่นปึ๊กเลย วัน ๆ ไม่มีอะไรแล้ว บอกแก่ขนาดนี้ ภาวนารอวันตายอย่างเดียว ไหวมั้ยโยม ภาวนารอความตายอย่างเดียว ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า ถ้าไม่หายใจออกมันตายแล้ว หายใจออก ถ้าไม่หายใจเข้า มันก็ตายเหมือนกัน มันอยู่ใกล้เราขนาดนี้
    เพราะฉะนั้นถ้าเราประมาท เราอาจตายไปแล้วลงสู่อบายภูมิ ก็ขาดทุนเสียทีที่เกิดเป็นคน อย่างน้อย ๆ ต้องเอากำไรให้ได้พื้นฐานของการเป็นคน เราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์มาแล้วถึงเกิดเป็นคนได้ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้อย่างน้อย ๆ เราต้องเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ในเมื่อเราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ระวังรักษาศีลด้วยตัวของเรา ไม่ยุให้คนอื่นศีลขาด ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นเอาทำศีลขาด มีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยจริงใจด้วย
    ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ สักแต่ว่าปากว่า สักแต่ว่ามือไหว้ ใจไม่ได้น้อมไปด้วย ถ้าเราตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระพุทธธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต ก็ให้ปาก ให้กาย ให้วาจา มันน้อมไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะใจต้องน้อมไปด้วย ถ้าหากว่า กาย วาจาใจ มันตามไปทางเดียวกันหมด ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเน้นเฟ้น มันจะเกิดจากความจริงจัง และก็จริงใจ ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว ความเป็นพระโสดาบันไม่ใช่ของยากเลย เพราะว่าเรามีศีลบริสุทธิ์ เคารพพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างจริงใจ ก็แค่คิดว่าถ้าตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพานนะ อารมณ์พระโสดาบันจะมีอยู่ รายละเอียดแค่นี้เอง ส่วนอื่น ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ของท่าน ท่านจะมีศีลเป็นกรอบอยู่ ยังไงก็ไม่นอกศีล โกรธคน โกรธได้ แต่ท่านไม่ผูกอาฆาตพยาบาท โกรธแล้วโกรธเลย ถึงเวลาก็ลืมมันซะ ฟังดูไม่ยากเลยนะ ประเภทโกรธที อีกสามปียังจำได้ อย่างนั้นไม่ใช่พระโสดาบันนะ
    เป็นไงเหนื่อยมั้ยลูก (ถามคนที่สมองพิการ) ค่อย ๆ เดินไปนะ ถ้าเป็นไปได้ พาเขามาบ่อย ๆ นะ เพราะกำลังใจเขาจะได้เกาะด้านดีไว้ตลอด อย่าไปคิดว่าเขาไม่รู้ เขารู้ซะยิ่งกว่ารู้อีก แต่เพียงแต่ว่าความเจริญของสมองมันไม่ทันร่างกาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาอยากคิด อยากพูด อยากรู้มากกว่านี้มันจะโดนจำกัดด้วยกฏของกรรม แต่ว่าผลบุญที่เขาทำน่ะ มันจะส่งผลให้เขาสบายในกาลต่อไปข้างหน้า ชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าได้แน่
    ถาม : ................
    ตอบ : จริง ๆ แล้วมันก็ดีนะ ของเขากลายเป็นทุกข์น้อยไปไง ทุกข์น้อยตรงที่ว่าการนึกคิดปรุงแต่งมันไม่มากอย่างพวกเรา เพราะฉะนั้นก็กลายเป็นว่า ให้กินได้อย่างใจ ให้เล่นได้อย่างใจ แค่นั้นเอง
    ถาม : .......................
    ตอบ : เรื่องของหมอดู อย่าเชื่อเสียทั้งหมด แต่ว่าให้ระมัดระวังไว้อันที่ท่านบอกว่าดีนั้น ไม่ต้องไปไขว่คว้ามันหรอกถ้าหากว่าเราทำเอาไว้ บุญเราถึง วาระเราถึงจริง ๆ มันได้ของมันเอง แต่ว่าถ้าท่านบอกว่าไม่ดีให้ระวังให้มากไว้ การระมัดระวัง ไม่ขาดทุนอะไรใช่มั้ย ? แต่ว่าวิธีแก้ไข ถ้ามันไม่เกินวิสัย ไม่ลำบากมากนัก ก็ทำ เช่นว่าให้สวดมนต์ถือศีลภาวนาเหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าหากว่ามันยากลำบากนักหนาอะไรก็เอาเหอะ ถ้ามันตายก็ให้มันตายไป ไม่ต้องเชื่อเสียทั้งหมด สิ่งที่ดีก็ไม่ต้องไปไขว่คว้า แล้วสิ่งที่ไม่ดีให้ระวังไว้
    ถาม : หลีกเลี่ยงไม่ได้เหรอคะ ?
    ตอบ : หลีกได้ กำลังใจของเรา ถ้ามั่นคงในทาง ศีล ภาวนากรรมเก่าที่มันจะมาสนอง มันจะมาได้ไม่เกิน ๒๕ % คราวนี้ว่ากรรมเก่า หรือที่เรียกว่าเคราะห์กรรม ชะตาตก หรือดวงตก อะไรพวกนั้นแหละ ถึงวาระที่มันเข้ามา แต่ว่าสมัยนี้บรรดาหมอดูที่พอจะมีจรรยาบรรณบ้างมันหายาก มันส่วนใหญ่จะหาประโยชน์ รู้จริงแล้วหาประโยชน์ ยังพอจะอภัย ไม่รู้อะไรเลย เอาแต่มั่วอย่างเดียวนี่มันน่าฆ่าซะ
    ถาม : แล้วควรจะทำยังไง อยู่อย่างนี้รู้สึกกังวล ?
    ตอบ : ถ้าหากมีโอกาสก็ ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น หรือไม่ก็จัดงานศพตัวเองไปเลยอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง มันจะเป็นการตัดเคราะห์อย่างหนึ่ง ตัดเคราะห์ใหญ่ที่มันจะมาถึงเรา มันจะหนีห่างจากมันได้ชั่วคราว ถ้าเราได้ทำบุญใหญ่อันนั้น ง่ายจะตาย เราก็ทำอยู่เรื่อยอยู่แล้ว
    เพราะฉะนั้นก็เอาเป็นว่าทำสังฆทานสักเดือนละครั้งเลย หรือไม่ก็เจอเขาทำที่ไหน มีโอกาสก็ร่วมบุญกับเขาไป มันจะได้ไม่สิ้นเปลืองมาก ไม่หมดมาก แล้วไป ๆ มา ๆ ถึงจังหวะสุดท้าย เออ! หมดแล้วไม่มีปัญญาจะทำ ทรัพย์สินเงินทอง กำลังกาย กำลังใจหมดเกลี้ยงเลย ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายไปเหอะ (หัวเราะ)
    ถาม : ถ้าเขาว่าไม่ดีนี่ เราทำให้ดีได้มั้ย ?
    ตอบ : ได้จ้ะ เขาว่ามันอยู่ที่ปากเขา กำลังใจของเราถ้าดี ทุกอย่างจะดีหมด ท่านบอกว่า มโนเสฏฐา มโนมยา สูงสุดที่ใจสำเร็จที่ใจ ถ้ากำลังใจของเราว่าดี แล้วตั้งใจทำ มันต้องดี ไอ้ที่ว่ามันปากเขาว่า กำลังใจเราอย่าไปตกตามเขา ถ้ากำลังใจมันทรงตัว ว่าให้ตาย มันก็ไม่สะเทือนหรอก
    ถาม : มันจะเหมือนสะกดจิตเราเองหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่สะกดจิตหรอก เป็นการแช่งตัวเอง ในเมื่อ มโนมยา สำเร็จด้วยใจ เราไปคิดว่าไม่ดี ๆ มันก็กลายเป็นไม่ดีไปจริง ๆ
    ถาม : ถ้าเราคิดว่าดี ดี ๆ
    ตอบ : สบายใจ ก็บอกแล้วว่า ถ้าใจดี ใจสบาย ทุกอย่างก็ดีหมด เพียงแต่ว่าเราจะทำได้ยังไง ให้จิตใจแจ่มใสอยู่เสมอ สำคัญตรงนั้นแหละ รักษาอารมณ์นั้นให้ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่า ศาสนานี้ท่านไม่สอนอะไรมากกว่าให้ละเว้นความชั่วทั้งปวงให้ทำความดีให้ถึงพร้อมรักษากำลังใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ
     
  9. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : อำนาจริษยา อาฆาต พยาบาท ถือตัว น้อยใจ จะแก้อย่างไร
    ตอบ : น้อยใจมันเป็นสาขาหนึ่ง เป็นสายใยบาง ๆ ของโทสะมัน
    ถาม : เราจะแก้ เราจะทำลายมันได้ไง ?
    ตอบ : จริง ๆ มันตัวเดียวกัน คือประคองสติให้อยู่เฉพาะหน้า อย่าให้ไปข้างหน้า แล้วอย่าให้ไปหลังคืออดีต โดยเฉพาะตัวอดีตมันทำให้น้อยใจ มันคอยจะคิดปรุงว่าเขาไม่ดีกับเรายังงั้น ไม่ดีกับเราอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่เราดีแสนดีแล้ว เพราะฉะนั้นมันต้องหยุดกำลังใจให้หยุดอยู่เฉพาะหน้า ถ้าหยุดอยู่เฉพาะหน้าได้มันจะไม่ไปน้อยใจให้เสียเวลา
    ถาม : ตัวอิจฉานี่เป็นยังไงคะ ?
    ตอบ : ตัวอิจฉาเกิดจากตัวโลภ จริง ๆ ตัวโลภ กับตัวรักนี่ตัวเดียวกัน มันอิจฉาริษยาเขาเพราะว่า กลัวว่าเราจะสู้เขาไม่ได้ในเมื่อกลัวจะดีสู้เขาไม่ได้ ก็กลัวว่าเราจะไม่ได้รับความรักจากคนอื่น กลายเป็นซะอย่างนั้น ตัวนี้ภาษาบาลีเรียก อิสสา มันเกือบจะเป็นอิจฉาอยู่แล้วล่ะ
    ถาม : แล้วจะแก้ยังไง ?
    ตอบ : เหมือนกันเลย เพราะอันนั้นนี่เป็นการฟุ้งซ่าน การฟุ้งซ่านไปในอารมณ์นี่ส่วนใหญ่ ถ้าไม่อดีตก็อนาคต เพราะงั้นถ้าหยุดอยู่กับปัจจุบันได้ ตัวอื่น ๆ ตายเกลี้ยง
    ถาม : แล้วตัวพยาบาท ?
    ตอบ : เหมือนกันหมด ตัวพยาบาทมันเป็นรากที่ฝังลึกของโทสะนะ แรก ๆ มันเป็นปฎิฆะ คือกระทบแล้วไม่พอใจ พอเราไปคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ก็เกิดเป็นโทสะ อาละวาดขึ้นมา พออาละวาดขึ้นมาไม่ได้อย่างใจคราวนี้เป็นไฟสุมขอน เป็นพยาบาท เก็บเอาไว้เรื่อย ๆ เดี๋ยวอกแตกตายไปเอง
    เพราะฉะนั้นทุกอย่างถ้าเราหยุดกำลังใจของเราได้ คือการหยุดความคิด ไอ้ตัวคิดนั่นก็คือ ตัวจิตสังขารการปรุงแต่งถ้าหยุดตัวนี้ลงได้ ตัวอื่นก็หยุดหมด ถ้ามันไม่มีน้ำมันมันใส่ลงไปซะอย่าง เครื่องยนต์มันก็ไม่ไม่รอดหรอก พอมันดับหมดระบบการทำงานอื่น ๆ มันก็ไม่ทำงาน
    ถาม : หมายความว่า ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันมีอยู่ก็หยุดมันได้ ก็จบ ?
    ตอบ : มันก็จบแค่นั้น ก็แค่เลิกทำ พูดแล้วง่าย ๆ เลิกทำ มันก็หมด
    ถาม : ตัวนี้มันมีกันทุกคนหรือเปล่าเจ้าคะ ?
    ตอบ : มีทุกคน จะมากจะน้อย อยู่ที่แต่ละคน ธรรมชาตินิสัยคนไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาอิจฉาคนไม่เป็นเลยใช่มั้ย ? ดีทุกอย่างแต่ว่าดันไปเป็นคนประเภทราคะจริต คือรักสวยรักงาม อะไรที่เป็นของสวยของงาม สะสมไปซะทั่วบ้านเลย เป็นซะอย่างนั้น มันจะมีเด่นขึ้นมาตัวใดตัวหนึ่ง แต่มันเป็นสาขาของ รัก โลภ โกรธ หลง เท่านั้นแหละ
    ถาม : สรุปแล้วคืออยู่กับปัจจุบัน ?
    ตอบ : ก็อยู่กับปัจจุบันจนกระทั่งวางปัจจุบันได้ก็จบ ไม่ใช่อยู่กับปัจจุบันเฉย ๆ นะ ถ้าอยู่กับปัจจุบันเฉย ๆ ก็แปลว่ามันแค่อาศัยกินได้ตอนนี้เท่านั้น เผลอเมื่อไหร่ก็เสร็จมันอีก เพราะงั้นวางปัจจุบันไปซะ
    ถาม : วิธีวางปัจจุบัน ทำยังไง ?
    ตอบ : อันนี้มันละเอียดมาก เอาเป็นว่าค่อย ๆ หยุดอยู่กับปัจจุบันให้ได้ก่อน ถ้าหยุดได้เมื่อไหร่ก็จะบอกวิธีวาง ต่อหยุดมันก็ยังหยุดไม่อยู่เลย
    ถาม : หยุดได้แล้วจะมาถามใหม่ ?
    ตอบ : จ้า จะรอให้เวลาสิบปีถ้วน (หัวเราะ) สิบปีนี่อย่างนานที่สุดไง มันอาจประเภทเจ็ดวัน เจ็ดเดือน เจ็ดปี อะไรอย่างนี้
    ถาม : แล้วอย่างกรณีเด็กนี่ ก็อยู่กับปัจจุบันได้ ไม่คิดถึงเรื่องเก่า ๆ
    ตอบ : ไม่ใช่ อยู่กับปัจจุบัน ก็คือทะเลาะกับมันอย่างมีความสุข (หัวเราะ)
    ถาม : ทีนี้เวลาอยู่คนเดียวนี่คะ ไอ้ตัวปรุงแต่งอดีต .................(ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : นั่นแสดงว่าการปฎิบัติของเรานะ เริ่มใช้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ถ้าเรารู้ว่าอันตรายอยู่เฉพาะหน้าเราจะหยุด มันเหมือนกับข้ามถนน รู้ว่ารถจะชนก็หยุด เดินต่อไปโดนชนแน่ แต่ว่าหลังจากที่รถผ่านไปล่ะ คราวนี้แหม ! มันท้าทาย เมื่อกี้มันจะชนเราข้ามมันซะสิบรอบคือทวนแล้วทวนอีก แสดงว่ากำลังของการปฎิบัติของเราเริ่มใช้ได้แล้ว มันเบรกได้บ้างแล้ว
    แต่หลังจากนั้นแล้ว ถ้าเก็บไปฟุ้งซ่าน มันก็จะเหลือมโนกรรมล่ะ กายกรรม วจีกรรม นี่มันเบรกแล้ว ก็เตรียมอกแตกตายได้ มโนกรรมนี่มันอยู่ ข้างใน อาละวาดยังกับเสือจะพังกรงนะ น่าพอใจแล้วให้มันเหลือแค่นั้นแหละ ต่อไปขังไว้นาน ๆ ให้มันอดข้าว แรงไม่ค่อยมี มันก็เฉาตายไปเอง
    ถาม : กลัวจะอกแตกตายซะก่อน ?
    ตอบ : พยายามตื้อไว้ โห ! ตอนที่มันหนัก ๆ นี่ มันเหมือนกับเสือจะพังกรงขึ้นมาให้ได้ หรือไม่ก็น้ำ มันรวมตัวกันจะทลายเขื่อนได้อยู่แล้ว เรารู้ว่าเรายันมันไม่ไหวแน่ ๆ ถ้ามาอีกนิดหนึ่ง บังเอิญบุญดี มันยังพอยันอยู่ ตอนนั้นถ้าใครเพิ่มนิดเดียวก็พังโครมเลย ไม่เป็นไร ยังใช้ได้อยู่ รู้ทันว่าเราไม่ดี ก็เก็บความไม่ดีให้อยู่กับเราอย่าให้ไหลไป ให้คนอื่นเขาเปื้อนกับเราด้วย
    ถาม : มันยันไปยันมา แล้วย้อนไปนึกจนถึงเด็ก ๆ ที่ผ่านมา
    ตอบ : ยังดีที่มันไม่ย้อนไปอีกชาติหนึ่ง ชาติที่ผ่านมา เรียกว่าฟุ้งซ่านก็ได้ แต่ต้องดูว่าเราย้อนไปแบบไหน ถ้าเราย้อนแบบตั้งใจระลึกชาติ หรือตั้งใจย้อนอดีต ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่ฟุ้งซ่าน มันเป็นเจตนาของเราที่จะดูมันแต่ว่าดูแล้ว รู้สักแต่ว่ารู้ อย่ารับมันเข้ามาให้เป็นอันตรายกับใจ ถ้าหากว่าประเภทที่นึกย้อนไปเรื่อย ๆ อันนั้นเรียกว่าฟุ้งซ่าน
    ถาม : เราสามารถรู้ สติตามไปเรื่อย ๆ แต่เบรกได้
    ตอบ : ก็หยุดม้าที่หน้าผา อันตรายมี แต่ว่ายังดีที่ไม่ตายซะก่อน
    ถาม : .........................
    ตอบ : เดี๋ยวให้ท่องอะไรให้ขึ้นใจสักหน่อยมั้ย ?
    ถาม : ท่องอะไรครับ ?
    ตอบ : มันต้องท่องไว้ในใจว่า เราทำงานไม่ใช่ทำอวดใคร เราทำงานเพราะไม่ใช่ทำให้ใครยอมรับ เราทำงานเพราะว่ามันเป็นงานที่เราทำ แค่นั้นเอง จำแล้วทำให้ได้ด้วยนะ ไม่อย่างนั้นแล้วจะเหนื่อยมาก
    ถาม : เรื่องศาลพระพรหม ?
    ตอบ : ความหมายของศาลใช่มั้ย ? ก็จริง ๆ แล้ว ศาลพระพรหมน่ะ สำคัญอยู่ที่เดียวก็คือ เอราวัณ โรงแรมเอราวัณ ก่อสร้างขึ้นมาสารพันปัญหา จนกระทั่งหลวงสุวิชาญแพทย์ ท่านไปดูให้ ว่าไปใช้ชื่อสำคัญข้างบนเข้า ก็เลยทำให้มีปัญหาขึ้นมา คราวนี้ถามว่าจะแก้ยังไง ก็ตั้งศาล การตั้งศาลนี่ คุณหลวงท่านรู้จริง ท่านก็เชิญพรหมมาเพื่อที่เรียกว่ารักษาสถานที่นั้น กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ไม่ใช่แต่บ้านเราต่างประเทศก็ศรัทธามาก พวกฮ่องกง ไต้หวัน มาเลย์ สิงค์โปร์
    จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เขากล้ารื้อเอราวัณ แต่ไม่กล้ารื้อศาล คนอื่นมันเห็นว่าทำแล้วดีมันก็เลยเลียนแบบ คนอื่นก็ได้แต่แบบไป เพราะว่าคนไม่มีคนรู้จริงอย่างหลวงสุวิชาญแพทย์ หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริง ๆ มันก็ได้แค่ว่าเราเคารพท่าน แต่เรื่องที่ท่านจะช่วยเหลือสงเคราะห์เรามากมายแบบนั้งคงไม่ได้หรอก
     
  10. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : แล้วเขาทำบุญ ทำกรรมยังไง ถึงได้อธิษฐาน ขอส่วนบุญเทวดาให้ได้คะ ?
    ตอบ : ทำบุญให้เยอะ ๆ เข้าไว้ ขยันเกิดบ่อย ๆ แล้วก็ไปอยู่ข้างบนให้มากกว่าข้างล่าง พอถึงเวลาส่วนใหญ่เพื่อนเก่าหรือไม่ก็ผู้บังคับบัญชาเก่า ขอร้องอะไรมันก็ง่าย แตถ้าไม่มีบุญเป็นตัวเสริม ท่านก็ไม่ค่อยดูหน้าเราเหมือนกัน
    ถาม : เจ้าแม่กวนอิม ท่านเป็นใครกันแน่ ?
    ตอบ : เกิดไม่ทัน ท่านเกิดก่อนเป็นพันปี เลยเกิดไม่ทัน
    ถาม : ก็มีตำนานเล่าว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ว่าคนในปัจจุบันก็เรียกท่านว่าเจ้าแม่
    ตอบ : คือว่าชาติที่ท่านมีชื่อเสียงมาก คือชาติที่ท่านเกิดเป็นองค์หญิง เมี่ยวซ่าน คราวนี้เวลาท่านบวช ท่านมีฉายาว่า กวนอิม คือผู้คอยฟัง คอยฟังในความทุกข์คนอื่น เขาก็เลยติดว่าในชาตินั้นที่ท่านมีชื่อเสียงมากที่สุด ควรให้ความเคารพนับถือมากใช่มั้ย ? ทั้งประเทศนี่เห็นตามท่านหมด เขาก็เลยถือเอาชาตินั้นเป็นสัญญลักษณ์ท่านมา
    ชาติต่อไปท่านจะเป็นใคร เขาไม่ฟังแล้ว เอาชาตินั้นเป็นหลัก สละแขนตนเองเพื่อประกอบยาให้พ่อ อย่าลืมนะ พระโพธิสัตว์ การตัดแขน ตัดขา ควักดวงตา ควักหัวใจ ถวายเป็นบูชาอะไรนี่ท่านทำเป็นปกติ แล้วพอหนัก ๆ ขึ้นมา สละลูก สละเมีย เป็นทาน สละลูกเมียเป็นทานน่ะ ยากกว่าตัดหัวตัวเองอีก
    ถ้าเป็นเราสมัยนี้ก็เอาไปเถอะ ขอให้ตูรอดไว้ก่อน ไอ้พวกกำลังใจไม่ถึง ท่านเองท่านเกิดมาพร้อมกับความดี แต่ว่าพ่อเป็นจักรพรรดิน่ะ ตีบ้านตีเมืองเขาแหลกรานไปเลย คัดค้านพ่อไม่สำเร็จ โดนไล่ไปเลยอยากบวชนัก ก็บวชได้แต่บังคับที่สำนักบวชให้ทำงานให้หนักที่สุดเท่าที่หนักได้
    คราวนี้ท่านอยู่กับความรื่นเริงเบิกบาน อยู่กับบุญน่ะจิตใจเกาะบุญอยู่ตลอด ไม่ได้สนใจว่าภายนอกเขาจะเป็นยังไง ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป ยิ่งทำยิ่งหนัก ก็ไม่ว่าทำแค่ไหนก็ทนได้ ขอให้ได้ประพฤติพรหมจรรย์ พ่อก็เลยยัวะ สั่งให้ทหารไปเจี๋ยนซะ ปรากฏว่าท่านเองคงจะสร้างบุญเอาไว้ดี
    ตามประวัติว่าท่านตายแล้วฟื้นใหม่แล้วไปอยู่ที่เกาะฝงไหล ปฎิบัติจนกระทั่งเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ตรงนั้นมีบุญมีบารมีมากที่สุด ถึงวาระสุดท้ายกรรมเก่ามันตามทัน พ่อก็เลยตาบอด แล้วก็เกิดโรคร้ายขึ้นมาอะไรรักษาก็ไม่ได้ หมอก็บอกว่าต้องได้ดวงตาเหรือแขนของผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์มา ถึงจะรักษาได้ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าแม่กวนอิมที่คนเขาศรัทธากันนักหนา ในระยะนั้นน่ะก็คือลูกตัวเอง ก็ให้มหาอำมาตย์ไปขอก็ให้มาจริง ๆ พอรักษาหาย จะไปขอบคุณ ไปถึงเพิ่งจะรู้ว่าลูกตัวเอง
    ถาม : ..........................
    ตอบ : เรื่องของอายุขัย มันเกิดจากกรรมที่เราทำไว้ในอดีต ถ้าปาณาติบาตน้อยก็อายุยืน ปาณาติบาตมากก็อายุสั้น หลวงพ่อท่านเคยเทศน์ทีหนึ่ง
    มีคน ๆ หนึ่ง ทำบุญทีไรก็ขอให้ตัวเองอายุยืนสองหมื่นปีมันขอสองหมื่นปี มันเอาไม่เยอะหรอก ไม่ค่อยโลภเลยทำเมื่อไรก็ขออายุยืนสองหมื่นปี อธิษฐานดัง ๆ ด้วย คนได้ยินทั้งศาลาเหมือนกันหมด อธิษฐานไป อธิษฐานมา พอถึงวันพระเขาก็อธิษฐานแบบเดิม ขากลับจากทำบุญ มันจะต้องผ่านลำประโดง ที่เขาขุดให้น้ำ มันไหลเข้าไปในไร่ในนาเข้าน่ะ เป็นคลองเล็ก ๆ มีพวกไม้ไผ่ หรือต้นหมากอะไรพาดผ่านให้เดินข้ามได้เท่านั้น
    ก็มีชายแก่คนหนึ่ง แกเดินข้ามก็ประสาคนแก่นั่นแหละ เดินไม่ถนัด ก็ตกตูมลงไปในน้ำ อีตานี่ก็รีบกระโดดลงไปช่วยลากขึ้นมาบนบกได้ ถามว่าลุงเป็นใครไม่เคยเห็นหน้า แล้วมาทางนี้ทำไม ถึงขนาดตกน้ำตกท่าเลย ตาแก่เขาบอกว่าลุงคือพระกาลเห็นเอ็งอธิษฐานอยากได้อายุยืนสองหมื่นปีมานานแล้ว วันนี้ได้โอกาสแล้วก็เลยแสดงตัวมาพบ ถ้าเอ็งอยากได้อย่างนั้นจริง ๆ ลุงช่วยให้ได้ จะเอาจริงหรือเปล่า ? เขาก็บอกว่าเอา พอเอาก็ เอาล่ะถ้าเอ็งกลับไปถึงบ้านนะ ก็เริ่มนับได้เลยล่ะอีกสองหมื่นปีเอ็งถึงจะตาย
    ตอนนี้แกก็กระดี๊กระด๊า กลับบ้านไป ปรากฏว่ามันไม่ดีใจได้ไม่นานหรอก คนรุ่นเดียวก็ตายหมด คนรุ่นลูกตาย คนรุ่นหลานตาย จนหระทั่งคนรุ่นแหลนตาย เจ้านี่ก็ยังอยู่คนเดียว ชักคลุ้มคลั่งขึ้นมา อยู่เท่าไหร่ก็ไม่เห็นตายชะที เพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่เหลือแล้ว รุ่นอื่น ๆ ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว กลายเป็นปูชนียบุคคลลายครามขึ้นหิ้งไปแล้ว ก็อยากตายขึ้นมา ทำยังไงก็ไม่ตาย ฆ่าตัวตายก็ไม่ตาย ฆ่าตัวตายกี่วิธี ก็มีอันเป็นไป ให้คนมาช่วยทันแกก็เลยคิดวิธีฆ่าตัวตายแบบพิศดารขึ้นมา แกไปขึ้นต้นไม้ใหญ่ ต้นที่มันอยู่ริมน้ำลึก ๆ น่ะ แล้วเอาเชือกผูกคอตัวเอง จัดแจงเอาน้ำมันราดตัว แล้วก็ถือปืนเตรียมไว้ จุดไฟพรึ๊บเอาปืนจ่อหัว ยิงตูม พร้อม ๆ กับทิ้งตัวลงไปข้างล่าง คือกะว่ามันจะต้องตายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ปรากฏว่าตอนที่แกทิ้งตัวพร้อมกับ เหนี่ยวไกน่ะปืนมันพลาด จากหัวไปโดนเชือกพอดี ตกลงไปในน้ำไฟดับอีก (หัวเราะ)
    หลวงพ่อบอกว่าเรื่องนี้มีหลักฐานมา บาลีมุตตะกะ มุสาวาทวรรค วรรค ไปเปิดดูได้ เพื่อนนักเทศน์ด่ากันตรึมเลย บาลีมุตตะกะ เขาว่าอยู่นอกบาลี มุสาวาทวรรค ก็โกหกชัด ๆ เล่นเอาโยมทั้งศาลาอยากจะอายุสองหมื่นปีไปตาม ๆ กันทั้งนั้น ท่านก็เล่าของท่านหน้าตาเฉย บาลีมุตตะกะ นอกบาลี ไม่มีมาในพระไตรปิฎก มุสาวาทวรรค วรรคโกหก ฉันพูดเองจ้ะ (หัวเราะ) เอามั้ย ? สองหมื่นปี อยู่กันเหนียงยานเลย แต่ถ้าอยู่ด้วยบุญ สองหมื่นปี มันไม่นานหรอกนะ
    อย่างเช่นว่าสมัยต้นกัปนี่อายุหนึ่งแสนปีนี่ใช่มั้ย ? แล้วก็ลดลงมาเรื่อย จนกระทั่งอย่าง ของเรานี่ท้าย ๆ ก็ยังเรียกว่าท้ายนะ เพราะช่วงนี้เรียกว่า อายุร้อยปีเป็นอายุขัย สมัยพระพุทธเจ้า คราวนี้ว่าร้อยปีลบหนึ่งปี ร้อยปีลบหนึ่งปีไปเรื่อย บัดนี้ ผ่านไปสองพันห้าร้อยปี ก็ลบไปยี่สิบห้าปี อายุมนุษย์ปัจจุบันก็เจ็ดสิบห้าปีเป็นอายุขัย ใครอยู่ขาดก็แสดงว่าปาณาติบาตมาก
    ถาม : ......................
    ตอบ : คนตายแล้วส่วนใหญ่จะสบายนะโยม คืออาตมากล้ายืนยันว่าพ้นจากทุกข์ทรมานในปัจจุบันนี้ มันสำคัญกับตัวเราว่า ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ ถ้าเราไม่ทำความดีในอนาคตเวลาตายเราจะทุกข์อีก เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องทำให้เยอะเข้าไว้ เราทำเท่าไรเราก็ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นเราตั้งใจอุทิศให้ใครเขาถึงจะได้
    ถาม : แสดงว่า ไม่จำเป็นต้องลงข้างล่างก่อน แล้วแต่
    ตอบ : แล้วแต่จ้ะ ถ้าเราทำความดีไว้มากก็ขึ้นตรงไปเลย ถ้าทำความชั่วมากก็ตรงไปเลย ยกเว้นว่าดีชั่วก้ำกึ่งกัน ก็ต้องไปรอการตัดสินที่ตำหนักพระยายม ประเภทดีซะร้อยหนึ่ง ชั่วซะร้อยยี่สิบ หรือดีร้อยยี่สิบชั่วซะอีกร้อยหนึ่งอย่างนี้ ไปตรงนั้นเหมือนกัน
    ถาม : แล้วอย่างหนูเอาของเล่นเขาไปทำบุญอย่างนี้เขาจะได้บุญมั้ยคะ ?
    ตอบ : ถ้าเป็นของของเขา เขามีส่วนอยู่แล้วจ้ะ
    ถาม : ถ้าเขาไม่เต็มใจอย่างนี้คะ ?
    ตอบ : เขาไม่เต็มใจนี่ อันนั้นเขาไม่ยินดีกับเรา บุญก็จะลดน้อยลงไป
    ถาม : เขาลด แต่เราลดมั้ยคะ ?
    ตอบ : ของเรานี่กำลังใจมันล้น มันไม่ใช่ลด มันล้นตรงที่ว่ากระทั่งของที่เขาไม่เต็มใจ อุตสาห์เอาไปทำบุญ
     
  11. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔ (ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม : บางทีอย่างเสื้อผ้าเขาใส่ไม่ได้ หนูก็สงสารเด็กคนอื่นหนูก็เอาไปบริจาค
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ทำถูกแล้ว ค่อย ๆ สอนเขา
    ถาม : ตอนนั้นหนูนั่งกรรมฐานเอง เสร็จแล้วไม่ได้อะไรนะ แต่ฝันไปว่า ถ้าจะนั่งกรรมฐานจะต้องมีอาจารย์ค่ะ อย่างนี้เราสมควรทำอย่างไรคะ ?
    ตอบ : ก็พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ไงโยม ตั้งใจจุดธูปเทียนมีดอกไม้ มีของหอมอะไร บูชาพระรัตนตรัย อธิษฐานได้เลย แต่ถ้าหากว่าเพื่อความแน่นอน ต้องการจะมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตรของเรา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสอะไร อย่างนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าหากว่าอยากจะทำ เริ่มต้นได้เลย ถือพระพุทธเจ้าเป็นครู ครูใหญ่ที่สุด ไม่มีใครใหญ่กว่านั้นอีกแล้ว
    ถาม : คืออ่านในหนังสือ เห็นหลวงพ่อบอกว่าให้ทำที่บ้านก็ได้ นั่ง ๆ ไป แล้วมีคืนหนึ่งก็ฝันว่า ถ้าจะนั่งต้องมีอาจารย์ไงคะ ต้องทำไง เลยไม่แน่ใจ
    ตอบ : ลองขึ้นครูดูมั่งก็ได้ ถ้าหากว่าขึ้นครูตามแบบของหลวงพ่อ ใช้ธูปสามดอก เทียนหนึ่งเล่ม ดอกไม้สามสี สีละดอก แล้วก็เงินบูชาครูหนึ่้งสลึง
    ถาม : แล้วจะต้องทำยังไงคะ เวลาบูชา ?
    ตอบ : บูชาหน้าหิ้งพระ ตั้งใจว่า กรรมฐานในสิ่งที่หลวงพ่อสอนไว้ โดยเฉพาะมโนมยิทธิทั้งหลายนี้ ลูกขออนุญาตฝึก ขอให้ได้โดยสะดวกและคล่องตัวด้วย ให้ได้ง่าย ๆ ด้วย ไม่งั้นบางคนปล้ำกันตายเลย
    ลงไปใต้งวดนี้ เจอโยมคนหนึ่งฝึกธรรมกายมาแบบทุ่มเทเลย แล้วไม่ได้ เป็นปี ๆ ก็ไม่ได้ บอว่ากระทั่งดวงปฐมมรรคก็ประคองไม่อยู่ พอประคองไม่อยู่ วันนั้นคงประเภทเหนื่อยใจเต็มที่แล้ว ก็เลยบอกว่าได้ไม่ได้ช่างมัน วันนี้นอนแล้ว พอเอนตัวลงก็พอดีโพล๊ะเลย คือเขาทุ่มมากเกินไป มันเลยเป้าที่ต้องการ พอลดกำลังใจลงมา
    ดูแล้วโยมคนนี้ตัวอย่างเหมือนพระอานนท์ ตอนก่อนทำสังคายนาใช่มั้ย ? รุ่งเช้าเป็นวันสังคายนา กลางคืนท่านก็เินจงกรมกันยันสว่างเลย เสร็จแล้วก็เหนื่อยมเต็มที่ ไม่เป็นพระอรหันต์สักที ก็เอ้า ! ช่างมัน เป็นไม่เป็นก็ช่าง นอนแล้ว พอเอนตัวลงไม่ทันจะถึงหมอน เลยบรรลุตรงนั้น กลายเป็นว่าท่านบรรลุในท่าที่แปลกกว่าใครเพื่อนเลย ยืน เดิน นั่ง นอน พร้อมกันเลย จะยืนก็ได้ เพราะว่าเท้าหนึ่งยังแตะพื้นอยู่ จะเรียกว่านั่้งก็ได้เพราะก้นก็แตะเตียงอยู่ จะเรียกว่านอนก็ได้เพราะว่าตัวเอนลงไปแล้ว (หัวเราะ) เป็นพระอรหันต์องค์เดียวที่บรรลุในอิริยาบทที่แปลกไปกว่าเขา ลักษณะเดียวกับโยมคนนั้นแหละ
    แล้วตัวเองที่ปฏิบัติมาในระยะแรกที่ฝึกมาโดยไม่มีครูก็แบบเดียวกัน ภาวนามาใจก็คือว่าปรารถนาจะให้ได้ปฐมฌานอย่างน้อย เพราะว่าฟังคำเทศน์หลวงพ่อท่านบอกว่า กำลังอย่างน้อยถึงปฐมฌานถึงจะตัดกิเลสได้ โดยเฉพาะกิเลสระดับพระโสดาบัน พระสกิทาคามีกำลังของปฐมฌานก็พอแล้ว ก็พยายามจะให้มันได้ ทุ่มเทเวลาปีแล้วปีเล่า สามปีเต็ม ๆ ไม่ได้เลย พอวันทีี่่มันจะได้ขึ้นมา ก็ลักษณะเดียวกับเขาก็คือว่า ทำมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้วไม่ได้ซักที ก็เรื่องของมันเหอะ ได้ไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ทำของเราก็แล้วกัน ลงร่องโป๊ะเลย ถ้าเราลดกำลังลงไปแค่พอดี มันจะได้เดี๋ยวนั้นเลย
    แต่คราวนี้ไอ้พอดี กว่าจะเข้าถึงแต่ละคนมันลำบาก พอเข้าได้ซักทีแล้วต่อไป มันจะง่าย เพราะว่าเราจำอารมณ์ตรงนั้นง่าย
    ลักษณะของโยมคนนั้นแบบเดียวกันเลย โยมคนนั้นอยู่หาดใหญ่ฝึกธรรมกายทุ่มเทมากเลย เป็นลูกศิษย์ของนายอำเภอวิวัฒน์ เรืองมณี เคยได้ยินกันมั้ย ? ท่านนายอำเภออยู่ทางด้านโน้นนี่ท่านสอนสองอย่างเลย สอนทั้งธรรมกาย สอนทั้งมโนมยิทธิ เพราะว่าพอถึงตอนสุดท้ายแล้วเหมือนกัน พอเหมือนกันท่านสอนสองอย่าง โดนคนเขาว่าเพี้ยนบ้าง อะไรบ้าง แต่ท่านสอนลูกศิษย์ลูกหาไปซะเยอะแยะ
    ถาม : กลัวทำอะไรที่ผิดไปโดยที่เราไม่รู้ แล้วเป็นบาปนะคะ ก็ขอกราบขมาอภัย
    ตอบ : จ้ะ....เวลาจะทำอะไร ตั้งใจขอขมาต่อหน้าพระ โดยเฉพาะพระพุทธรูป พระทุกองค์ก็คือศากยบุตร ก็คือลูกของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขอขมาตรงต่อท่าน ท่านไม่ถือโกรธเราอยู่แล้ยว แต่ถ้าจะเอาให้พ้นจริง ๆ ต้องขอขมาต่อพระรัตนตรัย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
    เพราะฉะนั้นก่อนสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนทำกรรมฐานทุกครั้งควรจะกราบขอขมาพระรัตนตรัยก่อน หลวงพ่อท่านสอนให้ปฏิบัติจนชิน จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมากราบพระเมื่อไหร่คนเขาจะเห็นว่ากราบหลายที คือครั้งแรกกราบก่อน หลังจากนั้นขอขมาพระรัตนตรัย ก็กราบอีก สวดมนต์เสร็จก็ค่อยกราบ เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ต้องเก้ากราบไปแล้วล่ะโยม โดยเฉพาะนักปฏิบัติ พอเริ่มเข้าเขตอุปจารสมาธิไปแล้ว มารเขารู้ว่าเราจะหนีห่างไปแล้ว เขาจะหาวิธีขวางเราไว้ทุกวิถีทาง วิธีขวางที่ง่ายที่สุด ก็คือทำให้เราเกิดการลังเลสงสัย หรือทำให้เรามีความคิด มีคำพูด มีการกระทำ ที่เป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย พอเราเกิดความคิด มีคำพูด หรือมีการกระทำอย่างนั้น อย่าไปเสียอกเสียใจ อย่าไปหนีห่างจากความดีตรงจุดนั้น
    ให้คิดว่า ถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านี้เราไม่ทำอยู่แล้ว แต่ว่าในขณะนี้ด้วยการชักนำของกิเลส ตัณหา ของอุปาทาน ของอกุศลกรรม พาเราไป พาให้เราทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ถึงไม่ใช่เจตนาโดยตรงของเราก็เถิด แต่เราก็เต็มใจกราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วก็ตั้งใจกราบขอขมาไป พวกนี้เขากลัวคนหน้าด้าน ถ้าเราหน้าด้านตื๊อสู้อยู่ เขาก็ถอย รู้ทันเขาก็ถอย เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ปฏิบัติอยู่ต้องผ่านจุดนี้ทั้งนั้น แล้วมารมีตัวตนจริง ๆ เขามาแต่ละทีน่ากลัวมาก
    อาตมาเจอเข้ามาแล้ว ครั้งแรกที่เป็นเด็ก ๆ ท่องอะไรนะ พญามารยกพลมาผจญพระพุทธเจ้า เหมือนยังกับคลื่่นในมหาสมุทร เจอเข้าจริง ๆ ลักษณะนั้นเลย เขามาอย่างชนิดที่ว่า เหมือนกับว่าเราไม่มีทางที่จะต่อต้านเขาได้แม้แต่น้อย แต่ว่าเราถอยไม่ได้ ต้องสู้ เจอเข้าจริง ๆ แต่ไม่ต้องกลัว ให้คิดเสียว่าเขาทำหน้าที่ของเขา เราทำหน้าที่ของเรา มารไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นครูที่ขยันที่สุด เพราะเขาทดสอบเราทุกวินาที เขาเป็นผู้มีอุปการะคุณต่อเราอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ผ่านการทดสอบของเขา เราก็ยังคงติดอยู่ที่เดิม แต่ถ้าเหากว่าเราผ่านไป ตรงจุดนั้น เราจะไม่แพ้อีก
    ครูที่ขยันออกข้อสอบขนาดนั้น น่าจะยกขึ้นหิ้งเสียด้วยซ้ำไป คิดเสียว่าเป็นหน้าที่ของเขา เขามีหน้าที่ขวางให้เขาขวางไป เราทำหน้าที่ของเรา ราจะหนีให้พ้น เราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ไม่มีใครดี ไม่มีใครชั่ว ต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน แผ่เมตตาอโหสิกรรมให้เขา เขาทำต่อไป ก็ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขาต่อไป เราไม่มีทางสู้เขา ไม่ว่าวิธีไหนก็แล้วแต่ ยกเว้นว่าเลิกศุ้ไม่ต่อยกับมันซะอย่า งมันจะมาต่อยเราฝ่ายเดียวก็ให้มันรู้ไป เกือบตายนะ โดนมาทุกวิถีทางเลย
    ไอ้งานนั้น ประมาณสิบกว่าวันไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ตามที่อ่านในตำราที่บอกว่า เวลาเขามามีลักษณะตัวดำเป็นนิล มาลักษณะนั้นจริง ๆ โอ้โห ! แล้วเวลาเขามานี่ พลังที่รุมล้อมรอบข้างนี่ เหมือนยังกับไก่ไปเจองูน่ะ เราเองลุ้นไม่ขึ้นเลย มีอย่างเดียวจะยอมหมอบราบคาบแก้วแพ้ซะท่าเดียว
    ยกเว้นกำลังใจสุดท้ายที่คอยเตือนสติว่า ถ้าแพ้เราจะเป็นทาสเขาตลอดไป มันต้องสู้อย่างเดียว แต่ก็อย่างว่าแหละ สู้ไปสู้มา สู้เท่าไหร่ ก็สู้เขาไม่ได้นะ จะใช้ความสามารถพิเศษรบกับเขา เราแพ้ตั้งแต่ยกแรกเลย เพราะว่าสู้ก็คือเกิดโทสะ ก็เสร็จเขา ใช้กำลังใจแผ่เมตตาอย่างเดียวก็สู้เขาไม่ได้เพราะว่ากำลังเขาสูงมาก ขนาดพระพุทธเจ้ายังเอาเขาไม่ได้ ตรงจุดนี้ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เก่งนะ (หัวเราะ) เก่ง แต่ว่าเนื่องจากว่าให้เท่าไหร่เขาไม่่รับ มีปัญญาให้ไปซิ เราก็แย่อยู่ฝ่ายเดียว ตื๊อกันเข้าไปซิ ฟาดกันอยู่นานเนกาเล คิดว่างานนี้แค่ตาย ปรากฏว่าตื๊อไปตื๊อมา มันอาจพ้นวาระกรรมของเราพอดีก็ได้ ก็ถอยให้ แต่กว่าจะถอย เล่นเอาเราซะงอมพระราม
     
  12. ดวงแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +259
    ประคองสติให้อยู่เฉพาะหน้า อย่าให้ไปข้างหน้า แล้วอย่าให้ไปหลังคืออดีต
     
  13. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : แล้วถ้าเขาไม่ถอยล่ะครับ จะสู้ยังไง ?
    ตอบ : ไม่ต้องไปสู้หรอก สู้เขาไม่ได้แน่ เป็นพวกเดียวไปเลย หรือไม่ก็ต่างคนต่างทำงานไป คืออย่าไปเห็นเขาเป็นศัตรูนะ ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง ให้เป็นพวกเดียวแบบหมอบราบคาบแก้วให้แก่เขา นั่นก็เสร็จเลย แล้วส่วนใหญ่ ถ้าทำไปถึงก็จะโดนเหมือน ๆ กัน เพราะว่าพระส่วนใหญ่ พอปฏิบัติไปแล้วก็จะกลายเป็นหลักของโยมต่อไป ไอ้คนที่เป็นคนนำขบวนหรือเป็นหัวหลักพลอยให้คนอื่นเขายึด เขาจะตีตรงนั้นมาก
    ถาม : แ้ล้วคนช่วยที่อยู่รอบข้าง (ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : ตัวช่วยจริง ๆ อยู่รอบข้าง นั่นคือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น สามารถเป็นครูให้เราได้ทั้งนั้น คนอื่นที่เขานั่งอยู่นะ เขาเจ็บมั้ย ? ป่วยมั้ย ? เมื่อยมั้ย ? ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กำลังเป็นไปอยู่ในทุกข์ทั้งสิ้น เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์
    แต่ขณะเดียวกันไอ้ตัวช่วยรอบข้างนี่แหละ จะกลายเป็นบริวารของมารได้ทุกเวลาเหมือนกัน สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน ถ้าเรารับเข้ามาในใจ โดยปราศจากการระมัดระวัง มันพร้อมที่จะก่อให้เกิดการกระทบ พอกระทบเมื่อไหร่ เราส่งใจออกไปรับรู้เมื่อไหร่ ก็แปลว่าทุกข์เมื่อนั้น ตัวช่วยอยู่รอบข้างเหมือนกัน แต่ขณะเดียวไอ้ตัวคอยซ้ำอยู่รอบข้างเหมือนกัน ตัวเดียวกันด้วย ที่บอกว่ามารกับความดี หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลยนั่นแหละ ก็คือตรงจุดนี้แหละ มันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจของเราดี รอบข้างดีหมด ถ้าใจของเราไม่ดี รอบข้างก็ไม่ดีไปด้วย
    หลวงปู่ขาว สมัยโน้น...ท่านเล่าให้ฟัง พอท่านผ่านจุดของการต่อสู้ไป จนมั่นใจว่าไม่แพ้แล้ว ขนาดกุฏิเก่า ๆ ทั้งหลัง กราบแล้วกราบอีกไม่เบื่อ กุฏิเก่า ๆ อยู่มาตลอดไม่เคยอมองด้วยซ้ำเลย กลายเป็นครูไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ..เอาแค่ทุกข์ตัวเดียวนะ ทุกคนเวลาเกิดความทุกข์ก็จะไปคร่ำครวญอยู่กับมัน ลำบากเหลือเกิน ทุกข์ยากเหลือเกิน แต่ว่าในสายตาของพระปฏิบัติที่ทำไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว ทุกข์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทองอีก เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ อดีตโบราณาจารย์หลายลัทธิที่มีความสามารถสูงมาก มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ปฏิบัติมาตลอดทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถจะเห็นอริยสัจที่แท้จริงตัวนี้ได้
    พระพุทธเจ้าของเราบำเพ็ญบารมีอย่างน้อยสี่อสงไขย กับหนึ่งแสนมหากัป ปฏิบัติด้วยความลำบากยากเข็ญถึงหกปีเต็ม ๆ ด้วยปัญญาธิคุณอันล้ำเลิศ พระองค์ท่านจึงตรัสรู้เห็นอริยสัจอันนี้ได้ ไอ้ของที่หาได้ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้น ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าของเราแล้ว เงินทองเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ กลายเป็นของที่มีค่าชนิดที่ไม่สามารถจะไปควานหาตรงไหนได้ ของที่เราว่าไม่ดีแท้ ๆ กลายเป็นของมีค่าในสายตาของท่านไป ตามทันมั้ยตรงนี้ ? ตามไม่ทันพูดใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม (หัวเราะ)
    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะมีมุมมองของมันเอง เมื่อไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะไม่มีดีไม่มีชั่วนะ ดีชั่วก็เป็นแค่สมมุติ สิ่งที่เห็นคือผู้ที่กำลังเป็นไปตามกรรม กระแสกรรม อันนั้นมีดำกับขาว ฝ่ายขาวพาเราขึ้นสูง ฝ่ายดำพาเราลงต่ำมันอยู่ที่ว่าเรากระโดดไปกระโดดมาอยู่ในสองกระแสนี้ จนกว่าจะเด็ดขาดสิ้นเชิงไป หลุดออกจากแกระแสทั้งคู่เสียก็หลุดพ้น แต่ถ้าหากว่ายังไม่สามารถหลุดพ้นได้ ต้องเกาะกระแสสีขาวเสียก่อน เกาะไว้เหมือนกับเราขึ้นบันไดสูง ๆ ให้เกาะราวบันไดไว้ก่อน เป็นการประกันความเสี่ยงนะ แล้วถึงเวลา ถ้าหากว่าเราขึ้นมา
    สมมุติว่าเป็นห้องนี้ เข้ามาในห้องเราก็ไม่ได้แบกราวบันไดมาด้วย เรากองมันไว้ที่เดิม อันดับแรก เราต้องเกาะก่อน คือเกาะดี แล้วหลังจากนั้นพอถึงที่สุดแล้วมันถึงจะพ้นดี หลวงปู่มหาอำพันที่อาตมาจะทำบุญถวายร้อยปีเกิดของท่าน ท่านใส่บาตรทุกเช้า อาตมาอยู่วัดเทพศิรินทร์กับหลวงปู่สี่ปีเต็ม ๆ คอยดูแลปรนนิบัติท่าน เพราะว่าท่านอายุมากแล้ว มรณภาพตอนแปดสิบแปด ท่านใส่บาตรทุกเช้า พระทุกองค์ท่านบอกว่านิมนต์นะครับ ตอนไปทำวัตรเย็น นิมนต์นะครับ ถ้าท่านใดออกบิณฑบาตรกรุณาผ่านกุฏิผมด้วย ขอเป็นเนื้อนาบุญของผมบ้าง พระทุกองค์เดินผ่าน ท่านจัดเตรียมอาหารอยู่ ท่านก็ใส่บาตรทุกวัน ไอ้ของเรามันก็ตื่นมาช่วยท่านทุกวัน ช่วยไปช่วยมามันขี้สงสัย คือเรารู้ว่าหลวงปู่เป็นพระดีแน่นอน ก็กราบเรียนว่าหลวงปู่ครับ บุญของหลวงปู่ก็กินไม่ไหว ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว แล้วหลวงปู่ยังต้องไปทำ ทำอะไรอีก ท่านบอกว่า ไฮ้ ! ....คุณก็ คนเราถ้าหากว่าปีนขึ้นไปบนหน้าผาแล้ว มันก็มีแต่ต้องรีบตะเกียกตะกายไปให้ห่างจากมันให้มากที่สุด
    คือพระที่ท่านเข้าถึงความดีแล้ว ท่านจะทรงความไม่ประมาทอยู่เสมอ ของเราเองนี่ประมาทเต็มตัวเลย ไม่ต้องห่วง ทำดีพอแล้ว ไม่ต้องทำอีกก็ได้ พอกินแล้ว เกิดหาใหม่ไม่ทันก็อดกิน นั่นแหละ ครูบาอาจารย์ แต่ละองค์ ๆ ท่านจะให้ในสิ่งที่เป็นแบอย่างแก่เรา แล้วเราเองเอาสิ่งทั้งหลายนั้นมาประยุกต์ นำส่วนที่พอเหมาะพอสม มาปฏิบัติกับตัวเราให้เกิดคุณกับตัวเราได้ ไม่ใช่ยกมาทั้งแท่ง ไอ้ยกมาทั้งแท่งที่บอกว่าสู้แค่ตาย อาตมาตายฟรีมาแล้วจ้ะ เขาบอกว่าเรียนรู้ตามตำราถือว่าเก่งใช่มั้ย ? ต้องพลิกแพลงใช้งานได้ถึงจะยอด แต่ถ้าเยี่ยมจริง ๆ ให้บัญญัติใหม่ (หัวเราะ) ของเราไม่เก่งขนาดนั้น ต้นบัญญัติจริง ๆ คือพระพุทธเจ้าเท่านั้น อาตมาไม่เอาด้วย
    ถาม : พรรษานี้ผมจะไปอยู่ที่ ...(ฟังไม่ชัด).....
    ตอบ : ที่ไหนก็ได้ สำคัญตรงใจเรา ส่งออกเมื่อไหร่ทุกข์เมื่อนั้น ตอนแรกต้องหยุดมันให้ได้ก่อน โดยเฉพาะหยุดคิด นี่แหละ น้ำผลไม้มันก็แค่น้ำผลไม้ ถ้าเราคิดต่อแช่เย็นซะหน่อยก็เข้าท่าดี ก็ไปซะแล้ว เอ๊ะ !...ถ้าเป็นน้ำส้มก็แจ๋วใช่มั้ย น้ำส้มเคยไปกับสาวแล้วสั่งกินนี่หว่า ไปอีกแล้ว ถ้าหากว่าน้ำส้มเป็นเหล้าก็เคยกินเหมือนกันก็บรรลัยเลย
    เพราะฉะนั้น มันต้องหยุดมาตั้งแต่เหตุให้ได้ ถ้าสติรู้เท่าทัน มองปุ๊บมันรู้เลยว่า ถ้าคิดอย่าไงจะเป็นโทษอยา่งไร มันจะตัดตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่ควานหาสติตัวเองนี่ มันยากเย็นแสนเข็ญ เรียนตำรามาเท่าไหร่ก็ใช้การไม่ได้ แค่เป็นเลา ๆ ให้เราเท่านั้นเอง ตำราทุกอย่างเหมือนกับแผนที่มันเป็นเส้นขีด ๆ เท่านั้น การปฏิบัตินี่มันเดินในภูมิประเทศจริง มันหกล้มหกลุกไปเรื่อย
    ถาม : ...............................
    ตอบ : บอกเอาไว้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า เกวละปริปุณนัง ปริสุทธัง สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ตัดก็ขาด เติมก็เกิน ในปัจจุบันนี้มันจะมีประเภทที่เรียกว่า สัทธรรมปฏิรูปมาก พอเข้าไปถึงในระดับหนึ่งก็จะไปทึกทักเอาว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือตรงนั้น
    อันนั้นจะเป็นการเอาทิฏฐิ คือความเห็นของตนเองไปปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นของบริสุทธิ์จริง ๆ เราทำถึงตรงนั้นน่ะดี ถูก แต่มันดีแค่นั้น ถูกแค่นั้น มันยังดีไม่หมด ยังถูกไม่หมด พอเราก้าวข้ามตรงจุดนั้นไปก็จะมีดีตรงนั้น ถูกตรงนั้น ซึ่งจะดีกว่าจุดเดิมอีก เราก็จะไปยึดว่าตรงนี้ดี ตรงนี้ถูกอีก เผลอเมื่อไหร่มันยึดทันที การยึดนี่ไม่ว่าจะยึดดี จะยึดชั่ว มันไปไม่รอดทั้งคู่ ตอนแรกยึดดีไว้ก่อน พอเวลาถึงตอนสุดท้ายมันต้องปล่อยดีด้วย
    ถาม : ............................
    ตอบ : มหาผล คือผลไม้ที่มีขนาดใหญ่เกินมะตูม ถ้าหากว่าคั้นน้ำมาแล้ว ห้ามฉัน ปรับเท่ากับฉันอาหารปรับทุกคำเลย ตอนแรกก็สงสัยว่า ทำไม เพิ่งจะมารู้ระยะหลัง ๆ นี่เอง ไปอ่านเภสัชโภชนา พวกมหาผลนี่ส่วนใหญ่ฮอร์โมนจะเยอะ ฉันเข้าไปเดี๋ยวอยู่ยาก พระพุทธเจ้าท่านห้ามมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ตำราเพิ่งเรียนทัน โดยเฉพาะน้ำมะพร้าว ยืนยันเลยว่ามากเป็นพิเศษ
    สมัยก่อนนี้เขาห้ามผู้หญิงท้องกินน้ำมะพร้าวใช่มั้ย เดี๋ยวนี้แนะนำให้กินให้เยอะเข้าไว้ เด็กมันจะได้เจริญเติบโตและแข็งแรง ลองทดสอบดูนะ มหาผลอย่างพวกแตงโม สับปะรด ส้มโอ หรือไม่ก็มะพร้าวอย่างนี้ พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วน้ำของเขามีฮอร์โมนเยอะ แล้วจะมีสารที่ทำให้ท่อปัสสาวะระคายเคือง พวกนี้พอลงไปเมื่อไหร่ก็ได้เรื่องเท่านั้นแหละ จะทำให้พระอยู่ลำบาก
     
  14. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    อิอิ มาตอนกำลังปฏิบติการเชียว ยายนี่น้ำร้อนลวกมาหลายหนแล้วคงต้องมองตน และมีสติตั้งมั่นให้เกร่งยิ่งขึ้นนะดาว เราต้องไม่หลงวังวนกลอดีตอีก ยกเว้น ต้องตามกรรมลิขิต ฟ้าสั่งมาคงหนีไม่้นนะดาวใช่ไหม...
     
  15. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : เวลาที่ผมป่วย (ฟังไม่ชัด
    ตอบ : เริ่มเข้าถูกทางแล้ว (หัวเราะ) ธรรมดาของการเกิด เป็นทุกข์อย่างนี้ ธรรมดาของการเจ็บไข้ได้ป่วยบีบคั้นอย่างนี้ สาเหตุที่แท้จริงของมันก็คือ เกิดมามีร่างกายนี้ ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีร่างกายเ่ช่นนี้อย่ามีอีกเลย ไปนิพพานดีกว่า หลุดง่ายนิดเดียว
    ถาม : ....................งง
    ตอบ : ตรงจุดที่่ว่าพระเทวทัตโดนธรณีสูบ ท่านมาแล้วจะเกิดสังฆเภทขึ้น มีคนเขาสงสัยมากว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูรู้อยู่ว่า เพราะเทวทัตเข้ามาแล้วจะเกิดเหตุอย่างนี้แล้วทำไมถึงไม่ป้องกัน ปัญหานี้ น่าคิดมั้ย ? ไอ้พวกปัญญามากน่ะ เขาคิดกัน (หัวเราะ) จริง ๆ แล้ว คือว่า พระเทวทัตนี่ เขาอธิษฐานจองเวรพระพุทธเจ้ามาจนนับชาติไม่ได้แล้ว ประเภทกอบทรายขึ้นมาบอกว่าจะตามจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าเท่าจำนวนเม็ดทรายในกอบนี้ พระพุทธเจ้ารู้อยู่ว่าพระเทวทัตมา แล้วถ้าหากว่าเข้ามาในพระพุทธศาสนาให้ปั่นป่วน จะทำให้เกิดสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกัน
    แต่ว่าท่านก็รับเข้ามาเพราะว่าในขั้นต้นเมื่อฝึกให้ท่านทรงความดีได้ระดับหนึ่ง มันก็เหมือนกับว่าตุนต้นทุนฝ่ายดีเข้าไว้ส่วนหนึ่ง พอถึงเวลาถึงท่านจะเข้ามาหรือไม่เข้ามา ความชั่วชนิดนี้ท่านทำแน่ ๆ ได้ตุนความดีเข้ามาฝ่ายหนึ่งมันก็เลยบรรเทาลง กลายเป็นว่าแทนที่จะลงอเวจีเป็นกัปก็ลงแค่ห้าพันปีท่านก็จะพ้นขึ้นมา ถ้าไม่ได้กุศลตัวนี้ช่วยท่านก็จมหนักไปเลย
    ถาม : ก็แค่ห้าพันปีก็ไม่นาน
    ตอบ : โห ! .....ไม่นาน คือไม่นานสำหรับอเวจี แต่ถ้าเปรียบกับเราถือว่านานจังเลย
    ถาม : คือถ้าเทียบเป็นกัปน่ะ นานมาก
    ตอบ : ตรงจุดนี้แหละคือของท่านเอง ท่านคิดในด้านสงเคราะห์อย่างเดียว มีโอกาสช่วยให้เขาดีเท่าไหร่ก็ต้องช่วยไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นเขาจะทำอะไร ก็ถือว่าเป็นกรรมของเขาเอง เพราะฉะนั้นคนจำนวนมากเลยไอ้พวกช่างคิด เขาจะคิดกัน ว่าพระพุทธเจ้ารู้อยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ป้องกันเอาไว้ก่อน
    ถาม : อย่างนี้ขอขมา ไม่ได้ไปกล่าวขอขมาต่อหน้าพระพุทธเจ้าแล้วก็สมัยเรานี้ไปทำพลาด
    ตอบ : เราขอขมาหน้าหิ้งพระได้ คือว่าในสมัยนั้นท่านตั้งใจจะไป ยังไปไม่ถึง ถ้าหากว่าท่านกล่าวขอขมาตรงนั้นเลย คงเบาไปเยอะแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งว่าในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระชมม์ชีพอยู่ ใคร ๆ ก็ยึดพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วต้องไปให้ถึง
    ถาม : แล้วคำว่าอัพยกฤต นี่หมายความว่ายังไงครับ ?
    ตอบ : อัพยกฤต ก็คือความเป็นกลางอย่างยิ่ง หมายถึงอารมณ์ใจที่ไม่รับทั้งสุขทั้งทุกข์ อยู่ตรงกลางไปเลย
    ถาม : อย่างปุถุชน ทำได้มั้ยครับ ?
    ตอบ : ได้ มันได้แบบปุถุชน พระโสดาบันได้แบบพระโสดาบัน พระสกิทาคามีได้แบบพระสกิทาคามี พระอรหันต์ได้แบบพระอรหันต์ คือว่า มันมีสิทธิทำกันได้ทุกคน แต่ว่าความสูงต่ำ แล้วแต่อารมณ์ตัวเอง ว่าจะได้ขนาดไหน
    ถาม : ความเป้นกลางหรือคะ ?
    ตอบ : จ้ะ อารมณ์ที่เป็นกลาง ถ้าหากว่าจะเปรียบไปแล้วก็คือว่า พ้นดีพ้ันชั่วน่ะ อยู่ตรงกลางเป๊ะเลย
    ถาม : พ้นดีของปุถุชนนี่เป็นไงครับ ?
    ตอบ : ก็บางทีของท่านน่ะ อารมณ์ใจบางช่วงมันจะไม่เกาะทั้งดี ทั้งชั่ว เป็นอารมณ์ที่ปล่อยวางลงล็อกพอดี แต่ว่่ายังเป็นแบบปุถุชนอยู่ แต่ว่าถ้าเป็นแบบพระอริเจ้านี่ ท่านจะปล่อยวางด้วยปัญญาของท่าน ระดับที่ไม่เท่ากัน ของปุถุชนนี่อาจเป็นความบังเอิญ แต่พระอริยเจ้านี่เป็นของแท้แน่นอนไม่ใช่บังเอิญ
    ถาม : อย่างพระนี่ตัดสังโยชน์ข้อสี่ที่เข้ามาเนี่ย จะทำยังไง จะต้องพ้นอย่างไร ?
    ตอบ : อันดับแรกพยายามแยกก่อนว่า รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกาย ไม่ใช่สมบัติของเรา ในเมื่อเป็นสมบัติของร่างกาย ธรรมดาของมัน อารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ต้องมีอยู่แล้ว ในเมื่อต้องมีอยู่แล้ว อยากมีก็มีไปเถิด เราไม่สนใจเจ้าหรอก อย่าไปให้ความสนใจกับมัน มันเกิดอะไรขึ้นก็อย่าไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น มันไม่ต้องคิดต่อว่ารวยว่าสวย หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ต้องไปคิดต่อว่าเพราะหรือไม่เพราะ จมูกได้กลิ่นไม่ต้องไปสนใจ ว่ามันจะหอมหรือมันจะเหม็น มันจะชอบหรือไม่ชอบ ลิ้นรับรสก็สักแต่ได้รส มันจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ช่างมัน กายสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส จะเย็นร้อนอ่อนแข็งชอบใจหรือว่าไม่ชอบใจอย่างไรเรื่้องของมัน กั้นมันเอาไว้อย่าให้มันเข้ามาในใจ
    คราวนี้ตรงสติและปัญญาที่จะรู้เท่าทัน ที่จะกั้นมันไม่ให้เข้ามาอยู่ในใจนี่แหละสำคัญที่สุด ต้องรู้ให้ทันมัน ถ้าหากว่าตัวนี้ทำได้ก็สบายเลย แยกมันออกให้ได้ว่าจิตกับกาย มันคนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นเรื่องของกายมันอยากจะเป็นก็ให้มันเป็นไป จิตเราไม่ไปปรุงแต่งกับมัน พอเราไม่ไปสนับสนุนมัน มันไม่มีกำลังพอ มันก็จะเฉาจะตายของมันเอง สักแต่ว่ารู้
    ถาม : ถึงแม้ว่าจะได้ยิน จะได้เห็น อะไรก็ตาม
    ตอบ : ถ้าเราไปปรุงแต่งเมื่อไหร่ มันจะมีแรงมีกำลังขึ้นมา ถ้าเราไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่ยุ่งกับมัน ก็ตายในเวลาอันใกล้
    ถาม : ที่มันทุกข์เพราะการปรุงแต่งใช่มั้ย ?
    ตอบ : ใช่ ทุกอย่าง ถึงได้บอกว่าคนเราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง ไอ้ตัวปรุงแต่งก็คือจิตสังขาร ก็คือความคิดแท้ ๆ เลย ฟังแล้วไม่ยาก (หัวเราะ) ทำจ้ะ ทำ อย่าท้อการเดินทางไปสู่นิพพานมันยาก เพราะว่าระยะทางนอกจากจะไกลแล้ว ยังเป็นการทวนกระแส เพราะฉะนั้นเราต้องมุ่งมั่นไม่ท้อถอย ค่อย ๆ ไปทีละนิดทีละหน่อย
    ก้าวหนึ่งก็คือ ใกล้เข้าไป ลมหายใจเข้าออกทีหนึ่ง ก็คือใกล้เข้าไปเรื่อย ถ้าเรานับมาได้ ระยะไกลเหลือเกินแล้ว เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงจุดหมาย เราก็รู้สึกว่ามันเหน็ดเหนื่อยจนกระทั่งอยากจะท้อถอย แต่ถ้าลองมองไปข้างหลังดูซิ
    ถ้าสมมุติว่าเราขี่จักรยานอยู่อย่างนี้ เราอย่าไปมองคนขับรถสปอร์ต หรือขี่เครื่องบินอยู่ข้างหน้าเรา นั่นน่ะไม่ไหวหรอก เขาไปไกลแล้ว เรามองกลับไปข้างหลังดู คนที่เดินเท้าก็มี อาจขี่เกวียนก็มี อาจไม่ได้เดินเลย นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่ก็ตั้งเยอะตั้งแยะ เรามาขนาดนี้ก็น่าพอใจแล้ว แล้วถ้าหากว่ามองไปข้างหน้า ก็มองไประยะใกล้ ๆ มองจุดหมายใกล้ ๆ อย่างเช่นเราตั้งเป้าว่าเราจะละกิเลส คือสังโยชน์สามให้ได้ ก็มองแค่นี้ก่อน อย่าไปมองถึงสิบ แต่ว่าเป้าหมายของเราก็คือถึงสิบ ต้องทวนไว้บ่อย ๆ แต่ว่าตรงหน้านี่สามให้ได้ พอเรามองระยะใกล้มันก็จะเห็น ตอนนี้เรามีความก้าวหน้าแค่ไหน เราใกล้เป้าหมายเข้าไปเรื่อย เข้าไปเรื่อย
    เหมือนกับว่าเวลาเดินทางจะไปเชียงใหม่ก็ตั้งเป้าว่า เดี๋ยวแค่อยุธยาก่อน แป๊บเดียวก็ถึงอยุธยา เออ !..... ก็มีกำลังใจ ไปต่ออีกหน่อยก็อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ไล่ขึ้นไปเรื่อยใช่มั้ย พอไปถึงนครสวรรค์ อ้าว !..... ได้ครึ่งทางแล้วใช่มั้ย มีกำลังใจ แต่ถ้าเราไปมองที่จุดหมายทีเดียว ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งจริง บางทีมันท้อเหมือนกัน ท้อได้แต่ห้ามถอย เกียร์ถอยเขาถอดทิ้งไปแล้ว (หัวเราะ) ต้องขึ้นหน้าอย่างเดียว
     
  16. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : แต่ข้อสี่นี่มันจะลำบากหน่อย
    ตอบ : ทุกคนของเรา เราอาจลำบากเพราะตัวนี้ผจญเรา แต่คนอื่นจะไปลำบากเพราะตัวอื่นน่ะ มันไม่แน่หรอก มันแล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคน ของใครคนนั้นก็หนักอย่างนั้น ไอ้ของเรา โอ้ย ! .... เอ็งจะโกรธไปทำไม ไม่เห็นน่าโกรธเลย เราใจเย้น เย็นใช่มั้ย ? แต่ปรากฏว่าของเขาไม่เย็นด้วยกระทบนิดหนึ่งเขาระเบิดตูมเลยอย่างนี้ มันคนละอย่างกัน อีกคนหนึ่งมันไม่ค่อยจะโกรธเลย รักก็ไม่ค่อยจะรักแต่ถือตัวเป็นบ้าเลย ใครว่าอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้อย่างนี้ คนละอย่างกัน
    ถาม : คนละตัวใช่มั้ยคะ ที่ติดกันคนละตัว ?
    ตอบ : ใครกำลังติดอยู่ตรงไหนจุดนั้นก็จะเป็นจุดหนักสำหรับเขา เพราะฉะนั้นเราเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานวัดความดีชั่วคนอื่นไม่ได้
    ถาม : เราต้องเราที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง
    ตอบ : ดูที่ตัว แก้ที่ตัว ดูที่คนอื่นเมื่อไหร่ก็ผิด เพราะมันส่งใจออกนอก ดูที่ตัวเมื่อไหร่ใจมันก็ยังอยู่ข้างใน ถึงมันจะวางลงไปไม่ได้ ก็ยังควบคุมมันอยู่ภายในได้
    ถาม : ถ้าเราปฏิบัติไปแล้ว การปฏิบัติสมาธิส่งผลถึงวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า เมื่อเราปฏิบัติเสร็จจะต้องรู้สึกดี สดชื่น
    ตอบ : ไม่จำเป็น เพราะว่าแต่ละวันกำลังใจของเราไม่เท่ากันนะ ร่างกายของเราถ้าหากว่าัมันหิว มันเหนื่อย มันเจ็บไข้ได้ป่วย ร้อน หนาว อะไรเหล่านี้ มันจะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติทางใจทั้งหมด แต่ว่าเราตัองรู้จักวางอุเบกขาในการปฏิบัติ คือได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ไม่มีคำว่าขาดทุน วันนี้อาจได้เป็นหมื่นเป็นแสน พรุ่งนี้อาจเหลือเป็นสามพันห้าบาท มันก็จะเเหลือเป็นแสนหนึ่งกับห้าบาท แสนหนึ่งกับสามบาท เป็นต้น ต้องรู้จักพอใจแค่นั้น ถ้าเราไม่พอใจ ประเภทไปเร่งมาก ๆ ขณะที่นี่เร่งไม่ขึ้น เดี๋ยวมันจะเครียด พอเครียดแล้วผลมันจะเสียยาวไปเลย
    เพราะฉะนั้นแต่ละวันมันจะไม่เท่ากันหรอก วันนี้อาจประเภทใจเย้นใจเย็น ยิ้มให้กับหมู หมา กา ไก่ ได้ พรุ่งอาจเอะอะ เอ็ดตะโรวิ่งไล่เตะไปทั้งสำนักงานก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ว่าในแต่ละวันยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่าให้มันขาดทุนเยอะ ให้มันอยู่ในส่วนของความดีอยู่บ้าง ถ้ามันเคยชั่วอยู่ยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็เอาสักยี่สิบสามชั่วโมง ให้มันมีเวลาดีอยู่บ้าง ถือว่ากำไรแล้ว แล้วถ้ายิ่งทำได้มากเท่าไหร่มันก็กำไรมากเท่านั้น
    ถาม : ........................
    ตอบ : เขาว่าวันนั้นนี่สวรรค์ร้างเลยนะ ข้างบนนี่เทวดาที่เป็นผู้ใหญ่นี่ไม่เหลือเลย เขาเชิญไปหมด คนที่สามารถทำขนาดนั้นได้ จะต้องรู้จักเทวดาอย่างชนิดลึกซึ้งยังไม่เพียงพอนะ ยังต้องเป็นที่เกรงใจอย่างยิ่งด้วยเพราะฉะนั้น ไม่เจ๋งจริงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ชนิดไปจนสวรรค์ร้างนี่เห็นชัด ๆ ก็ตอนที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จองค์ปฐมไง
    ตอนที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จพระองค์ปฐมนี่ขนาดพระอรหันต์ยังไม่ได้ใกล้เลย พระพุทธเจ้าท่านอยู่วงในซะจนประเภทมองออกไปไม่เห็นพระอรหันต์เลย (หัวเราะ) ก็ลองนึกเอาแล้วกันว่า ท่านที่สามารถทำให้เทวดาเกรงใจชนิดไปจนเกือบเกลี้ยงสวรรค์นั่นเป็นใคร อยากจะรู้เหมือนกัน
    ถาม : ไม่ใช่นายกใช่มั้ยครับ ไม่ใช่น้าชาติใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : ผู้ที่ทำหน้าที่บวงสรวงด้านหน้า น่าจะเป็นพระสงฆ์หรือพราหมณ์อะไรยังงั้นล่ะ ถ้าเก่งขนาดนั้น ก็น่าจะเชื่อว่าท่านจะต้องมีดีทีเดียวล่ะ
    ถาม : อยากจะทราบว่าเวลาฝึกสมาธิน่ะค่ะ แล้วสร้างพลังในตัว ให้สามารถนำไปใช้เป็นญานที่สามารถช่วยคนอื่นได้ ?
    ตอบ : ไปช่วยคนอื่นได้ก็เอาอภิญญา ๕ เป็นอย่างน้อยล่ะลูก
    ถาม : ต้องทำยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : เริ่มด้วยกสิณกองใดกองหนึ่ง รู้จักกสิณมั้ยจ้ะ ? มี ๑๐ กอง จะมีที่เป็นธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสี ๔ อย่าง คือ ขาว เขียว แดง เหลือง แล้วก็เป็นอากาศกสิณ คือ ความว่าง กับ อาโลกกสิณ คือ แสงสว่าง รวมแล้ว ๑๐ กอง เราชอบอันไหนอันหนึ่งจับอันนั้นขึ้นมาฝึกให้ได้ก่อน
    กสิณทั้ง ๑๐ กองจะยากอยู่เฉพาะกองแรกเท่านั้น พอได้กองแรกแล้วกองอื่นกำลังเท่ากัน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนนิมิตเท่านั้นเอง เปลี่ยนสิ่งที่มาเป็นนิมิต เช่นว่าจากดินก็ไปเพ่งน้ำแทน จากน้ำก็ไปเพ่งลมแทน จากลมไปเพ่งไฟแทน เหล่านี้เป้นต้น พอได้อันดับแรกแล้วอันอื่นง่ายหมด ยากอันดับแรกอันเดียว พอได้ขึ้นมาพอครบกสิณ ๑๐ พยายามฝึกให้คล่อง อธิษฐานใช้ให้คล่อง คราวนี้จะช่วยคนอย่างไรก็เชิญจ้ะ ชนิดตายแล้วจะให้กลับเป็นใหม่ก็ยังไหว
    ถาม : แล้วจะได้กองแรกต้องทำยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : หาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงดีกว่า ตั้งใจบูชาหน้าหิ้งพระแล้วก็อธิษฐานว่ากสิณกองใดที่ข้าพเจ้าเคยได้มาในชาติก่อน ขอให้อ่านแล้วชอบกองนั้นมากที่สุด ถ้าชอบหลายกองให้อธิษฐานใหม่อีกรอบหนึ่งว่า ถ้าหากว่ากองไหนที่ทำแล้วจะได้ง่ายและคล่องตัวมากที่สุดขอให้ชอบกองนั้นมากกว่าใคร
    เสร็จแล้วก็เริ่มหาอุปกรณ์มาทำ อุปกรณ์ของกสิณอย่างเช่นว่า ถ้าเป็นกสิณดินก็ต้องหาดินมาเลย โบราณท่านเรียกว่าดินสีอรุณ คือสีออกค่อนข้างจะเป็นเหลืองอ่อนหรือสีออกสีส้ม เอามาในขนาดที่เราเรียกว่าใช้จับภาพได้ง่าย จะปั้นเป็นก้อนกลมหรือจะทำเป็นสี่เหลี่ยม ๆ ก็ได้ แต่ว่าโบราณท่านใช้ผ้าขึงแล้วก็เอาดินละเลงเป็นวงกลมกว้างประมาณ ๒ คืบขึ้นไป คือให้เห็นชัด ๆ เสร็จแล้วเวลาจะภาวนาก็นั่งให้ห่างในระยะที่เห็นก้อนดินได้พอดี ๆ หรือว่าเห็นดวงกสิณนั้นได้ ไม่ก้มเกินไป ไม่เงยเกินไป อยู่ในลักษณะที่ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกิน แล้วก็ลืมตาจำภาพกสิณพร้อมกับภาวนา หลับตาลงนึกถึงภาพนั้นไว้พร้อมกับคำภาวนา
    พอภาพหายไปลืมตาดูใหม่ แล้วหลับตาลงจำเอาไว้พร้อมกับคำภาวนา หายไปลืมตาดูใหม่ ทำแบบนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง แล้วภาพนั้นก็จะเริ่มติดตาไปนาน คือ ตอนแรกพอเรามองแล้วหลับตาลงจะนึกได้แป๊บหนึ่ง แล้วพอหายไปก็ลืมตาดูภาพใหม่ แล้วก็หลับตานึกถึงอีกพร้อมกับคำภาวนา คำภาวนาแต่ละกอง ใช้ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นว่าเพ่งดินก็ใช้ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณังพร้อมกับลมหายใจเข้า
     
  17. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : เกิดเหตุขึ้นเจ้าค่ะ คือ ในช่วงที่เราไปช่้วยดูให้กับบุคคลหนึ่ง แล้วพอเห็นภาพเขาล่วงหน้าว่าเขาจะมีรถพุ่งเข้ามาชน มีอุบัติเหตุรถชน เราก็บอกเขาล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชนนะ แล้ว....
    ตอบ : พอเกิดก็เราเองจ้ะ อันนี้โทษใครไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ดูว่ากรรมเก่าของเขาทำไว้อย่างไร แล้วจะต้องรับผลนั้นอย่างไร เราไปดูตรงผลนั้นเลย ถ้าเรารู้ว่าเขาเคยทำไว้เขาจำเป็นต้องรับนี่ บางทีรู้ ๑๐๐ พูดได้แค่ ๑๐ เท่านั้นเอง หรือไม่ก็พูดได้ลักษณะหนึ่งเดียวคือ บอกใบ้ให้เขารู้ตัว ถ้าหากว่าเขาไม่อาจจะรู้็ตัวแสดงว่ากรรมนั้นหนักเขาจำเป็นต้องรับ มันเหมือนยังกับว่าเขากำลังยิงเป้าคือคน ๆ หนึ่ง แล้วเราเองไปยืนขวางคน ๆ นั้นไว้ กระสุนจะโดนใครจ๊ะ ? เออ ! โดนเรา เพราะฉะนั้นเราทำก็รับซะหน่อย
    ถาม : แล้วเราทำบุญหนีไม่ได้หรือครับ ?
    ตอบ : ก็ลองดู (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าบอกว่า หนีกรรม....ไม่ว่าจะไปซ่อนอยู่ใต้เม็ดทรายก้นมหาสมุทร หรือซ่อนอยู่ในกลีบเมฆ อยู่ในซอกเขา หรืออยู่ก้นเหวลึก ยังไงก็หนีไม่พ้น กรรมมันเก่งมันหาเจอพวกนี้ น่าจะไปเปิดบริษัทตามคนหาย
    ถาม : ทีนี้พอหลังจากนั้นเขาก็ยังโดนนะคะ
    ตอบ : จ้ะ ก็กรรมของเขา เขาก็ต้องรับอยู่แล้ว
    ถาม : เขาโดนทีนี้พอเขาโดนปุ๊บเขามีความรู้สึกว่าเราดูเขาได้ถูกต้อง เขาก็พาคนมาตรึมเลยเจ้าค่ะ
    ตอบ : อาตมาก็โดนอย่างนี้แหละจ้ะ
    ถาม : แล้วทำยังไงดีเจ้าคะ ?
    ตอบ : จะทำยังไงดี... หลีกได้ก็หลีก หนีได้ก็หนี รีบชิ่งซะตั้งแต่แรกก่อนที่คนจะรู้มากกว่านี้
    ถาม : ชิ่งยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : ย้ายบ้านหนีเลย (หัวเราะ)
    ถาม : เขาไปนั่งรออยู่หน้าบ้านเลยล่ะเจ้าค่ะ
    ตอบ : จ้ะ ....ก็ธรรมดานี่ ถึงเวลาที่สมควรจะดังแล้วมั้ง
    ถาม : แต่ว่ามันเหนื่อย พอเหนื่อย ...(ไม่ชัด)....
    ตอบ : เหนื่อยจ้ะ กำหนดเป็นเวลาดีกว่านะ อย่างเช่นว่า วันหนึ่งดูให้ชั่วโมงเดียวแล้วก็จำกัดให้ถามได้คนละไม่เกิน ๕ ข้อ และรับดูแค่ไม่เกิน ๑๐ คน อะไรเหล่านี้เป็นต้น ต้องตั้งกติกาของเราขึ้นมา ไม่งั้นตายจ้ะ โดยเฉพาะการที่เขาซักถามกันเฉพาะตรงหน้าเลยนั่นน่ะ ระวังไว้โอกาสผิดมันมีสูงมากเพราะว่าในช่วงนั้นตัว รัก โลภ โกรธ หลง อาจจะเกิดกับเราได้ง่าย แหม...ไอ้ยายนี่ มันถามไม่รู้จบ...กลายเป็นว่า โทสะมันผสมเข้าไปทิพจักขุญาณมันมีโอกาสผิดพลาดได้
    ถาม : ต้องพยายาม พระพุทธองค์วางไว้บนมือเลย แล้วให้ท่านช่วยเป็นคนตอบให้เจ้าค่ะ
    ตอบ : จ้ะ แต่คราวนี้ถ้าหากหาผู้จัดการมาสักคนหนึ่งนะ เอาผู้จัดการมา ตัวเราหลบอยู่ในห้องพระ ให้เขาเขียนคำถามมาไม่เกิน ๕ ข้อ แล้วเราตอบไป ถือว่าสิ้นสุดไม่ต้องซักถามอะไรทั้งนั้น พอเขาเขียนมา ผู้จัดการเอามาส่งเราก็เขียนตอบไปเลย ถือว่าจบแค่นั้นนะ คิดมันข้อละ ๑๐๐ ก็ได้ มันจะได้เข็ด ไม่อย่างนั้นแล้วมากันเยอะ
    ถาม : พอหลังจากวันนั้นนะเจ้าคะ มันเหนื่อยมากจนกระทั่งมีความรู้สึกว่าฌานทุกอย่างมันเงียบหายหมดเลยเจ้าค่ะ
    ตอบ : นั่นแหละ พอเหนื่อยเกินไป หิวเกินไป เจ็บไข้ได้ป่วยมาก ๆ นี่ฌานมันจะเสื่อม ไอ้ตัวกำลังไม่มีญาณก็เจ๊งไปด้ว ยเพราะญาณนี้เป็นผลของฌาน กำลังฌานไม่มีญาณทุกอย่างมันก็จ๋อย (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วทำยังไงถึงจะฟื้นได้เป็นปกติ ?
    ตอบ : เริ่มภาวนาให้อารมณ์ทรงตัวเท่าเดิมใหม่ อย่าไปอยากให้มันได้เท่าเดิม เรามีหน้าที่ภาวนาเราภาวนาของเราไป มันจะเป็นฌานขึ้นมาเมื่อไหร่ ญานเครื่องรู้มันจะเกิดเมื่อไหร่เรื่องของมัน ถ้าทำใจสบายอย่างนี้ได้ มันจะเกิดเร็ว แต่ถ้าภาวนาแล้วอยากให้เกิด มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีก แล้วก็รีบป้องกันตัวเอาไว้ หาผู้จัดการส่วนตัวได้แล้วนะนี่
    หมอเอก็เตือนไปหลายทีแล้วว่าอย่าให้เขาซักถามซึ่งหน้า คนถามมันจะไม่รู้จักพอเหมือนกับตรงนี้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ใช่มั่นคงทรงตัวริง ๆ ประเภทรบทั้งวันเจ๊งเอาง่าย ๆ
    ถาม : อันนี้ขอพลังจากพระพุทธองค์ช่วยเสริมด้วยได้ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ช่วงนั้นน่ะท่านช่วยตลอดอยู่แล้ว ไม่ช่วยไม่คล่องขนาดนั้นหรอก แต่พอถึงเวลาแล้วเหลือแต่เราจริง ๆ ลองคิดดูสิ มันเหมือนกับเครื่องยนต์ที่เติมหัวเชื้อน้ำมันเข้าไป พอหัวเชื้อหมดแล้วเป็นยังไงล่ะ ?.....เดี้ยง ! นั่นแหละ ถ้าท่านไม่ช่วยมันเดี้ยงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เรื่องของพระ ของพรหม ของเทวดา ถ้าไม่เกินวิสัยท่านเต็มใจที่จะช่วยอยู่เสมออยู่แล้ว ยิ่งเราขออยู่ตลอดเวลาท่านก็ยังพร้อมที่จะช่วย แต่ว่าตอนท่านช่วยน่ะ เราไม่รู้สึกอะไรหรอก สงเคราะห์เขาได้ตลอดพอเลิกแล้วเมื่อไหร่ก็หงายผลึ่งล่ะจ้ะ...
    ถาม : ท่านเจ้าขา เป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ
    ตอบ : จ้ะ คราวนี้เชื่อหรือยังว่าท่านช่วยได้จริง ๆ ลำพัง กำลังของเรานี่เสร็จตั้งแต่ยกแรกแล้ว
    ถาม : ทำบ่อย ๆ แล้วไม่คล่องเหรอครับ ?
    ตอบ : คล่องอยู่ แต่ก่อนที่จะคล่องมันจะพิการซะก่อนน่ะสิ (หัวเราะ) เหมือนกับต่อยมวย พอต่อยบ่อย ๆ ประสบการณ์เยอะ แต่คราวนี้ถ้าไม่เป็นขึ้นเวทีไปเลยโดนเขาอัดเดี้ยงตั้งแต่งานแรก ไม่ได้อาศัยเป็นอาชีพแล้ว
    ถาม : อย่างนี้ถ้าทำแบบพอสมควร สะสมไปเรื่อย ๆ ...
    ตอบ : ทุกอย่างมันต้องพอเหมาะพอดี ถึงได้ว่ามันต้องกำหนดกฎเกณฑ์กติกาเหมือนกัน แล้วคนไหนมันฝืนกฎกติกาก็ถือว่าคนไม่รู้ กฎเกณฑ์มารยาทเราไม่คบด้วยไม่ต้องเกรงใจจ้ะ วันก่อนนี่ไล่ตะเพิดไป ๒ ราย รายหนึ่งมาถามปัญหาบอกวิธีแก้มันไม่ฟังเลย มันว่าปัญหาต่อไปยาวไปเลย เราก็เลยหยุดนั่งฟังเงียบไปเรื่อย จนกระทั่งพอได้จังหวะก็บอกเขาว่าอาตมาพูดทีเดียว ถ้าบอกไปแล้วไม่ฟังก็จบ
    ส่วนอีกรายหนึ่ง เอาลูกมาจะพึ่งคนไหนได้ บอกเรื่องถามปัญหาโดยเฉพาะเกี่ยวกับลูก แล้วถามว่าพึ่งคนไหนได้ ต่อไปอย่าได้มาให้เห็นเชียว พอถ้าตอบไปปุ๊บก็จะรักคนหนึ่งเกลียดคนหนึ่ง โดยเฉพาะบางคนลูกยังไม่ทันจะเกิดเลย เลยไปให้หมอดูว่าพึ่งได้ไหม พอหมอบอกว่าพึ่งไม่ได้อยู่ในท้องก็อยากจะรีดทิ้งแล้ว
    เพราะฉะนั้น โดยเฉพาะหมอดูที่ท่านรู้มารยาท ถ้าเด็กอายุยังไม่ถึง ๑๕ จะไม่ทำนายอนาคตเด็กให้ใคร นะจำไว้แม่น ๆ ถ้าเด็กมาถาม ถามว่าหนูอายุถึง ๑๕ หรือยัง ถ้ายังรีบ ๆ ไปทำบัตรซะก่อน (หัวเราะ) ถ้ายังไม่ทำบัตรนี่ไม่ทายให้ เพราะว่าผลกระทบมันจะเยอะ แล้วเด็กที่อายุน้อย ๆ พอได้รับผลกระทบไปก็จะกลายว่ามองผู้ปกครองในแง่ไม่ดี ดีไม่ดีสภาพจิตใจของตัวเองเสียไป โตขึ้นกลายเป็นผู้ที่มีปัญหาต่อสังคมไปเลย ความจริงโทษเด็กไม่ได้ต้องโทษผู้ใหญ่ วันนั้นแหละเจ้าดาเขาเพิ่งจะรู้ ไม่งั้นเจ้าดาเขาถามอยู่เรื่อย ใคร ๆ ว่าหลวงพ่อดุ เห็นใจดีจะตาย มันเพิ่งเห็นว้ากคนไปเต็ม ๆ เหี่ยวไปด้วย
     
  18. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ตัวเองนี่มีจิตใจแบ่งเป็น ๔ ส่วน แล้วแต่ละส่วนทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน ทีนี้เวลาเราช่วยคนอื่นเขาดู จิตใจในแต่ละส่วนเสียงที่พูดออกมาแตกต่างกันทุกเสียง โดยเฉพาะจิตที่ ๔ .....ไม่ชัด......
    ตอบ : รวมความรู้สึกให้อยู่จุดเดียวนะ กำลังใจของเราถ้าเราคล่องตัวมันอาจจะเป็นเพราะว่าคล่องมาในอดีตก็ตาม หรือว่าคล่องในปัจจุบันนี้ก็ตาม มันสามารถแยกจิตเพื่อรู้งานหลาย ๆ อย่างได้ สามารถทำหน้าที่หลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นสมาธิทั้งหมดต้องจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าเลย รวบรวมกำลังความรู้สึกทั้งหมดให้อยู่เฉพาะตรงหน้า ถ้าอย่างนั้นก็จะเหลือความรู้สึกเดียวแล้วเราก็จะมั่นคงอยู่ตลอด
    แต่ถ้าหากว่าเรายังกระจายความรู้สึกไปด้วย ความคล่องตัวที่ไม่เคยฝึกหรือว่าฝึกมาในชาติก่อนหรือว่าเคยฝึกในชาตินี้ก็ตาม ถ้าอย่างนั้นมันจะแยกออกเป็นหลายอย่าง แล้วบางทีเราอาจจะกลายเป็นคนหลายบุคลิกโดยไม่รู้ตัว
    ถาม : ตอนนี้หลายบุคลิกแล้วเจ้าค่ะ
    ตอบ : จ้ะ
    ถาม : ทำยังไงดีเจ้าคะ ?
    ตอบ : ก็นั่นล่ะจ้ะ คราวหน้าแทนที่เราจะฝึกการแยกจิตแยกกายทำอะไรหลาย ๆ อย่างก็ทำอย่างเดียว โดยเฉพาะจับอานาปานสติให้อารมณ์ใจทรงตัวเป็นหนึ่งเดียว ก่อนที่จะออกไปดูให้ใครก็ว่าซะจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวนิ่งซะก่อน แล้วก็จับอารมณ์นั้นไว้อย่าให้คลาย มันก็จะเป็นหนึ่งเดียวไปตลอด แต่ถ้าคลายอารมณ์ออกเดี๋ยวมันจะแล่บออกไปทางอื่นอีก
    พวกนี้ตอนแรกฝึกมันจะสนุกมากเหมือนกับว่า เราเก่งมันทำได้หลายอย่างพร้อม ๆ กัน แต่มันจะไปมีปัญหาตอนที่ว่า บางทีภาวนาอยู่มันไปฟุ้งซ่านซะอีกใจหนึ่ง มันทำของมันได้ด้วยเก่งมากเลย ถ้าเราดึงมันกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าไม่ได้ บางทีก็กลุ้มใจ บางคนเครียดไปเลยก็มี เคยภาวนาแล้วอารมณ์ใจทรงตัวเป็นหนึ่งเดียว ตอนนี้ทำไมอันโน้นมันคิด อันนี้มันทำโน่น อันนี้มันทำนี่ กลายเป็นกระจัดกระจายไปคนละทิศ
    ถาม : เวลาคนเราเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นนี่ค่ะ บางคนนี่เขาจะมีเจ้ากรรมนายเวรหรือบางคนเขาจะมีกรรมของเขาในปัจจุบัน ตรงนี้เราจะช่วยความเจ็บปวดเขาให้ทุเลาลงได้ยังไงคะ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้ว ในเรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยมันเกิดจากเศษกรรมของปาณาติบาตในอดีตทั้งสิ้น มันมาส่งผลในชาติปัจจุบันนี้ เศษกรรมนะ ต้นทุนเราใช้เขาแล้ว ดีไม่ดีลงนรกมาเรียบร้อยแล้ว เศษกรรมส่งผลให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย
    สมัยก่อนหลวงพ่อท่านแนะนำให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าเป็นประจำ อย่างเช่นว่า ปล่อยปลาสักเดือนละตัวสองตัวต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ กรรมเหล่านี้จะคลายตัวลงนะ ปล่อยปลาที่เขาขายเพื่อให้ฆ่านะจ๊ะ อย่างในตลาดอย่างนี้ ไม่ใช่เขาขายให้ปล่อย ถ้าขายให้ปล่อยเราได้แต่เมตตาบารมี แต่ถ้าหากที่เขาขายเพื่อให้ฆ่านี่จะเป็นการตัดกรรมตัวนี้ได้เยอะ ทำให้การเจ็บไข้ได้ป่วยลดน้อยลง ถ้าเป็นอุปฆาตกรรมเข้ามาก็ต่ออายุได้อีกต่างหาก
    ถาม : เห็นแม่ค้าเขากำลังจะทุบหัวปลา เราไปช่วยตรงนั้นเลย ?
    ตอบ : ไม่ต้องไอ้ตัวที่ทุบหรอก ทั้งหมดนั่นเลยแหละ เขาขายไปให้ฆ่าแน่ ๆ อยู่แล้ว
    ถาม : แล้วฝากไปปล่อยได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ เรามีส่วนอยู่แล้ว เพราะว่าปัจจัยเป็นของเราเงินทองเป็นของเรา ปล่อยได้ด้วยตัวเองยิ่งดี ที่หน้าวัดท่าซุงที่เต็มไปหมด น่ะมันเกิดจากฝีมือของอาตมาเริ่มไว้ก่อน ตอนแรกก็ซื้อไปปล่อยแต่บ่อที่อยู่ข้างร้านป้ากิมกีเขา ...(ร้านอาหาร) ปล่อยไปปล่อยมาหลวงพ่อบอกแกดูบ้างหรือเปล่า ว่าปลามันจะไม่มีที่หายใจอยู่แล้ว ? เราก็เพิ่งจะรู้ (หัวเราะ) พอเอาอาหารไปโยน เออ...ใช่ มันขึ้นมาคลั่กไปหมด ก็เลยไปซื้อปล่อยที่แม่น้ำข้างหน้า
    คราวนี้ปกติจะซื้อแต่ปลาดุก เพราะเป็นปลาที่อดทนทรหดมาก แต่ปรากฏว่ามันเป็นปลาดุกเลี้ยง พอปล่อยลงแม่น้ำแล้ว นอกจากมันหากินไม่เป็นยังไม่ว่า มันยังเอาตัวไม่รอดอีกต่างหาก มันโดนปลากระแหทึ้งหนวดซะเกลี้ยงเลย มันดึงหนวดไปกินน่ะ ปลากระแห ปลาตะเพียนที่มีครบแดง ๆ เขาเรียกว่าตะเพียนแดงก็มี กระแหแดงก็มี พวกนี้มันไวมาก
    ถาม : ตัวเล็ก ๆ หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : มันโตสักฝ่ามือนี่ มาถึงมันก็โฉบคว้าหนวดเขาไปกินเลย ไอ้เจ้านั่นโดนถอนหนวดไปสด ๆ ร้อน ๆ ก็เจ็บตายชักเลย หนีกันมาออกันอยู่ริมฝั่งหมด พอเจอเข้้าไปงานเดียวก็เข็ดต่อไปก็ เอ๊...พื้นดิมแถวนี้มันมีปลาอะไรมั่ง ? จะไปถามซื้อพวกปลากระแหไม่มี เพราะว่าปลาพวกนี้มันใจเสาะ เขาว่ามันแค่เห็นตะวันมันก็ตาย เห็นท้องฟ้ามันก็ตาย ความจริงไม่ใช่หรอก มันพ้นน้ำขึ้นมาไม่มีอากาศหายใจมันตายง่ายกว่า มันไม่อึดก็ไปสืบหาจนกระทั่งได้ความว่าปลาของพื้นบ้านที่นี่มีพวกปลาเสือ พวกปลาแรด แล้วก็ปลาสวาย ปลาสวายหาง่ายที่สุด เลยตั้งใจซื้อปลาสวายปล่อย
    คราวนี้จะซื้ออย่างที่หลวงพ่อบอก คือ ตัวสองตัว พอไปเจอมันตาปริบ ๆ ทั้งกาละมังก็ต้องยกกาละมัง มีเท่าไหร่ก็ต้องเอาเท่านั้น ปล่อยไปปล่อยมาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันไปแตกลูกแตกหลานหรือไปชวนใครมาอยู่มันถึงได้เยอะขนาดนั้น เยอะขนาดนั้นเกิดจากการริเริ่มของอาตมาเอง ๗-๘ ปี เท่านั้นเอง มันไม่นานหรอก
    ถาม : เราปล่อยปลาชนิดไหน เขาห้ามกินปลาชนิดนั้น ?
    ตอบ : เขาห้ามกินปลาตัวนั้น ไม่ใช่ห้ามกินชนิดนั้น เขาบอกว่าห้ามกินชนิดนั้นเพื่อให้มันพ้นไปเลย ต่อไปก็ปล่อยอย่างที่เราไม่ชอบเข้าไว้ ปล่อยอย่างที่เราชอบจะได้ไม่ต้องกินมัน อย่างปล่อยปลาปั๊กกะเป้าอย่างนี้ มีคนเอามาขายหรือเปล่า ?
    ถาม : ทำไมเวลาเรามาปฏิบัติธรรมหรือนั่งสมาธิกับคนเยอะ ๆ แล้วเขาพร้อมใจกันปฏิบัติธรรมรู้สึกว่าสมาธิมันนิ่ง นิ่งกว่าตอนที่เรานั่งทำเอง ?
    ตอบ : เหตุที่เป็นดังนี้เพราะว่ากำลังของคนที่ตั้งใจในบุญนั้น กระแสจิตของเขาไปในด้านเดียวกัน มันเหมือนกับน้ำที่ไหลไปทางเดียวกัน เมื่อน้ำที่ไหลไปทางเดีวกันสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในกระแสนั้นก็ไหลตามกันไปเลยง่ายกว่า แต่เวลาเราทำอยู่คนเดียวนี่ ถ้าสมมุติว่าเป็นที่บ้านเราคนรอบข้างก็ดี อาจจะประเภทที่ว่ารอบทั้งหมู่บ้านก็ดี เขามีกระแสไปในทางรัก โลภ โกรธ หลง ขณะที่เราไปฝืนกระแสอยู่คนเดียวมันก็จะยากกว่า
     
  19. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : แล้วจะทำยังไงให้สมาธิเหมือนกับที่เรานั่งรวมกับคนอื่น
    ตอบ : ต้องทำจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวเป็นฌานเป็นอย่างน้อย ระวังไว้อย่าให้ฌานเสื่อม ถ้ากำลังทรงเป็นฌานเป็นอย่างน้อยนี่มันจะช่วยระงับตัวนิวรณ์ ๕ ได้ ก็จะกดตัวรัก โลภ โกรธ หลงลงได้ชั่วคราว ถ้ากำลังอย่างนั้นจะมั่นคง รอบข้างเขาไหลไปเราก็เหมือนกับหินกลางกระแสน้ำ ต้านกระแสน้ำนั้นได้อยู่ แต่ว่ามันก็ยังไม่พ้นกระแสอยู่ดีนะ
    ถาม : อย่างนี้ถ้าเราอยู่กับคนที่เขาสมาธิจิตดีหรือว่าสุขภาพจิตดีแล้วคิดในทางที่ดี
    ตอบ : ก็จะสบายไปด้วยล่ะจ้ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าอยู่ในเขตที่มีพระอริยเจ้ามาก ๆ ยิ่งสบายหนัก
    ถาม : ทีนี้มันเกิดปัญหาที่ทำงานน่ะเจ้าค่ะ คนในที่ทำงานทะเลาะเบาะแว้งกันเกือบทุกวันเลย แต่ละคนรู้สึกว่าเขาไม่รักกันเลย พอเราเข้าไปตอนแรก ๆ สภาพจิตของเราก็นิ่ง ๆ พอเข้าไปในนั้นเราก็กระทบจิตตรงนั้น จิตเราก็วุ่นวายไปด้วย
    ตอบ : อันนั้นต้องรักษาของเราให้เข้มแข็งพอ เพราะถ้ายังเข้มแข็งไม่พอก็พังง่าย?ๆ คนที่อยู่ต่างจังหวัดถ้าเป็นนักปฏิบัติ เวลาเข้ากรุงเทพฯ จะสังเกตได้ง่ายมาก เพราะว่ากระแสส่วนใหญ่ของคนในกรุงเทพฯ ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง เรามานี่จะโดนเบียดเอียงไม่เป็นท่าเลย ไม่รีบตั้งท่า ภาวนาสู้เอาไว้บางทีพังเอาง่าย ๆ
    ถาม : ต้องทำยังไงเจ้าคะถึงจะไม่เป็นลักษณะอย่างนั้น ๆ
    ตอบ : อย่าให้หลุดจากลมหายใจเข้าออก หลุดเมื่อไหร่เป็นเรื่องเมื่อนั้น (หัวเราะ) ฟังแล้วเหนื่อยใช่มั้ย ? ถ้าจะไม่ให้เหนื่อยก็ต้องทำจนชินจนกระทั่งว่ามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา จิตใจของเราไม่รับเรื่องภายนอกเป็นปกติ ถ้าอย่างนั้นก็จะสบาย แต่ถ้าหากว่ามันยังรับอยู่ก็ต้องทรงฌาน คือรู้ลมหายใจเข้าออกเอาไว้เป็นปกติ
    ถาม : แล้วเราจะช่วยคนที่อยู่ในสถานที่ทำงานเราให้เขารักใคร่ปรองดองกันยังไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : อันดับแรกก็ทำตัวเราก่อน ตัวเราต้องพ้นจากกระแสก่อน มีความเข้มเข็งพอ เมื่อขึ้นสู่ฝั่งแล้วจะช่วยใครก็ได้ แต่ถ้าเรายังไม่พ้นกระแสยังลอยคออยู่ด้วยกัน ไปเที่ยวช่วยเขาเดี๋ยวเขากอดจมตายไปด้วย เพราะฉะนั้น ตอนนี้ต้องเร่งปฏิบัติของตัวเองให้มันเข้มแข็งเข้าไว้ โดยเฉพาะแผ่เมตตาให้เขาบ่อย ๆ กระแสเมตตาที่เราสงเคราะห์ต่อเขา จะเป็นกระแสเย็น เมื่อเป็นกระแสเย็นถ้าหากว่าเขาได้รับได้อะไรคนที่เขาอยู่ใกล้เขารู้สึกเย็นอกเย็นใจเดี๋ยวเขาก็คล้อยตามมาเอง
    ถาม : เห็นผีเต็มที่ทำงานเลยเจ้าค่ะ
    ตอบ : ก็ปกติของเขาไม่ใช่เฉพาะที่ทำงานที่อื่นก็เยอะ อย่าลืมว่าผีรัก ผีโกรธ ผีโลภ ผีหลง มันน่ากลัวมากที่สุด ถ้าหากว่าที่ไหนก็ตามที่กำลังใจของคนมันไม่ดี พวกนี้เขาก็จะช่วยซ้ำ ต้องระวังเอาไว้หน่อย
    ถาม : พูดถึงผี ผีที่เข้าสิงคนนี่เข้าสิงได้ในจุดไหนของคนหรือเจ้าคะ ?
    ตอบ : เขาไม่ได้เข้าในร่างกาย ผีที่เข้าสิงหรือเทวดาที่เข้าทรงอะไรก็ตามที่เราคิด เขาจะอยู่ด้านนอกแล้วใช้อำนาจจิตของเขาบังคับให้บุคคลนั้นทำสิ่งต่าง ๆ แบบที่เขาต้องการ เขาบังคับจากภายนอก ไม่ได้เข้าไปข้างในโดยเฉพาะเทวดาไม่เข้าไปหรอก เหม็นขี้ ! (หัวเราะ)
    ถาม : เวลาเราจะสร้างเสน่ห์ให้คนเขารักเรานี่ ทำยังไงบ้างเจ้าคะ ?
    ตอบ : อ๋อ...วิธีทำเสน่ห์ง่ายมาก เขาเรียกว่า สังคหวัตถุ ๔ อย่าง ประกอบไปด้วย ทาน มีการเสียสละให้ปันเจือจานแก่ผู้อื่นเป็นปกติ อันดับที่สอง ปิจวาจา พูดแต่สิ่งที่ดีที่ไพเราะพูดวาจาที่เป็นประโยชน์แก่เขา อันดับที่สาม อัตถจริยา ช่วยเหลือการงานของคนอื่นเขาเท่าที่เราจะทำได้ อันดับที่สี่ สมานัตตา มีความสม่ำเสมอในกิจที่เราทำ
    อย่างเช่นว่า เคยให้ก็ให้ เคยพูดดีก็พูดดี เคยช่วยก็ช่วยตลอดไป ถ้าทำอย่างนี้แล้ว บวกกับตัวเมตตาที่เราตั้งใจแผ่ให้คนอื่นเขาอยู่เสมอ ๆ จะกลายเป็นคนมีเสน่ห์จ้ะ ทำเสน่ห์ใครคนนั้นก็เสร็จเราหมด พระพุทธเจ้าสอนวิธีทำเสน่ห์ไว้ อาจารย์ใหญ่สอนเองเพราะฉะน้นลูกศิษย์ต้องทำให้ได้
    ถาม : พอดีที่ำทำงานเขาทำงานแข่งกับเราแล้วงานเขาไม่เสร็จ งานเราเสร็จ พองานเราเสร็จนี่เราโดนแกล้งโดยไม่รู้ตัว ........(ไม่ชัด)........... การที่จะไม่ให้คนแกล้งเราเลยได้ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะว่าเราเองก็ทำบุญทำบาปอยู่ตลอด ไม่ได้ทำดีมาอย่างเดียว ในเมื่อเราไม่ได้ทำดีมาอย่างเดียว โอกาสที่อกุศลกรรมต่าง ๆ มันจะให้ผลแม้เพียงเล็กน้อยมันก็จะมีอยู่บ้าง ดังนั้น โอกาสที่จะไม่ให้เขาแกล้งเลยมันมีอยู่ก็คือไปนิพพานซะ แต่มันก็จะลำบากหน่อย ลำบากตรงปฏิบัติ จะไม่ให้แกล้งเลยก้ไปนิพพานไม่มีใครตามไปแกล้งหรอก อยู่ที่โน่นเขาดีด้วยกันทั้งหมด
    ถาม : ให้เขาคิดว่าเราเป็นมิตรเขาไม่ได้เหรอ ?
    ตอบ : อันนั้นได้อยู่จ้ะ แต่ว่ากำลังของเราต้องสูงพอ สูงพอขนาดที่เขาเข้าใกล้เราปุ๊บสามารถเปลี่ยนจิตใจเปลี่ยนความคิดของเขาได้เลย ด้วยกำลังความดีของเรา ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดเราต้องเป็นพระโสดาบัน อันนี้กล้าพูดไ้ด้เต็มปากเต็มคำ ผู้ที่เป็นพระโสดาบันที่ท่านเปรียบไว้ว่ามีกำลังถึง ๗ ช้างสารก็คือกำลังของความดี
    คนที่เข้าใกล้ ถ้าหากพระโสดาบันท่านตั้งใจใช้กำลังความดีของท่านในการที่จะเปลี่ยนแปลง หรือว่าแก้ไขบุคคลที่กระทำไม่ดีให้กลับมาทำดีคนอื่นจะต้านกำลังของท่านไม่ได้ แต่ว่าจริง ๆ แล้วท่านก็ยอมรับกฎของกรรม ดังนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันก็เลยกลายเป็นว่าท่านไม่คิดจะทำ แต่ว่าอยากจะทำต้องขนาดนั้นนะ
    ถาม : ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นคนทำด้วยหรือเปล่าเจ้าค่ะ ?
    ตอบ : ทำแหง ๆ ล่ะจ้ะ กรรมมันเป็นคำรวมแปลว่าการกระทำ
    ถาม : มีขี้เหล้ามาอยู่แถว ๆ บ้าน แล้วเขาก็จะมาปาขวดหน้าบ้านในบ้านเป็นระยะ ๆ เจ้าค่ะ
    ตอบ : เราก็มีหน้าที่เก็บเป็นระยะ ๆ
    ถาม : เราก็เก็บเป็นระยะ ๆ เหมือนกัน เก็บไปก็บอกเขาบ้าง ....ขอให้เขามีอันเป็นไปน่ะเจ้าค่ะ
    ตอบ : อ้าว !
    ถาม : แล้วเขาก็เลยเด๊ดไปแล้วเจ้าค่ะ
    ตอบ : ก็เสร็จสิคะ
    ถาม : ทำยังไงดีเจ้าคะ ?
    ตอบ : อันนั้นไม่ต้องไปทำล่ะจ้ะ ตายไปเรียบร้อยแล้ว คือว่า บุคคลที่ทรงความดีถึงระดับหนึ่ง ตัวอธิษฐานบารมีมันจะเห็นผลไว เพราะฉะนั้นพอไปถึงระดับนั้นแ้ล้วพูดอะไรก็จะเป็นอย่างนั้น ดังนั้นต้องระมัดระวังตัวเองให้ดีจ้ะ เราเองน่ะไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก แต่ว่าผลกรรมที่เขาทำมันจะสนองเขาเร็วมาก เพราะฉะนั้นต่อไปต้องรักษาใจให้ดีจ้ะ อย่าไปคิดแช่งใครอีก เดี๋ยวเขาจะแย่กันหมด (หัวเราะ)
    ตัวอย่าง ก็คุณแสงชัย เขาไปเจอทีเด็ดหมอผีมา เขาไปแช่งหมอผีจะตายแหงไปเลย แบบเดียวกัน ....ถ้าคนเราทำความดีจนทรงตัวในระดับหนึ่ง แล้วต้องระวังตัวเองโดยเฉพาะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าพูดเมื่อไหร่ มันจะเป็นอย่างนั้น...สงสารเขา...
    ถาม : ไม่ตั้งใจก็เป็น ?
    ตอบ : จ้ะ รู้ว่าไม่ตั้งใจ
     
  20. DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : เรื่องอธิษฐานเจ้าค่ะ เรามีคู่ในปัจจุบันชาตินี้เจ้าค่ะ แล้วเราเคยอธิษฐานว่าเราจะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง แล้วเราจะหยุดอธิษฐานนั้น ...คือมันต่อเนื่องมาหลายภพหลายชาติแล้ว
    ตอบ : คำอธิษฐานเปลี่ยนได้จ้ะ อธิษฐานแปลว่าความตั้งใจ ถ้าเราเปลี่ยนความตั้งใจเสียมันก็เป็นอันว่าจบกัน
    ถาม : ทีนี้ถ้าเราเปลี่ยนว่าเรายกเลิกว่าคำอธิษฐานที่จะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง เราจะมีปัญหากับคนปัจจุบัน
    ตอบ : อ๋อ....ของเราเองมันเกิดมาก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเจอแต่คนเดิมตลอดไปหรอกจ้ะ เพราะว่าเราเกิดมาหลายชาติ แต่ละชาติถ้าทำความดีความชั่วไม่ได้เสมอกัน มันก็จะต้องมีว่าเราเกิดบ้างเขาเกิดบ้างสลับกันไป ช่วงที่ไม่ได้เกิดพร้อมกันก็ไปเจอคนอื่น ถ้าเกิดพร้อมกันแต่ว่าเจอคนที่เกิดมากกว่าเราก็จะไปกับคนที่เกิดด้วยกันมากกว่า บางชาติคนที่เราเกิดร่วมกันไม่ได้ผลมสักคนหนึ่งเลยก็จะไปเจอที่เกื้อกูลกันในปัจจุบันชาตินั้นขึ้นมาอีก ดังนั้นมันก็จะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
    เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตอารมณ์ใจตัวเราเองว่า บางทีเราเองแต่งงานกับคนนี้แท้ ๆ แต่พอไปเจอกับอีกคนหนึ่ง ทำไมรู้สึกรักรู้สึกชอบเขาเหมือนกัน นั่นก็อาจจะเคยติดตามกันมาแต่ว่าเราต้องอยู่ในขอบเขตของศีลของธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามถ้าอยู่ในเขตของศีลของธรรม มันจะอธิษฐานอย่างไรมันจะยกเลิกอย่างไรก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยอย่าให้ศีล ๕ มันขาด คำอธิษฐานมีผลแต่เพียงว่าถ้าหากว่าเรายกเลิกแล้ว อธิษฐานใหม่ มันก็จะเป็นไปตามของใหม่
    ถาม : ยกเลิกได้ใช่ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ แค่เปลี่ยนความตั้งใจเท่านั้นเอง อันนี้เหมือนยักกับนอกตำราเลย จริง ๆ ไม่ใช่นอกตำรานะ คำอธิษฐานเปลี่ยนกันได้ ความตั้งใจของเราให้มันตั้งมั่นจริง ๆ เท่านั้น
    ถาม : คำอธิษฐานนี่ข้ามชาติได้ ?
    ตอบ : จ้ะ มันให้ผลข้ามชาติเยอะเลย
    ถาม : แล้วอย่างที่แบบว่าชาตินี้เขาเคยเป็นบิดามารดาและลูกอย่างนี้ พอชาติถัดไปเขาก็เปลี่ยนความสัมพันธ์ แล้วเวลาเราจะ...ยังไง ?
    ตอบ : กรรมมันเนื่องกันไปเนื่องกันมา แต่ละคนมันสามารถเปลี่ยนสัมพันธ์เปลี่ยนตำแหน่งเปลี่ยนอะไรไปได้อยู่ตลอด ชาตินี้คนเขาเป็นพ่อเป็นแม่เรา ชาติต่อไปอาจจะเกิดมาเป็นลูกเราหรือคนใช้เราก็ได้ ชาตินี้เป็นสามีเราชาติต่อไปอาจจะเป็นพ่อเราก็ได้
    ถาม : ถ้าสมมุติว่า คนที่เขาเคยเกิดเป็นพ่อเราแล้ว มาเกิดเป็นลูกเรานี่เราจะทำยังไงเขาคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องทำล่ะจ้ะ ทำหน้าที่ของเราตอนนั้นให้ดีที่สุดเท่านั้น อย่างเช่นว่าเราเป็นแม่เราก็ทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด นับในปัจจุบันอย่าไปคิดเอาอดีต ถ้าหากว่าคิดเอาอดีตนี่ยุ่งมากเลย
    ถาม : ............(ไม่ชัด)...............
    ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติจะต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ ไม่ใช่ส่วนใหญ่ต้องใช้คำว่า ทั้งหมด นักปฏิบัติทั้งหมดต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ อดีตรู้ไว้เป็นบทเรียนเท่านั้น รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็วาง เพราะว่าทุกชาติมันก็ทุกข์เหมือนกันนะ ปัจจุบันทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่ต้องนึกถึง แค่นั้นก็พอ เขาเป็นพ่อแม่ก็ให้เป็นพ่อแม่ไป
    ถาม : ที่พูดเมื่อกี้นี้ว่าเราทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด ทีนี้เรามีความรู้สึกว่าเราทำแล้วเราไม่ดีที่สุด
    ตอบ : คำว่าดีที่สุดมันไม่ได้หมายความว่าจะดีเท่าคุณทักษิณ ชินวัตร แต่มันหมายความว่าดีเต็มกำลังที่เราทำได้
    ถาม : แม้กระทั่งคนอื่นมองว่าเราทำน้อย ?
    ตอบ : จ้ะ นั่นแหละ คือมันเต็มที่กำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ ของเราแล้ว ทำได้ดีที่สุดแค่ไหนนั้นก็คือแค่นั้นของเรา แต่ว่าคนที่กำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ เขาเหนือกว่าเราเขาจะทำได้ดีกว่าเรา เพราะฉะนั้นได้ดีที่สุดมันไม่มีมาตรฐานซะด้วยว่าต้อง ๑๐๐ % เป๊ะ ไม่มี มันเต็มกำลังของเรา ของเราเต็มที่แค่ไหนก็แค่นั้น
    ถาม : เศรษฐกิจของชาติเราจะดีขึ้นไหม ?
    ตอบ : เริ่มดีแล้วจ้ะ ปีหน้าถ้าไม่ไปสะดุดตีนแขกร่วงซะก่อน (หัวเราะ) ขออภัยที่ใช้คำพูดตรงไปหน่อย
    ถาม : จะเกิดสงครามโลกเหรอเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ถึงกับสงครามโลกหรอกแต่ใหญ่หน่อย สงครามมันต้องแบ่งครึ่งกันเหลือแค่ ๒ ฝ่ายเท่านั้น แต่อันนี้มันประเภทว่าต่างคนต่างมีผู้ช่วย อาจจะมีฝ่ายหนึ่งรวมตัวกันตีอีกฝ่ายหนึ่ง แต่มันกระจายออกกว้าง แต่มันไม่ถึงขนาดไปทั้งโลก เราเองก็อาจจะทำมาหากินเซ็งลี้ฮ้อไปเลย.....ปัญหานี้พอจะออกไปไกลมากเดี๋ยวมันจะร้อน เอาปัญหาเย็น ๆ ดีกว่า
    ถาม : พอดีตัวเองนี่ฝึกธรรมกายด้วย แล้วกำหนดดวงแก้ว แล้วฝึกจักกระ มันจะตีกันไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ตีกันหรอกจ้ะ ยิ่งง่ายใหญ่เลย กี่จักกระก็เท่านั้นดวงแก้ว
    ถาม : เราจะกำหนดยังไงให้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจักกระกับดวงแก้วให้เชื่อมเป็นหนึ่ง ?
    ตอบ : จุดไหนที่เป็นจักกระที่เรากำหนดก็เอาดวงแก้วไว้ตรงจุดนั้นนั่นแหละแล้วก็สามารถกำหนดได้ โดยเฉพาะตอนที่เราจะให้พลังหมุนเวียนไปทางด้านไหนก็แค่กำหนดจิตแค่นั้นเอง มันก็ลักษณะของมโนยิทธิดี ๆ นี่เองเอาจิตไปไว้ตรงจุดไหน
    ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่ขัดกันหรอกจ้ะ ถ้าทำถึงแล้วมันสามารถประยุกต์เข้ามาได้ ดีไม่ดีเอาหัวไปต่อที่เท้าอะไรอย่างนี้...ฟังรู้เรื่องมั้ย ? ฝึกธรรมกายด้วยแล้วขณะเดียวกันก็ฝึกพวกพลังต่าง ๆ ที่เขาเรียกกันว่าจักกระด้วย พวกโยคีเขาชอบใช้กัน อันนั้นจริง ๆ แล้วมันสำหรับช่วยเหลือคนอื่นแล้วยก็ช่วยเหลือตัวเอง มันจะทำให้เข้าถึงมรรคผลช้า เพราะมัวแต่ไปสนุกกับมันอยู่
    พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สอนแต่่าถ้าเราเห็นว่ามันเป็นประโยชน์สามารถช่วยคนได้ เพราะว่าตัวเราเองยังอยากเกิดอีกมันจำเป็นต้องช่วยคนอีกเยอะ เขาฝึกมันก็เป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก ของเราเองถ้าหากว่าต้องการจะไม่เกิดก็ตั้งหน้าตั้งตาเกาะนิพพานเอาไว้ บางอย่างถ้าฟังไม่รู้เรื่องอนุญาตให้ยกมือประท้วงได้จ้ะ (หัวเราะ)
     

แชร์หน้านี้