โอวาทธรรมหลวงปู่ศรี มหาวีโร
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
...ถ้าไม่มีธรรมะเป็นหลักจิตหลักใจ หรือเป็นเครื่องอยู่ของใจ ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ก็เดือดร้อนวุ่นวายกันอยู่อย่างที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี่หละ เพราะธรรมะมันเป็นคู่ชีวิตจิตใจ ของใจทุกอย่าง ทุกพวก ทุกหมู่ ทุกเหล่า บรรดาที่มีร่างกาย หรือไม่มีร่างกาย ที่มีจิตวิญญาณ และก็ต้องการธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองดูแล ส่งเสริม เป็นยาบำรุงหัวใจก็ว่าได้...
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ธรรมะเกิดแต่เหตุ : ๒๘ กันยายน ๒๕๒๘
แนวทางปฏิบัติธรรมของ หลวงปู่ต่างๆ
ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 20 เมษายน 2008.
หน้า 20 ของ 94
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โอวาทธรรมหลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร
"..นานมาแล้ว เคยได้ยินเจ้าคุณท่านหนึ่งท่านเทศน์ว่า
สี่คนหาม สามคนแห่ คนหนึ่งนั่งแคร่ สองคนพาไป
สี่คนหาม ท่านหมายถึงธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มารวมตัวกันเป็นร่างกายนี้
สามคนแห่ ก็หมายถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่มันห้อมล้อมเข้ามา
...
แล้วคนหนึ่งนั่งแคร่ ก็หมายถึงว่าเมื่อธาตุทั้ง ๔ มันแตกตายสลายไป
ก็จะยังคงเหลือแต่ใจอันเดียว ส่วนสองคนพาไป อันนี้ก็คือ กุศลกับอกุศลหรือบุญกับบาป หรือกรรมดีกับกรรมชั่ว อันนั้นจะเป็นผู้พาไป
พาไปจำแนกให้เป็นอะไรๆ ตามอำนาจของบุญของกุศล
หรือให้เป็นไปตามกรรมที่ได้ทำเอาไว้ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น"
หลวงปู่แบน ธนากโรไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โอวาทธรรมหลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก
วัดป่าวิเวกธรรม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
“ความสมมติในแต่ละภาษาก็สมมติเรียกคนละอย่าง แต่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่าเราสมมติเรียกเขาว่าอะไร ตาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นตา หูเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นหู จมูกเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นจมูก เวลาเจ็บเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเจ็บ ผู้ที่รู้ความเจ็บคือใจ ใจคือผู้รู้ทั้งหมด
เราทุกข์เพราะสมมติมาแล้วกี่ภพกี่ชาติ เมื่อไรเราจึงจะละสมมติได้ ทำผู้รูคือใจให้สงบ เพื่อมันจะได้เห็นของสมมติ และละสมมติเพื่อให้เป็นวิมุตติ....ให้ภาวนากันเถอะ ทำอย่างไรมันจะได้ก็ให้ทำเอา ถ้าได้แล้วให้เร่งเอา ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่นะ ถ้าเราหมดชีวิตแล้ว ไม่รู้ว่าใครจะมาให้อุบายทัศนะพวกเรา มันไม่มีการแน่นอนเน้อ ถ้าพอจะเอาได้ก็เอา....”
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาในการอบรมภาวนาเมื่อค่ำวันที่ 9/6/2555
หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโกไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โอวาทธรรมพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์)
วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร
"เห็นอนิจจัง ได้โสดา เห็นทุกขังอ่อนๆ ได้สกิทาคา เห็นทุกขังชัดได้อนาคา เห็นอนัตตาได้อรหันต์ คือหมดอนิจจัง ทุกขัง"
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) -
โอวาทธรรมหลวงปู่ท่อน ญาณธโร
วัดศรีอภัยวัน ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย
"มีรักที่ไหนมีทุกข์ที่นั้น
ความรักความใคร่มันโตขึ้นมาได้
รักน้อยๆ ต่อไปมันก็รักมากเข้าๆ
เมื่อไรจะออกจากกันได้
ถ้าจะออกจากกันก็เป็นห่วงเป็นทุกข์
ความผูกความพันมันเหนียวแน่นมาก
เหนียวแน่นจนลืมตัวเอง"
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร -
โอวาทธรรมหลวงปู่บุดดา ถาวโร
วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรี
"...ขันธ์๕ ของกิเลสมันเกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์อยู่แล้ว
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว คนไทยนี่อะไรๆ ไม่เสียดายหรอก
ในโลกนี้ให้หมดนะอามิสน่ะ
..แต่ ..แต่มีข้อแม้ว่า ผัวดิฉันนะ
ใครแตะไม่ได้นะ เอาตายเชียวนะ จะไปนิพพานจะเอาผัวไปด้วย..ปัดโธ่
เขาไปนิพพานจะเอาผัวเมียไปที่ไหนกัน เขาเอาธรรมะไปต่างหากล่ะ.."
หลวงปู่บุดดา ถาวโร -
โอวาทธรรมพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
"...สิ่งที่มนุษย์ในจักรวาลนี้ต้องการมันมีเพียงห้าอย่างเท่านั้นคือ
-ความมีลาภ ได้แก่ ผลประโยชน์
-ความมียศ ได้แก่ ยศฐาบรรดาศักดิ์
-สรรเสริญ ได้แก่ ชื่อเสียงอันดีงาม
-ความสุข
-อำนาจ
...
ไม่มีใครปรารถนาเกินไปกว่านี้อีกแล้ว ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสวงหาสิ่งเหล่านี้ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น การแสวงหาก็ควรจะมีขอบเขต ขอบเขตก็คือศีลห้าข้อนั้นแหละ
จากเรื่อง "ขอบเขตของการแสวงหา"
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) -
โอวาทธรรมหลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
สาวกของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ เพราะเห็น "ความไม่เที่ยง"
หลวงปู่ชา สุภัทโท -
โอวาทธรรมหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
วัดป่าสันติกาวาส ต.ไชยวาน อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี
การทำคุณงามความดี ...
ถ้าเราไม่ทำเอา จะไปให้ใครทำให้เรา
คนอื่นทำก็เป็นของเขา เราทำเอาจึงเป็นของเรา
จะมามัวเมาเอาอะไรในสมบัติโลก
มันเป็นสมบัติบ้า สมบัติโลกมันก็หนักเท่าโลก
...
สมบัติแผ่นดินมันก็หนักเท่าแผ่นดิน
ไม่มีใครหอบหิ้วเอาไปได้ดอก
เอาไปได้แต่คุณงามความดี ...
คือบุญกุศลที่ตนทำไว้แล้วเท่านั้น
จงรีบเร่งทำความดี ดีกว่าทำความชั่ว
รักกันดีกว่าชังกัน ฝึกฝนอบรมตน เอาตนให้ได้
หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล -
พระโอวาทธรรมสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
วัดบวรนิเวศวรวิหาร จ.กรุงเทพมหานคร
ผู้ใดคิดว่า ตนเองกำลังทำความดี แต่มีจิตใจเร่าร้อน หาความสงบสุขยาก ก็พึงเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า ตนมิได้กำลังทำความดี อาจเป็นเพียงกำลังคิด “แข่งดี” เท่านั้น
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โอวาทธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
"วันหนึ่งๆ ควรจะระลึกถึงความตายในตัวบ้าง
อย่างน้อย ๕ หนก็ยังดี
จิตใจของเราจะได้มีการยับยั้งจากความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
ความโลภก็จะไม่มากนัก ความโกรธก็จะไม่มากนัก
ความหลงก็จะไม่มากนัก เพราะมองเห็นป่าช้า"
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโนไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โอวาทธรรมหลวงพ่อสิงห์ทอง ธัมมวโร
วัดป่าแก้ว จ.สกลนคร
ในร่างกายของเราทั่วไป ไหลออกทางทวารใดก็มีแต่ของสกปรกเน่าเหม็น
ไม่เป็นของดิบของดี ของหอมหวาน ... มีแต่ของเน่า
เพียงแต่ลมออกมาเท่านั้น มันก็ยังมีกลิ่น
แสดงว่า มันเน่าทั้งตัว มันเหม็นทั้งตัว ... ไม่มีอะไรที่จะดีวิเศษ
หลวงพ่อสิงห์ทอง ธัมมวโรไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โอวาทธรรมหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต
ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ อ. ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
“ถ้าไม่มีทุกข์ ก็ไม่ต้องปฏิบัติออกจากทุกข์ มันมีทุกข์ จึงปฏิบัติออกจากทุกข์ เราหนีทุกข์ หรือให้ทุกข์หนีจากเรา เรารู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็หนีเอง ถ้าเราไม่รู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็ไม่หนี”
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต -
โอวาทธรรมหลวงปู่สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
"นี่แหละร่างกายนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐาน อย่าไปเห็นว่ารูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่ากัน"
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร -
โอวาทธรรมหลวงปู่ศรี มหาวีโร
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
...คนเรา บางทีอาจจะเกิดมาแล้ว หลายกัป หลายกัลป์ หลายชาติ หลายภพ ไม่รู้ว่าเกิดเป็นอะไรต่อมิอะไรมาบ้าง เรายังไม่รู้จัก ถ้าผู้ต้องการอยากรู้สิ่งเหล่านี้ ก็ต้องฝึกหัดจิตใจให้เป็นสมาธิ
ถ้าเป็นสมาธิแล้วมันจะรู้เรื่องของเหล่านั้น ว่ามีความเป็นมายังไง เป็นอยู่ยังไง จะไปยังไง
นี้เรียกว่ารู้ตัวเอง ถามดูจิตใจตัวเอง มันก็พูดให้เราฟังเลย เพราะว่ามันพูดเป็นเหมือนกันนะเรื่องของจิต แต่ว่าเรานั้นหละเป็นผู้รู้จักเอง ฉะนั้น ธรรมะท่านจึงว่า ตัวเองรู้เอง “สันทิฏฐิโก” ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เอง...
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง มนุษย์สมบูรณ์แบบ : ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ -
โอวาทธรรมหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์
เมื่อตาเห็นรูปแล้ว รู้ว่าสวยงาม หรือน่ารังเกียจอย่างไรแล้ว ก็หยุดเพียงเท่านี้...เมื่อหูได้ยินเสียง รู้ว่าไพเราะ หรือน่ารําคาญอย่างไรแล้ว ก็หยุดเพียงเท่านี้
...เมื่อลิ้นได้ลิ้มรส รู้ว่าอร่อย หรือไม่อร่อย เปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไรแล้ว ก็หยุดเพียงเท่านี้...เมื่อจมูกได้กลิ่น หอมหรือเหม็นอย่างไรแล้ว ก็หยุดเพียงเท่านี้...เมื่อกายสัมผัสโผฎฐัพพะ รู้ว่าอ่อนแข็งเป็นอย่างไรแล้ว ก็หยุดเพียงเท่านี้...
หลวงปู่ดูลย์ อตุโลไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โอวาทธรรมหลวงพ่อวิชัย เขมิโย
วัดถ้ำผาจม ที่อยู่ ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย เชียงราย
การฝึก สมาธิกรรมฐาน จะนั่งแบบไหน ก็ได้ จะใช้ คำภาวนา ได้ทั้งนั้น ข้อสำคัญ คือ การทำ จิต ให้นิ่ง ปล่อยวาง ทุกสิ่งอย่าง ความสำคัญ มีแค่นี้ ทำให้มาก ๆ นาน ๆ แรกเริ่มเลย จะ นั่งสมาธิ สัก ๑๐ - ๒๐ นาที พอมัน คุ้นชิน จะ นั่งได้ เป็น ชั่วโมง ตลอดคืน ยันรุ่ง บางคน สงสัย ว่า ทำจนไม่ได้นอนเลย จะ ไม่ง่วง ไม่เหนื่อยหรือ มิต้องหลับ ที่ทำงานหรือ
ขอตอบ ว่า ยิ่งสบาย ยิ่งสดชื่น แจ่มใส เสียอีก สติ ปัญญา มี มากขึ้น อย่าห่วงข้อนี้ ทดลองทำดูก่อน แต่ไม่ใช่ นั่งฟุ้งซ่าน คิดเรื่องนี้ เรื่องนั้น อยู่ ทั้งคืน ถ้า นั่งฟุ้งซ่าน พรุ่งนี้ หลับแน่ ทำดู แล้ว จะ รู้เอง
หลวงพ่อวิชัย เขมิโยไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โอวาทธรรมหลวงพ่อสุธรรม สุธมฺโม
วัดป่าหนองไผ่ สกลนคร
"ให้เรารู้จักฝืนตัวเอง ให้เสียสละความขี้เกียจ
แล้วมีความเพียรที่จะนั่งสมาธิภาวนาซิ
แล้วเราจะรู้ว่าธรรมะดีอย่างไร
เหมือนนักกีฬา เห็นไหม
เขาเสียสละเวลาและหยาดเหงื่อ
ยอมเหน็ดยอมเหนื่อย เขาจึงมีพละกำลัง
...
มีความสามารถแปลก ๆ ที่คนปกติเขาทำกันไม่ได้
ฉะนั้นให้เรารู้จักฝืนตนเองบ้าง
อย่ายอมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลสอย่างเดียว"
หลวงพ่อสุธรรม สุธมฺโมไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โอวาทธรรมพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
"...ทุกขสัจนี้เป็นเหมือนหินลับปัญญานะ ถ้าเราพิจารณาแบบพระพุทธเจ้าสอน แบบอริยสัจเป็นของจริงๆ เรื่องทุกขเวทนานี้เป็นหินลับปัญญาให้คมกล้า ทุกขเวทนากล้าสาหัสเข้าไปเท่าไหร่ สติปัญญายิ่งหมุนติ้วๆ ถอยไม่ได้"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน -
โอวาทธรรมหลวงปู่คำดี ปภาโส
วัดถ้ำผาปู่ อ.เมืองจ.เลย
สุขทุกข์คู่กัน
...จะเอาสุขทางโลก ก็ได้ทุกข์มาพร้อมกัน
เช่น คิดว่า สามี ภรรยา เป็นความสุข
ก็ได้รับทุกข์เพราะ สามี ภรรยา นั่นแหละ
อยากได้ลูก มีความสุขที่ได้ลูกหญิงลูกชาย
แต่ก็ได้รับทุกข์ เพราะลูกนั่นแหละ
...จะเอาความรักก็ได้ความชังมาพร้อม
จะเอาอย่างเดียวไม่ได้ อยากได้หนึ่งแต่ได้สอง
เป็นกฎธรรมชาติอย่างนั้น...
หลวงปู่คำดี ปภาโส
หน้า 20 ของ 94