ใครต้องการถามเป็นการส่วนตัว ไปถามที่อื่น กลัวคนอื่นว่าให้มาที่นี่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nilakarn, 20 เมษายน 2013.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ถามเพราะไม่เข้าใจและไม่เคยศึกษาจริงๆค่ะ
    เจริญสติแบบเคลื่อนไหว ของหลวงพ่อเทียน
    1.ต้องบริกรรมหรือเปล่าคะ เวลายก/วาง ถ้าบริกรรม ใช้คำอะไรบ้าง

    2.ไม่บริกรรม จะยากเกินไปหรือเปล่า สำหรับเด็ก ลูกชาย 6 ขวบ แถมสมาธิสั้นอีก บ่นคัน ไม่ยอมนั่งสมาธิแล้ว คิดว่า ต้องหาวิธีใหม่ให้เขานะค่ะ เลยคิดว่า มาทางหลวงพ่อเทียนถูกหรือเปล่าคะ

    3. แล้วเป็นการสมถะหรือ เจริญสติคะ

    พอจะมีวัดใน กทม. ที่ปรึกษาได้หรือเปล่า คะ (เข้าคอร์สค้างคืนไม่ได้ค่ะ เพราะลูกชายยังเล็ก และแม่ก็ไปค้างไม่ได้ด้วย งานเยอะค่ะ)

    เปรียบเทียบอย่างนี้ครับ จากประสพการณ์การฝึกของตนเองที่ได้ทดลองทำดูทุกสาย

    1 การเจริญสติ ไม่ต้องใช้คำภาวนาครับ ใช้การจับความรู้สึกจากอาการต่างๆที่เกิดขึ้น
    กับร่างกายของเรา เช่น ตรงนี้ปวด ให้ภาวนาว่า ปวดหนอ โดยใช้สติคิดตามว่ามันปวดจริง
    ซึ่งถ้าเราคิดในสมาธิก็คือ การวิปัสสนานั่นเอง แต่ถ้าไม่ได้ทำสมาธิ แล้วคิดอย่างนี้อยู่นอก
    สมาธิ จะเรียกว่าการเจริญสติ ครับ
    สรุปก็คือ ไม่ต้องบริกรรมครับให้คิดตามอย่างเดียว แต่ถ้าคุณยกคำบริกรรม ขึ้นมา มันจะเป็นการญาณขั้นที่หนึ่ง แต่คิดพิจารณา คือญาณขั้นที่สองครับ โดยต้องทิ้งคำภาวนาให้หมด

    2 เด็กอายุแค่ หกขวบ แต่สามารถนั่งสมาธิได้ ถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆครับ เพราะว่าเขาเกิดอาการคันยุบยิบทั่วร่างกาย จนจะแทบทนไม่ได้ เรียกว่า อาการที่เกิดจากปิติ หรือผู้ที่
    สามารถจะเข้าญาณสามได้ หายคันเมื่อไหร่ก็เข้าได้ครับ
    สรุป เด็กไม่ต้องบริกรรมก็สามารถเข้าญาณได้ครับ เพราะจิตใจเค้าบริสุทธิ์กว่าผู้ใหญ่ที่ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา โดยคิดว่า ทางของเราดีกว่าของคนอื่น หากจะมัวเถียงกันอยู่ ให้แข่งกันปฎิบัติจะดีกว่าไหมครับ
    สุดท้ายให้บอกเค้าว่า ถ้าเค้านั่งสมาธิแล้วรู้สึกเป็นสุข แสดงว่าเค้าถึงญาณสี่แล้วครับ
    ก็คงอีกไม่นาน ถ้าเค้ายังทำอยู่ แต่ถ้าเค้าไม่อยากทำจริงๆ แนะนำให้ฝึกเพ่งกสิณจะสนุกกว่า แล้วก็ตรงตามจริตของเด็กด้วย แต่ไม่แนะนำให้เค้าเจริญสตินะครับ เพราะมันยาก
    เกินไป

    3 การทำสมถะ คือนิ่งครับ ทุกอย่างที่ทำแล้วนิ่ง ยกเป็นสมถะทั้ง แต่ที่ทำแล้วฝึกได้ไวมีอยู่ทั้งสิ้น 40 อย่าง
    และการพิจารณาของหลวงปู่เทียน คือ การเจริญสติ นั่นก็คือ การทำวิปัสสนานั่นเอง แต่จะเรียก การเจริญสติ ในขณะที่ไม่ได้ทำสมาธิ และหากการเจริญสตินั้น ทำในขณะทำสมาธิ จะเรียกว่า วิปัสสนา นั่นเอง
    สรุป ก็คือ การเจริญสติคือวิปัสสนาอย่างอ่อนนั่นเอง
     
  2. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ...... กราบขอบพระคุณมากเลยนะคะที่นำเอาความต้องการของหลาย ๆ คนมาตอบเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติคะ .. ตอนนี้ก็ยังฝึกเจริญสติวิปัสนาพิจารณาไปเรื่อยคะ .. เลิกกัลวตายแล้วด้วยนะคะ .. อิอิ ... แต่มันมีอารมณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับกาลีนะในตอนนี้มาหลายวัน ... มันนิ่งมากคะเหมือนคนไร้อารมณ์ มันเฉย ๆ กับทุกสิ่ง ทั้งที่บางทีพยายามที่จะมีอารมณ์ร่วมกับคนรอบข้าง ... อย่าคิดลึกนะคะ โกรธ รัก เอ็นดู มันรู้สึกว่าทำยากคะ มันเฉยจนรู้สึกเบื่อตัวเอง มันจะสงบไปไหม๊ ... หรือ พอมีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้าง .. มันก็สงบลงเร็วจนเราเองตกใจตัวเอง ปกติเป็นคนอารมณ์แปรปรวนมากคะ มันสงบแม้แต่เรื่องที่สามีภรรยาควรจะมีกันกาลีนะก็ไม่มีคะเฉยมากมาหลายเดือนแล้ว พูดไม่อายคะเพราะคิดว่า จขกท. ก็คงอยากได้คนที่กล้าตอบแบบนี้เหมือนกัน ไม่กลัวใครมองว่าบ้าหรอกคะเพราะคิดว่าตัวเองบ้ามานานแล้ว 55555

    ... ส่วนเรื่องอารมณ์ฌาญที่เกิดเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังนะคะ ดีใจคะที่มีคนแบบนี้ในเว็ปอยากให้มีเยอะ ๆ เก่งไม่เก่งไม่สำคัญเท่า " ความจริงใจ " หรอกคะ ... เจอท่านแบบนี้ก็อยากจะบอกเล่าปัญหา หรือ ประสบการณืที่เกิดให้ฟังมากเลยคะ .. อิอิ .. เขียนมานี้อ่านเข้าใจง่ายกว่าหลายท่านที่เขียนมาอีกคะ เพราะกาลีนะปัญญาทางธรรมน้อยอยู่ยังไม่ลึกซึ้งพอ .. ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อกาลีนะนะคะ ...

    .... เกริ่นไว้ก่อนว่าเคยให้พี่ที่เคารพกันท่านดูให้ว่าพอมีวาสนามีอะไรติดตัวมาบ้างไหม๊ พี่ท่านบอกว่า " มีกสิณลม กับ กสิณไฟ " และ ได้ของแถมเป็นโรคเวรโรคกรรมมาเพียบเลยคะ 555555555555
     
  3. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    เรียนถามผู้รู้ทุกท่าน
    ดิฉันมีกิจการงานที่ยุ่งอยู่ตลอดเวลา สอนหนังสือและงานวิชาการที่เป็นประโยชน์กับผู้เรียน ไม่มีเวลาไปเรียนกับครูบาอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่ปฏิบัติผ่านเวปพลังจิตยามว่างระหว่างวันๆละ 20นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่ช่วงว่างแต่ละวัน และอ่านหนังสือและทำตาม ลองทำตามจากสิ่งที่อ่าน แต่รู้สึกว่าจิตเปลี่ยนมาเป็นทำสมาธิแบบอานาปาณสติทุกครั้ง ดิฉันปฏิบัติมาเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าเราทำถึงจุดไหน แต่ส่วนมากคือเมื่อถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างการตื่นรู้กับจุดภวังค์ที่ไม่สนใจกายแต่ยังมีสติรับรู้ภายในจิต จะเห็นนิมิตเป็นบางอย่าง เช่นเทพเทวดา (จากการรับรู้ของจิต)ในนิมิต หรือเห็นภาพพระพุทธรูปซึ่งบางองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน ดิฉันเพียงแต่รู้เฉยๆ ไม่กล้าตีความว่าจริงหรือลวง เพราะจากการอ่านพบว่าอาจเป็นนิมิตมาร จึงขอเรียนถามผู้รู้ว่า
    1. สิ่งที่เห็นในนิมิตคืออะไร
    2 บางคืน ในช่วงต่อระหว่างการหลับกับการตื่น รู้สึกเหมือนจิตลอยออกจากตัว มีสติแต่อาจไม่เต็มที่ บางครั้งรู้สึกเหมือนขึ้นนที่สูงไปพบพระพุทธรูปที่องค์ใหญ่ปานภูเขา ในจิตบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่ภาพไม่ชัด บางครั้งพบหน้าพระพุทธรูปที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน บางครั้งเห็นเป็นหลวงพ่อฤาษีลิงดำตอนบวชวัยกลางคน รู้ตัวว่าไม่ใช่ฝัน เพราะรับรู้สติบางระดับ แต่สิ่งที่เห็นจะไม่ได้ยินเสียง ทั้งหมดคืออะไรคะ มีผลต่อการปฏิบัติในชิวิตอย่างไร จุดมุ่งหมายต้องการเข้าถึงพระนิพพานค่ะ
    3. ในขณะนั่งสมาธิ หรือในชีวิตประจำวัน จะมีอาการเคลื่อนไหวคล้ายๆมีพลังงานเกิดบนศีรษะด้านบน ถ้าเอากะลามาครอบศีรษะ จะเกิดอาการราวๆ หนึ่งในสี่ ถึงหนึ่งในห้าของพื้นที่จากบนศีรษะลงมาด้านล่าง บางครั้งรับรู้ถึงพลังงานระหว่างคิ้ว หรือใบหูทั้งสองข้าง อันนี้เกี่ยวข้องการปฏิบัติสมาธิที่ทำหรือเปล่าคะ (ทำแบบอาณาฯ) แต่ไม่ได้เจ็บปวดอะไร ทำงานแบบละทิ้งการรับรู้ได้ตามปกติ

    ขอคำแนะนำด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
     
  4. ตามพระ

    ตามพระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +9
    ขอเรียนถามสักข้อ
    โดยปกติทุกวันสวดมนต์นั่งสมาธิแล้วอธิษฐานว่าขอให้เข้าพระนิพพานชาตินี้และหากยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงไรขอให้เป็นผู้พรั่งพร้อมเพื่อถวายงานรับใช้พระศาสนาได้สำเร็จ

    เมื่อเช้าเป็นครั้งที่สองหรือสามไม่แน่ใจ หลังจบคำอธิษฐานแล้วรู้สึกว่า
    บ้านและโต๊ะหมู่บูชาสั่น แรงมากแต่แวบเดียว
    ขอถามว่าหมายความว่าอะไร.......ขอบคุณค่ะ
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    กาลีนะ;...... กราบขอบพระคุณมากเลยนะคะที่นำเอาความต้องการของหลาย ๆ คนมาตอบเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติคะ .. ตอนนี้ก็ยังฝึกเจริญสติวิปัสนาพิจารณาไปเรื่อยคะ .. เลิกกัลวตายแล้วด้วยนะคะ .. อิอิ ... แต่มันมีอารมณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับกาลีนะในตอนนี้มาหลายวัน ... มันนิ่งมากคะเหมือนคนไร้อารมณ์ มันเฉย ๆ กับทุกสิ่ง ทั้งที่บางทีพยายามที่จะมีอารมณ์ร่วมกับคนรอบข้าง ... อย่าคิดลึกนะคะ โกรธ รัก เอ็นดู มันรู้สึกว่าทำยากคะ มันเฉยจนรู้สึกเบื่อตัวเอง มันจะสงบไปไหม๊ ... หรือ พอมีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้าง .. มันก็สงบลงเร็วจนเราเองตกใจตัวเอง ปกติเป็นคนอารมณ์แปรปรวนมากคะ มันสงบแม้แต่เรื่องที่สามีภรรยาควรจะมีกันกาลีนะก็ไม่มีคะเฉยมากมาหลายเดือนแล้ว พูดไม่อายคะเพราะคิดว่า จขกท. ก็คงอยากได้คนที่กล้าตอบแบบนี้เหมือนกัน ไม่กลัวใครมองว่าบ้าหรอกคะเพราะคิดว่าตัวเองบ้ามานานแล้ว 55555

    ... ส่วนเรื่องอารมณ์ฌาญที่เกิดเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังนะคะ ดีใจคะที่มีคนแบบนี้ในเว็ปอยากให้มีเยอะ ๆ เก่งไม่เก่งไม่สำคัญเท่า " ความจริงใจ " หรอกคะ ... เจอท่านแบบนี้ก็อยากจะบอกเล่าปัญหา หรือ ประสบการณืที่เกิดให้ฟังมากเลยคะ .. อิอิ .. เขียนมานี้อ่านเข้าใจง่ายกว่าหลายท่านที่เขียนมาอีกคะ เพราะกาลีนะปัญญาทางธรรมน้อยอยู่ยังไม่ลึกซึ้งพอ .. ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อกาลีนะนะคะ ...

    .... เกริ่นไว้ก่อนว่าเคยให้พี่ที่เคารพกันท่านดูให้ว่าพอมีวาสนามีอะไรติดตัวมาบ้างไหม๊ พี่ท่านบอกว่า " มีกสิณลม กับ กสิณไฟ " และ ได้ของแถมเป็นโรคเวรโรคกรรมมาเพียบเลยคะ 555555555555


    ขอทวนนะครับ คุณฝึกเพ่งกสิณอยู่ใช่ไหมครับ หรือ กำหนดลมหายใจเข้าออก เล่าการปฎิบัติคร่าวๆ มานะครับ เผื่อผมลืม

    ถ้าไม่ผิดนัก คุณได้เข้าถึงอุเบกขารมณ์ แล้วนะครับ เมื่อก่อนเมื่อคุณเข้าถึงญาณสี่ คุณจะรู้สีกเป็นสุข ติดกับสุขนั้น พอคุณตัดอารมณ์สุขได้ คุณก็จะพบเองว่า นี่คืออารมณ์ของอุเบกขานั่นเอง และยังเป็นอารมณ์ของเทวดาในชั้นพรหมโลกอีกด้วย
    หากทรงอารมณ์นี้ได้ทั้งวัน จะเรียกว่า การทรงอารมณ์
    หากทำสมาธิในขั้นนี้ จนทรงอารมณ์อยู่ได้ตลอดไป ตายไปไปเกิดในชั้นพรหมครับ
    สรุปก็คือ นี่คือ อารมณ์อุเบกขา หรือ อุเบกขาญาณ หรืออุเบกขาธรรม หรือ อุเบกขา ที่พระพูทธองค์ กล่าวถึงนั่นเอง และเป็นสิ่งที่นักปฎิบัติ ทุกคนถวิลหา
    แต่มีส่วนน้อยที่จะทรงอยู่ได้ตลอด
     
  6. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    เมื่อใดก็ตามที่มีผู้อธิษฐานขอให้ได้พระนิพพานในชาตินี้ เมื่อนั้นคำอธิษฐานของเราจะสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งสามโลก คือ โลกมนุษย์ สวรรค์ และ นรก
    ในโลกมนุษย์ ก็จะมีผู้เคยเป็นครูบาอาจารย์ของเรามาก่อนในอดีตชาติ ที่ชาตินี้มาคอยสั่งสอนเรา หรือบุคคลที่เคยทำกรรมร่วมกันมา มาเพื่อสั่งสอน และทำให้กรรมต่างๆ เบาบางลง
    ในสวรรค์ ชั้นต่างๆ เหล่าเทวดาที่เคยมีวาสนากับเรามาก่อน หรือ คณะเทวดาที่ปกปักรักษาเราอยู่ รวมทั้งเหล่าเทวดาที่อัญเชิญเรามาเกิด
    ในนรกก็จะมี สัตว์นรกต่างๆ รวมทั้งเหล่าเทวดาที่ทำหน้าควบคุมสัตว์นรก ซึ่งก็คือ พระยายม กับหมู่คณะ นั่นเอง
    เค้าจะร่วมกันอนุโมทนากับเรา จนสะเทือนเลือนลั่นไปหมด ฝ่ายมารพอรู้ว่า
    จะมีคนมีบุญญาบารมีมากพอที่จะปฎิบัติจนสำเร็จถึงซึ่งพระนิพพาน เค้าก็จะกำลังพลเอาไว้ลองเชิงเราตลอดเวลาไม่มีหยุด เราหยุดปฎิบัติเมื่อไหร่ เราก็จะโดนลองของเมื่อนั้น

    สรุปก็คือ คุณจะหยุดปฎิบัติไม่ได้แล้ว ต้องปฎิบัติ อันแรกคือ ศีล
    อันที่สอง การทำสมาธิ อันที่สาม ทำให้เกิดปัญญาจากการทำวิปัสสนา
    หากเกิดบ้านแตกสาแหรกขาดขึ้น ก็อย่าไปหวั่นไหว ให้มุ่งเน้นทำสมาธิเรื่อยไป
    อย่าหยุด ของที่คุณรักใคร่ก็จะไม่เหลืออยุ่ กรรมเวรต่างๆ จะวิ่งเข้ามาทดสอบคุณจนไม่มีเวลาหยุดพัก จนบางครั้งคุณอาจคิดฆ่าตัวตาย เพราะแทบทนไม่ได้
    นั่นเอง ข้อสำคัญสวดมนต์อย่าได้ขาด เพราะบทสวดมนต์คือเกราะป้องกันจากการลองเชิงของพระยามาร ที่พระพุทธเจ้ามอบไว้ ให้เหล่าสาวก มีไว้ป้องกันตัวจากหมู่มารทั้งหลาย


    ความจริงยังมีอีกเยอะครับ แต่การไม่รู้แล้วตั้งใจปฎิบัติอย่างเดียว แล้วค่อยแก้ปัญหาไปทีละเปลาะจะดีกว่า ดีกว่าการรู้เยอะแล้วไม่ปฎิบัติอะไรเลย
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ


    สุดท้ายนี้ ฝากถึงผุ้ปฎิบัติสมาธิทุกคน ก่อนออกจากสมาธิ หรือหลังจากออกจากสมาธิใหม่ๆ
    ควรแผ่เมตตาให้กับเหล่าสัตว์ทั้งสามโลก หรือ สามภพ เพื่อให้เค้าอนุโมทนาสาธุ และเป็นการสร้างสมบารมีของเราอีกด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2013
  7. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    พระป่าศิษย์หลวงปู่มั่น สอนกสิณเฉพาะดิน น้ำ ลม ไฟ
    ท่านสอนให้เหล่าศิษย์ เอาไว้ใช้ในยามเดินธุดงค์กลางป่าเขาลำเนาไพร แต่สอนให้ใช้แค่สี่อย่าง ก็คือ ดิน น้ำ ไฟ และลม นอกนั้นท่านไม่ให้ใช้ เพราะว่ากสิณอีก 6 อย่าง สามารถหลอกพระบวชใหม่ได้ แต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เอาไว้ปรับอุณหภูมิในร่างกาย เช่น

    เมื่อเดินตากฝน ก็ภาวนาว่า เตโชๆๆๆ จนความหนาวในร่างกายค่อยๆ หายไป จนร่างกายอุ่นขึ้นมา สามารถเดินตากฝนได้

    เมื่อเดินกลางแดด ก็ภาวนาว่า วาโยๆๆๆๆๆ ให้ลมพัดมาถูกต้องตามร่างกาย จนรู้สึกว่าร่างกายของเราเย็นดีแล้ว ก็จะสามารถเดินกลางแดดได้ ไม่เป็นไข้แดด

    เมื่อไม่ได้ใส่รองเท้า แล้วเดินตลอดเวลา เท้าของพระธุดงค์จะแตกจนเลือดซิปๆ ออกมาตลอดเวลา เป็นที่ทรมานยิ่งนัก ท่านก็ให้ภาวนาว่า ปฐวีๆๆๆ ให้ความรู้ถึงความนุ่มของดิน ภาวนาจน
    ดินที่พื้นนุ่มขึ้น จะสามารถเดินต่อไปได้

    และเมื่อเดินหลงป่า จนไม่มีน้ำดึ่ม ท่านให้ภาวนา อาโปๆๆๆ เพื่อให้ฝนตก หรือเดินไปเจอหมู่บ้านที่แห้งแล้ว ก็จะสามารถเรียกฝนให้มาตกได้ เพื่อโปรดญาติโยมที่กำลังแย่

    โดยเฉพาะพระบางรุป ก็ไม่เคยฝึกกสิณเหล่านั้นเลย แต่ก็สามารถ จะทำได้ด้วยแรงอธิษฐาน
    เป็นหลัก นั้นเอง แต่มีข้อกำหนดพระรูปนั้น ต้องมีศีลบริบูรณ์
     
  8. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ตอบคำถามคะ ที่ถามว่า


    .. ขอทวนนะครับ คุณฝึกเพ่งกสิณอยู่ใช่ไหมครับ หรือ กำหนดลมหายใจเข้าออก เล่าการปฎิบัติคร่าวๆ มานะครับ เผื่อผมลืม

    ถ้าไม่ผิดนัก คุณได้เข้าถึงอุเบกขารมณ์ แล้วนะครับ เมื่อก่อนเมื่อคุณเข้าถึงญาณสี่ คุณจะรู้สีกเป็นสุข ติดกับสุขนั้น พอคุณตัดอารมณ์สุขได้ คุณก็จะพบเองว่า นี่คืออารมณ์ของอุเบกขานั่นเอง และยังเป็นอารมณ์ของเทวดาในชั้นพรหมโลกอีกด้วย
    หากทรงอารมณ์นี้ได้ทั้งวัน จะเรียกว่า การทรงอารมณ์
    หากทำสมาธิในขั้นนี้ จนทรงอารมณ์อยู่ได้ตลอดไป ตายไปไปเกิดในชั้นพรหมครับ
    สรุปก็คือ นี่คือ อารมณ์อุเบกขา หรือ อุเบกขาญาณ หรืออุเบกขาธรรม หรือ อุเบกขา ที่พระพูทธองค์ กล่าวถึงนั่นเอง และเป็นสิ่งที่นักปฎิบัติ ทุกคนถวิลหา
    แต่มีส่วนน้อยที่จะทรงอยู่ได้ตลอด



    .... ไม่ได้ฝึกกสิณใด ๆ คะ .. เคยมีพี่มาสอนมโนมยิททางโมรศัพท์ครั้งหนึ่ง แต่พี่เขาบอกว่าหนูฝึกต่อไม่ได้ ติดสงสัย ติดอดีตมากไป คือ สรุปไม่ผ่านคะ

    ... เลยมากำหนดดุลมหายใจตัวเองบ้าง ว่าเข้าออกบางทีก็ท่องบางทีก็ไม่ท่อง ส่วนมากติดพุทธโธคะ .. ที่ไม่ค่อยท่องเพราะคิดว่าท่องไม่ท่องมันต่างกันตรงไหน เราหายใจเขาออกอยุ่แล้วแค่ให้รู้ว่านี้คือเข้านะ อันนี้ออกนะ ลมมันเดินไปถึงตรงไหนในร่างกายแล้วมันออกยังไงสุดไหม๊ จับลมหายใจ ... แล้วก็เอาเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตมาคิดคะ คือ ที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้าง ดีบ้างไม่ดีบ้าง ทำไมเราถึงทำแบบนั้น คือ ถามเอง ตอบเอง มองปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ทำงานไปพอดีขายอาหารอีสานนะคะ ก้จะพิจารณาไปเรื่อย ๆ มันก็นิ่งดีนะคะ .. จะมีบางวันที่สวดมนต์แล้วจะรู้เลยว่ามีคนมายืนขนาบข้างหลังเราเหมือนเขามาสวดด้วยบ้าง แต่ภาวะนั้นคือรู้ว่าเขามาดีคะมาช่วยเราก้เฉยไป บางครั้งก็หูดับบ้าง มันอื้อไปหมด เวลาจับลมมันจะเหมือนจิตเรามาจรดที่ปลายจมูกด้วยคะ ขอบอกก่อนว่าเวลาที่ทำแบบนี้ไม่ได้หลับตานะคะ ลืมตาปกติทำงานอะไรเดินไปไหนมันจะเป็นเองคะช่วงหลัง ๆ ตั้งแต่เมษายนมานี้จะเป็นแบบนิ่ง ๆ แบบนี้มานานบางวันทั้งวัน ... ถามพี่ที่เขาปฏิบัติพี่เขาก็มีแต่บอกว่า " ก็ดีแล้ว " .. พอดีหนูบอกเขาว่า ... เบื่อตัวเองไม่รู้เป็นอะไรมันนิ่งไปหมด มันเฉยไปหมด มันไร้อารมณ์มาก จนบางครั้งรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิง แต่ไม่ใช่ผู้ชายนะคะ แม้แต่เวลาแฟนมาพูดหวาน ๆ อ้อน ๆ หนูก็มองหน้าเขาเฉย ๆ มันไม่รู้สึกว่า ดีใจ เหมือนแต่ก่อนมันเฉยมากไปไหม๊ ... ถ้าเวลาร่างกายเราเจ็บมีแผลอะไร ก็บอกตัวเองว่านี้แหละที่เขาเรียกว่าเจ็บแต่มันไม่ทำให้ตายสักหน่อย ถ้ามันไม่มากก้ปล่อยไปเลยคะแป๊บเดียวก็หายเจ็บ จะบอกตัวเองแบบนี้ทุกครั้งที่เจ็บคะ .. มันก้หายทรมานนะคะ

    ... ตอนนี้ยิ่งหนัก รู้สึกเบื่อไปหมดทุกอย่าง .. เคยเป็นคนชอบกินนั้นนี้ตลอดมันก็เริ่มเบื่อ .. หนูเข้าใจว่าการฝึกสมาธิเราทำได้หลายรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเรา เลยคิดหาวิธีเองเลือกทำแบบนี้คะ .. บางทีเราแสดงออกให้คนอื่นคิดว่าเราโมโหนะ ดีใจนะ เสียใจนะ แต่ในใจเรามันว่างเปล่า !! แต่ไม่อยากให้ใคร ๆ คิดว่าเราเป็นตัวประหลาดเพราะทุกวันนี้ก็ประหลาดในสายตาชาวบ้านมากพอแล้ว ...

    ... สมัยก่อนจะเป้นคนที่อารมณ์รุนแรง รักแรง เกลียดแรง พูดตรง ไม่พอใจก็ใส่เลย ดันทุรัง ดื้อ และ ขี้โมโหมากคะ ... เคยมีพระท่านแนะนำให้ควบคุมอารมณ์โมโหเราให้อยู่คุมสติตัวเองให้ได้ตลอด เพราะถ้าเราโมโหถึงจุดหนึ่งแล้วจะมีบางอย่างเข้าแทรกเราทันที .. ก็พยายามระงับมันมาสองปีกว่า เลิกกินเหล้าเพราะเคยเมาจนสลบตื่นมาแล้วยังค้างเจอคนตีกันเราควบคุมตัวเองไม่ได้จะพุ่งไปกะเขาด้วย .. ในใจเราเหมือนมีผู้หญิงอีกคนกำลังกรี๊ดร้องแบบดังมากเหมือนคนกระหายสงครามประมาณนั้นน้องบอกแสยะยิ้มด้วย .. เรากลัวว่าเราจะไปทำไรใครเลยกระโดดเอาเท้าถีบเสาไฟฟ้าเหล็กต้นใหญ่จนมันสั่นเลยคะทุกคนตกใจมาก .. น้องบอกว่า สงสัยองค์จะลง ... ตั้งแต่นั้นก็ไม่กินเหล้าอีกเลยคะ ต่อให้เป้นงานก็จะเลี่ยง ๆ ไม่ดื่มอีกเลยทุกวันนี้แค่ได้กลิ่นก็เวียนหัวเหมือนคนเมาแล้ว .. เพราะรู้ว่าเรารับไม่ไหวมันแรงไป .. พอมาที่นี้พี่ที่เคารพเขาก็แนะนำว่าหนูต้องฝึกวิปัสสนากรรมฐาน พิจารณาอสุภะ ทรงพรหมวิหารสี่ มีเมตตาให้มาก ๆ ทั้งคนทั้งอมนุษย์ หนูก็ไปหาดูในกูเกิ้ลว่ามันเป็นยังไง คืออะไรเราทำได้ไหม๊ ตอนนี้เลยพยายามในข้อ เมตตา กับ อุเบกขา คะ ..

    ... ถ้าเป้นอย่างที่พี่บอกมาหนูก็ดีใจมากคะ หลงคิดว่าตัวเองคงไปพลาดตรงไหนแน่นอน ทำไมมันไม่มี ปิติเกิดเลย เข้าใจว่าต้องรู้สึกปราบปลื้มมีความสุข นั้นคือ อารมณ์ ฌาณ ที่ทุกคนที่ปฏิบัติต้องทำให้ได้ เพราะศัพท์บางคำที่ใช้กันหนูไม่เข้าใจคะ ...
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    จุดเชื่อมต่อระหว่างการตื่นรู้ กับจุดภวังค์ที่ไม่สนใจกาย แต่ยังมีสติรับรู้ภายในจิต หมายถึง มีจิตอยู่ดวงเดียว ไม่รู้สึกถึงร่างกาย จิตดวงนั้นอยู่ตรงบริเวณตาหรือจมูกใช่ไหมครับ ไม่รับรู้อาการภายนอกอีก
    ข้อมูลตรงนี้ยังแปลกๆครับ


    1 ขอบอกล่วงหน้าเลยว่า นิมิตเป็นสิ่งที่ดี สำหรับนักปฎิบัติครับ จะทำให้เรารู้ว่าเรานั้น ปฎิบัติถึงขั้นไหนแล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราหลงคิดตามนิมิตนั้น นิมิตนั้น
    จะลวงเราทันที มีนิมิตเกิดขึ้นต้องฝึกบังคับนิมิตให้ได้ครับ นิมิตจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ที่ฝึกเพ่งกสิณจนสำเร็จ มาในอดีตชาติ พอชาตินี้เรามาฝึกทำสมาธิอีก นิมิตเก่าๆ ก็จะตามมาให้ผลครับ ทำให้เราตัดใจได้ว่า เราควรฝึกการเพ่งกสินด้วย
    ควบคู่กับ อานาปานสติ หรือการกำหนดลมหายใจเพียงอย่างเดียว เมื่อนิมิตเกิดอีก ให้ัลองอธิษฐานขยายนิมิตดูครับ ทำให้ใหญ่ให้เล็ก ลองทำบ่อยๆ ไม่ต้องกลับไปเพ่งกสิณ แล้วครับ ใช้องค์พระที่ใหญ่ๆก็ได้ครับ ย่อให้เล็กลง


    2 บางคืน ช่วงสลืมสลือ ถอดจิตออกไปเฝ้าพระพุทธเจ้า อาจเป็นสมเด็จองค์ปฐมก็ได้ครับ หรืออาจเจอหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ลองถามท่านดูได้ครับ โดยอาศัยบารมีของพระพุทธองค์ ขอให้เรารับรู้ได้ หากภาพไม่ชัดก็ขอบารมีให้ภาพชัดขึ้น หรือเข้าไปดูการฝึกบังคับกสิณของหลวงพ่อฤาษีดูครับ จะช่วยได้มาก

    3 จุดที่รับรุ้ อยู่กลางกะหม่อม หรือ บริเวณศรีษะ เป็นอาการของผู้ที่จิตจะออกจากร่างครับ มันจะตันๆตื้อๆเจ็บๆปวดๆ อยู่บริเวณนี้แหละ วิธีแก้ก็คือ
    หนึ่ง ทำสมาธิต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง อาการหายไป
    สอง ตั้งจิตมาไว้ที่บริเวณท้อง กำหนดแบบยุบหนอ พองหนอ
    สาม ไม่แนะนำให้เพ่งกสิน เพราะจะยิ่งเจ็บปวดหนักขึ้นอีก ใช้นิมิตแทน
    สี่ ตั้งจิต ไปไว้บนอากาศ ซึ่งดวงจิตต้องออกไปอยู่ที่นอกตัวของเรา
    ห้า ตั้งจิตไปกำหนดที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งทั่วร่างกาย
    หก ตั้งจิตกำหนด อาการปวดที่เกิดขึ้นในตัวเรา
    เจ็ด ตั้งจิดกำหนด ที่โรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา แต่จะเจ็บปวดอย่างมาก

    แต่ถ้าหากคุณต้องการไปนิพพาน แนะนำให้ฝึกวิปัสสนาโดยการกำหนดจิต
    ไปจับอยู่ที่อาการปวดที่เกิดขึ้น ในตอนที่เรานั่งสมาธิ พิจารณาว่า ปวดหนอๆๆๆ
    ไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ความปวด เบาบางลง หรือหายไป ก็ไปจับที่อาการปวดอันอื่นอีก พิจารณาจนชำนาญแล้วค่อยไปพิจารณาอย่างอื่นต่อไป
     
  10. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    .... ไม่ได้ฝึกกสิณใด ๆ คะ .. เคยมีพี่มาสอนมโนมยิททางโมรศัพท์ครั้งหนึ่ง แต่พี่เขาบอกว่าหนูฝึกต่อไม่ได้ ติดสงสัย ติดอดีตมากไป คือ สรุปไม่ผ่านคะ

    ... เลยมากำหนดดุลมหายใจตัวเองบ้าง ว่าเข้าออกบางทีก็ท่องบางทีก็ไม่ท่อง ส่วนมากติดพุทธโธคะ .. ที่ไม่ค่อยท่องเพราะคิดว่าท่องไม่ท่องมันต่างกันตรงไหน เราหายใจเขาออกอยุ่แล้วแค่ให้รู้ว่านี้คือเข้านะ อันนี้ออกนะ ลมมันเดินไปถึงตรงไหนในร่างกายแล้วมันออกยังไงสุดไหม๊ จับลมหายใจ ... แล้วก็เอาเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตมาคิดคะ คือ ที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้าง ดีบ้างไม่ดีบ้าง ทำไมเราถึงทำแบบนั้น คือ ถามเอง ตอบเอง มองปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ทำงานไปพอดีขายอาหารอีสานนะคะ ก้จะพิจารณาไปเรื่อย ๆ มันก็นิ่งดีนะคะ .. จะมีบางวันที่สวดมนต์แล้วจะรู้เลยว่ามีคนมายืนขนาบข้างหลังเราเหมือนเขามาสวดด้วยบ้าง แต่ภาวะนั้นคือรู้ว่าเขามาดีคะมาช่วยเราก้เฉยไป บางครั้งก็หูดับบ้าง มันอื้อไปหมด เวลาจับลมมันจะเหมือนจิตเรามาจรดที่ปลายจมูกด้วยคะ ขอบอกก่อนว่าเวลาที่ทำแบบนี้ไม่ได้หลับตานะคะ ลืมตาปกติทำงานอะไรเดินไปไหนมันจะเป็นเองคะช่วงหลัง ๆ ตั้งแต่เมษายนมานี้จะเป็นแบบนิ่ง ๆ แบบนี้มานานบางวันทั้งวัน ... ถามพี่ที่เขาปฏิบัติพี่เขาก็มีแต่บอกว่า " ก็ดีแล้ว " .. พอดีหนูบอกเขาว่า ... เบื่อตัวเองไม่รู้เป็นอะไรมันนิ่งไปหมด มันเฉยไปหมด มันไร้อารมณ์มาก จนบางครั้งรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิง แต่ไม่ใช่ผู้ชายนะคะ แม้แต่เวลาแฟนมาพูดหวาน ๆ อ้อน ๆ หนูก็มองหน้าเขาเฉย ๆ มันไม่รู้สึกว่า ดีใจ เหมือนแต่ก่อนมันเฉยมากไปไหม๊ ... ถ้าเวลาร่างกายเราเจ็บมีแผลอะไร ก็บอกตัวเองว่านี้แหละที่เขาเรียกว่าเจ็บแต่มันไม่ทำให้ตายสักหน่อย ถ้ามันไม่มากก้ปล่อยไปเลยคะแป๊บเดียวก็หายเจ็บ จะบอกตัวเองแบบนี้ทุกครั้งที่เจ็บคะ .. มันก้หายทรมานนะคะ

    ... ตอนนี้ยิ่งหนัก รู้สึกเบื่อไปหมดทุกอย่าง .. เคยเป็นคนชอบกินนั้นนี้ตลอดมันก็เริ่มเบื่อ .. หนูเข้าใจว่าการฝึกสมาธิเราทำได้หลายรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเรา เลยคิดหาวิธีเองเลือกทำแบบนี้คะ .. บางทีเราแสดงออกให้คนอื่นคิดว่าเราโมโหนะ ดีใจนะ เสียใจนะ แต่ในใจเรามันว่างเปล่า !! แต่ไม่อยากให้ใคร ๆ คิดว่าเราเป็นตัวประหลาดเพราะทุกวันนี้ก็ประหลาดในสายตาชาวบ้านมากพอแล้ว ...

    ... สมัยก่อนจะเป้นคนที่อารมณ์รุนแรง รักแรง เกลียดแรง พูดตรง ไม่พอใจก็ใส่เลย ดันทุรัง ดื้อ และ ขี้โมโหมากคะ ... เคยมีพระท่านแนะนำให้ควบคุมอารมณ์โมโหเราให้อยู่คุมสติตัวเองให้ได้ตลอด เพราะถ้าเราโมโหถึงจุดหนึ่งแล้วจะมีบางอย่างเข้าแทรกเราทันที .. ก็พยายามระงับมันมาสองปีกว่า เลิกกินเหล้าเพราะเคยเมาจนสลบตื่นมาแล้วยังค้างเจอคนตีกันเราควบคุมตัวเองไม่ได้จะพุ่งไปกะเขาด้วย .. ในใจเราเหมือนมีผู้หญิงอีกคนกำลังกรี๊ดร้องแบบดังมากเหมือนคนกระหายสงครามประมาณนั้นน้องบอกแสยะยิ้มด้วย .. เรากลัวว่าเราจะไปทำไรใครเลยกระโดดเอาเท้าถีบเสาไฟฟ้าเหล็กต้นใหญ่จนมันสั่นเลยคะทุกคนตกใจมาก .. น้องบอกว่า สงสัยองค์จะลง ... ตั้งแต่นั้นก็ไม่กินเหล้าอีกเลยคะ ต่อให้เป้นงานก็จะเลี่ยง ๆ ไม่ดื่มอีกเลยทุกวันนี้แค่ได้กลิ่นก็เวียนหัวเหมือนคนเมาแล้ว .. เพราะรู้ว่าเรารับไม่ไหวมันแรงไป .. พอมาที่นี้พี่ที่เคารพเขาก็แนะนำว่าหนูต้องฝึกวิปัสสนากรรมฐาน พิจารณาอสุภะ ทรงพรหมวิหารสี่ มีเมตตาให้มาก ๆ ทั้งคนทั้งอมนุษย์ หนูก็ไปหาดูในกูเกิ้ลว่ามันเป็นยังไง คืออะไรเราทำได้ไหม๊ ตอนนี้เลยพยายามในข้อ เมตตา กับ อุเบกขา คะ ..

    ... ถ้าเป้นอย่างที่พี่บอกมาหนูก็ดีใจมากคะ หลงคิดว่าตัวเองคงไปพลาดตรงไหนแน่นอน ทำไมมันไม่มี ปิติเกิดเลย เข้าใจว่าต้องรู้สึกปราบปลื้มมีความสุข นั้นคือ อารมณ์ ฌาณ ที่ทุกคนที่ปฏิบัติต้องทำให้ได้ เพราะศัพท์บางคำที่ใช้กันหนูไม่เข้าใจคะ ...
    [/QUOTE]

    หึหึหึ
    ที่ไม่เกิดปิติขึ้น อาจเกิดขึ้นจาก สองกรณี ครับคือ
    หนึ่ง ผู้ปฎิบัติบางคน เกิดปิติเฉพาะช่วงแรกที่ฝึกเท่านั้นเอง ต่อมาก็ไม่เกิดปิติอีก อาจเกิดขึ้นแต่ก็ไวมากจนไม่ทันสังเกตุ บางครั้งแค่รู้สึก ครั่นเนื้อครั่นตัว หรือกระตุกนิดเดียวจนไม่รุ้สึก
    สอง คุณเข้าสมาธิไม่เรียงตามญาน หนึ่ง สอง สาม สี่ ข้ามขั้นตอนไป แต่ก็สามารถเข้าญานสี่ได้ โดยมีของเก่าตามมาด้วย เหมือนกับเด็ก ไม่ต่องท่องคำภาวนา ก็สามารถทำให้ทำสมาธิได้เหมือนกัน

    คนที่ฝึกกสินไฟ จะทำให้เป็นคนอารมณ์ร้อน เพราะจะร้อนตามอาการของไฟ
    ในบรรดากสิณ กสินไฟ ทำอันตรายที่สุด เกิดกรรมร้ายแรงที่สุดถ้าหากใช้ไม่ถูกวิธี วิธีแก้ก็คือ ให้เพ่งกสิณน้ำ หรือ กำหนดลมหายใจเข้าออกแบบช้าๆ จะทำให้จิตใจเยือกเย็น มั่นคง


    ส่วนอาการของอุเบกขาที่เกิดขึ้นกับคุณ ก็แก้ได้ ด้วยการนึกถึงความสุขของการทำสมาธิ โดยให้ย้อนขั้นตอนไปเริ่มหนึ่งไหม่ก็คือ การใช้คำภาวนาก่อนทุกครั้งที่เริ่มทำสมาธิ พอถึงขั้นที่คุณรับรู้ความสุขได้ ก็ให้จำความสุขนั้นไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน พอคุณไม่ได้ทำสมาธิให้คุณนึกถึงความสุขขึ้น แล้วก็ทำหน้ายิ้มเอาไว้
    ทำบ่อยๆ ก็จะชินไปเอง แค่นี้ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาได้แล้วครับ
    เค้าเรียกว่า การเสวยสุขจากญาน นั้นเอง
     
  11. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    หึหึหึ
    ที่ไม่เกิดปิติขึ้น อาจเกิดขึ้นจาก สองกรณี ครับคือ
    หนึ่ง ผู้ปฎิบัติบางคน เกิดปิติเฉพาะช่วงแรกที่ฝึกเท่านั้นเอง ต่อมาก็ไม่เกิดปิติอีก อาจเกิดขึ้นแต่ก็ไวมากจนไม่ทันสังเกตุ บางครั้งแค่รู้สึก ครั่นเนื้อครั่นตัว หรือกระตุกนิดเดียวจนไม่รุ้สึก
    สอง คุณเข้าสมาธิไม่เรียงตามญาน หนึ่ง สอง สาม สี่ ข้ามขั้นตอนไป แต่ก็สามารถเข้าญานสี่ได้ โดยมีของเก่าตามมาด้วย เหมือนกับเด็ก ไม่ต่องท่องคำภาวนา ก็สามารถทำให้ทำสมาธิได้เหมือนกัน

    คนที่ฝึกกสินไฟ จะทำให้เป็นคนอารมณ์ร้อน เพราะจะร้อนตามอาการของไฟ
    ในบรรดากสิณ กสินไฟ ทำอันตรายที่สุด เกิดกรรมร้ายแรงที่สุดถ้าหากใช้ไม่ถูกวิธี วิธีแก้ก็คือ ให้เพ่งกสิณน้ำ หรือ กำหนดลมหายใจเข้าออกแบบช้าๆ จะทำให้จิตใจเยือกเย็น มั่นคง

    ส่วนอาการของอุเบกขาที่เกิดขึ้นกับคุณ ก็แก้ได้ ด้วยการนึกถึงความสุขของการทำสมาธิ โดยให้ย้อนขั้นตอนไปเริ่มหนึ่งไหม่ก็คือ การใช้คำภาวนาก่อนทุกครั้งที่เริ่มทำสมาธิ พอถึงขั้นที่คุณรับรู้ความสุขได้ ก็ให้จำความสุขนั้นไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน พอคุณไม่ได้ทำสมาธิให้คุณนึกถึงความสุขขึ้น แล้วก็ทำหน้ายิ้มเอาไว้
    ทำบ่อยๆ ก็จะชินไปเอง แค่นี้ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาได้แล้วครับ
    เค้าเรียกว่า การเสวยสุขจากญาน นั้นเอง



    ... ก่อนอื่นขอกราบขอบพระคุณพี่มากคะที่แนะนำสิ่งดี ๆ ให้หนู อ่านข้อความพี่แล้วหนูนึกถึงพระอาจารย์ต๋องที่เคยแนะนำหนูมากคะ ถ้าเป็นพระอาจารย์คงเขกกระบาลหนูไปหลายรอบแล้วถ้าเขกได้ ..อ่านกี่รอบก็รู้สึกว่าพี่จะเขกกระบาลหนูทุกทีเลยคะ อิอิ

    .. คาดว่าหนูจะข้ามขั้นไม่เรียงคะเพราะเวลาที่จะเป็นอาการแบบนี้มันจะมาเร็วมากรู้ตัวอีกทีมันก็นิ่งเฉยไปแล้ว มานึกว่าช่วงที่เกิดอาการแบบนี้รักษาสภาวะนิ่งได้นานคือตอนดูวีดีโอประวัติพระพุทธเจ้าคะ ดูแล้วก็คิดวาดภาพตามไปเรื่อย มันจะรู้สึกอิ่มเต็มเหมือนจะปิติแต่ไม่สุดแล้วมันก็นิ่งเลย ... เพราะในนั้นเขาจะมีการบรรยายด้วยคะ ..

    ... ส่วนเรื่องกสิณ ตั้งแต่เด็กเป็นคนที่ชอบความเร็วคะไม่ใช่คนเชื่องช้ายิ่งขับรถเร็ว ๆ ยิ่งชอบคะ ชอบจ้องแสงไฟนาน ๆ เช่น ดวงอาทิตย์เคยจ้องจนรู้สึกว่าไฟเย็น ชอบเล่นกับเปลวไฟโดยเฉพาะเที่ยน หรือแม้แต่พ่ออ๊อกไฟฟ้าก็ไปนั้งจ้องคะคิดว่าไฟมันสวยดี เวลามองไฟไม่คิดว่ามันคือของร้อนคิดว่ามันเย็น เคยคิดว่าเพราะเรากลัวความมืดจึงชอบแสงไฟแสงสว่าง แต่ตอนนี้จ้องนานไม่ได้สาตาเริ่มมีปัญหาคะเพิ่งมารู้นี้แหละคะว่าไม่ได้ให้จ้องตลอดไม่กระพริบตาหนูจ้องแบบไม่กระพริบตาคะ ...

    .... ส่วนโรคเวณโรคกรรมที่น่าจะเกี่ยวกับโทษกสิณ คือ โรคผิวหนังอักเสบคะ ตอนเด็กจนโตจนอายุยี่สิบกว่าเป็นคนที่ตัวเย็นมากคะยิ่งถ้ากินแอลกอฮอร์เข้าไปตัวจะเย็นเหมือนนอนตากแอร์แต่เพื่อนชอบบอกว่าเย็นเหมือนศพ!! แต่เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วกลับเกิดโรคประหลาดขึ้นกับตนเองคะ อยู่ ๆ คอมักร้อนแล้วเกิดเป็นแผลอักเสบขึ้นมารักษาไม่หายตัวก็กลายเป็นร้อนขึ้นยิ่งถ้าอากาศร้อน ๆ มันจะเหมือนมีไฟเผาอยู่ในตัวเรา พอรักษาอาการหายไปตรงคอมันก็มาขึ้นที่แก้มด้านซ้ายน่ากลัวมากเหมือนโดนของร้อนลวก ไปหาหมอหลายที่เขาว่าแพ้เหงื่อตัวเองให้อยู่ในที่เย็นอาบน้ำบ่อย ๆ เคยเป็นหนักสุดคือตัวลอกคะ .. ช่วงคอหน้าอกมันร้อนแสบลอกออกเป็นแผ่น ๆ เหมือนเด็กดักแด้คะ แต่พออยู่แต่ในห้องแอร์มันก็จะหายไป พอกลับมาอยู่บ้านที่สารคามไปโรงบาลโรคผิวหนังหมอบอกว่าโรคนี้รักษาไม่หายมันอยู่ในเลือดต้องรักษาตามอาการไปแค่นั้น ... สองปีก่อนหน้านี้ทรมานมาก มันไม่เป็นทั้งตัวมันเป็นแค่ที่คอเราเท่านั้นปวดแสบปวดร้อนมากแต่ที่หน้าหายแล้ว ก็ลองรักษาตัวเองโดยการทำใจให้เย็นอาบน้ามบ่อย ๆ ถ้ารู้สึกร้อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามทำใจเย็น ๆ ไม่โมโห ในรอบสองเดือนเพิ่งมีอาการออกร้อนที่คอแค่ครั้งเดียวคะ ..

    .. ขอบคุณนะคะที่แนะนำจะติดตามกระทู้นี้ต่อไปนะคะมีประโยชน์มากคะ ขอให้บุญนี้ส่งผลให้พี่สมหวังนะคะ .ส่วนตัวหนูคงไปไล่เรียงใหม่จัดระเบียบตัวเองก่อน เริ่มจากทาน ศีล สมาธิไปตามขั้นคะ
     
  12. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    ขอบคุณมากค่ะคุณ Nilakarn จะนำไปปฏิบัติต่อค่ะ ที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรกับนิมิต ได้แต่ทำสมาธิแผ่ส่วนกุศลทั่วๆไป ขออนุโมทนากับคุณ Nilakarn และทุกท่านที่ให้ความรู้ในเวป ขอบุญกุศลส่งผลให้ทุกท่านสมปราถนาค่ะ สาธุ
     
  13. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    ส่วนมากนิมิตที่รู้สึกเป็นพระพุทธเจ้าจะเป็นพระองค์ใหญ่มากเกือบเท่าภูเขา ท่านั่งห้อยพระบาทซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุด ช่วงแรกๆเห็นเป็นพระบาท 2 ข้างอย่างเดียว หลังๆจะเห็นเต็มองค์ แต่เห็นลักษณะแสงขมุกขมัวคล้ายๆตอนเย็นเกือบค่ำ่ ดิฉันยังสมาธิไม่นิ่งใช่มั๊ยคะ เกี่ยวกับการนั่งสมาธิโดยที่ไม่อาราธนาหรือไม่สวดมนต์หรือเปล่าคะ เพราะจะนั่งเลยโดยใช้ พทธังสะระณังและอาราธนาศีลห้าเท่านั้น
    กราบขอบพระคุณค่ะ
     
  14. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ... ก่อนอื่นขอกราบขอบพระคุณพี่มากคะที่แนะนำสิ่งดี ๆ ให้หนู อ่านข้อความพี่แล้วหนูนึกถึงพระอาจารย์ต๋องที่เคยแนะนำหนูมากคะ ถ้าเป็นพระอาจารย์คงเขกกระบาลหนูไปหลายรอบแล้วถ้าเขกได้ ..อ่านกี่รอบก็รู้สึกว่าพี่จะเขกกระบาลหนูทุกทีเลยคะ อิอิ

    .. คาดว่าหนูจะข้ามขั้นไม่เรียงคะเพราะเวลาที่จะเป็นอาการแบบนี้มันจะมาเร็วมากรู้ตัวอีกทีมันก็นิ่งเฉยไปแล้ว มานึกว่าช่วงที่เกิดอาการแบบนี้รักษาสภาวะนิ่งได้นานคือตอนดูวีดีโอประวัติพระพุทธเจ้าคะ ดูแล้วก็คิดวาดภาพตามไปเรื่อย มันจะรู้สึกอิ่มเต็มเหมือนจะปิติแต่ไม่สุดแล้วมันก็นิ่งเลย ... เพราะในนั้นเขาจะมีการบรรยายด้วยคะ ..

    ... ส่วนเรื่องกสิณ ตั้งแต่เด็กเป็นคนที่ชอบความเร็วคะไม่ใช่คนเชื่องช้ายิ่งขับรถเร็ว ๆ ยิ่งชอบคะ ชอบจ้องแสงไฟนาน ๆ เช่น ดวงอาทิตย์เคยจ้องจนรู้สึกว่าไฟเย็น ชอบเล่นกับเปลวไฟโดยเฉพาะเที่ยน หรือแม้แต่พ่ออ๊อกไฟฟ้าก็ไปนั้งจ้องคะคิดว่าไฟมันสวยดี เวลามองไฟไม่คิดว่ามันคือของร้อนคิดว่ามันเย็น เคยคิดว่าเพราะเรากลัวความมืดจึงชอบแสงไฟแสงสว่าง แต่ตอนนี้จ้องนานไม่ได้สาตาเริ่มมีปัญหาคะเพิ่งมารู้นี้แหละคะว่าไม่ได้ให้จ้องตลอดไม่กระพริบตาหนูจ้องแบบไม่กระพริบตาคะ ...

    .... ส่วนโรคเวณโรคกรรมที่น่าจะเกี่ยวกับโทษกสิณ คือ โรคผิวหนังอักเสบคะ ตอนเด็กจนโตจนอายุยี่สิบกว่าเป็นคนที่ตัวเย็นมากคะยิ่งถ้ากินแอลกอฮอร์เข้าไปตัวจะเย็นเหมือนนอนตากแอร์แต่เพื่อนชอบบอกว่าเย็นเหมือนศพ!! แต่เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วกลับเกิดโรคประหลาดขึ้นกับตนเองคะ อยู่ ๆ คอมักร้อนแล้วเกิดเป็นแผลอักเสบขึ้นมารักษาไม่หายตัวก็กลายเป็นร้อนขึ้นยิ่งถ้าอากาศร้อน ๆ มันจะเหมือนมีไฟเผาอยู่ในตัวเรา พอรักษาอาการหายไปตรงคอมันก็มาขึ้นที่แก้มด้านซ้ายน่ากลัวมากเหมือนโดนของร้อนลวก ไปหาหมอหลายที่เขาว่าแพ้เหงื่อตัวเองให้อยู่ในที่เย็นอาบน้ำบ่อย ๆ เคยเป็นหนักสุดคือตัวลอกคะ .. ช่วงคอหน้าอกมันร้อนแสบลอกออกเป็นแผ่น ๆ เหมือนเด็กดักแด้คะ แต่พออยู่แต่ในห้องแอร์มันก็จะหายไป พอกลับมาอยู่บ้านที่สารคามไปโรงบาลโรคผิวหนังหมอบอกว่าโรคนี้รักษาไม่หายมันอยู่ในเลือดต้องรักษาตามอาการไปแค่นั้น ... สองปีก่อนหน้านี้ทรมานมาก มันไม่เป็นทั้งตัวมันเป็นแค่ที่คอเราเท่านั้นปวดแสบปวดร้อนมากแต่ที่หน้าหายแล้ว ก็ลองรักษาตัวเองโดยการทำใจให้เย็นอาบน้ามบ่อย ๆ ถ้ารู้สึกร้อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามทำใจเย็น ๆ ไม่โมโห ในรอบสองเดือนเพิ่งมีอาการออกร้อนที่คอแค่ครั้งเดียวคะ ..

    .. ขอบคุณนะคะที่แนะนำจะติดตามกระทู้นี้ต่อไปนะคะมีประโยชน์มากคะ ขอให้บุญนี้ส่งผลให้พี่สมหวังนะคะ .ส่วนตัวหนูคงไปไล่เรียงใหม่จัดระเบียบตัวเองก่อน เริ่มจากทาน ศีล สมาธิไปตามขั้นคะ

    อาจจะใช้บทสวดมนต์ แทนภาพวีดีโอก็ได้ ลองดูครับ แต่ต้องใช้บทที่สวดช้าๆ อย่าใช้บทที่สวดเร็วๆ เด็ดขาด จะทำให้กสิณโทษกำเริบได้ และที่สำคัญคุณต้องสวดมนต์เยอะๆ ครับ ทำงานไปด้วย สวดมนต์ไปด้วย โดยเฉพาะคาถาชินบัญชร ต้องสวดทุกวัน
    นั่งสมาธิแล้ว ต้องแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกครั้ง โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่เกิดจากการใช้กสินของเรา ต้องแผ่ให้มากๆ

    กสินไฟ ให้เลิกฝึกเด็ดขาด ให้ฝึกกสินน้ำ แทน ใช้ภาชนะวงกลมสีขาว หรือสีฟ้า ใส่น้ำไว้ให้เต็มๆ ตั้งไว้ให้นิ่ง อย่าให้น้ำกระเพื่อมจะเป็นกสินโทษ เพ่งน้ำในวงกลมนั้น ให้รู้สึกถึงความเย็นของน้ำนั้น ไม่จำเป็นต้องจ้องน้ำตลอด แค่รุ้สึกถึงความเย็นของน้ำก็ใช้ได้แล้ว หลับจนความรู้สึกเย็นหายไปแล้วก็เริ่มใหม่ หากชำนาญแล้วให้ใช้ความเย็นของน้ำชำระล้างสายตาของเรา ทำบ่อยๆ ทำได้แล้วก็ให้ใช้ความเย็นของน้ำชำระล้างร่างกาย ตามอาการปวดที่เกิดขึ้น

    โรคเวรกรรมน่าจะเกิดจาก
    หนึ่ง ในอดีตชาติ กสินของคุณได้มาอย่างไม่ถูกต้องนัก อาจจะเป็นมนต์ดำ แล้วคุณก็ใช้กสินอย่างไม่ถูกต้องอีก ใช้ทำร้ายผู้อื่น และที่สำคัญคุณไปสัญญากับคนที่สอนคุณไว้ ทำให้เขาตามมาทวงในชาตินี้ แต่อันนี้ต้องให้ผู้มีความรู้ด้านอภิญญา ช่วยตรวจสอบอีกที่ครับ และอย่าลืมต้องทำสังฆทาน แผ่ให้คนที่คุณไปสัญญากับเขาไว้ ทำบ่อยๆ นี้สำคัญมาก นั่งสมาธิลองขอชื่อจากเขาดู จะได้แผ่บุญกุศลได้ถูก
    อง โรคของคุณน่าจะเรียกว่า มะเร็งในเม็ดเลือด ให้รักษาโดยหมอ
    สาม มันออกอาการเหมือนผู้ที่โดนคุณไสย หรือ ไสย์ดำ หรือ ลมเพลมพัด เพราะว่า
    คุณเคยไปทำใส่คนอื่นไว้ ชาตินี้ก็โดนเหมือนกัน อาการปวดแสบปวดร้อนก็คือ อาการของกสินไฟ ที่ไปทำใส่คนอื่น

    สี่ การทำสมาธิแบบอานาปานสติ หรือเรียกอีกอย่างว่า แบบกำหนดลมหายใจเข้าออก
    ในขณะทำสมาธิในขั้นที่คุณกำลัง กำหนดรู้ลมหายใจสั้นยาวอยู่ ให้หยุดกำหนดรู้ลมหายใจ แล้วมาพิจารณาโรคของคุณแทน โดยขั้นกำหนดที่ความรู้สึก ปวดแสบปวดร้อนก่อน กำหนดว่า แสบหนอๆๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่า ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนจะหายไป
    หากไม่หายก็ให้ทำบ่อยๆ ขั้นต่อไปให้ไปพิจารณาที่โรคที่อยู่ในเม็ดเลือดครับ

    ห้า หากเจ้ากรรมนายเวรของคุณมีอยู่จริง และยังตามติดอยู่ที่ตัวคุณ หากคุณมีครอบครัว ก็ต้องเลิกกัน ถ้าไม่เลิกกันก็อยู่อย่างไม่มีความสุข ให้หาคู่ที่ปฎิบัติธรรมเหมือนกัน จะช่วยส่งเสริมกันครับ และคนที่ช่วยคุณ ก็จะโดนเขาลองของ ถึงไม่มีใครอยากช่วยคุณ และผมก็ไม่มีข้อยกเว้นเหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2013
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ใครต้องการความช่วยเหลือในการปฎิบัต เข้ากระทู้นี้

    โพสต์สิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือเอาไว้นะครับ เดี๋ยวตอบให้:boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2013
  16. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    อาจจะใช้บทสวดมนต์ แทนภาพวีดีโอก็ได้ ลองดูครับ แต่ต้องใช้บทที่สวดช้าๆ อย่าใช้บทที่สวดเร็วๆ เด็ดขาด จะทำให้กสิณโทษกำเริบได้ และที่สำคัญคุณต้องสวดมนต์เยอะๆ ครับ ทำงานไปด้วย สวดมนต์ไปด้วย โดยเฉพาะคาถาชินบัญชร ต้องสวดทุกวัน
    นั่งสมาธิแล้ว ต้องแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกครั้ง โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่เกิดจากการใช้กสินของเรา ต้องแผ่ให้มากๆ


    ... อันนี้ทำบุญตลอดคะ ทุกอาทิตย์วันเว้นวันแล้วแต่สะดวกไปวัด หรือ บางทีก็หยอดตามตู้คะ เพราะตั้งแต่ไปพบพระอาจารย์ต๋อง กับ พระอาจารย์บุญชู ท่านแนะนำมาแล้วคะ .. ส่วนการสวดมนต์ก็สวดและแผ่เมตตาทุกครั้งคะ ถ้าวันไหนไม่ได้สวดจะทำใจให้เกิดปิติแล้วแผ่เมตตาแทนคะ ..

    กสินไฟ ให้เลิกฝึกเด็ดขาด ให้ฝึกกสินน้ำ แทน ใช้ภาชนะวงกลมสีขาว หรือสีฟ้า ใส่น้ำไว้ให้เต็มๆ ตั้งไว้ให้นิ่ง อย่าให้น้ำกระเพื่อมจะเป็นกสินโทษ เพ่งน้ำในวงกลมนั้น ให้รู้สึกถึงความเย็นของน้ำนั้น ไม่จำเป็นต้องจ้องน้ำตลอด แค่รุ้สึกถึงความเย็นของน้ำก็ใช้ได้แล้ว หลับจนความรู้สึกเย็นหายไปแล้วก็เริ่มใหม่ หากชำนาญแล้วให้ใช้ความเย็นของน้ำชำระล้างสายตาของเรา ทำบ่อยๆ ทำได้แล้วก็ให้ใช้ความเย็นของน้ำชำระล้างร่างกาย ตามอาการปวดที่เกิดขึ้น

    ... กสิณไฟตอนนี้เลิกฝึกแล้วคะ แต่อาโปกสิณยังไม่เคยฝึกจริงจังคะ นอกจากเวลาที่อารมณ์มันโมโหมาก ๆ จะชอบไปนั้งมองน้ำ แม่น้ำ หรือ สระน้ำ แล้วมันจะหายจิตใจวุ่นวายคะ แต่แบบมีอาจารย์สอนไม่เคยคะ ... มีพี่ในนี้ก็พูดแบบพี่นี้แหละคะว่าถ้าเลิกเป็น ยายโหด เมื่อไหร่จะช่วยแนะนำให้คะ ... พอดีหนูจะชอบเล่าความฝันแบบนิมิตให้แกฟังตลอดคะ ส่วนมากหนูจะชอบบู๊กับเขาในฝันตั้งแต่เด็กคะ หรือ มักจะมีคนมาช่วยทุกครั้ง ... จะลองฝึกตามที่พี่แนะนำนะคะ ได้ผลยังไงจะมาบอกอีกทีคะ ....

    โรคเวรกรรมน่าจะเกิดจาก
    หนึ่ง ในอดีตชาติ กสินของคุณได้มาอย่างไม่ถูกต้องนัก อาจจะเป็นมนต์ดำ แล้วคุณก็ใช้กสินอย่างไม่ถูกต้องอีก ใช้ทำร้ายผู้อื่น และที่สำคัญคุณไปสัญญากับคนที่สอนคุณไว้ ทำให้เขาตามมาทวงในชาตินี้ แต่อันนี้ต้องให้ผู้มีความรู้ด้านอภิญญา ช่วยตรวจสอบอีกที่ครับ และอย่าลืมต้องทำสังฆทาน แผ่ให้คนที่คุณไปสัญญากับเขาไว้ ทำบ่อยๆ นี้สำคัญมาก นั่งสมาธิลองขอชื่อจากเขาดู จะได้แผ่บุญกุศลได้ถูก

    ... สังฆทานทำทุกอาทิศ มีปล่อยเต่าบ้าง ทำโรงทาน บริจาคเพื่อสาธารณะ แสวงบุญ ฯ ทำทุกอย่างที่เป็นบุญคะ แล้วก็จะแผ่เมตตาให้ทุกครั้งที่ระลึกได้ พร้อมทั้งขออโหสิกรรมขาดจากกันทุกครั้งที่สวดมนต์ หรือ อุทิศบุญคะ ... ส่วนการให้ผู้มีอภิญาญาตรวจสอบให้นั้นทำมาตลอดคะ คำตอบคล้ายกันทุกคนไม่ใช่เกิดจากคุณไสยย์มนต์ดำแน่นอนคะ แต่ท่านต้องการให้ทำอะไรบางอย่างให้แต่หนูยังไม่พร้อมจะทำเพราะถ้าท่านมาเพื่อทำร้ายทำโทษขนาดนั้นหนูคงไม่อยู่รอดมาจนทุกวันนี้หรอกคะ คงตายตั้งแต่เกิดแล้ว ช่วงหลังจะเป็นพระคะที่มาหา และ ผู้หญิงท่านหนึ่งที่อยู่กับหนูมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ข้อเสียของหนูมีอยู่อย่างที่ถูกท่านผู้ทรงคุณตำหนิ คือ " ตัวเองยังไม่แข็งพอแต่ชอบยื่นมือไปช่วยคนอื่น ไปยุ่งในเรื่องที่ตนไม่ควรยุ่ง ทำไมไม่ทำตนเองให้รอดก่อนแล้วค่อยไปช่วยคนอื่นเขา " หนูทนเห็นความไม่เป็นธรรมไม่ได้คะ .. เอ็นดูเขาเอ็นเราขาดคะ เคยโดนภพภูมิท่านตำหนิหลายท่านแล้วคะ

    สอง โรคของคุณน่าจะเรียกว่า มะเร็งในเม็ดเลือด ให้รักษาโดยหมอ

    ... อันนี้ตรวจเลือดแล้วคะที่โรงพยาบาลทั้งที่กรุงเทพ และ โรงบาลสิรินธรที่รักษาโรคทางผิวหนังโดยเฉพาะ .. ไม่ใช่โรคมะเร็งคะ .. หมอยังงงเลยคะเลยให้รักษาตามอาการที่เกิด .. แม่ก็งงคะ ..

    สาม มันออกอาการเหมือนผู้ที่โดนคุณไสย หรือ ไสย์ดำ หรือ ลมเพลมพัด เพราะว่า
    คุณเคยไปทำใส่คนอื่นไว้ ชาตินี้ก็โดนเหมือนกัน อาการปวดแสบปวดร้อนก็คือ อาการของกสินไฟ ที่ไปทำใส่คนอื่น

    .... อันนี้หนูคิดว่าไม่ใช่โดนของหรอกคะถ้าลมเพลมพัดไม่แน่ และ คงเพราะหนูเคยไปใช้ทำร้ายคนอื่นในอดีตชาติมากกว่า เพราะบางครั้งมันก็ขึ้นมาเป็นภาพในหัวเลยคะ หรือ แม้แต่ปัจจุบันที่มีภพภูมิมารังแกทำร้ายก็โดนไฟเผาไปหลายครั้งเหมือนกันคะ แต่ไม่ใช่ตัวหนูที่ทำเป็นผู้หญิงอีกท่านที่ทำเพื่อช่วยหนูจากคนพวกนั้น แม้แต่พวกที่อยู่ในจอมปลวกที่บ้านก็เคยโดนมาแล้ว หนูได้แต่ยืนดูเวลาที่ท่านทำ .. แต่หนูไม่ใช่พวกไปหาเรื่องใครก่อนนะคะ .... เหมือนจะเจอพวกลองของมากกว่าคะ ที่สำคัญแถวบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกันเขาเล่นของกันเยอะคะเพราะเป็นร้านค้าพวกเขามักสรรหาสิ่งของมาเพื่อดึงดูดลูกค้ากันมาก

    สี่ การทำสมาธิแบบอานาปานสติ หรือ เรียกอีกอย่างว่า แบบกำหนดลมหายใจเข้าออก
    ในขณะทำสมาธิในขั้นที่คุณกำลัง กำหนดรู้ลมหายใจสั้นยาวอยู่ ให้หยุดกำหนดรู้ลมหายใจ แล้วมาพิจารณาโรคของคุณแทน โดยขั้นกำหนดที่ความรู้สึก ปวดแสบปวดร้อนก่อน กำหนดว่า แสบหนอๆๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่า ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนจะหายไป
    หากไม่หายก็ให้ทำบ่อยๆ ขั้นต่อไปให้ไปพิจารณาที่โรคที่อยู่ในเม็ดเลือดครับ
    ห้า หากเจ้ากรรมนายเวรของคุณมีอยู่จริง และยังตามติดอยู่ที่ตัวคุณ หากคุณมีครอบครัว ก็ต้องเลิกกัน ถ้าไม่เลิกกันก็อยู่อย่างไม่มีความสุข ให้หาคู่ที่ปฎิบัติธรรมเหมือนกัน จะช่วยส่งเสริมกันครับ และคนที่ช่วยคุณ ก็จะโดนเขาลองของ ถึงไม่มีใครอยากช่วยคุณ และผมก็ไม่มีข้อยกเว้นเหมือนกัน


    ... เรื่องที่พี่เป็นกังวลนั้นไม่ใช่อย่างที่พี่เข้าใจทั้งหมดหรอกคะ .. เรื่องคู่ครองหนูมีเนื้อคู่อยู่แล้วคะมีแค่คนเดียวด้วยคะ ถ้าตรวจลักขณาตกเลขหนึ่งต้องเป็นเนื้อคู่ที่ทำบุญร่วมกันมาในอดีตชาติเพียงคนเดียวเท่านั้นแต่หนูไม่ต้องการเขาคะ เพราะเขาไม่ซื่อสัตย์กับหนูเขาไม่รักษาสัญญาพระอาจารย์ต๋องเลยแนะนำวิธีแก้ไขให้หนูปฏิบัติคะ ก็ทำมาสองปีกว่าแล้วเช่นกัน ... ส่วนเรื่องที่ไม่มีใครสอนหนูมันเป็นเพียงเพราะความกลัวในวัยเด็กทำให้หนูตั้งสัจจะวาจาเรื่องนี้ไว้หากไม่มีใครทำได้หนูก็จะไม่ได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน ( หมายถึงครูที่สอนกันแบบจริงจังนะคะ ).. หนูเลยอธิฐานว่าขอให้ได้พบผู้รู้ผู้ทรงคุณมาเป็นผู้แนะนำสั่งสอนความรู้ให้ ... ส่วนมากจะเจอผู้รู้ผู้ทรงคุณท่านเมตตาสอนให้ แนะนำให้ อย่างหลวงพ่อทองใบ วัดอภิญญาเทสิทธิ์ธรรม (ภูย่าอู่ที่บ้านผือ) ท่านก็ให้หนูปฏิบัติธรรม หรือ บวชชีไปเลย .. หลวงปู่ฤษีตาไฟ ที่วัดหนองทาระภู บ้านเชี่ยน อ.หันคา จ.ชัยนาท ท่านไล่หนูไปนั้งสมาธิคะพร้อมทั้งให้เลิกดูดวงอยากรู้อะไรไปนั้งสมาธิเอา ... พระอาจารย์ต๋อง วัดป่าตอง อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม ท่านนี้จะสอนหนูเยอะกว่าท่านอื่นเป็นผู้สั่งสอนแนะแนวทางหลักการต่าง ๆ ให้หนูปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ท่านเน้นให้สร้างบารมีให้ตนเองไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็เต็ม ท่านบอกว่าเสียดายชาตินี้หนูเกิดเป็นผู้หญิงเพราะกรรมเก่าเรื่องความรักถ้าไม่งั้นท่านจะให้บวชตลอดชีวิต ท่านเลยให้ทำอย่างอื่นแทน .. พระอาจารย์วินัยธร บุญชู ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวใครจะมาทำร้ายหนูหรอกไม่มีใครทำอะไรหนูหรอก มีคนคอยช่วยดีอยู่เพียงแต่ถ้าไม่ไปยุ่งกับใครจะไม่มีเรื่องอะไรเดือดร้อน มีแต่คนอื่นนั้นแหละจะเอาเรื่องมาให้หนูเลยตัดสินใจไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ตัดออกไปหมดเลย .... พี่ที่เคยเป็นคนทรงที่กรุงเทพ ฯ เขาก็เมตตาแนะนำให้หนูปฏิบัติ ... แม้แต่พี่ที่อยู่ในเว็ปนี้ที่มีคนนับถือมากมายก็แนะนำให้หนูปฏิบัติเหมือนกันคะ .... แต่ปัญหามันติดที่หนูไม่พร้อมหลายอย่างแตะถ่วงมาเรื่อย ๆ ฝึกบ้างไม่ฝึกบ้าง เคยมีสองครั้งมั้งคะพระอาจารย์ต๋องที่หนูกราบรับท่านเป็นอาจารย์ของหนูแบบจริงจังท่านมาหาในฝันมาถามว่า " พร้อม หรือ ยัง " แต่หนูยังไม่ตอบท่านไปท่านก็ยิ้ม ๆ ให้แค่นั้น ... เพราะท่านรู้ว่าหนูไม่พร้อมจริง ๆ .....

    .... หนูต้องขอโทษพี่นะคะที่ทำให้พี่รู้สึกลำบากใจคะ ไม่เป็นไรนะคะแค่นี้ก็เป็นพระคุณอย่างสูงแล้วคะ ส่วนอย่างอื่นที่ไม่สามารถลงในนี้ได้หนูจะ PM ไปบอกพี่นะคะ .. กราบขอบพระคุณอีกครั้งในความเมตตาที่มีให้หนูคะ ... ^_________^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2013
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    555
    คนอื่นเค้าต้องวิ่งหาอาจารย์กันให้วุ่น แต่เรามีแล้วกับวิ่งหนีอาจารย์
     
  18. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    555555555555 ก็อย่างที่พี่รู้แหละคะ หนูกลัวไปหมดทุกอย่าง .. ตอน 17 ไปบวชชีพราหมณ์กับพระอาจารย์ทองใบบนเขาไปกันหลายคนหนูเจอผีแกล้งเยอะสุด แถมพระอาจารย์ยังตามมาดูเราถึงที่บ้านมายิ้มให้แล้วก็ไป ตอนที่บวชด้วยความกลัวผีมากพกพระพ่อไปเป้นพวกใหญ่เลยแอบใส่เสื้อไว้พระอาจารย์ก็ว่า มาหาพระพกพระมาทำไม ท่านสอนนั้งสมาธิให้แล้วไปนั้งกันเองหนูไปนั้งใต้ต้นไม้ใหญ่ 4-5 คนโอบหันหลังให้ต้นไม้นั้งสองคนกับอาจารย์ที่พาไป แค่หลับตาลงท่องพุทโธแค่ไม่ถึงสองนาทีหูก็อื้อแล้วมันได้ยินเสียงคนเดินเท้าเปล่าบนพื้นดินนิ่ม ๆ รู้เลยว่าเป็นผู้หญิงแต่ตัวเบา ลมไม่มีแต่ได้ยินเหมือนเสียงผ้าสบัดอยู่ใกล้ๆ เราแบบไม่ถึงเมตรตกใจลืมตามองไม่มีใครนอกจากต้นไม้กับความเงียบ นั้งกี่รอบก็แบบนี้จนร้องไห้ไม่เอาแล้วผีแน่ ๆ ใครปลอบก็ไม่เอา .. เวลาเดินลงจากเขามาโรงทานสมัยนั้นยังสภาพแบบป่าเขาจริง ๆ คะ ระหว่างศาลาธรรมกุฏิหลวงพ่อทองใบกับโรงอาหารใหม่จะมีโรงอาหารเก่าอยู่แล้วจะมีเวรเดินลงไปดูที่โรงครัวตอนค่ำ ๆ หรือ เช้ามืดเวลาเราเดินผ่านโรงอาหารเก่านี้จะเข้าอุโมงป่าไผ่จะเหมือนมีคนมองเราจากเสาทุกทีแล้วพอเราเดินในอุโมงจะเหมือนมีเสียงคนเดินตามเราตลอดตอนแรกคิดว่าเสียงสะท้อนแต่ไม่ใช่หลายรอบจนถามคนอื่นถึงรุ้ว่าโรงอาหารเก่ามีนางตะเคียนดุมาก ถ้าใครทำตัวไม่ดีเขาจะมาเตือนแต่บางคนเขาจะชอบมาหยอกเล่นใครมาบวชโดนเกือบทุกราย .. ส่วนตรงต้นไม้หลวงพ่อมาบอกทีหลังว่ามีนางไม้อยู่หลายตนเขาก็ปฏิบัติธรรมของเขาเราอย่าไปสนใจท่านก็จะดุดวงให้กับทุกคนที่ไป ... แต่หนูกลัวผีมากคะตอนนั้น .. ไปบวชที่วัดสวนแก้วเคยเดินจงกลมตอนเช้ามืดมีแต่แม่ชีฯด้วยกันกับพระอาจารย์เพิ่มเดินรอบที่ 2 ก็ท่องพุทโธนี้แหละคะ มีเด็กผู้ชายตัวมอมแมมมานั้งยกมือไหว้เราตกใจแต่ทำไรไม่ถูกเหมือนมีเราเห็นอยู่คนเดียวมันแค่แว๊บเดียวเอง .. หรือเวลาใจสงบดึก ๆ สวดมนต์ไหว้พระอยู่ก็เหมือนมีคนมายืนใกล้ ๆ เรา .. มันหลอน .. มีความรู้สึกว่าถ้านั้งสมาธิไปนาน ๆ เราต้องเห็นผีแน่ ๆ เลย .. เหมือนพวกวิตกจริตนะคะ เพราะเจอบ่อยมาก .... เลยบอกตัวเองว่าอย่างแรกเราต้องฝึกใจตนเองให้ไม่กลัวก่อน หรือ กลัวให้น้อยลง ฝึกแยกแยะภพภูมิที่มากระทบ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็คงต้องเจออยู่แล้วถ้าเราปฏิบัติธรรม ... พี่ที่เคารพในเว็ปนี้ก็แนะนำว่าความจริงหนูสมควรฝึกเองได้แล้ว ... หนูก็ถามตัวเองว่าคำว่าไม่พร้อมของตนเองคืออะไร ความกลัวที่จะเห็นภพภูมิแบบเต็ม ๆ อย่างที่คิดกลัวมาตั้งแต่เด็กเหรอ หรือ กลัวตนเองจะปฏิบัติไม่ได้ตามที่ครูบาอาจารย์สอนมา หรือ ละทางโลกยังไม่ขาด หรือ เราตั้งมาตรฐานการปฏิบัติสูงไปแล้วกลัวทำไม่ได้ กลัวผลข้างเคียงจากการฝึก กลัวว่าจะเจอพวกลองของมากกว่านี้หรือเปล่าเพราะมันต้องมีคนมาขอให้เราช่วยแน่นอนแล้วเราก็จะใจอ่อนเหมือนเดิม ... มันเป็นคำถามที่คิดขึ้นเองคะ ถึงยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดกับตนเอง .. แต่ก็เหมือนว่าจะต้องเริ่มนับหนึ่งในการปรับสภาวะจิตตนเองให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติธรรมขั้นต่าง ๆ ซึมซับธรรมมะของชีวิตให้จิตใจดีขึ้น ค่อยเป็นค่อยไป ... ดีกว่าภายนอกทำเหมือนเคร่งปฏิบัติได้ แต่จิตใจด้านในกลับตรงกันข้าม .. มันควรขาวทั้งนอกใจ และ ในใจถึงจะดี ....
     
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อาการอย่างนี้ เค้าเรียกว่าอาการกลัวนิพพานครับ กลัวถ้าบรรลุอรหันต์แล้วจะตายเลย ไม่ทันได้ช่วยเหลือคนโน้นคนนี้ กลัวได้อยู่คนเดียว ด้วยความที่ไม่รู้ว่าแดนนิพพานมันเป็นยังไงกันแน่ และที่สำคัญ เรายังกลัวตายอยู่ครับ จึงกลัวผีและกลัวนิพพานอยู่
    วิธีแก้คือ เมื่อเรานั่งสมาธิให้อธิษฐาน มอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระศาสนา ถึงตายก็ยอม ตั้งจิตไว้ว่า เราจะไม่กลัวสิ่งใดอีก ในสามโลกนี้ ทุกอย่างก็แค่สิ่งที่มาหลอกเรา ให้คิดว่า ในสามโลกธาตุนี้ เราเกิดมาหมดแล้วทุกอย่าง เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว
     
  20. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... ขอเรียนตามตรงเลยคะว่า ใช่คะ ... หนูคงเคยรู้สึกแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว .. เรื่องบางเรื่องก็ยากที่จะบอกให้ใครเข้าใจ ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...