ใครว่าจิต ไม่เกิด ไม่ดับ ผู้นั่นเป็น มิจฉา ทิฐิ (หลวงปู่หล้า เขมะปัตโต)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ยอดคะน้า, 8 มิถุนายน 2010.

  1. ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.996481/[/MUSIC]

    (ถอดเทป)

    เห็นอนิจจัง ขณะจิตเดียว เห็นรอบโลกแล้ว เพราะโลกเต็มไปด้วยอนิจจัง

    เห็นพร้อมกับลมหายใจเข้าออก เห็นพร้อมกับขณะจิตที่พูด ที่นึก ที่คิด อนิจจัง

    อนิจจังมันละเอียดแล้ว ผู้รู้นี่ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วที่สุด

    จิตก็เหมือนกัน ติดต่อกันอยู่ หาช่องว่างมิได้

    ใครว่าจิตไม่เกิดไม่ดับ ผู้นั่นเป็นมิจฉาทิฐินะ

    เหตุฉะนั้นท่านจึง บัญญัติ ว่า รูป จิต เจตสิก นิพพาน
    ไม่ได้บัญญัติ ว่าจิตเป็นพระนิพพาน ไม่มีปัญญัติว่า พระนิพพานเป็นจิต นั่น

    จิตถ้าทำถูก ก็เป็นหนทางเข้าสู่พระนิพพาน เท่านั่น

    ยืนยันแต่เพียงว่า จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ นั่น ยืนยันเท่านั่น

    นี่ พระอรหันต์ไม่ตาย ส่วนพระอรหันต์ตายแล้ว บัญญัติจิตไม่ถูก
    เพราะไม่สมฐานะ คล้ายๆกับแก่จะตายแล้ว จะมาเรียก คุณหนู คุณหนู มันก็ไม่เหมาะสมน่ะ



    ฟังเต็มๆ ได้ที่ นี่ http://www.fungdham.com/sound/boonrit.html ไฟล์ที่ 004
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    เสียงธรรมหลวงปู้หล้า...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 66.mp3
      ขนาดไฟล์:
      7.7 MB
      เปิดดู:
      69
  3. วจีทุจริต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +263
    อนุโมทนา
    แต่ กรุณาช่วยยกมาทั้งหมดสิครับ ....
    แล้วท่านจะกระจ่างแจ้งใจในธรรมที่หลวงปู่อธิบาย .....
     
  4. ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710

    ทำลิ้งไว้ให้แล้วจ๊ะ ...
     
  5. สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ท่านเทศ วัน เดือน ปี พศ....ใด? และที่ไหน งานอะไร เอาหลักฐานมาอย่างมาแต่งเอง หรือตัดตอนเอามา...แปลมาให้หมดซีครับ ไม่ใช่เสียงเทศน์ซ้ำๆๆๆๆ คุณกำลังทำอะไร ?
     
  6. วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    bubububububu
     
  7. สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ภาวนา ที่รวมยอดแห่งบุญกุศลทั้งหลาย


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด จ. อุดรธานี
    เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2545 (เช้า)​



    พระพุทธเจ้าสอนสัตว์โลกรื้อขนสัตว์โลก ให้พ้นจากทุกข์มาเป็นเท่าไรแล้วคิดดูซิ ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดพาสัตว์โลกให้ล่มจมไม่เคยมี มีแต่ฉุดสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ ทีนี้เมื่อเราดำเนินตามนี้จิตของเราก็ได้รับการบำรุงทางด้านจิตใจ มีการสวดมนต์ไหว้พระ-ภาวนา ให้จิตของเราสงบ ๆ แล้วทานการกุศลทั้งหลายที่รวมอยู่นั้น อยู่นี้นะ ติดอยู่นี้ ใจเป็นรากฐานสำคัญเป็นทำนบใหญ่ ภาวนานั้นคือทำนบใหญ่ พอภาวนาเริ่มหนักเข้า ๆ เหมือนเราสร้างทำนบใหญ่นี้แหละ บุญกุศลซึ่งเป็นเหมือนแม่น้ำที่ไหลมาจากสายต่าง ๆ นี้จะเข้ามาทำนบใหญ่ ๆ
    การให้ทานรักษาศีลมากน้อยไม่หายไปไหน เรื่องหายไม่หาย ไม่มีอะไรที่จะเสมอเหมือนธรรม ทำบุญเป็นบุญทำบาปเป็นบาปอยู่ภายในใจ ทีนี้เวลามีกำลังเต็มที่แล้วขยายตัว บุญกุศลที่เราสร้างมามากน้อยไม่รู้จักกาลสถานที่ เวล่ำเวลาของการสร้างกุศลก็ตาม แต่เห็นผลที่มารวมอยู่นี่แล้ว รวมอยู่ในใจนี่ หนุนกันขึ้น ๆ จิตสว่างออก ๆ อยู่ก็ได้ไปก็ตามเป็นก็ตามตายก็ตาม จิตสง่าแล้วไม่มีอะไรจะพาให้จม มันก็รู้อยู่ชัด ๆ ในตัวเอง นี้ละท่านผู้มีบุญมีจิตใจอันสว่างไสวท่านไม่เดือดร้อนอย่างนี้เอง
    ไอ้พวกเรามันพวกเดือดร้อน ก็คือเอาแต่สิ่งภายนอกมาโปะเอา อาศัยสิ่งนั้นอาศัยสิ่งนี้ พอสิ่งนั้นพังลงไปมันก็แคบ ๆ ละจิตเรา เหี่ยวแห้ง อันนี้เมื่อธรรมมีภายในใจเป็นการยับยั้งกันไว้ ๆ ถ้ามีมากก็ออกได้เลย
    ท่านจึงสอนให้สร้างบุญสร้างกุศล สมกันกับว่าใจนี้เป็นของไม่ตาย ใจดวงนี้ไม่ตายเลย แต่โลกทั้งหลายเห็นกันด้วยร่างกาย ถือเอาร่างกายทั้งหมดกับความรู้นี้ว่าเป็นตัว แยกตามหลักธรรมที่เป็นความถูกต้องของศาสดาองค์เอกแล้ว ร่างกายนี้คือเรือนร่างของใจ ใจคือตัวรู้ ๆ นี้แหละ ตัวรู้ ๆ นี้มันก็มีธรรมชาติอันหนึ่งที่ละเอียดแหลมคมเหมือนกัน คือกิเลสมันปิดบังไว้เสีย มันก็เป็นคู่ควรที่จะปิดบังกันได้ มันก็ไม่มองเห็น บาป-บุญ นรก-สวรรค์มีเท่าไรมันก็ไม่เห็น เหมือนคนตาบอด คนตาบอดเป็นยังไง อะไรเต็มท้องฟ้ามหาสมุทรมันก็ไม่เห็นคนตาบอด คนตาดีเพียงคนเดียวเท่านั้นมองเห็นหมด นั่น ฟังซิน่ะ อันนี้ตาพอสว่างแล้วมันก็เห็นหมดแล้วจะไปถามใคร
    ตาตัวเองเป็นผู้เห็น ก็ตัวเราเองเป็นผู้เห็นแล้วจะไปถามใคร อันนี้ใจของเราเองเป็นผู้รู้ผู้เห็นในการสร้างความดีของเรา เราเห็นในตัวของเราเอง ใครเชื่อไม่เชื่อไม่ได้สำคัญนะ มันสำคัญที่เจ้าของยืนยันเจ้าของเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ แล้วไปก็เจ้าของจะไป คนอื่นภายนอกเขาจะมาตำหนิติเตียนชมเชยสรรเสริญ เขาไม่ได้ไป เราเป็นผู้ยืนยันเป็นผู้จะไป ไปดีไปชั่ว เพราะฉะนั้นให้เชื่อกรรม พระพุทธเจ้า กรรมนี้แหละพาไปดีไปชั่ว ไม่มีอันอื่นอันใดจะพาไปนะ กรรมดีพาไปดีกรรมชั่วพาไปชั่ว ไม่มีอะไรเหนือกรรม
    ในโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเหนือกรรม ท่านจึงแสดงไว้เป็นบทเป็นบาท นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดที่จะเหนืออานุภาพแห่งกรรมดีกรรมชั่วนี้ไปได้ กรรมดีกรรมชั่วก็คือทำบุญทำบาปนั่นแหละ อันนี้มันติดแนบอยู่กับใจ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ปัดออก อันไหนชั่วมันเป็นภัยต่อเรา ให้ทำกรรมที่ดีขึ้นมาภายในใจตัวเอง แล้วจิตใจจะค่อยสง่างาม ใจดวงนี้ไม่เคยตายนะไม่มีป่าช้า พวกฝังพวกเผาเหล่านี้มีแต่ฝังร่างกายเผาร่างกายทั้งนั้นนะ ใจนี้ไม่เคยได้เผามันละ พอร่างกายนี้แตกปั๊บ จิตดวงนี้ออกแล้ว ถ้ามีบาปบาปดึงไปแล้ว ถ้ามีบุญบุญพาไปแล้ว ไม่เคยตาย
    เพราะฉะนั้น ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมลงมามนุษย์นรกอเวจีนี้ เหมือนขึ้นบันไดลงบันไดสัตว์โลกนะ บุญบาปมันฟัดมันเหวี่ยงกัน ถ้าตอนไหนบาปมีมากมันก็ดึงลง บุญมีมากดึงขึ้นมา ๆ เวลามันยังไม่พอตัวมีฟัดมีเหวี่ยงกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการขึ้นบนสวรรค์พรหมโลกจนกระทั่งลงไปนรกอเวจีนี้ เป็นเหมือนเราขึ้นบันไดลงบันได สำหรับอัตภาพหนึ่ง ๆ ที่ตายไปแล้วจิตไม่ตาย จิตดวงนี้แหละ ขึ้นลง ๆ ตลอดเวลา พอเรียนวิชาทางธรรมะจิตตภาวนานี้มันรู้หมดจะให้ว่าไง พระพุทธเจ้ารู้หมดจึงมาสอนโลก สอนด้วยความโกหกได้ยังไง นี่แหละเวลาไปเต็มที่ซักฟอกเต็มที่ ๆ จนกระทั่งตรัสรู้ผึงดีดถึงเลยไม่ลง นี่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว หมดแล้วเรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตายหมายป่าช้าที่นั่นที่นี่ไม่มีแล้วในพระพุทธเจ้าในพระอรหันต์ ท่านสิ้นสุดลงไปแล้ว ท่านจึงนำเอาธรรมวิเศษนี้มาสอนพวกเรา .......
     
  8. ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710


    ...มีลิ้งตามมาให้นะจ๊ะ ตามไปฟังซิจ๊ะ คุณพี่..เอ้า แถมอีก
     
  9. สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122


    การพิจารณาอริยสัจ

    กล่าวโดยสรุปถึงวิธีการพิจารณาอริยสัจ ท่านกล่าวไว้ ดังนี้

    "...ปัญญานี้มีหลายขั้น ตั้งแต่ขั้นอสุภะอสุภัง ไปโดยลำดับจนกระทั่งถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ปัญญาจะเดินตลอดทั่วถึงไปหมดเช่น รูปขันธ์ ที่เห็นว่าเป็นของสวยงามน่ารัก ใคร่ชอบใจน่ากำหนัดยินดี นี่เป็นความสำคัญของกิเลสที่เสี้ยมสอนมาแต่กาลไหนๆ ทำสัตว์โลกให้ตื่นให้หลงอยู่ไม่มีวันอิ่มพอ...

    ปัญญาจึงต้องสอดแทรกเข้าไปตรงนั้น แก้ความที่ว่าสวยงาม มันสวยงามยังไง ดูให้เห็น...แต่เวลาพิจารณาเข้าไปที่ไหนๆ ที่ว่าสวยงาม ไม่มีปรากฏ มีแต่สุภะอสุภังเต็มเนื้อเต็มตัว ทำไมจะทนต่อความจริงได้ ต้องยอมรับว่าหาความสวยงามไม่มีในสกนธ์กาย นี้...

    เมื่อเลื่อนจากรูปขันธ์นี้ไปแล้วมักจะพิจารณาเป็น ไตรลักษณ์ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวกับเรื่อง สุภะ-อสุภะ ซึ่งมีเฉพาะเรื่องของกายนี้เท่านั้นที่สำคัญมั่นหมายไปต่างๆ จึงต้องแก้ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของสวยงามนั้น ด้วยการพิจารณาอสุภะ อสุภัง

    พอขั้นนี้สมบูรณ์ภายในจิตใจ คือ ประจักษ์กับปัญญาอย่างชัดเจนแล้ว ย่อมปล่อยวางทั้งสุภะคือความสำคัญว่าสวยว่างามด้วย ทั้งอสุภะที่สำคัญว่าไม่สวยไม่งามด้วย ไม่สนใจไม่ยึดในเงื่อนใดเงื่อนหนึ่ง พอตัวในการพิจารณาแล้วผ่านไปในท่ามกลางแห่งความพอดีของตัวเองนั่น ท่านเรียกว่า ปัญญา ผ่านไป นั้นแล้วไปพิจารณาอะไร ก็เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นขันธ์ละเอียด...เรียกว่า นามขันธ์

    นามขันธ์ นี่พิจารณาด้วยไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ก็ตาม ทุกขัง ก็ตาม อนัตตาก็ตาม ขอให้มีความถนัดชัดภายในจิตใจ ถนัดใจ แน่ใจในอาการใด ชอบในอนิจจังก็ดี ในทุกขังก็ดี ในอนัตตาก็ดี พิจารณาอันนั้นส่วนใดส่วนหนึ่งได้ หากวิ่งถึงกันหมด

    เพราะธรรมเหล่านี้เกี่ยวโยงกัน นี่เรียกว่า ปัญญา หยั่งทราบตามความเป็นจริงในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ย่อมปล่อยวางเช่นเดียวกันกับรูป คือรูปกายของเรานี้ แล้วก็เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้เป็นอาการอันหนึ่งของจิตเท่านั้น ไม่ใช่จิต

    นักภาวนาจะทราบเองโดยไม่ต้องสงสัย...นี่ทราบได้อย่างชัดเจนและปล่อยวางได้ตามเป็นจริง ลงได้ตามเป็นจริงของมัน..."


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8856<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เอานะจะอธิบายให้ฟัง
    นักอภิธรรมท่านบัญญัติว่า<O:p</O:p
    รูป จิต เจตสิก นิพพาน<O:p</O:p
    เห็นมั้ยท่านแยกชัด <O:p</O:p
    จิตไม่ใช่นิพพาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จิตที่ท่านกล่าวถึงนี้คือ จรณจิต มี 89 ดวง<O:p</O:p
    มีลักษณะเกิดดับ จึงไม่ใช่นิพพาน<O:p</O:p
    เห็นมั้ยท่านอธิบายให้เห็นชัดเจน<O:p</O:p
    คือจิต ไม่ใช่ นิพพาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คราวนี้ต้องวิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงจรณจิต<O:p</O:p
    จรณจิต นี้ สมุฏฐานที่เกิด ก็เกิดมาจากจิตเดิม จิตแท้<O:p</O:p
    นี่ล่ะที่เป็นอมตะธาตุ อมตธรรม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จิตที่หลวงปู่หล้าท่านกล่าวถึงนี้<O:p</O:p
    ต้องมีเหตุให้เกิดนะ เหตุเกิดจากจิตเดิม จิตแท้ นะ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ท่านจึงอธิบายไว้ชัดเจนไงว่า<O:p</O:p
    จิต ก็ คือ จิต นะ<O:p</O:p
    นิพพาน ก็ นิพพาน นะ<O:p</O:p
    จิตไม่ใช่นิพพาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ก็อย่างว่าสมมติบัญญัติเข้าใจยาก....<O:p</O:p
    อธิบายอย่างนักอภิธรรมก็ต้องอธิบายอย่างนี้ล่ะ<O:p</O:p
    ถ้าอธิบายอย่างนักปฏิบัติ ก็ต้องอีกอย่าง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หลวงปู่ท่านอธิบายแบบอภิธรรม...<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ใครที่จะนำเสนอธรรมอะไร<O:p</O:p
    พึงพิจารณาให้ดีก่อนนะ<O:p</O:p
    ว่าสิ่งที่ตนทำนี่เรียกว่าประมาทในธรรมหรือไม่<O:p</O:p
    ถ้าเป็นเพราะกิเลสบงการล่ะก็<O:p</O:p
    นี่ล่ะประมาทในธรรมแล้วล่ะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผมรำคาญ รอดมี จริง ๆ นะ<O:p</O:p
    ไม่รู้ทำไมถึงอยากให้ผมไปจากที่นี่นัก<O:p</O:p
    หลายคนคงคิดเหมือนรอดมี<O:p</O:p
    เอ้าถ้าอย่างนั้นผมไปก็ได้<O:p</O:p
    คนในเวบนี้หลาย ๆ คนคงจะมีความสุข....<O:p</O:p
     
  11. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คำว่า "เกิด" สิ่งนั้นไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นมา จึงเรียกว่า "เกิด"

    คำว่า "ดับ" สิ่งที่เคยมีอยู่ก่อนนั้นดับไป จึงเรียกว่า "ดับ"

    จิตและอาการของจิต ต่างมีสรรพนามเรียกเหมือนกันว่าเป็นดวงๆเช่นกัน

    จิตไม่ใช่อาการของจิต แต่อาการของจิตนั้น เป็นส่วนหนึ่งของจิต

    ที่แสดงออกมาต่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นที่จิต

    ย่อมเกิดดับไปพร้อมกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นนั้น

    การจะศึกษาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ควรศึกษาให้ถึงแก่น

    ไม่ใช่เลือกศึกษาที่ถูกกับจริตตนเองที่เต็มไปด้วยอคติในหัวใจ

    ย่อมจะได้แต่เปลือกธรรมมาเท่านั้น หาใช่แก่นธรรมไม่

    ;aa24
     
  12. รอดมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +161
    อารัยกันหว่า! อยากจะด่าจิงๆ แต่ไม่เอาดีกว่า
    หลวงพ่อสอนไว้ว่า "อย่าเอาพิมเสนไปเลยกับเกลือ"
    สาธุ! มีหลวงพ่อเป็นแบบอย่าง ไม่เอาทองไปถูกระเบื้อง555

    นี่แหล่ะพระแท้....(ใครเอ่ย?)
     
  13. รอดมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +161
    พะโล้นายเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า เราสิต้องรำคาญนาย
    ก็เห็นนายประกาศไว้ว่า จะไม่เห็นนายในเว็บนี้ เรามีความคิดว่า
    ผู้ที่ปฏิบัติธรรมและกล้าแสดงความเห็นในห้องอภิญา คนๆนั้นจะต้องมีศีล
    มีสัจจะ แต่นายกลับทำตรงกันข้าม ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ คุยโม้คุยโตว่าเขาไปทั่ว
    เก่งไปหมด รู้ทุกเรื่องแม้กระทั่งการเมือง อ้างอรหันต์บอกอย่างนั้นอย่างนี้
    ดึงอรหันต์มาเล่นการเมือง คิดดูใครน่ารำคาญกว่ากัน

    แม้กระทั่งอ.ขันธ์ ที่เข้าข้างตัวเองแบบศิษย์รักมาตลอด นายยังฉลองศรัทธา
    ไปอวดดีอวดเก่งเถียงท่านขันธ์ในกระทู้ก่อนโน้น เคยเห็นนายไปว่าคนอื่นว่า
    "ไอ้ศิษย์คิดล้างครู" ถามจิงว่าตัวเองหรือ

    บอกให้จะอยู่หรือไปมันเรื่องของนาย แต่ที่แน่คำพูดที่นายพูดมันจะตามติดตัว
    ไปจนตาย แม้จะเปลี่นlog..inเข้ามาใหม่ มันก็ตัวนายใจนาย

    ทีหลังจะคุยโม้ก็มีสติอย่าลืมตัว
     
  14. สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    อ้าว ท่านเตช...แพ้มารซะง่ายๆอย่างนั้นแหละ มารทั้งแก๊งค์ ปราโมช ..แล้วไม่ห่วง กัลยา ณ มิตร อย่างผมบ้างรึครับ " เข้มแข็งและมีเกียรติ์" ครับ:mad::'(
     
  15. สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    รอดมี คุณนี่พยาบาทนัก ผมไม่รู้เรื่องใครถูกใครผิด..แต่ถ้าจะให้เครดิตแล้ว ผมให้ ท่านเตช...
    เพราะผมติดตามอ่านช้อความท่านเตช แล้วผมแน่ใจเขานักปฏิบัติแน่ เขาไม่ทำอย่างที่คุณอ้างแน่ๆ...
    ทำไมคุณจ้องมาไล่เขา ไม่ดูตนเอง ไม่รู้จักอภัย ตามพยาบาท ย้ำคิด ย้ำทำ ในเรื่องส่วนตัว ส่วนบุคคล หามีประโยชน์ต่อส่วนรวม คนในเวปนี้ไม่
    ..หากตัวคุณมีดี ก็แสดงวิธีปฏิเวธมาคุยกันบ้าง ผมอยากดูอยากอ่าน อย่าเอาแต่จับผิดคนอื่น หรือมาตัดกำลังฝ่ายตรงข้ามให้กับ นายปราโมช..?

    ส่วนเรื่องการล่วงเกินท่าน ขันธ์ ต้องท่านขันธ์ออกมาชี้เองมิใช่คุณ ผมจึงไม่เชื่อ คุณโจมตี จุดอ่อน ความเป็นสุภาพบุรุษ ท่านเตช ทุกวันเพื่อให้เขาออกจากบอร์ดเพื่ออะไร ทรัพยากรมนุษย์ที่หันหน้าศึกษาธรรมหาง่ายๆรึ อีกทั้งของจริงไม่ปลอมด้วยรึคตุณว่าไง..?

    ส่วนตัวผมเป็นเกลือ หรือ กระเบื้อง ก็ได้ คุณเป็นทองหรือพิมเสน ก็รักษาคุณสมบัติตนเองให้สมภูมิหน่อยครับ...
    คุณมากำจัดคนโดยเล่ห์เหลี่ยม ผมต้องการรักษาคนที่ประพฤติธรรมโดยแท้ ที่ไม่เทียม ผมเป็นกัลยา ณ มิตร ของท่านเตช (ท่านเตช เขารับหรือไม่ๆสำคัญ)อย่ามาทำตามใบสั่ง ด้วยแรงพยาบาท อาฆาต เลยคุณ...รอดมี ? อนุโมทนาครับ
     
  16. เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ขอบพระคุณมากครับท่านสับสน!
    ผมระลึกว่าท่านเป็นกัลยาณมิตรเสมอมาครับ

    ความจริงที่จะไม่มาอีกแล้วคือท้อใจมากครับ
    สิ่งที่ท่านพูดกระตุ้นเตือนสติผมเป็นอย่างมากครับ

    แต่ถึงอย่างไรช่วงนี้ผมขอพักซักระยะและอาจจะนานมาก
    ขอพักจิตพักใจซักระยะครับ
    ประกอบกับช่วงนี้ผมมีงานมาก
    และมีงานที่เร่งด่วนต้องรีบทำให้แล้วเสร็จ
    ผมจึงอยากให้เวลาและโฟกัสกับงานนี้ให้จริงจังครับ


    ส่วนเรื่อง ท่าน อ.ขันธ์ ผมยังเคารพรักท่านเสมอ
    เรื่องนี้ก็เหมือนเรื่องพ่อกับลูก คุยกันในเรื่องการเมืองล่ะครับ
    มันก็ขัดแย้งกันเป็นธรรมดา
    หลาย ๆ บ้านก็เป็นอย่างนี้ครับ
     
  17. Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852



    จะเป็นพระอรหันต์ก็ตาม ไม่มีใครเค้ามารบล้างคำสั่งสอนพระพุทธเจ้า พระมหาโพธิสัตว์ไปได้

    แม้แต่พุทธองค์ท่านยังสอนให้คน ผู้มีปัญญามากๆไตร่ตรอง
    พิจารณาก่อน ไม่ให้เชื่อแม้ผู้เป็นครูสอน เป็นนัยแล้วว่ายังไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ตลอด ถึงพระอรหันตขีณาสพ

    หากตนเองยังไม่มี ปัญญาญาณเป็นของเองแล้ว เสี่ยงต่อการถูกหลอก ผู้ตรัสรู้ที่แท้จริงจะไม่ใส่ใจถึงพระพุทธเจ้า ไม่ใส่ใจในพระโพธิสัตว์ หรือพระอรหันต์
    ทั้งหลาย ท่านจะปฏิเสธการกระทำที่เพียงดูเคร่งขรึม เมื่อเป็นอิสระจากวัฏฏจักรของสิ่ง
    ทั้งหลายด้วยความพยายามของท่านเอง ท่านจึงหมดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด


    ปฏิบัติดูก่อน ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่ต้องปฏิบัติตาม

    เกิดดับเป็นสภาวธรรม

    ไม่เกิดไม่ดับเป็นนิพพานนิพพานก็ศูนย์เปล่า

    ยืนยันคำนี้ไม่เปลี่ยนแปลง

     
  18. หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    พระพุทธก็อยู่ที่จิต พระธรรมก็อยู่ที่จิต พระสงฆ์ก็อยู่ที่จิต
    บาปบุญมันอยู่ที่จิต การปฏิบัติเอาลงมาที่จิต ถือว่าปฏิบัติพระพุทธองค์
    หากปฏิบัติแล้วเกิดอัตตาตัวใหญ่ตัวโต ถือว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ทางเดินของพระอริยะ
     
  19. Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    หลบภัยจะเป็นมิจฉาทิฐิเสียเองนะเธอยังไม่ใช่พระอหรันต์ และ ก็ไม่รู้เท่าทันพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ตั้งสติดีๆ อย่าลำเอียงเพราะความรัก
     
  20. หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    คำที่หลบภัย ยกมาเป็นคำเทศน์ของหลวงปู่พุธ
    และ หลบภัยไม่เอาสิ่งที่ตัวเองยังทำไม่ได้ มาโพส เราหยุดแล้ว
    ไปหาฟังเรื่อง" จิตภาวนา" ของหลวงปู่พุธ จะมีประโยคนี้อยู่ในนั้น
    เราฟังพระ เรามาลงที่ใจ

    เราเป็นไง ไม่คิดแทนเรา ดีกว่า
     

แชร์หน้านี้