การปฏบัติถึงจะทำได้ดีแล้ว แต่เอามรรคเอาผลยังไม่ได้ มันต้องใจสู้มาก ยิ่งผ่านไปนานเท่าไร ถ้าหยุดแล้ว มันก็ยิ่งห่างๆ แม้ใจลึกๆจะยังคิดถึงธรรมะ แต่ความขี้เกียจที่พอกๆๆๆๆ มันก็ทำให้กลับสู่ทางยาก เพราะความขี้เกียจมันมีอำนาจมากกกกก
ขอให้กำลังใจทุกๆท่านทั้งที่กำลังเริ่ม และเริ่มมานานแล้วนะครับ บางที่ทางเดินอาจยังต้องใช้เวลาอีกนานนนน
ให้กำลังใจเพื่อนๆ นักปฏิบัตินะครับ ส่วนผมกำลังถอยหลังเพราะความขี้เกียจเล่นงานครับ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย จิตเปโม, 26 ตุลาคม 2019.
-
เพียรปรารภ เกินไป เกิด กำหนัด รู้เป่า
สมาธิมากเกินไป ฝุ้งซ่าน รำคาญใจ
เคยปรึกษา พระอนุรุธ ไหม
ทุกขาปฏิปทา ... ทุกสรรพสิ่ง ไม่เที่ยง
เรา ภาวนาเพื่ออาสัย ระลึก อาการ
ไม่เที่ยงของอภิสังขาร ปุญญิภิสังขาร
เราไม่ได้ภาวนา เพื่อให้ ขยัน มันเที่ยง
ธรรมของ พระพุทธองค์ เปนของ รู้เร็ว
ไม่ใช่ รู้ช้า -
-
เพราะ ชิน กับการให้ ราคาว่า
กุสล เที่ยง
พระศาสดา ทรงให้ อาสัย กุสล
แล้ว สังเกต สิ่งที่เปน กุสล เอง
ก้ไม่เที่ยง ให้มากๆ
เมื่อ ตระหนักรู้ กุสลไม่เที่ยง
ได้ชัด
อกุสล เวลามันแสดงความ เที่ยง
จะเปนเรื่อง อฐานะ ที่ จิตจะไป
ระลึกได้ แบบนั้น
นะ
หมั่นทำกุสล เพื่อ ตระหนักใน
ความไม่เที่ยง ให้มากๆ จน
ยังจิตให้ "ผ่อง" คือ เอาความ
เหนผิด กุสลเที่ยง ออก
อกุสล เปนอันไม่ต้องไป คำนึงถึง
กุสล ที่ทำได้บ่อยที่สุด ใช้ ใจ
เพียวๆ ก้ มัยยะ สำเร็จด้วย
มโน เอานี่แหละ เศรษฐา
เศรษฐี -
หนึ่งคาบ ลมหายใจ เข้าออก
จิตสามารถ ประกอบ กุสล
ได้ แสนล้านขณะ จิต
หาก จิตตั้งมั่น เหน กุสล
ไม่เที่ยง อาสัยระลึก เพียง
แค่ สอง สาม ขณะจิต ต่อเนื่อง
ใน แสนล้านขณะ ได้ ชัดๆ
เปน อัน จบกิจ ที่ควรทำ
กิจ เพื่อความพ้น ไม่มีอย่างอื่นอีก -
นะ
ถ้า เข้าใจ
ไม่ใข่เรื่อง ขยัน หรือ คลี่เกียจ
เรื่องๆ ของเรื่อง
คือ เงี่ยโสตสดับอะไร จากใคร
จึงได้ เนิ่นช้า -
-
ถ้าเราเพียงมีสติมีสมาธิแบบธรรมชาติ
เห็นจิตมันติดกับกาย
อยู่ตลอดสายโดยไม่ตั้งใจไม่พยายาม
เพียงสังเกตเห็นอาการของ
กายอาการของจิต
ไปตามธรรมชาติ
ลดการเผลอเพลินส่งออกไปสู่กายนอก(วัตถุอื่นๆ)
หรือสิ่งรู้อื่นที่พ้นจากกายกับจิตตัวเอง
มันก็ไม่ห่างไม่ไกลจากธรรมะแล้วฮับ
( โปรดอย่าทำตัวเหมือนลุงแมวเลยคับ) -
ทำอย่างถูกทาง ต้องไม่มีหวังจะเอา
เพราะหากเดินถูกทางมันย่อมไม่ได้อะไร
และไม่เหลืออะไร -
ถ้า จขกท ป่านนี้ ยังตั้งจิต สำคัญว่า
การฟังธรรม เปนเรื่อง ฟังจากคนนั้นที
คนนี้ที ...แปลว่า....
ยังเข้าใจไปว่า พุทธศาสนา เปนการ
ฟังธรรม แบบ ทำตามๆกันไป หรือ
ที่ พูดง่ายๆ รับกันไม่ค่อยได้ว่า อุปา
ทานหมู่ เช่น เทพต้องมีชฏา นุ่งขาว
นุ่งแก้ว
การฟังธรรม ใน พุทธศาสนา นั้น
มี กิจ(ลักษณะ)เดียว รส(อรรถสาระ)เดียว
คือ
"ได้สดับสิ่งที่ไม่มีใครแสดงมาก่อน"
งง ไหม ...คือ เวลา ได้รับธรรม กระทบ
ธรรม น้อมไปในธรรม จะเปนเรื่อง
ของการ "ตรัสรู้เองโดยชอบ" สถาน
เดียว ....หาก สิ่งใดมีผู้อื่นแสดงได้
มาก่อนหน้า ...อันนั้นเรียก อุปาทานหมู่
พระศาสดา กล่าวเสมอ แม้นธรรมที่
พระองค์ทรงแสดง ก้ต้อง ดับไม่เหลือ
ไม่ใช่ เข้าสองรูหู ไปค้างเติ่งเปนสัญญา
สังขาร ฯ
พระศาสดา กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ว่าพระองค์เอง ทำได้แค่ชี้ซ้าย
ย้ายขวา(อนุศาสนียปาฏิหารย์)
ส่วนการ ฟังธรรม/แจ้งธรรม
หรือตรัสรู้ นั้น จะเปนเรื่อง ปัจจัตตัง
จริงๆ ไม่ใข่ ปัจจัตตังแบบพยักหน้า
ตามคนอื่น
ลองดูนะครับ ไม่ยากหลอก การ
ฟังธรรมนั้น ไม่ใช้ อยาตนะ6 เด็ด
ขาด ..แม้นกระทั่ง จิต/วิญญาน
ก้จัดเข้า อยาตนะ6 ด้วย
แล้วใช้ อยาตนะ อะไร...!?
จขกท ต้อง ตั้งจิตให้ตรง นับ
แต่ชาตินี้ และ สิ้นสุดลงที่
ชาตินี้ ได้เลย หาก ตะไว้
เปนชาติหน้า แปลว่า ออกแนว
นิยตมิจฉาทิฏฐิ ปิดนิพพาน
ขั่วกาลนานนนนนนนนน
ง่าย แค่ หมั่นจาคะ สละออก
ลด ละ ดับกิเลส จขกท ก้
สามารถ ทราบชัด อยาตนะ
นั้นมี อยู่แน่ -
การ ลด ละ เลิก สิ้นกิเลส ไม่ใช่
สิ่งที่ จะ ตะเอาไว้ เปนเรื่องชาติหน้า
การ หายใจ เข้า ออก สั้น ยาว
สามารถใช้ ฝึก ฝน สกัด สลัด
คืน กิเลส ได้ทุก ขณะ
เพียงแค่ ตามเหน เวทนาในกาล
ก่อนๆ ยังให้ผลเปนอภิชญา
โทมนัสในกาลก่อนๆ ส่งผลให้
ร่างกายยังรับ วาระกรรม หาย
ใจได้เองโดยไม่ต้อง แทรกแซง
อาการหายใจ
แค่นี้ ก้ ทราบชัดได้แล้วถึง การ
ประหยัด มัธยัส ไม่เผลอเพลิน
เยียดเบียน แย่งสัตว์อื่นหายใจ
กรรมใหม่ ไม่ได้ก่อเพิ่ม
กรรมเก่าให้ผล ดับลง จนกว่า
จะถึง ปัสสาสะ อัสสาสะ สุดท้าย
ที่ ร่างนี้ จิตนี้ ต้องแปรปรวน
ไปตามวิบาก ห้ามไม่ได้
ปล. อนึ่ง การหายใจบางส่วนที่
เปน กรรมใหม่ เอาเข้าจริงๆ ย่อม
ยังมี แต่ถ้ามี มรรค8 ย่อมจัด
เข้าเปน สัมมาอาชีวะ ถือว่า
ไม่ก่อกรรมเพิ่ม -
ถ้าให้เข้าใจ
ต้องบอกว่า ทุกอย่างมีเวลาของมัน
ทำให้เหมือน
... การเปลี่ยนอริยบถ
จิตเพ่งเพียรอยู่
จิตเฝ้าจิตอยู่
จิตเฝ้าภาวนาอยู่
เหมือน การนั่งผิงไฟ ร้อนก็ถอย เย็นก็ขยับเข้า
เหมือนการปล่อยให้จิตออกไป เจริญสติในรูปแบบอื่น เพื่อผ่อน เส้นที่ตึงได้หย่อน เหมื่อนหย่อนก็ยังรู้ว่าหย่อน
แต่ท่านยังคงทำอยู่ เพราะท่านก็รู้ตัวเองเอง ว่าหย่อนอยู่
มันเป็นเช่นนั้นเองท่าน
ท่านไม่ใช่ไม่ฝึก
หากแต่ท่านยังไม่รู้ว่าฝึกอยู่
นั้นคือคำตอบคะ
โมทนา