คือดิฉันลองนั่งสมาธิ แล้วได้เห็นนิมิต เป็นดวงไฟกลมๆสีเหลือง ลอยวนไปวนมา แต่ดิฉันก็ไม่สนใจ ไม่ใด้เพ่งมองดวงไฟนั้น สุดท้ายมันก็หายไป และอีกครั้งนึงตอนนั่งอยู่ ดิฉันเห็นหน้าตัวเอง เป็นหน้าที่ใหญ่มาก และใบหน้านั้นจ้องเขม่งมาที่ดิฉัน เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จนทำให้ดิฉันกลัว และไม่กล้านั่งสมาธิอีกเปนปีเลยค่ะ แต่ตอนนี้หายกลัวแล้ว
ดิฉันอยากถามผู้รู้ว่าที่ดิฉันเห็นแบบนั้นเพราะอะไร และดิฉันมีความสนใจเรื่องณานขั้นต่างๆ อยากรู้วิธิฝึกของแต่ละขั้น แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราฝึกได้ถึงขั้นใหน ดิฉันไม่มีครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะ ได้แต่อ่านตามหนังสือ แล้วลองนั่งเอง ไม่รู้ว่าที่นั่งอยู่ทำถูกหรือว่าผิด
ดิฉันนั่งโดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆจนกว่าขาจะเป็นเหน็บชา พอทนไม่ไหวจิงๆก็จะออกจากสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตา หลายครั้งคิดว่าจะฝืนนั่งให้นานที่สุด แต่มันก็ปวดขาจิงๆไม่มีสมาธิจะนั่งต่อเลย อยากรู้ว่าคนอื่นๆเค้าทำยังไงเวลานั่งจนปวดขาแล้ว เลิกนั่งเลยหรือเปล่า
ไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ อยากถามผู้รู้เรื่องการนั่ง
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย babybee19, 20 พฤษภาคม 2014.
หน้า 1 ของ 2
-
ไม่ใช่ผูรู้นะครับ แต่เล่าจากประสบการณ์ส่วนตัว
ตอนผมเริมฝึกนั่งสมาธิครั้งแรก นั่งวันละ 3 รอบ รอบละ 4-5 ชั่วโมง แล้วพัก 1 ชั่วโมง
วันแรกปวดเมื่อยเหน็บชาขยับทุกๆ 10 นาที 5 นาที นั่งประมาณ4-5 ชั่วโมงต่อรอบ ไม่ได้ลุกไปไหน แต่ขยับเปลี่ยนท่า กระวนกระวายมาก ไม่ค่อยมีสมาธิ วันแรกมีสมาธิเล็กน้อย
วันที่สอง นั่งแบบไม่ขยับแม้กระทั่งน้ำลายแทบไม่กลืน นั่งแบบอยากรู้ว่ามันจะปวดได้ถึงขนาดไหน นั่งประมาณ 4-5 ชั่วโมงต่อรอบ วันที่สองนี้เป็นวันที่ปวดทรมานมากที่สุด ชนิดที่ว่าลมพัดมาเบาๆกระทบร่างกายแล้วทำให้รู้สึกเจ็บปวดทุกรูขุมขน เหมือนร่างกายจะแยกเป็นชิ้นๆ น้ำตาไหลเพราะความเจ็บปวด ปวดจนทำให้นึกถึงว่าคนที่ใกล้จะตายคงรู้สึกทรมานแบบนี้ แต่ไม่ยอมขยับเพราะอยากรู้ว่ามันจะปวดที่สุดถึงไหน วันนี้สมาธิอยู่กับทุกขเวทนาไม่อยู่กับคำบริกรรม มีแต่ปวดกับปวด
วันที่สามตั้งใจจะดูว่ามันจะปวดถึงขั้นตายมั้ย ถ้าจะตายก็ให้มันตาย วันนี้กลับไม่มีอาการปวดเลยแม้แต่น้อย และเป็นครั้งแรกที่สามารถเข้าสมาธิถึงฌาณสี่ วันนี้จะนั่งนานเท่าใดก็ได้ไม่ปวดไม่เมื่อย ไม่หิว ไม่ง่วง
หลังจากวันนั้นมาก็นั่งได้เรื่อยๆ เรื่องของอาการปวด ก็ยังมีอยู่ แต่ก็ไม่ได้ปวดซักเท่าไร เพราะรู้ว่ามันก็ปวดได้แค่นั้น เลยไม่ค่อนสนใจเรื่องปวดเท่าไร จะนั่งนานครั้งละหลายๆชั่วโมงก็ได้ แต่ไม่ได้กำหนด ขึ้นอยู่ว่าพอแค่ไหนก็เท่านั้น
ส่วนเรื่องนิมิตนั้นก็มีเย๊อะแย๊ะครับ แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญ มันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
ถ้าคุณ babybee19 พอมีเวลาว่างก็หาเวลาไปตามที่ที่มีการสอนกรรมฐานครับ เพราะน่าจะมีครูอาจารย์ที่ท่านแนะนำเราได้ หากไม่มีเวลาไป ก็ฝึกเองไปก่อนครับ ทำไปเรื่อยๆไม่ต้องนั่งนานๆก็ได้ครับ เอาแค่ที่เราไหว ทำไปเรื่อยๆก็จะนั่งได้นานขึ้นเอง ดีไม่ดีอาจจะมีครูอาจารย์ท่านมาสอนทางนิมิตก็ได้ครับ
สาธุครับ -
ทำให้เป็นกิจวัตร ทำจนเลิกหวังโน่นนี่ แล้วจะสังเกตุความเปลี่ยนแปลงที่ตนเองได้ในที่สุด แต่ถ้าหยุดเสียก่อน ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร -
คือผมและคนอื่นๆ
จะให้ความเห็นไม่ไปในทิศทางเดียวกัน
แต่นั้นคือพวกเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ก็ประมาณช่วยกันจำข้อความในคำภีร์ ที่มีคนเล่ามา ทำกันเองมาเล่าให้ฟัง
ก็โอกาศที่จะเกิดอาการสับสน ลังเลว่าจะทำไงดี มีแน่ๆ
ให้กำหนดรู้ กำหนดรู้ ว่าอาการที่เราลังเลสงสัยนี่ทุกข์
เพราะอะไรเราเนียะยังไม่รู้ คนอื่นๆก็ยังไม่รู้ ว่าจริงๆแล้เวจะต้องภาวนาอย่างไรแน่ๆ
รุ้แต่ว่าต้องภาวนาอย่างไร
คตนจะภาวนาปรกติแล้วรู้มาก่อนแล้ว ทำได้มาก่อนแล้ว
คือรู้มากแล้ว แต่มาสับสนอีกทีเมื่อโดนคนแก้กรรมฐาน
ให้กำหนดรู้ว่าภาวนาอีกกี่ล้านชาติก็โดนคนแก้กรรมฐานอยู่ดี
คนอื่นๆมาถามเราต่อให้เค้าภาวนาดีกว่าเราเป็ฯล้านชาติ เราก็แก้อารมร์กรรมฐานอยู่ดี
กำหนดรู้ทุกข์ และหาสาเหตุของมัน คือสาเหตุของทุกข์ ตามประไตรปิฏก
คือความทะยานอยาก
แรกๆคือทะยานอยากในอะไร
ทีแรกเลยจะมั่วมากเราสงสัย กำหนดรู้ทุกข์ ในความทำยานอยากใน***อะไร***
ลองดูเลยถ้าเรากำหนดรู้ทุกข์ ความทำยานอยากในอะไรจะเริ่มแยกแตกเป็ฯสองอย่าง โดยเข้าใจว่าจะสมดุล สมมาตร
เดอาหละอธิบายแค่นี้
ถ้าเกิดสงสัยให้กำหนดรู้ทุกข์
โอกาสที่คุณจะภาวนาดี และถูกมาตั้งเป็นปีๆ โน่นแล้ว ชั้นทำถูกมาตั้งนานแล้วใช่
แต่ถ้าคุณไม่กำหนดรู้ทุกข์ คุณจะโดนแก้กรรมฐานไปทุกภพชาติ ไม่มีที่สิ้นสุด -
และถ้าคุณไม่กำหนดรุ้ทุกข์
คุณก็จะแก้อารมณ์กรรมฐาน คนที่ภาวนาไม่ปราณีตเท่ามีกำลังใจหยาบกว่าคุณ
ไปทุกภพชาติ ไม่มีที่สิ้นสุด
จนกว่าคนใดคนหนึ่งจะเป็ฯพระพุทธเจ้า
จึงจะหลุดพ้น -
เช่น
ปรกติเวลาสงสัย คนก็มักจะอภิปราย ถกเถียงเพื่อให้เกิดข้อสรุป
ปรกติบางคนก็ชอบเหมือนแข่งกีฬา ดูแล้วสามารถกำหนดกติกา มีแพ้มีชนะ มียกหนึ่งสองสาม
แต่ถ้าเราไม่กำหนดรุ้ทุกขื ความลังเลสงสัย
ซึ่งคือต้นเรื่องที่เราจะมาหาทางระงับ
สุดท้ายกลายเป็นเวทีมวย
มาไกลมากแล้วนะ และจะไปอีกแสนไกลเป็นอสงขัยกัปลื เพราะแค่ไม่กำหนดรุ้ ทุกขื แค่นั้นเอง
เนียะ กำหนดรู้ทุกขื ก็ได้แล้ว ประมาณขณิกสมาธิในธรรมานุสติกรรมฐาน
หรือเป็นอริยะสัจจะบรรพ ในพระมาหาสติปัฏฐานสูตร
เมื่อยก็เปลี่ยนท่าเลย
แค่ในคำภีร์เค้ากำหนดว่า นั่วคู่บัลลัง คือคำภีร์กำหนดมท่าเอาไว้ไง
ตั้งกายในตรง ตามโคนไม่หรือเรือนว่าง
คนไม่อยากให้เกิดการโต้เถียง เลยไปอ้าวคำภีร์ไง
ต้องกำหนดว่าลังเลสงสัยทุกข์
ไม่ใช่ไปอ้างโน่นนี่นั่น
กำหนดว่าลังเลสงสัยทุกข์ คือธรรมานุสติกรรมฐานแต่อารมรณ์ฌานได้แค่ขณิกสมาธิ -
-
ไม่มีเวลาก็ไม่ต้องไปที่ไหนหรอกครับ ตัวของเรา จิตของเราเป็นที่ฝึกอย่างดีสติปัฐฐานสี่เป็นตัวช่วยอย่างดี ฝึกทุกวันจะน้อยหรือมากก็อย่าละวางผลจะเกิดเอง ทำบ่อยๆจิตมั่นแล้วไม่กลัวอะไร นิมิตต่างๆก็จะเฉยๆไปเอง อย่าลืมพุทธัง ธรรมมัง สังฆังสรณังคัจฉามิก็แล้วกัน
-
การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกอริยบทครับ ไม่ต้องยึดติดกับการนั่งเพียงอย่างเดียว แม้แต่การนั่งเราก็สามารถใช้ท่านั่งได้หลายแบบ
ประเด็นสมาธิคือรวมความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดไปที่องค์กำหนด หรือองค์ปฏิบัติ หรือเรียกอีกอย่างว่าทำให้จิตนิ่งที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
จิตนั้นมีพลังมาก แต่ในสภาพปกติจิตจะวิ่งไปรับอารมณ์ต่างๆอย่างมากมายนั้น จึงทำให้จิตมีกำลังน้อย เมื่อจิตมีกำลังน้อยก็ไม่ควรแก่การงานทางจิต เมื่อจิตเสวยหรือรับรู้อารมณ์อารมณ์หนึ่งเพียงอารมณ์เดียว จิตก็จะมีกำลังมากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติขั้นสูงต่อไป ก็ไม่ต่างจากที่คนทำงานหลายอย่างย่อมเสียกำลังมากและการงานแต่ละอย่างก็ได้ผลน้อย
นิมิตรต่างๆก็คืออารมณ์ต่างๆที่มารบกวน พบเจอกันทั้งนั้นแต่อาจจะแตกต่างกันไป เรื่องนิมิตรนี้มีหลายรูปแบบ ปรากฏทางตาเป็นรูปร่าง ทางหูปรากฏเป็นเสียงพูดคุยสอบถาม จมูกเป็นกลิ่น ฯลฯ จึงไม่ควรไปสนใจนิมิตรทั้งหลาย จะทำให้จิตเสียกำลัง ปล่อยวางไปเลยมันจะอยู่หรือไปก็อย่าไปสนใจมัน ให้สนใจที่อารมณ์ปฏิบัติเท่านั้น
อย่ากังวลการนั่งได้นานหรือไม่ อย่ากังวลเรื่องนิตร แต่จงกังวลว่าได้ปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ หลุดออกจากอารมณ์ปฏิบัติหรือไม่
เจริญในธรรมครับ -
อย่ากังวลเรื่องนิมิต เมื่อเกิด ก็มีดับ นิมิตเกิดแล้วย่อมดับไป นิมิตใหม่ก็เกิดอีก
เฉกเช่น ความคิด ที่ปรุงแต่งจิต มันเกิดเป็นธรรมดาของมัน และดับไปเป็นธรรมดาของมัน
ทุกข์ มันก็เกิดเป็นธรรมดาของมัน ดับไปเป็นธรรมดาของมัน
สุขมันก็เกิดเป็นธรรมดาของมันและดับไปเป็นธรรมดาของมัน
การฝึกสมาธิเพื่อการมีสติรู้ สงบนิ่งรู้ละปล่อยวาง พึงรักษาจิต ให้ว่างจากการปรุงแต่ง อาศัยสติ สมาธิ และปัญญาประกอบ ทำแบบนี้ให้เป็นปรกติ ก็จะเข้าใจสภาวะแห่งความสงบสุข เข้าถึงสภาวะแห่งสุญญตาได้เอง
การฝึก ก็ต้องฝึกแบบเป็นขั้นตอนไม่ควรข้ามขั้นคือ
1เริ่มจาก การฝึกสมาธิ แบบนั่งภาวนาก่อน คือแบบกายสงบนิ่ง ฝึกให้จิตสงบนิ่ง
2 เมื่อชำนาญแล้วคือฝึกต่อแบบกายสงบนิ่งจิตเคลื่อนไหว
3 เมื่อชำนาญแล้วให้ฝึกต่อแบบ กายเคลื่อนไหว จิตสงบนิ่ง
4 สุดท้ายแบบหนักหน่วงที่สุด คือ การฝึกสมาธิแบบ กายเคลื่อนไหว จิตเคลื่อนไหว ครับ เพราะนั่นคือ ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต ทรงฌาณ ทรงญาณตลอด เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์แล้วครับ สาธุ
แล้วท่านจะเข้าใจ รอบรู้ด้วยปัญญาของท่านครับ -
การฝึกสมาธิแบบอาฬารดาบส กับอุทกดาบส
พระพุทธเจ้าเรียนมาจนได้ รูปฌาณ-อรูปฌาณ
แต่ไม่เห็นทางที่จะสำเร็จ จึงไปหาทางเองจนพบ
ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า
ทรงสอนเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ฝึกให้มีสติ รับรู้ในทุกอริยาบท
กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วที่เราฝึกอยู่ หากไม่เข้าใจ ก็จะไป
เป็นสมาธิแบบฤาษี มีฤทธิ์เดช ซึ่งไม่ใช่ ทาง แบบพระพุทธะ
ไปหาอ่านเอานะครับ มหาสติปัฏฐานสูตร -
ถ้ามีโอกาสลองหาศึกษาหลักสูตรครูสมาธิ สถาบันพลังจิตตานุภาพ มีหลายที่มากครับ
หรือที่วัดธรรมมงคล สุขุมวิท 101
เมื่อก่อนผมก็ลองปฏิบัติเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์ เพราะอ่านมามาก จำมามาก ก็เลยคิดว่าตัวเองรู้เยอะแล้วเป็นทิฐิที่ต้องแก้ไขยุ่งยากทีหลัง เห็นนิมิตมากมายก็ยิ่งทำให้คิดว่าตัวเองปฏิบัติมาถูกทาง ที่ไหนได้เสียเวลาเปล่าเลย
ผมมาปูพื้นฐานสมาธิใหม่ ก็ที่สถาบันพลังจิตตานุภาพ ที่พระเดชพระคุณพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร
ท่านเมตตาจัดทำหลักสูตรนี้ขึ้น เพื่อให้เหมาะกับปัจจุบัน เนื้อหาที่ท่านสอนก็มีตั้งแต่ พื้นฐาน คือ สมถะ จนถึงวิปัสนา ส่วนใครจะเก็บเกี่ยวความรู้ ที่เป็นของดีได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับ กำลังปัญญา ศรัทธา และวิริยะ ของท่านเอง ผมเรียนที่นี่แล้วจึงพบคำตอบว่า ชาตินี้ผมไม่เสียชาติเกิดเปล่าๆแล้วครับ -
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ
-
โดยส่วนตัวแล้วดิฉันเชื่อในพระพุทธเจ้า เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม มาตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ เชื่อมาตลอดจนปัจจุบันอายุ28ปี ดิฉันพยายามรักษาศีล5มาตลอด ตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แต่แค่รักษาศีลมันยังไม่พอดิฉันอยากหลุดพ้นค่ะ แค่โสดาบันก็พอแล้วในชาตินี้
-
อยากเข้าถึงพระโสดาบันต้องอ่านนี่เลย อ่านแล้วไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องคาดเดาเอาจากตำรา ไม่ต้องจินตนาการเพ้อฝัน
http://palungjit.org/threads/อารมณ์พระโสดาบัน-หลวงพ่อฤาษีลิงดำ.519636/
เรื่องความปวดเมื่อยที่ขานี่แก้ง่าย ง่ายจริงๆ ถ้าถึงฌาน เดี๋ยวมันหายปวดเอง หรือไม่มันก็เลิกสนใจความปวดไปเอง สู้ สู้ ต่อไป ทุกคนต้องเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาทั้งนั้นแหละ -
ครูบาอาจารย์ท่านปาฏิหาร ไปได้ทุกที่ครับ
ครูบาอาจารย์ท่านปาฏิหาริย์ ไปได้ทุกที่ครับ
ลองฟังเองนะครับ
[ame=http://www.youtube.com/watch?v=DUtAx4KfRdc]หลวงตามหาบัว-วิธีตั้งจิตให้สงบเป็นสมาธิ - YouTube[/ame]
ลองเปิดวิทยุหาดูนะครับ แถวบ้านมีสถานีวิทยุเสียงธรรม วัดป่าบ้านตาด ไหม?
ท่านมี ๑๐๐ กว่าสถานีทั่วประเทศ
หรือจะเปิดฟังทางเว็บก็ได้
http://www.luangta.com/index.php
ขอโมทนาบุญ
ลุงมหา
-
อ่อ ฟังแต่คลื่นสังฆทานธรรมน่ะค่ะ รู้สึกจะมีอยู่คลื่นเดียว อยู่เชียงรายอ่ะค่ะ
-
ถ้าคุณอยากหลุดพ้นควรพิจารณาธรรมต่างให้แจ้งกระจ่างชัดด้วยใจของตน ควรจะพิจารณากรรมฐานจะดีกว่า มองให้เห็นถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในทุก ๆสิ่ง คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา มองให้เห็นด้วยใจของตนเอง เข้าให้ถึงเพื่อความไม่ยึดติดในสิ่งทั้งมวล สวัสดี
-
เริ่มฝึกฝนอบรมจิต นั่งเต็มที่ 60 นาทีพอครับ
ฌาน ควรใช้กสิณครับ
เห็นนิมิต เป็นดวงไฟกลมๆสีเหลือง ลอยวนไปวนมา แต่ดิฉันก็ไม่สนใจ ไม่ใด้เพ่งมองดวงไฟนั้น สุดท้ายมันก็หายไป และอีกครั้งนึงตอนนั่งอยู่ ดิฉันเห็นหน้าตัวเอง เป็นหน้าที่ใหญ่มาก และใบหน้านั้นจ้องเขม่งมาที่ดิฉัน เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จนทำให้ดิฉันกลัว
เป็นธรรมดาของมัน เพื่อภาวนาจนจิตเริ่มมีสมาธิ สภาวธรรมต่างๆ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ฯลฯ อะไรๆแปลกๆดังนั้น ผู้ปฏิบัติพึงกำหนดรู้ตามที่ เห็น ไ้ด้ยิน เป็นต้น เห็นปุ๊บ กำหนด (ว่าในใจ) ปั้บ เห็นหนอๆๆๆๆๆ รู้สึกกลัวปุํบ ว่าในใจปั้บ กลัวหนอๆๆๆๆๆ ปล่อยการกำหนดลมเข้า-ออกก่อน หลังจากกำหนดสภาวะที่เห็น ได้ยิน เป็นต้นตามนั้นแล้ว กลับมาติดตามลมเข้า-ออกต่อไป เมื่อเห็น ได้เยิน คิดกลัวเป็นต้นอีก พึงปฏิบัติเหมือนเดิม เห็นก็เห็นหนอๆๆๆ ได้ยินเสียง ก็เสียงหนอๆๆ คิดหนอๆๆๆ ตามที่มันเป็นแล้ว ก็กลับมาจับลมเข้าออกต่อไปอีก เล่นกับมันอยู่ยังงี้แหละเรื่ื่อยๆ -
แนะนำให้ หาครูบาอาจารย์ช่วยสอน จะลัดและง่ายกว่าการทดลองด้วยตนเอง
เพราะทุกอย่าง ต้องพึ่งผู้รู้ การฝึกเป็นทักษะ เคล็ดในการเรียนจะมีทุกขั้นตอน
ตั้งแต่การเริ่มต้น การเตรียมตัว การระวัง การทำให้สืบเนื่อง รวมถึงเมื่อเกิดปัญหาแล้วแก้ทีละอย่าง ๆ
หากอยู่กรุงเทพสามารถไปศึกษากับวัดที่เปิดสอนโดยตรง ได้หลายวัด เช่น
-วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ที่คณะ 5 มีการสอนแบบ ยุบ พอง สังเกตกาย ได้รับแนวทางมาจากพม่า
-วัดราชสิทธาราม ฝั่งธน ซอยอิสรภาพ 23 คณะ 5 เหมือนกัน แต่เป็นกัมมัฏฐานแบบลำดับ ได้สืบการสอนมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) เป็นความรู้ที่สืบต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
นอกจากนั้นในต่างจังหวัด มีอีกหลายแห่ง เช่น ที่ อยุธยา วัดมเหยงค์ สิงห์บุรี วัดอัมพวัน เป็นต้น
จะลดเวลาในการลองผิด ลองถูก
หน้า 1 ของ 2