ไม่สนใจไม่ได้เรื่องภาวนา - หลวงตามหาบัว

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 21 มีนาคม 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    หาเกาในที่ไม่คัน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕



    วัดป่าภูทอง บ้านภูเขาทอง หมู่ที่ ๒ ต.ภูเขาทอง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส พร้อมคณะถวายเงินไทยจำนวน ๑ หมื่นบาท เงินดอลลาร์ ๑๐๑ ดอลล์ เงินมาเลเซีย ๒๐๔ เหรียญ เทียบกับเงินไทยแล้วรวมเป็นเงิน ๑๖,๖๘๖ บาท กฐินทองคำ ๔๒ กอง นี่พี่น้องจังหวัดนราธิวาสมาถวายทอง ถวายสมบัติต่าง ๆ เพื่อเข้าสู่หัวใจแห่งชาติไทยของเรา จึงขอให้ทุก ๆ ท่านได้อนุโมทนาสาธุการทั่วหน้ากัน (สาธุ) ดีแล้วพี่น้องทั้งหลาย นราธิวาสนี้ไกล หลวงตาเคยไปแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ หรือไงที่เขาฉลองเขากง กระทรวงมหาดไทยนิมนต์ไปในงานนี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ไป ดูว่าปี ๒๕๑๓ ชักลืม ๆ ไปเสีย

    (ขออนุญาตถ่ายรูปครับ) พูดอะไร ๆ พูดกันเสียก่อน มีอะไร ๆ ว่ากันเสียก่อน รูปนี่ใคร ๆ ก็มีไม่อดอยากขาดแคลน แต่ธรรมนี้อดอยาก สนทนาธรรม หาอรรถหาธรรมแหละดี ถ่ายไปหาอะไร อยู่ ๆ มีแต่ตั้งหน้ามาถ่ายรูป นึกว่าจะมาเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมได้คติเครื่องเตือนใจกลับไปบ้าน กลับขอถ่ายภาพไปมันยังไง เอ้า มาถ่าย ให้เป็นกรณีพิเศษนะ ไม่ใช่จะให้ง่าย ๆ ให้ด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง ทำอะไรทำมีเหตุมีผล ทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ใช่ธรรม จึงไม่เล่นด้วยเรา เอ้า ถ่ายภาพเสร็จเรียบร้อยแล้วหยุด อย่าซ้ำซาก

    วันนี้ตั้งหน้าตั้งตามาหรือว่าไง

    ครับผม ตั้งหน้ามาหาหลวงปู่โดยเฉพาะเลย

    เพราะเหตุไรจึงมาหาหลวงปู่โดยเฉพาะ

    เพราะอยากจะมาช่วยชาติ ผมมา ๓ ครั้งแล้วครับผม นำผ้าป่ามา ๓ ครั้งแล้ว เมื่อก่อนผมเคยมากราบนิมนต์หลวงปู่ไป ตอนนั้นพอดีคงจะมีอุปสรรคใด ๆ ทางใต้ ไม่เรียบร้อย หลวงปู่จึงไม่ได้ไป

    แสดงว่าเคยเห็นหลวงตา ๓ ครั้งแล้ว

    ครับผม (โยม พูดแทรกขึ้น ในทีวีเห็นบ่อยค่ะ)

    เป็นไงล่ะเห็นในทีวีกับเห็นตัวจริงเป็นยังไงบ้าง

    เหมือนกัน (อีกคนพูดแทรกขึ้น ตัวจริงหล่อกว่าครับ)

    ไหนว่าไง

    ตัวจริงหล่อกว่าครับ

    ตัวจริงหล่อ ฟัง อย่าพูดมากนะผู้สาวเยอะ เดี๋ยวเขารุมหลวงตาตายเข้าใจไหม ไปพูดเรื่องหล่อเรื่องแหล่ไม่ได้นะ ผู้สาวได้ยินไม่ได้ เข้าใจหรือ ว่าผู้หญิงสวยก็เหมือนกัน ผู้ชายได้ยินไม่ได้ ฆ่ากันแหลกเลย เข้าใจหรือ เราพูดเรื่องอื่นดีกว่า

    ชาวสุไหงโกลคเขาก็ช่วยบริจาคมา เขาอยากมาหลาย ๆ คน เขาช่วยกันคนละกอง ๆ
    ก็ดีแล้ว เพราะงานนี้เป็นงานช่วยชาติเราทั้งชาติประเทศไทยเรา เรียกว่าหมดรอบประเทศนี้เป็นประเทศไทย นี่กำลังหนุนชาติไทยของเราขึ้น เวลานี้กำลังบกพร่องมาก เฉพาะทองคำรู้สึกบกพร่องมาก เราจึงรบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องทองคำมากโดยลำดับ เวลานี้มีความมุ่งมั่นที่จะให้ได้ทองคำประมาณ ๑๐ ตัน ซึ่งเวลานี้ได้ไปแล้ว ๕ ตันกว่า ยังขาดอยู่ ๔ ตันกว่า จึงได้รบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลายให้ต่างคนต่างขวนขวายหาทองคำเข้าสู่คลังหลวงของเราซึ่งเป็นหัวใจของชาติ ชาติไหนก็ดีไม่มีหลักมีเกณฑ์ใช้ไม่ได้ ต้นไม้ถ้ามีแก่นก็แน่นหนามั่นคง ไม่มีแก่นแล้วล้มได้อย่างง่ายดาย ชาติใด ๆ ก็เหมือนกันต้องมีหลักมีแก่น ชาติเราและทั่วโลกถือกันว่าทองคำเป็นแกนเป็นแก่นของชาติแต่ละชาติ ๆ แต่สำหรับชาติไทยเรารู้สึกว่าเบาบางมาก เพราะฉะนั้นจึงได้รบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลายได้เสาะแสวงหาทองคำ ซึ่งเป็นหัวใจหรือเป็นแก่นของชาติให้แน่นหนามั่นคงมากขึ้น จึงได้ประกาศเรื่อยมา

    ทางนราธิวาสก็ไป ดูได้ไปหนเดียวเท่านั้น ไปในงานที่กระทรวงมหาดไทยนิมนต์ไป เขาเรียกเขากงหรือไง (วัดเขากงครับ) เออ วัดเขากง ไปพักอยู่วัดประชาภิรมย์ แล้วก็ไปในงานเขา ไปหนเดียวแต่อยู่หลายคืน ดูเหมือน ๓ คืนหรือ ๔ คืน จากนั้นมาแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลยจนกระทั่งป่านนี้แหละ ดูเหมือนปี พ.ศ.๒๕๑๓ หรือไงลืม ๆ ไปแล้วมันนาน แต่ก่อนมันยังหนุ่มกว่านี้ รูปหล่อกว่านี้อีกเข้าใจไหม เดี๋ยวนี้กำลังจะตายยังมายอว่าหล่อมันฟังไม่ได้นะ ทางภาคใต้ก็ไปอยู่เรื่อย ๆ แต่ส่วนมากไปธุระก็เหมือนกับเป็นผู้ต้องหาไป ต้องจองจำไปตามวันตามเวลาที่นั่นที่นี่ ไม่ได้เป็นอัธยาศัยของตัวเอง จึงไม่ค่อยสะดวกสบาย ไปหลายครั้งเหมือนกัน ไปทางเครื่องบินก็ไป ไปทางรถยนต์ก็ไป

    จากนั้นมาแก่แล้วยังรู้สึกเสียใจ ยังประกาศออกให้พี่น้องทางภาคใต้เราทราบทั่วถึงกันอยู่ว่า เราตั้งโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้วทั่วประเทศไทยนะ คือในการช่วยชาติคราวนี้เราจะไปเทศน์ทุกภาคเลย กำหนดไว้เรียบร้อยนะ ภาคใต้เป็นภาคใหญ่ เรากำหนดไว้วาระสุดท้าย พอไปภาคนั้นภาคนี้เสร็จแล้วก็จะลงภาคใต้ จนกระทั่งทั่วถึงหมดแล้วค่อยขึ้นมา ทีนี้จากนั้นมาแล้วเราจะพักผ่อนหย่อนใจหรืออะไรก็แล้วแต่เรา แต่หลักใหญ่เรากำหนดไว้อย่างนั้น ทีนี้เวลาเที่ยวไปเทศน์ไป ๆ อ่อนลง ๆ สุดท้ายภาคอื่น ๆ ก็จะไม่หมด ภาคใต้เลยไปไม่ได้เลย เพราะเหตุนี้เองนะ

    ได้ประกาศทางนี้ให้บรรดาพี่น้องทางภาคใต้ทราบทั่วถึงกัน อย่าเสียใจอย่าน้อยใจ หลวงตาเป็นหลวงตาของพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ ไม่ได้เป็นของผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะนะ ทีนี้ไปไม่ได้ก็เป็นความจำเป็น เพราะธาตุขันธ์มันอ่อนลง ๆ อย่างทุกวันนี้ก็อ่อนลงทุกวัน ๆ แต่จิตใจมีกับชาติบ้านเมืองเราก็อุตส่าห์ไปตามกำลังของสภาพธาตุขันธ์นั้นแหละ ที่จะให้ไปเหมือนแต่ก่อนมันไม่ได้แหละ การเทศนาว่าการก็หลง ๆ ลืม ๆ เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน คือธาตุขันธ์เครื่องมือสำหรับใช้ของธรรมมันไม่เอาไหน อ่อนลง ๆ เคยได้ฟังเทศน์หลวงตาบัวไหมล่ะ

    ได้ฟังครับผม

    ฟังที่ไหนว่าซิ

    มาเมื่อไรก็ขอเทปไปฟังเรื่อย มานี้ก็เต็มย่าม

    ถามทีไรแพ้ทุกทีแพ้อย่างหลุดลุ่ยเลย ถามทีไรแพ้ทุกทีแพ้อย่างหลุดเลย แพ้แบบไม่มีทางต่อสู้ ว่าเคยเห็นไหม มานี่ไม่รู้กี่ครั้ง แน่ะ มันเป็นอย่างงั้นนะ ว่าเคยฟังเทศน์ไหม ฟังตลอดฟังเทป งัดออกมาจากย่ามอีก มันไม่หงายได้ไงคนเราเมื่อถูกสองหมัดสามหมัดเข้าไป มันก็หงาย เทศน์ในที่ต่าง ๆ ที่เขาถ่ายทอดสดนี้มันทั่วถึงไหม

    เคยเห็นครับผม

    เช่นอย่างเทศน์สนามหลวง เขาถ่ายทอดสดทั่วประเทศ มันถึงไหม

    ถึงครับผม

    ฟังว่าทั่วโลกมันก็ถึงนะ คือเทศน์ถ่ายทอดสดนี้จะมีเป็นครั้งคราว ไม่มีตลอดไปนะ ส่วนเทศน์ในที่ทั่ว ๆ ไปทั่วไปหมดนั่นแหละ ไปเทศน์ที่นั่นที่นี่ แต่การถ่ายทอดสดเขาจะมีเป็นระยะ ๆ ที่เป็นงานใหญ่ ๆ พอสมควรเราก็ไปเทศน์ เช่นเทศน์สนามหลวง ก็เรียกว่าเทศน์ให้ฟังทั่วประเทศไทย เป็นงานใหญ่เขาก็ถ่ายทอดสดให้ฟังหมด วันนั้นได้ฟังไม่ใช่เหรอ จำได้ไหมว่าเทศน์อะไรบ้าง คราวนี้จะเอาละนะมันแพ้แล้วผูกอาฆาต เข้าใจไหม

    หลวงปู่พูดถึงเรื่องการทอดผ้าป่า แล้วการเมืองนิดหน่อย

    ตอนท้ายที่ให้ศีลให้พรจำได้ไหมเทศน์ว่ายังไง

    จำไม่ได้แล้วครับ

    นั่นซี เห็นมองโน้นมองนี้ดูท่าจะหาทางออก

    วันนี้ทองคำได้เท่าไรนะ อ่านอีกทีหนึ่งนะ วันนี้ได้ทองคำมาจากวัดป่าภูทอง บ้านภูเขาทอง หมู่ ๒ จังหวัดนราธิวาส พระอาจารย์สมัคร และนายประจวบ เร่งพิมาน กำนันตำบลภูเขาทอง จังหวัดนราธิวาส พร้อมคณะได้ถวายเงินไทยจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท เงินดอลลาร์ ๑๐๑ ดอลล์ เท่ากับเงินไทย ๔,๖๔๖ บาท เงินมาเลเซีย ๒๐๔ เหรียญ เท่ากับเงินไทย ๒,๐๔๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๖,๖๘๖ บาท ทองคำ ๔๒ กอง โอ้ ไม่ใช่เล่น ๆ นะ เพราะฉะนั้นมันถึงอ่านตาฝ้าฟางไปหมดเพราะมันมากต่อมาก ให้ต่างคนต่างช่วยกัน ๆ
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    มาจากไหนนี่ ฟัง หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง ถวายทองคำ ๒ กิโล ๓ บาท ๕๐ สตางค์ ดอลลาร์ ๓๐๕ ดอลล์ เงินสด ๓,๒๐๐ บาท กรุณาอนุโมทนาทั่วหน้ากัน สาธุ เก่งอยู่นะธรรมลีไม่ใช่เล่นนะ ได้ทองคำมาแต่ละครั้ง ๆ นี้ไม่ย่อยนะ ผาแดงหนึ่ง ภูสังโฆหนึ่ง มาทีไรนี้โอ๋ย.หงายไปเลยละเรา เราก็อยากหงายกว่านี้ ถ้าถึง ๕ กิโลเราหงายทันทีเลย นี่ไม่หนักเท่าไรก็ไม่หงาย พอทรงได้ ได้มาเรื่อย ๆ ธรรมลีนี้หาทองคำเก่งนะ เราสู้ไม่ได้ แต่การรับนี้ได้มาเท่าไร ๆ ธรรมลีสู้เราไม่ได้ เรารับหมดทั้งโคตรเลย แต่เวลาเอามาให้ธรรมลีเก่งกว่าเรา เวลาเรารับนี้เก่งกว่าธรรมลีคือรับได้ทั่วประเทศเลยเรา

    โยม เขื่อนลำตะคอง ๑ บาทครับ

    หลวงตา คนไหนลำตะคลอง นี่เหรอ มันจำหน้าไม่ได้นะ ลำตะคอง เป็นยังไงลำคลองที่อ่างใหญ่เป็นยังไง

    โยม ดีครับ ดีอยู่ค่ะหลวงตา

    หลวงตา เราขึ้นไปดูเหมือน ๒ ครั้งแล้ว ครั้งแรกไป ครั้งสองไปอีกที

    เมื่อวานนี้ไปเทศน์ที่อำเภอโนนสะอาด ได้ทองคำ ๗ กิโล ๑๗ บาท ๙๘ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒,๘๘๓ ดอลล์ เงินสดได้ ๙๒๓,๔๗๕ บาท บวกอย่างนี้เข้าไปเรื่อย บวกเรื่อย ๆ ๆ
    โยม จังหวัดภูเก็ต ๔ กองครับ

    หลวงตา เออ พอใจ ๆ ทองคำเราเวลานี้กำลังเร่งนะ หลวงตารู้สึกจะหมุนจี๋อยู่ภายในใจ เพื่อทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน แต่เวลานี้เพื่อทองคำน้ำหนัก ๕๐๐ กิโล คือวันที่ ๑๐ ธันวา เดือนหน้า วันที่ ๑๐ จะมีงานขึ้นที่ธนาคารชาติ ซึ่งธนาคารครบรอบ ๖๐ ปี แล้วจะมีงานธนาคารชาติขึ้นมา เขานิมนต์เราไปเรียกว่าเป็นหัวหน้าแหละ เกี่ยวกับจะเอาทองเข้า เขานิมนต์เราไป ทีนี้จึงกำหนดไว้แล้วว่า ทองคำเราจะมอบธนาคารชาติคราวนี้ ๕๐๐ กิโลเป็นอย่างน้อย ได้ประกาศแล้วเวลานี้ ทองคำเรากำลังริบรวม ๆ ยังไม่พอ แต่เราได้สั่งทางโรงหลอมไปเรียบร้อยแล้วเขาได้จัดให้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ว่าให้ได้ทองคำ ๕๐๐ กิโล คือให้โรงหลอมจัดให้ครบเลย ๕๐๐ กิโล เรากำลังริบรวมทองคำ เงินสดเราควรจะซื้อทองคำก็จะนำไปซื้อ ถ้าเป็นทองคำสำเร็จรูปแล้วก็เอาไปเลย ให้ได้ครบจำนวน ๕๐๐ กิโล

    เวลานี้เราจึงกำลังร้อน หลวงตาไปไหนพวกญาติโยมฮือ ๆ เลย แตกฮือยังไง พอเห็นนี่ ไหนล่ะทองคำ เขาจะไม่แตกยังไงใช่ไหมล่ะ ไหนล่ะดอลลาร์ ไหนล่ะเงินสด มันก็กลัวละซิคน ใช่ไหม นี่ละเวลากำลังร้อน ไปที่ไหนคนแตกฮือๆ เพราะเราจะเร่งให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๕๐๐ กิโล คือเราจะมอบครั้งละ ๕๐๐ พอ ๕๐๐ ครั้งที่สองก็ ๑ ตัน เวลานี้ทองคำที่เราได้เรียบร้อยแล้ว ๕,๓๙๐ กิโล ที่ขาดไปก็ ๔ พันกว่ากิโล นี้ได้ ๕ พันกว่าแล้ว เฉพาะครั้งนี้เราจะให้ได้มอบ ๕๐๐ กิโล พูดกันอย่างตายตัวแล้ว ขึ้นเวทีแล้วว่างั้นเถอะ มีแต่ต่อยถ่ายเดียว คอยดูแพ้ชนะ ต่อยนี้ขึ้นแน่ ๆ เพราะเราเป็นผู้ประกาศเองว่า การช่วยชาติคราวนี้ที่จะมีงานธนาคารชาติขึ้นนี้ ให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๕๐๐ กิโล ส่วนดอลลาร์นั้นแน่นอนแล้ว ๒ แสนดอลล์ กะแน่นอนแล้ว เราจะมอบคราวนี้ทั้งหมด
    จะเขยิบขึ้นไปเรื่อย อย่างไรขอพี่น้องทั้งหลายทุกภาคทุกจังหวัดในประเทศไทยเราให้ต่างคนต่างหายใจร่วมกัน นำทองคำ ดอลลาร์ เงินสดเข้าสู่คลังหลวงของเรา ให้ได้หายใจโล่งทั่วหน้ากัน หลวงตาก็จะสบาย ตายไปก็เป็นสุข เวลานี้ไม่เป็นสุขนะ ไปที่ไหนจี้คนนั้นจี้คนโน้น จนเขาจะแตกบ้านแตกเมืองไปหมด หลวงตามาแล้ว วิ่งเข้าป่าเข้ารกไปละ ไม่วิ่งไม่ได้จี้เอาเลย ไหนล่ะทองคำ ไหนล่ะดอลลาร์ มันก็กลัวละซิ ก็ไม่มีดอลลาร์ให้ ไม่มีทองคำให้ มันก็วิ่งละซิ เอาตัวรอดไปเลย

    เดี๋ยวนี้กำลังหมุนติ้ว ๆ ยังไงเราจะต้องให้ได้ ๕๐๐ กิโล เพราะเราได้สั่งทางโรงหลอม ให้จัดให้ ๕๐๐ กิโลเรียบร้อยแล้ว เงินของเราพวกทั้งกฐินทั้งทองคำที่ได้มาแล้วนี้ยังไม่พอ แล้วกำลังรวบรวมอยู่ พออันนี้ได้เรียบร้อยแล้วเมื่อไร ขาดเท่าไรเราจะหาใหม่มาเพิ่มอีกให้ได้ ๕๐๐ กิโล ถ้าไม่ขาดก็เอาเข้าพอดีเลย ถ้าหากว่าพวกกฐินของเราที่ได้ตั้ง ๘๔,๐๐ กองนี้ มันยังเศษเหลืออยู่บ้าง เพราะทองได้จำนวน ๕๐๐ กิโลแล้ว เราก็จะเก็บไว้ก่อนเป็นส่วนที่เห็นว่าเหลือนะ เอาไว้สำหรับคราวหน้า คราวหน้าจะต้องมอบ ๕๐๐ กิโลเหมือนกัน เป็นพัก ๆ ไป ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกันอย่างนี้

    ให้มีความพร้อมเพรียงสามัคคีซึ่งกันและกันนะ ชาติไทยเรานี้จะขึ้นด้วยความรักชาติ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคี ด้วยความเสียสละของเรา ไม่ขึ้นอย่างอื่น จะขึ้นในจุดนี้แน่นอน จึงให้ต่างคนต่างรวมจิตใจของเราเข้าสู่จุดใหญ่คือคลังหลวง เมื่อทองคำได้เข้าสู่คลังหลวง และดอลลาร์เข้าสู่คลังหลวงแล้ว เราจะอบอุ่นทั่วประเทศไทย แล้วสมบัติเหล่านี้ก็จะหมุนออกเป็นประโยชน์แก่ชาติของเราอีกเช่นเดียวกัน ตลอดไปเลยนะ ออกหมุนไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ หลวงตาจึงได้ร้อนอยู่มากทีเดียวเวลานี้ เพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งหลายเรา ให้ได้สมมักสมหมายมีความร่มเย็นเป็นสุขหายใจทั่วท้อง หายใจโล่งสบาย ๆ ให้พากันตั้งอกตั้งใจทุกคน ชาติไทยเราเป็นชาติที่ใหญ่โต คนตั้ง ๖๒ ล้านคน เวลาขาดแคลนอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของคนไทยทั้งชาติจะต้องได้ช่วยกันเต็มกำลังความสามารถด้วยกันทุกคน ๆ ต้องความสามัคคีเป็นสำคัญนะ

    โยม อันนี้เขาส่งมาถามหลวงตา

    หลวงตา ถามว่ายังไง ใครถามมา ชื่อพนอครับ

    หลวงตา ผู้หญิงหรือผู้ชาย

    โยม ผู้หญิงครับ

    หลวงตา ถามเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เราอ่านไม่คอยชัด ลองอ่านดูซิเป็นยังไง

    โยม กราบเท้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เคารพยิ่ง ขณะนี้สังคมไทยกำลังสับสนและถกเถียงกันเรื่องบั้งไฟพญานาค มีการสัมภาษณ์ คนลาวบอกว่าไม่มีใครดูบั้งไฟพญานาคเหมือนอย่างคนไทย นอกจากนั้นบริษัทแกรมมี่ยังทำภาพยนตร์เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค โดยเน้นที่บั้งไฟ ว่าพระลาวเป็นผู้ทำขึ้นมากกว่าข้อสันนิษฐานอย่างอื่น ข้าน้อยคิดว่าความเชื่อเรื่องบั้งไฟพญานาค มีผลต่อความเชื่อในศาสนาพุทธเกี่ยวกับภพภูมิต่าง ๆ ที่ตาเนื้อมองไม่เห็น รวมทั้งเรื่องตายแล้วเกิด และเรื่องกฎแห่งกรรม จึงขอให้พ่อแม่ครูบาอาจารย์โปรดกรุณาตอบเรื่องบั้งไฟพญานาค เพื่อให้เป็นหลักฐานแก่คนทั้งโลกได้ยินในครั้งนี้ด้วย ด้วยจิตคารวะ พนอ ภู่สน

    หลวงตา อันนี้เราก็เคยอธิบายมาแล้วตั้งแต่ยังไม่ถามปัญหานี้ขึ้นมา เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องตายแล้วสูญ นี่เราเทศน์แทบทุกวันละมัง อันนี้มันล้วนแล้วตั้งแต่เรื่องของกิเลสหลอกสัตว์โลกที่เป็นนักเกิดตายด้วยกัน ไม่มีใครด้อยกว่ากัน การเกิดการตายนี้เป็นนัก นักเกิดนักตายมาทั่วหน้ากันหมด จำนวนการเกิดของตัวเองแต่ละคน ๆ นี้มีจำนวนเท่าไร ๆ นับมา เกิดมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลยด้วยกัน แต่กิเลสหูหนวกตาบอดมันก็มาบีบหูบีบตาคนเราซึ่งเป็นนักเกิดนักตายด้วยตัวเองนั้นแหละ ให้เชื่อตามมันว่า ตายแล้วสูญ นี่คือความโกหกของกิเลส ฝั่งของกิเลสว่าตายแล้วสูญจากใจดวงเดียวกัน ส่วนฝั่งของธรรมนั้นตายแล้วเกิดตลอดกัปตลอดกัลป์มา แล้วยังจะต้องตายแล้วเกิดต่อไปอีกถ้าเชื้อแห่งความเกิดยังไม่สิ้นซากจากจิตใจ แล้วความเกิดจะเกิดต่อไปตลอด ไม่มีต้นมีปลายเช่นเดียวกัน นี้คือหลักความจริงแห่งธรรม

    กิเลสมันไม่ได้พิสูจน์อะไรมันหลอกเอาเลย ว่าตายแล้วสูญ ๆ ลบล้างพวกเราที่เป็นนักเกิดนักตายตลอดสัตว์ทั้งหลายทั่วหน้ากันหมด ไม่มีงดเว้นว่าใครตายแล้วยังอยู่ไม่สูญ มีแต่ตายแล้วสูญ นี้เป็นโวหารของกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋น หรือลูบหน้าปิดตาของสัตว์โลกให้เชื่อตามมันว่าตายแล้วสูญ นี่คือฝั่งของกิเลส ทีนี้ฝั่งของธรรม คำว่าฝั่ง ใจนี้เทียบเหมือนกับแม่น้ำลำคลอง ฝั่งทางนี้เป็นฝั่งกิเลสลบล้างอรรถธรรมความจริงทั้งหลาย ฝั่งข้างนี้เป็นฝั่งของธรรม ลบล้างตัวจอมปลอมคือกิเลสที่มันหลอกลวงโลกมาตลอดเวลาให้หายซากไป ทรงไว้แต่ความจริงล้วน ๆ เท่านั้น

    ทีนี้ฝั่งของกิเลส สัตว์โลกทั้งหลายที่ตายเกลื่อนมานี้นับกัปนับกัลป์ไม่ได้ แล้วยังจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนับไม่ได้อีกเหมือนกัน กิเลสมันก็ลบล้างว่าตายแล้วสูญ นี่คือฝั่งของกิเลสตัวหลอกลวงสัตว์โลก ทีนี้ฝั่งของธรรมตายแล้วเกิด เพราะเหตุไร ทำไมถึงว่าตายแล้วเกิด กิเลสทำไมถึงว่าตายแล้วสูญ สูญเพราะเหตุไร กิเลสไม่มีเหตุผลว่าสูญเฉย ๆ สูญเพราะเหตุไรตอบไม่ได้ แต่ธรรมนี้ว่า ตายแล้วเกิด เกิดเพราะเหตุไรธรรมนี้พิสูจน์ได้เลย คืออวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ฝังอยู่ในหัวใจสัตว์ ให้พาไปเกิดไปตายอยู่ตลอดมา ทีนี้เวลาธรรมนี้ชะล้างสิ่งปิดบังทั้งหลายให้สัตว์ทั้งหลายหลงงมงายว่า ตายแล้วสูญนี้ออกตามหลักความจริงว่าตายแล้วเกิดด้วยธรรม คือให้สะอาดสะอ้านภายในจิตใจ

    ชำระล้างจิตใจเข้าไปเรื่อย ๆ เฉพาะอย่างยิ่งด้วยจิตตภาวนา อันนี้เห็นชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างอื่นพิสูจน์ได้ยาก และพิสูจน์ไม่เห็นไม่มีทาง แต่เรื่องจิตตภาวนาออกจากหลักพุทธศาสนาของเราด้วยแล้วร้อยทั้งร้อย พิสูจน์เข้าไปจะไปเห็นตัวจริง ตัวที่เป็นเงาติดอยู่ในจิต พาให้สัตว์เกิดสัตว์ตายได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น นี้แลตัวแทรกอยู่ในตัวจิต เป็นเงาอยู่ในตัวจิต แต่ทำลายตัวจิต หมุนตัวจิตให้เกิดให้ตายไม่มีเวลายับยั้งหรือหยุดยั้งได้เลย คือตัวนี้เอง เวลาภาวนาเข้าไป นี่เราพูดให้นักภาวนาได้พิสูจน์ด้วยว่า อยากจะเห็นเรื่องนี้ให้ภาวนา ทำจิตใจให้มีความสงบเย็น ใจของเราวุ่นวายส่ายแส่ มีแต่กิเลสผลักดันออกไปให้คิด ให้ปรุงฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่มีวันเข็ดหลาบอิ่มพอ หมุนอยู่อย่างนั้นตลอดไป นี้คือฝั่งของกิเลสลากสัตว์โลกให้เป็นเพื่อความลุ่มหลงตลอดไป

    ทีนี้ทำจิตที่มันวุ่นวายทั้งหลายนี้ให้เข้าสู่ความสงบ เอ้า ความสงบเราจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องกำกับใจของเราก็ได้ เช่น อย่างทางพุทธศาสนานี้ การที่จะนำคำบริกรรมมาเป็นที่เกาะที่ยึดของจิตนี้มีมากต่อมาก เช่น ท่านว่ากรรมฐาน ๔๐ ห้องมีได้ทั้งนั้น แต่เราจริตนิสัยชอบในบทใด เช่น ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้เป็นจำนวนมากก็คือว่า พุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้าง อานาปานสติบ้างหรือว่ามรณัสสติ เป็นคำบริกรรมติดอยู่กับใจ นึกบริกรรม หรือว่าเราตาย ๆ อย่างนี้ก็ได้ หรือมรณัสสติว่าความตาย ๆ อยู่กับเราทุกคนอย่างนี้ก็ได้ ให้มีสติกำกับดูอยู่ในนั้น จิตของเราจะค่อยสงบลง ๆ พอจิตสงบลงแล้วเราจะเริ่มเห็นรากฐานของใจที่ตัวเงามันพาให้เกิดให้ตายคือ อวิชชา เราจะเริ่มเห็นเป็นลำดับลำดา

    จิตใจมีความสว่างไสวขึ้นเท่าไรก็ยิ่งจะเห็น ทั้งตัวของเราทั้งเงาที่เป็นภัยต่อเราอีกเป็นลำดับ จนกระทั่งพิจารณาชำระซักฟอกหมดเงาของกิเลสได้แก่ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เรื่อยไปเลย ทีนี้เมื่ออวิชชาดับภายในจิตใจแล้ว สังขาร วิญญาณ นาม รูป ดับหมด นี้แลเข้าถึงจิตที่ตัวตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ รู้ตัวนี้ แต่เวลาจิตได้เข้าถึงนี้แล้วเรียกว่า คำว่าตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญหมดปัญหาไปเลย เหลือแต่ธรรมธาตุล้วน ๆ ปรากฏอยู่ภายในจิตใจ นี่ไม่มีเกิดไม่มีตาย ธรรมชาติที่เลิศเลอคือธรรมชาตินี้ ที่กิเลสมันต้มมันตุ๋น มันตีเสียแหลกว่าตายแล้วสูญ ๆ ไสสัตว์ให้ไปเกิดนรกอเวจี ที่ไหน ๆ เกิดหมดตายหมด ได้รับความทุกข์เพราะกิเลสหลอกด้วยกันทั้งนั้น ทีนี้พอกิเลสตัวนี้ตายแล้ว เรื่องตายแล้วสูญมันก็ไม่มี เพราะมันไม่เคยมี กิเลสหาเรื่องเฉย ๆ มีแต่ตายแล้วเกิด เมื่อชำระตัวตายแล้วเกิดนี้ออกหมดแล้ว ถึงความบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ทุกขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด ไม่เกิดก็ไม่ตายอันเดียวกัน แล้วจะมีทุกข์มาจากไหน นี่พูดถึงเรื่องอะไรที่ถามปัญหานี่ลืมแล้วนะ อย่างนั้นนะ

    โยม บั้งไฟพญานาคครับ

    หลวงตา อย่าเอามายุ่งบั้งไฟพญานาคนั่น ให้พูดถึงนี้ ที่มันพันหัวใจเราอยู่เดี๋ยวนี้มันอะไร บั้งไฟพญานาคไม่ไปหาพัน เราไปพันมันต่างหาก

    โยม เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด

    หลวงตา เออ นี่ละ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ธรรมพิสูจน์อย่างนี้ แล้วจะเห็นตายแล้วไม่สูญ อมตะไม่ตายด้วย มีเท่านั้น มีอะไรอีกล่ะ

    โยม ตกลงว่ามีบั้งไฟพญานาคจริง หรือว่าคนไทยถูกคนลาวหลอก คือหนังสือพิมพ์และไอ ที วี เขาไปทำสกู๊ปข่าวว่า ที่ไปดูบั้งไฟกันเป็นแสน ๆ เป็น ๕-๖ ปีมานี้ ที่ทำเนี่ย เขาว่าคนไทยนี้โง่ คือคล้าย ๆ กับคนไทยโง่เพราะฝั่งลาวไม่มีใครดูกัน เป็นทหารลาวเขายิงปืนส่องแสง ยิงปืนนำวิถีค่ะ ฉลองเทศกาลพญานาค แล้วคนไทยก็ฉลองเทศกาลออกพรรษา ไอ ที วี เขาทำข่าวว่า คนไทยที่ไปดูนั้นคล้าย ๆ กับเป็นคนโง่งมงายเจ้าค่ะ ทีนี้สังคมไทยก็ถกเถียงกันมาตั้งแต่งานบั้งไฟ จนบัดนี้หนังสือพิมพ์ยังเถียงกันอยู่

    หลวงตา เราจะตัดสินนะ ทางลาวว่าคนไทยเราโง่ใช่ไหม ที่ไปดูบั้งไฟนะ ถ้าคนลาวไม่ไปดู คนลาวโง่ที่สุดเลยเข้าใจไหม เอาตรงนี้เลย เอาตรงนี้ละซิ ทำไมเขาดูกันทั้งประเทศเมืองไทย ทำไมไม่ดูถ้าไม่โง่เกินไป ก็มีเท่านั้นแหละ

    โยม เขาบอกว่าทหารลาวยิงปืนเจ้าค่ะ

    หลวงตา นี่หมัดหยอกเล่น เข้าใจไหม ไอ้เรื่องโง่มันโง่ด้วยกันทุกคน ฉลาดด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เข้าใจไหม แต่เรื่องบั้งไฟมันมีหมัดรับหมัดต่อย ก็ต่อยกันไปอย่างนั้น ไม่พูดละเรื่องนี้ช่างมันเถอะ มันมีอยู่ทั่วไป ไปหาดูวับ ๆ แวม ๆ อยู่ตามริมแม่น้ำโขง ฟาดขึ้นฟ้าดูพระอาทิตย์ ถ้าไม่กลัวตาแตกดูทั้งวันก็ได้ มันยากอะไร ไปหาเกาในที่ไม่คัน อุ๊ย.ยังไงกัน เอาจุดมันสำคัญ ๆ นี่ ที่เทศน์วันนี้เป็นคติเข้าใจไหม ตายแล้วเกิดตายแล้วสูญ พิสูจน์จิตดวงนี้ จ้าขึ้นมาแล้วคำว่าตายแล้วเกิดตายแล้วสูญหายทันทีเลย เหลือตั้งแต่ธรรมอันเลิศเลอ คือธรรมธาตุของจิตดวงนี้บริสุทธิ์แล้ว ไม่มีคำว่าเกิดว่าตายเข้าไปแทรกเลย นั่น ธรรมตัดสิน ตัดสินอย่างนี้แหละ ก็มีเท่านั้นแหละ

    อันนี้ก็เคยตอบแล้วตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เขียนจดหมายมา ว่าเราจะไปเทศน์สอนบรรดาพี่น้องภาคใต้ทั้งหมด ไม่ว่าแต่เพียงจังหวัดนราธิวาสจังหวัดเดียวนะ เราจะไปทั้งหมด แต่นี้เราไปไม่ได้แล้ว การตอบของเราจึงตอบก่อนถาม ก่อนถามว่ายังไง กราบเรียนนิมนต์หลวงตาไปรับผ้าป่าช่วยชาติจังหวัดนราธิวาสด้วย สุดแท้แต่หลวงตาจะโปรดกรุณา ก็โปรดอย่างนี้ละ เข้าใจไหม ก็ยอมแล้ว มันไปไม่ได้ หมดกำลังแล้วถึงได้ประกาศยอมตนว่าไปไม่ได้แล้วต่อบรรดาพี่น้องทางภาคใต้ทั้งหลายอย่าเสียใจ เราไม่มีแง่ไหนหนักแง่ไหนเบา ภาคไหนหนักภาคไหนเบากับภาคไหนไม่มี เราเป็นคนไทยหัวใจกลางของชาติไทยด้วยกันทุกคน ให้ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจชาติไทยของเรา แล้วอุตส่าห์พยายามขวนขวายเข้ามา เงินทองข้าวของได้เท่าไรหนุนเข้าไปนี้เป็นที่พอใจนะ เอาละต่อไปนี้จะให้พร

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=296&CatID=2
     
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อปริหานิยธรรม

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    เวลานี้รวมทองคำทั้งหมดได้ ๕,๓๙๖ กิโล อันนี้รวมทองคำกฐินเข้าด้วย เว้นกฐินเงินสดที่ฝากไว้ในธนาคาร ยังขาด ๕๐๐ กิโลที่เราจะมอบวันที่ ๑๐ ธันวา อยู่ ๑๖๓ กิโลครึ่ง

    ธรรมไม่เหมือนโลก ต้องมีความเสมอ ไม่หนักโน้นเบานี้ ถ้ากิเลส...ไม่มี คำว่าประมาณไม่มี...กิเลส แต่ธรรมนี้มีตลอดตั้งแต่เล็กจนใหญ่สุด ธรรมจะมีพอเหมาะพอดีติดไปเลย เรียกว่าธรรม (อาจารย์ไพโรจน์ ดอยปุย ถวายทองคำกฐิน ๑ บาทค่ะ) เออ ท่านไพโรจน์ ดอยปุยนี้ ดูว่าบ้านเดิมอยู่ทางหนองคาย ท่านไปอยู่ดอยปุยนานแล้ว ท่านสนิทสนมกับพวกคนป่า พูดนี้ฟังไม่ทันเลย เขาเรียกพวกแม้วพวกอะไรนี่ ท่านไพโรจน์ไปอยู่นั้น อย่างนั้นละเห็นไหมล่ะ พระไปอยู่ที่ไหน ธรรมไปอยู่ที่ไหนสมานกัน สมัครสมานประสานกันเข้า ที่มันเรี่ยราดสาดกระจายอยู่ เข้ารวมตัวเป็นแท่งเป็นชิ้นเป็นอัน อันนี้พวกแม้วของเล่นเมื่อไร แม้วก็คน นั่นน่ะ มันอยู่ที่คนนะ หัวใจมีด้วยกัน

    ทางเจ้าหน้าที่รักษาป่าก็ไปอยู่ที่นั่น อันนี้ก็แปลได้ยากเหมือนกัน แต่คิดไม่ยาก มันจะมีอะไร ไอ้เรื่องกิเลสมันจะชอบเบ่ง เข้าใจไหมล่ะ ว่าเราเป็นเจ้าเป็นนาย เป็นเจ้าหน้าที่อำนาจบาตรหลวง ทำหน้าที่อะไร ๆ นี้ก็จะเอาหน้าที่ออกเบ่งแล้วก็เป็นอำนาจขึ้นมา อยากทำอะไรก็ทำละซี ทีนี้พวกนี้เขาทำงานของเขาตั้งแต่เมื่อไรอยู่ในป่าในเขา เราจะไปเบ่งเอาทันทีทันใดโดยหาเหตุผลไม่ได้ก็กระทบกันละซี สุดท้ายเจ้าหน้าที่กับพวกนี้เลยเข้ากันไม่ได้ เป็นข้าศึกต่อกัน อย่างนั้นนะ เจ้าหน้าที่ที่ว่าเก่ง ๆ แต่ก่อน โอ๋ย ถอยกรูด ๆ นะ เขาเอาจริงน่ะ มันเหมือนมดแดง กัดช่องนั้น กัดช่องนี้เข้ามา เลยอยู่ที่ไหนอยู่ไม่ได้ เข้าใจไหมล่ะ ทุกอย่างมันเข้าถึงกันได้หมด แผนการยังไง เราจะทำยังไง ๆ วิธีการใด ทางนี้ก็อยู่ไม่ได้ซี มันจะมาช่องไหนแบบไหนแบบใดไม่รู้ เผาบ้านเผาเรือนเผาอะไรเข้าไป ตกลงก็ร้อนเป็นไฟ เป็นอย่างนั้นนะ

    พอดีพระไปอยู่ที่นั่น ท่านไพโรจน์เรานี่ อยู่หนองคายอยู่อำเภออะไรน้า ท่านอยู่นั้นนานแล้ว โอ๊ย เป็นเนื้อหนังอันเดียวกันกับพวกนั้น เขาเคารพนับถือท่านมาก เวลาท่านไปอยู่นั้นท่านก็สมัครสมาน ถามเหตุถามผลทั้งสองฝ่าย ฝ่ายนี้เป็นยังไง เหตุผลกลไกอะไร ฝ่ายนี้เป็นยังไง เหตุผลกลไกอะไร ถึงได้ทะเลาะเบาะแว้งทำความเสียหายแก่กันและกัน เข้าไปสืบไปเสาะเอา ไม่เอามาประจันหน้ากัน ค่อยสอดค่อยแทรกเข้าไปก็สนิททั้งสอง พระท่านก็สนิททั้งสอง ฝ่ายเจ้าหน้าที่ท่านก็สนิท ฝ่ายนี้ท่านก็สนิท

    ท่านเข้านอกออกในแทรกนั้นแทรกนี้ได้เรื่องได้ราวมาทุกอย่าง แล้วค่อยอบรมคนละฝักละฝ่าย พวกนี้อบรมแบบนี้ ๆ ต่อไปก็เข้าประสานกันเลย ทีนี้เจ้าหน้าที่ก็ผาสุกเย็นใจ พวกนั้นก็ผาสุกเย็นใจ เวลานี้เย็นไปหมดเพราะท่านเป็นผู้สมาน เห็นไหมล่ะ เพราะฉะนั้นเขาถึงเคารพท่านไพโรจน์ที่อยู่ดอยปุย จะไปไหนเขาไม่ยอมให้ไป เห็นไหมล่ะ เขาเคารพ ตลอดถึงเจ้าหน้าที่ก็เหมือนกัน เพราะได้มีความกลมกลืนสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เป็นมิตรเป็นสหายต่อกันระหว่างพวกชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ ทีนี้ฝ่ายไหนก็ไม่อยากให้ท่านไป ท่านเลยอยู่นั้น เราได้ไปพักวัดท่านเหมือนกันตอนที่ไปเทศน์ผ้าป่า

    นี่พูดถึงเรื่องที่เอาทองคำมา ก็ท่านเองเป็นผู้ประกาศบอกคนป่าพวกแม้วหลั่งไหลมาฟังเต็มไปหมดเลย ก็มาเพราะท่านองค์เดียว เขาเคารพนับถือหมด ท่านพูดคำเดียวนี้ทั่วถึงกันหมดเลย ท่านอยู่ดอยปุย เราก็ไปเทศน์ที่นั่น นี่ละการสมัครสมานประสานสามัคคีกัน เป็นคุณเป็นประโยชน์มากมาย อะไรไม่ดิบไม่ดีเอามาซ่อม สมัครสมานเยียวยารักษา คุณภาพก็ค่อยปรากฏขึ้น ๆ แล้วใช้ได้ อันไหนไม่ดีก็ทิ้งไป ๆ สุดท้ายกลับมาเป็นข้าศึกต่อตัวเองอีก การทำลายไม่ดี การสมัครสมานเป็นของดี อวัยวะของเราส่วนไหนที่ไม่ดีรีบแก้ไข ควรใส่ยาอะไรให้รีบใส่ ตรงไหนบกพร่องให้รีบหาหยูกหายามาใส่เยียวยารักษาแล้ว อวัยวะส่วนวิการก็หายไป ๆ ไม่ใช่ว่าพอไม่ดีแล้วก็เอามีดตัดเข้าไปก็เพิ่มเลย

    นั่นละความสมัครสมานสามัคคีเป็นความดีงาม พระพุทธเจ้าทรงชมเชย สามคฺคี สมคฺคานํ ตโป สุโข ความสามัคคีความพร้อมเพรียงแห่งหมู่คณะนี้ ทำความร่มเย็นเป็นสุขต่อกัน ท่านแสดงไว้ในหลักธรรมเป็นสูตร ๆ ความสามัคคีนี้ยกขึ้นตลอดนะ เช่น พร้อมเพรียงประชุม พร้อมเพรียงกันเลิก พร้อมเพรียงกันทำกิจที่สงฆ์จะพึงทำ มีแต่ความพร้อมเพรียง ๆ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า อปริหานิยธรรม ธรรมนี้อยู่ที่ใดจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองโดยถ่ายเดียว หาความเสื่อมไม่ได้ ความสามัคคี ความสมัครสมาน เป็นของสำคัญมากทีเดียว

    อะไร ๆ ใครก็ชอบของดีทั้งนั้น ไม่ได้ชอบของชั่ว แต่การไปพูดไปกล่าวไปทำความชั่วแก่เขานี้ทำไมทำได้ ก็เพราะความขัดแย้งต่อธรรม เมื่อขัดแย้งต่อธรรมก็ทำลายกันได้คนเรา ถ้าต่างคนต่างมีความพร้อมเพรียงสามัคคี เอาหลักความถูกต้องเป็นจุดศูนย์กลางค่อยเดินเข้ามา ๆ ยอมรับกัน ใครผิดใครถูกยอมรับกัน ๆ อยู่กันได้ทั่วประเทศเขตแดน ถ้ามีแต่ความอวดดีอวดเด่น อวดรู้อวดฉลาด อวดอำนาจวาสนาป่า ๆ เถื่อน ๆ มารุกรานผู้อื่น ๆ ตลอดถึงส่วนรวมก็เป็นไฟไป ตั้งแต่ไฟกองเล็กเป็นไฟกองใหญ่เผาได้ทั้งบ้านทั้งเมือง ความอวดดีอวดเด่น การยุแหย่ทำลายการก่อกวนไม่ใช่ของดี ทำความแตกร้าวได้ทั้งนั้น ความประสับประสาน ตรงไหนไม่ดีรีบแก้ไข ๆ ก็ดีขึ้นทุกแง่ทุกมุม สุดท้ายก็ดีหมด นี่ละความพร้อมเพรียงสามัคคีพระพุทธเจ้าทรงชมเชยเป็นอย่างยิ่ง นี่ก็มีในสูตร

    เราลืมพระเจ้าแผ่นดินอะไรนา เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าจะคอยฟังอุบาย เพราะพระเจ้าแผ่นดินกับบริษัทบริวารไม่ค่อยจะลงรอยกัน เขาไม่ค่อยเคารพนับถือ จะเข้าไปหาอุบายจากพระพุทธเจ้า พระองค์ยกปึ๊บขึ้นเลย ความพร้อมเพรียงสามัคคี ลดราวาศอกซึ่งกันและกัน อย่าถือดีถือเด่น มันจะเป็นชั่วเด่นไปเรื่อย เอาความดีเข้าประสานเสมอ ความดีจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเอาความชั่วเข้าไปที่ไหนเหมือนไฟเผาโลก เผาน้อยไหม้น้อย เผามากไหม้มาก ไหม้จนหมด นั่นท่านว่า แล้วก็มาลงในความสามัคคี อย่าถือดีถือเด่น อย่าอวดดีอวดเด่น ผู้น้อยก็คน ผู้ใหญ่ก็คน ท่านสอน ก็หมายถึงว่า หัวหน้าก็คน ลูกน้องเต็มแผ่นดินก็คน มีหัวใจด้วยกัน ให้สมัครสมานหาเหตุหาผลมาประสานกัน แล้วจะมีความแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น นี่คือความรวมตัว

    แล้วก็เข้าไปหาความสามัคคี ให้มีความสามัคคี หมั่นประชุมปรึกษาหารือกันเสมอ อย่าถือดีถือเด่น อวดรู้อวดฉลาด อวดอำนาจว่าตัวเป็นผู้ใหญ่ ๆ จิตใจคนมันใหญ่ด้วยกันทุกคน ตัวเล็ก ๆ เท่าหนูมันก็มีใจ..สัตว์ แม้แต่เด็กสมมุติไปเฆี่ยนไปตีเขานี้ เขาร้องไห้เขาเสียใจขนาดไหนเด็กมีหัวใจ เคียดแค้นให้ผู้ใหญ่ นั่น นี้เขามีอำนาจน้อยในทางเปิดเผยว่าเขาต่ำ ในทางลับ ๆ ซึ่งเป็นความจริงอันหนึ่งคือจิตใจมันมีเหมือนกัน เคียดได้โกรธได้ ดีได้ นั่น นี่ละท่านจึงให้เอาธรรมเข้าไปประสานแล้วจะดีไปหมด ถ้ามีธรรมเข้าไปตรงไหนแล้ว แทรกตรงไหนจะดีขึ้น ๆ ก็อย่างนั้น
     
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อย่างเมืองไทยของเราที่ได้ดำเนินมาโดยลำดับ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็เป็นมาด้วยดีเพราะความสามัคคีของพี่น้องชาวไทยเรา คิดดูซิ อย่างช่วยชาติก็ทราบกันทั่วทั้งประเทศ ต่างคนต่างช่วย ๆ ใครอยู่แห่งหนตำบลใดมาช่วยสนับสนุนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ฟื้นฟูขึ้นมาเป็นลำดับ เป็นที่พอใจขึ้นเป็นลำดับลำดานะเวลานี้ ก็อย่างนั้นแหละ เพราะความพร้อมเพรียง ความสามัคคี ความรักชาติเป็นแกนสำคัญ มีความพร้อมเพรียง ความสามัคคี พร้อมที่จะเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองของเราซึ่งเป็นส่วนรวมอันใหญ่หลวงมาก ต่างคนต่างมีความพร้อมเพรียงกัน อย่าแตกแยกสามัคคี อย่าไปเที่ยวหาอวดดี อวดเด่น นั้นคืออวดความเลวทรามของตัวเอง หาชิ้นดีไม่ได้

    ใคร ๆ ที่อวดดีอวดเด่นคนนี้จะไม่ทำประโยชน์ให้โลกนะ จะทำแต่ความเสื่อมเสียให้โลกจนพินาศได้ คนใดไม่อวด หาเหตุหาผลที่ดิบที่ดีงาม แล้วเอาเข้ามา ๆ ของดีเข้าตรงไหนก็ดีตรงนั้น ดีในบุคคลดีในสัตว์ ดีในส่วนรวม ดีทั่วทั้งประเทศชาติ เพราะมีแต่ของดีเข้ามาประสานกันเข้าใจไหมล่ะ ของดีจึงเป็นสำคัญ ท่านเรียกว่าธรรม ดี ๆ เลิศก็มีแต่ธรรม เป็นธรรมแล้วก็ดีทั้งนั้น ดีเลิศ ให้พากันอุตส่าห์พยายาม หลวงตาก็ได้คิดเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วก่อนที่มาช่วยพี่น้องทั้งหลาย ก็เคยพูดมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว สุดหัวใจเรา คิดจนหัวอกจะแตก พิจารณาเต็มเหนี่ยวแล้วก็ออกสนาม เพราะฉะนั้นเวลาออกแล้วจึงออกเรื่อยเลย เพราะได้คิดเรียบร้อยแล้ว ที่ว่ามารบกวนพี่น้องทั้งหลายก็ถูก ทั้ง ๆ ที่หลวงตาไม่ได้หวังเอาอะไรเลยนะ แม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่ได้หวังเอาจากการช่วยเหลือนี้ ว่าจะหยิบนั้นเอาอันนี้มาเป็นของเรา เราไม่มี เราเปิดโล่งตลอด แบมือตลอดเลย เพื่อชาติบ้านเมืองของเรา

    เพราะฉะนั้นจึงขอให้พากันมีความพร้อมเพรียงสามัคคี มีเท่าไรก็ช่างเถอะ สมบัติเป็นของเราทำดีไปแล้ว ดีไปจากเรา มันก็ย้อนเข้ามาหาเราเป็นคนดี ๆ ความแน่นหนามั่นคงของชาติก็คือเราเอง จะเป็นผู้แน่นหนามั่นคง เพราะความรักชาติ ความสามัคคีของเรา นี่ละสำคัญมาก ความรักชาติ ความสงวนชาติ ให้สงวนเป็นวรรคเป็นตอนเป็นเขตเป็นแดนไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นนะ

    นี่ชาตินี้มันล้อมรอบหมด อะไรที่เป็นกฎของชาติหรือเป็นประเพณีขนบธรรมเนียมของชาติให้พากันรักษาด้วยดี เพราะบรรพบุรุษท่านพาดำเนินมาแล้วเรียบร้อยดีงาม สงบเสงี่ยมงามตา ให้เรายึดสิ่งเหล่านี้มาใช้มาปฏิบัติ จะเรียกว่าลูกที่ดีรับทอดมรดกจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาเป็นขื่อเป็นแปต่อไปได้ข้างหน้า แล้วกุลบุตรสุดท้ายทีหลังก็ยึดเราสืบทอดไปโดยลำดับ ถ้าเราพาเหลวแหลกแหวกแนว เด็กก็จะเลวไปตาม ๆ กันหมด ให้พากันระมัดระวัง อย่าสักแต่ว่าทำ อยากทำอะไรก็ทำ ให้คิดเสียก่อนนะ ให้คิดเสียก่อนว่าผิดหรือถูกอันนี้ขึ้นก่อน ว่าจะทำอะไร ๆ อย่างนี้ให้คิดเสียก่อนว่าผิดหรือถูก ถ้าเห็นว่าผิดแล้วอย่าฝืน ฝืนก็ฝืนทำลายตัวเองและส่วนรวมไปเป็นลำดับไม่มีชิ้นดีเลย ถ้าหากว่าไม่ดีไม่ทำ ต่างคนก็งดความไม่ดีนั้นเสีย ทำแต่ความดีไป ความดีก็เด่น นั่น มันขึ้นอยู่กับเราแต่ละคน ๆ นี่นะ

    เรื่องศีลเรื่องธรรมเป็นสำคัญอยู่ในหัวใจของชาวพุทธเรา อย่าห่างเหินศีลธรรม ศีลธรรมนี้ดีเลิศ เข้าตรงไหนไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัยไม่มี ดีไปหมด แม้แต่เด็ก เด็กใดเป็นคนดี ผู้ใหญ่ทราบแล้วจะไม่ทราบยังไง ก็เกิดมาจากผู้ใหญ่ เด็กดีเด็กชั่วรู้กันทั้งนั้น ผู้ใหญ่ดีผู้ใหญ่ชั่วทำไมจะไม่รู้กัน ยิ่งผู้ใหญ่ด้วยแล้วก็พร้อมแล้วที่จะแก้ไขดัดแปลงหรือส่งเสริมสิ่งที่ดีงาม ปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกโดยลำดับลำดา ด้วยความมีเหตุมีผลด้วยกัน บ้านเมืองเราก็เจริญ อย่าสักแต่ว่าอยากทำอะไรก็ทำไปตามอำเภอใจ คิดอะไรก็ทำไป คนหลักลอยหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้เลื่อนลอย โลเลโลกเลก บ้านเมืองก็เลยไม่มีขื่อมีแป ไปที่ไหนก็ทำลายแต่ขื่อแต่แปของตัวเองทั่วทั้งประเทศ เมืองนั้นเลยไม่มีขื่อมีแป คือไม่มีขนบประเพณีธรรมเนียมอันดีงาม ที่บรรพบุรุษของเราปู่ย่าตายายพาดำเนินมา เราทำลายเสียหมด สิ่งที่เหลืออยู่และเกิดขึ้นทีหลังมีแต่สิ่งเลวร้าย ๆ เด็กเกิดขึ้นมาก็เลวร้ายแล้วแต่อยู่ในท้องของแม่นู่น พอแตกออกมาก็เป็นมหาโจร นั่นเห็นไหมล่ะ ความชั่วมันฝังมาตั้งแต่ลึก ๆ นะ ออกมาข้างนอกก็ชั่วยิ่งเปิดเผย ยังทำชั่วได้มากนั่น เสียหาย ให้พากันระมัดระวังรักษา ให้รักษาขนบประเพณีอันดีงามของเราไว้ให้ดี

    อย่างที่เราเคยพูดเสมอ ๆ นั้น เราพิจารณาแล้วไม่ได้เอามาพูดเฉย ๆ นี่นะ ขนบประเพณีอันดีงามของปู่ย่าตายายของเรา ในชาติของเรา และชาติของใคร เขารักษาเป็นมรดกของชาติเขาเป็นลำดับลำดา ดูชาติใดดูการแต่งเนื้อแต่งตัวเขาจะบอกไว้เลย ชาตินี้แต่งเนื้อแต่งตัว ขนบธรรมเนียมเขาเป็นอย่างนั้น เป็นความดีงามของเขา อันนี้ชาติของเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นยังไง การนุ่งการห่ม การใช้สอยต่าง ๆ มีขอบมีเขตมีเหตุมีผลหรือไม่ ต้องเอามาคิดซิ เมื่อคิดแล้วก็นำมาปฏิบัติ ถ้าต่างคนต่างปฏิบัติตามขอบเขตของประเพณีนั้น ๆ แล้วก็ดีไป ๆ นี่บ้านเมืองเราก็มีขื่อมีแปมีหลักมีเกณฑ์ อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า เห็นอะไร ๆ มาก็คว้า ๆ ๆ นี้คือความเหลวแหลกแล้วก็แหวกแนวไปได้นะ ให้พากันรักกันสงวน

    ให้พากันพิจารณาให้ดีด้วยนะขนบประเพณีอันดีงาม การแต่งเนื้อแต่งตัวสำคัญมาก เป็นการออกแขกออกคนประกาศตัวเองว่าดีหรือชั่ว ให้เขาเห็นชัดเจนมากนะ เหล่านี้ควรมีหลักมีเกณฑ์ สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ดี ยิ่งเข้ามาในวัดในวาด้วยแล้ว ยิ่งอุจาดบาดตามาก ดูไม่ได้เลย การแต่งเนื้อแต่งตัวสะวี้ดสะว้าด เปิดหน้าเปิดหลัง แบบกิเลสลากจมูกไป ไม่มองดูศีลดูธรรมคือความดีงามบ้างเลย อันนี้เสียมากอย่าพากันทำลูกหลาน คิดดูซิตั้งแต่หมาเรามันยังเห่า คนอื่นเขามาด้วยกันยั้วเยี้ย ๆ ก็ไม่เห็นอะไร แต่คนที่แต่งตัวแข่งหมาน่ะซิ หมามันก็ต่อสู้ มันก็เห่าวอก ๆ หลวงตาซึ่งเป็นเจ้าของหมาก็ช่วยหมาขนาบกันไปเรื่อย เข้าใจไหม ช่วยหมาขนาบกันใหญ่ นั่นละแต่งตัวแบบนั้นใช้ไม่ได้อย่าเอามา

    เราไม่ได้เลิศได้เลอด้วยการแต่งตัว อันนี้เป็นเรื่องของกิเลสอวดกันต่างหาก เพราะอำนาจแห่งจิตใจที่มันต่ำทราม ไม่ใช่จิตใจที่มีคุณค่าราคาสูงอะไรนะ เป็นจิตใจที่ต่ำทรามออกมาแสดงต่อกัน คนนั้นก็ต่ำทราม แล้วแข่งกันไปแข่งในความต่ำทราม สุดท้ายต่ำทรามกันหมด ชาติไทยของเรามีแต่คนต่ำทราม เป็นยังไงน่าดูไหมพิจารณาซิ

    ของดีมีอยู่ ที่ไหนจะเลิศเลอยิ่งกว่าเมืองไทย ของดีคือธรรม เป็นแบบฉบับได้ทุกระดับ ของผู้ปฏิบัติตาม ผลประโยชน์ที่ดีงามขึ้นเป็นชั้น ๆ ให้นำมาใช้กัน อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ เสียมาก ทำแบบสุกเอาเผากิน ๆ โลเลโลกเลก ไม่มีกฎมีเกณฑ์บ้างเลย นี้เสียนิสัยจนกระทั่งวันตาย แล้วเด็กก็จะถือเอาผู้ใหญ่ที่เลวทรามนี้ละไปเป็นจิตใจอันต่ำทราม แล้วแสดงความลามกจกเปรตออกมาให้เห็นแล้วมันดูไม่ได้นะ ของดีมีอยู่ ยิ่งเราเข้ามาในวัดในวาซึ่งเป็นสถานที่เคารพบูชาอย่างยิ่งแล้ว ไฉนเราจะมาเอาของเลว ๆ อย่างนั้นมาอวดวัดมีอย่างเหรอ เราว่าจะเอามาเป็นคู่แข่งวัด มันคู่แข่งอะไรวัดท่านเลิศเลอมาพอแล้ว เอาอะไรมาแข่งท่านวะ พระท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเอาอะไรมาแข่งท่าน นอกจากความเลวของเราให้รีบปัดออกอย่าเอามาแข่ง โยนมันลงทะเลอย่างนั้นถึงจะถูก อย่าพากันทำนะลูกหลาน มันดูไม่ได้นะ

    นี่ละในฐานะที่เราเป็นพระด้วย แล้วเอาธรรมมาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย จึงเป็นภาษาธรรม ให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟัง ถ้าภาษาโลกด้วยกันแล้วต่างคนต่างโมกโขโลกนะ เห็นแก่หน้าแก่ตาเกรงใจเขาเกรงใจเรา สุดท้ายก็ต่างคนต่างทำชั่ว จะติเตียนกันยังไงติเตียนไม่ได้ เพราะเกรงใจกัน ก็มีแต่ทำความชั่วช้าลามก แต่ธรรมท่านกระตุกปุ๊บ อย่าทำอย่างนั้นไม่ดี ก็เป็นผลประโยชน์อันดีงามขึ้นมา

    นี่ละภาษาธรรม ดังที่หลวงตาได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลายเพื่อความดีงามแห่งชาติไทยของเรา แล้วประดับพระพุทธศาสนาให้สวยงาม สมชื่อสมนามว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ นั่น นี่อันสำคัญมาก การแต่งเนื้อแต่งตัวนี้สำคัญนะ ประกาศจิตใจที่ต่ำช้าเลวทรามบอกชัดเจน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องกิเลสล้วน ๆ ทีเดียว ไม่มีอรรถมีธรรมแฝงแม้นิดหนึ่ง เป็นเรื่องกิเลสล้วน ๆ ความต่ำทรามล้วน ๆ อย่าเอาเข้ามาทำลายศาสนา ทำลายวัดวาอาวาส

    นี่เป็นจุดใหญ่ที่โลกชาวพุทธเราเคารพนับถือทั่วดินแดนของไทยเรา อย่านำสิ่งนรกจกเปรตเข้ามาทำลาย เสียมากทีเดียว มองดูแล้ว มองดูคนทั้งคนมันจะดูกันไม่ได้นะ ธรรมดูได้ง่ายมาก ธรรมดู ดูละเอียดลออ เราผู้ปฏิบัติตามธรรม ควรจะฟังเสียงอรรถเสียงธรรมบ้าง ฟังเสียงกิเลสตัณหาพาคนให้จมมามากขนาดไหนเราก็เห็นกันแล้ว ทีนี้ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ถ้าอยากเป็นคนดีมีคุณค่าให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เสียงครูเสียงอาจารย์นะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ละนะ หลังจากนี้แล้วเราก็จะไปธุระ บ้านแพง

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=547&CatID=2
     
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    มหาภัยในวงกรรมฐาน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด


    เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    เรายังขาดทองคำอยู่อีก ๑๕๐ กิโล ๒๓ บาท ๕๖ สตางค์ จะครบจำนวน ๕๐๐ กิโล เราก็ได้มาเรื่อย ๆ กฐิน ๘๔,๐๐๐ กอง ยังไม่ได้ไปแตะเลยนะ เราจะรวบรวมได้ทองคำเท่าไรๆ พอจวนเวลาแล้วได้เท่าไร ขาดเท่าไร นั่นละจะถอนออกมาทันที บวกเข้าไปอย่างน้อย ๕๐๐ กิโล เวลานี้ยังไม่ได้แตะกฐิน ๘๔,๐๐๐ กอง ที่เข้าไว้แล้ว ๆ ยังไม่ได้ไปแตะ รวบรวมทองคำข้างนอกได้เสียก่อน ขาดเหลือเท่าไรแล้วนั่นละ ทีนี้หมดหวังจากข้างนอกแล้วจะเอาออกมาให้ได้เลย เวลานี้ฟังว่าขาด ๑๕๐ กิโล ๒๓ บาท ๕๖ สตางค์ ที่ว่าขาดจาก ๕๐๐ นะ หลอมทีไรมันก็ลดบ้างเป็นธรรมดา ถ้าไม่ใช่ทองแท่งนะ ถ้าเป็นทองแท่งไม่ลด
    <O:p</O:p
    (ลูกศิษย์ : ตอนนี้เขากำลังออกอากาศวิทยุไทย-ลาวไปเทกซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับเวลา ๒ ทุ่มที่อเมริกาครับ ถ่ายทอดสดแบบนี้ตั้งแต่วันอังคารถึงวันเสาร์เป็นประจำ) ทางนู้น ๒ ทุ่ม ทางนี้ก็ ๒ โมงเช้าพอดีกัน ทางนู้นเขาขอมานี่ ให้ติดต่อไปรออยู่ที่นั่นใช่ไหม (ลูกศิษย์ : ครับ เรียบร้อยแล้วเขาติดต่อมาแล้ว) เขาติดต่อมา พอพูดนี้ปั๊บก็ออกสหรัฐเดี๋ยวนั้นเลย เหมือนเราพูดสู่กันฟังเดี๋ยวนี้ กับทางสหรัฐฟังกับเราฟัง ได้ยินพร้อมกันเลย
    <O:p</O:p
    นี่ก็เรื่องมาจากสหรัฐเข้ามาหาเรา เรื่องภัยของพุทธศาสนาเรา เวลานี้เท่าที่ทราบตามที่เขามาบอกเล่าก็คือว่า ไปจากเมืองไทยนี้แหละ แล้วไปจากจุดสำคัญเสียด้วย จุดสำคัญคือวงกรรมฐานหลวงปู่มั่นที่ชาวพุทธเราตายใจ เรียกว่ายอมรับแล้วตายใจ อบอุ่นตลอดมาในสายหลวงปู่มั่นนี้ เวลานี้พระสายนี้กำลังออกไป เราอยากจะพูดเต็มอัตราของความผิดความถูกในการแสดงออกของรายนี้ว่า มหาภัยในวงกรรมฐานเรา ออกอย่างนี้ก่อนนะ กำลังเริ่มแสดงตัวเป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจของประชาชนชาวพุทธเรา ทั้งเมืองไทยและที่อื่น ๆ เวลานี้กำลังเริ่มแสดง
    <O:p</O:p
    การแสดงออกของรายนี้พูดให้ตรง ๆ ไปก็คือว่า อยากยกตนยกตัวให้เขาร่ำลือว่าเป็นผู้รู้อรรถรู้ธรรมเลิศเลอ ถึงขั้นสิ้นสุดวิมุตติพระนิพพาน ก็เคยพูดอยู่แล้วตั้งแต่เมืองไทยเรา เป็นต้นไป นี่เราทราบอย่างนี้แล้ว เราทราบมาจากลูกศิษย์ลูกหาวงชาวพุทธด้วยกันนั้นแหละว่า เวลานี้เขาว่าพระองค์นี้กำลังอวดฤทธิ์อวดเดช อวดรู้อวดฉลาด อวดมรรคผลนิพพาน บรรลุมรรคบรรลุผล มิหนำซ้ำเขายังออกมาอย่างแจ่มแจ้งเข้าอีกว่า พระองค์นี้ว่าได้หนังสือจากหลวงตาบัวไปในการพิมพ์แจกในงานศพท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์ของหลวงตาบัว เวลาเขาพิมพ์แจกทานในงานศพนี้ เขาบอกว่าพระองค์นี้ได้รับแจกหนังสือเล่มนี้ด้วย
    <O:p</O:p
    นี่ละฉากต้นที่จะขึ้น ท่านทั้งหลายพิจารณาเอา เราพิจารณาตามเรื่องราวที่เขามาบอกเล่าให้ฟังอย่างแจ่มแจ้ง ไม่มีคำว่าโกหกหรือปลอมแปลงไปที่ไหนว่า หนังสือเล่มนี้พระองค์นี้เป็นผู้มาเล่าให้ฟัง พอได้รับแจกหนังสืองานศพ ซึ่งหลวงตาบัวเป็นผู้เทศน์ในหนังสือเล่มนี้ทุกกัณฑ์ ลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ เขาพิมพ์แล้วมาแจกในงานศพท่านเจ้าคุณอุปัชฌายะเรา ที่วัดโพธิสมภรณ์ เขาบอกว่า ท่านเอาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดู อ่านดูแล้วรู้สึกว่าจับใจ ๆ หนังสือเล่มนี้เลยติดย่ามไปตลอดเลย นี่ตามที่เขามาเล่าให้ฟังอย่างนี้ เราไม่ได้ไปเห็นเอง เราพูดตามคำบอกเล่า
    <O:p</O:p
    หนังสือเล่มนี้ก็เลยติดย่ามไปเลยเรื่อย ๆ ว่าได้คติได้ความรู้วิชาแปลก ๆ ต่างๆ จนถึงขั้นแปลกประหลาดและอัศจรรย์จากหนังสือเล่มนี้ ว่าได้ธรรมะแปลกประหลาดอัศจรรย์จากหนังสือเล่มนี้ จากนั้นหนังสือเล่มนี้เป็นยังไง… (ต่อมาท่านได้นิมิตว่าหลวงตาไปบอกว่าพึ่งตัวเองได้แล้ว หลวงตากับพระองค์นี้ต่างองค์ต่างก็แยกกัน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว) ฟังซิน่ะ มาแสดงเป็นนิมิตขึ้นว่าช่วยตัวเองได้แล้ว ต่อยครูต่อยอาจารย์ก็หงายหมาได้แล้ว ว่าอย่างงี้ก็ได้ เราจะจับได้อันนี้เองนะ คือว่าหนังสือเล่มนี้เป็นฐานเหยียบขึ้นที่จะยกตัวขึ้นมา เพราะในปัจจุบันนี้บรรดาพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายก็ทราบทั่วถึงกันแล้วว่า เขายอมรับหลวงตาบัวเป็นครูเป็นอาจารย์ อยากจะว่าทั่วประเทศไทย
    <O:p</O:p
    เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้ออกจากหลวงตาบัว จึงเป็นที่ตายใจของท่านเหล่านั้น ไอ้นี้เองก็เอาหนังสือนี้ออกประกาศว่าได้รับความรู้ความวิเศษมาจากนี้ จนกระทั่งช่วยตัวเองได้หรือเลี้ยงตัวเองได้ จากนี้ก็แยกกันเลย ว่าอย่างงี้นะ เราไม่ได้ลืม ผู้มาบอกเล่าไม่ใช่ผู้มาโกหก นี่แหละจึงเป็นฐานเหยียบขึ้นได้เป็นอย่างดี เพราะหนังสือเล่มนี้ออกจากหลวงตาบัว ใครก็มีความเคารพอยู่แล้ว แล้วพระองค์นี้ก็ได้หนังสือหลวงตาบัวไปอ่าน จนได้อย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ คติทุกสิ่งทุกอย่าง แปลกประหลาดอัศจรรย์จนเลิศ ถึงขนาดว่าช่วยตัวเองได้แล้ว ทีนี้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน นี่เป็นฐานเหยียบขึ้นได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเคารพเราจากหนังสือนี้ แล้วพระองค์นี้รู้อรรถรู้ธรรมจากนี้ เขาก็ต้องยอมรับ ใช่ไหมล่ะ
    <O:p</O:p
    นี่เราก็ทราบมาเป็นลำดับ สำหรับเราเป็นคนทิฐิสูง เรายังไม่อยากเชื่อ เราว่าอย่างงี้ก่อน ก่อนที่จะเรื่องนี้จะมาประกาศย้อนหลังอีกนะ เราไม่อยากเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นคติเตือนใจดังที่กล่าวมานี้ เพราะเรื่องราวมันชักแสดงเป็นฟืนเป็นไฟออกข้างนอกแล้ว เราเชื่อเลยว่า ให้เรานี้เป็นฐานเหยียบขึ้นเพื่อยกตนเหยียบพระพุทธศาสนา หัวใจประชาชน ด้วยความปรารถนาลามกของพระองค์นี้ก็ได้ เราอยากว่าอย่างนั้น แล้วต่อมามันก็เป็นอย่างที่ว่า นี่ก็ออกมาอีกแหละ เขาบริจาคทานดังพี่น้องทั้งหลายบริจาคทั่วประเทศไทย เพื่อผ้าป่าช่วยชาติของเรา
    <O:p</O:p
    เราก็ไปในงานศพ ไอ้ตัวนี้ก็ไปในงานศพก็ไปพูดให้เขาฟัง อันนี้เขาก็มาเล่าให้ฟัง เราไม่เห็นเองนะ แต่เราเอาคำพูดที่เขามาเล่าให้ฟัง เขาไม่ได้ตั้งใจมาโกหกเรา ว่าพระองค์นี้ว่าหลวงตาบัว เขามาบริจาคอย่างนี้แล้วก็เอาเข้าพุงตัวเองหมด นี่เข้ากันได้ไหมกับหนังสือเล่มนี้ติดย่ามไปสี่ปีห้าปี จนกระทั่งช่วยตัวเองแล้ว ช่วยได้แล้วที่จะฟาดหลวงตาบัวให้หงายหมาลงไป แต่นี้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันใช่ไหม ไม่เกี่ยวก็ได้ อยู่ทางนู้นก็ได้ฟัดมาทางนี้ ทางนี้อยู่ทางนี้ก็ได้ ฟัดไปก็ได้ ใครจะหงายหมาก็แล้วแต่จะหงาย ก็มีเท่านั้น
    <O:p</O:p
    เรื่องเวลานี้กำลังเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา โดยพระองค์นี้ยกตนโพนตัว ว่าเป็นผู้วิเศษวิโสมานานพอสมควรแล้ว เราจับไว้เสมอ เราไม่เชื่อพระองค์นี้ว่าอย่างงี้เลย แล้วก็เอาเทปมาให้เราฟังอีกด้วย เราก็พูดเปิดอกเลยเชียวนะ เทปที่องค์วิเศษนี้ละเทศน์ ฟาดไป วกไปเวียนมา จนกระทั่งฟังไม่ได้นะเรา จนกระทั่งว่ามาเป็นปัญหาถามตัวเองเข้าอีกทีหนึ่ง หือ เราเทศน์สอนโลกเราก็เทศน์สอนแบบนี้ละเหรอ มันทำไมฟังไม่ได้ ภาษาธรรมทำไมเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เป็นภาษาฟืนไฟเผาไหม้ศาสนาและหัวใจคน จะเป็นภาษาอย่างนี้ไม่ได้ นี่ต้องเป็นภาษาอย่างที่ว่านั้นแหละ เผาหัวใจคนชาวพุทธเรา เราอ่านแล้ว
    <O:p</O:p
    นี้เราก็พูดเพียงย่อม ๆ คือจะฟังเทปฟังไม่ได้ว่างั้นเถอะ ไม่ถึง ๕ นาที ฝืนกรูด ๆ มันจะไม่ยอมฟัง ไอ้เราพูดตรง ๆ ก็เรียกว่า ธรรมกถึกองค์หนึ่ง หลวงตาบัวเทศน์ทั่วประเทศไทย ถึงจะไม่พูดว่า ธรรมกถึก แปลว่านักเทศน์ เราก็เทศน์ทั่วประเทศไทย แล้วทำไมฟังเทศน์กัณฑ์นี้มันเป็นยังไง มันฟังไม่ได้เลย ขวาง ๆ ตลอดเวลา แล้วฝืนใจ เอา ต้องฟัง ผู้เทศน์ยังเทศน์ได้ เราจะฟังเอาเหตุเอาผลทำไมจะฟังไม่ได้ เราก็ฟังตลอดจนจบ จนกระทั่งตอบปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างฟังหมด ด้วยความฝืนใจฟังนะเพื่อเอาเหตุเอาผล
    <O:p</O:p
    พอจบลงแล้วว่าเทศน์ไม่มีภูมิ เราพูดอย่างนี้เลย แม้แต่สมาธิก็ไม่มี ว่าอย่างนี้เลยนะ คนเทศน์มีภูมิจะไม่เทศน์อย่างนี้ ถึงขนาดนั้นละ มันผางออกมาเลยเชียว เพราะฝืนฟังไปตลอดจนกระทั่งจบ จะไม่ฟัง ฝืนฟังเพื่อเอาเหตุเอาผล พอได้ความแล้วก็บอกอย่างนี้ละ บอกว่าเทศน์ไม่มีภูมิ แม้แต่สมาธิก็ไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่าง การโต้ตอบปัญหาในแง่ใด ๆ ขวาง ๆ ไปตลอดเวลา นี่เรื่องราวก็สืบต่อมา ทีนี้ก็ระบาดออกไปทางนู้น ก็ตัวสำคัญตัวนี้เอง ว่าจะไปแสดงฤทธาศักดานุภาพทางนู้น แสดงแบบไหนพี่น้องฟังเอานะ นี่เขามาเปิดให้เราฟัง เรื่องราวทุกอย่างเขาไม่ได้มาโกหก เราก็พูดด้วยความไม่โกหก ตามที่ได้ยินได้ฟังมาเป็นอย่างนี้
    <O:p</O:p
    เงื่อนที่เราจับได้เบื้องต้นไปจากหนังสือเรา ยกเทิดทูนเรา เพื่อจะเหยียบหัวเราขึ้นไปนั่นเอง เราก็บอกโดยตรง นี่มันไม่ใช่จะเทิดทูนเรานะนี่ จะเหยียบหัวเรา เพราะคนเคารพนับถือเรามาก ต้องเอาเราเป็นโล่บังหน้า แล้วได้ความรู้วิเศษอัศจรรย์มาจากหนังสือเล่มนี้ก็มาส่อถึงเรา เพื่อให้เขายอมรับนั่นเองพูดง่าย ๆ ความจริงก็คือเหยียบหัวเราขึ้นนั่นเอง เพื่อจะให้สูงเด่น ความหมายว่าอย่างงั้น ว่าอย่างงี้แหละเรา เราพูดแล้ว เวลานี้กำลังขึ้นแล้ว พี่น้องชาวพุทธเราให้ฟังด้วยดีนะ เราฟังเสียงธรรมมานานแล้ว เสียงนี้เป็นยังไง ฟัง หรือเลิศกว่าธรรมพระพุทธเจ้าก็ให้รู้กันซิ เทียบเคียงกันให้รู้
    <O:p</O:p
    พูดออกมาคำไหน ๆ เราหยิบได้ละเล็กละน้อย ถ้าเป็นประจันหน้ากันแล้ว ถ้าหากว่าตอบก็จะตอบกันอย่างชัดเจนกว่านี้ แต่นี้เราฟังงู ๆ ปลา ๆ เราก็พูดแบบงู ๆ ปลา ๆ อย่างงี้แหละ จึงเอาคำแน่นอนยังไม่ได้จากคำบอกเล่าเท่านั้น นี่เป็นอย่างนี้ให้ฟังเอานะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้กำลังไปแสดงฤทธาศักดานุภาพอยู่ทางสหรัฐฯ จะเอาให้เป็นวิเศษวิโส เหยียบย่ำทำลายย้อนขึ้นมาหาประเทศไทยที่ชาวพุทธเราเคารพนับถือพุทธศาสนามาดั้งเดิม จะเหยียบให้แหลกหมด จะเอาศาสดาองค์ใหม่ คือเทวทัตตัวทำลายทั้งพระพุทธเจ้าและศาสนธรรมให้ฉิบหายไปจากแดนแห่งชาวพุทธเรา ไม่ให้มีเหลือเลย ไม่สงสัยเลยแหละเรา
    <O:p</O:p
    ลงได้พูดถึงขนาดนี้แล้วออกมาจากเจตนาร้ายทีเดียว ไม่ได้มีอะไร ฟังธรรมะ เสียงอรรถเสียงธรรมก็รู้ มันไม่ใช่เสียงธรรม มันเสียงมหาภัย ข้าศึกศัตรูต่อศาสนธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ สวนทางกันไปเลย เราก็ได้ยินมาแว่ว ๆ อีกข้อหนึ่ง อันนี้ก็เป็นคำบอกเล่าเช่นเดียวกัน ว่ายกพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าขึ้นเทศน์ อวดตนยกเบญจวัคคีย์ พระพุทธเจ้าเทศน์เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ท่านไม่เห็นเทศน์ถึงศีลถึงสมาธิอะไร ท่านฟาดสัมมาทิฏฐิ ที่แกยกเอามากมายนั่นแหละ ยกสัมมาทิฏฐิแบบของแกนะ ไม่ใช่ยกแบบพระพุทธเจ้าสอนโลกนะ ว่าท่านไม่เห็นพูดถึงศีลถึงสมาธิ ท่านพูดถึงเรื่องปัญญาเลย ถ้าพูดต่อหน้าเราให้เราตอบ ก็โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยได้ภาวนาหรือ มันถึงมาอวดกูอย่างนี้ มึงอย่ามาอวด
    <O:p</O:p
    พระเบญจวัคคีย์นี้ ตั้งแต่อัญญาโกณฑัญญะไปทำนายพระพุทธเจ้า จากนั้นมาท่านออกปฏิบัติตัวและทำนายพระพุทธเจ้าว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียว คืออาจารย์เหล่านั้นที่มาทายพระพุทธเจ้า คือสิทธัตถราชกุมารเวลาประสูติทีแรก อาจารย์ทั้งหลายทำนายเป็นสองแง่ ถ้าอยู่ทางโลกจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่อัญญาโกณฑัญญะในเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ชี้นิ้วเลย นี้จะเป็นพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ท่านเหล่านี้ก็ออกบวชรอ ยังไงก็จะเป็น ทำนายแล้วก็ออกบวชรอ พอพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวช เบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็ติดพันเลย นี่แหละเรื่องราวมัน
    <O:p</O:p
    เวลาพระองค์ไปทำทุกกรกิริยาของผู้ที่บำเพ็ญยังไม่เข้าอกเข้าใจ ยังไม่เคยรู้เคยเห็นก็ด้นเดาไปธรรมดาเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละ อดพระกระยาหารก็นึกว่าจะได้ตรัสรู้ ทางนี้ก็จ่อ เห็นว่าไม่ใช่ทางพระพุทธเจ้าก็พลิกจากอดพระกระยาหารนั้นเสีย กลับมาเสวยพระกระยาหาร นางสุชาดาไปถวายข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อนที่ต้นโพธิ์ใหญ่ เอา รื้อออกมาปริยัติก็รื้อออกมา ในคืนวันนั้นพระพุทธเจ้าก็พลิกมาทางอานาปานสติ ทีนี้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าเห็นพระพุทธเจ้าทรงทำความขวนขวายมาก โลภมาก กลับมาเสวยพระกระยาหาร เรียกว่ามากินข้าวเหมือนเรา ไม่ได้ตรัสรู้ละ หมดหวังแล้วพวกเรา เผ่นหนี

    <O:p</O:pเวลาพระองค์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วจึงไปสอนก็ไม่ยอมลง สรุปความลงเลย จากนี้พระองค์ก็รับสั่งย่อ ๆ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นสะดุดใจ ว่าเราได้ตรัสรู้แล้ว เราได้รู้แล้วเห็นแล้วในธรรมทั้งหลาย เราได้ตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว คำเหล่านี้ที่เรามาพูดกับพวกเธอทั้งหลายนี่เคยได้ยินเราพูดไหม แต่ก่อนท่านเหล่านี้มาบำเพ็ญกับพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่เคยรับสั่งพูดว่ายังไง จนกระทั่งถึงแหวกแนวหนีไปแล้ว ทีนี้เวลาพระองค์ทรงบำเพ็ญด้วยอานาปานสติ ในวันเดือนหกเพ็ญ ได้ตรัสรู้ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ไปเทศน์สอนเบญจวัคคีย์ทั้งห้า พระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าไม่เคารพ ว่าทำความขวนขวายมาก โลภมากแล้วจะมาสอนหาประโยชน์อะไร
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พระองค์จึงได้ย้อนเอาธรรมนี้ขึ้นมา ธรรมนี้เราเคยพูดไหมแต่ก่อน ที่พวกเธอทั้งหลายอยู่กับเราเป็นเวลานานเคยได้ยินไหม สะดุดใจ พอสะดุดใจก็ยอม ฟังซิถ้าต้องการความจริงจริงๆ พระองค์ก็แสดงขึ้นถึง เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพาขึ้นมรรค ๘ เลย จากนั้นท่านเหล่านี้ก็ได้ตรัสรู้ธรรม เอาย่อ ๆ เลยนะ คือเบื้องต้นพระอัญญาโกณฑัญญะนี้แหละได้บรรลุพระโสดา อายสฺมโต โกณฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ ใช่ไหมล่ะ ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่นั้น พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ปราศจากมลทินความมัวหมองทั้งหลาย แน่วแน่ต่อมรรคผลนิพพานแล้ว จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงรับสั่งตอบรับกันว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ได้รู้แล้วหนอ รับรองความรู้ความเห็นของพระอัญญาโกณฑัญญะ
    <O:p</O:p
    หลังต่อจากนั้นไปก็เทศน์อนัตตลักขณสูตร ยกไตรลักษณ์ขึ้นมา เบญจวัคคีย์ทั้งห้าได้ตรัสรู้ธรรมหมด บรรลุธรรมหมดทั้งห้าองค์ ส่วนพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุพระโสดาฯ ตั้งแต่เทศน์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ทีแรกนะ นี่ละพระองค์ไม่ได้แสดงศีล ไม่ได้แสดงสมาธิเพราะอะไร ท่านเหล่านี้บำเพ็ญศีลมาตั้งแต่วันบวชแล้ว ถ้าหากว่าไม่เป็นความจริง แล้วท่านทั้งหลายได้เห็นในตำราไหมว่า เบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้บวชมาห้าคน ไปเที่ยวปล้น เที่ยวฆ่า เที่ยวจี้คนทั่วประเทศเขตแดนมา เคยเห็นไหม ถ้าว่าท่านไม่มีศีล ท่านไปหาปล้นหาฆ่าใคร ๆ แม้แต่สัตว์ตัวหนึ่งก็ไม่เคยได้ยินเบญจวัคคีย์นี้ฆ่าคนฆ่าสัตว์นะ ท่านบำเพ็ญมาแต่นู้น
    <O:p</O:p
    ศีลท่านสมบูรณ์แล้ว จะไปกล่าวถึงทำไม สมาธิ จิตใจท่านอิ่มด้วยสมาธิแล้ว ยังเหลือแต่ด้านปัญญาที่ยังไม่ออกได้เท่านั้น ก็อยู่ในช่องนี้จะออกนี้ พระพุทธเจ้าจึงแสดง เทฺวเม ภิกฺขเวฯ ถึงเรื่องปัญญาล้วน ๆ เปิดทางจากสมาธิที่จิตใจอิ่มอารมณ์ อิ่มทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย คิดนั้นวุ่นนี้ นี่เป็นหัวใจที่หิวโหยเข้าใจไหม นี้จิตอิ่มตัว คือจิตอิ่มทางสมาธิ มีความสงบเย็นเรียบร้อยแล้ว ศีลท่านก็รักษามาตั้งแต่วันบวช ในตำรับตำราก็ไม่เคยได้ยินว่า เบญจวัคคีย์ทั้งห้าไปหาฆ่าผู้ฆ่าคนทั่วประเทศเขตแดน แล้วบำเพ็ญสมาธิขึ้นมาจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพาน ก็ไม่เคยได้ยิน ท่านไม่ฆ่าคนก็ทราบแล้ว
    <O:p</O:p
    สมาธิของท่านก็แน่นหนามั่นคงดีแล้ว เป็นฐานของด้านปัญญา เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงอริยสัจสัมมาทิฏฐิขึ้นแล้ว จากนั้นพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรมโสดาปัตติผล พอวันหลังขึ้นปัญญาล้วน ๆ เลย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ขึ้นปัญญาล้วน ๆ ในอนัตตลักขณสูตร ท่านเหล่านี้บรรลุธรรมด้วยปัญญาล้วน ๆ เพราะพระพุทธเจ้าเปิดทางด้านปัญญาให้ในเวลานั้น เพราะทางสมาธิ ทางศีลท่านสมบูรณ์แล้ว จำเป็นอะไรจะต้องมาเทศน์ถึงเรื่องศีลเรื่องสมาธิอีกต่อไป ถ้าไม่อย่างงั้นจะเรียกว่าศาสดาองค์เอกหรือ สอนโลกไม่รู้จักแง่หนักเบาของโลก สอนโลกได้ยังไง
    <O:p</O:p
    นี่ก็คือศาสดาเอกนั่นเอง ผู้ที่จะสอนขึ้นด้าน อนุปุพพิกถา ๕ ก็สอน เรียงไปโดยลำดับก็มี พระพุทธเจ้าเองสอนจะเป็นใครสอน สอนตั้งแต่เรื่องพื้นฐานดั้งเดิม เรื่องทาน เรื่องศีล ผู้ที่มีการทำบุญให้ทานแล้วย่อมไปสวรรค์ เทศน์เป็นลำดับ จากสวรรค์แล้วก็ อาทีนพไปสวรรค์แล้วก็ไม่ค่อยแน่นอน ก็เห็นโทษเรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังไม่พ้น จากนั้นก็เทศน์ถึง เนกขัมมะ เมื่อเห็นโทษแล้วออกบวช สลัดปัดทิ้งออกหมด นี่ท่านเทศน์เป็นลำดับ ๆ ไปตั้งแต่ขั้นพื้น ๆ เรื่องทาน เรื่องศีล สวรรค์ จากนั้นก็อาทีนพ เนกขัมมะไปเรื่อย สูง ๆ ไปเรื่อย
    <O:p</O:p
    ผู้ที่ควรเทศน์อย่างนี้พระองค์ก็เทศน์ ผู้ที่ควรจะปัดออกเลย เช่นอย่างพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้เป็นผู้ควรอย่างยิ่งแล้วต่อมรรคผลนิพพานในเวลานั้น เหมือนหนึ่งว่าประตูนี้รอแต่จะมีผู้มาเปิดปากคอก เพราะสัตว์ทั้งหลายรออยู่ปากคอกแล้วที่จะออก พอเปิดคอกปั๊บก็ เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตนฯนี้คือเปิดปากคอก ท่านเหล่านั้นก็พุ่งออกได้ พระอัญญาโกณฑัญญะออกก่อน พออันดับที่สองเปิดคอกใหญ่ก็พุ่งออกทั้งห้าองค์เลย ท่านจะไปแสดงทำไมเรื่องศีล ท่านไปฆ่าใครที่ไหน ท่านรักษาศีลมาตั้งแต่วันท่านออกบวช สมาธิท่านบำเพ็ญมาตั้งแต่ท่านออกบวช
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าจะไปกล่าวถึงอะไรเมื่อสมบูรณ์แล้ว อันใดที่ยังบกพร่อง คือปัญญา พระองค์ก็แสดงถึงเรื่องของปัญญา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป แหวกออกด้วยกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เปิดออกหมด นี่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าบรรลุธรรมด้วยปัญญา เพราะสมควรแก่ขั้นปัญญาแล้ว นี่พระพุทธเจ้าสอนโลกควรหรือไม่ควร เราไปหางมเงาอะไร จนกระทั่งถึงเอาปลามาแกงกินอิ่มแล้ว ยังไปตามหารอยปลา ปลาเอามาจากบึงไหน อยู่บึงไหน มันเป็นบ้าหรือมันจึงหาร่องหารอยนั่น เขาเอามากินจนอิ่มท้องแล้ว
    <O:p</O:p
    นี่พระพุทธเจ้าท่านแสดงไปถึงนิพพานแล้ว มันยังมาดึงหาศีล หาธรรมอะไรอีก ถ้าไม่ใช่บ้าสอนคน ถ้าเป็นศาสดาสอนโลกก็ดูเอาซิเป็นยังไง ผู้ที่สอนโดยลำดับก็มี ผู้ที่เปิดปากคอกออกเลยเดี๋ยวนี้ก็มี เข้าใจเหรอ นี่ละให้พิจารณา เพียงเท่านี้มันค้านไหม ธรรมพระพุทธเจ้า พิจารณาซิ ถ้าว่าเป็นผู้รู้ธรรมจริง ๆ ทำไมจึงไม่รู้แง่หนักเบาที่พระพุทธเจ้าสอนโลกล่ะ ต้องรู้ซิ อันใดที่ผ่านมาแล้วไปยุ่งกับมันทำไม ที่ยังไม่ได้ผ่านเปิดออกให้ผ่าน นั่นถึงถูก นี่ละมันขวางกันไหมกับธรรมพระพุทธเจ้า พิจารณาซิ
    <O:p</O:p
    แล้วยังมีอะไรอีกล่ะ (ลูกศิษย์ : ไปนิพพานง่ายนิดเดียว) นั่นฟังดู ไปนิพพานง่ายนิดเดียว โคตรพ่อโคตรแม่มันเคยไปนิพพานที่ไหนสักที มันมาโกหกโลกอย่างงั้น (ลูกศิษย์ : เขาว่าอวิชชานี่คือความไม่รู้ เขาก็ทำตรงข้ามกับความไม่รู้ คือใช้ความคิดใช้ปัญญาหาความรู้ก็ไปนิพพานได้แล้ว) แล้วปัญญาโคตรพ่อโคตรแม่มันหามาแข่งพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน ตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยมีปัญญามันเอามาอวดพระพุทธเจ้าได้ยังไง ใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ในเรื่องปัญญาปรีชาญาณ ว่าง่ายนิดเดียวๆ ก็ง่ายละซีมันเป็นเหมือนหนอนอยู่ในส้วม มันก็ง่ายนิดเดียวละซี ถ้าเป็นคนที่จะบึกบึนออกจากส้วมจากถานมันก็ต้องยากซิ แต่ผู้ที่จะจมลงในถานมันก็ง่ายแหละ อย่างที่ว่ามันง่ายนิดเดียว ก็มันปีนลงถาน
    <O:p</O:p
    เอาว่าไป (กราบเรียนอีกข้อหนึ่งจากเทปที่อัดมาเลย บอกว่าที่เรามาช้าอยู่นี่ ก็เพราะเรามามัวถือศีล มาทำสมาธิ มาภาวนาพุทโธ ๆ อยู่ ครั้งพุทธกาลสำเร็จกันมาก ๆ เพราะเขาใช้ปัญญา) เมื่อถึงขั้นปัญญาแล้วสมาธิหรือความนอนจมอยู่ในมูตรในคูถ ท่านไม่สนใจ ถึงขั้นปัญญาท่านจะออกทางด้านปัญญาทีเดียว ธรรมพระพุทธเจ้าให้เหมาะให้สมแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง ดังที่พูดตะกี้นี้แล้ว แล้วพูดอะไรตะกี้นี้ (มานั่งภาวนาพุทโธ ๆ กันอยู่เสียเวล่ำเวลา ต้องใช้ความคิดด้านปัญญาไปเลย แล้วจะสำเร็จกันเยอะๆ) ปัญญาโคตรพ่อโคตรแม่มันมาจากไหน ปัญญาประเภทนี้ ในพระพุทธเจ้าไม่มี มีแต่ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส ศีลเป็นเครื่องทำความอบอุ่นแก่จิตใจให้ทำความสงบเย็นใจได้ง่าย ไม่ระแคะระคายว่าศีลตนไม่บริสุทธิ์
    <O:p</O:p
    สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาผู้ที่มีสมาธิเป็นเครื่องอบรมจิตใจให้มีความอบอุ่นแล้ว การพิจารณาทางด้านปัญญาเพื่อความหลุดพ้นนี้คล่องตัว นั่น ปญฺญา ปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติจิตที่ปัญญาซักฟอกแล้วย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นี่คือพระโอวาท ท่านสอนบรรดาพระสงฆ์ทุกองค์เว้นไม่ได้ในเหล่านี้นะ สอนตั้งแต่ศีลขึ้นไป ศีลหนุนจิตใจให้สงบ สมาธิหนุนปัญญาให้เดินคล่องตัว ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกจิตให้พ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นี่เป็นพระโอวาทที่สอนพระบวชใหม่ พอบวชจบลงแล้วจะสอนพระโอวาทนี้ อนุศาสน์ว่าไง นิสสัย ๔ คือประเภทนี้ อกรณียกิจ ๔ นิสสัย ๔ คือประเภทนี้แหละ
    <O:p</O:p
    อกรณียกิจ ๔ คือไม่สมควรอย่างยิ่งไม่ให้ทำในกิจ ๔ ประการ เช่น ฆ่าสัตว์อย่างนี้เป็นต้น หรืออวดอุตตริมนุสสธรรม ตนโง่เหมือนหมาตายว่าเป็นอรหันต์สดๆ อย่างนี้เลวร้ายมาก ปาราชิโก โหติ อสํวาโส ผู้อวดอุตตริมนุสสธรรม ด้วยเจตนาที่เลวร้ายเหล่านี้ เรียกว่าหมดสิทธิ์ขาดจากความเป็นพระ อสํวาโส โลกร้อนอยู่โลกไม่ได้ อสํวาโส หาที่อยู่ไม่ได้ แปลเลยนั่น นี่ท่านก็แสดงไว้อย่างงั้น อรหันต์พระพุทธเจ้าท่านดำเนินตามธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น นี่ได้ธรรมแหวกแนวมาจากไหนจะมารื้อโลกรื้อสงสาร เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปมีอย่างที่ไหน พิจารณาซิ
    <O:p</O:p
    แล้วพูดถึงปัญญา เมื่อถึงขั้นปัญญาแล้วปัญญาจะออกเอง เมื่ออยู่ในขั้นที่จะอบรมต้องอบรมให้จิตสงบเย็นใจ เมื่อเย็นใจแล้วจิตอิ่มตัวในอารมณ์ไม่วุ่นวายแล้ว พาออกเดินทางด้านปัญญาพุ่งทางด้านปัญญา ผู้ที่มีจิตใจพร้อมแล้วที่จะออกทางปัญญาไม่ต้องมาสอนสมาธิกัน สอนหาอะไร ออกทางปัญญาเปิดประตูให้ เอ้า ออก ๆ เลย นี่พระพุทธเจ้าสอนโลก ใครจะเหมาะสมยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ไม่งั้นจะว่าเรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วได้เหรอ เอ้า มีอะไรว่ามาซิ
    <O:p</O:p
    (อีกข้อหนึ่ง ใครอยากได้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ยากครับผม สละความโลภอย่างเดียว โกรธยังมีอยู่ก็ได้ หลงยังมีอยู่ก็ได้ อย่าโลภก็แล้วกันเป็นพระโสดาบัน)
    <O:p</O:p
    ให้โสดาบันเลย ละความโลภได้อย่างเดียว ความโกรธ ราคะตัณหา จะมี ๒๐ ผัว ๒๐ เมียก็ได้ไม่เป็นไร ละความโลภได้อย่างเดียว คำว่าโลภมันแปลว่าอะไร แปลว่าได้ ๒๐ เมีย ๓๐ ผัวไม่พอใช่ไหม ความโลภมันเป็นข้าศึกกันหรือไม่ มันเอาพูดหาพ่อหาแม่มันหาอะไรเข้าใจหรือ นี่เห็นไหมมันอวดเอาอย่างต่อหน้าต่อตานี่เลวมากที่สุดเลยเทียว วันนี้เอาแค่นี้เสียก่อน ให้เอาไปพิจารณา
    <O:p</O:p
    (พระองค์นี้ยังไม่ได้โสดาบันเพราะยังโลภอยู่ เขาบอกว่าชนะความโลภแล้วจะได้โสดาบัน ถ้างั้นคนนี้ยังไม่ได้โสดาบัน)
    <O:p</O:p
    ไม่ได้โสดาบัน เขาก็มีโสเดาได้เข้าใจไหม ไม่ได้โสดาเขาก็มีโสเดา เขาเดาไปเรื่อยได้นี่วะจะไปว่าอะไร เอาละพอเป็นคตินะเข้าใจหรือ ให้เป็นคติเครื่องพิจารณาที่เราพูดวันนี้นะ ผลของการสำเร็จโสดาเป็นอะไรมันก็รู้แล้วในธรรมทั้งหลาย มันมาพูดหลับหูหลับตาชนฝาให้คนตาดีเขาดูได้ยังไง ตั้งแต่หมาตาบอดมันก็ยังไม่ไปชนต้นเสา ไอ้คนตาบอดชนนะ หมาตาบอดมันไม่ชนต้นเสานะมันหลบนั้นหลีกนี้ แต่คนตาบอดนี้ชนปึ๋งๆ เลย พระตาบอดยิ่งแล้วชนได้ดะไปเลย หัวพระพุทธเจ้าก็ชน ธรรมพระพุทธเจ้าจะเอาให้พังเลย นี่ละที่ว่าพระตาบอด เราไม่อยากเรียกพระนะ บักตาบอดเหมาะดี ก็ว่างั้นล่ะซิ เวลาจะเอาก็ต้องฟัดกันเลยเต็มเหนี่ยวซิ ลงมาแล้วก็เป็นคนธรรมดา เวลาขึ้นก็ซัดกันล่ะซิ เอาแค่นี้ละ ให้เอาไปพิจารณา เวลานี้กำลังไประบาดสาดกระจายอยู่ทางเมืองนอกเมืองนาสหรัฐ ทางนั้นเขาก็อยากฟัง อยากฟังเราก็ยื่นให้เลยเอาเลย มันเคยเป็นมาจากเมืองไทยนี้แล้ว ไม่มีใครยอมรับมัน มันก็โดดไปเมืองนอกมันจะไปฟาดเมืองนอก กลัวจะไม่มีโลกอยู่อีกนู่นน่ะ เข้าใจไหม เอาละพอ

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1552&CatID=2<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    กิเลสทำงานอัตโนมัติ

    เทศน์ในงานบำเพ็ญกุศลศพนางสอางค์ ทองแถม (คุณหมู)
    ณ ศาลาสวนแสงธรรม<O:p</O:p

    วันที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]


    สำหรับหลวงตาเองรู้สึกว่าหนักมากในการเทศน์ เป็นมาถึงเวลาร่วม ๕ ปีนี้แล้ว เทศน์สอนประชาชนชาวพุทธเราทั่วประเทศไทย เป็นมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ แล้วเวลานี้ก็กระจายไปถึงเมืองนอกเมืองนาเกี่ยวกับเรื่องอินเตอร์เน็ตที่เทศน์ในเมืองไทยของเรานี้ออกไปทั่วโลกเวลานี้ แม้ที่สุดเขาก็ได้ฟังสด ๆ ร้อน ๆ เช่นเดียวกับเมืองไทยเรานี้แหละ ในขณะที่หลวงตาอยู่วัดป่าบ้านตาด เทศน์ตอนเช้า เขามีเครื่องรับอยู่สถานที่นั่นแล้วก็ฟังทั่วถึงกันที่สหรัฐ ขณะที่เราเทศน์เขาก็ฟังเช่นเดียวกับผู้ฟังอยู่ในศาลาวัดป่าบ้านตาดนั้นแหละ ฟังสด ๆ ร้อน ๆ เช่นเดียวกัน เขามาขอฟังตลอด มีเครื่องอะไรก็ไม่ทราบแหละ รับกันอยู่ที่ศาลาวัดป่าบ้านตาดนั้น แล้วเขาก็ได้ฟังสด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกันกับพวกเราฟังอยู่ที่ศาลาวัดป่าบ้านตาดนั้นแล (ใช้โทรศัพท์มือถือวางที่ไมค์โครโฟนแล้วกดเบอร์ติดต่อไปยังประเทศสหรัฐเพื่อรับฟัง)
    <O:p</O:p
    ธรรมของพระพุทธเจ้า อย่างที่พวกเราๆ ท่าน ๆ ได้ยินได้ฟัง ได้พบได้เห็นกันธรรมดา เรื่องธรรมก็กลายเป็นธรรมดาไป ใครอยากจะนับถือก็ได้ ไม่นับถือก็ได้ อยากฟังก็ได้ ไม่อยากฟังก็ได้ ฟังอรรถฟังธรรม เลยกลายเป็นอิสระของกิเลสไปเสียหมด มันไม่เป็นธรรมภายในใจให้ ถ้าเราได้ปฏิบัติตามทางที่พระพุทธเจ้าสอนจริง ๆ แล้ว มันจะมีความเข้มข้นขึ้นภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติธรรม เฉพาะอย่างยิ่งการฟังธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ จากท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้เห็นภายในจิตใจจริง ๆ ถอดออกมาสด ๆ ร้อน ๆ ให้ผู้ฟังได้ยินได้ฟังกัน
    <O:p</O:p
    จิตใจจะรู้สึกความดูดดื่มในขณะที่ฟัง จนกระทั่งกลายเป็นใจที่สงบแน่วแน่ลงได้ในขณะฟังเทศน์สด ๆ ร้อน ๆ นั้นแหละ นี่ประการหนึ่ง ประการที่สอง เรานำไปปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาของเรา สถานที่ใดก็ได้ด้วยความสำรวมระวังใจที่เคยคิดเคยปรุงในเรื่องต่าง ๆ ไม่มีเวลาจบสิ้นนั้น ให้สงบลงด้วยการภาวนา โดยมีบทธรรมเป็นเครื่องกล่อมใจ หรือเป็นน้ำดับไฟ คือความคิดความปรุงนั้นเป็นลำดับลำดาไป เช่น เรานั่งภาวนา ท่านผู้ใดมีความสนใจใคร่กับธรรมบทใด ในบรรดาบทธรรมที่นำมาบริกรรมภาวนา เช่น พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรืออานาปานสติเป็นต้น
    <O:p</O:p
    บทใดก็ตามที่นอกเหนือจากนี้ไปแล้ว ถ้าเราถูกจริตนิสัยของเราในธรรมบทนั้น ๆ เราก็นำมาบริกรรมเป็นเครื่องกล่อมใจของเรา เพราะจิตนี้ตามปกติจะมีคิดมีปรุงตลอดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา จะเปิดเครื่องความคิดความปรุงตลอดไป จนกระทั่งหลับ การดับเครื่องของคนทั่ว ๆ ไป จะดับลงได้ด้วยเวลาหลับ ถ้าไม่หลับก็ต้องคิดต้องปรุงเรื่อย ๆ เปิดเครื่องไปเรื่อย เครื่องสังขารคือความคิดความปรุงนี้ มันออกมาจากธรรมชาติอันหนึ่งที่เราทั้งหลาย ซึ่งเป็นนักคิดนักปรุงด้วยกันก็ไม่ทราบว่า ความคิดความปรุงนี้เป็นไปจากอะไร มีอะไรเป็นสาเหตุให้คิดให้ปรุงไม่หยุดไม่ถอยทั้งเขาทั้งเรา เราจะไม่ทราบสาเหตุของความคิดปรุงนี้เลย
    <O:p</O:p
    แต่หลักอันใหญ่หลวงที่เป็นพื้นฐานอยู่ภายในจิตใจนั้น ท่านให้ชื่อว่ากิเลส คือความมัวหมองมืดตื้อ มันครอบอยู่ภายในจิตใจ และผลักดันออกมาให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามความต้องการของกิเลสนั้นแล ความคิดปรุงของสัตว์โลกจึงไม่มีเวลายับยั้งตั้งตัวได้ หรือดับความคิดนี้ได้เป็นกาลเป็นเวลา มีแต่ความคิดความปรุง ไม่ว่าจะคิดในเรื่องใด ความอิ่มพอของความคิดความปรุงนี้ไม่มี มีแต่อยากคิดอยากปรุงไปเรื่อย ๆ คิดเรื่องนี้แล้วต่อเรื่องนั้น คิดเรื่องนั้นต่อเรื่องนี้ เป็นสายยาวเหยียดของกิเลสที่ผลักดันออกไปให้คิดให้ปรุงต่าง ๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ
    <O:p</O:p
    นี่ท่านเรียกว่า ความคิดปรุงของสังขารที่ออกมาจากสมุทัยคือกิเลส เป็นเครื่องหนุนอยู่ภายในจิตใจ ท่านแสดงไว้ในธรรมบท ปัจจยาการ ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เป็นต้น อวิชชา คือความไม่รู้มีอยู่ภายในจิตใจ นั้นแหละเป็นรากฐานสำคัญให้ผลักดันความคิดความปรุงออกมาในแง่ต่าง ๆ ความคิดเหล่านี้จึงกลายเป็นความคิดของสมุทัย เป็นเครื่องมือของกิเลสโดยลำดับลำดาไป ไม่เหมือนความคิดของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว ซึ่งไม่มีอวิชชาเป็นเครื่องหนุนหลัง คิดออกไปก็เป็นขันธ์ล้วนๆ เพราะอวิชชาไม่มีเครื่องหนุนให้เป็นสังขารสมุทัยขึ้นมา ก็เป็นความคิดธรรมดา ๆ ไม่มีความเป็นพิษเป็นภัยหนุนออกมา คือกิเลสนั้นแหละ ตัวฟืนตัวไฟ ผลักดันให้คิด
    <O:p</O:p
    ความผลักดันให้คิดออกมาจากความอยาก หนุนอยู่เรื่อย ๆ หนุนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีหน้าแล้งหน้าฝน ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ นี่ท่านเรียกว่าสังขารของสมุทัย สัตว์ทั้งหลายจึงได้คิดด้วยกันเป็นอัตโนมัติ เพราะสมุทัยคือกิเลส เมื่อไม่มีธรรมเข้าไปคัดค้านต้านทานหรือยับยั้งกันไว้บ้าง ความคิดความปรุงซึ่งเป็นสมุทัยนี้จะคิดจะปรุงไปเรื่อย ๆ เป็นอัตโนมัติของตน เรียกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ เฉพาะอย่างยิ่งหัวใจคน ย่นเข้ามาก็คือหัวใจเราใจท่านที่เป็นชาวพุทธนี้แล หมุนให้คิดให้ปรุงอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่า กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติของมัน
    <O:p</O:p
    การทำงานของกิเลสอัตโนมัติก็เป็นการสร้างความทุกข์ ความลำบาก ความกังวลวุ่นวายขึ้นมาภายในจิตใจของเราโดยอัตโนมัติ ไม่มีที่สิ้นสุดยุติลงได้เช่นเดียวกัน นี่เรียกว่ากิเลสทำงานโดยอัตโนมัติของมัน เราก็ไม่ทราบว่าตัวคิดตัวปรุงเป็นอัตโนมัติไปตามกิเลส ไม่มีใครทราบได้เลย นี่แหละเรื่องของกิเลส ท่านผู้เป็นชาวพุทธทั้งหลายให้ทราบเสียบ้างว่า กิเลสคืออะไร กิเลสนั้นเกิดอยู่ที่ใจของสัตว์โลก ธรรมก็เกิดที่ใจของสัตว์โลก ไม่มีที่อื่นเป็นที่เกิดของกิเลสและธรรมเลย มีจิตดวงเดียวนี้เท่านั้นเป็นที่เกิด ที่อยู่ และที่ทำงานของกิเลสและธรรม คือภายในใจของสัตว์เอง<O:p</O:p

    แต่เมื่อเรายังไม่เคยศึกษาอบรมอรรถธรรมเลยนั้น จึงมีตั้งแต่เรื่องความคิดปรุงของกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติของตนโดยถ่ายเดียว โลกทั้งหลายคิดอย่างนี้ทั้งนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าความคิดนั้นเป็นกิเลส คิดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น เหมือนซุงที่ไหลลอยไปตามน้ำนั้นแหละ นี่กิเลสผลักดันก็ลอยไปตามกิเลสที่ผลักดันให้คิด คิดเรื่องใด ๆ ก็คิด จึงเป็นเรื่องอัตโนมัติของกิเลส นี่แหละตัวสำคัญที่เป็นสาเหตุให้สัตว์ทั้งหลายได้เกิดตาย ๆ อยู่ไม่หยุดไม่ถอย เพราะกิเลสตัวนี้เอง แล้วคิดปรุงส่วนมากจะมีแต่ความไม่ดีเป็นไปตามทางของกิเลส
    <O:p</O:p
    คิดแง่ไปทางความโลภก็ไม่มีหยุดมีถอย ความโกรธความเคียดแค้นไม่มีหยุดมีถอย ความคิดไปทางราคะตัณหา ความทะเยอทะยานดีดดิ้นของใจก็ไม่มีฝั่งมีฝา คิดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนี้ ท่านเรียกว่า กิเลสทำงานบนหัวใจของสัตว์แล้วกอบโกยขนทุกข์เข้ามาเผาตัวเองตลอดไป เมื่อคิดออกมาในแง่ใดที่เป็นความต้องการของกิเลส เราก็หมุนไปตามความคิดของกิเลส การอยากทำอยากพูดก็หมุนไปตามกิเลสที่อยากให้ทำให้พูด ก็จำต้องพูดต้องทำไปตามแถวแนวของกิเลส ซึ่งเป็นส่วนหยาบส่วนต่ำและเป็นภัยแก่ตัวเองตลอดไป นี่เป็นเช่นนี้
    <O:p</O:p
    เมื่อไม่มีธรรมเป็นเครื่องคัดค้านต้านทานแล้ว กิเลสจะทำงานบนหัวใจของสัตว์โลกแล้วพาหมุนไปให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในภพนั้น ๆ ตามอำนาจของตนที่ทำไว้มากน้อย ส่วนมากกิเลสจะไม่พาคิดพาปรุงให้ไปทำคุณงามความดี หรือรักษาศีล รักษาธรรมประการใด แต่จะหมุนไปในทางที่นอกเหนือไปจากธรรมและหมุนไปทางที่เป็นข้าศึกต่อธรรมและเป็นข้าศึกต่อตนไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ นี่ท่านเรียกว่า “กิเลส”ในศัพท์ธรรมะท่านเรียกว่ากิเลส คือเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่งเกิดอยู่ภายในใจ ผลักดันจิตใจออกไปให้คิดในแง่ของกิเลสล้วน ๆ ไปเลย อย่างนี้ท่านเรียกว่า กิเลสทำงานบนหัวใจของสัตว์โลก
    <O:p</O:p
    พากันเข้าใจในจุดนี้เอาไว้ ถ้ายังไม่ทราบว่า อะไรคือกิเลส ก็คือความผลักดัน ความอยาก ความหิวโหย ซึ่งเป็นอยู่ภายในจิตใจ ไม่มีเวลาหยุดหย่อนผ่อนตัวบ้างเลย นี่เรียกว่า อารมณ์ของกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติของมันบนหัวใจของสัตว์โลกทั่วๆ ไป นี่แยกออกมาเป็นอารมณ์ของกิเลส กิเลสแสดงอารมณ์อย่างนี้ขึ้นมา ทำให้เราพูดไปตามแถวแนวของกิเลส ทำไปตามแถวแนวของกิเลส ซึ่งเป็นข้าศึกต่อธรรมเรื่อย ๆ ไป สัตว์โลกผู้มีแต่กิเลสอย่างเดียวจึงทำกรรมชั่วได้มาก ทำไม่หยุดไม่ถอย ทำอยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ แม้ภายในใจนั้นแหละที่ตัวทำงานตลอดเวลาของกิเลส
    <O:p</O:p
    กาย วาจาที่เราออกมาแสดงอย่างเปิดเผยนี้เป็นกาลเป็นเวลา เช่นพูดไม่ดี พูดกระทบกระเทือน พูดกระแทกแดกดันด้วยความโกรธ ความโมโหโทโสของกิเลสนั้นแหละ พาให้พูดออกมา นี้ก็เป็นบางกาลบางเวลา และทำลายกัน ตลอดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฉกลักปล้นจี้ต่าง ๆ เป็นกิริยาแห่งการกระทำของกิเลส ซึ่งพาให้สัตว์โลกทำสิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกตัวว่าเป็นความผิดความถูก เป็นแต่ความพอใจอยากทำเท่านั้น ไม่ได้คำนึงว่าเป็นบุญ เป็นบาป ส่วนผลก็ไหลเข้ามาสู่ใจของผู้ทำด้วยความพอใจนั้นแล แต่เวลาผลแสดงขึ้นมานี้กลับเกิดความเดือดร้อนแก่จิตใจเสียเอง
    <O:p</O:p
    ใจจึงไม่พอใจที่จะรับทุกข์ของตนที่คิด ที่ปรุง ที่ทำขึ้นมา เพราะอำนาจของกิเลสพาให้ทำนั้น ๆ แล้วก็พากันคิด กันพูด กันทำไปตามแถวแนวของกิเลสตลอดไป โลกนี้จึงเต็มไปด้วยผลของกิเลสที่ผลิตออกมาจากความเคลื่อนไหวของตน คือการคิด การพูด การทำ ซึ่งกิเลสผลักดันออกมาทั่วหน้ากัน ไปที่ไหนจะหาความสุขความสบายจากกิเลสที่สร้างความสุขให้โลกนั้นจึงไม่มี หากมีก็มีเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นเหยื่อล่อปลาเท่านั้น ถ้ามีแต่เหยื่อล้วน ๆ ปลาก็ไม่ติดเบ็ด ต้องเอาเหยื่อมาติดปลายเบ็ดแล้วล่อปลา ปลาตัวโง่ก็กลืนเบ็ดเข้าไป เมื่อกลืนเข้าไปแล้วเบ็ดก็เกาะปากเลือดสาด
    <O:p</O:p
    จากนั้นเขาก็ลากขึ้นใส่เรือ ทุบหัวปลาบนเรือนั้น เอาไปต้มไปแกงกิน นี่เรียกว่า กิเลสมันมีเครื่องล่อเพียงเล็กน้อย แล้วให้ทุกข์มาตามหลังเรื่อย ๆ อย่างนี้ คนเราถ้าไม่มีเครื่องล่อ มันก็ไม่ดูดไม่ดื่ม กิเลสเป็นตัวฉลาดแหลมคม จึงมีเครื่องล่อเครื่องลวง อยากให้สัตว์ทำ อยากให้สัตว์เป็นไปตามความหลอกลวงของตน สัตว์ก็เป็นสัตว์โง่ แล้วก็ทำไปตามกิเลส สร้างความชั่วช้าลามก ล้วนแล้วแต่สร้างด้วยความพอใจ ถ้าทราบว่าความชั่วจริง ๆ แล้วสัตว์จะไม่ทำ แต่มันมีความอยากอันหนึ่งว่าจะเป็นผลอย่างงั้น ประโยชน์อย่างนี้
    <O:p</O:p
    ไปฆ่าเขามาแล้วจะได้รับความสุขความสบาย เช่น ไปฆ่าปูฆ่าปลามาก็เลยเอามาแกงกิน อร่อยลิ้นชั่วกาลชั่วเวลาก็เอา แต่เวลาบาปกรรมมันเผาจากการสร้างบาปเพราะการฆ่าปลานั้นไปนานเท่าไรก็ไม่คิด คิดแต่ลิ้นแต่ปาก หวานปากหวานคอ อร่อยในเวลาที่กินเพราะความหลงลืมตัวไปตามกิเลสหลอกลวงเท่านั้นก็ได้ นี่แหละเรื่องกิเลสหลอกลวง ถ้าธรรมดาแล้วไม่มีเครื่องล่อ สัตว์โลกก็ไม่หลง สัตว์โลกก็ไม่อยากทำ ต้องมีเครื่องล่อทุกอย่าง การฉก การลัก การปล้นสะดมเขาก็มีเครื่องล่อเหมือนกัน อยู่เฉย ๆ จะไปขโมยของเขานี้รู้สึกจะไม่มี มีความมุ่งหมายอยู่ภายในนั้น มีความสุขความเจริญ เรียกว่า เรียนลัด ไปหาด้วยกำลังแข้งของตนมันลำบากลำบน ไปขโมยเขามา เขาไม่รู้แล้วเอามากินอย่างหวานคอนี้ดีกว่า
    <O:p</O:p
    นี่กิเลสหลอกไปแบบนี้ เราก็ไปขโมยเขามากิน กินของขโมยเขามาก็คือกินฟืนกินไฟมาเผาหัวใจของเรานั้นแหละ ถึงเขาจะจับได้ไม่ได้ไม่สำคัญ อันนั้นเป็นเศษเป็นเดนต่างหาก ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนนั้นมันเป็นสมบัติของเราโดยตรง ใครจะเห็นไม่เห็นไม่สำคัญ การทำบาปจึงไม่มีที่แจ้งที่ลับ แต่กิเลสมันกระซิบกระซาบว่า ต้องไปขโมยไม่ให้เขาเห็น เราไปขโมยเขาเมื่อเขาไม่เห็นแล้วก็ไม่ถูกตำหนิติโทษว่าเป็นขโมย เราก็สนุกขโมยเอามากินตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่กินฟืนกินไฟจากบาปจากกรรมของตนที่สร้างมานั้นแหละ
    <O:p</O:p
    นี่กิเลสมันหลอกเป็นลำดับลำดาอย่างนี้ จะอยู่เฉย ๆ สัตว์โลกไม่หลง ต้องมีเครื่องหลอกให้อยากทำ อยากพูด อยากคิด อยากไปอยากมาที่ไหน มีแต่กิเลสพาให้อยาก คนเราเมื่อหิวโหย ไม่ว่าหิวข้าวหิวน้ำ หิวข้าวต้องกินข้าว หิวน้ำต้องกินน้ำ หิวหลับหิวนอน ต้องหลับต้องนอน นี่เป็นธรรมดา นี่กิเลสเมื่อมันหลอก เราหิวในสิ่งใด เราก็ต้องดีดต้องดิ้นไปตามสิ่งที่เราหิว เช่นเราอยากเห็น อยากดู อยากชม อย่างนี้เราก็ไปตามสิ่งที่เราอยากดู อยากเห็น อยากชม ไปตามความอยากที่กิเลสมันฉุดมันลากไป นี่กิเลสมันฝังอยู่ภายในจิตใจของเราและทำงานโดยอัตโนมัติ โดยเจ้าตัวไม่รู้เลยว่ากิเลสทำงานสร้างผลประโยชน์แก่ตน แต่สร้างความทุกข์ให้สัตว์โลกตลอดไปนั้น มันสร้างตลอดเวลาเช่นนี้ สัตว์โลกก็ไม่รู้
    <O:p</O:p
    วันนี้ได้ชี้แจงเรื่องอารมณ์ของกิเลสให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วกัน เพราะคำว่ากิเลส ๆ มีฝังอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าสัตว์ตัวใด ประเภทใด มีกิเลสฝังอยู่นี้ทั้งนั้นแหละ แต่สัตว์เหล่านั้นเขาไม่ค่อยรู้ภาษีภาษาเหมือนมนุษย์เรา มนุษย์เราพอรู้บ้างว่ากิเลส ทั้ง ๆ ที่สัตว์ไม่ทราบว่ากิเลสคืออะไร มนุษย์เราเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นกิเลส กิเลสมีกี่ประเภท แตกแขนงออกไปจากคำว่ากิเลสนั้นมีกี่ประเภท ประเภทใหญ่ ๆ ท่านก็บอกว่า พื้นฐานของกิเลส คือโมหะ ความลุ่มหลง กลืนจิตใจของเราไว้ในท่ามกลางแห่งความหลง เราอยู่ในวงล้อมแห่งความหลง ความหลงบีบบี้สีไฟอยู่ตลอดเวลา
    <O:p</O:p
    ทีนี้แตกแขนงออกมาก็เป็นความโลภ ความโลภเป็นยังไง ใครก็ทราบด้วยกัน โลภอยากได้ไม่มีประมาณ ได้มากได้เท่าไรยิ่งเป็นของดิบของดี ไม่ว่าผิดว่าถูกขอให้ได้ ไม่ว่าที่ลับที่แจ้ง ขอให้ได้ตามใจหวัง ที่อยาก ๆ ที่หิวโหย นี่ท่านเรียกว่ามันแตกแขนงออกไป ความโกรธ ความฉุนเฉียว ความไม่พอใจ เมื่อสิ่งใดมากระทบกระเทือนจิตใจ ไม่พอใจแล้วย่อมเป็นความโกรธ ความเคียดแค้น ดีไม่ดีฆ่าฟันรันแทงกันก็ได้ จนให้ฉิบหายไปด้วยกัน นี่ก็คือความโกรธ ทีนี้ราคะตัณหา คำว่าราคะตัณหา ได้แก่ความกำหนัดยินดีในหญิงในชาย ทั้งสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป มีราคะตัณหาเหมือนกัน มีตัวผู้ ตัวเมีย มีหญิง มีชาย
    <O:p</O:p
    สัตว์โลกมีความกำหนัดยินดีในสิ่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ต้องไปโรงร่ำโรงเรียนมาจากที่ไหน มันเป็นหลักธรรมชาติ สัตว์โลกเขาไม่มีโรงร่ำโรงเรียน เขาก็มีพืชมีพันธุ์สืบต่อกันมาโดยลำดับอย่างนี้แหละ สัตว์น้ำก็มีเป็นแถวเป็นแนวมา มีพันธุ์ของเขา สืบพันธุ์กันมาเรื่อย ๆ สัตว์น้ำ สัตว์บก บนฟ้าอากาศมีธรรมชาติคือราคะตัณหา สิงอยู่ในจิตใจของสัตว์ให้เสาะแสวงหาคู่ ถ้าตัวผู้หาตัวเมีย ตัวเมียก็หาตัวผู้ ผู้หญิงหาผู้ชาย ผู้ชายหาผู้หญิง ผู้หญิงรักผู้ชาย ผู้ชายชอบผู้หญิง มีความกำหนัดยินดีซึ่งกันและกัน นี่ก็คือราคะตัณหา เป็นสิ่งที่ย้อมจิตใจให้สัตว์ทั้งหลายหลงเคลิบเคลิ้มไปตามมัน จนลืมเนื้อลืมตัว
    <O:p</O:p
    แม้จะมีศีลธรรมอยู่ก็ไม่มองดูศีลดูธรรม มีแต่ประพฤติตัวเลยขอบเขตเตลิดเปิดเปิงไป เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหานี้มันฉุดมันลากไป มีผัวหนึ่งแล้วก็ไม่ยอมสนใจกับผัวนี้ ไม่พอ มีผัวคนนี้แล้วก็ไม่พอ ราคะตัณหาไม่พอใจ ต้องไปหาผัวใหม่มาอีก ผัวใหม่คนนี้ไม่พอ หาผัวนั้นมาอีก หาที่แจ้งที่ลับ หาทุกสิ่งทุกอย่างด้วยอำนาจแห่งราคะตัณหามันพาให้เสาะให้แสวงหา เราผู้ดีดดิ้นไปตามมันก็ไม่มีเมืองพอ ได้มากี่ผัวกี่เมียแทนที่จะอิ่มแล้ว เช่นอย่างเรารับประทาน ควรอิ่มเป็นครั้งเป็นคราวไป แต่เรื่องของกิเลสตัณหาในหญิงในชายนี้ จะไม่มีคำว่า อิ่มพอ ได้มาเท่าไรยิ่งเป็นเครื่องเสริมไฟให้มีความรัก ความคึกคะนอง ผาดโผนโจนทะยานไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นคนไม่มีฝั่งมีฝา คนไม่มีราค่ำราคา หายางอายไม่ได้ นี่ก็เพราะราคะตัณหา
    <O:p</O:p
    ทีนี้เราเป็นผู้มีศีลมีธรรม พอระลึกบาป ระลึกบุญ ระลึกผิด ระลึกถูกได้บ้าง ธรรมท่านสอนอยู่ เราได้นำมาปฏิบัติก็เริ่มมีขอบเขตไป ถ้าผู้มีความรักใคร่ใฝ่ธรรมก็มีขอบเขตไป มีผัวมีเมียก็มีขอบมีเขต มีฝั่งมีฝา เป็นที่ยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างสามีภรรยา ตายใจกันได้ เมียก็ไม่ทำใจผัวให้กำเริบด้วยการเสาะแสวงหาสิ่งที่เลยเถิดเลยแดน ผัวก็เป็นที่ไว้ใจของเมีย มีความเมตตาสงสารภรรยาของตน ภรรยาก็มีความเมตตาสงสารสามีของตน แล้วต่างคนต่างรักษาน้ำใจกันด้วยอำนาจแห่งธรรม มีขอบเขต
    <O:p</O:p
    ถ้าไฟก็ไฟในเตา คือสามีก็เป็นเตาของภรรยาให้อยู่ในเตานั้น รักชอบอยู่ในเตานี้ ภรรยาก็ถือสามีเป็นเตา อยู่ในขอบในเขต ในเตานั้น เรียกว่าเป็นผู้มีขอบมีเขต มีศีลมีธรรม แล้วไม่สร้างความชั่วช้าลามกขึ้นจากความทะเยอทะยาน เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหานี้เพิ่มเติมเข้าไปอีก ก็กลายเป็นสามีภรรยาที่ชอบธรรม ซึ่งโลกยอมรับกัน โลกยอมรับกันด้วยความมีผัวเดียวเมียเดียว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เพราะธรรมท่านแสดงไว้แล้วตั้งดึกดำบรรพ์กาลไหน ๆ มา ไม่ให้เลยขอบเขต <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2009
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อย่างที่ท่านแสดงไว้ว่า กาเมสุ มิจฉาจารฯ อย่าไปหาล่วงล้ำเขตแดนของหญิงอื่นชายอื่น หรือลูกหลานผู้ใดก็ตาม ซึ่งไม่ใช่สมบัติของตน ให้อยู่ในกรอบแห่งความเป็นสมบัติของตนนี้เท่านั้น เช่น ภรรยาก็ยินดีในสามีของตน สามีก็ยินดีในภรรยาของตนนี้เท่านั้น นอกจากนั้นไม่สนใจกับหญิงชายใด เพราะหญิงก็ดีชายก็ดี ในโลกอันนี้มันมีเกลื่อน ไม่อดไม่อยาก เรื่องหญิงเรื่องชาย ทั้งสัตว์ดิรัจฉานเขาก็มีตัวผู้ตัวเมีย มนุษย์เราก็มีหญิงมีชายทั่วโลกดินแดน เมื่อเอามาเทียบดูเหตุดูผลกันแล้ว ตามหลักของธรรมที่ท่านแสดงไว้แล้วโดยถูกต้อง ก็ไม่มีอะไรจะทำจิตใจของเราให้กำเริบเสิบสาน ทะเยอทะยานมากไปกว่าสิ่งที่มีอยู่ของตน

    สิ่งที่มีอยู่คืออะไร ภรรยาเราก็มีสมบูรณ์แบบทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ภรรยาของใครก็ตาม หญิงคนหนึ่งมีครบบริบูรณ์ในอวัยวะต่าง ๆ ครบสมบูรณ์บริบูรณ์ ผู้ชายคนหนึ่งก็มีอวัยวะครบสมบูรณ์บริบูรณ์ตามเพศของตน ๆ แม้จะเป็นหญิงใดชายใดมา มันก็ไม่ผิดแปลกจากสามีภรรยาของเราที่เคยมีต่อกันอยู่แล้ว ก็ไม่ตื่นเต้น ไม่ดีดไม่ดิ้น ไปหาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ให้ก่อฟืนก่อไฟเผาหัวอกกัน นี่ท่านเรียกว่า ปฏิบัติตนด้วยศีลด้วยธรรม สามีก็อบอุ่นตายใจกับภรรยา ภรรยาก็มีความอบอุ่นตายใจกับสามีของตน มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ไปที่ไหนไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ไปหาอยู่หากิน หารายได้ทั้งใกล้ทั้งไกล นอกบ้านในบ้าน ไปที่ไหนเราก็มีศีลมีธรรมภายในใจ รู้แล้วว่าเป็นของเขาของเรา เราไม่ไปยุ่ง
    <O:p</O:p
    ผลรายได้ที่เกิดจากการทำงานของเราก็มาเลี้ยงครอบครัวให้สงบร่มเย็น อบอุ่นไปตาม ๆ กัน ทางจิตใจก็ไม่กำเริบเพราะสามีแหวกแนว ภรรยาแหวกแนว ต่างคนต่างมีความสุจริตต่อกันอย่างนี้ ท่านเรียกว่าคนมีธรรม นี่ละเรื่องมนุษย์เรามีธรรม ถ้าไม่มีธรรมเตลิดเปิดเปิงหมาสู้ไม่ได้นะ เพราะมนุษย์นี้ฉลาดมาก การทำความชั่วช้าลามก พิสดารมาก ไม่มีใครเกินมนุษย์ แต่เมื่อมีศีลธรรมมาแล้ว จะฉลาดในสิ่งที่เป็นผลเป็นประโยชน์โดยถ่ายเดียว สิ่งที่เป็นโทษเป็นกรรมมนุษย์ผู้มีศีลธรรมจะงดเว้นโดยเด็ดขาด ไม่ให้เข้ามาแตะต้องตัวเองได้เลย นี่เรียกว่า ศีลธรรม
    <O:p</O:p
    เราก็เป็นชาวพุทธ พี่น้องทั้งหลายเป็นชาวพุทธ ควรที่จะรักษาศีลธรรมข้อนี้ให้แนบสนิทกับตนระหว่างสามีภรรยา อย่าเตลิดเปิดเปิง เสียหายมากทีเดียว และโทษอันนี้เป็นโทษที่หนักมากตามหลักธรรมท่านแสดงไว้ว่า โทษอันนี้ทำหัวอกของอีกฝ่ายหนึ่งให้อกหักทีเดียว อกแตก อกหัก เพราะเป็นความเสียใจ เป็นฝ่ายสามีทำ ภรรยาก็อกแตก ภรรยาทำ สามีก็อกแตก ความคิดความเคียดแค้น ความทุกข์ ความเดือดร้อน ท่านจึงสอนว่า อันนี้เป็นสิ่งที่รุนแรงมาก เรื่องกรรมมีรุนแรงมากทีเดียว เพราะความรักในโลกนี้ไม่มีอะไรรักเท่ารักสามีภรรยา
    <O:p</O:p
    สามีภรรยามีความรักความสนิทติดพันต่อกัน ประหนึ่งว่าเป็นอวัยวะเดียวกัน จึงไม่มีการแตกการแยกไปไหนจากทางศีลธรรม ต้องกลมกลืนกันไปตั้งแต่วันแต่งงานกันแล้วจนกระทั่งวันตายด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน นี่เป็นเรื่องศีลเรื่องธรรมอบอุ่น ทีนี้พอไปภพหน้าชาติหน้า ผู้มีศีลธรรมอันดีงามด้วยกัน มักจะพบกันอยู่เสมอในภพชาติต่างๆ ที่เคยเป็นผัวเป็นเมียกันมาแล้ว เพราะความมีศีลธรรม นี่ละเรื่องของบาปของกรรม หนักตรงนี้มากทีเดียว ตกนรกก็เป็นนรกที่แผดเผามากที่สุด ประหนึ่งว่าเป็นนรกพิเศษ ความทุกข์พิเศษ ความทรมานพิเศษ อยู่กับผู้ที่ล่วงเกินศีลข้อนี้แล จึงพากันระมัดระวัง นี่ท่านเรียกว่า ราคะตัณหา
    <O:p</O:p
    นี่แยกออกมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง พอทราบพอเข้าใจกันว่า อะไรคือกิเลส ความโลภ คือกิเลส อารมณ์ของความโลภทำให้เกิดความอยากได้ อารมณ์ของความโกรธทำให้อยากโกรธ เคียดแค้น อารมณ์ของราคะตัณหาทำให้อยากเสาะแสวงหาหญิงหาชาย ไม่มีเวลาผ่อนคลาย ไม่มีเวลายับยั้งชั่งตัวได้เลย นี่ท่านเรียกว่า ความอยากอันรุนแรง คือราคะตัณหานี้รุนแรงมากทีเดียว ไม่ต้องมีใครเรียน ธรรมชาตินี้มีอยู่กับหัวใจของทุกคนทุกสัตว์ เกิดขึ้นมาหากรู้กันเองๆ ไม่ต้องไปหาตั้งโรงร่ำโรงเรียนที่ไหน สัตว์ทั้งหลายก็สืบพันธุ์กันมาจนกระทั่งปัจจุบัน ถ้าจะแหวกแนวบ้างก็คือมนุษย์เรา ไปหาเรียนที่นั่น เรียนที่นี่
    <O:p</O:p
    อย่าให้พูดไปมากนักนะ ไม่เรียนมันก็รู้อยู่แล้ว นี่เรียกว่ากิเลส กิเลสเหล่านี้แลพาสัตว์ทั้งหลายให้ทำบาปทำกรรมโดยไม่คำนึงถึงผิด ถูก ชั่ว ดี ต้องมีศีลมีธรรมเข้าบังคับ คนที่มีศีลมีธรรมเข้าบังคับจิตใจแล้ว จิตใจจะเพิ่มน้ำหนัก มีสติดีขึ้น ปัญญาดีขึ้น หิริโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมทั้งหลายจะดีขึ้น ๆ หนักแน่นขึ้นทุกวัน ๆ นี่หมายถึงว่า จิตใจของเราที่ไม่มีอรรถมีธรรมทีแรกมันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ทีนี้เวลาเราได้รับการอบรม จิตใจของเราก็ถูกตีตะล่อมเข้าสู่อรรถสู่ธรรม ดังที่แสดงไว้แล้วเบื้องต้น ว่า “การอบรมภาวนา”
    <O:p</O:p
    เมื่อเราอบรมจิตใจของเราซึ่งเคยคิดเคยปรุง เตลิดเปิดเปิงตลอดมาตั้งแต่ตื่นนอนมาถึงหลับ ๆ ทุกวี่ทุกวันนะ ให้เราทำใจของเราให้สงบด้วยธรรม ธรรมนั้นมีธรรมบทใดที่จะนำมาบริกรรม เรานำมาบริกรรม เช่นพุทโธ หรือธัมโม เป็นต้นนะ ให้มีสติติดแนบอยู่กับคำบริกรรมนั้น ไม่ให้ส่งจิตไปสู่ที่อื่นที่ใด คิดเรื่องใดมากยิ่งกว่ามาคิดเรื่องคำบริกรรม คือพุทโธ ๆ มีสติบังคับเอาไว้ ตามธรรมดาของจิตมันจะอยากคิดเรื่องนอกซึ่งเคยคิดมาแล้วเป็นกำลัง เราบังคับเอาไว้ให้อยู่ในคำบริกรรม เอาคำบริกรรมเป็นน้ำดับไฟ
    <O:p</O:p
    ดับลงไปจุดนั้นแหละ จุดที่จิตมันชอบคิดชอบปรุงนั้นแหละ ให้คิดปรุงคำบริกรรมซึ่งเป็นอารมณ์ของธรรมนี้แทนที่ความคิดของกิเลส ซึ่งไม่ได้หลักได้เกณฑ์ แต่คิดเรื่อยคิดเปื่อยไปอย่างนั้น ระงับความคิดประเภทนั้น ให้จิตเข้ามาคิดคำว่าพุทโธ ซึ่งเป็นอารมณ์ของธรรม แล้วจิตจะค่อยสงบเย็นลงไป ๆ ภายในใจของผู้ภาวนานั้นแล นี่แลคือรากแก้วของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา พระสงฆ์สาวกตรัสรู้หรือบรรลุธรรมด้วยการภาวนา มีการระงับดับอารมณ์ของจิตซึ่งเป็นอารมณ์ของกิเลสเข้ามาเป็นลำดับ ด้วยน้ำดับไฟคือคำภาวนา
    <O:p</O:p
    การสำรวมระวังจิตของตนด้วยดี จิตจะปรากฏเป็นความสว่างไสว สงบร่มเย็นขึ้นมากับผู้ภาวนาด้วยบทธรรมต่าง ๆ นั้นแล นี่ละเรื่องศาสนาน่ะที่จะค่อยเด่นในจิตใจของชาวพุทธเรา ถ้ามีแต่ธรรมดาเฉย ๆ ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน ถือพุทธศาสนาอย่างนี้ จิตใจมันลอยนะ ไม่ค่อยมีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีจุดอันสำคัญ ๆ ที่จะยึดจะถือไว้ได้นะ ถ้ามีภาวนาแล้วจิตใจของเราจะมีความแน่นหนามั่นคง การทำบุญให้ทานซึ่งเป็นนิสัยของมนุษย์ของชาวพุทธเรานั้นน่ะ มีทั่วดินแดนและทุกภาคแห่งเมืองไทยของเรา ไม่ได้ตำหนิ การทำบุญให้ทาน การเฉลี่ยเผื่อแผ่แก่กันและกันนี้มีด้วยกัน แต่นี้มันเป็นนิสัยอันหนึ่งอยู่ในนิสัยธรรมดาของชาวพุทธ
    <O:p</O:p
    แต่เมื่อผู้ได้อบรมจิตใจภาวนา มีผลปรากฏขึ้นเป็นความสงบสุขร่มเย็นแก่จิตใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการภาวนา หรือเกี่ยวข้องกับใจนี้จะมีความแน่นหนามั่นคงมากขึ้น เพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ เช่นการให้ทาน มีความเจาะจงอยู่ภายในจิตโดยเฉพาะ ๆ การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา ทุกอย่างมีสติมีปัญญา มีความเจาะจงในกิจการนั้น ๆ เป็นลำดับลำดา ผลก็เพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ การให้ทานของคนธรรมดา กับการให้ทานของผู้ที่มีจิตตภาวนาสงบร่มเย็นนี้มีน้ำหนักต่างกันมากนะ สำหรับการให้ทานทั้งสองประเภทนี้ แล้วผลก็ต่างกัน
    <O:p</O:p
    นี่ละท่านจึงสอนให้พวกเราทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธ ได้ชิมรสของพระพุทธศาสนาบ้างด้วยการภาวนา เพียงแต่เราเรียนตามตำรับตำรานั้นใคร ๆ ก็เรียนได้ เด็กก็เรียนได้ ผู้ใหญ่เรียนได้ ผู้หญิงเรียนได้ ผู้ชายเรียนได้ พระเรียนได้ เณรเรียนได้ จำได้ด้วยกันแต่ชื่อของอรรถของธรรม ส่วนธรรมแท้ ๆ ที่จะเป็นผลขึ้นมาให้เป็นที่ดูดดื่มจิตใจของเรานั้น เราไม่ได้ปฏิบัติ ธรรมก็ไม่ปรากฏ จะปรากฏตั้งแต่ความจดความจำ จึงควรให้มีการปฏิบัติตนเอง ให้มีจิตสงบเย็นใจ เมื่อจิตมีความสงบเย็นใจแล้วจะแสดงความแปลกประหลาดขึ้นภายในใจของผู้ภาวนานั้นแล ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะธรรมนี้เป็นธรรมรากฐาน เป็นธรรมพื้นฐาน เป็นงานที่จะทรงมรรคทรงผลขึ้นโดยลำดับ ตั้งแต่จิตเริ่มสงบจากการภาวนา จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น จะไม่นอกเหนือไปจากจิตตภาวนานี้ได้เลย
    <O:p</O:p
    นี่ละจิตใจที่ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ไม่รู้บาปรู้บุญคุณโทษประการใดก็ตาม แต่เวลาได้มาฝึกฝนอบรมจิตใจเพราะการภาวนานี้ จิตจะค่อยรู้เนื้อรู้ตัว มีความสงบร่มเย็น พอจิตสงบร่มเย็น แล้วจะปรากฏเป็นความสุขที่แปลกประหลาดขึ้นมา ผิดกับความสุขทั้งหลายที่เราเคยผ่านมาแล้วตั้งแต่วันเกิด ไม่เคยมีความสุขประเภทที่แปลกประหลาดเหมือนจิตตภาวนานี้เลย ในส่วนไหนๆ ก็ตาม แต่เวลาเรามาภาวนา จิตของเราเกิดความสงบเย็นใจขึ้นมาๆ นี่เรียกว่าได้ผล การภาวนาได้ผลคือความสงบใจ เพราะอำนาจแห่งคำบริกรรมเป็นน้ำดับไฟ
    <O:p</O:p
    เอาคำบริกรรมทับความคิดความปรุงของเรา ซึ่งเป็นกิเลสแต่ก่อนออก เอาความคิดความปรุงของธรรมนี้แทนที่เข้าไป มีสติจดจ่อกับคำบริกรรม แล้วจิตใจจะเย็นขึ้นมา ไม่เหมือนกับความคิดที่เป็นกิเลส ความคิดที่เป็นกิเลส คิดเท่าไรเป็นกิเลสมากน้อย ๆ เป็นลำดับ แต่ความคิดที่เป็นอารมณ์ของธรรมมีพุทโธ ๆ เป็นต้นกำกับใจนี้จะสร้างความสงบร่มเย็นให้แก่เรา นี่ละอารมณ์ของธรรมกับอารมณ์ของกิเลสต่างกันอย่างนี้ ความคิดเหมือนกันก็ตาม แต่คิดอันหนึ่งไปทางกิเลสก็สร้างความทุกข์ขึ้นมา คิดอันหนึ่งไปทางอรรถทางธรรม แล้วคำบริกรรมก็เป็นอารมณ์ของธรรม คิดอยู่ตลอดเวลา จิตก็ยิ่งมีความสงบเย็นตลอดไป ๆ นี่ละรากฐานแห่งพุทธศาสนาแท้อยู่ที่ตรงนี้นะ
    <O:p</O:p
    ให้พากันภาวนาบ้างนะ ไม่ภาวนาศาสนาก็จะมีแต่ชื่อแต่นาม มีแต่คัมภีร์ใบลาน ตัวเจ้าของก็จะเป็นโมฆะตลอด จะเอามาเก็บไว้ในตู้ในหีบของเราเป็นคัมภีร์ ๆ ก็มีแต่คัมภีร์ใบลานเป็นกระดาษเปล่า ๆ ตัวเราก็หาคุณค่าไม่ได้นั้นแล ถ้าเรานำธรรมเหล่านั้นที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาปฏิบัติต่อตนเอง สารคุณ บุญกุศลก็จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของเราเป็นลำดับลำดา จิตใจสงบ คำว่าสงบนั้นคือสงบจากอารมณ์ของกิเลสที่เคยมายั่วยวนก่อกวนแต่ก่อน เป็นอารมณ์ของธรรม เรียกว่า เอกัคคตารมณ์ เอกัคคตาจิต มีจิตเป็นอารมณ์อันเดียว ได้แก่ความสงบเย็นอยู่ภายในใจ นั่นท่านเรียกว่า จิตสงบ ชมเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ได้สำหรับผู้ภาวนา
    <O:p</O:p
    นี่ได้ชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เพราะนาน ๆ จะได้ยินทีหนึ่ง เทศน์เรื่องจิตตภาวนา ส่วนมากไม่ว่าท่านว่าเรา เทศน์ตามตำรับตำรา เล่านิทานกันไป แล้วเพลินไปตามเพียงเท่านั้น จะมาเป็นคติตัวอย่างแก่ตนเองเพื่อให้มีแก่ใจบำเพ็ญจิตใจให้ดียิ่งขึ้นไม่ค่อยมี แต่การภาวนานี่มีได้ไม่สงสัย เวลาได้นำมาภาวนาแล้วจิตมีความสงบร่มเย็น เช่นเราภาวนาในคืนวันนี้ก่อนจะนอน จิตของเรามีความสงบร่มเย็น จนกระทั่งแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในใจ ในขณะที่ภาวนา เมื่อจิตถอนขึ้นมาแล้ว วันหลังจิตจะเป็นอารมณ์กับการภาวนาของเรา ที่ได้ผลเป็นที่พอใจมาแล้ว ๆ
    <O:p</O:p
    จากนั้นก็เกิดความดูดดื่ม มีแก่ใจที่จะภาวนาเพิ่มความดิบความดี ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ยิ่งขึ้น ๆ ทีนี้จิตใจของเราก็มีความแน่นหนามั่นคง ไม่วอกแวกคลอนแคลน เรื่องหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม หากจะบอก หากจะเตือนภายในใจตัวเอง ว่าควรหรือไม่ควร ผิดกันกับที่เราไม่เคยภาวนามาแต่กาลไหน ๆ นะ นี่การภาวนา พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาเอกของโลกจากการภาวนา พระสงฆ์สาวกที่เป็นสรณะของโลกเพราะอำนาจแห่งการภาวนา เราเป็นลูกชาวพุทธ ถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ควรที่จะนำสรณะนั้นเข้ามาปฏิบัติต่อจิตใจของตน จะมีความสงบร่มเย็น
    <O:p</O:p
    คำว่าใจสงบนี้เป็นพื้นฐานอันหนึ่งเท่านั้นนะ เวลาเราทำไม่หยุดไม่ถอย จิตมีความสงบ นี้จะละเอียด ๆ เข้าไป และความแปลกประหลาดอัศจรรย์จะแสดงขึ้นมาภายในใจ และสว่างไสวขึ้นที่ใจ คำว่าใจสว่าง สว่างจากการภาวนาของเรา แล้วมีความสงบเยือกเย็น มีปีติยินดีเวลาจิตถอนขึ้นมาแล้ว วันหลังมีความพอใจที่จะภาวนาต่อไปโดยลำดับลำดา นี่ละการภาวนา เพิ่มคุณงามความดีต่าง ๆ ขึ้นอีกเยอะนะ ถ้ามีแต่เป็นธรรมเนียมของเราที่เคยทำบุญให้ทานรักษาศีล แต่การภาวนานี้มีผลหลายด้านหลายทาง การให้ทานก็หนักแน่น การรักษาศีลหนักแน่น เพราะใจหนักแน่นด้วยศีลด้วยธรรมจากการภาวนาของตน
    <O:p</O:p
    นี่หลักฐานแห่งพระพุทธศาสนาจึงอยู่ที่จิตใจ อยู่ที่การภาวนา นี้คือรากแก้วของพุทธศาสนา ขอให้พากันปฏิบัติ เพราะความทุกข์มีด้วยกันทุกคน ไม่ว่าหญิง ว่าชาย ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย เราพูดเฉพาะมนุษย์นะ อยู่ที่ไหนมีตั้งแต่ความทุกข์ ความลำบากลำบน แต่กิเลสมันกลบเอาไว้ ๆ ไม่ให้เห็นความทุกข์ ให้กลืนกินอยู่ในท้อง เหมือนว่ากลืนน้ำลายตัวเองลงไปในท้องตัวเองไม่ให้ถ่มน้ำลายออกไปนอก ใครเป็นขึ้นมา ความทุกข์มากน้อยก็กลืนลงไปในใจ เหมือนกลืนน้ำลายจากปากตัวเองเข้าสู่ใจ ใคร ๆ ก็ทราบไม่ได้ว่าเป็นความทุกข์มากน้อยเพียงไร ต่างคนต่างกลืนความทุกข์ ๆ เข้าสู่ใจตลอดเวลา
    <O:p</O:p
    ธรรมนี้เป็นเครื่องจับได้ไม่สงสัยเลย ธรรมจับได้หมดเลยในเรื่องความทุกข์ของสัตว์มีมากมีน้อย เพราะกิเลสเป็นสาเหตุให้ได้รับความทุกข์นั้น ธรรมจะจับได้อย่างกระจ่างแจ้งทุกอย่าง นี่ละสมที่พระพุทธเจ้าว่า โลกวิทู ทรงรู้แจ้งโลกแจ้งสงสาร ท่านรู้ภายในพระทัยจริงๆ เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่ต้องไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน ความรู้ความเห็นจึงจะเด่นชัด พระองค์เด่นชัดพอแล้วทุกอย่าง นำมาสั่งสอนด้วยความสว่างกระจ่างแจ้งทุกแง่ทุกมุม กิเลสจะมีอยู่มากน้อยเพียงใดในหัวใจของสัตว์โลกก็รู้ สัตว์โลกมีความทุกข์ความทรมาน เพราะอำนาจของกิเลสที่มันทำงานอัตโนมัติ เผากันอยู่ทั้งวันทั้งคืน ทุกแห่งหนตำบลหมู่บ้าน ทั่วโลกทั่วสงสาร พระองค์ทรงทราบหมด แต่พวกเรานั้นน่ะทราบด้วยกันก็ไม่พูดให้กันฟังนะ อุบ ๆ อิบ ๆ ไว้อย่างงั้นน่ะ ให้อยู่ภายในจิตใจ
    <O:p</O:p
    ความจริงแล้ว ความทุกข์มันระบาดสาดกระจายท่วมหัวใจทุกสัตว์โลกนั้นแหละ แต่มาพูดถึงเฉพาะมนุษย์เรา กิเลสมันหาเครื่องหลอกมาหลอกเราให้ลืมเนื้อลืมตัว ให้ต่างคนต่างตื่นกันไป มันเอาอันนั้นมาประดับ เอานี้มาประดับ เอายศถาบรรดาศักดิ์ มาประดับ เอาความมั่งมีศรีสุขมาประดับ คนนั้นมีนั้น คนนี้มีนี้ คนนั้นมียศถาบรรดาศักดิ์ คนนั้นมีบริษัทบริวารมาก มีเงินทองข้าวของมาก เรือกสวนไร่นาไม่อดไม่อยาก ตึกรามบ้านช่องเต็มไปหมด คนนี้เขามีความสุข ความสุขขี้หมาอะไร ประสาอิฐ ประสาปูน ประสาหินทรายเท่านั้น
    <O:p</O:p
    แล้วเงินเขาสมมุติเป็นกระดาษหลังลาย ๆ ตั้งขึ้นมาเพื่อความสะดวกแก่มนุษย์ซึ่งอยู่ร่วมกัน ได้ประสับประสานเปลี่ยนแปลงซึ่งกันและกัน เป็นความสะดวกสบาย ใช้ตามความเป็นจริงที่เป็นสิ่งที่จะต้องปฏิบัติต่อกัน ไม่ลุกลามจนเกินไป กลายเป็นกิเลสอันใหญ่โตรโหฐานขึ้นมา จนกระทั่งลืมเนื้อลืมตัว ใครมีเงินทองข้าวของมากน้อย แล้วก็เย่อหยิ่งจองหอง พองตัวว่าตัวมั่งตัวมี ไปที่ไหน โฮ้ เบ่ง นี่กิเลสพาให้เบ่งนะ ประสากระดาษมันก็ยังเบ่ง นี่ละเรื่องของกิเลส แล้วความทุกข์ความทรมานอยู่ในหัวใจนั้นอยู่ลึก ๆ ลับ ๆ เศรษฐีก็มี ยิ่งเศรษฐีมีเงินมาก เรื่องยุ่งมากยิ่งกว่าเรา มีความทุกข์มากยิ่งกว่าเราเป็นไหน ๆ
    <O:p</O:p
    นี่เอาธรรมเข้าไปจับ พูดแบบไม่ลำเอียง พูดอย่างตรงไปตรงมา เรียกว่า ภาษาธรรม มีอยู่อย่างลึกลับ เก็บไว้ลึก ๆ ในหัวใจ เวลาทุกข์มันเกิดขึ้นมาก ๆ ก็กลืนเข้าไปในท้องในหัวใจตัวเองเสีย เหมือนเขากลืนน้ำลาย ๆ ไม่ถ่มปุ๊ด ๆ ปิ๊ด ๆ ทีนี้โลกทั้งหลายก็ไม่เห็นว่า ใครเป็นทุกข์ เห็นกันก็มีแต่งตัวโก้หรู ยิ้มแย้มแจ่มใส นั่งรถก๋งรถเก๋งรถฟืนรถไฟ เครื่องใช้ไม้สอยหรูหราฟู่ฟ่า อ๋อ คนนี้เขาเป็นคนดี เขามีความสุขความเจริญ โอ๋ย น่าอัศจรรย์ อัศจรรย์เขา อัศจรรย์ขี้หมาอะไร ประสาเหล็ก รถอันหนึ่งๆ ก็เหล็กเท่านั้นเอง เอามาทำ แล้วทำเบาะทำอะไร นั่งให้เป็นที่สวย ๆ งาม ๆ ก็ไปตื่นเบาะอีก แหม เบาะก็สวย อันนั้นก็สวย อันนี้ก็สวย เลยสวยหมดถ้าเป็นเรื่องของกิเลส ความลืมเนื้อลืมตัวนี้ไม่มีสิ้นสุด
    <O:p</O:p
    ความจริงแล้วความทุกข์มันมีอยู่ด้วยนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นใคร การพูดทั้งนี้ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามโลกนะ เอาความจริงออกมาพูดว่า โลกเป็นอย่างนี้ด้วยกัน ยอมรับกันว่าเป็นทุกข์เหมือนกันอย่างนี้ การพูดตามหลักความจริงจะผิดไปที่ตรงไหน จึงบอกให้รู้เรื่องรู้ราว ไม่ให้ตื่นเนื้อตื่นตัวจนเกินไป นี่การสอนเพื่อกระตุก อย่าลืมเนื้อลืมตัวจนเกินไป การศึกษาเล่าเรียนจะได้มากได้น้อย เราเรียนมาจำมา แล้วนำมาปฏิบัติหน้าที่การงานตามหลักวิชาของเราที่เรียนมา
    <O:p</O:p
    อย่าโอ่อ่าอย่าฟู่ฟ่า อย่าลืมเนื้อลืมตัว แล้วนำหลักวิชามาสังหารตนเองด้วยความประพฤติผิด แล้วยังระบาดสาดกระจายไปให้เกิดความเดือดร้อนแก่คนอื่นอีก นี้ก็เป็นเรื่องวิชาของกิเลส มันก็ทำไปได้ทุกแบบทุกบท นี่ให้เราพิจารณาอย่างนี้นะ นี่พูดถึงเรื่องการภาวนา จิตใจของเราเกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้านั้นแหละ แต่ไม่มีใครรู้ว่า ใครเป็นทุกข์มากน้อยเพียงไร แล้วจะแก้ไขดัดแปลงกันยังไง ก็ยอมทนกันอยู่ในหัวอกของทุกคน ๆ
    <O:p</O:p
    ไปที่ไหนๆ มีแต่ทุกข์อยู่ในหัวใจ ใครจะขึ้นบนฟ้าบนอากาศที่ไหน กิเลสมันอยู่บนหัวใจ ไปอยู่บนฟ้ามันก็เป็นทุกข์อยู่บนฟ้า ไปที่ไหนมันก็เป็นทุกข์อยู่ เพราะจิตใจถูกกิเลสบีบบี้สีไฟอยู่ทุกแห่งทุกหนตำบลหมู่บ้าน สัตว์โลกอยู่ที่ไหนจึงมีความเดือดร้อนอยู่ที่นั่น ๆ เป็นแต่เพียงว่าไม่ระบายออก ประหนึ่งว่ามีความทุกข์แต่เรา โลกทั้งหลายเขาเป็นสุขกันไปหมด นี่ก็ให้กิเลสหลอกอีก มันจะสุขที่ตรงไหน ลงว่ากิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ได้เหยียบย่ำทำลายในหัวใจแล้ว เอาอะไรมาแก้ก็ไม่ตก
    <O:p</O:p
    เราจะเอาเงินหมื่น เงินแสน เงินล้าน เป็นกี่ล้าน ๆ ตึกรามบ้านช่อง กี่ห้องกี่หับ กี่ชั้นเข้ามาล้างก็ไม่ลบ ล้างเท่าไรก็ไม่สะอาด ถ้าไม่เอาศีลเอาธรรม เอาสติธรรม ปัญญาธรรม เข้าไปลบล้าง พินิจพิจารณาใคร่ครวญในสิ่งที่ตนอาศัย แล้วก็ไม่ลืมเนื้อลืมตัว มีก็ยอมรับว่ามี ไม่ลืมตัว เอ้า ถึงเวลาจน โลกนี้เป็นโลกอนิจจัง มันก็ต้องจนเป็นธรรมดา แต่จิตใจที่มีอรรถมีธรรมอยู่ภายในตัวเองนี้แล้ว อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็นเป็นสุขสบาย รู้เนื้อรู้ตัว ถึงกาลจะเป็นจะตายก็รู้เหมือนกับโลกทั่ว ๆ ไป เฒ่าแก่ชรา เออ นี่เราแก่แล้วนะนี่ ให้รีบสร้างคุณงามความดี ทำบุญให้ทานเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วจึงไปนิมนต์พระมากุสลา ธัมมา มันไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควรเหมือนเราสร้างเองนะ
    <O:p</O:p
    การสร้างเองด้วยบุญด้วยกุศลของเรานี้เป็นที่แน่ใจๆ ยิ่งนิมนต์พระมากุสลา แล้วก็ยิ่งได้บุญได้กุศลเพิ่มเข้าไปอีก นี่ให้คิดอย่างนั้นซิมนุษย์เรา นี่มันไม่ได้คิด ไปที่ไหนมีตั้งแต่กลืนน้ำลายๆ เข้าในท้อง มีแต่ความกลืนทุกข์อยู่ในหัวอก ไม่กล้าพูดสู่กันฟัง เพราะใคร ๆ มันก็เหมือนกันหมดในโลกอันนี้ นี่ละเอาธรรมมาเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จะอยู่ลึกขนาดไหนก็ตาม กิเลสบีบบี้สีไฟหัวใจสัตว์โลก ธรรมจะส่องทะลุไปหมดเลย แล้วนำมาเทศนาว่าการได้ดังพระพุทธเจ้าของเราเทศน์สอนโลก แม้ในนรกอเวจีพระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงได้ รู้ได้เห็นได้ทุกอย่าง ทำไมมนุษย์เราอยู่พื้นดินด้วยกัน จะทรงรู้ทรงเห็นไม่ได้ และสอนมนุษย์ไม่ได้ ถ้ามนุษย์มีความพอใจที่จะปฏิบัติ
    <O:p</O:p
    ด้วยเหตุนี้การปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนา จึงเป็นของจำเป็นมาก ควรที่พี่น้องชาวพุทธเราจะได้มีพุทโธ ธัมโม สังโฆติดใจ ไปที่ไหนก็ไปเถอะ เราคิดเรื่องอื่นเรื่องใด คิด ทั่วโลกดินแดนไม่เห็นมีอะไรเป็นอุปสรรค แต่เราจะคิดพุทโธ ทำไมคิดไม่ได้ พุทโธก็คือความคิด แต่คิดไปทางอรรถทางธรรม ยังเป็นของดียิ่งกว่าความคิดของกิเลสพาเถลไถลนั้นเสียอีก ทำไมเราจึงคิดไม่ได้ ขอให้คิด ไปที่ไหนเราทำการทำงาน เรานึกพุทโธ นึกธรรมภายในจิตใจ ทำได้ทั้งนั้น สังขารนี้สังขารธรรม คือสังขารของฝ่ายสมุทัย สมุทัยไปใช้ได้ สังขารของฝ่ายมรรค คือธรรมก็นำมาใช้ได้
    <O:p</O:p
    เมื่อเราพอใจที่จะนำสังขารมาคิดมาปรุงทางบุญทางกุศล ทางด้านอรรถธรรม มันอยู่ในใจของเราด้วยกันทุกคนนั่นแหละ อย่าพากันตื่นมืดตื่นแจ้ง ปี เดือน มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ มืดแจ้งมีมากี่กัปกี่กัลป์ ตื่นหาอะไร ปี เดือน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง ก็ตั้งชื่อมันไป มีแต่มืดกับแจ้งเท่านั้น ตัวที่จมคือเรา มันมีเสาร์อาทิตย์ที่ไหนเรา ถ้าทำชั่วลงไป ตายก็คือเรา ไม่เห็นมีเสาร์มีอาทิตย์ที่ไหน มันตายได้เกิดได้ ตายได้ ทุกข์ได้ทั้งนั้น ส่วนเสาร์ อาทิตย์ อังคาร ท่านไม่เห็นเป็นทุกข์ เป็นลำบากลำบน ตกนรกอเวจี ติดคุกติดตะราง เหมือนมนุษย์ที่ตัวเก่ง ๆ หาตั้งชื่อตั้งนามให้เขานี้เลย
    <O:p</O:p
    เรามันไปตั้งแต่ทางภายนอก เสกสรรตั้งแต่ภายนอก ตัวของเราเองเกิดขึ้นมากี่ปีกี่เดือน ไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรม กับบุญกับกุศล ตายแล้วจม ๆ ยังไม่เข็ดไม่หลาบ แล้วยังสั่งสมความไม่ดีทั้งหลายนี้เข้าสู่นิสัยสันดานจะฝังจมไปด้วยความทุกข์ ความเดือดร้อน เป็นบาปเป็นกรรม เต็มเนื้อเต็มตัวตลอดไปนะ ให้พากันอุตส่าห์พยายาม นี่พูดถึงเรื่องจิตตภาวนาให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์แก่พี่น้องทั้งหลายได้ฟังทั่วหน้ากัน นี้คือแก่นของพระพุทธศาสนา แก่นของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่นี่ เกิดที่นี่ทั้งนั้น เกิดขึ้นจากการภาวนา
    <O:p</O:p
    นี่ก็ได้อุตส่าห์พยายามปฏิบัติธรรมมา ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ก็ได้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เฉพาะการช่วยชาติบ้านเมือง นำสมบัติเข้าสู่คลังหลวงนี้ เราก็ไม่ได้คิดได้คาดว่าจะได้แนะนำสั่งสอนพี่น้องชาวไทยเราทุกแห่งทุกหนตำบลหมู่บ้าน ทั่วประเทศไทย มันก็ได้สอนกันอย่างนี้ จะให้ทำยังไง แล้วควรจะประพฤติปฏิบัติต่อตัวเองบ้าง ขอให้นำไปคิดไปอ่านนะ อย่ามีแต่ท่านเทศนาว่าการลม ๆ แล้ง ๆ เป็นลมปาก หายไปแล้วเราก็หายไปกับศีลกับธรรม ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว สิ่งที่ติดก็มีแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเคยเผาตัวมาแล้ว ไปเผาตัวอีกต่อไป มันไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ ให้พากันประพฤติปฏิบัติ
    <O:p</O:p
    เรื่องใจเป็นของสำคัญมากทีเดียว เลวก็สุดในใจ ดีก็สุดอยู่ที่หัวใจ ความสุขอันเลิศเลอก็สุดที่หัวใจ ความทุกข์แบบขาดสะบั้นหั่นแหลกก็อยู่ที่หัวใจที่สร้างแต่บาปแต่กรรม ความสุขที่เลิศเลอก็อยู่ที่หัวใจผู้สร้างคุณงามความดี ยามท่านถึงวิมุตติพระนิพพาน ความสุข ความทุกข์ทั้งมวลอย่าว่าจะไปอยู่ที่ไหนนะ อยู่ที่ใจอย่างเดียว ไม่มีตามดินฟ้าอากาศทั่ว ๆ ไปหมด สามแดนโลกธาตุไม่มีสุขมีทุกข์ไปหาหลบหาซ่อนอยู่ที่ไหน หรือตึกรามบ้านช่องอยู่ ไม่มี อยู่ที่หัวใจของสัตว์โลก เผาอยู่ที่นั่น ความทุกข์ก็เผาอยู่ที่หัวใจ ความสุขก็รื่นเริงอยู่ที่หัวใจ
    <O:p</O:p
    เพราะฉะนั้นจึงขอให้สร้างความดีไว้ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ อย่าอยู่ไปเร่ๆ ร่อนๆ ถึงวันตายก็ตายไปเลย ก็ตายเกิด ๆ มันก็เหมือนกับสัตว์ตาย ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ตายด้วยความมีบุญมีกุศล ตายด้วยความมีอรรถมีธรรมภายในใจ ตายเลิศตายเลอ ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านตาย ท่านไม่ได้ยากนะ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านพอแล้ว นั่นละเห็นไหม จิตใจเมื่อเลิศแล้วอยู่ที่ไหนก็เลิศ อยู่ในป่าในเขาเลิศอยู่ที่หัวใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว ถ้าหัวใจไม่สิ้นกิเลสไปสร้างตึกรามบ้านช่องขึ้นแข่งกับชั้นดาวดึงส์บนสวรรค์ มันก็เป็นทุกข์อยู่ที่หัวใจที่มีกิเลสบีบบี้สีไฟอยู่นั้นแหละ ให้สร้างหัวใจให้ดี
    <O:p</O:p
    เมื่อสร้างหัวใจ มันจะเลิศเลออยู่ภายในใจนี้แหละ ความสุขทั้งมวลอยู่ที่ใจ ขอให้แก้ไขดัดแปลงใจ ถ่ายทอดความทุกข์ทั้งหลายเพราะการทำบาปทำกรรมนี้ออก การทำบาปทำกรรมให้ลดลงๆ แล้วสร้างความดีมากขึ้น ๆ จิตใจจะเปลี่ยนแปลงรสชาติขึ้นมาเป็นลำดับ จากการทำบาปที่เป็นความทุกข์ทรมาน มาเป็นบุญเป็นกุศล เป็นความสุข ความเจริญขึ้นที่จิตใจของเรา เราจะมีความสุขความเจริญต่อไปอย่างนี้นะ ให้พากันจำเอา หลวงตาพูดจริง ๆ แนะนำสั่งสอนโลก เราไม่ได้สั่งสอนด้วยเหตุผลกลไกอื่นใด นอกจากธรรมล้วน ๆ และความเมตตาล้วน ๆ สอนโลก สอนอย่างนั้นจริง ๆ
    <O:p</O:p
    การปฏิบัติเราก็ปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง ตามธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ยังไง เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งเข้ามาจุดจิตตภาวนา ภาวนาอยู่ในป่าในเขา ชำระจิตใจนี้ เวลามันมืดมันก็มืด เวลาชำระหลายครั้งหลายหนไม่หยุดไม่ถอยก็ค่อยสว่างไสวขึ้นมา จนกลายเป็นจิตที่สว่างไสวอัศจรรย์เกินคาดเกินหมายของผู้บำเพ็ญ เกิดขึ้นได้ทุกคน บุญกุศล มรรค ผล นิพพาน ไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา อย่าให้กิเลสมันหลอกลวงนะ ถ้าจะบำเพ็ญคุณงามความดีก็บาปไม่มี บุญไม่มี ทำไปทำไม นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี กลัวหาอะไร ไปสวรรค์ สวรรค์ไม่มีอยากไปทำไม มีแต่กิเลสหลอกหัวใจสัตว์โลกผู้โง่เขลานั่นแหละ แล้วก็สร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก เอาฟืนเอาไฟ บาปนั้นมาเผาตัวเอง ตายแล้วตายเล่า จมแล้วจมเล่า ไม่มีการเข็ดหลาบอิ่มพอ
    <O:p</O:p
    ให้พากันตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามศีลตามธรรม แล้วให้มีความเข็ดหลาบอิ่มพอในกองทุกข์ทั้งหลาย ต่อไปเราจะได้มีความสุขความเจริญภายในจิตใจ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนา ขอพี่น้องทั้งหลายได้นำไปปฏิบัติจะเห็นประจักษ์ในตัวของเราเอง ที่ท่านแสดงไว้ว่าพวกเปรต พวกผี สัตว์นรกอะไร ๆ นี่ ให้เราจับจุดนี้ให้ได้ การภาวนานี้เป็นจุดสำคัญที่สามารถจะรู้ในสิ่งทั้งหลายได้ ดังพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นแล้วมาแสดงธรรมแก่พวกเราทั้งหลายอยู่ทุกวันนี้
    <O:p</O:p
    การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1709&CatID=2<O:p</O:p
     
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อารมณ์
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม<O:p</O:p

    วันที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]<O:p</O:p


    <O:p

    เหนื่อยแหละเราวันนี้ทั้งวัน ไม่ได้เทศน์มันก็เหนื่อย ไปที่นั่น ไปที่นี่ มาที่นั่น มาที่นี่ มันก็เหนื่อยได้ เทศน์ไม่เทศน์ก็เหนื่อย เดินมาตอนบ่ายโมง ๔ โมงกว่า ๆ ที่หน้าศาลา เห็นเขากำลังถอดอะไร ถามว่าถอดอะไร ถอดที่เทศน์เมื่อคืนนี้ว่างั้น เขาถอดอยู่ในห้อง หน่อยหรืออะไร เขากำลังถอด กัณฑ์เมื่อคืนนั้นก็ดี แต่วันนี้ โอ๋ ไม่ได้เรื่องเลย เพราะงั้นถึงหยุดทันที ไม่เทศน์ ไม่เกิดประโยชน์ เทศน์ไปไม่ได้ อย่างงั้นแหละกรรมฐานนะ ถ้ามีเสียงขึ้นมาแล้วไม่ได้ เทศน์กรรมฐาน ผิดกันกับเทศน์ปริยัตินะ คือปริยัตินี้เทศน์ไปตามตำรับตำรา มีทางเดินนะ เสียงไม่เสียงก็ไม่สนใจ ว่าไปตามตำรับตำรา ก็อย่างงั้นเทศน์ปริยัติ
    <O:p</O:p
    เราก็เคยเทศน์ ปริยัติก็เคยเทศน์ก่อน ว่าไปตามแถวตามแนวของปริยัติ เรื่องเสียงเรื่องอะไรก็ไม่สนใจ เทศน์ทางภาคปฏิบัติ มันไม่เหมือนกัน มันก็รู้อยู่กับตัวของเราเอง เทศน์ปริยัติเป็นยังไง ๆ ก็รู้อยู่กับตัวของเรา เทศน์ทางภาคปฏิบัติเป็นยังไงมันก็อยู่รู้กับตัวอีกแหละ ที่มันไม่เหมือนกันมันก็รู้ ภาคปริยัติเดินไปตามตำรับตำราที่ศึกษาเล่าเรียนจดจำมา อะไร ๆ ก็ว่าไปตามนั้นเรื่อย ผิด ถูก ดี ชั่วก็ยกให้ตำราไป ท่านว่ายังไง ก็ว่าไปตามนั้น หากว่าถูกหรือโดนเขาว่าบ้างว่า ทำไมเทศน์อย่างงั้น ก็ตำราว่าอย่างงั้นนี่น่ะ แน่ะ ไปนั้นเสีย ทิ้งในตำราส่วนเจ้าของเอาตัวรอดไปเลย
    <O:p</O:p
    เทศน์ทางภาคปฏิบัติมันไม่เหมือน ไม่เหมือนจริงๆ ไปคนละแบบเลย ในคน คนเดียวกันนั้น ไปแบบปฏิบัติล้วนๆ ไปเลย ขึ้นเรื่อย ๆ ๆ เพราะฉะนั้น อะไร ๆ จึงมากระทบกระเทือนไม่ได้นะ พอกระทบอันนี้จะหดเข้ามาทันที ถ้ามีซ้ำเข้ามาอีกหยุดกึ๊กเลย คิดนั้นคิดนี้ มันแย็บ ๆ ออกแล้ว หยุดเลยไม่เทศน์เพราะไม่เกิดประโยชน์ เมื่อเราจะเรียกชื่อแล้วก็เรียกว่า เทศน์ภาคความจำกับภาคความจริงไม่เหมือนกัน ภาคความจำ จำมายังไงก็เทศน์ไปตามนั้นไปเลย แต่ภาคความจริงนี้ ปฏิบัติจริง ๆ รู้จริงๆ เห็นจริงๆ ถอดออกมาจากความจริงเลย เรียกว่า ภาคความจริงคือภาคปฏิบัติ
    <O:p</O:p
    ผู้เทศน์ไม่มีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจแล้ว ภาคความจริงล้วน ๆ แต่ไม่รู้หลักของการปฏิบัติ ไม่มีธรรมในใจ มันก็เลวกว่าปริยัติเสียอีก เทศน์ปฏิบัติไม่มีหลักมีเกณฑ์ภายในจิตใจที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติมันก็เลวกว่าปริยัติเสียอีก ปริยัติเขายังมีหลักมีเกณฑ์เดินตามปริยัติ เทศน์ปฏิบัติไม่มีหลักมีเกณฑ์ภายในจิตใจ โลเลไปเลย ยึดเอาหลักไม่ได้ มันต่างกัน คำว่าภาคความจริงต้องหมายถึงผู้เทศน์เป็นผู้ปฏิบัติได้รู้เห็นในธรรมทั้งหลายมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงพูดถึงว่าสูงสุดยอดของธรรมเทศน์ออกได้หมด ไม่มีคำว่าผิดพลาด ถูกต้องไปโดยลำดับลำดา เป็นที่แน่ใจโดยลำดับ คือว่าแม่นยำ ๆ มันต่างกัน
    <O:p</O:p
    เทศน์ภาคปฏิบัติจะมีอะไรเข้ามายุ่งไม่ได้ จะมีตั้งแต่จิตกับธรรมที่สัมผัสกัน จิตกับธรรมอยู่ด้วยกันสัมผัสกัน ออกมาแย็บๆ ออกเรื่อย ๆ อดีต อนาคต ไม่ไปยุ่ง ยุ่งปัจจุบัน ๆ ก้าวเดินไปตามอันนี้เลย ไม่มีอะไรมายุ่งไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องการความสงัดมากทีเดียวภาคปฏิบัติ สงัดเท่าไรยิ่งดี แต่ก่อนที่ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ที่ยังไม่เข้าใจในอรรถในธรรมมากนัก มันก็อิงทั้งภาคปฏิบัติ อิงทั้งภาคปริยัติไปด้วยกัน ไม่มีภาคปฏิบัติในใจเลย ก็ต้องอาศัยปริยัติไปล้วน ๆ เลย ภาคปฏิบัติก็รู้แต่ยังไม่กว้างขวาง ภาคปฏิบัติรู้เห็นเต็มหัวใจ ๆ ทุกขั้นทุกภูมิของธรรมแล้ว ทีนี้ปริยัติไม่เกี่ยวเลย ไม่ออกเลย ประหนึ่งว่าไม่ได้ศึกษามา ขึ้นปัจจุบันล้วน ๆ นี่ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างงั้น
    <O:p</O:p
    คำว่า ธรรมเกิด ก็เกิดจากใจ ธรรมเกิด กิเลสเกิด พวกเรามีแต่พวกกิเลสเกิด เกิดวันยังค่ำคืนยังรุ่ง เกิดแต่ตื่นนอน ไปที่ไหน มีแต่กิเลสเกิด ทางตาเห็นปั๊บกิเลสเกิดแล้ว เห็นรูป รูปอะไร กิเลสเกิดแล้ว ได้ยินเสียง เสียงอะไร กิเลสเกิดแล้ว ได้กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มีแต่กิเลสเกิด มันต่างกันนะ นี่เวลากิเลสเกิด เกิดตลอด จึงเรียกว่า กิเลสเป็นอัตโนมัติ ทำงานบนจิตใจของสัตว์โลก เป็นอย่างงั้นทั้งเขาทั้งเรา ไม่มีใครรู้สึกตัวเลยว่ากิเลสเกิดนะ ไม่รู้ จนกว่าได้เข้าภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติเป็นภาคสั่งสมธรรมเพื่อจะให้ธรรมเกิด ประกอบความพากเพียร เช่นท่านไปอยู่ในป่าในเขาประกอบความเพียรก็เพื่อจะให้ธรรมเกิด
    <O:p</O:p
    ทีแรกก็ตั้งสติ สติธรรมเกิดเสียก่อน ล้มลุกคลุกคลานตั้งขึ้นมา สติตั้งทีแรกมีแต่ความพลั้งเผลอ กิเลสเตะเรื่อย พอตั้งสติขึ้นมากิเลสเตะ กิเลสเกิด กิเลสเดิน กิเลสเหยียบ เราตั้งขึ้นเรื่อย ๆ พยายามเรื่อย ๆ สติค่อยดีขึ้น สตินี้ประคองใจ ขาดสติเป็นไปไม่ได้นะ สติเป็นของสำคัญ เป็นพื้นฐานในธรรมทุกขั้น ตั้งแต่ขั้นพื้น ๆ ขั้นล้มลุกคลุกคลานก็ต้องขึ้นอยู่กับสติ สติยังไม่ดี ล้มลุกคลุกคลาน ล้มบ้างลุกบ้าง คลานบ้างเดินบ้าง สติดีขึ้นก็ค่อยมีหลักมีเกณฑ์ สติจึงสำคัญ การฝึกใจให้เชื่อง ให้มีธรรมเกิดบ้าง อย่าให้แต่กิเลสเกิดถ่ายเดียว ต้องฝึกสติเพื่อความสงบของใจ ธรรมคือความสงบจะเกิด
    <O:p</O:p
    เมื่อเวลาฝึกหัดเข้าไปเรื่อยๆ แล้ว จิตไม่เคยสงบก็สงบ ตามธรรมดาของจิตจะหาความสงบไม่ได้ มีแต่กิเลสลากถูอยู่ตลอดเวลา จึงเรียกว่า กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ มันเป็นเองของมัน ปั๊บนี้ออกก่อนแล้ว แม้จะไม่ได้เห็นได้ยินอะไรก็ตาม ความคิดปรุงก็เป็นเรื่องของกิเลส คิดเรื่องกิเลสทั้งนั้น ก็เรียกว่า กิเลสเกิดโดยอัตโนมัติ อยู่เฉย ๆ มันก็คิดของมัน คิดเรื่องอะไรมีแต่เรื่องกิเลส ๆ เมื่อยังไม่ได้อบรมในธรรม ธรรมไม่มีทางเกิด มีแต่กิเลสเกิด
    <O:p</O:p
    เพราะฉะนั้น โลกทั้งหลายจึงสั่งสมแต่เรื่องความทุกข์ ความกังวลวุ่นวาย ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ กิเลสอยู่บนหัวใจ มีสุขมีทุกข์ เจือปนกันไป ใครมีงานมีการมากเท่าไร เรียนสูงเท่าไร มีหน้าที่การงานมาก มียศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไร สมบัติเงินทองข้าวของบริษัทบริวารมากเท่าไร กิเลสก็ยิ่งสร้างตัวขึ้นมามาก นี่หมายถึงว่าถ้าไม่มีธรรมแทรก กิเลสจะทำงานหนักมากกว่าคนธรรมดา คนธรรมดาตาสีตาสา คิดก็คิดไปตามประสีประสาแต่ไม่รุนแรงเหมือนคนที่มีความรู้สูง ๆ ฐานะสูง ๆ ได้รับความเสกสรรปั้นยอเป็นผู้ใหญ่ผู้โต เป็นคนมั่งคนมี ผู้นี้แหละผู้สั่งสมกิเลสโดยอัตโนมัติ หมุนติ้วแรงกว่าเพื่อน เพราะฉะนั้น ทุกข์ผู้นี้จึงทุกข์มากนะ
    <O:p</O:p
    เราอย่าเข้าใจว่า พวกเศรษฐีเขามีสมบัติเงินทองข้าวของมาก คนมียศถาบรรดาศักดิ์ หรือเรียนมาสูง ๆ จะมีความสุขมากนะ ตรงกันข้าม อันนี้ใครจะมาพูดได้วะ ต้องสำคัญเป็นแบบเดียวกันหมด เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา เพราะฉะนั้นจึงสรรเสริญเยินยอ อัศจรรย์กันล่ะซิ โอ๋ย อัศจรรย์เขา เขาเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ ก็เป็นกิเลส มันก็ยอกัน คนนั้นก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน คนนี้ก็บ้ายอกันไปเรื่อย ต่างคนต่างยอ คนหนึ่งทุกข์จนจะตายอยู่ในหัวใจนั่น หัวใจมันทุกข์จนจะตาย ไม่มีใครเหลือบมองมันนะ ก็มาสรรเสริญเยินยอลม ๆ แล้ง ๆ เงาๆ กันไปอย่างงั้น ธรรมท่านจับปุ๊บเห็นหมด เห็นแต่รากแก้วของมัน มันแสดงออกมายังไงถึงมาเป็นอย่างนี้ ๆ ท่านเห็นมาตั้งแต่นู้น เมื่อการแสดงออก ท่านจึงแสดงได้โดยถูกต้องล่ะซิ
    <O:p</O:p
    นั่นละพระพุทธเจ้า เรียกว่าธรรมเกิด ท่านเกิดอย่างงั้น เมื่อธรรมเกิดแล้วไม่เหมือนกิเลสเกิด กิเลสเกิดทำให้มืดมนอนธการ ไม่รู้จักทิศจักทาง การไปการมา การอยู่การกิน การเป็นการตาย ไม่รู้จักทิศจักทาง ไขว่คว้าไปอย่างนั้นแหละ เรื่องของจิตที่กิเลสมันคุกคามอยู่ภายในใจ มันดิ้นมันดีดเหมือนเรา ครั้นเวลาส่งเสริมกันก็เอาแต่เรื่องกิเลสมาส่งเสริมกัน ตัวจริงที่เป็นไฟเผาอยู่ในหัวใจไม่ได้เห็นด้วยกัน ต่างคนก็ไม่ได้เห็น มันก็ไม่ได้เอามาพูดล่ะซิ เห็นกันชมกันลม ๆ แล้ง ๆ ไป นี่กิเลสชอบออกข้างนอก ธรรมเข้าข้างในและตีออกข้างนอก นั่น มันต่างกันนะ
    <O:p</O:p
    เพราะฉะนั้น ธรรมจึงรอบคอบกระจ่างแจ้ง ธรรมเกิดเมื่อไรๆ มากน้อย จะเริ่มเห็นเรื่องของกิเลสมากน้อยเป็นลำดับลำดาไป เรียกว่าธรรมเริ่มเกิด เช่นความสงบของใจเกิด คนที่มีความสงบใจย่อมมีความสุขมากกว่าคนที่วุ่นวี่วุ่นวาย ผิดกัน แม้นักปฏิบัติด้วยกัน ถ้าจิตของใครยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์ในการปฏิบัติ คนนั้นก็ยังส่ายแส่เร่ร่อนอยู่ แม้จะเป็นนักปฏิบัติ ไม่ได้ส่ายแส่เร่ร่อนเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ก็เป็นอยู่ในวงของผู้ปฏิบัติที่ยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์นั่นแล พอได้หลักได้เกณฑ์แล้วจิตค่อยตะล่อมตัวเข้ามา เป็นหลัก นี่เริ่มธรรมเกิด
    <O:p</O:p
    ทีแรกก็สติเกิดเสียก่อน ต้องฝึกสติให้ดี มันจะคิดเรื่องอะไร ๆ ค่อยตีเอาไว้ ๆ ไม่ให้ไปคิด เพราะคิดส่วนมาก ร้อยทั้งร้อยมันคิดไปเพื่อกิเลสทั้งนั้นแหละ ไม่ได้คิดเพื่อธรรม จึงเรียกว่ากิเลสเกิด เวลามีความพากเพียรก็ดัดแปลงตัวเองไปเรื่อย ๆ จิตใจก็ค่อยสงบเย็น ๆ เย็นขึ้นมา ความสงบไม่ใช่ขั้นหนึ่งขั้นเดียว มีหลายขั้นหลายภูมิ สงบละเอียดลออ จนกระทั่งเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในความสงบของตน เพราะเราไม่เคยเห็น รสชาติแห่งความสงบมันเป็นความสุขที่อะไรพูดไม่ถูก ความสุขที่อัศจรรย์ เราก็ไม่เคย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคย ว่าอย่างนี้ด้วยกัน
    <O:p</O:p
    ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมจะไปเห็นความสุขภายในจิตใจนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงดีดจึงดิ้นอยู่ภายนอกละซิ เห็นเขามีความสุขอย่างงั้นก็ดิ้นกับเขา ดีดกับเขา ความสุขภายในไม่มีใครรู้ มันก็ไม่มีใครเสาะแสวง ทีนี้เวลาผู้ปฏิบัติมีความสุขภายในขึ้นมา มันไม่ต้องบอกละ เรื่องเทียบเคียงกันนะ มันรู้ทันทีเลย จิตมีความสงบมันเย็นสบาย อยู่ที่ไหนเย็นหมด แล้วกว้างขวางด้วยนะ พอจิตสบายนี้ โลกนี้รู้สึกว่ากว้างขวางออกไปเรื่อย ไม่ตีบตันอั้นตู้เหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนมันตีบตันอั้นตู้ โลกกว้างแสนกว้างแต่มันตีบตันที่หัวใจ
    <O:p</O:p
    พอเราบำเพ็ญจิตดวงนี้ด้วยธรรม ค่อยชะล้างเข้าไป ๆ อันนี้จะค่อยส่งแสงสว่างขึ้นมา ความสงบร่มเย็น รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง เวลาเผลอ หรือเวลามีสติก็รู้บ้าง แต่เวลาเผลอไปไม่ค่อยรู้แหละ แต่ต่อมาเผลอไปแพล็บนี้รู้ เผลอแพล็บรู้ มันเร็วเข้า นี่เรียกว่า ธรรมจะเริ่มเกิดแล้ว สมถธรรม คือความสงบใจก็เริ่มเกิด ๆ สติค่อยดี ความพากเพียร วิริยะธรรม ความอดความทนเริ่มเกิดไปตาม ๆ กัน อดทนเพื่อความดี เพื่อธรรมทั้งหลาย ก็ค่อยเจริญขึ้น ทีนี้จิตใจที่ถูกปิดบังอยู่ด้วยกิเลสทั้งหลายจนมืดมิดปิดตา หาทางออกทางเข้าไม่ได้นี้ จะค่อยเปิดตัวออกมา ๆ แล้วมองเห็นทิศทาง
    <O:p</O:p
    พอมองเห็นทิศทาง ก็เริ่มเห็นดีเห็นชั่ว เริ่มชัดในบุญ ในบาป คือความสุขความทุกข์ที่อยู่กับใจ สุขก็อยู่กับใจ ทุกข์อยู่กับใจ มีสาเหตุมาด้วยกัน ความทุกข์เป็นเพราะอะไรมันจึงทุกข์ ต้นเหตุมันก็สาวหาได้ ความสุขเพราะเหตุไร มันก็เห็นต้นเหตุ สาวหาได้ ทีนี้อันใดเป็นต้นเหตุแห่งความสุขความเจริญความดีมันก็เสริมผู้นั้น อันใดเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ มันก็ปัดออก ๆ ค่อยเจริญขึ้นเรื่อย ๆ นี่ละการปฏิบัติตัวเอง จิตใจของเราทุกคนเป็นอย่างนี้ด้วยกัน พูดคำเดียวกระเทือนทั่วโลกธาตุ มันเหมือนกันหมด ว่ากิเลสทำงานโดยอัตโนมัติบนหัวใจของสัตว์
    <O:p</O:p
    ทีนี้เวลาเราแก้ เราบุกเบิกเพิกถอนออกไป มันก็รู้อีกด้วยกัน สิ่งเหล่านี้ค่อยเบาบางจางไป ความมืดทั้งหลายนี้ค่อยสว่างไสวขึ้นมาภายในใจ เพราะธรรมชะล้างๆ จิตใจค่อยสว่างไสวขึ้นมา นี่ท่านเรียกว่าธรรม มันอยู่ด้วยกันกับจิต หากไม่รู้ว่าเป็นกิเลส เป็นธรรม สัตว์โลกไม่รู้ อารมณ์ของกิเลสมันผลักมันดันให้สัตว์โลกทั้งหลายเปลี่ยนแปลงดีดดิ้นตลอดเวลา คืออารมณ์ของกิเลส มันผลักดันภายในใจ กวนตลอด เราจะคิดในแง่อรรถและธรรม มันขวางไม่ยอมให้คิด มันขัดมันขวาง มันดีดมันดิ้น ไม่อยากให้คิด นี่คืออารมณ์ของกิเลส
    <O:p</O:p
    เวลาเราจะบำเพ็ญความดี ยิ่งจะทำให้จิตใจสงบ โหย อ่อนเปียกไปหมดเลยนะ ความขี้เกียจขี้คร้าน เอามาใส่รถไฟสัก ๓ ตู้ไม่พอ ความขี้เกียจมากกว่านั้น ยังเต็มตู้นี้ไปเอาตู้นั้นมาอีก มาบรรจุความขี้เกียจ อ้าว ตู้นั้นมาอีก ยังไม่หมด ๆ จากคนๆ เดียว เข้าใจไหม นี่เวลาเราจะทำความดี กิเลสตัณหาตัวขี้เกียจขี้คร้าน ตัวไม่เอาไหน ตัวกีดตัวขวาง มันบรรทุกรถไฟมาเป็นตู้ ๆ ทีนี้เราเพียงคนเดียวสู้มันไม่ได้ก็หงายหมาเลย เฮ้ย ไม่เป็นท่า วันนี้ไม่ได้แหละ เหนื่อยมากวันนี้พักผ่อน นั่น ล้มแล้ว นี่คืออารมณ์ของกิเลสให้พากันเข้าใจ
    <O:p</O:p
    ท่านบอกว่าธรรมว่ากิเลสให้ทราบในตัวของเรา ไม่มีใครมาบอก ให้ทราบเสียตั้งแต่บัดนี้ต่อไป อารมณ์ชนิดนี้ เรียกว่าอารมณ์ที่หมุนจิตใจของสัตว์โลกให้พาเกิดพาตายในทางความทุกข์ความลำบากลำบน มันหมุนไปทางต่ำเสมอ ทางสูงมันไม่ให้ไป กิเลสต้องหมุนลงทางต่ำ ธรรมะนี้หมุนขึ้นทางสูง นี่ละ ธรรมะคืออารมณ์ที่คิดอยากทำบุญให้ทาน คิดอยากทำความดีงามทั้งหลาย มันหากเป็นอยู่ในจิตนะ นี่เรียกว่าอารมณ์ของธรรม ธรรมอยู่ในใจนั้นแหละ แต่ถูกกิเลสปิดไว้ เพราะกิเลสมีอำนาจมาก กิเลสลากถูไปทางไหน มันก็ไปเสียโดยไม่รู้ว่าเรามีธรรมหรือไม่ ตัวที่พาลากถูก็ไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลส เข้าใจไหมล่ะ ไม่รู้ว่านี้คือ อารมณ์ของกิเลสกำลังลากถูเราไปเวลานี้
    <O:p</O:p
    เราก็เหมือนกับฟุตบอล แต่ฟุตบอลมันไม่มีจิตวิญญาณ เตะไปไหนมันก็ไป แต่คนเป็นฟุตบอลเจ็บมันก็รู้ ทุกข์มันก็รู้ มันไม่ใช่ขอนซุง ขอนซุงไม่มีวิญญาณ คนเป็นขอนซุงมันมีวิญญาณ ทุกข์ลำบากลำบนมันก็รู้ ทนทุกข์ทรมานไปตามอำนาจของกิเลสที่ฉุดลากไป วิ่งไปนั้นแหละ นี่ท่านเรียกว่าอารมณ์ของกิเลส ความโลภ มันอยากได้นั้นได้นี้ นั่นละอารมณ์ของกิเลส ความโลภที่เป็นสิ่งขัดขวางที่เป็นภัยแก่ตัวเองก็เรียกว่า กิเลส โลกไม่รู้จักประมาณ โลกไม่มีความอิ่มความพอ มีแต่อยากได้ถ่ายเดียว <O:p</O:p
     
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    นอกจากนั้นอยากจะเป็นเศรษฐีให้อยู่เหนือโลกเขาไปอีก อารมณ์เช่นนี้ท่านเรียกว่า กิเลส คือแสดงเป็นตัวอยากได้ เป็นตัวโกรธ ตัวเคียดตัวแค้น หงุดหงิด เหล่านี้เป็นอารมณ์ของกิเลส มันโกรธ มันเคียดมันแค้นอยู่ภายในจิตใจ นี่เป็นอารมณ์ของกิเลสชนิดหนึ่ง เรียกว่า กิเลสมีเป็นประเภท ๆ ราคะตัณหา ความดีดความดิ้น กำหนัดในหญิงในชาย ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล เจอกันมีแต่อันนี้ออกหน้า ๆ ภายในใจทั้งเขาทั้งเรา ตำหนิใครไม่ได้นะ มันเป็นหลักธรรมชาติ นี่ก็เรียกว่า อารมณ์ของกิเลส ตัวราคะ ทำให้เกิดความกำหนัดยินดี
    <O:p</O:p
    จากนั้นแล้วมันก็พาให้ดิ้นให้ดีด ให้เสาะให้แสวงหา ภายในใจมันก็ดีดดิ้นอยู่ภายในมัน อยากเสาะอยากแสวงหา อยากพบอยากเห็น ผู้หญิงหรือชายที่ตนชอบตนรักนะ อยากพบอยากเห็น อยากพูดอยากคุย อยากกระซิบกระซาบ อยากใกล้ชิดติดพัน ทั้งหญิงทั้งชายมันเป็นด้วยกันอย่างนี้ นี่คืออารมณ์ของกิเลส แล้วสิ่งเหล่านี้ เมื่อรวมลงมาแล้วก็เรียกว่าตัวพาดีดพาดิ้น ให้เราเป็นความทุกข์ความทรมานโดยที่ความอยากอันนั้นน่ะ มันเหยียบเอาไว้ไม่ให้รู้ มันให้เพลินไป เราดิ้นไปกับมันนี้ เราเป็นทุกข์ขนาดไหน มันก็ไม่มองความทุกข์ มันมองไปข้างหน้านู่น นี่จึงเรียกว่า อารมณ์เหล่านี้เป็นกิเลสทั้งนั้น พากันจำเอานะ
    <O:p</O:p
    อารมณ์ ใครก็ว่ากิเลส ว่าธรรม ไม่ทราบว่าธรรมเป็นยังไง กิเลสเป็นยังไง อารมณ์ชนิดนี้ที่มันผลักมันดันเรา นี้เรียกว่ากิเลส แล้วเราคิดอยากจะทำคุณงามความดีนี้เป็นอารมณ์ของธรรมนะ แล้วกิเลสมันกีดมันขวาง ถ้าจะทำความดีงามทั้งหลายมันไม่อยากให้ทำ นี่ก็เป็นอารมณ์ของกิเลสมากีดขวางเอาไว้ แต่ธรรมมีอยู่ในใจ ไม่มากก็น้อยมีอยู่ในใจ มันมีเวลาที่จะอยากทำนั้นอยากทำนี้ในบรรดาความดีทั้งหลาย อยู่นั้นแล กิเลสมันก็กีดก็ขวางเวลามันมีอำนาจ ให้ทราบเสียว่า อารมณ์ที่มากีดขวางการทำดีของเรา นั้นคือกิเลส
    <O:p</O:p
    อารมณ์ที่เป็นความดีของเรา อยากทำบุญให้ทาน อยากเจริญเมตตาภาวนา อย่างนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นฝ่ายบุญฝ่ายกุศล อยากทำ ๆ อันนี้เรียกว่า อารมณ์แห่งธรรม ไม่มากก็เกิดขึ้นให้จับได้อยู่นั้นแหละ นี่เรียกว่า อารมณ์แห่งธรรมอยู่ในใจของเราคนเดียว ทีนี้เวลาเราสั่งสมทางธรรมขึ้นมาก ๆ อารมณ์ของธรรมจะมีมากขึ้น ๆ อารมณ์ของกิเลสจะค่อยลดน้อยลงไป ๆ ทางนี้หนาแน่นขึ้น ๆ ทีนี้ลบล้างกันไปเรื่อย ๆ นี่ที่ท่านว่า ท่านเจริญธรรม มีกำลังจิตกำลังธรรมนั้นแหละ ปราบปรามกิเลสซึ่งเป็นตัวข้าศึกอยู่ภายในใจที่มันรุนแรงอยู่แต่ก่อนให้ลดน้อยลง ๆ
    <O:p</O:p
    ทีนี้ต่อไปธรรมก็เกิด แต่ก่อนมีแต่กิเลสเกิด ต่อไปธรรมก็เกิด เกิดเรื่อย ๆ ความสงบร่มเย็นก็เกิด สติก็ติดแนบกันไปเรื่อย ความพากความเพียร ความอุตส่าห์พยายามเป็นธรรมทั้งนั้น แต่ก่อนมีแต่กิเลสเกิด ต่อไปธรรมก็เกิดเรื่อย ๆ สติก็ติดแนบกันไปเรื่อย เป็นธรรมทั้งนั้น เกิดด้วยกัน ๆ เรียกว่า ธรรมเกิด วิริยธรรม คือความเพียรก็เกิด ความอุตส่าห์พยายามก็เกิด ความอดความทน ขันติคือความอดความทนก็เกิด เพื่อต่อสู้กับกิเลส เกิดขึ้นเรื่อยๆ ทีนี้ธรรมก็มีทางขึ้น พอธรรมมีทางขึ้นแล้วจะค่อยเบิกกว้างออก ไม่เหมือนกิเลส กิเลสนี้มันทำให้ตีบตันอั้นตู้ แต่ธรรมนี้ทำให้กว้างขวางออกไป จนกลายเป็นเวิ้งว้าง ๆ ไปเรื่อยนะ นี่อารมณ์ของธรรม หนุนใจของเราให้เบาหวิว ๆ เลย
    <O:p</O:p
    ขั้นผู้พึ่งภาวนา จิตใจมีความสงบเย็นเท่าไร พื้นฐานของท่านยิ่งแน่นหนามั่นคง ใจยิ่งสว่างไสวขึ้น ทีนี้มีแต่อารมณ์ของธรรมมากขึ้น ๆ อารมณ์ของกิเลส ความโลภของกิเลส โลภหาอะไร เลยกลายเป็นเรื่องไม่สนใจไปแล้ว ความโกรธก็ไม่สนใจยิ่งกว่าพิจารณาจิตไม่ให้มันดีดมันดิ้น ไปไหนที่เป็นเรื่องกิเลสตีไว้ทั้งนั้น ๆ ความรักความกำหนัดยินดีในหญิงในชายมันก็จางไป ๆ เพราะเสาะแสวงหาแต่ธรรม ไม่เสาะแสวงหาสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลส นั่น มันก็ชำระเรื่อย สิ่งเหล่านั้นก็จางไป ๆ ธรรมะก็หนาแน่นขึ้นมา
    <O:p</O:p
    พอพูดอย่างนี้เราก็ยังระลึกได้อยู่นะ นี่จะเป็นขายตัวก็ตาม เอาความจริงมาพูด ไปนั่งภาวนาอยู่ภูเขา ตั้งหน้าจะฟัดกับกิเลส เห็นหญิงสาวมาใส่บาตรไปรักหญิงสาว โธ่ เคียดแค้นให้เจ้าของ กูพามึงมาฆ่ากิเลส มึงจะมาสั่งสมกิเลสเหรอ พูดให้มันจัง ๆ มันเป็นในหัวใจก็บอกซิ เมื่อมันเป็นพูดไม่ได้มีหรือ ใช่ไหม นี่ยกตัวอย่าง เขาก็ไม่ได้ว่าเขาสวยเขางาม น่ารักน่าชอบ เราเป็นบ้าไปเห็น ทีนี้มันติดอยู่ในใจ มาเป็นอารมณ์ละซิทีนี้ เอ๊ะ ทำไม ยังไง ๆ ฟัดกัน นี่มันจับได้อย่างงี้ คือเราไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจะเป็น แต่มันเป็นด้วยอำนาจกิเลส มันเหนือกว่าใช่ไหม มันก็เคียดแค้นให้เจ้าของ โอ๊ย กูก็ว่ากูมาฆ่ากิเลส อันนี้มันมาสั่งสมกิเลส นี่ฟัดเจ้าของ ยกตัวอย่างมาอย่างนี้นะ
    <O:p</O:p
    ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้สนใจ เวลาเจอกิเลสมันสนใจแล้ว กิเลสตัวรักชอบ สาวคนนี้สวย นี่กิเลสรักแล้วนะ ก็กูไม่พามึงมาหาอันนี้ ทางธรรมฟัดกันแล้วนะ มันก็ดึงไปจนได้ เอาไปเอามามันก็จาง มันสู้เราไม่ได้ แต่เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่ยกมา มันมีอะไรมันต้องแสดงขึ้นมาภายในใจ เวลาปฏิบัติไปสิ่งเหล่านี้จะจางไป ๆ กำจัดปัดมันออกเรื่อย ๆ เลยโดยลำดับลำดา เรื่องความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านี้มันก็จางไปด้วยกัน ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา จางลง ๆ ความทุกข์ทั้งหลายจางลง ๆ จิตใจก็มีความสงบสุขเย็นขึ้น ๆ จากนั้นพิจารณาทางด้านสติปัญญาแกล้วกล้าสามารถขึ้นไป สิ่งเหล่านี้ก็พังลง ๆ ทีนี้มีแต่ธรรมเกิดแล้วนะ กิเลสเกิดน้อยแหละทีนี้ ธรรมเกิดมากตลอด ๆ
    <O:p</O:p
    ต่อไปกิเลสตัวไหนแย็บขึ้นมา มันรู้ทันทีว่าเป็นภัย ใส่กันเปรี้ยง ขาดสะบั้น ๆ มันต่างกัน ทีนี้ธรรมเกิด ท่านเรียกว่า อารมณ์ของธรรม อารมณ์ของกิเลส อารมณ์ของกิเลส มันมีของมันแย็บออกไปทำให้เกิด เกิดจากใจ แต่เราไม่รู้เวลามันแย็บออกไป จะแสดงเรื่องของกิเลส ทางนี้รู้ก็ตามแก้กัน ๆ สงบลง ๆ นี้เราพูดให้ฟังอย่างชัดเจนในภาคปฏิบัติ มันรู้มันเห็นเข้าไปโดยลำดับลำดา มันทำให้รู้ให้เห็นก็คือว่า แต่ก่อนกิเลสมันปิดไว้มันไม่ให้เห็น ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นมันมีอยู่ดั้งเดิม แต่คนตาบอดไปไหน อันไหนจะมีอยู่ดั้งเดิม ไม่ดั้งเดิมมันก็ไม่เห็น มีอยู่มันโดนเอาเลย เวลามันมืดมันเป็นอย่างนั้น เวลาลืมตาขึ้นมาแล้ว ที่ไหนมันเห็นมันก็หลีกของมัน
    <O:p</O:p
    จิตพอสว่างขึ้นมาแล้ว อะไรที่เป็นภัย มันหลีกของมัน ตัดของมันออก ปัดของมันออกอยู่งั้นเรื่อยๆ เมื่อเราสั่งสมอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ความพากเพียรทุกอย่างมันค่อยต่อเนื่องเป็นลำดับนะ เรื่องวิริยะ ความพากเพียร ความอดความทน ทุกอย่างนี้มันจะไปพร้อมกันกับความตั้งสติสตัง สตินี้พยายามตลอด ตั้ง แล้วก็มีแต่สั่งสมธรรมขึ้นมา อารมณ์ธรรมมีมากเท่าไร ยิ่งทำจิตใจของเราให้เบาหวิว ๆ ๆ นี่อารมณ์ของธรรมหนุนใจให้ขึ้น อารมณ์ของกิเลสให้กดใจลง ให้จำให้ดีนะ
    <O:p</O:p
    โลกทั้งหลายจึงหาความสุขไม่ได้ เพราะต่างคนต่างดีดต่างดิ้น ต่างพอใจกับกิเลสโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย มีแต่ว่าอันนั้นจะดี อันนี้จะดี เราไม่รู้ว่าความเลวมันอยู่ที่ตรงไหน มันเหนือเราใช่ไหม เราไปเจอเข้าแล้วเป็นความทุกข์ ว่าหวังอย่างนั้นหวังอย่างนี้ ความผิดหวังมันก็แนบข้างกันมา เมื่อไม่สมหวังก็ผิดหวัง มันเป็นทุกข์ล่ะซิ นี่ละอารมณ์ของกิเลสเป็นอย่างนี้ ให้พากันจำทุกคน นี่ถอดออกมาจากภาคปฏิบัตินะ สาธุ พูดแล้วเราไม่ได้ประมาทปริยัติ เราก็เรียนมา จำได้มาๆ มันก็ไม่ได้ละกิเลส เรียนกันไปถึงนิพพานก็เป็นนิพพานแต่ความจำ กิเลสยังเต็มอยู่ในหัวใจ
    <O:p</O:p
    เวลาภาคเรียน เรียนไปถึงไหนมันก็เป็นการจำได้ไปถึงนั้น แต่กิเลสไม่เคยถลอกปอกเปิกนะ บทเวลาออกมาภาคปฏิบัตินี้ ปฏิบัติไปตรงไหนมีแต่ชำระกิเลส ไปเรื่อย ๆ ๆ เลย เวลาธรรมได้พยุงจิตใจแล้ว ใจทั้งดวงปรากฏว่ามีแต่ธรรม เบาหวิวตลอดเวลา การอยู่ การกิน การใช้ การสอย การหลับตื่นลืมตา ไปไหนมาไหน มันจะไม่ถืออะไรเป็นสำคัญ ยิ่งกว่าความเพียรประคับประคองจิตใจให้สง่างามไปด้วยสติตลอดเวลา มันจะมีอย่างงั้นตลอด จิตใจมันเพลิน อะไรก็เบิกกว้างออกหมด เห็นจุดหมายปลายทางเป็นลำดับลำดา ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์
    <O:p</O:p
    กองทุกข์ทั้งหลายที่เคยเป็นมาแต่ก่อนไม่รู้นะ เวลาธรรมเปิดมันเห็นล่ะซิ กองทุกข์ คือกิเลสสร้างขึ้นมา กิเลสเกิดมากเท่าไรยิ่งมืดบอดไปโดยลำดับลำดา จนหาที่ไปที่มาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงได้พูดว่า เรื่องของคนนั้น ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด มันมีกิเลสเหมือนกันหมดนั้นแหละ แล้วยิ่งผู้ที่ได้รับความสมมุตินิยมสูงขึ้นไปเท่าไร มันยิ่งสั่งสมกิเลสภายในใจ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อเป็นอย่างงั้น ความทุกข์จึงมีเหมือนกันหมด กิเลสมันบีบอยู่ภายในให้สร้างความกังวลมากมาย ความโลภ อยากได้มากเท่าไร มันก็ยิ่งดีดยิ่งดิ้น ยิ่งเป็นทุกข์มาก ได้มาแล้วกังวลในการรักษา หน้าที่การงานก็เกี่ยวข้องกับบริษัทบริวาร ต้องคิดไปหมด ยุ่งไปหมด ผู้นี้ยุ่งมากกว่าเพื่อน ทุกข์มากกว่าเพื่อน
    <O:p</O:p
    แต่บรรดาคนทั้งหลายที่เขาเห็น คนนี้เขาดีนะ เขาเป็นเจ้าเป็นนาย เขาเป็นคนมั่งคนมีดีเด่น มีความสุขความเจริญ มีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาขี้หมาอะไร คนกำลังจะตายอยู่ภายในหัวใจ เอาธรรมจับเห็นอยู่อย่างงั้น เพราะฉะนั้นธรรมจึงไม่ผิด สอนไปตรงไหน ใส่เข้ากลางหัวใจเลยเชียว เปรี้ยง ๆ พังเลยกิเลส ธรรมภาคปฏิบัติสอนตรงไหน ตรงเป๋งเลย เพราะท่านสอนท่านมาแล้ว ท่านปฏิบัติของท่านจนกระทั่งแน่นอน กิเลสพังจากหัวใจหมดแล้ว มันอยู่ในหัวใจดวงใด มันก็กิเลสประเภทเดียวกัน มันต้องพังด้วยกัน แล้วท่านจะไม่รู้ได้ยังไง แม้ท่านจะไม่ไปทำลายกิเลสเขาก็ตามแต่ท่านก็รู้ นี่ละธรรมของใจ อารมณ์ของธรรมเป็นอย่างนี้ ทำให้จิตใจเบาหวิวๆ ๆ
    <O:p</O:p
    เรื่องความเป็นมาของเรา ถึงจะมืดบอดมาแต่ก่อนก็ตาม ทีนี้เวลาธรรมครองใจแล้ว มันเบิกกว้างออกไปนะ มีตั้งแต่ทางที่จะให้มีความสุขความเจริญยิ่งกว่านี้ หรือต่อไปจะให้ถึงความพ้นทุกข์ สุดท้ายต้องพ้นทุกข์ ไม่พ้นทุกข์ตายก็ตาย นั่นเห็นไหม อำนาจของธรรม เร่งถึงขนาดนั้น ที่จะให้ถอยกิเลสถอยไม่ได้แล้ว คำว่าถอยกิเลสไม่มี ต้องให้ตายเลย นี่อำนาจของธรรมมีกำลังมากแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างคล่องตัวไปหมด สติปัญญาที่อืดอาดเนือยนายแต่ก่อนนี้ โหย คล่องตัว กิเลสผ่านมาไม่ได้ ขาดสะบั้น ๆ ไปเลย สุดท้ายก็กิเลสขาดสะบั้นออกจากใจหมดโดยสิ้นเชิง สว่างจ้าขึ้นมา นี่เห็นไหม ใจดวงนี้ นี่ละธรรมครองใจ
    <O:p</O:p
    ทีนี้เลยกลายเป็นใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว ทีนี้จ้าหมด ไม่มีคำว่าอัดว่าอั้นในสามแดนโลกธาตุ อั้นกับอะไร อัดกับอะไร อะไรมาปิดมาบัง ก็มีกิเลสอย่างเดียวเท่านั้นมาปิดบังหัวใจ เมื่อกิเลสหมดสิ้นซากลงไปแล้วอะไรจะมาปิด เรียกว่าเวิ้งว้างไปหมด ไม่มีอะไรที่จะเวิ้งว้างกว้างขวางยิ่งกว่าใจที่สิ้นจากกิเลสแล้ว ครอบแดนโลกธาตุหมด ฟังซิน่ะ ทีนี้เวลาโลกที่มันแคบ มันมาแคบที่หัวใจ คือกิเลสบีบหัวใจ มันจะกว้างขนาดไหน มันก็มาแคบอยู่ที่หัวใจของเรา ความทุกข์อยู่ที่หัวใจ เมื่อใจเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว ความสุขทั้งหมดมารวมที่หัวใจ
    <O:p</O:p
    นี่วันนี้ได้พูดถึงเรื่องอารมณ์ของกิเลส อารมณ์ของธรรม มันผลักดันจิตใจได้ด้วยกัน อันหนึ่งผลักดันไปทางดี อันหนึ่งผลักดันไปทางชั่ว ถ้ายังไม่รู้ว่ากิเลสว่าธรรมให้สังเกตเอาตามนี้นะ อารมณ์ที่มันทำให้คิด ให้ชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ นั่นละอารมณ์ เรียกว่า อารมณ์ อารมณ์อันนี้คืออะไร ถ้าเป็นอารมณ์ฝ่ายกิเลสมันก็ไปทางต่ำ ถ้าอารมณ์ฝ่ายสูง ก็ไปทางธรรม ส่วนมากทีแรกมันไม่อยากทำทางดีน่ะ ถึงอยากก็มีน้อย กิเลสตีนิดเดียวหลุดไม้หลุดมือไปเลย ครั้นต่อไป ๆ ก็เหนียวแน่นขึ้น จับมั่น กิเลสมาแตะไม่ได้ ฟาดกิเลสหัวแตกเลย มันเป็นอย่างงั้นนะ
    <O:p</O:p
    ทีนี้เวลามันได้รู้ได้เห็นตามความเป็นจริงที่ได้ปฏิบัติมา ทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งสุข ทั้งทุกข์ กิเลสตัณหา บาป บุญ นรก สวรรค์ อเวจี มันรู้ในหัวใจของมันหมดโดยไม่มีอะไรสงสัยแล้ว หมอบกราบราบเลย พระพุทธเจ้าที่สอนไว้ว่า บาปมี บุญมี นรกสวรรค์มี พรหมโลกมี พวกเปรตพวกผี สัตว์ต่าง ๆ ทั่วดินฟ้าอากาศ ท้องฟ้ามหาสมุทร ว่ามี เห็นหมด นั่นยอมรับผึง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างเทศน์ออกมา สอนออกมา บอกออกมาคำใดก็ตาม จะเอาความจริงออกมาล้วน ๆ ๆ ความแง่งอนไม่มี เพราะมีแต่ความจริงที่เต็มในหัวใจ ถอดออกมาว่านี่น่ะ ตาบอดหรือ อยากว่าอย่างงั้น ถ้าเป็นหลวงตาบัวจะว่าอย่างงั้นนะ ตาบอดหรือถึงไม่ดู เราอยากว่าอย่างงั้นนะ
    <O:p</O:p
    กิเลสมันมืดจริง ๆ กิเลสมันมืดมันกล่อมเลยนะ ไม่อยากสว่างด้วยนะ กิเลสกล่อมคน มืดทั้งวันทั้งคืน มันยังกล่อมไปอีก อยากให้มืดไปอีก ตายแล้วก็สูญไปเลย ยิ่งสบายใหญ่ ตายสูญไปแล้วยิ่งสบายใหญ่ ตัวจริงไม่ได้สูญล่ะซิ กิเลสหลอกต่างหาก พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้เห็นจริงๆ แล้ว ถ้ามันสูญทำไมพระพุทธเจ้าจะไม่บอกก่อนเพื่อนล่ะ นี่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ว่าเกิดว่าตาย ออกจากนี้ ออกร่างนั้นร่างนี้ พระองค์ไหนก็สอนอย่างเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่นี้ตลอดมา ก็เพราะเรื่องเกิดตายคือเรื่องของจิต เข้าร่างนั้นร่างนี้ มันไม่เคยฉิบหาย แต่ไปอาศัยร่างใดเพราะอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว มันก็เป็นร่างต่าง ๆ ขึ้นมา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเปรต เป็นผี เป็นเทวบุตรเทวดาตามอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตน จิตดวงนั้นแหละพาให้เป็น
    <O:p</O:p
    พูดถึงเรื่องอารมณ์ของธรรม อารมณ์ของกิเลส แล้วพูดถึงเรื่องความจริงกับความจำ มันต่างกัน ความจำที่เรียนมานั่น ไม่ได้แน่ใจ คือท่านสอนมายังไง เราเรียนไปตามเราก็เชื่อไปตามนั้นลอย ๆ มันไม่ได้มั่นคงภายในใจเหมือนการปฏิบัติรู้ขึ้นมานะ เวลาเราปฏิบัติเรารู้ขึ้นมามันแม่นยำ จริงจัง แล้วไม่สงสัย ๆ ยิ่งเข้าไปละเอียดเท่าไร ยิ่งไม่สงสัย ยิ่งกระจ่างแจ้งขึ้นไป เมื่อเป็นเช่นนั้น พูดออกมาคำไหนจะสงสัยไปไหน ใครเชื่อไม่เชื่อ เราไม่ได้สนใจ เป็นเรื่องของเขาที่จะมารับประโยชน์จากเรา เขาไม่เชื่อก็เป็นกรรมของเขาเอง เขาเชื่อก็เป็นกรรมดีของเขาเอง ก็มีเท่านั้น ส่วนท่านที่จะให้มีรายได้รายเสียจากคนเชื่อหรือไม่เชื่อ ท่านรู้ของท่านจริงแล้ว จะมาหาท่านปลอมไปไหนอีกล่ะ ถ้าว่าพ้นท่านก็พ้นแล้ว จะให้ท่านตกนรกอเวจีลูกไหนอีก มันตกก็ตกพวกที่มันไม่เชื่อนั่นแหละ ให้พากันจำไว้นะ
    <O:p</O:p
    ความจริงเป็นอย่างนั้น รู้ออกมาจริงๆ เทศน์ออกมา สอนออกมาจริงจังทุกอย่างแม่นยำ แต่ความจำไม่ได้เรื่องนะ ถ้าถูกเขาว่า หรือโดนเขาโจมตีบ้าง ทำไมถึงเทศน์อย่างงั้นล่ะ มันถูกหรือนั่น ก็ตำราท่านว่าอย่างงี้ โยนใส่ตำรา เจ้าของก็ไป ตัวรอดก็เอา ก็ไม่ทราบรอดไปไหนก็ไม่รู้หัวมันละ เจ้าของเอาตัวรอดก็พอ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างงั้นนะ มันผิดกัน นี่ละธรรมพระพุทธเจ้ามีเป็นพื้นเพอยู่อย่างงี้ตลอดมา ท่านถึงเรียกว่าอกาลิโก ไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลาที่จะมาตัดมาทอน มาลบมาล้างได้เลย ผู้ทำดีต้องได้ดีตลอด ผู้ทำชั่วต้องได้ชั่วตลอด ออกมาจากใจดวงเดียวกันนี้
    <O:p</O:p
    ทำไปทางกิเลส กิเลสพาให้ทำชั่ว เป็นกิเลสวันยังค่ำ หมุนไปทางธรรม ทางความดีงาม เรียกว่า ธรรม ซึ่งเกิดอยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน เป็นความดีงามตลอดไป เพราะฉะนั้นจึงว่าเอื้อมไปทางไหนถูกทั้งนั้น เอื้อมไปทางกิเลสก็ถูกกิเลส เอื้อมไปทางธรรมเป็นความสุขก็สุขไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหลุดพ้นไปได้เลย ไม่สูญหายไปไหน เรื่องกิเลสที่มีอยู่เต็มโลกเต็มสงสาร มันบอกว่า ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป ตายแล้วสูญ นี่กิเลสตัวนี้หนาแน่นมาก มันหนาแน่นอยู่กับผู้สำคัญ สำคัญตนและประกาศออกมาหลอกโลกเขานั่น พวกนี้พวกสร้างกรรมหนักมาก
    <O:p</O:p
    มันไม่ได้เป็นไปตามความเสกสรรปั้นยอ เป็นไปตามความจริง ความจริงก็คือว่า ใจนี้ไม่ฉิบหาย ไม่สูญ พระพุทธเจ้ารู้ความจริง ไม่สูญก็บอกไม่สูญ แม้ถึงนิพพานแล้วก็เป็นธรรมธาตุ จิตดวงนี้เป็นธรรมธาตุแล้ว แต่ก่อนมันตกนรกหมกไหม้ ไปที่ไหน ๆ เสวยทุกขเวทนามากน้อยเพียงไร มันก็ยอมรับว่าทุกข์มาก แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ เวลาบาปกรรมมันพ้นไป ๆ ผ่านมาสร้างความดี ความดีส่งเสริมเข้าไป ฟาดจนกระทั่งถึงจิตนี้บริสุทธิ์เต็มที่แล้วเป็นธรรมธาตุพ้นทุกข์ไปเลย แล้วสูญที่ตรงไหน นี่แหละท่านเรียกว่า ธรรมมีอยู่ ๆ ครอบแดนโลกธาตุ คือธรรมธาตุ สูญไปไหนล่ะ
    <O:p</O:p
    ว่าจะจบแล้วขึ้นอีก เป็นยังไงฟังเทศน์วันนี้เป็นยังไง
    <O:p</O:p
    (โยม : ฟังที่หลวงตาบอกว่า อารมณ์กิเลสกับอารมณ์ธรรม พอฟังแล้วหนูก็แยกออกว่าเป็นอย่างงี้ ๆ) ก็อย่างงั้นแล้ว คือมันอยู่ในใจ กิเลสก็เกิดที่ใจ อยู่ที่ใจเหมือนกัน ธรรมก็เกิดอยู่ในใจ อยู่ที่ใจเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันจึงต่างอันต่างแสดงได้ ตามความมีอยู่ของตน เวลาคิดอยากไปทำบุญทำทาน นี่คือทางธรรม คิดอยากไปทำบาปทำกรรมมันก็คิด เวลามันคิดดื้อๆ เข้ามามาก ๆ มันก็ไปหาที่ลับ ๆ เสียก่อนแล้วดูว่าเมียอยู่ข้างหลังหรือเปล่า ถ้าเมียเขาอยู่ข้างหลังก็มองหาอีหนูละซิ มันเป็นของมัน เข้าใจไหมล่ะ

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1710&CatID=2<O:p</O:p
     
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เพลินในธรรมไม่เหมือนเพลินทางโลก


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด<O:p</O:p


    เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒<O:p</O:p


    <O:p</O:p


    ออกจากนี้เราก็ไปละไปช่วยโลกนะ ของนี้เต็มรถไปเลยไปให้โรงพยาบาลตามที่ต่างๆ ไปโรงนั้นๆ ไปได้วันละโรง..โรงพยาบาล แล้วเงินประจำโรงละสองหมื่นๆ ตึกสงฆ์อาพาธหน้าศาลา ๓๑,๑๖๐ บาท ผ้าป่าหน้าศาลาธรรมดา ๑๒,๗๕๙ บาท มีแต่ช่วยโลกทั้งนั้น ออกมาอะไรๆ ออกช่วยโลกทั้งหมดเลย เราไม่เอาอะไร เราพูดจริงๆมันจวนจะตายแล้ว พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังด้วยคุณค่าแห่งการปฏิบัติธรรมมาเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่ออกจากเรียนหนังสือเข้าหาโรงงานใหญ่ คือพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น รับโอวาทจากท่านอย่างถึงใจแล้วเข้าป่าเลย แล้วเที่ยวกรรมฐานองค์เดียวๆๆ ไม่เอาใครไปด้วย มันเป็นน้ำไหลบ่า ไม่รุนแรง ไปองค์เดียวตลอดนะ เราเที่ยวกรรมฐานผิดกับพระทั้งหลายที่ท่านเที่ยวไปทีละสององค์สามองค์ เราไม่เคย ไปองค์เดียวๆ ตลอด
    <O:p</O:p
    ตั้งแต่หยุดเรียนหนังสือก็เข้าหาโรงงานใหญ่หลวงปู่มั่น ท่านเทศน์ให้ฟังอย่างถึงใจ ออกมาก็ถามตัวเองว่าเป็นอย่างไรเทศน์ของท่านวันนี้ถึงใจไหม ต้องเอาตายสู้ ทางนี้ตอบรับกัน เอาตายสู้ สู้จริงๆ นะ ฟัดกันเสียตั้งแต่ออกปฏิบัติ ออกปฏิบัตินี้ ๗ พรรษา หยุดเรียน ไปถึง ๙ พรรษา ๑๖ ปี นั่นละตัดสินกันลงได้ ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นลงไปในพรรษาที่ ๙ ปีที่ ๙ นั่นละกิเลสทำมันลำบากไหมละ เราเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี เวลาออกปฏิบัติถึง ๙ ปี
    <O:p</O:p
    คือการปฏิบัตินี้เอาจริงจังมากทีเดียว การเรียนหนังสือเหมือนท่านเหมือนเรา แต่เวลาออกปฏิบัตินี้เอาจริงเอาจัง เที่ยวกรรมฐานไปแต่องค์เดียวๆ ตลอดเลย ป่าช้าอยู่กับเราคนเดียว อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่กินกี่วันก็ตามนะ มันคนเดียวเรานี่ มันจะตายจริงๆ มันก็รู้ ก็ไปบิณฑบาตมากินเสียวันหนึ่ง นั่นละทุกข์ไหมพิจารณาซิ การเที่ยวกรรมฐานเพื่ออรรถเพื่อธรรมแก่ตัวเองแล้วกระจายออกไป ทุกข์ลำบากมากเวลาออกปฏิบัตินะ การเรียนหนังสือท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน ไม่ค่อยมีหนักหน่วงถ่วงใจอะไรเหมือนการออกปฏิบัติ
    <O:p</O:p
    การออกปฏิบัติเอาจริงเอาจังมากสำหรับเรา เป็นนิสัยผาดโผน ไปกรรมฐานไปองค์เดียว ไม่เอาใครไปด้วยละตลอดเลยนะ ไปองค์เดียวๆ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นก็เสริมด้วย ถ้าว่าจะไปที่ไหนทางไหนเราก็บอกทางท่าน เออดี ทางนั้นดี แล้วไปกี่องค์ ว่าไปองค์เดียว เออขึ้นทันทีเลย ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านเห็นความตั้งใจของเรา เอาจริงเอาจังมากนะ เวลาลงมาหาท่านนี่ตัวเหมือนทาขมิ้นหมดทั้งตัวเลย ดีๆ ธรรมดาเรานี้ละลงมาจนท่านร้องโก้กเลย ทำไมเป็นอย่างนี้ คือมันเหมือนทาขมิ้น ลงมาจากภูเขา ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรละ มันหากเป็นของมัน ท่านร้องโก้กขึ้นเลยทำไมเป็นอย่างนี้ได้ สักเดี๋ยวขึ้นรับ อย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ นั่น ท่านกลัวเราจะอ่อนใจ
    <O:p</O:p
    เอาขนาดนั้นละการปฏิบัติเพื่อฆ่ากิเลสหนักมากนะ เรียนหนังสือธรรมดาไม่หนักมากอะไรนัก แต่การออกปฏิบัติเพื่อฆ่ากิเลสนี้หนักมากจริงๆ ต้องเอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย ถึงอย่างนั้นมันก็ยังจะสู้กิเลสไม่ได้ละ แต่สู้ไม่ได้ไม่ถอยนะ สมมุติว่าสู้ไม่ได้วันนี้นอนไม่หลับซัดกันอีกอยู่อย่างนั้นละ ขึ้นเวทีแล้วแพ้ไม่มี ตกเวทีไปคนละฝ่ายไปเลย ใครไม่ดีตกเวที ใครดีอยู่ บางทีตกเวทีทั้งสองฝ่ายเรียกว่าเสมอกัน เอาขนาดนั้นกว่าจะได้ธรรมมาครองใจ ถึงเวลาธรรมครองใจนี้ก็ผางจ้าไปหมดนะ
    <O:p</O:p
    นี่ละอำนาจแห่งความเอาจริงเอาจัง เวลากิเลสขาดสะบั้นลงไปนี้โลกมันมืด ไม่มืดเพราะอะไรนะ มืดเพราะกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา ตัวมืดบอดปิดจิตใจให้มืดบอดไปตามๆ กันหมด พอฟาดอันนี้ขาดสะบั้นลงไปจิตจ้าเลย จิตมันสว่างอยู่แล้วเป็นแต่เพียงว่ามีอะไรมาปิดครอบ เหมือนอย่างไฟเรานี้ละมันสว่างอยู่แล้วดวงไฟแต่มีแก้วครอบแก้วดำแก้วอะไรมันก็เป็นไปตามแก้วครอบ มันไม่สว่างไสวเต็มที่ กิเลสนั่นละเป็นสิ่งที่ครอบงำจิตใจ พอเอาอันนี้ออกแล้วจิตก็สว่างจ้าเลยอย่างนั้นละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
    <O:p</O:p
    เราก็จวนตัวเข้ามาทุกวันแล้ว เหนื่อย ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนเหนื่อยมากนะ อยู่บนกุฏิเดินจงกรมนี้ชนลูกกรง ถ้าไม่มีลูกกรงตก กลางคืนเดินจงกรม เวลาจิตมันเข้าสู่จุดของมันมันจะไม่คิดเรื่องอะไร มันจะไปของมัน ไปออกไปนู้นไม่รู้ ใส่ลูกกรงเป๋งเลย ไปโดนลูกกรงแล้วกลับเข้ามาเดินจงกรมกลางคืนกุฏิเรา เพราะฉะนั้นทางจงกรมเราจึงมีลูกกรงเอาไว้ ไม่อย่างนั้นตกกุฏิ เพราะเดินจงกรมจิตเวลามันแน่วของมันแล้วมันไม่ได้สนใจทางซ้ายทางขวานะ ไปโดนเอาลูกกรง นั่นละทำความเพียร
    <O:p</O:p
    เฒ่าแก่ขนาดนี้เดินจงกรมคืนหนึ่งไม่ต่ำกว่าสองหนนะนั่น เดินจงกรมกลางคืนเงียบๆ ลงมาออกมาเดินเวลาเงียบๆ เป็นเวลาสงัดดี ตอนตั้งแต่สี่ทุ่มไปล่ะ เดินจงกรมไม่ทราบว่าจะชำระอะไรนะ พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้ละ กิเลสมันม้วนเสื่อไปหมดชำระอะไร แต่มันเพลินในธรรม ผลแห่งการชำระกิเลสได้แล้วมันเพลิน เดินจงกรมก็เพลินไป มันมีสิ่งที่พาให้เพลินนะ แต่เวลาฆ่ากับกิเลสนี้ก็ฟัดกับกิเลสตลอด ไม่มองหน้ามองหลัง พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วทีนี้มันโล่ง ผลแห่งความโล่งเป็นความรื่นเริงบันเทิง ทีนี้เดินไม่รู้จักหยุดนะ ถ้าลงมันได้เพลินใน ผลของงานที่เราทำได้มาเป็นลำดับแล้วเพลิน เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ว่าได้ผลแล้วมันจะหยุด มันไม่หยุดนะ มันเพลินในผลรายได้ของตัวเอง เพลินในธรรมทั้งหลายไม่เหมือนเพลินทางโลก เพลินทางโลกเพลินแล้วเศร้าโศกไปด้วย เสียใจไปด้วย เพลินทางธรรมไม่มี มีแต่เพลินละเอียดลออไปเรื่อยเลย พากันจำเอานะ วันนี้พูดเท่านี้<O:p</O:p

    <O:p</O:p


    รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาได้ที่<O:p</O:p




    สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนFM 103.25 MHz<O:p</O:p


    และเครือข่ายทั่วประเทศ



     
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ทุกข์ด้วยการภาวนา


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด


    เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒<O:p</O:p


    <O:p</O:p

    วันหนึ่งๆ เราไม่ได้อยู่นะ หากมีๆ ในหัวใจ ทุกข์ก็ทุกข์เพราะหัวใจสงสารโลก สงเคราะห์โลก เมื่อวานเอาของไปโรงพยาบาล เต็มรถๆ ไปโรงพยาบาลวันละโรงๆๆ พร้อมกับมอบปัจจัยให้สองหมื่นๆ ทุกโรง อาทิตย์หนึ่งดูเหมือนห้าโรง จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ จ่ายไปเรื่อยๆๆ เราพอใจในการจ่าย
    <O:p</O:p
    เจ้าของหมดทุกอย่างแล้วพูดให้มันชัดเสีย พี่น้องทั้งหลายจะว่าเราโกหก เราปฏิบัติมาเพื่อโกหกตัวเองหรือโกหกพี่น้องทั้งหลายก็ให้ฟังเอานะ เราปฏิบัติแทบล้มแทบตายมา ไม่ได้มองดูหน้าใครละอยู่ในป่าในเขา มันจะตายอยู่ภูเขา ข้าวก็ไม่ได้กิน เวลาทุกข์ทุกข์มากนะ การประกอบความพากเพียรทุกข์จริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ออกมาได้นำธรรมะที่ออกจากกองทุกข์มาแจกจ่ายพี่น้องทั้งหลาย ให้ถือเป็นคติ อย่ากินแล้วนอนกรแล้วนินใช้ไม่ได้นะ
    <O:p</O:p
    ทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้ใครก็ว่าการงานอะไรๆ ทุกข์ บทเวลาทุกข์จริงๆ ทุกข์ด้วยการภาวนานะ อันนี้บังคับกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือของธรรมทุกข์มากทีเดียว สุดท้ายมาม้วนเสื่อกันลงที่จุดทุกข์มาๆ นั่นละ กิเลสกับธรรมฟัดกัน เวลาธรรมชนะกิเลสม้วนเสื่อเลย พูดจริงๆ ไม่มี ในหัวใจดวงนี้หมดโดยสิ้นเชิงเรื่องกิเลส จะดุด่าว่ากล่าวแสดงกิริยาท่าทางอะไรสักแต่ว่ากิริยา จิตไม่หวั่น จิตคงเส้นคงวาหนาแน่น เป็นธรรมธาตุเรียบร้อยแล้วจึงได้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย
    <O:p</O:p
    เพราะทำอะไรทำจริงมากเรา ไม่เหยาะๆแหยะๆ ถ้าลงได้ปักใจลงตรงไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย ขาดสะบั้นไปเลย ทุกข์เพราะภาวนานี่ทุกข์มากที่สุดเลย ทุกข์ในการภาวนาส่วนมากไปหนักอยู่ที่อดอาหาร ถ้าอดอาหารสติดีติดแนบกันไปเลย อดไปหลายวันเท่าไรสติยิ่งติดกันตลอดสาย ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย ถ้าเวลาฉันลงไปนี้เหมือนรถบรรทุกของหนักมันอืดอาดแล้วต้องกลับมาอีกล่ะ รถวิ่งไม่คล่องมันก็ไม่ดี อีโหลกโขกเขกๆ แล้วกลับมาอีก
    <O:p</O:p
    เราทุกข์มากเพราะอดอาหารนี่ทุกข์มาก จนกระทั่งหยุด หมด เวทีแตกระจาย กิเลสขาดสะบั้นไปแล้ว ลงเวทีมาแล้วท้องยังถ่ายตลอดเลย เพราะไม่ฉันจังหัน มีแต่ไม่ฉัน ไม่ฉันเท่าไรภาวนามันยิ่งดีๆๆ น่ะซี มันก็เพลินในธรรม เราไม่ได้เพลินในอาหารการกิน นี่เพียงบรรเทาเอาไว้เท่านั้นละ เวลามันจะตายจริงๆ บรรเทาเสียบ้าง ถ้าพอทนได้ทีนี้ก็ทนไปๆ อย่างนั้นละ อยู่ในป่าในเขานู่น เรามาหมู่บ้านเขาไม่ถึงบ้าน พักกลางทาง คือมันเหนื่อย มาไม่ไหว เวลาฉันเสร็จแล้วล้างบาตรล้างอะไรที่ลานหิน ล้างบาตรเช็ดบาตร ตากผ้าอาบน้ำเรียบร้อยแห้งแล้วขึ้นเขาๆ เวลาไปเหมือนม้าแข่ง เวลาลงมาอีโหลกโขกเขกคอยแต่จะหกจะล้ม เวลาฉันจังหันแล้วดีดผึงเลย
    <O:p</O:p
    นั่นละทุกข์ขนาดนั้นละ เพราะนี้มันจริงจังทุกอย่างทำอะไร ไม่เหลาะแหละ พูดตรงๆ นะ นิสัยเป็นอย่างนั้น ถ้าลงได้ทำแล้วเอาจริงๆ เลย ไม่มีคำว่าเหยาะๆ แหยะๆ มองเห็นพระเห็นเณรแล้วเหยาะๆ แหยะๆ แล้วดูไม่ได้นะ ร่างกายเราอ่อนแต่ใจมันไม่อ่อนซี มันดีดผึงๆ เลย เห็นอะไรปั๊บจับปุ๊บๆ พิจารณาๆ ปั๊บวาง ปล่อยปั๊บๆ เรื่อยเลย นั่นเวลาเป็นธรรมเป็นอย่างนั้น อะไรเป็นธรรมไปหมดเลย เวลาเป็นกิเลสอะไรเป็นกิเลสไปหมดนะ เวลาจิตมันได้เป็นธรรมมองดูอะไรปั๊บเป็นธรรมไปเรื่อยๆ นะ
    <O:p</O:p
    วันนี้ไม่ไปไหนละ ไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์เรา พ่อใหญ่เราอยู่วัดสุทธาวาส นั่นละพ่อใหญ่เรา ว่าจะไปที่นั่นดูดเลยนะ ไม่มีจืดจาง เหมือนลูกไปเยี่ยมพ่อ หลวงปู่มั่นนี่บุญมหาคุณล้นกระหม่อมเราหมดเลย เรียกว่าหมดทุกเปอร์เซ็นต์เรามอบถวายท่าน ไม่มีอะไรเหลืออยู่เพื่อความตายสำหรับตัวเองไม่มี ท่านไม่นอนเราไม่นอน เพราะการรักษาท่าน จะว่าเราอวดเราก็ไม่อวด มันหากเป็นเองในจิตนะ พระเณรท่านก็รุมอยู่นอกมุ้งนะ แต่เราอยู่ในมุ้งคนเดียวกับท่าน คือมันไม่สนิทใจ ถ้าผู้ที่ฉลาดขอให้เราทุ่มลงไปเลยสุดหัวใจเรา เราพอใจ พระเณรท่านก็ดีทุกองค์ล้อมอยู่นอกมุ้งเต็มอยู่ แต่เวลาอยู่ในมุ้งอยู่กับท่านสององค์เท่านั้น คือเอาตายเข้าว่าเลยกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น สุดขนาดนั้นละ สุดยอดเคารพรักทุกอย่างอยู่ในนั้นหมดเลยละ
    <O:p</O:p
    เพราะอย่างนั้นพอว่าไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์สุทธาวาสดูดเลยนะ มันเป็นนะ ไปที่ไหนกำหนดจิตดูมันจืดๆ ชืดๆ ไม่ไป จืดชืดไม่ไป นี่ปั๊บจากนี้สุทธาวาส สุทธาวาส กลับมานี้เท่านั้น เครื่องดึงดูดอยู่ที่นั่น พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี่สุดยอดนะการสอน ไม่มีใครจะสอนละเอียดลออยิ่งกว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น สับเขกกันอยู่นั่นหมดเลย เอาละ ให้พร ไปละ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:pรับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่<O:p</O:p
    www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th<O:p</O:p
    และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz<O:p</O:p
    พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ


    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=5364&CatID=2
     

แชร์หน้านี้

Loading...