ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    เข้าใจผิดแล้วท่าน นักวิทยาศารตร์ ไม่วางพระพุทธเจ้าอย่างที่เข้าใจว่าต้องเป็นสถานที่่ ทุกอย่างมีเหตุและผล
    คุณพี่อาจจะมองเป็นเรื่องศรัทธา นานาจิตตังอีกแหล่ะ
     
  2. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ท่านธรรมภูต มีของมาฝาก วันนี้นานาได้ลูกเสืือด้วย
     
  3. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    มีคำขวัญ ดี ๆ มาฝากพี่ขวัญ และ หนึ่งคำถาม
    พี่ขวัญ ปฏิบัติธรรมมานานหรือยังค่ะ นี่คือคำถาม
    คำขวัญก็คือ ความตาย คือความแน่นอน ของความรู้ ????
     
  4. visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    อนุโมทนาครับ คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->nanakorn<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2143895", true); </SCRIPT>
    นี่แหละนิสัยแท้จริง...ของผู้ปฏิบัติธรรม
    กล้าทำกล้ารับ เป็นชาติอาชาไนย
    ไม่ผูกอคติ ความเจ็บใจ...ความไม่พอใจ...รู้จักวางใจเป็นกลาง
    หันมาดูข้อบกพร่องของตน...
    เป็นกระจกเงาชั้นดี ที่ส่องตัวตนให้ชัดเจน...
     
  5. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “คนเราทุกวันนี้ทุกข์เพราะคิด”
    เราเห็นด้วยกับท่านอย่างยิ่ง เพราะก็เห็นอยู่ตำตาทุกวัน
    เราอธิบายการดูจิต ของเรา แล้วท่านลองพิจารณาดูแล้วกัน
    ตอนนี้ เราดูความคิดที่มันเกิดขึ้น
    ตลอดเวลาเราจะเผลอคิดทั้งวัน แต่สักพักก็จะรู้ตัวว่าคิดอีกแล้ว
    พอรู้ตัวว่าคิด เราก็หยุดคิดเรื่องนั้น แล้วก็ทำอย่างอื่นต่อ สักพักก็รู้ว่า
    คิดอีกแล้ว ทีนี้มันมีบางเรื่องที่คิดอยู่นั่น คิดเรื่องเดิม พอเรารู้สึกตัวว่า
    คิดเรื่องนี้อีกแระ เราก็อืมสงสัยไม่ปกติ วางไม่ลง เราก็จะปล่อยให้คิด
    จดจ่อที่เรื่องนั้น คิดจนได้คำตอบที่พอใจ ก็จบเรื่องนั้นไป เราก็ดำเนินชีวิต
    ของเราไปตามปกติ สักพักก็คิดอีกแล้ว ก็รู้ตัวอีกทีตอนรู้ว่าเผลอคิด
    เราก็ภาวนาดูคิดของเรา ไปเป็นกิจวัตร ยิ่งมาอ่านในเว็บนี้ ยิ่งมีคิด
    ให้เอามาภาวนาเยอะ ถ้าเราจะผ่อนลงบ้าง เราก็จะไปทำอย่างอื่น อ่านให้
    น้อยลง ไปทำความสงบฟังเพลงสวดมนต์ หรือไปดูวิวทิวทัศน์ตามเว็บ
    ท่องเที่ยว ดูดอกไม้ ดูหิมะ ดูภูเขาสวยๆ ดูภาพวิถีชีวิตผู้คนในชนบท
    ทุกอย่างที่ทำเราจะสังเกตตัวเอง ดูตัวเอง ดูความรู้สึกตัวเอง
    ฝึกให้ใจอยู่ที่ตัวเอง ตอนแรกๆที่ฝึกใจมัน็ไม่อยู่ที่ตัวเองหรอกนะ
    มันไปอยู่กับความคิดมั่ง ไปดูทิเบตใจมันก็ไปอยู่ที่ทิเบต ไปดูแม่น้ำ
    ใจมันก็ไปอยู่ที่แม่น้ำ เดี๋ยวนี้ก็ยังดีขึ้นมาหน่อย ใจยังอยู่ที่ตัวบ้าง
    ถึงหลงไปบ้าง แต่ก็กลับมารู้ที่ตัวเองได้ ใจมันซึ้งก็รู้ว่าซึ้ง ใจมันฟูก็รู้ว่าฟู
    ใจมันแฟบก็รู้ว่ามันแฟบ ถ้าใจมันหลงไปก็ไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็รู้ว่าหลง
    ไปแล้ว เราก็ภาวนาแบบนี้อยู่สะสมการมีสติรู้ตัว มีสติรู้สึกตัว ไป
    รู้ได้เท่าที่รู้ ดูได้เท่าที่มีกำลังเห็น

    พยายามอธิบายให้ตรงกับความรู้สึกของเรามากที่สุดแล้ว
     
  6. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องปฏิบัติธรรม ก็ทำมาแต่เด็กแล้วนะ เพราะรร.อยู่ในวัด
    ก็มีนั่งสมาธิภาวนา ทำความสงบแบบทั่วไป ดูลมหายใจ
    นับลมหายใจ สวดมนต์ ก็ได้แต่ความสงบ สบายใจ
    เคยกินมังสวิรัติ อยู่2ปี แล้วก็เลิก เพราะรู้สึกว่ามันก็สงบเท่าเดิม
    แล้วก็ต้องทำงานนอกบ้าน เวลามีกิจกรรมกับคนอื่นเขาต้องมาคอย
    ดูแลเราเป็นพิเศษ ก็เลยเลิกไป แล้วก็ได้มาฟังธรรมของหลวงพ่อ
    สอนดูจิต ไปหาหลวงพ่อที่สวนสันติธรรม ครั้งหนึ่ง ได้ถามเรื่องการปฏิบัติ
    จากหลวงพ่อแล้วก็ทำตามมาได้ประมาณ เกือบปีแล้ว ยังไม่ได้เห็นอะไร
    มากมาย เห็นแต่ความคิดของตัวเอง ก็เข้าใจตัวเองมากขึ้น เพียงแต่พี่
    ชอบมีความคิดแปลกๆ จินตนาการส่วนตัวแปลกๆ ก็เขียนไว้โพสท์ไว้
    อ่านเล่น ให้คนอื่นอ่านด้วย บางทีก็อยากรู้ฟีดแบค บางทีก็แหย่ตัวเองเล่น
    ก็จะเล่นกับบางคนเท่านั้นแหละ คนไม่รู้จักก็ไม่กล้าไปเล่นด้วย อะ นอกจาก
    มันจะห้าวเป้ง บ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่มีฟอร์มหรอก ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป
    ชอบก็ดี ไม่ชอบก็ดี ไม่ว่ากัน

    คำขวัญก็คือ ความตาย คือความแน่นอน ของความรู้ ????
    อ่านแล้ว แวบแรกคือมรรคคังๆ แป๊กๆ ไม่ปิ๊ง พยายามคิด (เพื่ออะไรหว่า)
    ใจมันอยากคิด เกี่ยวกับความตาย
    ความตาย คือจุดเริ่มต้น ของความไม่รู้รอบใหม่ !!!
    ความตาย คือจุดจบ คือความดับครั้งสุดท้าย ของความรู้ ????
    เอ่อ... เริ่ม ปิ๊ง คำขวัญ แระ
     
  7. ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </CENTER></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>..กลับตัวกลับใจ.. </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ..สวัสดีคนนอนดึก..
     
  8. ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ขอบคุณค่ะ คุณวิษณุที่แนะนำ
    ได้เรียนรู้วิธีแล้ว แต่ไม่ทำ คงไม่ว่ากันนะคะ

    55+ขออภัย คิดไปคิดมา ไม่เป็น นินจาฮาหัวโต ดีกว่า...

    (smile)
     
  9. jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    จิตรวมใหญ่ของพี่ธรรมภูต กับสภาวะของคุณวิสุทโธ (ที่เคยเล่า) พี่ธรรมภูตแน่ใจเหรอครับว่าอย่างเดียวกัน

    คือผมไม่เข้าใจเรื่องจิตรวมใหญ่ ขออภัยที่ก้าวก่าย และกล่าวถึงบุคคลที่ไม่ได้คุยกันต่อหน้า

    ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ ว่าจิตรวมใหญ่คืออะไร และทำอย่างไรจึงจะได้


    ปล. ไม่ได้แคลงใจในสภาวะท่านวิสุทโธเลยนะ ^-^
     
  10. แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509


    พี่วิดนุ ใจดีหลาย ^^
     
  11. ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    โมทนากับการปฏิบัติของคุณขวัญนะคะ

    ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ยิ่งคิด ผิดตรงไหน ตรงที่วุ่นวายทั้งวัน นะเอย...

    ขออนุญาต ระหว่างพี่ธรรมภูตยังไม่มา....ขอฝากไว้เป็นข้อคิดค่ะ
    อันนี้เป็นคำตอบที่ได้ตอบไป เมื่อมีน้องคนหนึ่งโทรมาปรึกษา


    การดูจิต อย่างที่น้องเล่ามา
    เป็นการตามดูอาการของจิต โดยที่เรายังไม่รู้จักจิตที่แท้จริง
    การดูจิตที่ว่า จึงเปรียบเสมือนการเปลี่ยนจากอารมณ์นึงไปสู่อีกอารมณ์นึง

    ข้อดีคือ เราจะรู้อารมณ์ได้เร็วขึ้น แต่เราจะละไม่เป็น
    เราก็จะใช้วิธีกดข่มอารมณ์ เพราะเราเรียนรู้มาว่าอารมณ์นั้นๆเป็นสิ่งที่ไม่ดี
    เราก็จะเปลี่ยนไปหาอารมณ์ที่ดีกว่า แล้วมันก็จะวนเวียนกลับมาสู่อารมณ์เดิมอีก

    การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ก็เป็นการเปลี่ยนอารมณ์เหมือนกัน
    แต่เนื่องจากอารมณ์ในสติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ที่ปราศจากกาม
    ดังนั้น เมื่อเราฝึกดึงจิตกลับเข้ามาตั้งในอารมณ์ในสติปัฏฐาน ๔ ได้บ่อยๆเนืองๆ
    เราก็จะสามารถละวางอารมณ์ที่มากระทบได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ตามการฝึกฝนของเรา

    ซึ่งบาทฐานแรกในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ คือ อานาปานสติ
    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้ด้วยอานาปานสติ
    หลวงปู่ หลวงพ่อ สายปฏิบัติทุกองค์ เคี่ยวกรำศิษย์ ก็อานาปานสติ

    เมื่อปฏิบัติอานาปานสติจนคล่อง จนชินแล้ว
    จากนั้นจะไปกรรมฐานองค์ไหนก็ไปได้
    แต่ถ้าอานาฯยังไม่คล่อง ไม่ชิน การไปดูจิต ก็จะเป็นการตามดูอาการของจิต
    อย่างที่บอกข้างต้น เพราะเรายังไม่รู้จักจิตตามความเป็นจริง

    ยังไม่รู้จักภาวะจิตสงบ เป็นยังไง เพื่อเปรียบเทียบกับภาวะจิตไม่สงบ

    ค่ะ ก็เล่าสู่กันฟังนะคะ

    ดังนั้น อาจารย์ขันธ์ คุณวิสุทโธ พี่ธรรมภูต ซึ่งทุกท่านล้วนมีอานาฯเป็นบาทฐาน
    ทุกท่านเข้าใจดีว่า เราต้องเห็นจิตที่แท้จริงก่อน จึงจะดูจิต แล้วไม่กลายเป็นดูอาการของจิต
    จึงมาแสดง คคห ดังที่ได้ปรากฏอยู่

    (smile)
     
  12. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ขออภัยที่รอนาน แต่คงต้องรอต่อไปครับ
    เพราะยังไม่มีเวลา แปลกแฮ่ะ๒๔ช.มเท่ากัน
    แต่เวลาผมหายไปไหนหมด สงสัยเวลาอยู่ในขวดแก้วมั๊ง
    ก็ขอให้ถือว่า "ช้าเป็นการ นานเป็นคุณครับ"

    ;aa24
     
  13. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    เพิ่งมาอ่านทวน อนุโมทนากับคุณเอกวีร์ คุณเข้าใจตรงนี้ได้ดีทีเดียว ธรรมชาติของภาษา เป็นแบบนั้นแหล่ะ เปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย และยึดติดเป็นของชาติไป โลกเรามีหลายภาษา
    แต่ภาษาที่เข้าใจตรงกัน หิว ง่วง เพลีย คนตรี ยกตัวอย่างมาแค่นี้ คนที่กล้าพัฒนา คือคนที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง คุณเป็นคนที่กล้าจะพัฒนา อนุโมทนา
     
  14. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ไม่เป็นไร ความรู้สึกของเวลา ทุกคนมีเวลาเท่ากัน
    เหตุที่เห็นว่าแตกต่างกัน เพราะเราเอาไปปรุงไม่เหมือนกัน ครัวใคร ครัวมัน
     
  15. วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    โมทนากับการปฏิบัติของคุณขวัญนะคะ

    ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ยิ่งคิด ผิดตรงไหน ตรงที่วุ่นวายทั้งวัน นะเอย...ผิดเพราะสะดุ้งน่ะล่ะ

    ขออนุญาต ระหว่างพี่ธรรมภูตยังไม่มา....ขอฝากไว้เป็นข้อคิดค่ะ
    อันนี้เป็นคำตอบที่ได้ตอบไป เมื่อมีน้องคนหนึ่งโทรมาปรึกษา

    การดูจิต อย่างที่น้องเล่ามา
    เป็นการตามดูอาการของจิต โดยที่เรายังไม่รู้จักจิตที่แท้จริง
    ....มีใครไหมที่อยากเห็นหัวมันสำปะหลังโดยที่ไม่ต้องไปขุดเอาหัวมันสำปะหลังโดยไม่ต้องผ่านดิน ผ่านการดึงที่ลำต้น อยู่ๆไปหยิบหัวมันสำปะหลังได้เลยโดยมือไม่เปื้อนดินไม่แตะลำต้น ....หากเห็นหัวมันสำปะหลังดีแล้ว ก็ไม่ต้องผ่านดินผ่านลำต้นแล้วซิ....ในเมื่อรู้จักจิตที่แท้จริงแล้ว จะไปดูจิตทำไมล่ะก็ในเมื่อรู้แล้วอย่างนั้น

    การดูจิตที่ว่า จึงเปรียบเสมือนการเปลี่ยนจากอารมณ์นึงไปสู่อีกอารมณ์นึง.... ที่เปลี่ยนจากอารมณ์หนึ่งไปสู่อีกอารมณ์หนึ่งก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แต่การดูจิตคือการไปเห็นจิตมันเปลี่ยน และเห็นว่าทำไมมันจึงเปลี่ยน และทำไมมันจึงไหลไปตามอารมณ์ จนมันเห็นถึงความจริง

    ข้อดีคือ เราจะรู้อารมณ์ได้เร็วขึ้น แต่เราจะละไม่เป็น
    ....ที่ละไม่เป็นเพราะสติมันไม่ได้เป็นเอง การตามรู้จนจำสภาวะไม่ได้นั้นมันจะไม่ขาดสะบั้น
    เราก็จะใช้วิธีกดข่มอารมณ์ เพราะเราเรียนรู้มาว่าอารมณ์นั้นๆเป็นสิ่งที่ไม่ดี...ผิดแล้วครับ แม้สิ่งที่ดีและไม่ดีก็ตามรู้ ไม่ใช่เลือกแต่สิ่งที่พอใจเป็นหลักแต่หลีกหนีสิ่งที่ไม่ชอบใจ

    เราก็จะเปลี่ยนไปหาอารมณ์ที่ดีกว่า แล้วมันก็จะวนเวียนกลับมาสู่อารมณ์เดิมอีก....การรู้สึกตัวในแต่ละครั้งหลังจากที่จดจำสภาวะจากการอบรมดีแล้ว ย่อมตั้งอยู่เหนือดีเหนือชั่ว เมื่อรู้สึกตัว ทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีเป็นพื้นฐาน

    การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ก็เป็นการเปลี่ยนอารมณ์เหมือนกัน....การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เป็นการตามรู้สภาวะตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนอารมณ์


    แต่เนื่องจากอารมณ์ในสติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ที่ปราศจากกาม
    ดังนั้น เมื่อเราฝึกดึงจิตกลับเข้ามาตั้งในอารมณ์ในสติปัฏฐาน ๔ ได้บ่อยๆเนืองๆ
    เราก็จะสามารถละวางอารมณ์ที่มากระทบได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ตามการฝึกฝนของเรา....

    ซึ่งบาทฐานแรกในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ คือ อานาปานสติ
    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้ด้วยอานาปานสติ
    หลวงปู่ หลวงพ่อ สายปฏิบัติทุกองค์ เคี่ยวกรำศิษย์ ก็อานาปานสติ....ผมมีความเห็นว่า ก็อาจจะมีบางคนที่ไม่ตั้งฐานด้วยอานาปานะสติ อาจตั้งที่อื่นก็ได้ แต่โดยส่วนรวมผมก็เห็นว่า อานาเหมาะที่สุด

    เมื่อปฏิบัติอานาปานสติจนคล่อง จนชินแล้ว
    จากนั้นจะไปกรรมฐานองค์ไหนก็ไปได้...เมื่อได้ฐานแล้วจะเปลี่ยนฐานทำไม นอกจากจะฝึกฤทธิ์

    แต่ถ้าอานาฯยังไม่คล่อง ไม่ชิน การไปดูจิต ก็จะเป็นการตามดูอาการของจิต.... ถูกต้องแล้วครับ การจะฝึกดูจิต ก็ต้องทำกรรมฐานอย่างใดอย่างนึงไว้เป็นฐาน

    อย่างที่บอกข้างต้น เพราะเรายังไม่รู้จักจิตตามความเป็นจริง
    .....อย่างที่บอกไปการดูจิตเพื่อเห็นจิตตามความเป็นจริงที่แจ่มแจ้ง ในเมื่อรู้จิตตามความเป็นจริงทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูจิต แล้วจะไปดูจิตทำไม
    ยังไม่รู้จักภาวะจิตสงบ เป็นยังไง เพื่อเปรียบเทียบกับภาวะจิตไม่สงบ....จิตสงบเป็นสมถะ เป็นการรวมจิตเพื่อเป็นกำลัง ในการจะดูจิต จิตสงบ ก็เป็นขั้นไปแล้วแต่ความปราณีตในความสงบ

    ค่ะ ก็เล่าสู่กันฟังนะคะ

    ดังนั้น อาจารย์ขันธ์ คุณวิสุทโธ พี่ธรรมภูต ซึ่งทุกท่านล้วนมีอานาฯเป็นบาทฐาน
    ทุกท่านเข้าใจดีว่า เราต้องเห็นจิตที่แท้จริงก่อน จึงจะดูจิต แล้วไม่กลายเป็นดูอาการของจิต
    จึงมาแสดง คคห ดังที่ได้ปรากฏอยู่

    ....ก็เล่าสู่กันฟัง หากเห็นจิตที่แท้จริงก่อนแล้ว ..แล้วจะไปดูจิตทำไม...ก็เมื่อเห็นจิตที่แท้จริงแล้ว

     
  16. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    อนุโมทนาในการปฏิบัติของพี่ขวัญค่ะ
    ยังย้ำคำเดิม ความตาย คือความแน่นอน ของความรู้
     
  17. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อนุโมทนา ธรรมะสวนัง (smile)
    ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ยิ่งคิด ผิดตรงไหน ตรงที่วุ่นวายทั้งวัน นะเอย...

    วุ่นวายมาก ก็เหนื่อยมาก วุ่นวายน้อยก็เหนื่อยน้อย
    รู้ตัวว่าวุ่นวาย ก็เพราะว่ารู้สึกตัว เหมือนคนทำงานเพื่ออะไร
    ก็รู้ว่าที่เหนื่อย รู้ว่าที่ยอมลำบาก เพื่อต้องการจะได้แรง ฝึกอดทน ฝึกรู้ทุกข์

    คนที่ยิ่งคิด ซ้อนคิด คิดแล้วคิดอีก อันนี้พาตนไปสู่ทุกข์ ถ้าเป็นเรื่องร้ายๆ
    เช่นว่า มีคนรักแล้วโดนคนรักทิ้ง อกหัก รักคุด แล้วก็คิดไปต่างๆ คิดว่า
    ทำไมเขาถึงทำกับเรา ทำไมไม่เห็นความดี แล้วก็คิดแต่เรื่องที่ทำให้เจ็บช้ำ
    น้ำใจ ยิ่งคิดยิ่งแค้น อันนี้เข้าข่าย ยิ่งคิดยิ่งเป็นทุกข์ พอคิดมากๆ ย้ำมากๆ
    จนทนทุกข์ไม่่ไหว ก็อาจคิดฆ่าตนเอง ทำลายตนเอง ด้วยตนเองทำตนเอง

    ทีนี้มีคนอีกแบบ คิดรู้ตัวว่าคิด มันก็จบที่รู้ แล้วสักพัก คิดเรื่องใหม่ ก็รู้ไปอีก
    รู้ว่าคิด ไม่ได้ไปรู้เรื่องที่คิด อันนี้ พาตนไปรู้ทุกข์ เพียรอดทนที่จะรู้ทุกข์
    ไม่ได้ไปติดข้องในทุกข์

    ไม่ได้แย้งนะคะ แต่อธิบายเพิ่ม เพื่อความเข้าใจตรงกัน

    และยอมรับว่า ตอนนี้ดูได้เพียงอาการจิต ยังไม่เห็นจิต
    ถ้าเทียบกับอานาปาณสติ ก็สะสมสมาธิ รวบรวมสมาธิ ทำความเพียร
    ฝึกมีสติรู้ตัว ฝึกรู้สึกตัว สะสม รู้ และ สะสมกำลัง พอเหนื่อยมากๆ ดูไม่ไหว
    ก็พักทำจิตสงบ ฟังสวดมนต์บ้าง ระลึกถึงศีลที่ทำไว้ดีแล้วบ้าง ระลึกถึงคุณ
    งามความดีของพระพุทธองค์และพระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์ต่างๆบ้าง
    การที่เราดูจิต แล้วเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น ทำให้เรา
    เข้าใจโลกมากขึ้นด้วย และการที่รู้ได้ไวขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งสติไวขึ้น และจิตไวขึ้น
    หมายถึงมีสมาธิดีขึ้น เราเชื่อว่า ดูจิต เมื่อทำถูกเนืองๆ ถึงระดับหนึ่ง
    จะเกิด จิตรวมใหญ่ได้ เช่นกัน เพราะเราคิดแบบนี้ เราถึงต้องพิสูจน์ความคิด
    ด้วยตัวเราเอง คนที่ไม่เชื่อเขาก็ไม่สนใจ ไม่ต้องพิสูจน์ ไม่ต้องทำแบบเรา

    ตอนนี้เพียรดูอาการจิต พอสะสมอินทรีย์ได้ถึงขั้น ก็จะยกขึ้น ดูจิต ของจริงได้
    เหมือนคนฝึกนั่งสมาธิ เพื่อความสงบ แต่ยังไม่ได้สงบ แต่รู้ว่าถ้าทำถูก
    ก็จะได้สงบ พอทำได้ถึงผลขั้นหนึ่ง จะเห็นทางขั้น2 เพื่อเดินต่อเอง

    ทีนี้ ขอฝากบ้างให้พิจารณาบ้าง
    คนคิด ไม่รู้ตัว ว่าคิด
    คนติด ไม่รู้ตัว ว่าติด
    คนไม่รู้ ไม่รู้ตัว ว่าไม่รู้
    คนยึดมั่นในความคิด ไม่รู้ว่า ยึดมั่นในความคิด

    เราเห็น อยู่อย่างนี้ เราทำการเห็น อยู่อย่างนี้
    พอ ้รู้ ว่าไม่รู้ มันก็ รู้ ก็ เห็น ขึ้นมา ว่า ไม่รู้
    ถ้ายัง ไม่รู้ ยัง ไม่เห็น มันก็ไม่รู้ อยู่นั่นเอง
    นี่เป็นอัศจรรย์ ที่เราพบในคำสอนจากพระพุทธองค์
     
  18. วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ไม่ได้บังคับ บังคับไม่ได้ ได้แต่แนะนำจ้า
     
  19. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เอ่อ... เริ่ม ปิ๊ง คำขวัญ แระ
     
  20. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ....ก็เล่าสู่กันฟัง หากเห็นจิตที่แท้จริงก่อนแล้ว ..แล้วจะไปดูจิตทำไม...ก็เมื่อเห็นจิตที่แท้จริงแล้ว


    ความเห็นส่วนตัว (ไม่ได้คิดว่าถูกหรือผิด นะคะ)
    เห็นจิต เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ของการก้าวเดินมรรค เท่านั้น
    จิต เห็น จิต เป็นมรรค
    ยังต้อง เดินมรรค เพื่อ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง จึงมีผลได้เป็น นิโรธ

    ถ้าเพียงเห็นจิต แล้วพอแค่จิตประภัสสร ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน
    การเกิดจิตรวมใหญ่ นั้น เป็นเพียงบทเริ่มต้นของวิปัสสนาญาณ

    ถ้าใช้เป็น ใช้ถูกทาง ก็ได้ รู้แจ้ง ถ้าหลงทาง ก็ พรหม มั้งคะ คิดเอา ยังไม่รู้
    ใครรู้มั่ง แบบว่า รู้จริง ไม่ได้คิดเอานะ ช่วยบอกหน่อย จะเป็นพระคุณอย่างสูง
     

แชร์หน้านี้