ไอ้คนที่คิดว่าตัวเอง เป็น พระศรีอาริย์ อะ ปัญญาอ่อน แต่ มันก็ใช่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย amu, 14 ตุลาคม 2006.

  1. amu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +149
    you know what?

    whoever can be "HIM" or "HER" right now?

    Messiah = พระศรีอาริยเมตรัย

    คือ จะมีคนเดียวในโลก ที่สามารถเป็น พระเจ้ารุ่นที่ 5

    คือ ทุกคนสามารถเป้นได้ เพียงแต่ คุณจะทำความจริงแบบใดให้ปรากฏ ให้ คล้องคอ มนุษย์โลก ให้โลกมนุษย์มีบ่วงคล้อง เป้น วงเวียน เป็น นิพพาน ในแต่ละรูปแบบต่อ

    ปล.ใจเราอะ คิดว่า messiah อยากจะให้ กระจาย จิตของ "จุดจุดจุด" ไปดาวเคราะห์ดวงอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ "The earth planet"

    ปล.อย่ามา บ้าบอ น่ะ ปัญญาอ่อน เห็นแล้วอยากอ้วก
     
  2. animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    He must be Him Surely(เพราะส่วนมากเห็นเกิดเป็นชายกัน)
    I guest
    คุณสับสนกับคำว่าพระพุทธเจ้า กับพระเจ้านะครับ
    ชื่ออาจคล้ายกันแต่ไม่ได้เป็นคนๆเดียวกันหรอกครับ(เห็นจากกระทู้ที่บอกว่านามนั้นมีหลาย ซ้ำกัน)
    ปล.สงสัยว่า"จิตแห่งจุดๆๆ"นี่มันคืออะไรกันครับ?(สงสัย) สงสัยว่าเค้าอาจจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดก็ได้ละมั้งครับ(ฮา(เนื่องจากทำไปแล้วได้อะไร ผมยังไม่เห็นผลเลย))

    เพิ่มเติม
    ๑.ที่คุณว่าๆคนที่คิดว่าตัวเองเป้นพระศรีฯน่ะครับ หมายรวมถึงพระศรีฯตัวจริงด้วยนะครับ(ผมบอกไว้ก่อน)
    ดูภาษาที่ใช้ด้วยครับ
    ๒.คนที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แล้วคุณจะไปพูดไม่ดีกับเค้ามัน"ผิดศีล"นะครับ
     
  3. ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    Messiah = พระศรีอาริยเมตรัย


    เอางี้เลยเหรอครับ - -"


    งั้นผมบอกชื่อเต็มๆ ให้แล้วกันนะ พระศีอารย์ มีชื่อเต็มๆ ว่า

    พระศรีอารย์ Jesus Messiah = พระเยซู (ไม่ใช่ใครที่ไหนหลอก)

    แต่การมาเกิดเป็นพระเยซู ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เหตุเพราะว่า
    ศาสนาของพระพุทธเจ้าสิทธัตถะยังไม่สิ้นไป พระเยซู เลยไม่ได้มาสอน
    เรื่องการดับทุกข์ แค่มายกระดับคำสอนของศาสนายิวให้สูงส่งขึ้น
    เท่าที่เวลาในการสอนจะอำนวย (ไม่กี่ปี)

    เรื่องราวมันเกิดพลิกโผ เมื่อสมัยที่พระศรีอารย์ กับ พระพุทธเจ้า
    ได้เสี่ยงดอกบัวอธิษฐาน ว่าใครจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ก่อนขอให้
    ดอกบัวของคนนั้นบานก่อน ผลประกฎว่า ดอกบัวของพระศรีอารย์บานก่อน
    แต่พระพุทธเจ้าของเราซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ในครั้งนั้นแอบสับดอกบัว
    พระพุทธเจ้าของเรา เลยได้มาเป็นพระพุทธเจ้าก่อน พระศรีอารย์

    ทีนี้ปัญหามีอยู่ว่า พระศรีอารย์ เมื่อก่อนค่อนข้างแบเบอร์มาแล้วว่า
    จะมาเป็นพระพุทธเจ้าแน่ๆ ก่อนท่านจะมาเกิด เลยได้ทำการดลใจ
    พวกธรรมาจาย์ยิว ให้เขียนถึงการมาของพระศรีอารย์ ในพันธสัญญาเก่า
    ในรูปแบบของข้อความที่บอกตรงๆ และ การซ่อนข้อความแบบ Bible code
    แต่เหตุการณ์เสี่ยงดอกบัวพลิกโผได้เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ
    เลยได้มาเป็นพระพุทธเจ้าก่อน แต่พระศรีอารย์ ได้ดลใจพวกธรรมาจารญ์ยิวไปแล้ว
    มันเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่ชนชาติยิว ดังนั้นพระศรีอารย์
    จึงได้มาเกิดเป็นพระเยซู ตามที่ให้สัญญาไว้


    จุดสังเกตุที่เห็นได้ชัด : ชนชาติคริสต์ เจริญกว่าพุทธ

    พระพุทธเจ้าของเรา กับ พระศรีอารย์ สร้างบารมีมาเต็มเปรี่ยม พร้อมเป็นพระพุทธเจ้า
    แล้วทั้งคู่ แต่พระศรีอารย์ ควรได้เป็นพระพุทธเจ้าก่อน เพราะ สาวก ของพระศรีอารย์
    สร้างบารมีมาพร้อมจะนิพพานตามคำสอนของพระศรีอารย์แล้ว แต่เหตุการพลิกโผ
    พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ ได้เป็นพระพุทธเจ้าก่อน ในขณะที่บรรดาสาวกของท่านสร้างบารมีมาน้อยกว่า
    จึงทำให้ชนชาติที่นับถือศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรื่องทางวิทยาการ และ เศรษฐกิจ
    น้อยกว่า ชนชาติที่นับถือพระเยซู


    ในเมื่อพระศรีอารย์ Jesus Messiah ไม่ได้มาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    ดังนั้นถ้าท่านจะมาเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อ ก็ไม่เห็นแปลกอะไร
    แต่ตามที่ครูบาอาจารย์นักปฏิบัติทั้งหลาย ยืนยันมาเหมือนกันว่า
    ได้พบพระเยซู พระศรีอารย์ อยู่บนสวรรค์ ผมก็เชื่อตามนั้น
    คาดว่า ณ.เวลานี้คงไม่ได้มาเกิดเป็นคน เพราะต้องดูแลสวรรค์
    อยู่เป็นเพื่อนชาวคริสต์ ที่นับถือท่านสุดจิตสุดใจ เลยไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ครับ


    ถ้าพระศรีอารย์มาเกิดเป็นมนุษย์ จะมีสัญลักษณ์สำคัญคือ

    1.รอยปานดำจุดเล็กๆ ที่แขนข้างขวา ซึ่งเกิดจากความเจ็บปวด
    ที่โดนตะปูดอกแรกตอกเพื่อตรึงกับไม้กางเขน

    2.รอยปานดำที่หน้าอก ซึ่งเกิดจากความเจ็บปวดในการ
    โดนหอกลองกินุสแทงก่อนตาย

    3.หรืออาจจะไม่มีสัญลักษณ์รอยปานดำทั้ง 2 เลยก็ได้
    เพราะทางศาสนาอิสลาม ได้บอกไว้ว่าบุคคลที่ถูกทรมาน
    ไม่ใช่พระเยซู แต่เป็นยูดาส สาวกทรยศที่ถูกพระเจ้า(หรือ กรรม)
    ลงโทษให้หน้าเหมือนพระเยซู เพื่อจะได้ถูกทรมานแทนพระเยซู
     
  4. มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    อย่าเอามาปนเปกันเลยครับ
    มันจะมั่วกันไปหมด

    พระศริอาริยเมตตรัย ในพระชาติที่ท่านเสี่ยงดอกบัวกับพระพุทธเจ้านั้น ทั้งคู่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ (องค์ไหนผมก็จำไม่ได้) แต่เมื่อเวลาหลายสิบ หลายแสน ล้านๆๆๆๆๆๆ ปีก่อนโน้น
    แต่ศาสนายิว ก่อตั้งโดยโมเสส และเขียนพันธสัญญาเก่า ไว้แค่ ประมาณ4000 ปี แค่นี้เอง

    อีกอย่าง พระศรีอาริยเมตตรัยท่านจะมาเกิดในศาสนาพุทธเสมอ เพื่อบำเพ็ญบารมี หรือ มารับคำพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า จนกว่าท่านจะเกิดเป็นชาติสุดท้ายเพื่อตรัสรู้ อย่างเช่นที่พระองค์ทรงเกิดเป็นพระอชิตะภิกขุ เพื่อรับคำพยากรณ์จากพระพุทธสิตธัตถะว่าท่านจะเป็นพระศรีอาริย์แน่ ว่า
    คือพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้

    พระบรมโพธิสัตว์ผู้เที่ยงที่จะได้บรรลุพระโพธิญาณทั้งหลาย ย่อมได้รับอานิสงส์แห่งพระพุทธบารมีที่ตนบำเพ็ญเป็นหลักเกณฑ์แน่นอน ๑๘ ประการ






    ๑. ไม่เป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด

    ๒. ไม่เป็นคนหูหนวกมาแต่กำเนิด

    ๓. ไม่เป็นคนบ้า

    ๔. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย

    ๕. ไม่เป็นคนใบ้

    ๖. ไม่เกิดในประเทศป่าเถื่อน

    ๗. ไม่เกิดในท้องแห่งนางทาสี

    ๘. ไม่เป็นคนมีความเห็นผิดเป็นนิยตมิจฉาทิฐิ ( พระเยซูมีความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างชัดเจนว่ามีจริง พระพุทธศาสนาบอกว่าไม่มีพระเจ้าสร้างโลก พระเยซูจึงมิใช่พระศริอาริยเมตตรัย)

    ๙. ไม่เป็นสตรีเพศ

    ๑๐. ไม่ประกอบกรรมอันเป็นอนันตริยกรรม

    ๑๑. ไม่เป็นคนมีโรคเรื้อน

    ๑๒. เมื่อไปเกิดในกำเนิดแห่งสัตว์เดียรฉาน ย่อมเป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในประเภทมีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และมีกายไม่ใหญ่กว่าช้าง

    ๑๓. ไม่ไปเกิดในกำเนิดแห่งขุปปิปาสิกเปรต นิชฌามตัณหิกเปรต แลกาลกัญชิกาสุรกาย

    ๑๔. ไม่ไปเกิดในอเวจีมหานรก และโลกันตนรก

    ๑๕. เมื่อไปเกิดเป็นเทวดาในกามาวจรสวรรค์ คือสวรรคเทวโลก ๖ ชั้น ก็ไม่เกิดเป็นเทวดาซึ่งนับเนื่องเข้าในเทวดาจำพวกหมู่มาร

    ๑๖. เมื่อเกิดเป็นองค์พระพรหม ณ เบื้องบรมรูปาพจรพรหมโลก ก็ไม่ไปเกิดในปัญจสุทธาวาสพรหมโลก ทั้งนี้ก็เพราะว่าพรหมโลกชั้นปัญจสุทธาวาสนี้ เป็นภูมิที่อยู่แห่งพรหมอนาคามีอริยบุคคลโดยเฉพาะ

    ๑๗. ไม่ไปเกิดใน อรูปพรหมโลก เลยเป็นอันขาด

    ๑๘. ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่นเลยเป็นอันขาด "











    ทั้ง ๑๘ ประการนั้น ผู้เป็น นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้แน่แล้วเท่านั้น จะได้รับผลแห่งพระบารมีทำให้พระองค์ท่านหยุดเสียซึ่งความอาภัพลงได้





    อภัพพฐาน 18 ประการ ท่านผู้เป็น "นิยตโพธิสัตว์" ผู้ที่จะตรัสรู้ เป็นแน่แท้ จะไม่ไปสู่ อภัพพฐาน 18 ประการ นี้เป็นอานิสงส์ของบารมีทั้งหลาย

    และอีกอย่างครับ ไม่เคยมีคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าพระศริอาริยเมตตรัยเวลาท่านลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ท่านจะมีรูปร่างลักษณะอย่างนี้เลย
    ขอย้ำ.....ไม่เคยมี .....

    มีแต่เพียง มหาปุริสลักขณะที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่ามีเฉพาะพระมหาจักรพรรดิ และพระโพธิสัตว์ในพระชาติสุดท้ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น คือมหาปุริสลักขณะ คือ ลักษณะของมหาบุรุษ มี ๓๒ ประการ คือ

    มีฝ่าพระบาทเรียบเสมอกัน
    ลายพื้นพระบาทเป็นจักร
    มีส้นพระบาทยาว (ถ้าแบ่ง ๔ พระชงฆ์ตั้งอยู่ในส่วนที่ ๓)
    มีนิ้วยาวเรียว (นิ้วพระหัตถ์ และพระบาทด้วย)
    ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม
    ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจข่าย
    มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำอัฐิข้อพระบาทตั้งลอยอยู่หลังพระบาท กลับกลอกได้คล่อง เมื่อทรงดำเนินผิดกว่าสามัญชน
    พระชงฆ์เรียวดุจแข้งเนื้อทราย
    เมื่อยืนตรง พระหัตถ์ทั้งสองลูบจับถึงพระชานุ
    มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก
    มีฉวีวรรณดุจสีทอง
    พระฉวีละเอียด ธุลีละอองไม่ติดพระกาย.
    มีเส้นพระโลมาเฉพาะขุมละเส้นๆ
    เส้นพระโลมาดำสนิท เวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีปลายงอนขึ้นข้างบน
    พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหม
    มีมังสะอูมเต็มในที่ ๗ แห่ง (คือหลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ และหลังพระบาททั้ง ๒ พระอังสะทั้ง ๒ กับลำพระศอ)
    มีส่วนพระสรีรกายบริบูรณ์ (ล่ำพี) ดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์
    พระปฤษฎางค์ราบเต็มเสมอกัน
    ส่วนพระกายเป็นปริมณฑลดุจปริมณฑลแห่งต้นไทร (พระกายสูงเท่ากับวาของพระองค์)
    มีลำพระศอ กลมงามเสมอตลอด
    มีเส้นประสาทสำหรับรับรสพระกระยาหารอันดี
    มีพระหนุดุจคางแห่งราชสีห์ (โค้งเหมือนวงพระจันทร์)
    มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่)
    พระทนต์เรียบเสมอกัน
    พระทนต์เรียบสนิทมิได้ห่าง
    เขี้ยวพระทนต์ทั้ง ๔ ขาวงามบริสุทธิ์
    พระชิวหาอ่อนและยาว (อาจแผ่ปกพระนลาฏได้)
    พระสุรเสียงดุจท้าวมหาพรหม ตรัสมีสำเนียงดุจนกการเวก
    พระเนตรดำสนิท
    ดวงพระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
    มีอุณาโลมาระหว่างพระขนงเวียนขวาเป็นทักษิณาวัฏ
    มีพระเศียรงามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์
    ........................................................................

    พึงทำความเข้าใจด้วยดีนะครับ


    ..........................................................................
    ส่วนข้อความนี้
    "จึงทำให้ชนชาติที่นับถือศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรื่องทางวิทยาการ และ เศรษฐกิจ
    น้อยกว่า ชนชาติที่นับถือพระเยซู "

    จริงๆแล้ว มันมีสาเหตุมาจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกต่างหากล่ะครับ
    และอีกทีก็คือ ชนชาติที่นับถือพุทธจะมีความเจริญด้านจิตใจดีกว่า เพราะหลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้น มีความ ละเอียดกว่า ด้วย
    เช่น ในของพุทธ มี การฆ่าสัตว์ ไม่ว่าในการณีใดๆก็ตามเพราะถือว่าสัตว์นั้นมีชีวิตและมี จิตใจ แต่ของคริสต์ ในบัญญัติ10ประการนั้นมีเพียงว่าแค่ ห้ามฆ่าคน จึงมีความละเอียดต่างกันมาก

    การเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวิทยาการนั้น หามีกิเลสเอาแต่ได้ทำทุกอย่างเพื่อเงินและสนองต่อกิเลสของตนเองแล้วล่ะก็ มันก็เจริญได้ แต่ การเจริญทางจิตใจสิสำคัญกว่ามาก

    ลองคิดดุครับ .......

    แบ่งปัน.....

    บุญ
     
  5. ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ^
    ^
    คุณเม ครับ การสับดอกบัวอาจเกิดขึ้นมานานมากแล้วก็จริง
    ที่คุณคัดค้านมา เลยทำให้ผมเกิดไอเดียใหม่ขึ้นมาคือ
    การดลใจเหล่าธรรมาจารย์ยิว ถึงการมาของพระเยซู
    อาจเกิดขึ้นจากเหล่าเทวดา ที่เป็นสาวกของพระศรีอารย์ ก็ได้ครับ
    โดยที่พวกเขามีแนวคิดที่ไม่เห็นชอบ หรือไม่ทราบ เรื่องการสับดอกบัว
    ของพระโพธิสัตว์ และพันธสัญญาเก่าก็เกิดขึ้นก่อนพุทธกาลด้วยครับ
    ถึงแม้ว่าจะไม่บอกด้วยตัวเองโดยตรง แต่ถือว่าบอกแล้วว่าจะมา
    ยังไงก็ตองมา

    และก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาประสูตร ท่านเป็นพรหมที่กำลังเข้าชาฌ
    อยู่นานมากกว่าจะมาประสูตร ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว
    ผมคาดว่าพระศรีอารย์ ก็คงกำลังเข้าชาฌ อยู่เช่นกัน
    ดังนั้นเหล่าเทวดาสาวกของพระศรีอารย์จึงได้ดลใจ
    พวกธรรมจารย์ยิว ถึงการมาของ Messiah ซึ่งก็คือ
    พระศรีอารย์ที่ตนเคารพ


    ประเด็น เรื่องพระเยซู กับ ศาสนาพุทธ

    ปัจจุบันนี้มีนักประวัติศาสตร์ กำลังสืบค้นหาหลักฐาน
    ร่องลอยการแผ่ขยายของศาสนาพุทธในดินแดนปาเลสไตล์
    ในยุคของพระเยซู ซึ่งมีโอกาศเป็นไปได้ว่าพระเยซูจะ
    เคยได้รับหลักธรรมจากศาสนาพุทธ มาก่อน
    ดังนั้นประโยคนี้ของคุณเน อาจจะจริง หรือ ไม่จริง ก็ได้ครับ

    "๘. ไม่เป็นคนมีความเห็นผิดเป็นนิยตมิจฉาทิฐิ ( พระเยซูมีความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างชัดเจนว่ามีจริง พระพุทธศาสนาบอกว่าไม่มีพระเจ้าสร้างโลก พระเยซูจึงมิใช่พระศริอาริยเมตตรัย)"

    ดังนั้นเราคงต้องรอผลการพิสูจน์หลักฐานทางประวัติศาสตร์กันต่อไป
    (ผมไม่ฟันธงนะ)

    และในมุมองของพระเยซู ที่มีต่อพระเจ้า จะเหมือนกับเพื่อนร่วมชาติ
    ชาวยิวหรือเปล่า ตรงนี้ถ้าเราไม่ใช่คนใกล้ชิดกับพระเยซู เราก็ไม่อาจจะรู้ได้

    แต่การกระทำของพระเยซู ที่ผมเห็นคือการสร้างบารมีระดับเดียวกับ
    พระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย คือ "การให้ชีวิต เป็นทาน" และที่ผมเห็นมากว่านั้น
    คือ "การให้ชีวิตเป็นธรรมทาน" การยืนยันอย่างหัวชนฝาชองพระเยซู
    ถึงคำสอนที่สอนให้คนเรามีความรักความเมตตาต่อกัน เป็นธรรมะที่ประเสริฐ
    และยังคงยืนยันเช่นนั้นจนชีวิตหาไม่ เป็นการสร้างบารมีที่ยิ่งใหญ่จริงๆ นะครับ

    ในเรื่องมหาปุริสลักขณะ ผมเห็นด้วยครับ แต่การมาเกิดเป็นพระเยซู
    ไม่ได้เป็นการมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าครับ ดังนั้นไม่แปลกที่พระเยซูจะไม่มี
    มหาปุริสลักขณะ ดังที่คุณเน กล่าวมาครับ


    ประเด็นเรื่อง ความเจริญของชนชาติคริสต์

    ถึงแม้ว่าคุณเม จะเอาประวัติศาสตร์เรื่องการล่าอานานิคม มากล่าวอ้าง
    แต่ผมเห็นว่า ผู้ล่าอานานิคมต่างๆ ย่อมกระทำการไม่สำเร็จ เป็นแน่แท้
    ถ้าไม่ได้เคยสร้างบารมีมาก่อนนะครับ ทั้งนี้รวมไปถึงเหล่านักวิทยาศาสตร์
    สาขาต่างๆ ผู้มีความเฉลียวฉลาด ถ้าไม่เคยมีการสร้างบารมีทางด้านปัญญา
    มาก่อนย่อมไม่สามารถคิดค้นทฤษฎีขึ้นมาได้อย่างแน่นอนครับ


    สุดท้ายนี้ผมรู้สึกยินดีที่ได้รับคำคัดค้านอย่างมีเหตุผลครับ ยินดีที่ได้สนทนาด้วย ^ ^
     
  6. telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เขาเรียกบุคคลที่ตั้งกระทู้นี้ว่า บุคคล ประเภท สมองหมา ปัญญาควาย
     
  7. NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    แบ๊ะ ... แบ๊ะ ... อยากเป็นภาษีอาน ต้องอดทนและอดกลั้น ภาษาที่ใช้น่าจะสุภาพมากกว่านี้เน้อท่าน ... แบ๊ะ ... แบ๊ะ !!!
    (b-oneeye)
     
  8. aonwit01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    681
    ค่าพลัง:
    +1,025
    ผมว่า คนที่จะช่วยโลกมนุษย์ เค้าไม่มานั่งหาสาวกในเน็ตหรอกครับ มันทุเรศ
     
  9. มโหสถผู้เจริญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +851
    ไปๆมาๆทะเลาะกันซะนี่
     
  10. aonwit01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    681
    ค่าพลัง:
    +1,025
    จ๊าก ผมไม่ได้ว่าพี่อ่อนนะ ผมว่าคนที่คิดว่าตัวเองเป็นพระศรีอาริย์ต่างหาก

    เกือบโดนดีแล้วมั๊ยละเรา​
     
  11. เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระโพธิสัตว์ นั้นก็ยังเป็นปุถุชนที่มีกิเลสอยู่ จึงมีโอกาสที่จะกระทำผิดได้ แต่เมื่อได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ไม่กระทำผิดอีกต่อไป ฉะนั้นการกล่าวว่าพระพุทธเจ้ากระทำผิดจึงไม่ถูกต้อง ควรกล่าวให้ถูกต้องว่าเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่นั้น ได้กระทำผิดเรื่องนั้นไปจึงจะสมควรกว่า และไม่เป็นการปรามาสพระพุทธเจ้าด้วย

    ควรรีบขอขมาต่อพระพุทธองค์โดยเร็ว จะได้ไม่เป็นบาปเป็นกรรมติดตัวไปอีกนับชาตินับภพไม่ถ้วนนะครับ
     
  12. amu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +149

    กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    พี่ขรา พระศรีอาริ ด่าหนูคร่า

    ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    หนูจะดีใจดีม๊าก๊า?

    โอ๊วว สุดยอด
     
  13. vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    โอวาทอริยะ
    ++ หลวงปู่เกตุ จนฺทสุวณฺโณ
    ++ วัดศรีเมือง อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย

    “ผู้ปฏิบัติให้พิจารณาให้แจ้งเรื่องพระอริสัจ 4 ได้แก่

    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    เพราะการบวชเป็นพระสงฆ์นั้น ต้องดำเนินตาม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    ถ้าแม้ทำไม่ได้ ก็เสียทีไปชาติหนึ่ง ทั้งนี้มีจิตดวงเดียวเท่านั้น
    ท่านให้ฝึกฝนด้วยวิริยะ อุตสาหะ พยายาม
    เมื่อกำลังสติ กำลังจิต แก่กล้าแล้ว ความจริงจะปรากฏเด่นชัดนะ

    ฉะนั้น ให้ตั้งมั่นในอารมณ์ที่เป็นหนึ่ง!
    เพราะศีล สมาธิปัญญา เมื่อย่อลงมาแล้ว จะเหลือเพียงหนึ่งเท่านั้น
    ถ้าเป็นหนึ่งเมื่อใด เมื่อนั้นแหละเราจะรู้ที่มาที่ไปอย่างสมบูรณ์

    จำไว้นะ!
    จงพิจารณากายเรานี้ สภาพสังขารที่มีอยู่เป็นอยู่
    มันแสดงอาการทุกขณะจิต มันค่อยๆ ตายไปทีละน้อย
    มันไม่มีอะไรในโลกนี้เลยจะยั่งยืน มันเป็นอนัตตา
    มันอยู่กับเราไม่ได้ เราอยู่กับมันไม่ได้ อย่าหลงมันนะ!
    นะบุญมี นะสัมมา สัมมามี ถึงวิมุติเลย”
     
  14. nuttaphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +17





    ก๊ากกกกกกกก
     
  15. nuttaphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +17
    เห็นด้วยกับคุณเกษมเด้อ
     
  16. nuttaphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +17
    ควรศึกษาให้ถ่องเเท้ก่อนลงความเห็นว่าจริงหรือเท็จ
     
  17. nuttaphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +17
    อย่าปรามาสใครมั่วๆนะครับเขาหลายๆคนที่คุณด่าว่าสบประมาทอาจเป็นผู้ที่กำลังบำเพ็ญความดีอยู่ก็ได้
     
  18. nuttaphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +17
    ซึ่งมันบาปมาก
     
  19. nuttaphong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +17
    เเว๊ป ปิ๊ง----------------------
     
  20. amu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +149
    อ้าว อามูบาปหรือนี่ แต่ บำเพ็ญความดี ที่ ด่า ผู้อื่น มันไม่ใช่แล้วนะฮะ

    เขาต้องการให้ "คน" เห้น

    ของแบบนี้ เขาต้องทำไม่ให้ใครเห้น ไม่ต้องพูด ครับ

    เหมือนกับพี่เขากำลังพูดว่า

    "เฮ้ย I am GOD!! เข้ามากราบตีนกูสิ บูชากูสิ"

    อามูเห้นแล้ว รู้สึก Oh you ช่าง Ridiculous มากๆ
     

แชร์หน้านี้