Subliminal Messages การซ่อนข้อความหรือความหมายในที่ต่างๆ???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 21 พฤศจิกายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พึ่งอากู๋มา ไม่รู้จะใกล้เคียงใหม

    คัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ​
    "พกพาพระคัมภีร์ ขอหลีกลี้หมู่มารภัย
    สวดท่องคล้องจิตใจ มิให้เหลิงระเริงหลง
    สวดท่องต้องประจง อานิสงส์'จึงเกิดมี
    แผ่ให้ใด้ทุกที่ สวัสดีศรีสุขกัน"

    คำปรารภ
    น้อมกราบพระมหากรุณาธิคุณพระอนุตตร ธรรมเจ้า โปรดเกล้าฯ ประทานวิถีธรรม
    พระบรรพจารย์ทุกพระองค์ทรงปรกโปรด
    ท่านเหล่าเฉียนเหยิน ท่านเฉียนเหยินอุ้มชู หนุนนำ รักษา
    อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมและอาวุโสส่งเสริม ข้าพเจ้าจึงมีโอกาสค่อย ๆ เจริญธรรมขึ้นในอาณาจักร อนุตตรธรรมเช่นเดียวกับญาติธรรมทั้งหลาย
    สิ่งเสริมสร้างให้เกิดการเจริญธรรมสำคัญยิงอีก ประการหนึ่ง ซึ่งขาดเสียมิได้คือ พระคัมภีf พระโอวาท ที่พระพุทธะ พระโพธิสัตว์และสิ่งคักดิ้สิทธิ้ได้โปรด ประทานอบรมกล่อมเกลาหรือแสดงปริศนาธรรมไว้ให้ ซึ่งผู้ใคร่จะปฏิบัติบำเพ็ญให้ตรงต่อสัจธรรมพึงศึกษา เรียนรู้ให้เข้าใจ
    คัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะจากภาคภาษาจีน ฉบับนี้ก็เช่นกันที่นักธรรมผู้ใหญ่หลายท่านพยายามจะ เจาะลึกให้เข้าถึงปริศนาธรรมในแต่ละคำแต่ละตัวอักษร เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเจริญธรรมแก่ตนเองและแก่ ญาติธรรมทั่วไป
    หลายปีที่ผ่านมาได้มีบทอรรถาธิบายจากท่าน ผู้รู้พิมพ์ออกเผยแพร่หลายเล่ม คำอรรถาธิบายมีทั่ง ใกล้เคียงกันและห่างกันจนมีบางท่านถึงกับปฏิเสธ หนังสือเหล่านั้นโดยมีความเห็นว่า
    "พระคัมภีร์เป็นพุทธวจนะ ใครก็ไม่อาจเข้าถึง ปริศนาธรรมอันลึกซึ้งนั้นได้ จะต้องคอยจนกว่า พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ โปรดประทับทิพย์ญาณ มาอรรถาธิบายเอง"
    ข้าพเจ้าเองก็เป็นผู้หนึ่งที่รอคอยเรื่อยมาจน กระทั่งทนรบเร้าจากญาติธรรมมากมายไม่ไหวที่ต้องการ ให้ข้าพเจ้าถ่ายทอดความหมายในคัมภีร์สัจจคาถา เมตเตยยะออกมาเป็นภาษาไทยท้ายที่สุดประจวบกับ เป็นวาระสำคัญที่ญาติธรรมทั่งหมดจะร่วมกันสวดท่อง พระคัมภีร์ฉบับนี้ เพื่อแสดงกตัญ๓ตาธรรมต่อท่าน "หันเหล่า-เฉยนเหยิน" ชึงเพิงบรรลุธรรมกสับคืน1โป ข้าพเจ้าจึงจำใจต้องรวบรวมบทอรรถาธิบายในภาค ภาษาจีนจากหนังสือที่มีอยู่แปลเป็นไทยให้ญาติธรรม ไทยทำความเข้าใจ สักเล็กน้อยพอเป็นพื้นฐาน ซึ่งการนี้ ย่อมมีข้อบกพร่องไปจากแก่นแท้อย่างแน่นอนข้าพเจ้า จึงขอน้อมเคืยรอภิวาทพระองค์ผู้โปรดประสาทคัมภีร์ สัจจคาถาเมตเตยยะฉบับนี้ ขอได้โปรดประทานอภัย ในความไม่เหมาะสมหรือผิดเพี้ยนด้วยประการทั้งปวง อีกทั้งขอพระองค์ได้โปรดประทานปัญญาแก่ข้าพเจ้า ให้ได้เกิดความเข้าใจอ้นถ่องแท้ต่อปริศนาธรรมใน คัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะนี้ เพื่อจะได้แสดงความ อ้นถูกต้องชัดเจนกว่านี้ให้แก่ญาติธรรมทั้งหลายได้ ใน โอกาสต่อไป
    ศุภนิมิต


    " คัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะนื้เปัน พระคัมภีร์คาถาคักดิ๋สิทธิ้ยิ่ง ก่อนจะอัญเชิญ สวดท่องจะต้องรักษากาย ใจ ปากให้สะอาด เว้นจากการบริโภคชีวิตเลือดเนื้อเขา (อย่างน้อย มื้อก่อนหน้าที่จะอัญเชิญลวดท่อง)
    พุทธานุภาพจากการสวดท่องเป็นไป ตามความมุ่งมั่นศรัทธา และความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งผู้อัญเชิญสวดท่องจะสัมผัสรับรู้ได้เอง"

    ฝอชัว : พระพุทธองค์โปรดแสดงธรรม
    หมีเล่อ : พระเมตเตยยะ
    จิ๋วขู่ : เปลื้องทุกข์ จิง : คัมภีร์
    ฝอซัวหมีเล่อจิ๋วขู่จิง
    พระพุทธองค์ได้โปรดแสดงธรรม ว่าด้วยคัมภีร์ สัจจคาถาเมตเตยยะอันสามารถเปลื้องทุกข์ได้กล่าวคือ:
    หมีเล่อเซี่ยซื่อ: พระเมตเตยยะอุบติมายังโลกมนุษย์
    ปู้เฟยชิง : มิใช่เรื่องเล็กน้อยธรรมดา
    หมีเล่อเซี่ยซื่อปู้เฟยชิง
    อันว่าพระเมตเตยยะ โปรดแบ่งพระภาคอุบัติ มาในกาลครั้งนี้เพื่อเจริญปณิธานโปรดสามโลกในชั้น เทพเทวา มนุษย์และผี เพื่อการแปรเปลี่ยนโลกจุ่นวาย ให้เป็นเอกภาพ สมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกัน การอุบัติ มาของพระองคํในครั้งนี้จึงมิใช่เรื่อง เล็กน้อยธรรมดา
    หลิ่งเป่า : สนองรับรัตนะพระโองการฯ
    ฉีหลู่ : เมืองฉีหลู่มณฑลชันตง ประเทศจีน
    หลิงชันตี้ : ดินแดนแห่งภูเขาคักดิ้สิทธิ์
    หลิ่งเป่าฉีหลู่หลิงชันตี้
    พระองค์สนองรับพระโองการลํ้าค่าหาใดเสมอ เหมือน ดุจดั่งรัตนะวิเศษสุดจาก
    อนุตตรพระแม่ องค์ธรรมฯ
    พระเมตตยะแบ่งพระภาคอุบ้ติมา ณ เมืองฉีหลู่ มณฑลชันตง ดินแดนวิเศษแห่งภูเขาคักดึ๋สิทธิ์
    (ดินแดนวิเศษแห่งภูเขาคักดิ้สิทธิ'นอกจากจะ หมายถึงสถานที่แล้วยังหมายถึงจุดสถิตพุทธจิตธรรม- ญาณของร่างกายสังขาร)
    เหนี่ยนฮวา : ใช้นิ้วจับดอกไม้
    อิ้นเจึ่ง : เป็นเครื่องหมายให้ประจักษ์
    เข่าชันเฉิง : ยืนยันให้รู้ชัดถึงสามระดับยาน
    เหนี่ยนฮวาอิ้นเจิ่งเข่าชันเฉิง
    เป็นเรื่องเดียวกันกับที่ "พระยู้มีพระภาค" เคย ประจงจับดอกไม้ชูขึ้นตรงพระพักตร์ แสดงปริศนา ธรรมให้ประจักษ์จุดตร้สรู้ ขั้นสูงสุดระดับยานที่สาม แด่สงฆ์สาวกหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป ณ เชิงเขาคิชกูฏ
    (ยานหรือญาณระดับต้น คือ : ระดับจิตและ แนวทางที่สาธุชนปฏิบัติบำเพ็ญโดยยึดหมายในอิทธิ
    ปาฏิหารย์ยึดหมายในวัตถุ, นามรูป และผลบุญ..........
    ยานระดับกลางคือ : ปฏิบัติบำเพ็ญโดยยึดหมายพิธีกรรมพรํ่าสวด นั่งนึ่งภาวนา.......
    ยานระดับที่สามคือ : ปฎิบัติบำเพ็ญโดยเข้าถึง จิตเดิมแท้ เข้าถึงสุญญตาภาวะ เข้าถึงวิถีแห่งจิต รู้จุด สถิตพุทธจิตธรรมญาณ คือจุดตรัสรู้โดยตรง)
    ลั่วไจ้จงเอวึ๋ยน : ปรกโปรดลง?jใจกลางต้นกำเนิด
    ชันชิงตี้ : ดินแดนสามดาว
    อักษรจีนชิน คือหัวใจมีสามจุดเหมือนสามดาว
    สามจุด หมายถึง คือ : โลภ โกรธ หลง
    ลั่วไจ้จง เอวึ๋ยนชันชิง ตี้
    ใจกลาง ต้นกำเนิดแห่งอารยประเทศของโลก คือ ประเทศจีน
    ใจกลางต้นกำเนิดแห่งกายสังขาร คือ จุดสถิต พุทธจิตธรรมญาณ เป็นดินแดนวิเศษที่อยู่เหนือดินแดน สามดาว หมายถึง หัวใจที่ก่อเกิด อารมณ์โลภ โกรธ หลง
    (การถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรมหรอวิถีแห่งจิตได้ เริ่มขึ้นและสืบต่อเรื่อยมาหลายพันปีที่ประเทศจีน
    การถ่ายทอดวิถีอนุตตรธ1รรมสู่สาijฃนจนถึง เทพเทวา และวิญญาณผี เบื้องบนได้โปรดอนุญาต ตั้งแต่สมัยพระบรรพจารยํจินกงเป็นต้นมา)
    ต้าเจิ้ง : ประจักษ์หลักฐานครั้งยิ่งใหญ่
    ซื่อซวน : มณฑลเสฉวน หรือธารโลกีย์สี่สาย คือ หู ตา จมูก ปาก
    อรั๋งเถาชิน : ชึ่อสวนดอกไม้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ กลางใจอ๋อง (ผู้เป็นใหญ่)
    ต้าเจิ้งซื่อชวนอวั๋งเถาชิน
    ประจักษ์หลักฐานครั้งยิ่งใหญ่ ปรากฏในมณฑล เสฉวน ณ สวนดอกไม้อวั๋งเถาชิน
    (พระวิสุทธิอาจารย์แห่งยุค รู้กาลดับขันธ์บรรลุ ธรรมของพระองค์ณทีแห่งนี้ศึกษารายละเอียดได้จาก หนังสือ "พระพุทธบรรพจารย์เทียนหยาน")
    ประจักษ์หลักฐานครั้งสำคัญ ณ กลางใจอ๋อง ผู้เป็นใหญ่เหนือธารบาปธารโลกีย์ทั้งสี่สาย
    ธารบาปธารโลกีย์ทั้งสี่สาย คือ หู ตา จมูก ปาก
    อักษรจีนกลางใจอ๋อง หมายถึง จุดสถิต พุทธจิตธรรมญาณอันเป็นศูนย์กลางกาย
    เทียน : พระธรรมาจารยํเทียนหยาน
    เจิน : พระธรรมจาริณีซู่เจิน
    เทียนเจิน : สัจธรรมจากฟ้า
    โชวเอวึ๋ยน : เก็บงานสมบูรณ์ผล เก็บ จิตญาณกลมใส
    กว้าเชิ่งเฮ่า : จารึกในทะเบียนอริยะ

    เทียนเจินโซวเอวึ๋ยนกว้าเชิ่งเฮ่า
    พระวิสุทธิอาจารย์แห่งธรรมกาลยุคขาวสุดท้าย ทั้งสองพระองค์คือ พระธรรมาจารย์เทียนหยานและ พระธรรมจาริณีซู่เจิน (พระธรรมจาริณีจือชี่หรือ อริยมาตาจงฮว๋า) สมัยที่ 18 สุดท้ายยุคหลัง
    ทั้งสองพระองค์สนองรับพระธรรมโองการถ่ายทอด สัจธรรม จากฟ้าส่สาธุชน เก็บงานสมบูรณ์ผล คือ เก็บจิตญาณกลมใสบริสุทธิ*ของผู้บำเพ็ญดี จารึก ใน ทะเบียนอริยะ
    เติ่งไต้:รอคอย
    สีอจื้อ:เมื่อถึงเวลานั้น
    เตี่ยนเสินปีง : คัดเลือกญาณวิเศษ รวมพล เทพเทวา

    เติ่งไต้สิอจื้อเตี่ยนเสินปีง
    เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ก็จะเป็นวาระคัดเลือก รวมพลญาณวิเศษและเทพเทวา
    (สาธุชนจะได้ถวายชื่อถือบวชบำเพ็ญจิต ที่สุด คือบรรลุมรรคผลก้นมากมายดังพุทธพยากรณ์ ที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระสุภูติว่า
    ภายหน้าในธรรมกาลยุคสุดท้าย คือหลังจาก ตถาคตเข้าสู่ปรินิพพานแล้วสองพันห้าร้อยปี ระหว่าง นั้นจะมีผู้ที่ถือศีลบำเพ็ญกุศลมากมาย......)

    อวิ๋น : เมฆ (น้ำ)
    เหลย : อัสนึ่ (ไฟ)
    เจิ้นไค : สะเทือน เปิด
    อู้จี่ถู่ : แผ่นดินใจกลาง (ตามสัญลักษณโปิยก่วย) ในที่นิ้หมายถิง จุดสถิตจิตญาณณ ใจกลางของร่างกาย
    อวิ๋นเหลยเจิ่นไคอู้จึ๋ถู่
    พระธรรมจาริณีซึ่งมีพระธรรมธาตุเช่นเมฆ เช่น นํ้า หรือเช่นดวงจันทร์
    พระธรรมาจารย์ซึ่งมีพระธรรมธาตุเช่นอัสนี เช่นไฟ หรือเช่นดวงอาทิตย์จะแสดงพระบุญญาธิการ เปิดวาระธรรมกาลยุคขาวในใจกลางแผ่นดินจีน ด้วย การถ่ายทอดเปิดจุดสถิตจิตญาณณใจกลางร่างกาย คน เป็นมหาวาระแห่งมหาธรรมปฏิบัติ อันสะเทือนฟ้า สะเทือนดินซึ่งมิเคยปรกโปรดแต่ก่อนใดมา

    เทียนเชี่ย : ใต้หล้า
    เสินกุ่ย : เทพเทวา ผีสาง
    ปู้อันหนิง : ไม่สงบสุข
    เทียนเซื่ยเสินกุ่ยป้อันหนิง
    ใต้'นล้าฟ้าน เทพเทวาผีสางต่างตื่นตระหนก กระวนกระวายไม่สงบสุข เพราะถึงยุคสุดท้าย มหันตภัย จะกวาดล้างทั้งสามโลก แต่เบื้องบนปรกโปรดประทาน หนทางรอดแก่ชีวิตจิตญาณที่จะเก็บไว้เป็นกุศลพันธุ ต่อไปในกาลข้างหน้าได้ทุกชีวิตจิตญาณจึงต่างวุ่นวาย ใฝ่หาพระวิสุทธิอาจารย์ผู้นำทาง

    ชินไจ้เหยินเทียน : สนิทชิดใกล้ฟ้าอันการุณ
    จงฮว๋าหมู่ : พระอริยมาตา'จงฮว๋า อริยฐานะ
    นามของพระวิสุทธิอาจาริณีชึ่งมืความหมายว่า "ศูนย์กลางอันเจิดจรัส"

    ชินไจ้เหยินเทียนจงฮว๋าหมู่
    ทุกชีวิตจิตญาณจึงต่างปรารถนาจะสนิทชิด ใกล้ฟ้าอันการุณกลับคืนไปยังอนุตตรธรรมมารดาจึงต่าง ใคร่รู้ธรรมญาณอันเจิดจรัสในศูนย์กลางกายแห่งตน
    อีกนัยหนึ่งคือ ต่างปรารถนาชิดใกล้พระอริย- มาตาจงฮว่า พระผู้ทรงรับพระภาระเก็บจิตวิญญาณ อันเจิดจรัสของผู้บำเพ็ญดีทุกคน เรียกว่าเก็บงาน สมบูรณ์ผล ช่วงสุดท้ายในการปรกโปรดครั้งนี้
    จิ่วเหลียน : อริยะฐานะบัลลังก์บัวเก้าระดับ เซิ่งเจี่ยว : ศาสนาอันอาจบำเพ็ญให้บรรลุ อริยมรรคได้
    กุยชั่งเฉิง : กลับไปยังยานระดับสูง
    จิ่วเหลียนเซิ่งเจึ่ยวกุยชั่งเฉิง
    ทุกชีวิตจิตญาณจึงต่างปรารถนาจะปฏิบัติ บำเพ็ญในศาสนาอันอาจบรรลุมรรคผลแห่งอริยะกลับ ไปยังยานระดับสูงประทับบนบัลลังก์บัวเก้าระดับได้
    (บัลลังก์บัวเป็นปริมณฑลฐานที่รองรับผู้บรรลุ ธรรมระดับต่าง ๆ แบ่งเป็นชั้น ๆ คือ ล่างตำ ล่างกลาง ล่างบน กลางตํ่า กลางกลาง กลางบน และ สูงตํ่า สูงกลาง สูงบน
    ท่านที่ได้ไปพบเห็นมา กล่าวว่า แต่ละบัลลังก์ บัวกว้างใหญ่สุดสายตาอีกทั้งงดงามจนสุดจะพรรณา)
    เทียนฮว๋า : อุบลสวรรค์
    เหลาหมู่ : อนุตตรธรรมเจ้า พระแม่องค์ธรรม ฯลฯ
    ฉุยอวี้เชี่ยน : หย่อนสายบุญดุจหยกงามลํ้าค่า

    เทียนฮวาเหลาหมู่ฉุยอวี้เชี่ยน

    ทุกชีวิตจิตญาณและสาธุชนจะมีโอกาสสนิท ชิดใกล้อุบลสวรรค์บัลลังก์บัวด้วย
    "พระอนุตตรธรรมเจ้า พระแม่องค์ธรรม" โปรด หย่อนสายบุญบริสุทธิ้สูงส่งเป็น มงคลดั่งหยกดั่งทอง ลงมานำพาพุทธบุตรดั่งเดิมอันเป็น กุศลพันธุ

    โซวเอวึ๋ยน : เก็บงานสมบูรณ์ผล
    เสี่ยนฮว่า : ปรากฏพุทธานุภาพ
    ไจ้ : ณ
    กู่ : อักษรจีน คือ เก่าก่อนโบราณหรือจุด ญาณทวาร
    ตง : โลกมนุษย์

    โชวเอวึ๋ยนเสี่ยนฮว่าไจ้กู่ตง
    เพื่อการเก็บงานสมบูรณ์ผลนำพาชีวิตจิตญาณ พุทธบุตรสาธุชนกลับคืนเบื้องบนพ้นจากการเวียนว่าย ตายเกิดต่อไปการนี้จะปรากฏพุทธานุภาพให้ประจักษ์ จริงในโลกมนุษย์ ณ ดินแดนประเทศเก่าก่อนโบราณ (ประเทศจีน)
    เพื่อการเก็บงานสมบูรณ์ผล ชีวิตจิตญาณที่ ตกตํ่าเสียหายจะได้รับการฟืนฟูชูชุบณจุดญาณทวาร ผู้ที่ผ่านการจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์แล้ว จะผัน เปลี่ยนจิตใจและบำเพ็๓ให้บรรลได้ในที่สุด
    หนันเป่ย : ใต้ - เหนือ
    เหลี่ยงจึ๋ : สองขั้ว
    เหลียนจงซวี่ : ประสานคืนกลับต้นสายตระกูลเดิม
    หนันเป่ยเหลี่ยงจึ๋เหลียนจงชวี่
    ธรรมปฏิบัติที่แตกต่างห่างไกลกัน ดังฝ่ายใต้ ฝ่ายเหนือสองขั้ว เช่น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง (เว่ยหล่าง) ที่บำเพ็ญแนวทาง "นิรรูป" ฉับพลัน แต่ศิษย์ ผู้พี่คือพระอาจารย์"เสิน่ซิ่ว"บำเพ็ญแนวทาง "รู้รูป" ค่อยปลงรูป หรือการปฏิบัติบำเพ็ญในแนวทางอื่น ๆ แต่ละศาสนาลัทธินิกาย
    ในธรรมกาลยุคขาวสุดท้ายนี้ ทุกแนวทาง ปฏิบัติ บำเพ็ญ จะประสานกันคืนกลับต้นสายตระกูล เดิม
    (แก่นแท้ของ "ธรรม" นัยดั่งรากฐานต้นตระกูล เดิม แต่ผู้สืบต่อแตกแยกกันไปคนละทิศคนละทาง ทุก ธรรมปฏิบัติจะประสานกลับคืนมาเป็นหนึ่งเดียวกันใน ครั้งนี้ จากการที่ได้เข้าถึงต้นธาตุต้นธรรมในตน)
    อุ่นเอวึ๋ยน : บรรพกาล
    กูเซ่อ : รูปแบบที่กำหนดไว้ก่อน๓'า
    ไจ : อยู่ที่
    จงอยัง : ศูนย์กลาง

    ฮุ่นเอวึ๋ยนกู่เซ่อไจ้จงอยัง
    ตั้งแต่บรรพกาลมา รูปแบบของมนุษย์ที่ องค์ธรรมมารดาซึ่งเป็นพระผู้สรางได้กำหนดไว้ตั้งแต่ ก่อนเก่านั้นคือ จุดสถิตพุทธจิตธรรมญาณของ กายสังขาร อยู่ที่ศูนยกลางกาย (ศีรษะ)

    เหลาหมู่ : องค์ธรรมมารดา
    เจี่ยงเซี่ย : โปรดประทานลงมา
    ทงเทียนเชี่ยว : ประตูทางผ่านไปยังฟ้า
    เหลาหมู่เจี้ยงเซี่ยทงเทียนเชี่ยว
    ศูนย์กลางกายที่ศีรษะจุดนี้ องค์ธรรมมารดา พระผู้สรางได้โปรดประทานให้เป็นประตูทางผ่านให้ ชีวิตจตญาณกลับคืนไปยังฟ้า กลับส่สุญญตา หรือ วิ มุติภาวะแต่เดิมทีของตน
    อู๋อิ่ง : ไร้เงา
    ซันเฉียน : เบื้องหน้าภูเขา (เบื้องหน้าภูเขาไร้เงา : จมูก)
    ตุ้ยเหอถง : ตรวจสอบลัญจกร
    อู๋อิ่งชันเฉียนตุ้ยเหอถง
    หลังจากพระวิสุทธิอาจารย์เบิกจุดญาณทวาร ตรงศูนย์กลางกายอันเป็นประตูทางผ่านไปยังฟ้าซึ่งอยู่ ไกล้กับเบื้องหน้าภูเขาไร้รูปเงานั้นแล้ว การกลับคืน เบื้องบนไปของผู้ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรมแล้วยัง จะต้องแสดง "ลัญจกร" ตราประทับของพระพุทธะ (ฝออิ้น) เพื่อยืนยันความบรสุทธิ'สูงส่งของจิต ใจที่ไม่ผิดเพี้ยนเอนเอียง ไม่แบ่งเขา แบ่งเรา ซึ่งเป็น สภาวะธรรมอันสมานฉันท์ในจิตของตนอีกด้วย
    อิงเอ๋อ : ทารก
    เหย้าเสี่ยง : คิดที่จะ
    กุยเจียชวี่ : กลับคืนบ้าน

    อิงเอ๋อเหย้าเสี่ยงกุยเจียชวี่
    พุทธบุตรผูมีจิตบริสุทธิ'โปร่ง ใส ดั่งทารกน้อย หากคิดทีจะกลับคืนล่บ้านเดิม (บรรลุธรรม)

    ฉีอเนี่ยน : ประคองท่องไว้
    ตังไหล : อันได้มีมา
    หมีเล่อจิง : คัมภีร์เมตเตยยะ

    ฉือเนี่ยนตังไหลหมีเล่อจิง

    พึงประคองท่องจำคัมภีร์เมตเตยยะ อันได้มา แต่เดิมทีไว้ให้ดี คัมภีร์เมตเตยยะอันได้มาแต่เดิมทีจึง แฝงปริศนาไว้ หมายถึง ดวงธรรมญาณอันบริสุทธิ้ โปร่งใสอันเป็นสุญญตาภาวะ แผ่ไพศาลจนประมาณ ขอบเขตมิได้ อีกทั้งเมื่อรวมศูนย์ไว้จะ "สงบหาย" จน
    เหมือนไม่มีสิ่งเล็กละเอียดใด ๆ แทรกอยู่ภายในได้เลย "ประคองท่องจำ"คือรำลึกกำหนดรู้สภาวะธรรม ความเป็นอยู่ของธรรมญาณตน
    นั่นคือ บำเพ็ญจิตทุกขณะเวลาให้ตรงต่อ ความหมายของคำว่าพระคัมภีร์เมตเตยยะ อันได้มา แต่เดิมที

    ย่งซินฉีอฺเฆี่ยน : ตั้งใจประคองท่องจำ
    ฝอไหลจิ้ว : พระพุทธะมาโปรด

    ย่งชินฉีอเฆี่ยนฝอไหลจิ๋ว
    หากประคองท่องจำกำหนดรู้ในความเป็นอยู่ ของธรรมญาณอันบริสุทธิ'โปร่งใสด้วยจิตใจละเอียด ประณีตลึกซึ้งสุขุมดีแล้ว เมื่อนั้นพระพุทธะจะมาโปรด
    เมื่อพุทธภาวะแห่งตน "มุ่งหมาย" "ใกล้เคืยง" "ตรงต่อ" หรือ "เข้าสู่" กระแสธรรมของพระพุทธะ พระโพธิสัตว์พระองค์ใดในหมื่นโลกธาตุได้พุทธภาวะ แห่งตนก็ยังอาจบังเกิดพุทธานุภาพเป็นที่พึ่งแห่งตนได้

    ตั๋วตั่วจินเหลียน : บัวทองทุก ๆ ดอก
    ซวี่เชาเชิง : ไปเกิดในภพอันล่วงพ้น
    ตั๋วตั่วจินเหลียนซวี่เชาเชิง
    ที่สุด บัวทองทุก ๆ ดอก คือผู้บำเพ็ญจริงทุกคน ในธรรมกาลยุคขาว จะสามารถล่วงพ้นจากวัฏสงสาร
    (คำว่า "ทอง" ในโปิยก่วย หมายถึง "สิขาว" "บัวทอง" จึงหมายถึงผู้บำเพ็ญจิตบริสุทธในธรรม กาลยุคขาว)
    ซึเต๋อ : ได้เข้าใจรู้จัก
    ซีไหล : มาจากฟากฟ้าตะวันตก (พุทธเกษตร)
    ไป้หยังจี่อ : พุทธบุตรแห่งธรรมกาลยุคขาว

    ชึเต๋อซีไหลไป๋หยังจี่อ

    เพราะเราได้เข้าใจ ได้รู้จักดวงธรรมญาณในตน แต่เดิมทีทีมาจากฟากฟ้าตะวันตกอันเป็นดินแดนพุทธ เกษตร อีกทั้งยังได้เข้าใจได้รู้ว่าเราก็คือพุทธบุตร แห่ง พระอนุตตรธรรมมารดา เราก็คือผู้บำเพ็ญในธรรม กาลยุคขาวสุดท้ายนี้
    เซียงเอ๋อ : พุทธบุตรจากบ้านต้นกาเนิด
    เตึ๋ยนเถื่ย :จรดนิ้วลงไปบนเหล็ก
    ฮว่าเฉิงจีน : :แปรเปลี่ยนเป็นทองขาวบริสุทธิ์
    เชียงเออเตึ๋ยนเถื่ยฮว่าเฉิงจิน
    พุทธบุตรที่มาจากฟากฟ้า มาจากพุทธเกษตร อันเป็น บ้านต้นกำเนิดก่อนเกิดกาย เมื่อได้รับวิถีธรรม ก็จะ สะดุดใจได้ฉุกคิด บังเกิดจิตสำนึก
    เมื่อพระวิสุทธิอาจารย์ได้โปรดจรดนิ้วลงบนจุด สถิตจิตญาณซึ่งแม้จิตดวงนั้นในบัดนี้จะพอกพูนด้วย โลกีย์วิสัยมาหลายชาติจนแข็งกระด้างดั่งเหล็กหนา ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นทอง, เป็นดวงจิตขาวบริสุทธิ์ ดังเดิมได้
    เหม่ยยื่อ : ทุกวัน
    จี้'อ:ชิน : มุ่งใจหมายมั่น
    ฉังฉือเนี่ยน : ประคองท่องจำไว้เสมอ

    เหม่ยยื่อจี้อชินฉังฉีอเนี่ยน
    ต่อจากนั้น ประกอบกับตนเองมุ่งใจหมายมั่น ประคองท่องจำกำหนดรู้สัจธรรมในพระคัมภีร์ สัจจคาถาเมตเตยยะ
    ประคองท่องจำกำหนดรู้สัจธรรมในพุทธภาวะ ของดวงจิตชีวิตธรรมญาณตน
    (ขณะท่องพระคาถาให้กำหนดเดวงธรรมญาณ ในตนด้วยเสมอ)
    ชันไจ : ภัยทั้งสาม
    ปานั่น : ความทุกข์ทั้งแปด
    ปู้ไหลชิน : ไม่กลํ้ากราย

    ชันใจปานั่นปู้โหลชิน
    เมื่อกำหนดรู้อยู่เสมอ ภัยจากโลภ โกรธ หลง ในตน และภยันตรายจากนํ้า ไฟ ลมภายนอกจะไม่อาจ ให้ร้าย ความทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จาก พราก อยากใคร่ ผิดหวัง คั่งแค้นและขันธ์ห้าจะไม่อาจให้ทุกข์ อีกทั้งวินาศภัยจากนํ้าท่วม ไฟไหม้ หอกดาบ มีดพร้า ศาสตราภัย สงครามยํ่ายี แห้งแล้งอดอยาก จมนํ้าตาย ไร่นาเสียหาย พืชผลล้มเหลว... ความวิบ้ตเหล่าใ!ก็จะ ไม่ก่อทุกข์ให้

    เหย้าเสี่ยง : คิดที่จะ
    เฉิงฝอ : บรรลุพุทธะ
    ฉินหลี่ไป้ : หมั่นน้อมกราบ

    เหย้าเสี่ยงเฉิงฝอฉินหลี่ไป
    หากคิดจะบรรลุพุทธะ จงหมั่นน้อมกราบพุทธะ ผู้ไปดีแล้วจากการบำเพ็ญเพียรของพระองค์เอง และเจริญรอยตามแบบอย่างของพระองคํให้จงได้
    หากคิดจะบรรลุพุทธะจงหมั่นน้อมกราบพุทธะ ภาวะแห่งตนซึ่งตนจะร้ดีกว่าใครอึ่นว่าตนนั้นสูงส่งดีงาม สมควรได้รับการกราบไหว้จากตนเองและผู้อื่นเพียงไร

    ฉังฉีอ : หมั่นประคองรักษาไว้
    ชงหมิง : หูตาสว่าง แจ่มชัด
    จื้อฮุ่ยซิน : ปัญญาจะเกิดแก่จิต

    ฉังฉีอซงหมิงจึ้อฮุ่ยซิน
    หากหมั่นประคองรักษาพุทธภาวะอันบริสุทธิ้ โปร่ง ใส ในตนไว้เสมอ หูตาจะสว่างแจ่มชัดกว้างไกล ปัญญาญาณอันลํ้าเลิศจะเกิดแก่จิต
    หมั่นประคองท,องจำคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ ไว้เสมอพุทธานุภาพในพระคัมภีร์จะช่วยให้หูตาสว่าง แจ่มชัด กว้างไกล ปัญญาญาณอันลํ้าเลิศจะเกิด ตามมา

    ซิวทิง : หยุด อย่าได้ฟัง
    เสียเหยิน : มิจฉาบุคคล
    หูซัวฮว่า : พูดเหลวไหล

    ซิวทิงเสียเหยินหูซัวฮว่า
    จงหยุด อย่าได้เชื่อฟังคำยุแหย่ ยกยอ หยาม หยาบ หรือคำชักนำ อันเป็นมิจฉาวาจาจากมิจฉา บุคคล "ภายนอก" ทั่วไป
    จงหยุด อย่าได้ฟังคำยุแหย่ ยกยอ หยามหยาบ หรือคำชักนำจากมิจฉาบุคคล "ภายใน" คือกายใจของ ตนเอง ที่พูดจาเหลวไหลไม่ตรงต่อหลักสัจธรรม ความเป็นจริง

    เหลาซวน : ล้อมคอก คล้องไว้
    อี้หม่า : ความคิดจิตใจวิ่งไปเหมือนม้า
    เฆี่ยนอู๋เชิง : ท่องจำกำหนดเอยู,ที่องค์ธรรม มารดาอันเป็นสุญญตาภาวะไม่เกิดดับ

    เหลาซวนอี้หม่าเนื่ยนอู๋เซิง
    จงล้อมคอกความคิดจิตกระเจิงไว้ เหมือน คล้องคอม้าพยศให้สงบหยุดนิ่งลงได้
    จงมุ่งหมายท่องจำกำหนดรู้อยู่ที่องค์ธรรมมารดา
    พุทธบุตรจากองค์ธรรมมารดาคือธรรมญาณตน จงคล้องใจพุทธบุตรไว้ มิให้ความคิดเกิดดับ เกิดดับ......สับสนเรื่อยไป

    เหลาหมู่ : องค'ธรรมมารดา
    เจี้ยงเซี่ย : ปรกโปรดประทานให้
    เจินเทียนโจ้ว : สัจคาถาจากฟ้า

    เหลาหมู่เจึ่ยงเซี่ยเจินเทียนโจว
    องค์ธรรมมารดาปรกโปรดประทานสัจจคาถา จากฟ้า นั่นคือ "ดวงธรรมญาณ" ไว้ในรูปกายสังขาร ดวงธรรมญาณหรือสัจคาถาจากฟ้าจึงมีความ ศักดิ'สิทธิ'พร้อมแล้วอยู่ในตั
    ย่งซิน :ตั้งใจ
    ฉือเนี่ยน: ประคองท'องจำ
    โหย่วเสินทาง : มีความศักดิ์สิทธิ์รอบรู้

    ย่งซินฉือเนี่ยนโหย่วเสินทง
    พึงตั้งใจประคองท่องจำสำนึกรู้ในสัจจคาถา จากฟ้า คือดวงธรรมญาณของตนไว้เรื่อยไป จนกว่าจะ เข้าถึงความศักดิ''สิทธึ่'เกิดปัญญาระลึกรอบรู้ได้

    หมั่นเทียน : ทั่วฟ้า
    ซิงโต่ว : หมู่ดาวเทพสถิต
    โดวเซื่ยซื่อ : ต่างลงมาล่โลก

    หมั่นเทียนชิงโต่วโตวเชี่ยชื่อ
    บัดนี้เทพสถิตประจำดวงดาวทุกหมู่เหล่าต่าง มุ่งลงมาสู่โลก บ้างเกิดกาย บ้างแฝงกายเพื่อเสริมส่ง ธรรมปฏิบัติในยุคสุดท้ายนี้

    อู่ฟัง : ห้าทิศ
    เลี่ยเซียน : เซียนทกระดับ
    เซี่ยเทียนกง : ลงมาจากปราสาทชนฟ้า

    อู่ฟังเลี่ยเซียนเชื่ยเทียนกง
    เซียนทุกระดับจากทิศตะวันออก ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้และศูนย์กลาง ต่างลงมาจากปราสาท ทิพยวิมานในชั้นฟ้า

    เก้อฟัง : แต่ละด้าน
    เฉิงหวง : พระกาฬประจำเมือง
    ไหลตุ้ยเร่า : ตรวจสอบเลขที่

    เก้อฟังเฉิงหวงไหลตุ้ยเร่า
    พระกาฬประจำเมืองแต่ละด้านต่างรีบเร่ง ทำการตรวจสอบเลขที่บัญชีรายชื่อของผู้อยู่อาศ้ยใน เมืองซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของท่านว่าใครได้ รับการถอนชื่อเพื่อถวายขึ้นไปในบัญชีอรียะ(รับธรรมะ) พ้นจากหน้าที่ปกครองของท่านแล้วบ้าง

    เป้าซื่อ : รายงาน
    หลิงถง : ทิพย์กุมาร
    ฉาเตอชิง : ตรวจสอบแน่ชัด

    เป้าซี่อหลิงถงฉาเตอชิง
    การนี้ยังมีทิพย์กุมารสื่อสารอีกมากมายร่วม ทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีรายชื่อให้ตรงกับบุคคลนั้น ๆ อย่างแน่ชัด เพื่อถวายรายงานต่อ

    ซันกวนต้าตี้ : มหาราชเจ้าทั้งสามพระองค์คือ เหยา ซุ่น อวี่ บรรพกษัตริย์ผู้ทรงธรรมในอดีตกาล (พระอริยฐานะขณะนี้คือ ตรีเทพพิทักษ์มหาราช)
    ฉิอเปยจู้: ได้โปรดจารึกไว้

    ชันกวนต้าตี้ฉีอเปยจู้
    .... มหาราชเจ้าทั้งสามพระองค์ที่ทรงโปรดทำ
    หน้าที่ จารึกรายชื่อที่ถวายขึ้นไปในบัญชีอริยะเบื้องบน

    เซ่อจุ้ย : อภัยโทษ
    ชันเฉา : สามโลก
    จิ้วจ้งเซิง : ฉุดช่วยมวลชีวิต

    เซ่อจุ้ยชันเฉาริ้วจ้งเชิง
    เป็นบุญวาระสุดท้ายที่เบื้องบนทรงโปรดฉุด ช่วยมวลชีวิตจิตญาณ เทพเทวา มนุษย์ ฝี ที่ได้รับการ ฉุดช่วยทั้งสามโลกในครั้งนี้จะได้รับการอภัยโทษ ผ่อนผันเป็นการเฉพาะจากองค์ธรรมมารดา

    จิ้วขู่เทียนจุน : พระองค์ผู้ปลดเปลื้องทุกข์
    ไหลริ้วชื่อ : มาโปรดชาวโลก
    จิ้วขู่เทียนจุนไหลริ้วซื่อ
    เมื่อพระเมตเตยยะ จะเจริญมหาปณิธาน มาปรกโปรด เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ให้ชาวโลกใน ครั้งนี้

    ชินเตี่ยนเหวินปู้ : คัดเลือกกำหนดหมายฝ่าย บุญแทธ
    เจียตีเสิน : พระผู้เข้าถึงจิต

    ชินเตี่ยนเหวินป้เจียตี้เสิน
    พระองค์ทรงคัดเสือกกำหนดหมายด้วย พระองค์เอง ให้พระอริยะพระโพธิสัตว์ฝ่ายบุญฤทธิ้ ซึ่งเข้าถึงจิตของสาธุชนดั่งดวงตะวันจันทราสว่างฟ้า ทั่วหล้า ทั่วสกล คือพระพุทธจกงและพระโพธิสัตว์ จันทรปัญญา ให้ทรงทำหน้าที่วิสุทธิอาจารย์ เบิก จุดสถิตจิตพุทธะให้แก่ผู้ขอรับวิถีธรรม

    ปาต้าจินกัง : วัชรเทพแปดฝ่าย
    ไหลฮู่ฝ่า : มาพิทักษ์ธรรม
    ปาต้าจินก้งไหลฮู่ฝ่า
    พระองค์ทรงคัดเลือกกำหนดหมายวัชรเทพ ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกแปดฝ่าย อีกทั้งท้าวจตุมหา- โลกบาลทั้งสี่ อันประกอบด้วยพระวัชรอ้สนี พระวัชรวายุ พระวัชรพยัคฆา และพระวัชรนาคา พร้อมกันมาพิทักษ์ธรรม
    (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมซึ่งทำหน้าที่แทน พระวิสุทธิจารย์ จะต้องน้อมจิตอาราธนาทุกพระองค์ ดังกล่าวก่อนทำพิธีถ่ายทอดเบิกธรรมให้แก่สาธุชน)

    ชื่อเว่ยผูซ่า : พระโพธิสัตว์ทั้งสี่
    จิ้วจ้งเชิง : ฉุดช่วยเหล่าเวไนย
    ชื่อเว่ยผูซ่าจิ้วจ้งเชิง
    อีกทั้งยังมีมหาโพธิสัตว์ทั้งสี่คือ : พระโพธิสัตว์กวนอิมพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา พระโพธิสัตว์มัญ'ชุศรี พระโพธิสัตว์สมันตภัทร ทรงคํ้าชูงานถ่ายทอดเบิกธรรม ทรงฉุดช่วยคุ้มครอง รักษาเหล่าเวไนยฯ

    จิ๋นหลิ่ง : นำพาประชิด
    ซันซึลิ่ว : สามสิบหก
    เอวึ๋ยนเจึ่ยง : เทวาอารักษ์น้อยใหญ่
    จิ๋นหลิ่งซันซึลิ่วเอวึ๋ยนเจี้ยง
    เมื่ออาราธนาหรือสวดท่องพระคัมภีร์สํจจคาถา เมตเตยยะ พระองค์จะนำพาจอมทัพฟ้าและเทวา อารักษ์น้อยใหญ่ อีกสามสิบหกพระองค์ลงมายังโลก มนุษย์อย่างเร่งรีบประชิดตัว
    อู๋ไป่หลิงกวน : ทิพยมนตรีห้าร้อยพระองค์
    จี่นสุยเกิน : ตามติดประชิดมา
    อู๋ไป่หลิงกวนจิ่นสุยเกิน
    อีกทั้งนำพาทิพยมนตรีอีกห้าร้อยพระองค์ ตามติดประชิดมา เพื่อทรงร่วมคุ้มครองรักษาสาธุชน และสอดส่องความเป็นไปในสามโลก

    ฝูจู้ : ประคองรองรับ
    หมีเล่อ : พระเมตเตยยะ
    เฉิงตาเต้า : บรรลุมหาอริยมรรค

    ฝูจู้หมีเล่อเฉิงต้าเต้า
    ทุกพระองค์ทรงร่วมทำหน้าที่ประคองรองรับ การอุป้ติมาของพระเมตเตยยะเพื่อบรรลุมหาอริยมรรค เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป
    อีกนัยหนึ่งคือ ประคองรองรับเมตเตยยะองค์ น้อย ๆ คือ พุทธบุตรผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในธรรมกาล ยุคขาวนี้ให้ได้บรรลุธรรมในภายภาคหน้า

    เป่าอิ้วเซียงเอ๋อ : คุ้มครองพุทธบุตรจากบ้านเดิม
    เต๋ออันหนิง : ให้ได้รับความสงบสุข
    เป่าอิ้วเชียงเอ๋อเด๋ออันหนิง
    คุ้มครองพุทธบุตรจากบ้านเดิมคือ ผู้ปฏิบัติ บำเพ็ญทั้งหลาย ให้ได้รับความสงบสุข เพื่อจะได้ ตั้งหน้าตั้งตาเจริญธรรมกันให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    เป่ยฟังเจินอู่ : เทพเจ้าผู้ทรงฤทธิ้แห่งทิศอุดร
    เหวยเจี้ยงไชว่ : เป็นนายทัพ
    เป่ยฟังเจินอู่เหวยเจี้ยงไซว
    งานคุ้มครองป้องภัยนี้มี "เปยฟังเจินอู่" เทพเจ้า ผู้ทรงฤทธิ่แห่งทิศอุดร เป็นนายทัพนำกอง
    (หนังสือบางเล่มในภาคภาษาจีนอธิบายไว้ว่า "เป่ยฟังเจินอู่" คือพระภาคเดิมพระภาคหนึ่งของ พระเมตเตยยะ)

    ชิงเหลี่ยนหงฝ่า : พระพักตร์สีเขียว พระเกศา สีแดง
    เสี่ยนเสินทง : สำแดงฤทธานุภาพ
    ชิงเหลื่ยนหงฝ่าเสี่ยนเสินทง
    "เปยฟังเจินอู่" ผู้ทรงฤทธิ้พระองค์มีพระพักตร์ สีเขียว พระเกศาสีแดง มีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่
    ผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคสุดท้ายนี้ก็เช่นกัน ท่านอุปมาให้เป็นเช่นทหารกล้า สำแดงฤทธานุภาพ ฝ่าฟันอุปสรรค ในการฉุดช่วยผู้คน ใช้ปัญญาฟาดฟัน กิเลสมารในจิตตนให้แพ้พ่ายมลายสูญดุจเดียวกับ พระองค์"เป่ยฟังเจินอู่" ผู้ทรงฤทธิ์

    เฉ่อฉี่เจ้าฉี : คว้าเอาธงดำ
    เจอยื่อเอวี้ย
    : บดบังตะวันเดือน
    เฉอฉี่เจ้าฉีเจอยื่อเอวี้ย
    ความห้าวหาญของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ้ยิ่งใหญ่ ถึงขนาดคว้าเอาธงดำมาบดบังตะวันเดือนได้

    โถวติ่ง : บนพระเศียร
    เซินหลัว : ประดับไว้รายรอบ
    ชีเป่าชิง : ดวงดาวรัตนะทั้งเจ็ด

    โถวติ่งเซินหลัวชิเป่าชิง

    บุญญาธิการในพระองค์ส่องแสงสว่างกระจ่าง- ฟ้าดั่งมีดวงดาวรัตนะทั้งเจ็ดประดับไว้รายรอบพระเศียร เป็นอุปมาให้ผู้บำเพ็ญเสรมสร้างบารมีเปล่งรัศมีธรรม กำจัดภัยมีดเพื่อตนและเพื่อทุกชีวิต
    เวยเจิ้น : อิทธิฤทธึ๋สะเทือน
    เป่ยฟ้ง : ทิศอุดร
    เหวยไซว่โส่ว : เป็นยู้นำใหญ่

    เวยเจิ้นเป่ยฟังเหวยไซว่โส่ว
    อิทธิฤทธึ่ความน่าเกรงขามของพระองค์สะเทือน เลือนลั่นไปทั่วทิศอุดร
    พระองค์เป็นใหญ่ เป็นผู้นำทางทิศอุดร

    ซู่ฉิ่งจูเอ้อ : เร่งรัดขอให้หมู่มารร้าย
    กว้าเจยปีง : แขวนเกราะพลรบ

    ซู่ฉิ่งจูเอ้อกว้าเจี่ยปีง
    พระองค์เร่งรัดขอให้หมู่มารร้ายแขวนเกราะ พลรบ หยุดการก่อกวนราวีผู้ปฏิบัติบำเพ็ญดีในวิถี อนุตตรธรรม ซึ่งอาจบรรลุมรรคผลได้ในภายหน้า
    หยุดก่อกวนราวี ผู้ที่ตงใจสวดท่องคัมภีร์ สัจคาถาเมตเตยยะนี้

    ตาจิ้ว : เป็นสื่อฉุดช่วย
    เอวึ๋ยนเหยิน : คนเดิมจากเบื้องบน
    เชียงเอ๋อหนวี่ : หญิงชายจากบ้านต้นกำเนิด

    ตาจิ๋วเอวึ๋ยนเหยินเชียงเอ๋อหนวี่
    พระองค์ยังทรงเป็นสื่อทอดสะพานบุญ ฉุด ช่วยคนเดิมที่มาจากเบื้องบน คือสาธุชนหญิงชาย ผู้ที่1ใด้รับ'วิถีธรรมที่ปฏิบัติยำเพ็ญจริง

    หั่วกวง : แสงไฟ
    ลั่วตี้ : ตกสู่พื้นดิน
    ฮว่าเหวยเฉิน : แปรเป็นเถ้าธุลี

    หั่วกวงลั่วตี๋ฮว่าเหวยเฉิน
    แม้แสงไฟเพลิงจะตกลงมาสู่พื้นแผ่นดินก็มิให้ เป็นอันตรายแก่สาธุชน คนดีผู้ที่ได้รับ'วิถีธรรม แต่ให้ กลับกลายแปรเป็นเถ้าธุลีดิน
    ชื่อไห่ : สีคาบสมุทร
    หลงอวั๋ง : พญานาคา
    ไหลจู้เต้า : มาร่วมช่วยงานธรรม

    ซึ่อไห่หลงอวั๋งไหลจู้เต้า
    พญานาคาทั้งสี่คาบสมุทรใหญ่ก็ให้มาร่วมช่วย เสริมสร้างงานถ่ายทอดวิถีธรรมให้มาร่วมช่วยคุ้มครอง ป้องกันภัยแก่ผู้ได้รับวิถีธรรมและสาธุชนคนดี

    เก้อเจี้ยเสียงอวิ๋น : ต่างประทับบนเมฆมงคล
    ซวี่เถิงคง : ทะยานขึ้นสุญญตานภากาศ
    เก้อเจี้ยเสียงอวิ๋นชวื่เถิงคง
    เพื่อให้ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเจริญธรรมเรื่อยไปได้ อย่างราบรื่น ดุจได้ประทับนั่งอยู่เหนือเมฆมงคล เพื่อ ทะยานตน ให้พ้นโลกีย์ สูงส่งขึ้นไปบนสุญญตานภากาศ

    สิอฟัง : สิบทิศ
    เทียนปิง : เทวาอารักษ์
    ฮู่ฝอเจี้ย : คุ้มครองพุทธบาท

    สือฟังเทียนปีงฮู่ฝอเจื่ย
    เทวาอารกษ์ทั้งสิบทิศก็ให้มาร่วมคุ้มครอง พุทธบาทพระเมตเตยยะ ให้บรรลุมหาปณิธานในอัน ทีจะตระเตรียมกุศลพันธุไว้ในพุทธกาลหน้าต่อไป

    เป่าอึ่ว : ปกป้องรักษา
    หมีเล่อ : เมตเตยยะ
    ชวื่เฉิงกง : บรรลุผล
    เป่าอิ้วหมีเล่อชวี่เฉิงกง
    ปกป้องรักษาพระเมตเตยยะเพื่อให้ได้บรรลุผล ในมหาปณิธานที่จะแปรเปลี่ยนโลกจุ่นวายให้กลาย เป็น วิสุทธิแดนดินอันใสสด งดงามดังดอกบัวบาน อีกทั้งปกป้องรักษาเมตเตยยะองค์น้อย ๆ คือผู้บำเพ็ญ ในธรรมกาลยุคขาวนี้ให้ได้สำแจมรรคผล

    หงหยัง : ธรรมกาลยุคแดง
    เหลี่ยวเต้า : บรรลุธรรม
    กุยเจืยชวี่ : กลับคืนเบื้องบนบ้านเดิม
    หงหยังเหลี่ยวเต้ากุยเจียชวี่
    เมือยุคกาลของธรรมกาลยุคแดงล่วงเลยไป ผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคแดงต่างก็บรรลุธรรมกลับคืน บ้านเดิมเบื้องบนไปแล้ว
    จ่วนเต้าชันหยัง : เวียนมาถึงยุคสาม
    หมีเล่อจุน : พระศรีอารยเมตไตรย

    จ่วนเต้าชันหยังหมีเล่อจุน
    บัดนี้ ย่างเข้าส่ธรรมกาลยุคที่สาม พระศรีอารย- เมตไตรยจะปกครองธรรมกาลต่อไปหนึ่งหมื่นแปดร้อยปี (ธรรมกาลยุคเขียวในครั้งพระทีปังกรพุทธเจ้า ปกครองธรรมกาลหนึ่งพันห้าร้อยปี ต่อด้วยธรรมกาล ยุคแดงครั้งพระสมณโคดมปกครองธรรมกาลสามพันปี)
    อู๋ฮวั๋ง : พระอนุตตรธรรมเจ้า
    ชึ่อลิ่ง : บัญชาประกาศิต
    จี้เซี่ยเชิง : พุทธบุตรทีจุติฝากเกิดกายในโลกต่ำ
    อู๋ฮวั๋งชี่อลิ่งจี้เซี่ยเซิง
    ธรรมกาลยุคสุดท้ายนี้
    พระอนุตตรธรรมเจ้า พระแม่องค์ธรรมจึงโปรด บัญชาประกาศิตให้พระพุทธะพระโพธิสัตว์เทพพรหม องค์อินทร์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด พร้อมกันสนองธรรม โองการรับหน้าที่ฉุดช่วยเหล่าพุทธบุตรที่จุติฝากเกิด กายไว้ในโลกตํ่า

    โซวฝูหนันเอึ้ยน : เก็บและกำราบโลกมนุษย์
    กุยเจิ้งจง : กลับสู่ต้นตระกูล
    โซวฝูหน้นเอึ๋ยนกุยเจิ่งจง
    ให้ทุกพระองค์ร่วมกันทำหน้าที่ตามหาพุทธบุตร ที่หลงเวียนว่ายอยู่ในโลกมนุษย์ เก็บรวบรวมมาไว้ กำราบด้วยพุทธานุภาพ ให้คืนกลับสู่ต้นตระกูล คือ กลับสู่อนุตตรพระแม่องค์ธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกชาติภาษา ทุกศาสนา ทุกคน

    ไหลอวั๋งเจ้าเซื่ย : มา-กลับโปรดกำหนดให้
    เจินเอื้ยนโจ้ว : ลัจจคาถา

    ไหลอวั่งเจ้าเซี่ยเจินเอึ๋ยนโจ้ว
    การจุติเกิดกายในโลกคือ "มา"
    ถึงกาลเก็บงานสมบรณ์ผลบัดนี้ คือ "กลับ"
    พุทธบุตรจะต้องกลับคืนบ้านเดิมเบื้องบนใน ครั้งนี้ด้วยดวงธรรมญาณอันบริสุทธิ้ โปร่ง ใส
    พระอนุตตรพระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทาน ลัจจคาถาทั้งเที่ยวมา (เกิดกาย) และเที่ยวกลับ (หลุดพ้น)
    ฉวนเซี่ย : ถ่ายทอดประทานให้
    ตังไหล : อันได้มีมา
    ต้าจํ๋งจิง : มหาธรรมปิฎก พุทธจิตธรรมญาณ
    ฉวนเซี่ยตังไหลต้าจงจิง
    พระอนุตตรพระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทาน พุทธจิตธรรมญาณอันได้มีมาจากเบื้องบนแต่เดิมที
    พุทธจิตธรรมญาณอันได้มีมาจากเบื้องบนแต่ เดิมทีนั้น เปรียบได้ดั่งมหาธรรมปิฎกที่สมบูรณ์พร้อม ด้วยแก่นแท้แห่ง ธรรมสาระ

    อิงเอ๋อ : ทารก
    ซ่าหนวี่ : ทุลสตรี
    ฉังฉือเนี่ยน : ประคองท่องจำรำลึกเสมอ
    อิงเอ๋อซ่าหนวี่ฉังฉีอเนี่ยน
    หากแม้นประคองท่องจำ "คัมภีร์สัจจคาถา เมตเตยยะ" อยู่เสมอ
    หากแม้นประคองท่องจำรำลึกในความเป็น พุทธจิตธรรมญาณอันบริสุทธิ้โปร่ง ใส ดั่งทารกน้อย กำหนดจิตไม่สอดส่ายไปจากฐานเดิมดั่งกุลสตรี ที่อยู่กับเหย้าเฝ็ากับเรือนสำรวมระวังตนอยู่เสมอ

    เสียเสิน : เทพอัปมงคล
    ปู้กั่น : ไม่กล้า
    ไหลจิ้นเชิน : มาใกล้ตัว
    เสียเสินปู้กั่นไหลจึ๋นเชิน
    เทพอัปมงคล สิ่งเลวร้ายภายนอก และมิจฉาทิฐิ ในตนจะไม่กล้าสำแดงความชั่วร้ายไม่กล้ากล้ำกราย เข้าใกล้ตัว

    ฉีอเนี่ยนอึ๋เปียน : ประคองท่องจำรำลึกหนึ่งรอบ
    เสินทงต้า : ปัญญาญาณจะคักดสิทธิ๋ยิ่งใหญ่
    ฉือเนี่ยนอึ๋เปียนเสินทงตา
    ประคองท่องจำรำลึกคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ หนึ่งรอบ
    ประคองท่องจำรำลึกในความเป็นพุทธจิต ธรรมญาณอันบรสุทธิ์ โปร่ง ใส ไว้ได้รอบหนึ่ง ปัญญา ญาณในตนจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่

    ฉีอเนี่ยนเหลี่ยงเปียน : ประคองท่องจำรำลึก สองรอบ
    เต๋อเชาเชิง : ได้ล่วงพ้นการเกิดตาย
    ฉีอเนี่ยนเหลี่ยงเปียนเต๋อเชาเซิง
    ประคองท่องจำรำลึกคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ ด้วยจิตบริสุทธิ้โปร่ง ใส สองรอบ จิตจะสงบนึ่งไม่สอด ส่ายวุ่นวายจิตจะไม่เกิดตายไปตามความคิดดำริหรือ อารมณ์เท่ากับจิตล่วงพ้นการเวียนเกิดเวียนตาย

    ฉีอเนี่ยนชันเปี้ยน : ประคองท่องจำรำลึกสามรอบ
    เสินกุ่ยท่า : เทพเทวาผีสางต่างเกรงกลัว

    ฉือเนี่ยนชันเปียนเสินกุ่ยท่า
    ประคองท่องจำรำลึกสามรอบ พุทธานุภาพ ของ คัมภีร์ลัจจคาถาเมตเตยยะ จะปรกแผ่คุ้มครอง รักษาจนเทพเทวาผีสางต่างเกรงกลัว
    ประคองท่องจำรำลึกสามรอบด้วยจิตมั่นคง เที่ยงตรงมีพลัง เทพเทวาผีสางต่างเกรงกลัวในผู้นั้น

    อวั่งเหลี่ยง : ผีป่าผีน้ำทุกแห่งหน
    เสียหมอ : มาร และสิงอัปมงคล
    ฮว่าเหวยเฉิน : แปรเป็นผงธุลีดิน

    อวั่งเหลี่ยงเสียหมอฮว่าเหวยเฉิน
    เมื่อพุทธจิตธรรมญาณในตนสำแดงคุณศักดิ'สิทธิ้ ยิ่งใหญ่ ขณะสวดท่องคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ พุทธานุภาพจากสิ่งศักดิสทธิ'ทุกพระองค์อีกทั้งพุทธานุภาพ ในตนจะปกปัองภัยจากผีปาผีนํ้าทุกแห่งหนมารอัปมงคล ทั้งหลายเข้าใกล้มาเมื่อไรพุทธานุภาพก็จะดลบันดาลให้ กลับกลายแปรไปเป็นผงธุลีดิน

    ซิวฉือ : บำเพ็ญมั่นไว
    ้เจึ๋ยเน่ย : ท่ามกลางภัยพิป้ติ
    สวินลู่จิ้ง : หาแนวทาง
    ซิวจีอเจึ๋ยเน่ยสวินลู่จิ้ง
    ท่ามกลางภัยพิบัติทุกข์เข็ญ จงบำเพ็ญจิต มั่น คงไว้มิให้ไหวหวั่น ขณะเดียวกันคือกำหนดหา แนวทาง ที่จิตญาณจะผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวง
    เนี่ยนฉี่เจินเอึ๋ยน: ท่องสัจจคาถา กำหนดจิตเดิมแท้
    กุยฝอลิ่ง : กสับคืนไปสู่พุทธภาวะแห่งตน
    เนี่ยนฉี่เจินเอึ๋ยนกุยฝอลิ่ง
    เมื่อกำหนดแนวทางของจิตได้แล้วท่องสัจจคาถา กำหนดจิตเดิมแท้ไว้ที่จุดญาณทวารโน้มนำจิตเดิมแท้ ให้เข้าถึงพุทธคุณแห่งพระนามพระพุทธะที่สวดท่องนั้น
    หนันอู๋ : นโม
    เทียน : ฟ้าเบื้องบน
    เอวึ๋ยน : ปฐมกาลอันเป็นเบื้องต้น
    ไท่เป่า : พระผู้พิทักษ์ธรรมจักรวาล
    อาหมีถัวฝอ : อมิตาพุทธ
    หนันอู๋เทียนเอวึ๋ยนไท่เป่าอาหมีถัวฝอ
    สวดท่องพระคัมภีร์สัจจคาถาพระเมตเตยยะ จบลงแล้วให้ตั้งจิตระลึกถึงพระนามของพระพุทธองค์ ชึ่งจะอุบัติมากอบกู้กุศลพันธุ์ในกาลต่อไป คือ "พระเมตเตยยะ พระศรีอารยเมตไตรยเทียนเอวี๋ยนไท่เป่าอาหมีถัวฝอ" พระองค์ทรงเป็นอมิตาพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ซึ่งพิทักษ์ ธรรมจักรวาลเบื้องต้นตงแต่ปฐมกาลแห่งฟ้าเบื้องบน

    คัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ
    อักษรไทย บรรทัดแรกอ่านออกเสียงจีนกลาง
    บรรทัดที่สอง อ่านออกเสียงจีนแต้จิ๋ว

    ฝอซัวหมีเล่อจิ้วขู่จิง หมีเล่อเซี่ยซื่อปู้เฟยชิง
    ฮุกส่วยหนีเล็กกิ้วโขวเก็ง หนีเล็กเหี่ยสี่ปุกฮุยคิง
    หลิงเป่าฉีหลู่หลิงซันตี้ เหนี่ยนฮวาอิ้นเจิ้งเข่าซันเฉิง
    เหนียป้อฉี่ลู่เหล่งซัวตี่ เนียมฮวยอิ้งเจ่งเขาซาเซ้ง
    ลั่วไจ้จงเอวี๋ยนซันซิงตี้ ต้าเจิ้งซื่อชวนอวั๋งเถาซิน
    เหลาะต่อตงง้วงซาแซตี่ ไต่เจ้งสี่ชวงอ่วงถ่อซิม
    เทียนเจินโชวเอวี๋ยนกว้าเซิงเฮ่า เติ่งไต้สือจื้อเตี่ยนเสินปิง
    เทียงจิงซิวอี๊คั่วเซี่ยห่อ เต็งไถ่ซี้จี่เตียมสิ่งเปีย
    อวิ๋นเหลยเจิ้นไคอู้จี๋ถู่ เทียนเซี่ยเสินกุ่ยปู้อันหนิง
    หุ่งล้อยจิงไคโบ่วกี่โท่ว ทีแอ๋สิ่งกุ้ยปุกอัวเล้ง
    ซินไจ้เหยินเทียนจงฮว๋าหมู่ จิ่วเหลียนเซิงเจี้ยวกุยซั่งเฉิง
    ซิงต่อหยิ่งเทียงตงหั่วบ้อ กิวไน๊เซี่ยก่ากุยเสียงเซ้ง
    เทียนฮวาเหลาหมู่ฉุยอวี้เซี่ยน โซวเอวี๋ยนเสี่ยนฮว่าไจ้กู่ตง
    เทียงฮวยเหลาบ้อสุ่ยเหง็กสั่ว ซิวอี๊เหียงห่วยต่อโกวตัง
    หนันเป่ยเหลี่ยงจี๋เหลียนจงซวี่ ฮุ่นเอวี่ยนกู่เช่อไจ้จงอยัง
    หน่ำปักเหลียงเก๊กเหลียงจงซู้ ฮุ่งง้วงโกวแฉะต่อตงเอียง
    เหลาหมู่เจี้ยงเซี่ยทงเทียนเชี่ยว อู๋อิ่งซันเฉียนตุ้ยเหอถง
    เหลาบ้อกั้งเหียทงเทียงเขี่ยว บ่อเอี้ยซัวไจ๊ตุ้ยหะตั๊ง
    อิงเอ๋อเหย้าเสี่ยงกุยเจียชวี่ ฉือเนี่ยนตังไหลหมีเล่อจิง
    เอ็งยี้เอี้ยวเสี่ยวกุยแกขื่อ ถี่เหนียมตึงไล้หนีเหล็กเก็ง
    ย่งซินฉือเนี่ยนฝอไหลจิ้ว ตั๋วตั่วจินเหลียนชวี่เชาเซิง
    เอ่งซิมถี่เหนียมฮุกไหล่กิ่ว ต่อต๊อกิมไน้คื่อเทียวเซ็ง
    ซึเต๋อซีไหลไป๋หยังจื่อ เซึ่งเอ๋อเตี๋ยนเถี่ยฮว่าเฉิงจิน
    เส็กติกไซไล้แปะเอี่ยงจื้อ เฮียวยี้เตียมถิฮ่วยเส่งกิม
    เหม่ยยื่อจื้อซินฉังฉือเนี่ยน ซันไจปานั่นปู้ไหลชิน
    หมวยยิกจี้ซิมเสี่ยวถี่เหนียม ซาไจโปยหลั่งปุกไหล่ซิ้ม
    เหย้าเสี่ยงเฉิงฝอฉินหลี่ไป้ ฉังฉือชงหมิงจื้อฮุ่ยซิน
    เอี้ยวเสี่ยวเส่งฮุกขึ่งโหลยไป่ เสี่ยวท้งชงเม้งตี้หุ่ยซิม
    ซิวทิงเสียเหยินหูซัวฮว่า เหลาซวนอี้หม่าเนี่ยนอู๋เซิง
    ฮิวเทียเสี่ยยิ้งหู่ส่วยอ่วย หล่อช้วงอี้แบ้เหนี่ยมบ่อแซ
    เหลาหมู่เจี้ยงเซี่ยเจินเทียนโจ้ว ย่งซินฉือเนี่ยนโหย่วเสินทง
    เหลาบ้อกั๊งเหี่ยจิงเทียงจิ่ว เอ่งซิมถี่เหนียมอู่ซิ้งทง
    หมั่นเทียนซิงโต่วโตวเซี่ยซื่อ อู่ฟังเลี่ยเซียนเซี่ยเทียนกง
    หมัวทีแซเต้าโตวเหี่ยสี่ โหงวฮึงเหลียกเซียงเหี่ยเทียงเก็ง
    เก้อฟังเฉิงฮวั๋งไหลตุ้ยเฮ่า เป้าซื่อหลิงถงฉาเตอชิง
    กักฮึงเสียฮ้วงไหล่ตุ้ยห่อ ป้อสื่อเหล่งท้งฉักตีเซ็ง
    ซันกวนต้าตี้ฉือเปยจู้ เซ่อจุ่ยซันเฉาจิ้วจ้งเซิง
    ซากัวไต่ตี่ฉื่อปุยจู่ เซี่ยจ๋วยซำเช้ากิ้วจ้งเซ็ง
    จิ้วขู่เทียนจุนไหลจิ้วซื่อ ชินเตี่ยนเหวินปู้เจียตี้เสิน
    กิ้วโค่วเทียวจุงไหล่กิ้วสี่ ชิงเตียมบุ่งโป๋วเกียะตี่ซิ้ง
    ปาต้าจินกังไหลฮู่ฝ่า ซื่อเว่ยผูซ่าจิ้วจ้งเซิง
    โป๊ยไต่กิมกังไหล่หู่หวบ สี่อุ่ยผ่อสักกิ้วจ้งเซ็ง
    จิ๋นหลิ่งซันซึลิ่วเอวี๋ยนเจี้ยง อู่ไป่หลิงกวนจิ่นสุยเกิน
    กิงเหนียซาจับหลักอ่วงเจี่ยง โหง่วแปะเหล่งกัวกิงสุ่ยเก็ง
    ฝูจู้หมีเล่อเฉิงต้าเต้า เป่าอิ้วเซียงเอ๋อเต๋ออันหนิง
    หู่จ่อหนีเล็กเส่งไต่เต๋า ปออิ่วเฮียวยี้ติกอัวเล้ง
    เป่ยฟังเจินอู่เหวยเจี้ยงไซว่ ชิ งเหลี่ยนหงฝ่าเสี่ยนเสินทง
    ปักฮึงจิงบู้อุ่ยเจี้ยงส่วย แชเลี่ยงอั่งหวกเฮียงสิ่งทง
    เฉอฉี่เจ้าฉีเจอยื่อเอวี้ย โถวติ่งเซินหลัวชีเป่าซิง
    แชคีเจ่ากี๊เจียหยิกง้วย เถ่าเต้งเซียมล้อชิกปอแช
    เอวยเจิ้นเป่ยฟังเหวยโซว่โส่ว ซู่ฉิ่งจูเอ้อกว้าเจี่ยปิง
    อุยติ่งปักฮึงอุ่ยซ่วยซิ่ว ซกเชียจูอักคั่วกะเปีย
    ตาจิ้วเอวี๋ยนเหยินเซียงเอ๋อหนวี่ หั่วกวงลั่วตี้ฮว่าเหวยเฉิน
    ตะกิ้วหง่วงยิ้งเฮียวหยี่นึ่ง ฮวยกวงเหลาะตี่ฮ่วยอุ่ยติ๊ง
    ซื่อไห่หลงหวังไหลจู้เต้า เก้อเจี้ยเสียงอวิ๋นชวี่เถิงคง
    สี่ไฮ่เหล่งอ๊วงไหล่จ่อเต๋า กักแก้เสียงฮุ้งคื่อเถ่งคง
    ซึฟังเทียนปิงฮู่ฝอเจี้ย เป่าอิ้วหมีเล่อชวี่เฉิงกง
    จับฮึงเทียงเปียหู่ฮุกแก่ ปออิ่วหนีเล็กคื่อเส่งกง
    หงหยังเหลี่ยวเต้ากุยเจียชวี่ จ่วนเต้าซันหยังหมีเล่อจุน
    อั่งเอี๊ยงเหลียวเต๋ากุยแกขื่อ จวงเก้าซาเอี๊ยงหนีเหล็กจุง
    อู่หวงชื่อลิ่งจี้เซี่ยเซิง โซวฝูหนันเอี๋ยนกุยเจิ้งจง
    บ่อฮ้วงเท็กเหล็งกี้เหี่ยแซ ซิวฮกหน่ำเงี้ยมกุยเจี้ยจง
    ไหลอวั่งเจ้าเซี่ยเจินเอี๋ยนโจ้ว ฉวนเซี่ยตังไหลต้าจั้งจิง
    ไหลอ้วงเจ้าเหี่ยจิงหงั่งจิ่ว ถ่วงเหียตึงไล้ไต่จั่งเก็ง
    อิงเอ๋อซ่าหนวี่ฉังฉือเนี่ยน เสียเสินปู้กั่นไหลจิ้นเซิน
    เอ็งยี้แถะนึ่งเสี่ยวถี่เหนียม เสียซิ้งปุกกาไหล่เก่งซิง
    ฉือเนี่ยนอี๋เปี้ยนเสินทงต้า ฉือเนี่ยนเหลี่ยงเปี้ยนเต๋อเชาเซิง
    ถี่เหนียมเจ็กเผี่ยงซิ้งทงไต๋ ถี่เหนียมเหลียงเผี่ยงติกเทียวเซ็ง
    ฉือเนี่ยนซันเปี้ยนเสินกุยพ่า อวั๋งเหลี่ยงเสียหมอฮว่าเหวยเฉิน
    ถี่เหนียมซาเผี่ยงสิ่งกุ้ยผ่า บ๋วงเลี่ยงเสี่ยม้อฮ่วยอุ่ยติ๊ง
    ซิวฉือเจี๋ยเน่ยสวินลู่จิ้ง เนี่ยนฉี่เจินเอี๋ยนกุยฝอลิ่ง
    ซิวที้เกียไหลฉิ่มโหล่วแก่ เหนี่ยมขีจิงงั้งกุยหุกเหล็ก
    หนันอู่เทียนเอวี๋ยนไท่เป่าอาหมีถัวฝอ
    นำโมเทียงง้วนไท้ป้อออหนี่ถ่อฮุก

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=422 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=85>
    ทุกข์สี่สถาน​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    การเกิด​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    แก่ เจ็บ ตาย​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    จะมีใคร​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    กระโดดพ้น​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    กำแพงนี้​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    ในโลกล้วน​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    คนหลง​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    รอรี​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    ทะเลโลกีย์​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    น้อยคนนัก​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    ประจิกษ์ทาง​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    เร่งบำเพ็ญ​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    ตัวจริง​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    อนุตตรญาณ​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    ค่อยคืบคลาน​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    บำเพ็ญ​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    เป็นคนหมาง​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    เมื่อวิสุทธิ​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    อาจารย์​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    ได้ชี้ทาง​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    ภัยต่างต่าง​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    ได้พ้น​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    ไม่วนไป​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    สวรรค์-นรก​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    เป็นสองทาง​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    ระหว่างกัน​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    แล้วแต่ท่าน​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    จะก้าวลง​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    เรือลำไหน​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    เป็นอรหันต์​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    เป็นผี​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    แล้วแต่ใจ​
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=85>
    จะห่างไกล​
    </TD><TD vAlign=top width=82>
    แม้พลาดพลั้ง​
    </TD><TD vAlign=top width=87>
    เพียงเศษเดียว​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    **************************************​
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หมีเล่อเจินจิง / 彌勒救苦真經/兒童版
    คัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ (หมีเล่อเจินจิง) ฝอซัวหมีเล่อจิ้วขู่จิง หมีเล่อเซี่ยซื่อปู้เฟยชิง หลิ่งเป่าฉีหลู่หลิงซันตี้ เหนี่ยนฮวาอิ้นเจิ้งเข่าซันเฉิง ลั่วไจ้จงเอวี๋ยนซันซิงตี้ ต้าเจิ้งซื่อชวนอวั๋งเถาซิน เทียนเจินโซวเอวี๋ยนกว้าเซิ่งเฮ่า เติ่งไต้สือจื้อเตี่ยนเสินปิง อวิ๋นเหลยเจิ้นไคอู้จี๋ถู่ เทียนเซี่ยเสินกุ่ยปู้อันหนิง ชินไจ้เหยินเทียนจงฮว๋าหมู่ จิ่วเหลียนเซิ่งเจี้ยวกุยซั่งเฉิง เทียนฮวาเหลาหมู่ฉุยอวี้เซี่ยน โซวเอวี๋ยนเสี่ยนฮว่าไจ้กู่ตง

    คำแปล คัมภีร์สัจจะเมตตรัยะ หมีเล่อ
    ฝอซัวหมีเล่อจิ้วขู่จิง :
    พระพุทธองค์ได้โปรดแสดงธรรม ว่าด้วยคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะอันสามารถเปลื้องทุกข์ได้กล่าวคือ
    หมีเล่อเซี่ยซื่อปู้เฟยชิง :
    อันว่าพระเมตเตยยะ โปรดแบ่งพระภาคอุบัติมาในกาลครั้งนี้ เพื่อเจริญปณิธานโปรดสามโลกในชั้นเทพเทวา มนุษย์ และผี เพื่อการแปรเปลี่ยนโลกวุ่นวายให้เป็นเอกภาพ สมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกัน การอุบัติมาของพระองค์ในครั้งนี้จึงมิใช่เรื่องเล็กน้อยธรรมดา
    หลิ่งเป่าฉีหลู่หลิงซันตี้ :
    พระองค์สนองรับพระโองการล้ำค่าหาใดเสมอเหมือน ดุจดั่งรัตนะวิเศษสุดจาก อนุตตรพระแม่องค์ธรรมฯ พระเมตเตยยะแบ่งพระภาคอุบัติมา ณ เมืองฉีหลู่ มณฑลซันตง ดินแดนวิเศษแห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์
    เหนี่ยนฮวาอิ้นเจิ้งเข่าซันเฉิง :
    เป็นเรื่องเดียวกันกับที่ “พระผู้มีพระภาค” เคยประจงจับดอกไม้ชูขึ้นตรงพระพักตร์ แสดงปริศนาธรรมให้ประจักษ์จุดตรัสรู้ ขั้นสูงสุดระดับยานที่สามแด่สงฆ์สาวกหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป ณ เชิงเขาคิชกูฏ
    ลั่วไจ้จงเอวี๋ยนซันซิงตี้ :
    ใจกลาง ต้นกำเนิดแห่งอารยประเทศของโลก คือ ประเทศจีน ใจกลางต้นกำเนิดแห่งกายสังขาร คือ จุดสถิตพุทธจิตธรรมญาณ เป็นดินแดนวิเศษที่อยู่เหนือดินแดนสามดาว หมายถึง หัวใจที่ก่อเกิดอารมณ์โลภ โกรธ หลง
    ต้าเจิ้งซื่อชวนอวั๋งเถาซิน :
    ประจักษ์หลักฐานครั้งยิ่งใหญ่ ปรากฏในมณฑลเสฉวน ณ สวนดอกไม้อวั๋งเถาซิน
    เทียนเจินโซวเอวี๋ยนกว้าเซิ่งเฮ่า :
    พระวิสุทธิอาจารย์แห่งธรรมกาลยุคขาวสุดท้ายทั้งสองพระองค์คือ พระธรรมาจารย์เทียนหยานและพระธรรมจาริณีซู่เจิน (พระธรรมจาริณีจื่อซี่ หรือ อริยมาตาจงฮว๋า) สมัยที่ 18 สุดท้ายยุคหลัง ทั้งสองพระองค์สนองรับพระธรรมโอกงการถ่ายทอดสัจธรรม จากฟ้าสู่สาธุชน เก็บงานสมบูรณ์ผล คือ เก็บจิตญาณกลมใสบริสุทธิ์ของผู้บำเพ็ญดี จารึกในทะเบียนอริยะ
    เติ่งไต้สือจื้อเตี่ยนเสินปิง :
    เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ก็จะเป็นวาระคัดเลือกรวมพลญาณวิเศษและเทพเทวา
    อวิ๋นเหลยเจิ้นไคอู้จี๋ถู่ :
    พระธรรมจาริณีซึ่งมีพระธรรมธาตุเช่นเมฆ เช่น น้ำ หรือเช่นดวงจันทร์ พระธรรมาจารย์ซึ่งมีพระธรรมธาตุเช่น อัสนี เช่นไฟ หรือเช่นดวงอาทิตย์ จะแสดงพระบุญญาธิการเปิดวาระธรรมกาลยุคขาวในใจกลางแผ่นดินจีน ด้วยการถ่ายทอดเปิดจุดสถิตจิตญาณ ณ ใจกลางร่างกายคน เป็นมหาวาระแห่งมหาธรรมปฏิบัติ อันเสะเทือนฟ้าสะเทือนดินซึ่งมิะเคยปรกโปรดแต่ก่อนใดมา
    เทียนเซี่ยเสินกุ่ยปู้อันหนิง :
    ใต้หล้าฟ้านี้ เทพเทวาผีสางต่างตื่นตระหนกกระวนกระวายไม่สงบสุข เพราะถึงยุคสุดท้าย มหันตภัยจะกวาดล้างทั้งสามโลกแต่เบื้องบนปรกโปรดประทานหนทางรอดแก่ชีวิตจิตญาณที่จะเก็บไว้เป็นกุศลพันธุ์ ต่อไปในกาลข้างหน้าได้ ทุกชีวิตจิตญาณจึงต่างวุ่นวายใฝ่หาพระวิสุทธิอาจารย์ผู้นำทาง
    ชินไจ้เหยินเทียนจงฮว๋าหมู่ :
    ทุกชีวิตจิตญาณจึงต่างปรารถนาจะสนิทชิดใกล้ฟ้าอันการุณกลับคืนไปยังอนุตตรธรรมมารดาจึงต่างใคร่รู้ธรรมญาณอันเจิดจรัสในศูนย์กลางกายแห่งตน อีกนัยหนึ่งคือ ต่างปรารถนาชิดใกล้พระอริยมาตาจงฮว๋า พระผู้ทรงรับพระภาระเก็บจิตวิญญาณอันเจิดจรัสของผู้บำเพ็ญดีทุกคน เรียกว่าเก็บงานสมบูรณ์ผล ช่วงสุดท้ายในการปรกโปรดครั้งนี้
    จิ่วเหลียนเซิ่งเจี้ยวกุยซั่งเฉิง :
    ทุกชีวิตจิตญาณต่างปรารถนาจะปฏิบัติบำเพ็ญในศาสนาอันอาจบรรลุมรรคผลแห่งอริยะ กลับไปยังยานระดับสูงประทับบนบัลลังก์บัวเก้าระดับได้
    เทียนฮวาเหลาหมู่ฉุยอวี้เซี่ยน :
    ทุกชีวิตจิตญาณและสาธุชนจะมีโอกาสสนิทชิดใกล้อุบลสวรรค์บัลลังก์บัวด้วย “พระอนุตตรธรรมเจ้า พระแม่องค์ธรรม” โปรดหย่อนสายบุญบริสุทธิ์สูงส่งเป็น มงคลดั่งหยกดั่งทองลงมานำพาพุทธบุตรดั้งเดิมอันเป็น กุศลพันธุ์
    โซวเอวี๋ยนเสี่ยนฮว่าไจ้กู่ตง :
    เพื่อการเก็บงานสมบูรณ์ผล นำพาชีวิตจิตญาณพุทธบุตร สาธุชนกลับคืนเบื้องบน พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป การนี้จะปรากฏพุทธานุภาพให้ประจักษ์จริงในโลกมนุษย์ ณ ดินแดนประเทศเก่าก่อนโบราณ (ประเทศจีน) เพื่อการเก็บงานสมบูรณ์ผล ชีวิตจิตญาณที่ตกต่ำเสียหาย จะได้รับการฟื้นฟูชูชุบ ณ จุดญาณทวารผู้ที่ผ่านการจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์แล้ว จะผันเปลี่ยนจิตใจและบำเพ็ญให้บรรลุได้ในที่สุด
    หนันเป่ยเหลี่ยงจี๋เหลียนจงซวี่ :
    ธรรมปฏิบัติที่แตกต่างห่างไกลกัน ดังฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือสองขั้ว เช่น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง (เว่ยหล่าง) ที่บำเพ็ญแนวทาง “นิรรูป” ฉับพลัน แต่ศิษย์ผู้พี่คือ พระอาจารย์ “เสินซิ่ว” บำเพ็ญแนวทาง “รู้รูป” ค่อยปลงรูป หรือการปฏิบัติบำเพ็ญในแนวทางอื่น ๆ แต่ละศาสนาลัทธินิกาย ในธรรมกาลยุคขาวสุดท้ายนี้ ทุกแนวทางปฏิบัติบำเพ็ญ จะประสานกันคืนกลับต้นสายตระกูลเดิม
    ฮุ่นเอวี๋ยนกู่เช่อไจ้จงอยัง :
    ตั้งแต่บรรพกาลมา รูปแบบของมนุษย์ที่องค์ธรรมมารดาซึ่งเป็นพระผู้สร้างได้กำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนเก่านั้นคือ จุดสถิตพุทธจิตธรรมญาณของกายสังขาร อยู่ที่ศูนย์กลางกาย (ศีรษะ)
    เหลาหมู่เจี้ยงเซี่ยทงเทียนเชี่ยว :
    ศูนย์กลางกายที่ศีรษะจุดนี้ องค์ธรรมมารดาพระผู้สร้างได้โปรดประทานให้เป็นประตูทางผ่านให้ชีวิตจิตญาณกลับคืนไปยังฟ้า กลับสู่สุญญตา หรือ วิมุติภาวะแต่เดิมทีของตน
    อู๋อิ่งซันเฉียนตุ้ยเหอถง :
    หลังจากพระวิสุทธิอาจารย์เบิกจุดญาณทวารตรงศูนย์กลางกาย อันเป็นประตูทางผ่านไปยังฟ้าซึ่งอยู่ใกล้กับเบื้องหน้าภูเขาไร้รูปเงานั้นแล้ว การกลับคืนเบื้องบนไปของผู้ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรมแล้วยังจะต้องแสดง “ลัญจกร” ตราประทับของพระพุทธะ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์สูงส่งของจิตใจที่ไม่ผิดเพี้ยนเอนเอียง ไม่แบ่งเขา แบ่งเรา ซึ่งเป็นสภาวะธรรมอันสมานฉันท์ในจิตของตนอีกด้วย
    อิงเอ๋อเหย้าเสี่ยงกุยเจียชวี่ :
    พุทธบุตรผู้มีจิตบริสุทธิ์โปร่งใส ดั่งทารกน้อยหากคิดที่จะกลับคืนสู่บ้านเดิม (บรรลุธรรม)
    ฉือเนี่ยนตังไหลหมีเล่อจิง :
    พึงประคองท่องจำคัมภีร์เมตเตยยะ อันได้มาแต่เดิมทีไว้ให้ดี คัมภีร์เมตเตยยะอันได้มาแต่เดิมทีจึงแฝงปริศนาไว้ หมายถึง ดวงธรรมญาณอันบริสุทธิ์ โปร่งใส อันเป็นสุญญตาภาวะ แผ่ไพศาลจนประมาณขอบเขตมิได้ อีกทั้งเมื่อรวมศูนย์ไว้จะ “สงบหาย” จนเหมือนไม่มีสิ่งเล็กละเอียดใด ๆ แทรกอยู่ภายในได้เลย “ประคองท่องจำ” คือรำลึกกำหนดรู้สภาวะธรรมความเป็นอยู่ของธรรมญาณตน นั่นคือ บำเพ็ญจิตทุกขณะเวลาให้ตรงต่อความหมายของคำว่า พระคัมภีร์เมตเตยยะ อันได้มาแต่เดิมที
    ย่งซินฉือเนี่ยนฝอไหลจิ้ว :
    หากประคองท่องจำกำหนดรู้ในความเป็นอยู่ของธรรมญาณอันบริสุทธิ์โปร่งใสด้วยจิตใจละเอียดประณีตลึกซึ้งสุขุมดีแล้ว เมื่อนั้นพระพุทธะจะมาโปรด เมื่อพุทธภาวะแห่งตน “มุ่งหมาย” “ใกล้เคียง” “ตรงต่อ” หรือ “เข้าสู่” กระแสธรรมของพระพุทธะพระโพธิสัตว์พระองค์ใดในหมื่นโลกธาตุได้ พุทธภาวะแห่งตนก็ยังอาจบังเกิดพุทธานุภาพเป็นที่พึ่งแห่งตนได้
    ตั๋วตั่วจินเหลียนชวี่เชาเซิง :
    ที่สุดบัวทองทุก ๆ ดอก คือผู้บำเพ็ญจริงทุกคนในธรรมกาลยุคขาว จะสามารถล่วงพ้นจากวัฏสงสาร
    ซึเต๋อซีไหลไป๋หยังจื่อ :
    เพราะเราได้เข้าใจ ได้รู้จักดวงธรรมญาณในตนแต่เดิมทีที่มาจากฟากฟ้าตะวันตกอันเป็นดินแดน พุทธเกษตร อีกทั้งยังได้เข้าใจได้รู้ว่าเราก็คือพุทธบุตร แห่งพระอนุตตรธรรมมารดา เราก็คือผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาวสุดท้ายนี้
    เซี่ยงเอ๋อเตี๋ยนเถี่ยฮว่าเฉิงจิน :
    พุทธบุตรที่มาจากฟากฟ้า มาจากพุทธเกษตรอันเป็น บ้านต้นกำเนิดก่อนเกิดกายเมื่อได้รับวิถีธรรมก็จะสะดุดใจได้ฉุกคิด บังเกิดจิตสำนึก เมื่อพระวิสุทธิอาจารย์ได้โปรดจรดนิ้วลงบนจุดสถิตจิตญาณ ซึ่งแม้จิตดวงนั้นในบัดนี้จะพอกพูนด้วยโลกีย์วิสัยมาหลายชาติจนแข็งกระด้างดั่งเหล็กหนาก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นทอง เป็นดวงจิตขาวบริสุทธิ์ดังเดิมได้
    เหม่ยยื่อจื้อซินฉังฉือเนี่ยน :
    ต่อจากนั้น ประกอบกับตนเองมุ่งใจหมายมั่นประคองท่องจำกำหนดรู้สัจธรรมในพระคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ ประคองท่องจำกำหนดรู้สัจธรรมในพุทธภาวะของดวงจิตชีวิตธรรมญาณตน
    ซันไจปานั่นปู้ไหลซิน :
    เมื่อกำหนดรู้อยู่เสมอ ภัยจากโลภ โกรธ หลง ในตนและภยันตรายจากน้ำ ไฟ ลมภายนอกจะไม่อาจให้ร้าย ความทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จาก พราก อยากใคร่ ผิดหวัง คั่งแค้นและขันธ์ห้าจะไม่อาจให้ทุกข์อีกทั้งวินาศภัยจากน้ำท่วม ไฟไหม้ หอกดาบ มีดพร้า ศาสตราภัย สงครามย่ำยี แห้งแล้งอดอยาก จมน้ำตาย ไร่นาเสียหาย พืชผลล้มเหลว.....ความวิบัติเหล่านี้ก็จะไม่ก่อทุกข์ให้
    เหย้าเสี่ยงเฉิงฝอฉินหลี่ไป้ :
    หากคิดจะบรรลุพุทธะ จงหมั่นน้อมกราบพุทธะผู้ไปดีแล้วจากการบำเพ็ญเพียรของพระองค์เอง และจริญรอยตามแบบอย่างของพระองค์ให้จงได้ หากคิดจะบรรลุพุทธะจงหมั่นน้อมกราบพุทธะภาวะแห่งตน ซึ่งตนจะรู้ดีกว่าใครอื่นว่าตนนั้นสูงส่งดีงามสมควรได้รับการกราบไหว้จากตนเองและผู้อื่นเพียงไร
    ฉังฉือชงหมิงจื้อฮุ่ยซิน :
    หากหมั่นประคองรักษาพุทธภาวะอันบริสุทธิ์ โปร่ง ใส ในตนไว้เสมอ หูตาจะสว่างแจ่มชัดกว้างไกลปัญญาญาณอันล้ำเลิศจะเกิดแก่จิต หมั่นประคองท่องจำคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะไว้เสมอ พุทธานุภาพในพระคัมภีร์จะช่วยให้หูตาสว่างแจ่มชัด กว้างไกล ปัญญาญาณอันล้ำเลิศจะเกิดตามมา
    ซิวทิงเสียเหยินหูซัวฮว่า :
    จงหยุด อย่าได้เชื่อฟังคำยุแหย่ ยกยอ หยามหยาบ หรือคำชักนำ อันเป็นมิจฉาวาจาจากมิจฉาบุคคล “ภายนอก” ทั่วไป จงหยุด อย่าได้ฟังคำยุแหย่ ยกยอ หยามหยาบ หรือคำชักนำจากมิจฉาบุคคล “ภายใน” คือกายของตนเอง ที่พูดจาเหลวไหลไม่ตรงต่อหลักสัจธรรมความเป็นจริง
    เหลาซวนอี้หม่าเนี่ยนอู๋เซิง :
    จงล้อมคอกความคิดจิตกระเจิงไว้ เหมือนคล้องคอม้าพยศให้สงบหยุดนิ่งลงได้ จงมุ่งหมายท่องจำกำหนดรู้อยู่ที่องค์ธรรมมารดา พุทธบุตรจากองค์ธรรมมารดาคือธรรมญาณตน จงคล้องใจพุทธบุตรไว้ มิให้ความคิดเกิดดับ เกิดดับ....สับสนเรื่อยไป
    เหลาหมู่เจี้ยงเซี่ยเจินเทียนโจ้ว :
    องค์ธรรมมารดาปรกโปรดประทานสัจจคาถาจากฟ้า นั่นคือ “ดวงธรรมญาณ” ไว้ในรูปกายสังขาร ดวงธรรมญาณหรือสัจจคาถาจากฟ้าจึงมีความศักดิ์สิทธิ์พร้อมแล้วอยู่ในตัว
    ย่งซินฉือเนี่ยนโหย่วเสินทง :
    พึงตั้งใจประคองท่องจำสำนึกรู้ในสัจจคาถาจากฟ้า คือดวงธรรมญาณของตนไว้เรื่อยไป จนกว่าจะเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ เกิดปัญญาระลึกรอบรู้ได้
    หมั่นเทียนซิงโต่วโตวเซี่ยซื่อ :
    บัดนี้เทพสถิตประจำดวงดาวทุกหมู่เหล่าต่างมุ่งลงมาสู่โลก บ้างเกิดกาย บ้างแฝงกายเพื่อเสริมส่งธรรมปฏิบัติในยุคสุดท้ายนี้
    อู่ฟังเลี่ยเซียนเซี่ยเทียนกง :
    เซียนทุกระดับจากทิศตะวันออก ตะวันตกทิศเหนือ ทิศใต้และศูนย์กลาง ต่างลงมาจากปราสาททิพยวิมานในชั้นฟ้า
    เก้อฟังเฉิงหวงไหลตุ้ยเฮ่า :
    พระกาฬประจำเมืองแต่ละด้านต่างรีบเร่งทำการตรวจสอบเลขที่บัญชีรายชื่อของผู้อยู่อาศัยในเมือง ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของท่านว่า ใครได้รับการถอนชื่อเพื่อ ถวายขึ้นไปในบัญชีอริยะ (รับธรรมะ) พ้นจากหน้าที่ปกครองของท่านแล้วบ้าง
    เป้าซื่อหลิงถงฉาเตอชิง :
    การนี้ยังมีทิพย์กุมารสื่อสารอีกมากมายร่ามทำนหน้าที่ตรวจสอบบัญชีรายชื่อให้ตรงกับบุคคลนั้น ๆ อย่างแน่ชัดเพื่อถวายรายงานต่อ....
    ซันกวนต้าตี้ฉือเปยจู้ :
    ....มหาราชเจ้าทั้งสามพระองค์ที่ทรงโปรดทำหน้าที่จารึกรายชื่อที่ถวายขึ้นไปในบัญชีอริยะเบื้องบน
    เซ่อจุ้ยซันเฉาจิ้วจ้งเซิง :
    เป็นบุญวาระสุดท้ายที่เบื้องบนทรงโปรดฉุดช่วยมวลชีวิตจิตญาณ เทพเทวา มนุษย์ ผี ที่ได้รับการฉุดช่วยทั้งสามโลกในครั้งนี้จะได้รับการอภัยโทษผ่อนผันเป็นการเฉพาะจากองค์ธรรมมารดา
    จิ้วขู่เทียนจุนไหลจิ้วซื่อ :
    เมื่อพระเมตเตยยะ จะเจริญมหาปณิธานมาปรกโปรด เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ให้ชาวโลกในครั้งนี้
    ชินเตี่ยนเหวินปู้เจียตี้เสิน :
    พระองค์ทรงคัดเลือกกำหนดหมายด้วยพระองค์เอง ให้พระอริยะพระโพธิสัตว์ฝ่ายบุญฤทธิ์ซึ่งเข้าถึงจิตของสาธุชนดั่งดวงตะวันจันทราสว่างฟ้าทั่วหล้า ทั่วสกล คือพระพุทธจี้กงและพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ให้ทรงทำหน้าที่วิสุทธิอาจารย์ เบิกจุดสถิตจิตพุทธะให้แก่ผู้ขอรับวิถีธรรม
    ปาต้าจินกังไหลฮู่ฝ่า :
    พระองค์ทรงคัดเลือกกำหนดหมายวัชรเทพผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกแปดฝ่าย อีกทั้งท้าวจตุมหาโลกบาลทั้งสี่ อันประกอบด้วย พระวัชรอัสนี พระวัชรวายุ พระวัชรพยัคฆา และพระวัชรนาคา พร้อมกันมาพิทักษ์ธรรม
    ซื่อเว่ยผูซ่าจิ้วจ้งเซิง :
    อีกทั้งยังมีมหาโพธิสัตว์ทั้งสี่คือ พระโพธิสัตว์กวนอิม พระโพธิสัตว์จันทรปัญญา พระโพธิสัตว์มัญชุศรี พระโพธิสัตว์สมันตภัทร ทรงค้ำชูงานถ่ายทอดเบิกธรรม ทรงฉุดช่วยคุ้มครองรักษาเหล่าเวไนยฯ
    จิ๋นหลิ่งซันซึลิ่วเอวี๋ยนเจี้ยง :
    เมื่ออาราธนาหรือสวดท่องพระคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ พระองค์จะนำพาจอมทัพฟ้า และเทวาอารักษ์น้อยใหญ่ อีกสามสิบหกพระองค์ลงมายังโลกมนุษย์อย่างเร่งรีบประชิดตัว
    อู๋ไป่หลิงกวนจิ่นสุยเกิน :
    อีกทั้งนำพาทิพยมนตรีอีกห้าร้อยพระองค์ตามติดประชิดมา เพื่อทรงร่วมคุ้มครองรักษาสาธุชนและสอดส่องความเป็นไปในสามโลก
    ฝูจู้หมีเล่อเฉิงต้าเต้า :
    ทุกพระองค์ทรงร่วมทำหน้าที่ประคองรองรับการอุบัติมาของพระเมตเตยยะเพื่อบรรลุมหาอริยมรรคเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป อีกนัยหนึ่งคือ ประคองรองรับเมตเตยยะองค์น้อย ๆ คือ พุทธบุตรผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาวนี้ให้ได้บรรลุธรรมในภายภาคหน้า
    เป่าอิ้วเซียงเอ๋อเต๋ออันหนิง :
    คุ้มครองพุทธบุตรจากบ้านเดิมคือ ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญทั้งหลาย ให้ได้รับความสงบสุข เพื่อจะได้ตั้งหน้าตั้งตาเจริญธรรมกันให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    เป่ยฟังเจินอู่เหวยเจี้ยงไซว่ :
    งานคุ้มครองป้องภัยนี้มี “เป่ยฟังเจินอู่” เทพเจ้าผู้ทรงฤทธิ์แห่งทิศอุดร เป็นนายทัพนำกอง
    ชิงเหลี่ยนหงฝ่าเสี่ยนเสินทง :
    “เป่ยฟังเจินอู่” ผู้ทรงฤทธิ์ พระองค์มีพระพักตร์สีเขียว พระเกศาสีแดง มีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ ผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคสุดท้ายนี้ก็เช่นกันท่านอุปมาให้เป็นเช่นทหารกล้า สำแดงฤทธานุภาพฝ่าฟันอุปสรรค ในการฉุดช่วยผู้คน ใช้ปัญญาฟาดฟันกิเลสมารในจิตตนให้แพ้พ่ายมลายสูญดุจเดียวกับพระองค์ “เป่ยฟังเจินอู่” ผู้ทรงฤทธิ์
    เฉอฉี่เจ้าฉีเจอยื่อเอวี้ย :
    ความห้าวหาญของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่ถึงขนาดคว้าเอาธงดำมาบดบังตะวันเดือนได้
    โถวติ่งเซินหลัวชีเป่าซิง :
    บุญญาธิการในพระองค์ส่องแสงสว่างกระจ่างฟ้า ดั่งมีดวงดาวรัตนะทั้งเจ็ดประดับไว้รายรอบพระเศียรเป็นอุปมาให้ผู้บำเพ็ญเสริมสร้างบารมีเปล่งรัศมีธรรมกำจัดภัยมืดเพื่อตนและเพื่อทุกชีวิต
    เวยเจิ้นเป่ยฟังเหวยโซว่โส่ว :
    อิทธิฤทธิ์ความน่าเกรงขามของพระองค์สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทิศอุดร พระองค์เป็นใหญ่ เป็นผู้นำทางทิศอุดร
    ซู่ฉิ่งจูเอ้อกว้าเจี่ยปิง :
    พระองค์เร่งรัดขอให้หมู่มารร้ายแขวนเกราะพลรบ หยุดการก่อกวนราวีผู้ปฏิบัติบำเพ็ญดีในวิถีอนุตตรธรรม ซึ่งอาจบรรลุมรรคผลได้ในภายหน้า หยุดก่อกวนราวี ผู้ที่ตั้งใจสวดท่องคัมภีร์สัจจาคาถาเมตเตยยะนี้
    ตาจิ้วเอวี๋ยนเหยินเซียงเอ๋อหนวี่ :
    พระองค์ยังทรงเป็นสื่อทอดสะพานบุญ ฉุดช่วยคนเดิมที่มาจากเบื้องบน คือสาธุชนหญิงชายผู้ที่ได้รับวิถีธรรมที่ปฏิบัติบำเพ็ญจริง
    หั่วกวงลั่วตี้ฮว่าเหวยเฉิน :
    แม้แสงไฟเพลิงจะตกลงมาสู่พื้นแผ่นดินก็มิให้เป็นอันตรายแก่สาธุชน คนดีผู้ที่ได้รับวิถีธรรม แต่ให้กลับกลายแปรเป็นเถ้าธุลีดิน
    ซื่อไห่หลงอวั๋งไหลจู้เต้า :
    พญานาคาทั้งสี่คาบสมุทรใหญ่ก็ให้มาร่วมช่วยเสริมสร้างงานถ่ายทอดวิถีธรรมให้มาร่วมช่วยคุ้มครองป้องกันภัยแก่ผู้ได้รับวิถีธรรมและสาธุชนคนดี
    เก้อเจี้ยเสียงอวิ๋นชวี่เถิงคง :
    เพื่อให้ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเจริญธรรมเรื่อยไปได้อย่างราบรื่น ดุจได้ประทับนั่งอยู่เหนือเมฆมงคล เพื่อทะยานตนให้พ้นโลกีย์ สูงส่งขึ้นไปบนสุญญตานภากาศ
    สือฟังเทียนปิงฮู่ฝอเจี้ย :
    เทวาอารักษ์ทั้งสิบทิศก็ให้มาร่วมคุ้มครองพุทธบาทพระเมตเตยยะ ให้บรรลุมหาปณิธานในอันที่จะตระเตียมกุศลพันธุ์ไว้ในพุทธกาลหน้าต่อไป
    เป่าอิ้วหมีเล่อชวี่เฉิงกง :
    ปกป้องรักษาพระเมตเตยยะเพื่อให้ได้บรรลุผลในมหาปณิธานที่จะแปรเปลี่ยนโลกวุ่นวายให้กลายเป็น วิสุทธิแดนดินอันใสสด งดงามดังดอกบัวบานอีกทั้งปกป้องรักษาเมตเตยยะองค์น้อย ๆ คือผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาวนี้ให้ได้สำเร็จมรรคผล
    หงหยังเหลี่ยวเต้ากุยเจียชวี่ :
    เมื่อยุคกาลของธรรมกาลยุคแดงล่วงเลยไปผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคแดงต่างก็บรรลุธรรมกลับคืนบ้านเดิมเบื้องบนไปแล้ว
    จ่วนเต้าซันหยังหมีเล่อจุน :
    บัดนี้ย่างเข้าสู่ธรรมกาลยุคที่สาม พระศรีอารยเมตไตรยจะปกครองธรรมกาลต่อไปหนึ่งหมื่นแปดร้อยปี
    อู๋ฮวั๋งชื่อลิ่งจี้เซี่ยเซิง :
    ธรรมกาลยุคสุดท้ายนี้ พระอนุตตรธรรมเจ้า พระแม่องค์ธรรมจึงโปรดบัญชาประกาศิตให้พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ เทพพรหม องค์อินทร์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกันสนองธรรมโองการรับหน้าที่ฉุดช่วยเหล่าพุทธบุตรที่จุติฝากเกิดกายไว้ในโลกต่ำ
    โซวฝูหนันเอี๋ยนกุยเจิ้งจง :
    ให้ทุกพระองค์ร่วมกันทำหน้าที่ตามหาพุทธบุตรที่หลงเวียนว่ายอยู่ในโลกมนุษย์ เก็บรวบรวมมาไว้กำราบด้วยพุทธานุภาพ ให้คืนกลับสู่ต้นตระกูล คือ กลับสู่อนุตตรพระแม่องค์ธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันทุกชาติภาษา ทุกศาสนา ทุกคน
    ไหลอวั่งเจ้าเซี่ยเจินเอี๋ยนโจ้ว :
    การจุติเกิดกายในโลกคือ “มา” ถึงกาลเก็บงานสมบูรณ์ผลบัดนี้คือ “กลับ” พุทธบุตรจะต้องกลับคืนบ้านเดิมเบื้องบนในครั้งนี้ด้วยดวงธรรมญาณอันบริสุทธิ์ โปร่งใส พระอนุตตร พระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทานสัจจคาถาทั้งเที่ยวมา (เกิดกาย) และเที่ยวกลับ (หลุดพ้น)
    ฉวนเซี่ยตังไหลต้าจั้งจิง :
    พระอนุตตรพระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทานพุทธจิตธรรมญาณอันได้มีมาจากเบื้องบนแต่เดิมที พุทธจิตธรรมญาณอันได้มีมาจากเบื้องบนแต่เดิมทีนั้น เปรียบได้ดั่งมหาธรรมปิฏกที่สมบูรณ์พร้อมด้วยแก่นแท้แห่ง ธรรมสาระ
    อิงเอ๋อช่าหนวี่ฉังฉือเนี่ยน :
    หากแม้นประคองท่องจำ “คัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ” อยู่เสมอ หากแม้นประคองท่องจำรำลึกในความเป็นพุทธจิตธรรมญาณอันบริสุทธิ์ โปร่ง ใส ดั่งทารกน้อย กำหนดจิตไม่สอดส่ายไปจากฐานเดิม ดั่งกุลสตรีที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน สำรวมระวังตนอยู่เสมอ
    เสียเสินปู้กั่นไหลจิ้นเซิน :
    เทพอัปมงคล สิ่งเลวร้ายภายนอก และมิจฉาทิฐิในตน จะไม่กล้าสำแดงความชั่วร้าย ไม่กล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ตัว
    ฉือเนี่ยนอี๋เปี้ยนเสินทงต้า :
    ประคองท่องจำรำลึกคัมถีร์สัจจคาถาเมตเตยยะหนี่งรอบ ประคองท่องจำรำลึกในความเป็นพุทธจิตธรรมญาณอันบริสุทธิ์ โปร่ง ใส ไว้ได้รอบหนึ่ง ปัญญาญาณในตนจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่
    ฉือเนี่ยนเหลี่ยงเปี้ยนเต๋อเชาเซิง :
    ประคองท่องจำรำลึกคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะด้วยจิตบริสุทธิ์ โปร่ง ใส สองรอบ จิตจะสงบนิ่งไม่สอดส่ายวุ่นวาย จิตจะไม่เกิดตายไปตามความคิดดำริ หรืออารมณ์ เท่ากับจิตล่วงพ้นการเวียนเกิดเวียนตาย
    ฉือเนี่ยนซันเปี้ยนเสินกุ่ยพ่า :
    ประคองท่องจำรำลึกสามรอบ พุทธานุภาพของ คัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ จะปรกแผ่คุ้มครองรักษาจนเทพเทวาผีสางต่างเกรงกลัว ประคองท่องจำรำลึกสามรอบด้วยจิตมั่นคงเที่ยงตรงมีพลัง เทพเทวาผีสางต่างเกรงกลัวในผู้นั้น
    อวั่งเหลี่ยงเสียหมอฮว่าเหวยเฉิน :
    เมื่อพุทธจิตธรรมญาณในตนสำแดงคุณศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ ขณะสวดท่องคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะพุทธานุภาพจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ อีกทั้งพุทธานุภาพในตนจะปกป้องภัยจากผีป่าผีน้ำทุกแห่งหน มารอัปมงคลทั้งหลายเข้าใกล้มาเมื่อไรพุทธานุภาพก็จะดลบันดาลให้กลับกลายแปรไปเป็นผงธุลีดิน
    ซิวฉือเจี๋ยเน่ยสวินลู่จิ้ง :
    ท่ามกลางภัยพิบัติทุกข์เข็ญ จงบำเพ็ญจิตมั่นคงไว้มิให้ไหวหวั่น ขณะเดียวกันคือกำหนดหา แนวทางที่จิตญาณจะผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวง
    เนี่ยนฉี่เจินเอี๋ยนกุยฝอลิ่ง :
    เมื่อกำหนดแนวทางของจิตได้แล้วท่องสัจจคาถากำหนดจิตเดิมแท้ไว้ที่จุดญาณทวาร โน้มนำจิตเดิมแท้ให้เข้าถึงพุทธคุณแห่งพระนาม พระพุทธะที่สวดท่องนั้น
    หนันอู๋เทียนเอวี๋ยนไท่เป่าอาหมีถัวฝอ :
    สวดท่องพระคัมภีร์สัจจคาถาพระเมตเตยยะจบลงแล้ว ให้ตั้งจิตระลึกถึงพระนามของพระพุทธองค์ซึ่งจะอุบัติมากอบกู้กุศลพันธุ์ในกาลต่อไปคือ “พระเมตเตยยะ พระศรีอารยเมตไตรยเทียนเอวี๋ยนไท่เป่าอาหมีถัวฝอ” พระองค์ทรงเป็นอมิตาพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ซึ่งพิทักษ์ธรรมจักรวาลเบื้องต้นตั้งแต่ปฐมกาลแห่งฟ้าเบื้องบน

    (10 กราบ)

    หมายเหตุ คนที่จะสวดคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ จะต้องถือศีลกินเจตลอดชีวิตจึงจะมีพุทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่ หรือถ้าใครที่ยังไม่กินเจ หรือกินบ้างเป็นบางครั้ง ก่อนที่จะสวดก็ขอให้ท่านกินเจก่อน อย่างเช่นถ้าวันนี้จะสวดคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะก็ขอให้กินเจในวันนี้แล้วจึงจะสวด







    http://board.agalico.com/showthread.php?p=189498#post189498
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พุทธานุสติที่ยิ่งใหญ่ แล้วแต่ใจจะชอบคำสอนแบบไหน
    ชอบแล้วก็ปฏิบัติให้เห็นจริงรู้แจ้งในตนเอง จึงเรียกว่าดี
    เป็นลูกศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ที่เหนื่อยยากสั่งสอนมา
    สมควรเป็นแบบอย่างให้คนอื่นๆได้

    <TABLE id=AutoNumber2 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">
    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ตอนที่ ๙
    การเจริญสมาธิในพุทธานุสสติกรรมฐาน


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้ก็เป็นตอนที่ ๙ ในเรื่อง ความเป็นมาของการหนีนรก เพราะการปฏิบัติเพื่อการหนีนรกนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ความจริงเป็นการปฏิบัติไม่ยากเลย เพียงแค่มีกำลังใจ คุมใจไว้ไม่ให้ไหลไปสู่อารมณ์ของความผิดคือที่มีอารมณ์คิดว่าร่างกายนี้จะไม่ตาย ส่วนใหญ่ของบุคคลเรามักจะคิดว่าร่างกายไม่ตายและตามปกติจริง ๆ ไม่คิดเลยเสียด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการเกิดมาแล้วความจริงมันต้องตาย แต่ว่าคนคิดถึงความตายจริง ๆ หายาก มีหน้าที่อย่างเดียวจะประกอบอาชีพ จะทรงอาชีพให้ดีเป็นยังไง รวยขนาดไหน หรือว่าทำยังไงเราจึงจะสวยทำยังไงจะเป็นคนดี ที่จะคิดว่าการตายคราวนี้เราจะไม่ยอมไปอบายภูมินี่หายาก แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลก เพราะการเกิดมานี่เราได้รับผลกฎของกรรม ๒ ประการบังคับ คือ กุศลกรรม อย่างหนึ่ง และอกุศลกรรมอย่างหนึ่ง ขณะใดที่อกุศลกรรมบังคับ ขณะนั้นเราจะไม่คิดถึงตามความเป็นจริง ไม่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาขณะใดที่กุศลชาติก่อนให้ผลดลใจ เวลานั้นจะมีความเห็นถูกอยู่เสมอ ตอนนี้จึงมาเตือนกันไว้ ว่าเมื่อเราตายแล้ว การตายมีสภาพไม่สูญ ทางที่จะไปก็คือ
    ๑. อบายภูมิ แดนของความทุกข์
    ๒. สุคติ มีสวรรค์ พรหมโลก และนิพพาน แล้วก็
    ๓. ยับยั้งไว้ที่มนุษย์โลก แต่ถึงกระไรก็ดีบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ถ้าเราไม่สร้างความดีไว้ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความยากไร้อย่างยิ่ง ข้อนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง จะทราบตอนที่พูดถึงศีลธรรม วันนี้เราก็มาเตือนกันไว้ก่อน ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินวร จงพากันคิดถึงตามความเป็นจริงว่า เราเกิดมาแล้วเราต้องตาย การตายถ้าจิตใจของเราไม่ผ่องใส ประกอบไปด้วยอารมณ์ที่เป็นอกุศล เราก็ไปอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น ถ้าจิตใจของเราประกอบไปด้วยกุศลก็ไปสุคติ มีสวรรค์เป็นต้น ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดว่า เราจะต้องตายก็ตัดสินใจไว้ก่อนว่าการตายคราวนี้ ไม่ยอมไปอบายภูมิ จะขอยืด พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่งต่อไป และจะนำศีลห้าประการ เป็นกำแพงกั้นอบายภูมิไว้ โดยจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ผุดผ่องตลอดกาลตลอดสมัย อันนี้เราเตือนกันไว้นะบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าคนเตือนซิ จะนึกถึงเรื่องนี้วันละกี่ครั้งก็ไม่ทราบ

    ต่อนี้ไปเราก็มาพูดถึง พุทธานุสสติกรรมฐาน แต่ความจริงพุทธานุสสติกรรมฐาน นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท เราจะพูดกันไปยังไงก็ไม่จบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากมายนัก ก็เป็นอันว่าการเจริญสมาธิในพุทธานุสสติกรรมฐาน ก็เป็นการทรงไว้ซึ่ง สติและสัมปชัญญะ คือ สติ ได้แก่การนึกไว้ สัมปชัญญะ การรู้ตัว นึกไว้ว่าเวลานี้เรามีอารมณ์ดีหรืออารมณ์ชั่ว รู้ตัวว่าเรามีความคิดดีหรือคิดชั่ว หลงผิดหรือหลงถูก ถ้าขณะใดเราลืมความดีของพระพุทธเจ้า ลืมนึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เป็นอารมณ์ โดยการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า ถ้าลืมไป นี่แสดงว่าเราพลาดท่าแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตายแล้วอาจจะไปอบายภูมิก็ได้ แต่ว่าขณะใดที่เรานึกไว้ถึงพระพุทธเจ้า ภาวนาถึงท่านก็ดี นึกถึงความดีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี นึกยอมรับนับถือเคารพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ดี อย่างนี้เป็นพุทธานุสสติถือว่ามีอารมณ์แจ่มใส ถ้าตายเมื่อไรมีความสุขเมื่อนั้น และนอกจากนั้น การภาวนาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ภาวนาก็ดี พิจารณาก็ดี หรือว่าในการนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ มีอานาปานุสสติกรรมฐาน คือลมหายใจเข้าออกควบคู่กันไป แต่อย่าลืมว่า การภาวนาจริง ๆ หรือว่าการพิจารณาจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายและหญิง จะคิดว่าทำตลอดวันตลอดกาลตลอดสมัยน่ะไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่าถ้ามีกิจการใด ๆ เราก็ทำสิ่งนั้น สิ่งใดที่จำจะต้องคิดเพื่อประกอบกิจในทางที่ชอบเราก็คิด สิ่งใดที่เป็นการป้องกันตัวให้ปลอดภัยเราก็คิด ในเมื่อจิตหยุดคิดจากธุรกิจอื่นก็มานึกถึงพระพุทธเจ้าแทนที่ อย่างนี้ถือว่ามีอารมณ์ดีถึงที่สุดแล้ว และการภาวนาหรือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เช่นภาวนาว่า "พุทโธ" หรือ "สัมมาอรหัง" หรืออะไรก็ได้ตามใจ เพราะว่าการภาวนานึกถึงความดีของพระพุทธเจ้านี่ไม่มีขอบเขตจำกัด จะถือว่าภาวนาอย่างนั้นถูก อันนี้ใช้ไม่ได้ ก็ต้องถือว่าถูกด้วยกันทั้งนั้น อีกประการหนึ่งก่อนภาวนา ถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน

    ถ้าจะถามว่าการภาวนานี้ดีอย่างไร หรือว่าการพิจารณาการนึกถึงพระพุทธเจ้านี่ดีแบบไหน ถ้าเราตั้งใจใช้คำภาวนาเป็นปกติ อารมณ์ตั้งใจคิดว่า ภาวนานี่ถูกหรือผิดถ้าเรารู้ว่าถูกหรือรู้ว่าผิด ถ้าผิดก็กลับใจเสียใหม่ ภาวนาให้ถูก หรือว่าการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อย่างนี้เป็นการระงับนิวรณ์ คำว่า "นิวรณ์" ความจริงไม่อยากจะพูดถึง เพราะว่าถ้าพูดถึงนิวรณ์แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัทจะท้อถ้อย แต่ในเมื่อการปฏิบัติเข้ามาถึงก็ต้องพูดกัน คำว่า "นิวรณ์" นี่ในพระไตรปิฎกท่านแปลว่า "คุณชาติกั้นความดี" ขอประทานอภัยนี่ตามแบบนักธรรมโทตามหลักสูตรของนักธรรมโท ท่านบอกว่าคุณชาติกั้นความดี แต่ว่าในพระไตรปิฎกท่านกล่าวว่า เป็นกิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง นั่นก็หมายความว่า นิวรณ์ ๕ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าฝังอยู่ในใจของเราในขณะที่เราภาวนาก็ดี ในขณะที่พิจารณาหรือนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ดี ถ้านิวรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาแทรกตึ๊กเข้าให้ในใจของเรา อย่างนี้ท่านถือว่าปัญญาถอยหลังเสียแล้ว กิเลสหยาบที่มีความร้ายแรงมากเข้ามาสิงใจ ก็รวมความว่าใจของเราชั่วไปเกลือกกลั้วกับกิเลสหยาบ กิเลสที่จะทำให้เราลงอบายภูมิ กิเลสหรือว่านิวรณ์ ๕ ประการก็คือ
    ประการที่ ๑ อารมณ์ความรักในระหว่างเพศ ที่เรียกกันว่า "กามฉันทะ"
    ประการที่ ๒ ความโกรธ ความพยาบาท มีการจองล้างจองผลาญซึ่งกันและกัน
    ประการที่ ๓ คือ ความง่วง
    ประการที่ ๔ อารมณ์ฟุ้งซ่านเกินไป ควบคุมกำลังจิต กำลังใจไม่อยู่ ภาวนาไม่ถูก หรือลืมภาวนาไปเลย
    ข้อที่ ๕ ได้แก่การสงสัยในผลของการปฏิบัติ
    ทั้ง ๕ ประการนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งสิงใจของเราในขณะที่ภาวนาก็ดี ในเวลาที่พิจารณาก็ดีก็ถือว่าเราพลาดจากความดีไปเสียแล้ว ถ้าจะถามว่าพลาดหมดไหม ก็ต้องตอบว่าพลาดไม่หมด เพราะว่าขณะที่เราไม่พลาดมีอยู่ เพราะว่าการเริ่มต้น เราเอาจิตเข้าไปรับรู้ลมหายใจเข้าออก แล้วเราภาวนาควบคู่กันไป หรือคิดถึงพระพุทธเจ้าในอารมณ์ของเราควบคู่กันไป อย่างนี้ถือว่าตอนนั้นเราได้กำไร ใจของเราเต็มไปด้วยมหากุศลสามารถจะนำตนไปสู่สุคติได้แบบสบาย ๆ แต่ว่าในขณะที่ภาวนาไปก็ดี รับรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี พิจารณาก็ดี นาน ๆ ไปสักนาที ๒ นาที ๓ นาที ที่ฝึกใหม่ ๆ นะ จิตอาจจะพลาด คิดถึงเรื่องอย่างอื่นเข้ามาแทรกแซงบ้าง ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่าตำหนิตนว่าเลวเกินไป เพราะว่ากำลังใจของเรานี้ คบกับการฟุ้งซ่านมานานนับอสงไขยกัป อยู่ ๆ จะบังคับให้อยู่ในขอบเขตจริง ๆ น่ะ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าต้องอาศัย สติ คือความระลึกนึกไว้ สัมปชัญญะ การรู้ตัวเรื่องอารมณ์เผลอเราห้ามไม่ได้แน่นอนต้องเผลอแน่ ถ้ารู้ตัวขึ้นมาเมื่อไรภาวนาผิดไปแล้วหรือคิดผิดไปแล้วอย่างนี้ เราก็เริ่มต้นใหม่ เอาจิตเข้าไปจับลมหายใจเข้าออกแล้วภาวนาอย่างนี้ใช้ได้ ก็เรียกว่ามีการผ่อนสั้นผ่อนยาว ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะผ่อน

    แต่ว่าอารมณ์จิตที่มันฟุ้งซ่านผ่อนเอง อย่างนี้ถือว่าชนะ ถ้าหากว่าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท ในขณะที่ภาวนาอยู่หรือพิจารณาอยู่เกิดชนะนิวรณ์ขึ้นมา จะมีอะไรเป็นผลก็ตอบว่ากำลังจิตของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนจะมีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ ถ้าจะถามว่าการชนะนิวรณ์ต้องชนะทั้งวันใช่ไหมก็ต้องตอบว่าไม่ใช่ ชนะเฉพาะที่เราภาวนาหรือพิจารณาเท่านั้น คือเป็นการยับยั้งไม่ให้นิวรณ์เข้ามากวนใจ ถ้าเราจะทำลายกันจริง ๆ เฉพาะนิวรณ์นี่ การทรงฌานโลกีย์ก็ดีหรือว่าเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามีก็ดี เราไม่สามารถจะห่ำหั่นนิวรณ์ให้เด็ดขาดได้ ได้แต่เพียงยับยั้งนิวรณ์ชั่วคราวเท่านั้น นิวรณ์ ๒ ข้อแรก คือ "กามฉันทะ" ความพอใจในเพศตรงกันข้าม หรือว่า "พยาบาท" คิดจองล้างจองผลาญ ความโกรธ ความคับแค้น ทั้ง ๒ ข้อนี้ จะชนะได้จริง ๆ ต่อเมื่อเราเป็นพระอนาคามี สำหรับอีก ๓ ข้อจะชนะได้จริง ๆ ในเมื่อเป็นอรหัตผลถ้ากำลังใจเราไม่ถึงขั้นนั้นเราก็ยับยั้งชั่วคราว อย่างนี้ใช้ได้ ถ้าจะถามว่าการระงับนิวรณ์ ยับยั้งชั่วคราวจะมีผลเป็นประการใด ก็ต้องขอตอบว่าจะทำกำลังใจของบรรดาท่าพุทธบริษัทให้มีความสุขขึ้นมาก อารมณ์ชั่วต่าง ๆ เช่น อารมณ์ชั่วในการทำลายศีลห้าก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอากันอย่างง่าย ๆ คือความโกรธ ความโกรธเราเคยฉุนเฉียว

    ถ้าชนะนิวรณ์ครั้งละ ๒-๓ นาที ในการเจริญภาวนาสมมุติว่าเจริญภาวนาจริง ๆ ครึ่งชั่วโมง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง แต่การใช้เวลาครึ่งชั่วโมงนั้นไม่ใช่ชนะทั้งครึ่งชั่วโมง มันชนะจริง ๆ แค่ ๒-๓ นาทีเพียงเท่านี้ ทำไปจริง ๆ สักประมาณ ๑ เดือน คือวันหนึ่งทำครั้งหนึ่ง จะเป็นเวลาเช้ามืดหรือเวลาหัวค่ำก่อนหลับก็ได้นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ ชนะจริงๆ คือ รู้ลมหายใจเข้าออกโดยเฉพาะ รู้คำภาวนาโดยเฉพาะ หรือรู้การพิจารณาการนึกถึงโดยเฉพาะ โดยนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ ไม่เข้ารบกวนใจ หลังจากนั้นจิตก็ฟุ้งซ่านเกินไป ก็ตามใจมัน เราก็เลิก ถ้าฟุ้งซ่านมากเกินไปจริง ๆ เราเลิก บังคับไม่อยู่ เท่านี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูสักประมาณ ๑ เดือน คือชนะวันละเล็กวันละน้อย มันสะสมอยู่ในใจ ๑ เดือนผ่านไป กำลังโกรธที่มีความฉุนเฉียวที่เคยมีมา แล้วมันจะลดตัวลง โกรธเหมือนกันแต่ความโกรธจะเบาลง สมัยก่อนยังไม่ภาวนาหรือพิจารณา เราโกรธแล้วเราขังกันไว้นาน จองล้างจองผลาญกันหลายวัน ถ้าทำแบบนี้สักประมาณ ๑ เดือนไม่ขาดโกรธมี แต่ว่าเบากว่าเดิมแล้วก็หายเร็วกว่าเดิม นี่แสดงว่าจิตใจของเราเริ่มเยือกเย็นขึ้นในเมื่อจิตใจเริ่มเยือกเย็นขึ้น ความมีเหตุผลก็มากขึ้น ถ้าตัดกามฉันทะ คือยับยั้งได้ ไม่รุ่มร่ามภายนอกบ้าน พอใจเฉพาะอารมณ์กามฉันทะในบ้าน คือความรักระหว่างคู่ตัวผัวเมียแค่นี้เราจะมีความสุขมากแล้ว ประการที่ ๒ ไม่เป็นคนโมโหร้ายมีจิตใจเยือกเย็น เราก็จะมีเพื่อนที่รักมากขึ้นเราก็จะมีความสุข ประการที่ ๓ เราทำความดีไม่ง่วง สติสัมปชัญญะก็สมบูรณ์ขึ้น ประการที่ ๔ ถ้าจิตใจไม่ฟุ้งซ่านเกินไป การคิดจะทำอะไรจะประกอบกิจการงานต่าง ๆ อารมณ์ก็จะทรงตัว สมองปลอดโปร่ง ประการที่ ๕ ถ้าไม่สงสัยในผลการปฏิบัติ อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทจะพบกับความดีพิเศษที่จะพูดต่อไป รวมความว่ากำลังใจของเราลดเหตุ ๕ ประการลงไปได้ ถึงแม้ว่าตัดไม่ได้ แต่กำลังของเหตุ ๕ ประการคือ นิวรณ์ ๕ ประการนี้ มีกำลังอ่อนไปเราก็จะมีความสุขขึ้นมาก ถ้าเรามามองกันถึงศีล การละเมิดศีลจะละเมิดยากมากขึ้น จะทรงศีลได้ดีขึ้นเพราะสติสัมปชัญญะและการเยือกเย็นของจิต และอารมณ์ที่จะนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี หรือว่าความไม่ ประมาทที่จะคิดถึงความตายที่จะมีมาในวันนี้ก็ดี จะมีอารมณ์ถี่ขึ้นความสุขจะเกิดมากขึ้น

    นอกจากความสุขจะเกิดขึ้นกับเราแล้วความสุขจะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่นด้วย ช่วยให้โลกมีความสุขมากขึ้น ความอุดมสมบูรณ์ในทรัพย์สินก็จะมีมากขึ้น เพราะการไม่เจ้าชู้ และการไม่โหดร้ายหาเรื่องก่อการวิวาท นอกจากนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ สามารถก่อให้เกิดทิพจักขุญาณได้ ความจริงหลักสูตรของวิชชาสาม ก็อยู่ที่พุทธานุสสตินี่แหละถ้าจะบอกว่าต้องกสิณกองนั้นกองนี้ การดูพระพุทธเจ้า การนึกถึงพระพุทธเจ้าก็เป็นกสิณและการดูพระพุทธรูป การนึกถึงพระพุทธรูปก็เป็นกสิณ ขณะใดที่เราคิดว่าท่านเป็นพระพุทธรูปนี้เป็นพุทธานุสสติ ถ้าพระพุทธรูปสีเหลืองก็เป็นปีตกกสิณด้วย พระพุทธรูปสีขาวก็เป็นโอทาตกสิณด้วย ถ้าหากว่าพระพุทธรูปสีเขียวก็เป็นนีลกสิณด้วยอย่างนี้เป็นต้น รวมความว่าเราก็ปฏิบัติทั้งอานาปานุสสติด้วย พุทธานุสสติด้วย กสิณด้วยไปในตัวเสร็จ ก็เวลาเหลืออีก ๑๐ นาที มีตัวอย่างที่จะคุยให้กับบรรดาท่านพุทธบริษัทรับทราบสักเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ปีนั้นมีคุณยายท่านหนึ่ง คุณโยมผู้เฒ่า อายุท่านก็มากแล้วเห็นจะถึง ๗๐ ปี ท่านอยู่ในบ้านท่านเจริญพุทธานุสสติอยู่เสมอ คือว่าใคร ๆ เขาสอนว่าจงภาวนาว่า "พุทโธ" เธอก็นึกถึงพระพุทธเจ้าโดยภาวนาว่า "พุทโธ" บ้าง มองดูพระพุทธรูปเพื่อเป็นนิมิตเครื่องหมายจับอารมณ์ให้ทรงตัวบ้าง ทำอย่างนี้เป็นปกติ มาในปีนั้นท่านไปเจอะอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาก ท่านสอนกรรมฐาน มีคณะของท่านมากมาย มีชื่อเสียงมาก ก็ไปขออาศัยศึกษาอยู่ในสำนักนั้น ๓ เดือน ความจริงท่านตั้งใจจะอยู่ตลอดชีวิต คิดว่าชีวิตเบื้องปลายเราก็ทำอะไรไม่ไหวแล้วที่พึ่งของเราจริง ๆ ก็คืออารมณ์ที่เป็นมหากุศล เมื่อเข้าไปอยู่ในสำนักแล้วก็ปรากฎว่าท่านอาจารย์ให้ใช้กรรมฐานอีกแบบหนึ่ง ความจริงกรรมฐานจะเป็นแบบไหน ภาวนาแบบไหนก็ตาม แต่จุดมุ่งหมายจริง ๆ ต้องการ คือ
    ๑. ต้องการศีลบริสุทธิ์
    ๒. มีอารมณ์ใจเป็นสมาธิ
    ๓. มีปัญญาแก่กล้าสามารถรู้เท่าทันกิเลส และตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้
    ความจริงความต้องการของพระพุทธเจ้ามีเท่านี้ ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท การปฏิบัติกรรมฐาน จงอย่าถือว่าที่ไหนผิดและจงอย่าถือว่าที่ไหนถูกแต่แห่งเดียวถ้าทำจิตให้ทรงศีลบริสุทธิ์ได้ทรงสมาธิได้ มีปัญญาสามารถล้างกิเลสได้ที่นั่นถูกทั้งหมด สำหรับวิธีปฏิบัติจริง ๆ มีตั้งหลายพันแบบ ไม่ใช่แบบเดียว ในเมื่อคุณโยมเจริญพุทธานุสสติอยู่เป็นปกติ ไปเจอะอาจารย์สอนผิดไปจากที่เคยปฏิบัติมา ใจก็อดที่จะคิดถึงอารมณ์เก่าไม่ได้ อาจารย์ก็บอกว่า ไม่ได้ ของเก่าใช้ไม่ได้ต้องใช้ของใหม่ที่สอน ไม่ยังงั้นจะไม่มีผล คุณโยมก็อยากจะไปคิดถึงของเดิม ยิ่งไม่นึกถึงเพียงใด ภาวนาหรือพิจารณาตามที่อาจารย์สอน คำว่า "พุทโธ" ไม่มีในใจแต่ภาพพระพุทธรูปลอยเด่นขึ้นข้างหน้า ตอนเช้าอาจารย์สอบอารมณ์ ก็ไปบอกกับอาจารย์ว่า เมื่อคืนเห็นภาพพระพุทธรูปท่านอาจารย์ก็บอกว่า โยมไม่ได้แล้ว ๆ ภาพประเภทนี้เป็นกิเลส ต้องทิ้งไปจงอย่าถือเอา โยมก็พยายามไม่ถือเอาทำใจเป็นสมาธิให้เข้มข้นตามอาจารย์สอน ในเมื่อความเข้มข้นของจิตมีมากขึ้นเพียงใด ภาพพระพุทธรูปก็แจ่มใสมากเพียงนั้น ในที่สุดภาพของพระพุทธรูปก็ขาวเป็นแก้วประกายพรึก เป็นแก้วระยิบระยับ เด่นจับหูจับตา คราวนี้เอาหนักหลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น จะนอนซ้าย นอนขวา หันหน้าหันหลัง เห็นหมดเห็นตลอดวันเป็นอันว่าจิตของคุณยายทรงฌานขั้นสูงในพุทธานุสสติกรรมฐาน อย่างนี้เป็นฌานนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไปรายงานอาจารย์ทีไรอาจารย์ก็บอกว่า "ไม่ไหวแล้วโยม ๆ กิเลสเล่นหนักแล้ว" คุณโยมก็เกิดความไม่สบายใจ ต่อไปก็ไม่รายงานอาจารย์ละ ในเมื่อพระพุทธรูปจะมาก็เอาพระพุทธรูปเถอะ ถ้าอาจารย์ถามว่าเมื่อคืนภาวนาว่าอย่างไร แต่คำภาวนาใช้ตามแบบฉบับของอาจารย์และกำลังใจก็ยินดีในพระพุทธรูป ก็ชื่นใจมาก ยิ่งนานวันจิตยิ่งสดใส พระพุทธรูปก็แจ่มใสมากขึ้นและก็ใหญ่โตมากขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใส คล้าย ๆ กับมีชีวิตชีวา มองเห็นหน้าทีไรก็เห็นพระพุทธรูปยิ้มทุกที ในที่สุดบรรดาท่านพุทธบริษัท ออกพรรษาแล้วคุณยายก็อยู่ไม่ได้ เพราะขวางกับสำนักนั้น ความจริงกิจกรรมไม่ได้ขวาง แต่กำลังใจเห็นภาพพระพุทธรูป ท่านบอกพระพุทธรูปเป็นกิเลส คุณยายก็ต้องกลับบ้าน เมื่อกลับบ้านแล้วพระที่บ้านของท่านก็นำมาหาอาตมา อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าคุณยายเห็นภาพพระพุทธรูป ทางสำนักถือว่าเป็นกิเลส

    ท่านถามว่า การเห็นภาพพระพุทธรูปอย่างนี้เป็นยังไง ก็ต้องบอกตามความเป็นจริงว่า "คุณโยม นี่เป็นฌานในพุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว แล้วคุณโยมไม่ใช่เข้าถึงฌานเฉย ๆ เป็นผู้ทรงฌานเสียด้วย และฌานนี้ก็เป็นฌานที่สูงมาก สามารถนึกขึ้นมาจะให้พระพุทธรูปใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ใหญ่หรือเล็ก สูงหรือตํ่า ยังไงก็ตามเป็นไปตามนั้นหมด" ก็เลยบอกว่า "ถ้าคุณโยมกล้าทำ ถ้าใครเขาพูดถึงใคร ลองนึกในใจขอภาพพระพุทธรูปจงหายไป ขอภาพบุคคลนั้นจงปรากฏแทน" คุณโยมก็ทำอย่างนั้น ในที่สุดใครพูดถึงใครที่ไหน คุณโยมก็ถามว่าคนนั้นรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ใช่ไหม เขาก็ตอบว่าใช่ เป็นการถูก ก็รวมความว่าคุณโยมต้องการเห็นเทวดา เห็นนรก สวรรค์ โยมก็เห็นหมด ต้องการเห็นคนที่จากไป เวลานี้อยู่ที่ไหน ทำอะไรบ้าง คุณโยมก็เห็นถูก ในเมื่อเขามาหาคุณโยมก็ตอบตรง ตามความรู้สึกที่เห็นไว้ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน ในที่สุดคุณโยมนั้น ก็เห็นชัดว่านรกเป็นยังไง เปรตอสุรกาย แดนสัตว์เดรัจฉานเป็นยังไง สำนักพระยายมเป็นยังไง สวรรค์ พรหมโลกเป็นยังไงทั้งหมด เวลาคนตายปุ๊บลงไป โยมก็ติดตามคิดว่าคนนี้ไปไหน ภาพก็ปรากฏชัดทันที ถ้าคนนั้นไปสู่แดนอบายภูมิ ก็จะถามเขาว่าเพราะบาปอะไร หรือไปสวรรค์เพราะทำบุญอะไร แล้วก็ถามคนที่อยู่ที่เขารู้เรื่องราวเขาก็ตอบตรงตามความเป็นจริง นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายและหญิง การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานถ้าทำให้ถูกเสียอย่างเดียว ไม่ใช่จะเป็นสุกขวิปัสสโก เป็นวิชชาสาม ก็ได้ เป็นอภิญญาก็ได้ มองดูเวลาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ๓๐ นาทีพอดี สำหรับตอนที่ ๙ นี้ก็ต้องขอลาก่อน เพราะว่าหมดเวลาเสียแล้ว ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรทุกท่านจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านประสงค์สิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาทุกประการ สวัสดี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    อันนี้จ้าเจ๊ขวัญ........


    พระสูตรสุขาวดียูหสูตร

    แปลโดย

    สุโชโวภิกขุ วัดกันมาตุยาราม

    ขอนบน้อมแต่พระสรรเพ็ชญ์เจ้า

    ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเสด็จ สำราญพระอิริยาบถ อยู่ในเขตวนารามของท่านอนาถปิณฑกะ ใกล้กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ คือภิกษุ 1250 รูป ผู้แตกฉานในอภิญญา เป็นพระเถระมหาสาวกล้วนแต่พระอรหันต์เจ้า เช่น พระศาริบุตรเถระ, พระมหาเมาทคัลยายนะ, พระมหากาศยปะ, พระมหาศุทธิปัถกะ, พระนันทะ, พระอานันทะ, พรารหุละ, พระความปติ, พระภรัทวาชะ, พระกาโลทยิน, พระวักกุละและพระอนิรุทธะ กับพระสาวกอื่นอีกมากหลาย ตลอดจนพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ เป็นอันมาก เช่น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์, พระกุมารภูติโพธิสัตว์, พระอชิตโพธิสัตว์, พระคันธหัสดีโพธิสัตว์, พระนิตโยทยุกตโพธิสัตว์และพระอนิกษิปตธุรโพธิสัตว์, กับพระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ อื่นอีกมากมายและ ท้าวศักระจอมเทพ , ท้าวสหัมบดีพรหม กับเทพบุตรอื่นๆเป็นอันมาก นับจำนวนแสนนยุตะ (1นยุต100,000โกฏิ)

    ณ สถานที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระศาริบุตรผู้มีอายุว่า ดูก่อนศาริบุตร ในทิศภาคเบื้องตะวันตก นับแต่พุทธเกษตรนี้ไปแสนโกฏิพุทธเกษตร มีโลกธาตุหนึ่ง นามว่า สุขาวดี อันเป็นที่ประทับอยู่แห่งพระอมิตาภะตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ยังทรงพระชนม์และแสดงธรรมอยู่ในกาลบัดนี้ ศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤาโลกธาตุโลกธาตุนั้นจึงได้นามว่าสุขาวดี ศาริบุตรเอย สัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุนั้น ไม่มีทุกข์กายทุกข์ใจเลย มีแต่เหตุแห่งสุขอันหาประมาณมิได้อย่างเดียว เหตุดังนั้น โลกธาตุนั้นจึงได้นามว่าสุขาวดี.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง สุขาวดีโลกธาตุประดับประดาแวดล้อมไปด้วยกำแพง 7 ชั้น ต้นตาล 7 แถว และข่ายกะดึงทั้งหลายงดงามน่าดูด้วยรัตนะ 4 ประการคือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง สุขาวดีโลกธาตุมีสระโบกขรณีทั้งหลายอันแล้วด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิม มรกต และบุศราคัม เปี่ยมด้วยอัษฎางคิกวารี (น้ำประกอบด้วยองคแปด) มีท่าน้ำอันเรียบราบ พอที่กา(จะก้มลง)ดื่มได้ รายระยับไปด้วย ทรายทองและมีบันได 4 บันไดโดยรอบทั้ง 4 ทิศ งดงามน่าดูด้วยรัตนะ 4 ประการ คือทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก มีรัตนพฤกษ์อันงดงามน่าดูด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิม มรกตและบุศราคัม ขึ้นอยู่รายรอบสระโบกขรณีเหล่านั้น มีดอกประทุมอันมีธรรมชาติ สี แสง ความน่าดู เขียว เหลือง แดง ขาวและสลับสีใหญ่ประมาณเท่ากงเกวียน. ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง ในพุทธเกษตรนั้นมีทิพยดนตรีอันบรรเลงอยู่เป็นนิตย์ และมหาปฐพีก็มีสีเพียงดังทองน่ารื่นรมย์ มีฝนดอกมณฑารพอันเป็นทิพย์ตกคืนละ 3 ครั้ง วันละ 3 ครั้ง สัตว์ที่เกิดในพุทธเกษตรนั้น ย่อมไปสู่โลกธาตุอื่น ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแสนโกฏิพระองคชั่วเวลาก่อนอาหารคราวหนึ่ง ใช้ฝนดอกไม้แสนโกฏิเกลี่ยลงบูชาพระตถาคตเจ้าแต่ละพระองค แล้วกลับมาสู่โลกธาตุนั้นแลอีก เพื่อพักผ่อนในกลางวัน. ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง ในพุทธเกษตรนั้น มีหงส์ นกกะเรียน นกยูง ประชุมกันขับประสานเสียงของตน คืนละ 3 ครั้ง วันละ 3 ครั้ง เสียงของปวงนกที่ประสานกันนั้น ย่อมเปล่งประกาศอินทรีย์(ธรรมอันเป็นใหญ่) พละ (ธรรมเป็นกำลัง)และโพชฌงค์ (ธรรมเป็นองคแห่งการตรัสรู้) มนุษย์ทั้งหลายในพุทธเกษตรนั้น ฟังเสียงนั้นแล้วย่อมเกิดมนสิการในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นว่า สัตว์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดในกำเนิดดิรัจฉานกระนั้นหรือ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้นเลย ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤา ศาริบุตร แม้แต่ชื่อแห่งนรก กำเนิดดิรัจฉานและยมโลก ก็ไม่มีในพุทธเกษตรนั้น หมู่นกเหล่านั้น พระอมิตาภะยุตถาคตเจ้าทรงนิรมิตขึ้นให้เปล่งเสียงประกาศพระธรรมต่างหาก ศาริบุตร พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง แถวต้นตาลและข่ายกระดึงทั้งหลายในพุทธเกษตรนั้น เมื่อลมโชยมากระทบ ย่อมเปล่งเสียงไพเราะจับใจดุจเสียงทิพยดนตรีมีเครื่องประกอบแสงโกฏิ อันอารยชนบรรเลงแล้ว. มนุษย์ในพุทธเกษตรนั้น สดับเสียงนั้นแล้วย่อมพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังหานุสสติตั้งอยู่ในกาย. ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้

    ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤา พระตถาคตเจ้านั้นจึงได้พระนามว่า อมิตายุ. ศาริบุตรเอย พระตถาคตเจ้าและมนุษย์เหล่านั้น มีประมาณแห่งอายุอันกำหนดนับมิได้. เหตุดังนั้น พระองค์จึงได้พระนามว่า อมิตายุ. อนึ่ง พระตถาคตเจ้านั้นตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้วได้ 10 กัลป์

    ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤา พระตถาคตเจ้านั้นจึงได้พระนามว่า อมิตาภะ รัศมีแห่งพระตถาคตเจ้านั้น (สว่างไป) ไม่ติดขัดในพุทธเกษตรทั้งปวง. เหตุดังนั้น พระองค์จึงได้พระนามว่า อมิตาภะ อนึ่ง พระอรหันตสาวกสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ของพระตถาคตเจ้านั้น หาประมาณมิได้ ไม่เป็นการง่ายที่จะกล่าวประมาณ ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ที่เกิดขึ้นในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเกี่ยวเนื่องอยู่เพียงชาติเดียว การนับประมาณพระโพธิสัตว์เหล่านั้น มิใช่ทำได้โดยง่าย นอกจากจะนับว่า "อประไมย" (ประมาณไม่ได้) "องสไขย" (นับไม่ได้) อนึ่ง ศาริบุตร สัตว์ทั้งหลายควรตั้งประณิธาน(ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าที่ไหนเล่า การได้อยู่ร่วมกันสัตบุรุษเห็นปานนั้นจึงจะมีได้ (เหมือนในสุขาวดีนี้) ศาริบุตร สัตว์ทั้งหลาย ย่อมบังเกิดในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า มิใช่ด้วยกุศลมูลเพียงเล็กน้อย ศาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักได้สดับพระนามของพระอมิตายุคถาคตเจ้านั้น ครั้นสดับแล้วจักมนสิการ จักมีจิตต์ไม่ซัดส่าย มนสิการตลอดราตรีหนึ่ง หรือ 2 ราตรี หรือ 3, 4, 5, 6, 7,ราตรี เมื่อกุลบุตรหรือกุลธิดานั้นจักสิ้นชีพ พระอมิตายุคถาคตเจ้านั้น อันสาวกสงฆ์แวดล้อมมีหมู่พระโพธิสัตว์ตามหลัง จักปรากฏเบื้องหน้าเขาผู้กำลังสิ้นชีพ เขาย่อมมีจิตต์สงบสิ้นชีพไป ครั้นสิ้นชีพแล้วก็จะไปเกิดในสุขาวดีโลกธาตุอันเป็นพุทธเกษตรของพระอมิตายุคถาคตเจ้านั้นแล. ศาริบุตรเอย เหตุดังนั้นแหละ เราเห็นอำนาจประโยชน์นี้ จึงกล่าวว่า กุลบุตรหรือกุลธิดาพึงตั้งจิตตประณิธาน (ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนั้นโดยเคารพ.

    ดูก่อนศาริบุตร เราประกาศเรื่องโลกธาตุนั้นอยู่ในบัดนี้ฉันใด พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศบูรพาเป็นต้นว่า พระอักโษภยตถาคต พระเมรุธวัชตถาคต พระมหาเมรุธวัชตถาคต พระเมรุประภาสตถาคต พระมัญชุธวัชตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในทิศบูรพา อุปมาด้วยเกล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้นแล ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจิตไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง

    ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศทักษิณเป็นต้นว่า พระจันทรสูรยประทีปตถาคต พระยศประภะตถาคต พระมหารุจิสกันธตถาคต พระเมรุประทีปตถาคต พระอนันตวีรยตถาคตกับพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายในทิศทักษิณ อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง

    ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศประจิมเป็นต้นว่า พระอมิตายุคถาคต พระอมิตสกันธตถาคต พระอมิตธวัชตถาคต พระมหาประภะตถาคต พระมหารัตนเกตุตถาคต พระศุทธรัศมิประภะตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในประจิม อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง"

    ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศอุดรเป็นต้นว่า พระมหารจิสกันธตถาคต พระไวศวานรนิรโฆษตถาคต พระทุนทุภินิรโฆษตถาคต พระอาทิตยสมภพตถาคต พระชโลนิประภะตถาคตกับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในทิศอุดร อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง"

    15 ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศเบื้องต่ำ เป็นต้นว่า พระสิงหตถาคต พระยศตถาคต พระยศประภาสตถาคต พระธรรมตถาคต พระธรรมธรตถาคต พระธรรมธวัชตถาคต กันพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในทิศเบื้องต่ำ อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง"

    16 ดูก่อนพระศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศเบื้องบน เป็นต้นว่า พระพรหมโฆษตถาคต พระนักษัตรราชตถาคต พระอินทรเกตุธวชตถาคต พระคันโธตตมตถาคต พระคันธประภาสตถาคต พระมหารจิสกันธตถาคต พระรัตนกุสุมสังปุษปิตถาตรตถาคต พระสาลินทรราชตถาคต พระรัตนโนตปลศรีตถาคต พระสรวารถทรศตถาคต พระสุเมรุกาลปตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าในทิศเบื้องบน อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง"

    17 ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤา ธรรมบรรยายนี้จึงได้นามว่า "ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง" ศาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักได้สดับนามแห่งธรรมบรรยายนี้ และจำทรงจำพระนามแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น กุลบุตรกุลธิดาทั้งปวงนั้น จักเป็นผู้อันพระพุทธเจ้าคุ้มครองจักไม่กลับกลายในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ศาริบุตร เหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟัง อย่าสงสัยต่อเราและพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ศาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักทำหรือทำแล้วหรือกำลังทำซึ่งจิตตประณิธาน (ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตผู้มีพระภาคนั้น กุลบุตรหรือกุลธิดาทั้งปวงนั้น จักไม่กลับกลายในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และจักเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้นในพุทธเกษตรนั้น ศาริบุตร เหตุนั้นแล กุลบุตรหรือกุลธิดาผู้มีศรัทธา จึงควรทำจิตตประณิธานให้เกิดขึ้นในพุทธเกษตรนั้น

    18 ดูก่อนศาริบุตร เราประกาศคุณอันเป็นอจินไตยของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ในกาลบัดนี้ฉันใด พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมทรงประกาศคุณอันเป็นอจินไตย แม้ของเราอย่างนี้ว่า พระศากยมุนีผู้มีพระภาค ผู้เป็นอธิราชแห่งศากยะทรงทำกรรมที่ทำได้โดยยากยิ่ง ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในสหาโลกธาตุ (โลกธาตุอันเต็มไปด้วยทุกข์ซึ่งจะต้องอดทน) แล้วทรงแสดงธรรมอันให้ผลแก่โลกทั้งปวง" ใน (ท่ามกลาง) ความเสื่อมแห่งอายุ ความเสื่อมเพราะกิเลส.

    ดูก่อนศาริบุตร ข้อที่เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในสาโลกธาตุ แล้วแสดงธรรมอันให้ผลแก่โลกทั้งปวง" ใน (ท่ามกลาง) ความเสื่อมแห่งสัตว์ ความเสื่อมแห่งทิฏฐิ ความเสื่อมเพราะกิเลส ความเสื่อมแห่งอายุ ความเสื่อมแห่งกัลป์นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งแม้ของเรา

    พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องนี้จบลงแล้ว พระศาริบุตรผู้มีอายุ ภิกษุและพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ตลอดจนสัตว์โลกกับทั้งเทวา มนุษย์ อสูร คนธรรพ์ก็พากัน มีใจยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า

    จบ สุขาวดียูหมหายานสูตร
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แล้วไง อะเฮียก่วน จะมาชักชวนให้คนไปอยู่ไปเกิดในแดน สุขาวดี หรือไงคะ

    จะได้ทราบเจตนา อิอิ
     
  6. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    กระทู้เจ๊ คนเข้ามาดูมากเผื่อใครมาเห็นเข้า แล้วถูกจริต จร้าาาา เท่านั้นเอง
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อะ จร้า....กล้าทำ กล้าพูด กล้ารับ เจ๊ ก็ไม่ว่าอะไร ล่ะจร้า

    ตามฉะบาย แต่อย่าพาไปออกทะเล ละกัลลลล ฮิฮิ (เพราะเจ๊จอง พาออกทะเลไว้แร้ว ห้ามคนอื่นแย่ง 555)

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2011
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องของลิงโกง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>17 พฤศจิกายน 2554 12:31 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    คุณคิดว่าพฤติกรรมการโกงนั้นจะส่งผลต่อวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้าง? บทความน่าสนใจจาก “นณณ์ ผานิตวงศ์” ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ www.siamensis.org อธิบายเรื่องนี้ด้วยหลักชีววิทยา และยินดีให้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์นำมาเผยแพร่ต่อ

    ***************
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบข่าวโดย ArtFullY (siamensis.org)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> Evolutionary Stable Strategy
    โดย นณณ์ ผานิตวงศ์

    เคยเห็นลิงหาเห็บหาเหาให้กันไหมครับ? ตัวนี้หาให้อีกตัว แล้วก็มีอีกตัวหาให้อีกตัว เสร็จแล้วมันก็ผลัดกันวนๆ หาให้กัน ถ้าทำอย่างนี้ทุกตัวในฝูงก็จะไม่มีเห็บมีเหาเหมือนกันเพราะต่างตัวต่างช่วยกันผลัดกันหา ทีนี้ลองนึกภาพว่ามีลิงหัวหมอตัวหนึ่ง เกิดเอาเปรียบเพื่อน นั่งให้เพื่อนหาเสร็จแล้วแทนที่จะหาให้เพื่อนบ้าง ก็หนีไปหาอะไรกินเสียอย่างนั้น ลิงที่ “โกง” ตัวนี้ได้เปรียบเพื่อนฝูงชัดเจนมาก เพราะกินแรงเพื่อนอย่างเดียว ถ้าไม่มีลิงตัวไหนจับได้ปล่อยให้เป็นแบบนี้ ลิงตัวนี้มีแนวโน้มสูงมากที่จะประสบความสำเร็จกว่าเพื่อนๆ ตามสังคมลิงคงไม่ใช่ได้ตำแหน่งหรือเงินทอง แต่อาจจะมีลูกที่แข็งแรงและโตเร็วกว่าตัวอื่นๆ เพราะแม่มีเวลาหาอาหารมากกว่าเพื่อน เพราะโกงแรงงานเพื่อน

    ทีนี้สมมติว่าแม่ลิงขี้โกงมีลูกสามตัวก็สอนให้ลูกลิงขี้โกงด้วย คือไปนั่งให้เพื่อนหาเห็บเสร็จแล้วไม่หาคืนให้เพื่อน พากันไปหากินเที่ยวเล่นหาผัวหาเมียไปเรื่อย ปรากฏว่าครอบครัวนี้ประสบความสำเร็จสืบต่อกันหลายชั่วลิง เพิ่มจำนวนประชากรลิงโกงขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าความซวยจะตกแก่ใคร? ถ้าหากมีประชากรลิงขี้โกงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลิงนิสัยดีที่โดนเอาเปรียบจะมีเห็บเหาเต็มตัวและมีเวลาหากินน้อยกว่าประชากรลิงโกง ลิงนิสัยดีในฝูงก็จะมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ลิงดีก็จะมีจำนวนน้อยเกินไปที่จะมาคอยนั่งหาเห็บหาเหาให้ลิงโกงเปล่าๆ ปรี้ๆ ผลก็คือลิงโกงก็จะมีเห็บเหา และไม่มีใครให้เอาเปรียบอีก เมื่อถึงจุดนั้น ประชากรลิงฝูงนี้ก็จะมีปัญหาเห็บหมัดและเหารุนแรงจนอาจจะล่มสลายไปก็เป็นได้

    นี่คือสิ่งที่ถูกเรียกว่า “กลยุทธทางวิวัฒนาการที่ไม่เสถียร” (Evolutionary Unstable Strategy) คือการโกงจะทำให้ผู้ที่ถูกเอาเปรียบอ่อนด้อยลงเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็จะไม่เหลือใครให้โกงและเอาเปรียบ ในที่สุดแล้วทุกคนจะเป็นผู้แพ้ในกลยุทธเช่นนี้

    แต่ในทางกลับกันถ้าลิงทั้งฝูงทุกตัวร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยเหลือกันไม่โกงกัน เอ็งหาเห็บให้ข้า ข้าหาเหาให้เอ็ง ลิงทั้งฝูงก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างปรกติสุขตราบนานเท่านาน แบบนี้เรียกว่าเป็น Evolutionary Stable Strategy (ESS) หรือ "กลยุทธทางวิวัฒนาการที่เสถียร" กล่าวคือถ้าหากมีการใช้กลยุทธเช่นนี้ในสังคมแล้วจะทำให้สังคมนั้นๆ ดำรงค์ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในกรณีนี้คือการร่วมมือกันต่างตอบแทนกันไม่โกงกันของสัตว์สังคมอย่างลิงอย่างคน จะทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้าได้

    จะเห็นว่าการโกง แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าหากมีการยอมรับและปล่อยให้สะสมไปเรื่อยๆ ก็จะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ ที่เขียนเรื่องนี้เพราะมีเพื่อนส่งคำถามนี้มาถาม

    "ถ้ามีรัฐบาลอยู่ 2 ประเภท โดยทั้งสองประเภทมีงบประมาณเท่ากันคือ 100 บาท ประเภทที่ 1 โกงไป 80 บาท แต่ทำงานเป็น ใช้เงิน 20 บาทบริหารประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความสุขความเจริญ สร้างความมั่นคงให้ชาติได้เป็น 100 บาทเท่าเดิม ส่วนประเภทที่ 2 เป็นคนดี สะอาด แต่ทำงานไม่เป็น ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ใช้เงิน 100 บาท แต่สร้างประโยชน์ให้ประชาชน...ได้แค่ 5 บาท เป็นคุณจะเลือกแบบไหน?”

    เลือกยากไหม? แต่ถ้าเอาตาม ESS ยังไงก็ต้องเลือกประเภทที่ 2 เพราะการที่มีคนดีมาเป็นผู้บริหาร ถึงแม้ว่าคนนี้อาจจะด้อยความสามารถ แต่ในทางวิวัฒนาการแล้ว ในที่สุดสังคมนั้นๆก็จะต้องหาคนที่ดีและเก่งมาปกครองบ้านเมืองได้ และจะไม่ล่มสลายไปเสียก่อนเนื่องจากมีตัวอย่างผู้นำที่เป็นคนดี สังคมโดยรวมก็จะเป็นคนดี ไม่เห็นการโกงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสังคม ต่างกับถ้าหากเลือกประเภทที่หนึ่ง คือปล่อยให้มีการโกงเกิดขึ้นในสังคม โดยอ้างว่าโกงไปแล้วทำงานเป็น เอาไปคนเดียว 80 ให้คืนมา 20 แต่ก็ทำคืนอีก 4 เท่าขึ้นมาเป็น 100 ได้ ในระยะสั้น ทางเลือกนี้อาจจะดีกว่าทางเลือกที่สอง แต่ถ้าหากมองให้ไกลไปกว่านั้น คนที่โกง มีหรือที่จะโกงอยู่เท่านั้น? สังคมที่ส่งเสริมคนโกง มีหรือที่จะไปได้ไกล?

    ลองนึกในทางกลับกัน สังคมที่ส่งเสริมให้คนที่คิดดีได้ปกครองบ้านเมืองถึงแม้จะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไป แต่น้ำพริกนั้นก็ยังตกแก่ส่วนรวมทั้งหมด ถามว่าสังคมที่มีแต่คนดีในที่สุดแล้วจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือที่จะหาคนเก่งมาปกครองบ้านเมืองและลองนึกดูเมื่อถึงวันนั้นคนที่ทำงานเก่งก็จะสามารถทำเงิน 100 มาเป็น 400 ได้ เชียวนะ

    Homo sapiens ไม่ได้มีวิวัฒนาการเจริญก้าวหน้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ จากการสนับสนุนและยอมรับคนโกงในสังคม ผมเชื่อเช่นนั้น หรือถ้าใครอยากลงลึกละเอียดขึ้นแนะนำหนังสือเรื่อง Selfish Gene ของ Richard Dawkins อ่านแล้วการมองโลกของคุณจะเปลี่ยนไป

    Science - Manager Online -
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Hopi คำพยากรณ์เป็นจริง ของ Veritas2012
    หก”การเปลี่ยนขนาด,


    FGU, ข่าว …”: NWO


    เปิดอื่น ๆ 10 strands DNA …

    [​IMG]

    วงการพืชใน Windmill Wilton และ Cross Great ของ 26 มิถุนายน 2010
    Hopi คำพยากรณ์เป็นจริง


    ของ Veritas2012



    ในปี 1997 ผู้สูงอายุ Hopi ร่วมกับ ดร. โรเบิร์ตผีหมาป่าในการแสดงโคสต์โคสต์ให้กับศิลปะระฆัง, พูดกับผู้ฟังนับล้านทั่วโลก ’S เดินทางมาถึงแล้ว Blue Star Kachina ฟอก, Red Star Kachina, ซึ่งตามมาในไม่ช้าหลังจากผ่านของฝาแฝด (น่า Hale – BOPP) ในท้องฟ้าของเรา
    พวกเขาพูดถึงการปรากฏของจินตนาการแปลกในสัตว์ (กบกับหกขาสี่หูกับกระต่ายสัตว์ที่มีทั้งสองเพศ .. ), การเปลี่ยนแปลงบนโลก,”พายุไฟ”และแปดคำพยากรณ์และอ่อนของ Thunder .. ศาสดา
    นี่คือข้อความที่ตัดตอนมาจาก”ร้องไห้ล่าสุด”คำพยากรณ์ (พยากรณ์อเมริกันพื้นเมืองและนิทานของ End Times, โดย Ghost ดร. โรเบิร์ต Wolf © 1994-2004) ปรากฏในหลายบทความในเว็บและในนิตยสารทั่วโลก
    “เรื่องราวของบลู Kachina คือเก่ามาก, เก่ามาก. ฉันรู้เรื่องราวของบลู Kachina ตั้งแต่ผมยังเด็กมาก. ผมได้บอกด้วยปู่ย่าตายายซึ่งขณะนี้กำลังระหว่าง 80 และ 108 ปี. แฟรงค์ Waters ยังเขียน ของ Saquasohuh, Blue Star Kachina ในคัมภีร์ของ Hopi, เรื่องราวมาจากปู่ Dan, Hopi Elder.”
    “ผมได้บอกว่าครั้งแรก Blue Kachina จะเห็นได้ในการเต้นรำ, El’จะได้รู้ว่าเด็กเต้นในสแควร์ในช่วงกลางคืน. เหตุการณ์นี้จะบอกเราว่ายุคสุดท้ายกำลังใกล้. แล้ว Blue Star Kachina จะปรากฏ ในฟากฟ้าทางร่างกายของเราและเราจะมีความหมายว่าในยุคสุดท้าย.
    “ในวันที่ผ่านมามองในฟากฟ้าของเราและเราจะดูผลตอบแทนของสองพี่น้องผู้ช่วยสร้างโลกนี้ในเวลาที่เกิด. Poganghoya เป็นผู้ปกครองของขั้วโลกเหนือของเราและบราเดอร์ Palongawhoya ของเขาผู้ปกครองของขั้วโลกใต้ในวันสุดท้ายคือ Blue Star Kachina จะอยู่กับลูกหลานของเขาและพวกเขาจะกลับโลกการหมุนตามธรรมชาติซึ่งเป็นทวนเข็มนาฬิกา.
    “ความจริงนี้จะปรากฏชัดใน glyphs จำนวนมากที่พูดถึงราศีและปิรามิดอียิปต์และมายัน. การหมุนของโลกได้รับการจัดการโดยมนุษย์ของดาวไม่อ่อนโยนเพื่อ. ฝาแฝดจะได้เห็นในเวสต์บนฟากฟ้าของเรา’. พวกเขาจะมาเยี่ยมชม เพื่อดูว่าใครยังคงจำคำสอนเดิมของพวกเขาใน Patuwvotas บินหรือบินโล่. พวกเขานำมามากครอบครัวของดาวในวันสุดท้าย.”
    “ผลตอบแทนของ Blue Star Kachina ที่เรียกว่าเป็น SOHU GA น่านจะได้นาฬิกาปลุกที่จะบอกเราวันใหม่และวิธีใหม่ของการมีชีวิตอยู่ในโลกใหม่ที่กำลังจะมา. นี้เป็นครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะเริ่ม. พวกเขาจะเริ่มเป็นไฟที่ เผาไหม้ภายในตัวเราและเผาไหม้ขึ้นกับความต้องการและความขัดแย้งถ้าเราจำไม่ได้ว่าคำสอนเดิมและกลับไปทางสงบของชีวิต.
    “หลังจากนั้นไม่นานฝาแฝดจะมาฟอกสีแดง Kachina ซึ่งจะนำมาซึ่งวันแห่งการทำให้บริสุทธิ์. ในวันนี้โลก, สิ่งมีชีวิตและชีวิตทั้งหมดของเธอที่เรารู้ว่ามันจะเปลี่ยนตลอดไป. จะมีบรรดาร่อซู้ลที่จะนำหน้านี้การเข้ามาของเครื่องฟอก. พวกนั้น เขียนข้อความถึงผู้คนในแผ่นดินผู้ที่รำลึกถึงวิธีการเก่า.”
    “ข้อความจะถูกพบในหินอยู่ในธัญพืชศักดิ์สิทธิ์และน้ำทะเลแม้. (Crop Circles ได้รับการพบในน้ำแข็ง) จากเครื่องฟอกจะ’เปิดตัวยิ่งใหญ่ Red Light. ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไปในวิถีชีวิตของพวกเขา. ทุกสิ่งมีชีวิตจะได้รับตัวเลือกเพื่อเปลี่ยนจาก’ใหญ่ที่สุดไปยัง’เล็ก ๆ .”
    “บรรดาผู้ที่กลับไปที่วิธีการที่เราได้รับในคำสอนเดิมและอยู่อย่างเป็นธรรมชาติของชีวิตจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของเครื่องฟอก. อยู่รอดและสร้างโลกใหม่. เฉพาะในคำสอนโบราณจะสามารถคิดออกว่าจะหา ข้อความ.”
    “มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้าใจว่าข้อความเหล่านี้พบได้ในทุกสิ่งมีชีวิตแม้กระทั่งในร่างกายของเราแม้ในหยดเลือดของเรา. ทุกรูปแบบชีวิตจะได้รับข้อความจากฝาแฝด … คนที่บินพืชแม้ กระต่าย. L’ลักษณะของคู่แฝดเริ่มต้นเป็นระยะเวลาเจ็ดปีซึ่งจะเป็นโอกาสสุดท้ายของเราที่จะเปลี่ยนวิธีการของเรา. ทั้งหมดนี้’ประสบการณ์ที่เราเป็นเรื่องของทางเลือกของเรา.”
    “หลายคนดูเหมือนจะมีความขาดทุนให้แก่ตัวของพวกเขาในวันสุดท้ายเหล่านี้. ที่รุนแรงเช่นนี้จะลักษณะของการเปลี่ยนแปลงที่ผู้ที่มีจิตวิญญาณที่อ่อนแอจะกลายเป็นคนบ้าเราไม่มีอะไรที่ไม่มีวิญญาณ. พวกนั้นหายไปก็มีเรือว่างเพียงไม่จำเป็น. ชีวิตจะเป็นเช่นนั้น ไม่ดีในเมืองที่มากจะเลือกที่จะออกจากเครื่องบินลำนี้. บางคนในกลุ่มทั้งหมด.
    “ผู้ที่กลับไปเป็นค่าของวิธีการเดิมจะไม่สามารถค้นหาความอุ่นใจ. ในดินแดนที่เราจะพบว่าจะมีการบรรเทาจากความบ้าอยู่รอบตัวเรา. พวกเขาจะครั้งยากสำหรับสตรีที่มีบุตรหลายของเด็กในครั้งนี้จะผิดธรรมชาติ . บางส่วนมาจากดาวบางส่วนจากโลกที่ผ่านมาบางส่วนจะยังมีการสร้างโดย’มนุษย์ในลักษณะที่ผิดธรรมชาติและจะได้รับโดยปราศจากจิตวิญญาณ. ผู้คนจำนวนมากในเวลานี้จะว่างเปล่าในวิญญาณจะ Sampacu. บังคับชีวิตไม่มีในสายตาของพวกเขา.”
    “เมื่อเราใกล้เวลาของ’มาถึงเครื่องฟอกจะมีบรรดาผู้ที่เดินชอบผีในเมืองแคนยอนสร้างภูเขาเทียม. บรรดาผู้ที่เดินผ่านสถานที่เหล่านี้จะหนักในรอยเท้าของพวกเขาก็จะดูน่ากลัวในขั้นตอนสำหรับผู้ที่เชื่อมต่อจากทุก จิตวิญญาณและ Earth.”
    “หลังจากที่มาถึงของคู่แฝด’พวกเขาก็จะเริ่มหายไปจากดวงตาของคุณชอบควัน. อื่น ๆ จะมีความผิดปกติที่ยิ่งใหญ่ในใจของทั้งสองและในร่างกายของพวกเขา. จะมีผู้ที่จะอยู่ในร่างกายที่ไม่ได้ของความเป็นจริงนี้จะเป็นเพราะหลายประตูแรก ป้องกันเราจะเปิดจะมีความสับสนมาก. ความสับสนระหว่างเพศ, เด็กและผู้ใหญ่.
    ชีวิตจะกลายเป็นน่ารังเกียจมากและจะมีระเบียบทางสังคมน้อยเวลาในภูเขานี้หลาย cadergli ขอให้เขาสิ้นความทุกข์ยากของเขา. คนอื่น ๆ จะยังคงปรากฏเป็นจัณฑาลจากสิ่งที่เกิดขึ้น. บรรดาผู้ที่รำลึกถึงคำสอนเดิมและมี ทำการเชื่อมต่อหัวใจของพวกเขาด้วยจิตวิญญาณ. บรรดาผู้ที่จำได้ว่าเขาเป็นใครและพ่อแม่. Pahana ที่มีซ้ายไปอาศัยอยู่ในเทือกเขาและป่า.”
    “เมื่อเครื่องฟอกมาเราจะเห็นเขาแรกเป็นสีแดงขนาดเล็กสตาร์ซึ่งจะเป็นที่ใกล้ชิดและเขาจะนั่งอยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายของเราดูเรา. ดูดีเพื่อดูว่าเมื่อเราจำคำสอนศักดิ์สิทธิ์.”
    “เพียวริฟายเออจะแสดงให้เราเห็นสัญญาณมหัศจรรย์มากมายในฟากฟ้าของเราและในวิธีที่เราจะรู้ว่าผู้สร้างไม่ได้ฝันนี้. ถึงแม้ผู้ที่รู้สึกว่าการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณจะไม่ได้เห็นหน้าของผู้สร้างในท้องฟ้า. สิ่งที่มองไม่เห็นจะรู้สึกว่าขอ.”
    “หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นไม่มีความหมายเพราะความจริงจะย้ายเข้าและออกของรัฐฝัน. จะมีช่องจำนวนมากในโลกภายในที่จะเปิดในเวลานี้. สิ่งที่ลืมไปนานจะกลับมาเพื่อเตือนเราถึงการสร้างก่อนหน้านี้. ทุกสิ่งมีชีวิต ต้องการที่จะนำเสนอในวันนี้เมื่อเวลาสิ้นสุดลงและเราเข้าสู่วงจรนิรันดร์ของโลกห้า.”
    “เราจะได้รับการเตือนมากทำให้เราสามารถเปลี่ยนวิธีการของเราทั้งสองจากด้านล่างและจากข้างต้น Earth. แล้วในเช้าวันหนึ่งในช่วงเวลา. เราตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแดง. ท้องฟ้าเป็นสีของเลือดแล้วหลายสิ่งที่เริ่มเกิดขึ้นที่ ขณะนี้เรามั่นใจว่ามีลักษณะที่แน่นอนของพวกเขา. เนื่องจากจำนวนมากของความเป็นจริงจะไม่เป็นเช่นนี้.”
    “จะมีสัตว์แปลก ๆ มากมายในโลกวันนี้บางส่วนจากที่ผ่านมาและบางส่วนที่เราเคยเห็น. ลักษณะของสปีชีส์ของมนุษย์จะปรากฏขึ้นแปลกในครั้งนี้เราเดินระหว่างโลกและเป็นที่สุราจำนวนมากแม้จะอยู่ในร่างกายของเรา. หลังจาก เวลาในการเดินอีกครั้งกับพี่น้องของเราจากดาว, และสร้างโลกนี้ แต่ไม่ได้จนกว่าเครื่องฟอกได้ลาออกจากเครื่องหมายของเขาในจักรวาล’.”
    “ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จะไม่สามารถแตะต้องได้ที่นี่หรือในสวรรค์. วิธีการในครั้งนี้ได้บอกว่ามันอยู่ในจิตใจของเราและ reuniting กับจิตวิญญาณของเราเอง. จะกลายเป็นง่ายและกลับไปอยู่ด้วยและเหนือโลกและสอดคล้องกับ สัตว์. จำว่าเราเป็นผู้ดูแล, porters ของไฟของพระวิญญาณของเขา. ญาติของเราจากดาวจะมาที่บ้านเพื่อดูว่าเราได้ในการเดินทางของเรา.”
    รูปภาพที่มีอยู่ในงานนำเสนอนี้จะเป็นมนุษย์ปู่ย่าตายายของฉัน Hopi … พวกเขาจะพูดความจริง .. ก็ยังคงเวลาในการเปลี่ยนแปลง
    แหล่งที่มาของประกาศฉบับนี้ : VERITAS2012, ALTROGIORNALE



    [​IMG] มกราคม 23, 2011 [​IMG] DivineLight

    Message from DivineLight.
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คำทำนายของโฮปิ

    โฮปิ (Hopi) เป็นชนเผ่าอินเดียนแดงโบราณที่ถูกกันให้อาศัยอยู่ในเขตสงวนบริเวณรอยต่อ ระหว่างรัฐแอริโซนา นิวเม็กซิโก ยูทาห์ และโคโลราโด ชาวโฮปิมีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลว่าวันหนึ่งแผ่นดินของ โฮปิจะถูกคนผิวขาวรุกรานและนำพาชาวโฮปิไปสู่หายนะ

    [​IMG]
    ภาพสลักหินของอินเดียนแดงเผ่า โฮปี(จาก
    http://www.viewzone.com/hopi.prophecy.html )

    บรรพบุรุษได้เตือน ว่าอย่าได้ต่อต้านผู้รุกรานด้วยกำลัง ขอเพียงให้ตั้งมั่นอยู่บนแหล่งที่อยู่อาศัยอย่าย้ายถิ่นฐานไปไหนและดำเนิน ชีวิตไปตามวิถีทางเดิมๆ รอจนกว่าผู้ปลดปล่อยชื่อพาฮาน่า (Pahana) จะกลับมาช่วยเหลือเมื่อโลกถึงจุดสุดท้ายของยุคที่สี่

    โลกยุคแรกสิ้น สุดลงในปี 1914 อันเป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุคที่สองสิ้นสุดลงในปี 1940 อันเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และยุคที่สามสิ้นสุดลงในปี 1961 ส่วนยุคที่สี่จะสิ้นสุดลงเมื่อใดให้สังเกตสัญญาณบอกเหตุ 9 ประการ อันได้แก่

    1.คนผิวขาวปรากฏกายพร้อมกับสายฟ้าผ่า (ปืน)
    2.ล้อที่หมุนไปนำพาครอบครัวคนผิวขาวรุกล้ำแผ่นดินชาวโฮปิ (กองเกวียนผู้บุกเบิก)
    3.ฝูงสัตว์ป่าหน้าตาเหมือนควายแต่มีเขายาว เข้ายึดครองผืนดินชาวโฮปิ (ฝูงปศุสัตว์ของผู้บุกเบิก)
    4.งูเหล็กเลื้อยผ่านแผ่นดิน (ขบวนรถไฟ)
    5.แผ่นดินเต็มไปด้วยใยแมงมุมยักษ์ (สายไฟระโยงระยาง)
    6.แผ่นดินถูกแบ่งแยกด้วยสายธารหินที่สร้างภาพบนดวงอาทิตย์ (ถนนสร้างภาพสะท้อนลวงตา)
    7.ทะเลกลายเป็นสีดำ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากล้มตาย (น้ำมันดิบรั่วลงสู่ทะเล)
    8.คนหนุ่มสาวไว้ผมยาวเหมือนชาวอินเดียนแดง หันมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนพื้นเมืองและให้ความสนใจในปรัชญา (ฮิปปี้)
    9.ที่พักอาศัยบนสรวงสวรรค์ร่วงหล่นจากท้องฟ้า (สถานีอวกาศ Skylab ตกในปี 1979)

    เมื่อสัญญาณบอกเหตุทั้ง 9 สิ่งเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว อีกไม่กี่ปีหลังจากนั้นคนผิวขาวจะทำสงครามกับชนชาติต่างๆบนผืนแผ่นดินนอก ประเทศ ไม่นานนักจะมีผู้เก่งกาจเกิดขึ้นบนแผ่นดินเก่า (เช่น จีน อินเดีย แอฟริกา อาหรับ) เขาจะประกาศสงครามกับคนผิวขาว อเมริกาจะถูกทำลาย สถานที่หลบภัยไม่สามารถป้องกันภัยพิบัติได้ ผู้คนจำนวนมากจะล้มตาย ผู้ที่เหลือรอดคือคนที่มีสันติภาพอยู่ในใจ (อาจหมายถึงพวกที่ใช้ชีวิตสันโดดห่างไกลความเจริญทางวัตถุ) เมื่อถึงเวลานั้นพาฮาน่าจะกลับมาช่วยเหลือ ผู้ที่รอดชีวิตจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิว เป็นอันสิ้นสุดโลกยุคที่สี่

    เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตรงกับคำทำนายของ บรรพบุรุษชาวโฮปิแล้วทุกประการนอกจากผู้เก่งกาจบนแผ่นดินเก่ายังไม่ปรากฏตัว หรืออาจจะปรากฏตัวขึ้นแล้วแต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเขา ก็รอดูกันว่าเหตุการณ์สุดท้ายของคำทำนายจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้หรือไม่

    ทฤษฎีคลื่นเวลา

    ต้นทศวรรษที่ 1970 เทอร์เรนซ์ แม็คเคนน่า (Terrence McKenna) นักเขียนและนักค้นคว้าให้ความสนใจกับคัมภีร์อี้จิงของชาวจีนโบราณ เขาสังเกตว่าคำพยากรณ์เขียนเป็นสัญลักษณ์ 64 รูปแบบที่ปรากฏในคัมภีร์นั้น ประกอบขึ้นจากเส้นเดี่ยวและเส้นคู่ 6 แถวเท่านั้น ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้เมื่อเขียนกลับหัวจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของตัวถัดไปที่ อยู่ติดกันนอกจากสัญลักษณ์ตัวที่ 1, 2, 27, 29, 61 และ 62 เมื่อเขียนกลับหัวก็ยังคงมีรูปร่างเหมือนเดิม

    เทอร์เรนซ์ศึกษาคัมภีร์อี้ จิงอย่างเอาเป็นเอาตาย เขานำความรู้ที่ได้มาแปลงเป็นสมการคณิตศาสตร์แล้วให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำ การคำนวณอิทธิพลของดวงดาวต่อเหตุการณ์สำคัญตามหลักโหราศาสตร์แล้วนำมาเทียบ เคียงเปรียบเทียบกับวันเวลาตามความเป็นจริง ซึ่งเขาพบว่าเส้นกราฟจะตกลงถึงจุดต่ำสุดในวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญๆบนโลก ทุกครั้ง และไม่ต้องบอกก็คงจะเดากันได้ว่าเส้นกราฟตกลงถึงศูนย์ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012

    หากยังไม่เชื่อคำทำนายเหล่านี้ ลองมาดูวิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่กันบ้าง เวลา 23.11 น. ของวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ดวงอาทิตย์จะโคจรเข้าสู่จุดที่เส้นศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์หันตรงกับจุดกึ่ง กลางของทางช้างเผือก ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ 26,000 ปี เหตุการณ์นี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กโลก แต่จะรุนแรงแค่ไหนอีก 3 ปีเราจะได้รู้กัน

    [​IMG]
    นอกจากนี้ยังมีการตีความคำ ทำนายของนอสตราดามุส (Nostradamus) และโหรดังๆในอดีตหลายท่านว่าโลกจะถึงกาลอวสานในปี 2012 เช่นเดียวกัน เมื่อนำคำนายและความเชื่อเหล่านี้มารวบรวมเข้าด้วยกัน ทำให้ทฤษฎีวันสิ้นโลกฟังดูมีน้ำหนักมากขึ้น ทั้งๆที่หากวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดจะพบว่ามันเป็นการจับแพะมาชนแกะเท่า นั้นเอง

    ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 233 วันที่ 14-20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 หน้า 42 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์ อิศเร


     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    The World will not be destroyed by those that do evil; but by those who watch them without doing anything. Editorial by Jamie Gilcig – October 1, 2011

    [​IMG]

    CFN - On Facebook today there was a quote from Albert Einstein; “The World will not be destroyed by those that do evil; but by those who watch them without doing anything.”

    We live in a conformist world. Where the Sixties was about confrontation today we shy from it.

    Why? Well there’s always a price and ultimately the pay off usually isn’t there for person that buys supper.

    It’s really not a winning proposition.

    As some of our loyal viewers know being an independent in the town that I live in has a very risky nature. It’s clannish; gossipy, with gross conflicts of interest, and your TV show type characters who as one politician once shared with me; “Think they are more important than they really are.”

    Of course this isn’t unique, but it is surprisingly brazen in Cornwall. And once a line is crossed it’s like the Hatfields and McCoys. Sorry or making good on things isn’t on the menu around here much either.

    Now I’m one tough hombre. I can handle most of the sleazy tricks, and skull duggery from Interns being bullied to staff being poached; advertisers mailed out nasty notes; politicians blocking us from covering events. I get used to it. I laugh about and either walk around or through the nonsense, and it seems to work as our growth has never stopped.

    In fact this month, which is almost over sees us with over 90,000 visits for the first time.

    But what I forget, as I’m a flawed human like the rest of us on this gorgeous blue marble we live in; is that not everyone can handle that.

    Cliques pressure people. Not every sponsor is brave or wants the grief. Not every intern or contractor is up to he abuse they may take. Comments like “we have to live here too” or “I have a business to run and can’t have people not hiring me….”

    It’s sad. It’s life. And as Albert said above it’s why we all lose in the end.

    When the bad guys win; even a small battle, we all lose. And the only way the bad guys lose is when they’re exposed. When a mighty light is shined on them. When their misdeeds, conflicts of interest, cronyism, sleazy side deals, and other cretinous behavior is exposed.

    Today one small battle was lost.

    Tomorrow….

    As a great person once said to me;

    The difference between Winners and Losers is how you deal with adversity.

    The beautiful thing about this world is that the sun rises in the morning with new opportunities to make some magic and make the world a better place. I’m very proud of CFN; of what we’ve accomplished in and outside of the community.

    I’m proud of all those that have contributed to it from our writers, to our sponsors, and mostly to you our viewers.

    I will not stop as long as you are all there, and as we grow far and wide, and more people participate and share in what we all stand for, it softens the sting of minor setbacks and those that fall under the thumb of petty evil.

    Jamie Gilcig – Editor

    The Cornwall Free News

    กูเกิลแปลภาษา --"

    โลกจะไม่ถูกทำลายโดยผู้ที่ทำชั่ว แต่โดยบรรดาผู้ที่ดูพวกเขาได้โดยไม่ต้องทำอะไร บรรณาธิการโดย Jamie Gilcig -- 1 ตุลาคม 2011



    CFN -- ใน Facebook วันนี้มีการอ้างจาก Albert Einstein เป็น"โลกจะไม่ถูกทำลายโดยผู้ที่ทำชั่ว แต่โดยบรรดาผู้ที่ดูพวกเขาได้โดยไม่ต้องทำอะไร."

    เราอยู่ในโลก conformist ที่อายุหกสิบเศษที่เกี่ยวกับการเผชิญหน้าวันนี้เราขี้อายจากมัน

    ทำไม? ดีมีเสมอราคาและในที่สุดจ่ายออกมักจะไม่ได้มีสำหรับคนที่ซื้ออาหารมื้อเย็น

    มันจริงๆไม่ได้เป็นเรื่องที่ชนะ

    เป็นบางส่วนของผู้ชมที่ซื่อสัตย์ของเราทราบเป็นอิสระในเมืองที่ฉันอาศัยอยู่ในธรรมชาติมีความเสี่ยงมาก มันเล่นพรรคเล่นพวก; ปาก, กับความขัดแย้งขั้นต้นของดอกเบี้ยและทีวีของคุณแสดงตัวอักษรประเภทที่เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ใช้ร่วมกันในครั้งเดียวกับฉัน"คิดว่าพวกเขามีความสำคัญมากกว่าพวกเขาเป็นจริง."

    หลักสูตรนี้จะไม่ซ้ำกัน แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจหน้าด้านในคอร์นวอลล์ และเมื่อเส้นที่จะข้ามมันชอบ Hatfields และ McCoys ขออภัยหรือการทำดีในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในเมนูที่อยู่รอบ ๆ ที่นี่มากทั้ง

    ตอนนี้ฉันหนึ่ง hombre ยาก ฉันสามารถจัดการมากที่สุดของเทคนิคที่ไม่แข็งและกะโหลกศีรษะ duggery จากการถูก bullied ฝึกงานให้กับพนักงานที่ถูกตุ๋น; โฆษณาส่งออกบันทึกย่อที่น่ารังเกียจ; นักการเมืองปิดกั้นเราจากการที่ครอบคลุมเหตุการณ์ ผมได้รับใช้มัน ผมหัวเราะเกี่ยวกับและทั้งเดินไปรอบ ๆ หรือผ่านเรื่องไร้สาระและดูเหมือนว่าการทำงานเป็นการเจริญเติบโตของเราไม่เคยหยุด

    ในความเป็นจริงในเดือนนี้ซึ่งเกือบจะเกินกว่าจะมองเห็นเรามีมากกว่า 90,000 เข้าชมเป็นครั้งแรก

    แต่สิ่งที่ผมลืมเป็นมนุษย์สมบูรณ์ผมชอบส่วนที่เหลือของเราเกี่ยวกับหินอ่อนสีฟ้าที่งดงามนี้เราอาศัยอยู่ใน; เป็นว่าทุกคนไม่สามารถจัดการที่

    Cliques คนความดัน ไม่ได้สปอนเซอร์ทุกคนมีความกล้าหาญหรือต้องการความเศร้าโศก ไม่ได้ฝึกงานหรือผู้รับเหมาที่ทุกคนจะขึ้นอยู่กับเขาละเมิดพวกเขาอาจต้องใช้เวลา ความเห็นชอบ"เราจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่มากเกินไป"หรือ"ฉันมีธุรกิจที่จะเรียกใช้และไม่สามารถมีคนไม่จ้างฉัน ... ."

    ก็เสียใจ มันเป็นชีวิต และเป็นอัลเบิร์กล่าวข้างต้นเป็นเหตุผลที่เราทุกคนสูญเสียในที่สุด

    เมื่อคนเลวชนะแม้กระทั่งการสู้รบขนาดเล็กที่เราทุกคนสูญเสีย และวิธีเดียวที่คนเลวเสียคือเมื่อพวกเขากำลังเผชิญ เมื่อแสงไฟอันยิ่งใหญ่เป็น shined กับพวกเขา เมื่อ misdeeds ของพวกเขาขัดแย้งทางผลประโยชน์ cronyism ข้อเสนอด้านแข็งและพฤติกรรม cretinous อื่น ๆ เป็นที่เปิดเผย

    วันนี้การต่อสู้อย่างใดอย่างหนึ่งมีขนาดเล็กได้หายไป

    วันพรุ่งนี้ ...

    เป็นคนที่ดีเมื่อพูดกับฉัน;

    ความแตกต่างระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้เป็นวิธีการที่คุณจัดการกับความทุกข์ยาก

    สิ่งที่สวยงามเกี่ยวกับโลกนี้คือการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นในช่วงเช้ากับโอกาสใหม่ที่จะทำให้ความมหัศจรรย์บางอย่างและทำให้โลกเป็นสถานที่ดีกว่า ผมภูมิใจมากที่ CFN; จากสิ่งที่เราได้ประสบความสำเร็จทั้งในและนอกชุมชน

    ผมภูมิใจของทุกคนที่มีส่วนร่วมกับมันจากนักเขียนของเราเพื่อผู้สนับสนุนของเราและส่วนใหญ่ให้กับคุณผู้ชม

    ฉันจะไม่หยุดตราบใดที่คุณกำลังทั้งหมดที่มีและเป็นเราเติบโตไกลและกว้างและผู้คนจำนวนมากมีส่วนร่วมและมีส่วนร่วมในสิ่งที่เรายืนทั้งหมดก็ต่อยนุ่มของ setbacks เล็กน้อยและบรรดาผู้ที่ตกอยู่ภายใต้นิ้วหัวแม่มือของอนุชั่วร้าย .

    Jamie Gilcig -- แก้ไข

    ข่าวคอร์นวอลล์ฟรี

    The World will not be destroyed by those that do evil; but by those who watch them without doing anything. Editorial by Jamie Gilcig – October 1, 2011 |
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2011
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    MThai News : สำนักข่าวของจีน เผยภาพ ไป๋ อวิ๋นซัน เกษตรกรหนุ่มวัย 26 ปี อาศัยอยู่ที่ตำบลถู่เฉียว เมืองอี๋วซู่ มณฑลจี้หลิน กำลังแสดงวิทยายุทธวิชาตัวเบาปีนป่ายตามต้นไม้และไต่กำแพงอย่างคล่องแคล่ว
    ทั้งนี้ ไป๋เผยว่า เขาฝึกวิชาตัวเบานี้ด้วยตนเองจากรูปภาพในหนังสือ ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ กระทั่งเมื่อ 3 เดือนที่แล้วจึงฝึกวิชาตัวเบานี้สำเร็จ
    ด้านจัง หย่ง อาจารย์วิชาฟิสิกส์ของโรงเรียนมัธยมในฉังชุน กล่าวว่า ฝีมือไต่กำแพงของไป๋ อวิ๋นซัน นั้นต้องอาศัยเวลาฝึกฝนที่ยาวนาน ความว่องไวและความแม่นยำของเขาจัดอยู่ในระดับสูง ท่าลอยตัวห้อยศีรษะของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ท่าป่ายปีนต้นไม้ราวเสือดาวของเขาก็มาจากทักษะที่เกิดจากการฝึกฝน ด้วยการเคลื่อนไหวลำตัว แขนขาอย่างว่องไว และน้ำหนักตัวที่เบา เขาจึงสามารถหยุดอยู่ที่กิ่งไม้ในเวลาอันสั้น ซึ่งก็ไม่ทำให้กิ่งไม้โค้งงอหรือแตกหัก สมดั่งคำว่า “วิทยายุทธลอยพริ้วบนสายน้ำ”
    Photo:: hefei.cc
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เครดิต คุณ
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->วรเดช<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5353703", true); </SCRIPT> http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1328
     
  13. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    เจ้าสำนักบู้ตึ้ง กลับชาติมาเกิด
     
  14. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    [​IMG]
    ภาพจาก Facebook

    น่ารักดีอ่ะ ชอบเลยเอามาฝากเจ้
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อืมๆๆ น้องหมาเอาขาหน้า ราน้ำ ก็ดูน่ารักดีนะ

    อิอิ
     
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    น้องหมาไม่ผิด เพราะน้องหมาไม่มีมือ
    :boo::boo::boo:
     
  17. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    เลี้ยงแล้วเสียข้าวสุกทำไมเอ็งไม่ตะกุยน้ำ
    ขาไม่ช่วยตะกุย ยังเอาเท้าราน้ำอีก !!!
     
  18. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    อย่างนี้จัต้องส่งไปเวียดนาม เนื้อคงนุ่ม อิอิ ล้อเล่น
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    น้องหมาคงอยากบอกว่า เจ้านายกรูยังไม่ว่าซักคำ แถมยังพายไปยิ้มไป ^^"

    ได้โปรดเอ็นดูป๋มด้วยนะคร้าบบบ ก็น้ำมันน่าเอาขาหน้า ราเล่น ง่ะ

    อย่าส่งป๋มไปเวียดนามเรยน้า ป๋มขออยู่กะป๊ะป๋ามะม๊าของป๋ม นะคร๊าบบบบบ ท่านเทพ

    (แซวมาก็แซวไป วันนี้ ว๊างว่าง อิอิ)
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    ลูกควายโคลนนิ่งจากพญาควายตัวแรกของเมืองไทย
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    "ลูกควายโคลนนิ่ง" ตัวแรกของเมืองไทย ความสำเร็จโดยสัตวแพทย์ จุฬาฯ

    "ลูกควายจากการโคลนนิ่งมีลักษณะเหมือนพ่อควาย ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ “หน้าดอก หางแบน ข้อเท้าค่าง ปากคาบแก้ว เท้าขุนนาง” กล่าวคือ บริเวณหน้าผากช่วงระหว่างเขาจะปรากฏเป็นโพธิ์สีขาวหรือ “หน้าดอก” ส่วนหางจะแบบคลี่คล้ายพัดและมีสีขาว ข้อเท้าทั้งสี่ตั้งแต่ใต้เข่าลงไปจะเป็นสีขาวเหมือนกับใส่ถุงน่อง ส่วนปากจะมีสีขาวนับตั้งแต่เหนือจมูกลงไป ปลายลิ้นมีปื้นสีดำ สำหรับกีบเท้าทั้ง 4ขาจะยาวออกมาอย่างชัดเจน ควายที่มีลักษณะเช่นนี้พบน้อยมากจนแทบสูญพันธุ์"


    http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000146847
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...