เรื่องของใจ นี้กว้างใหญ่ จะมาวัดเป็นปริมาณไม่ได้ ผมยกตัวอย่างให้ฟังอย่างหนึ่งนะครับ เอาแบบทีเดียวขาดไปเลยจะได้ไม่ต้องเถียงกันอีก
ผมถามว่า การที่เราหัดขับรถจนชำนาญได้ หรือ เราฝึกฝนอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งจนชำนาญได้ ผมถามว่า มันมีปริมาณไหม และเรามอบความชำนาญนี้ให้แก่กันได้หรือไม่ ตอบว่า ไม่ เพราะว่าถ้าจะมอบให้ใคร เราต้องสอนเขาแล้วให้เขาฝึกเอง ข้อนี้ อย่าเถียงผมอีกหละ มันชัดเจนที่สุดแล้ว
ส่วน อะไรที่เป็นวัตถุ เราจึงให้กันได้ นั้นเรียกว่า ทาน
ขอยก บุญกริยาวัตถุ มาให้ดุกัน
.ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
2.สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
3.ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
4.อปวายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติถ่อมตนแก่ผู้ใหญ่ คือ ไม่ทำตัวเป็นคนพาล การทำตัวหยิ่งยโส แต่เป็นคนสุภาพอ่อนโยน
5.เวยยาวัจวมัย บุญสำเร็จด้วยการขวนขวายในกิจกรรมที่ชอบ เช่น รับใช้บิดา มารดา ผู้มีพระคุณ ครูอาจารย์รวมตลอดถึงคนที่เราไม่รู้จักแต่ต้องการความช่วยเหลือจากเราในบางโอกาส โดยที่กิจการต่างๆที่เราช่วยนี้ด้วยชอบด้วยกฎหมาย ชอบด้วยประเพณี และชอบด้วยธรรม
6.ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ เฉลี่ยส่วนความดีให้กับผู้อื่น
7.ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ ยินดีในความดีของผู้อื่น
8.ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม คือ รับฟังความรู้ที่เป็นประโยชน์ เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในความเห็นที่ดีงาม
9.ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม คือ การถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
10.ทิฏฐุชุกัมม์ บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ตรง คือ การใช้ปัญญาไตร่ตรองอยู่เสมอว่าอะไรผิด อะไรถูก
ข้อที่ขีดเส้นใต้ยาวไว้ คือ การอุทิศ ส่วนของความดีให้ผุ้อื่น ในตอนที่เรากรวดน้ำ นั้นคือ อุทิศเฉลี่ยส่วนของความดี แต่ไม่ใช่ สะสมบุญ โอน บุญ เบิกบุญ เพราะบุญในส่วนอื่นๆ ที่เราทำกันนั้น มันไม่สามารถเบิกออกมาแจกคนอื่นได้
ก็จะเห็นว่า การอุทิศ ส่วนกุศลนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งเล็กๆ ในการทำบุญของพระศาสนา และไม่ใช่เป็นการดับทุกข์ ไม่ใช่เป็นหลักใหญ่ ไม่ใช่เป็นใจความ
แม้กระทั่งข้อนี้ ก็น้อยเกินไปที่จะสอนให้คนดับทุกข์ด้วยแค่การทำบุญ อุทิศส่วนกุศล
มิหนำซ้ำ หลวงพ่อท่านยังแปล คำพูด ไปเป็น โอนบุญ เบิกบุญ สะสมบุญ อย่างที่ ไม่ได้ศึกษาเลยว่า สภาพของบุญนั้นเป็นอย่างไร
ก็จะบอกว่า นี่แหละ ผลของการ ไม่มี โยนิโสมนสิการ คือ ไม่รู้จักพิจารณาอะไรให้มันแยบคาย ทบทวน
วิปัสสนา เห็นอะไร ก็สรุปเอา ทึกทักเอา ไม่ยึดตามหลักกาลมสูตร
ขอค้าน หลวงพ่อเกษม อาจิณสีโล
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 27 กุมภาพันธ์ 2008.
หน้า 8 ของ 26
-
อย่าลืมว่า ผมไม่ได้พูดถึงปริมาณอย่างเดียวนะ ยังรวมถึง รูปพรรณ สัณฐาน ด้วย...เพราะคุณจอนสัก กล่าวออกมาก่อน จึงต้องการชี้ให้เห็น -
ผมอยากจะบอกว่า พวกคุณๆ ที่ชอบในเรื่อง นรก ผีเปรต สัมภเวสี เหล่านี้ พวกคุณไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริง
คุณไม่แก้ปัญหาในกรอบของคุณให้ดีก่อน เราอยุ่ในโลกมนุษย์ โลกมนุษย์ นี้มีกฎเกณฑ์อย่างไร ทำไมเราไม่เอากฎเกณฑ์นี้ให้ดีเสียก่อน เมื่อมีภูมิธรรมสูง พอที่จะแจ้งโลกแล้ว ค่อยขยับไปดู กรอบแห่งจักรวาล และ โลกอื่น เราเอาสภาวะของโลกอื่นมาแก้ปัญหาในโลกนี้ มันผิดกันมาก มันไม่ใช่การแก้ปัญหาชีวิตด้วยวิธีที่ถูกต้อง
พวกคุณกำลังอยุ่ในโลกของสัญญาทั้งสิ้น คือ จำมา ฟังมาแล้วเหมาว่า สิ่งนั้นเป็นจริง จนลืมนึกถึงโลกที่สวยงามในโลกมนุษย์ของเรา เพียงแค่พวกคุณ ลบสิ่งเหล่านี้ออกจากใจ มีชีวิตอยุ่แบบสมัยเมื่อพวกคุณยังเด็ก คุณจะเห็นว่า ทุกวันมันสดใส และมีความสุข คุณไม่มีตะกอนที่หนาไปด้วย ความจำว่า มีผี มีเปรต มีเทวดา คุณก็จะแก้ปัญหาแบบโลกๆ และมันก็ดีเสียด้วย เพราะคุณไม่มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนให้กับชีวิต
ยิ่งโตขึ้นทุกวัน เรายิ่งหมักหมม คนยิ่งแก่ ยิ่งพูดเรื่องอดีต เพราะมันเบื่อ กับชีวิตปัจจุบัน จึงวิ่งไปหาอดีต
แต่สำหรับผม ผมมีความสุขตลอดเวลา และมีพลังตลอดเวลา เพราะมันไม่เบื่อในปัจจุบัน มันก็มีพลังขับเคลื่อนไปในอนาคต
ก็พิจารณากัน -
ผมเคยบอกแล้วว่า ทุกอย่างลงตัวได้ หากคุณจะให้มันเรียบง่าย มันอยุ่ที่มุมมองและตัณหาของคุณเอง
คุณสร้างเงื่อนไขให้กับชีวิตมาก อะไรๆ มันก็ไม่ลงรอย เพราะมันไม่ตรงใจ ไม่ตรงเงื่อนไขของคุณ
แม้กระทั่งสวดมนต์ คุณยังต้องกลัวว่า จะไปโดนวิญญาณ ไปกระเทือนวิญญาณ
แม้กระทั่งแผ่เมตตา คุณยังต้องกังวลว่า มันจะไม่ดี
แม้กระทั่งว่า ป่วยไข้ คุณยังต้องอุทิศให้เชื้อโรค
ผมว่า คุณหยุดสร้างเงื่อนไขเหล่านี้ แล้วปัญหาของคุณจะเบาบางลง
หลวงพ่อ เกษม ท่านมีปัญหา ผมขอบอกตรงๆ เพราะท่านไม่ไปดูที่ตัณหาในใจของท่าน ท่านก็ สรุป วิธีแก้ไขไปเรื่อยๆเปื่อยๆ เป็นการยิ่งขมวดปม มากขึ้นไปทุกทีๆ
คุณไปดูหลวงตามหาบัว เทศ สิ เรียบง่าย เวลาท่านหัวเราะ ท่านก็หัวเราะอย่างเต็มที่ ท่านไม่มีฟอร์ม เพราะท่านพ้นสมมติ เวลาใครมาพูดในทำนองปรุงแต่ง ท่านก็บอกให้ ไม่ต้องไปสนใจ
ท่านแก้ปัญหาอย่างโลกๆ คือ ประเทศไทยขาดเงิน ท่านก็ออกหาเงินทอง รับบริจาค ท่านไม่เคย ให้ผีให้เทวดา มาหาเงินให้ ท่านป่วย ท่านก็บอกว่า ท่านแก่แล้ว สังขารมันเป็นไปตามปกติ ท่านไม่เคยสอนอะไรที่พิสดาร
ก็ดูกันนะ จะได้ไม่หลง ตัวโมหะ นี้ตัวดี -
สาธุครับ บรรยายซะเห็นภาพเลย...
ไปหลงของนอกตัว เปรียบได้กับ บ้าหอบฟาง ครับ -
เราเชื่อว่าบุญมี ผมก็เชื่อ คุณก็เชื่อ
เราเชื่อเรื่องแผ่เมตาตา แผ่บุญ ผมก็เชื่อ คุณก็เชื่อ
............
แล้วถ้าบุญ มันจะเป็นตัวยังไง โอนให้กันได้ไหม เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม
............
อันนี้ไม่น่าถาม นะ น้ำ ยังละลายกลายเป็นไอ เป็นน้ำแข็ง เป็นน้ำหวาน เป็นน้ำเค็ม แล้วทำไม บุญจะเปลื่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ล่ะ
............
ลม มองไม่เห็น ยังสัมผัสได้ รวมกันเป็นพายุ ทอร์นาโดได้ มองไม่เห็นแต่ทุกคนยอมรับว่ามันมีอยู่.....
............
เรื่องภูตผีปีศาจ พระอาจารย์ท่านก็ไม่ได้บอกไม่ได้สอนว่า จะเป็นหนทางพ้นทุกข์ เป็นการช่วยเหลือ คนป่วยของหมอช่วยผู้ป่วยเท่านั้น
.............
เรื่องนี้ก็มีเจตนาของเรื่องนี้....เรื่องนิพพานหลวงพ่อไม่ได้พูดถึง เรื่องธรรมะหลวงพ่อไม่ได้พูดถึง....อย่ามั่วเอาเรื่องธรรมะ มารวมกันสิครับ
.............
อย่างคนเราจะนั่งสมาธิ แล้วปวดท้องอย่างแรง คือเกิดปัญหาขึ้น ในกลางทาง จะมัวหลับหูหลับตา ก้มหน้านั่งสมาธิต่อไป สมาธิก็คงไม่เกิด..ต้องไปห้องน้ำปลดปล่อยก่อน หรือไม่หมด ต้องเข้าห้องน้ำหลายครั้ง หรือบางคนอาการหนัก ต้องไปหาหมอเข้าน้ำเกลือ ...รักษาจนหาย ค่อยกลับมานั่งสมาธิได้.........เห็นหรือยังว่า ท่างเดินสู่ทางพ้นทุกข์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
มีคนเยอะแยะมากมายที่ป่วย รักษาไม่หาย ไม่ทราบสาเหตุ หมอวินิจฉัยไม่ได้
แล้วคุณขันธ์ว่า...ใครจะช่วยเขา....บางคนป่วยเงินไม่มี ใครจะช่วยเขา
คนถูกของ ใครจะช่วยเขา....คุณขันธ์ช่วยได้ไหมครับ.....
อย่างพระ ป่วย ก็ยังต้องไปหาหมอ .....แล้วทำไม หลวงพ่อเกษมท่าน แนะนำให้คนแก้....ปัญหาอีกแบบ อีกทาง ....อยากทำก็ทำ ไม่อยากเชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ.....คุณขันธ์ก็ไปว่าท่านโกหก ไม่ไช่ธรรมะ ท่านมุสา ท่านขาดจากความเป็นพระ คุณขันธ์ไปตัดสินท่านได้ด้วยหรือครับ....พระอาจารย์หลวงตามหาบัว ไม่บวชให้ท่านอาจารย์เกษม ก็มีสาเหตุของท่านมหาบัว และท่านก็ไม่ได้พูดออกมา มันก็ไม่ผิดอะไรนี่......ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง
......หลวงพ่อเกษม ท่าน ก็แนะนำ วิธีแก้ปัญหาแบบของท่าน โดยที่ท่านก็รู้ว่าต้องมีคนแบบคุณขันธ์นี่แหล่ะ ออกมาค้าน....ท่านรู้ท่านยังกล้าเปิดเผย
ถ้าท่านไม่มั่นใจ ท่านคงไม่กล้าบอก.......และพระอาจารย์องค์อื่นๆ ก็พากันด่า ว่าท่านแล้ว คงพากันไล่ท่านลงออกจากพระแล้ว ถึงไม่ชอบท่านที่ท่านสอนให้ เชื่อเรื่องผีสาง ไม่สอนเรื่องการพ้นทุกข์ แล้วเชื่อได้ยังไงว่าหลวงพ่อเกษมไม่สอนเรื่องการพ้นทุกข์ ไม่สอนธรรมะของพระพุทธเจ้า
ไม่เห็นมีพระอาจารย์ท่านได ไปตัดสินท่าน ว่าท่านโกหก ว่าท่านมุสา ว่าท่านขาดจากความเป็นพระ...เหมือนคุณขันธ์ผู้ปราดเปรื่องเลย ...เก่งแท้ -
เอาเถิดครับ คุณ จร ผมไม่แก้ต่างอะไรอีก วันหนึ่งจะปรากฎเอง
ผมเห็นอย่างไร ก็พูดไปอย่างนั้น ขี้เกียจอ้อมค้อม มานั่งเกรงใจกันพอดี ไม่ได้รู้ความจริง -
หรือท่านเอกวีร์ ท่านวิมุตติ หรือท่านอื่นๆ
จะเห็นด้วยกับคุณขันธ์ ว่า หลวงพ่อ ท่านเป็นมาร ท่านมุสา ท่านขาดจากความเป็นพระ...ก็ตามใจนะครับ
...................
ส่วนเรื่องหลวงตามหาบัว บางคนรู้ไม่จริง รู้ไม่ลึก ก็อย่าดึงท่านมาเกี่ยวนะครับ.....ผมยังไม่กล้าเอาพระอรหันต์ มาเล่น เหมือนๆ พวกคุณเลย
..................
กลัวบาปครับ.....ผมจำได้ ผมเข้ามาเวปนี้ใหม่ๆ คุณวิมุตติบอกว่าความคิดความเห็นของผม ยังเป็นแบบโลกๆ อยู่ .... ผมคิดในใจว่าพวกคุณๆ คงเป็นเทพเป็นเทวดาหมดแล้ว แล้ว มา งม อยู่ในโลกมนุษย์นี้ทำไมก็ไม่รู้....
.............
ผมคิดยังไงก็พูดอย่างงั้น....ขอโทษครับ -
ผมไม่ต้องการพวก เพราะฉะนั้น ผมกล้าพูดตรงนี้คนเดียว แต่ท่านอื่น จะเห็นอย่างไร ก็ขึ้นอยุ่กับ ดุลพินิจของแต่ละท่าน
ผมชี้แจงข้อเท็จจริงให้ฟังไปหมดแล้ว -
ไม่แย้งกับโลก แต่ไม่ตามกระแสโลก
เข้าใจโลก เพราะเข้าใจธรรม
เมื่อรู้ธรรม ก็รู้ว่า ควรปฏิบัติต่อโลกอย่างไร
เทพเทวดา ก็ยังตามกระแสโลก หากไม่รู้ธรรม
งมอยู่ในโลก เพราะขันธ์ยังอยู่
เสริมสร้างบารมี คือมรรคาปฏิบัติ
สุดท้ายปลายทาง นั้นคือวิมุตติ
หากยังไม่ถึง ควรเข้ากระแส
หากยังหลงผิด เวียนว่ายต่อไป... -
อนุโมทนากับคุณขันธ์ครับ ...คุยกับคุณขันธ์ สนุกดีครับ ไม่เอาอารมณ์ มาปน ดูอารมณ์ไปด้วย...ผู้มีธรรม ย่อมคุยแบบผู้มีธรรม...แล้วได้ธรรม
สาธุ สาธุ สาธุ -
ขอแจมด้วยหน่อยเดียวนะครับ..
เพราะสิ่งที่คุณเอกวีร์กล่าวมาแล้วทั้งหมดเท่าที่อ่านมานี่
รู้เลยว่าคุณเอกวีร์ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับหลวงพ่อเกษมฯ
ยกเอาแต่ตามอักขระที่ปรากฎมาพูดซ้ำๆว่าไม่ใช่ทางพระนิพพานๆ
ไม่ได้หมายความว่าผมแย้งคุณตรงจุดนี้นะครับ
ถูกต้องแล้วครับหลวงพ่อเกษมท่านสอนเรื่องการอุทิศบุญ เบิกบุญ โอนบุญ
(ไม่มีถอนบุญอย่างที่ใครบางคนพยายามจะยัดเยียดตู่ท่านนะครับ)
ก็เพื่อจุดประสงค์ของการปลดเปลื้องความทุกข์เฉพาะหน้า
ให้แก่คนทั่วๆไป ที่กำลังมีปัญหาเรื่องเจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่น้อง
ที่เป็นทิพย์ รวมถึงผู้ที่ดูแลรักษาที่เป็นทิพย์อยู่ครับ เน้นนะครับว่า
วิชชานี้ ไม่ได้มุ่งเน้นสอนให้ไปพระนิพพาน เข้าใจถูกต้องแล้ว ถ้าจับเอา
เฉพาะที่ผมขีดเส้นใต้ไว้นี้มาพูดต่อ
อักขระบัญญัติใดๆ แม้แต่คำว่า เบิกบุญ โอนบุญ ก็ตาม ก็เป็นเพียงศัพท์
ที่ใช้เรียกชื่อวิธีการนี้เฉยๆ แต่เวลาทำจริง ไม่ได้กล่าวคำ 2 คำนี้เลย
เช่น ก่อนจะนั่งสมาธิผมจะกล่าวว่า (ซึ่งตรงนี้ท่านเรียกว่า เปิดบุญไว้)
"ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้บุญที่จะเกิดขึ้น
จากการภาวนาของข้าพเจ้าในครั้งนี้ จงถึงแก่ภูติ ผี ปีศาจ เปรต อสุรกาย
ยักษ์ กุมพันธ์ คนธรรณ์ นาค ครุฑ เทวดา มาร พรหม ยมฑูต ยมบาล
และภพภูมิอื่นๆทุกภพ ทุกภูมิ ที่เป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ญาติ พี่น้อง
เพื่อนฝูงของข้าฯที่มาถึงข้าฯแล้ว และที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของข้าที่มาถึงข้าแล้ว
และที่เป็นผู้ที่คอยดูแลรักษาตัวข้า และรักษาบ้านเรือนทรัพย์สิน รถลาและ
วัตถุมงคลทุกชิ้นทุกอันของข้า ตลอดจนถึงแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย
ทุกภพทุกภูมิ ทุกตัวทุกตน ทุกรูปทุกนาม แม้ว่าจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับข้าก็ตาม
ก็ขอให้ได้รับบุญนี้ทุกๆกระแสบุญที่เกิดขึ้นด้วยเทอญ ขอให้บุญนี้จงส่งให้ได้
ไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นและไปสู่สุคติภพด้วยเทอญ แต่หากผู้ใดปราถนาสิ่งอื่น
สิ่งใด ก็ขอให้บุญนี้ จงแปรสภาพไปเป็นสิ่งนั้น ให้แก่ผู้ที่ต้องการนั้น ทุกผู้ทุกนาม
ทุกภพทุกภูมิด้วยเทอญ" เสร็จแล้วก็นั่งภาวนาไป จนได้เวลาเลิกแล้ว ก็ค่อยแผ่เมตตา
และอุทิศส่วนกุศลซ้ำเข้าไปอีก โดยใช้ข้อความคล้ายๆกัน แต่เปลี่ยนจากคำว่า
"..จงบันดาลให้บุญที่จะเกิดขึ้นจากการภาวนาของข้าฯ.." เป็น "..จงบันดาลให้
บุญที่เกิดขึ้นจากการภาวนาของข้าฯ.." แทนเท่านั้น
ด้วยเหตุผลที่ว่า บุญที่เกิดจากการภาวนามันเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่และมีอานุภาพมาก
มากกว่าบุญจากการทำทานและถือศีล (ตรงนี้คงไม่มีใครแย้งนะ เพราะถ้าแย้ง
ก็กลับไปเรียน ก.ไก่ใหม่ได้)
ท่านเปรียบไว้ว่า บุญมันมาก แล้วเราไปอุทิศออกไปทีเดียวหลังภาวนาเสร็จแล้ว
พวกสัตว์ภพภูมิต่ำๆเขารับไม่ได้เต็มที่เท่าที่เราแผ่อุทิศออกไปหรอก เพราะกำลังเขาน้อย
ไม่เหมือนพวกเทวดาหรือพรหมอะไรพวกนั้น เหมือนฉีดน้ำออกไปให้พวกเขาดื่ม
ผ่านท่อดับเพลิงท่อใหญ่อย่างนั้นแหละ พวกเขามีภาชนะรองรับที่เล็ก ที่น้อย เขา
ก็จะรับไม่ได้เต็มที่ ก็เลยจำเป็นต้องบอกเขาล่วงหน้าก่อนว่าเราขออุทิศให้แล้วนะ
ตั้งแต่ก่อนนั่งภาวนาเลย ถ้าบุญเกิดขึ้นเมื่อใด ก็ให้อธิษฐานเอาได้เลย เป็นระยะๆ
ตลอดช่วงที่เราภาวนาอยู่นี้เลย ค่อยๆเก็บเล็กเก็บน้อยไปว่างั้นเถอะ -
สวัสดี น้าจอน
ในที่นี้ไม่มีใครปรามาสพระหรอกครับ
เพียงแต่ อาจารย์ขันธ์ยกประเด็นมาให้เห็น ว่าอะไรเป็นสัมมาทิฏฐิ
ไม่ให้ไปหลงงมงาย ไปติดยึด เทวดา หรือ จำแนกบุญ อย่างนี้มีแต่จะเพิ่มกิเลส
ท่านก็อธิบายไปทางปรมัตถ์
ส่วน ตามที่ คุณ หรือ ผม เข้าใจนั้นมันก็ถูกแล้ว คือถูกธรรมในสภาวะนั้น ครับ -
ทีนี้ ตัวผมเอง เวลาทำความดีอะไร ก็บอกว่า อุทิศให้กับ บิดามารดา เจ้ากรรมนายเวร เหมือนกัน เพราะเรารู้ว่า มันมีจริงและ ไปถึงกันได้
แต่ทีนี้ ถ้าเราดูให้ดี เราจะเห็นว่า แนวความคิดที่บอกว่า อุทิศให้ กับ โอนบุญ เบิกบุญ นี้ มันคล้ายกัน แต่มันก็ต่างกันมาก ในเรื่องของ ทัสนะ เพราะว่า เท่ากับเราเปลี่ยน บุญ ให้เหมือน เงิน ทอง ทันที
ทีนี้ ก็มาดุว่า ข้อที่ ผิดประหลาดไป คือ คำสอน ที่มันเป็นกฎเกณฑ์ที่แปลกๆ ไปเรื่อยๆ อันหาข้อยุติไม่ได้ ว่าทำไมต้องมีกฎเกณฑ์ เช่นนั้น แบบนั้น และ ผมอธิบายไปแล้วว่า ข้อกฎเกณฑ์ ที่ หลวงพ่อเอ่ยมา ไม่สามารถจะยกเป็นกฎเกณฑ์ที่แท้จริงได้ อันก่อให้เกิด ความ สับสน และสร้างเงื่อนไข เพิ่มให้กับคนที่ มีกุศลจิต
นั่นคือ สิ่งที่ สำคัญ และ ผมก็บอกไปว่า พุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ใช่การมานั่งหากฎเกณฑ์แบบนี้ ผมบอกตามตรงนะ ผมจะทำความดี แล้วผมยังต้อง มากังวลอีกหรือ ว่าต้องระวังตรงนั้น ระวังตรงนี้
กฎเกณฑ์นี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ อันเกิดจากหลวงพ่อเกษมเอง ทั้งๆ ที่ ไม่มีพระอริยะท่านใดสอนแบบนี้
ตรงนี้ จึงขอให้พิจารณากันอีกที
-
ตามธรรมดาแล้ว สรรพสิ่ง ย่อมเกิดแต่เหตุ
การที่ สรรพสัตว์ นั้นแขนขาดขาขาด หรือ โดนน้ำแล้วเป็นไฟ มันต้องเกิดจากอกุศลจิตเป็นที่ตั้ง แล้ว นำไปสุ่กายกรรม
เช่น เราจะฆ่าสัตว์ เราก็ตั้งจิตพยาบาท แล้ว เราก็สร้างเครื่องมือมาประหัตประหารกัน แล้วลงมือกระทำ คือ เอามีดไปไล่ฟัน จึงเกิดผล คือ คนแขนขาด หรือ สัตว์แขนขาด
แต่ ว่าการสวดมนต์ การทำน้ำมนต์ ล้วนแล้วแต่มี กุศลจิตเป็นที่ตั้ง เป็นไปไม่ได้ที่ ดวงวิญญาณต่างๆ จะถูกเบียดเบียน
ข้อนี้ผมพยายามยกขึ้นมา ให้เห็นข้อเท็จจริงกันว่า หลวงพ่อท่าน ไม่ได้พูดธรรม ท่านสรุปผิด ท่านเข้าใจผิด -
ผมขออธิบายตามความเข้าใจของตัวเองว่า เหมือนกับทางโลก ที่มีคนที่เชี่ยวชาญ
ในสาขาอาชีพต่างๆกัน หลวงพ่อท่านเชี่ยวชาญด้านมองห็นสัตว์ในโลกทิพย์ และ
มองเห็นกระแสบุญที่เกิดขึ้นจากคนที่ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลออกไป (อันนี้ใครจะแย้งว่า
เห็นจริงหรือไม่ อย่างไร หรือเป็นวิปัสนูกิเลส หรือฯลฯ ก็สุดแท้แต่จะพูดไป ไม่ใช่ประเด็น
ผมขอข้ามไปนะครับ) ดังนั้นท่านก็เอาความรู้ที่ท่านมีนี้มา apply ใช้ให้ถูกต้อง
ตามที่ท่านเห็นเสียใหม่ และท่านก็พบว่ามันได้ผลจริง ท่านเห็นและสอนแบบนี้มา 10 กว่าปี
แล้วมั๊ง ไม่ได้เห็นในสมาธิด้วยนะ
แต่ส่วนเรื่องสอนกรรมฐานพระ เณร โยม ท่านก็สอนตามแบบของท่าน โดยอิงครูบาอาจารย์
สายพระป่าหนะแหละ คืออาณาปาณสติ และอีก 39 กองที่เหลือนั่นแหละ ทำไมท่านจะไม่สอน
ไม่งั้นจะเป็นเจ้าอาวาสหัวโด่อยู่ได้ยังไง แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับวิชชาอุทิศบุญที่ท่านสอนโดยตรง
แต่เกี่ยวแบบอ้อมๆ คือ เจ้ากรรมนายเวรน้อยลง ก็มีผู้ขัดขวางน้อยลง ภาวนาก็ง่ายขึ้น
ใครว่าภาวนาแล้วยากๆๆท่านบอกเลยว่าสำหรับท่านเดี๋ยวนี้มันง่ายมากๆๆ และถ้าผู้ที่
คอยดูแลรักษาเราอยู่ได้บุญมาก มีอำนาจมากขึ้นแล้ว เขาก็ช่วยเราได้มาก ภาวนา
ก็ติดขัดน้อยลงด้วย เป็นผลพลอยได้ เท่านั้นเอง
แล้วจะถามทำไมอยู่ซ้ำๆว่า มันไม่ใช่ทางไปมรรคผลนิพพานๆๆ ไม่ใช่ทางไปพระนิพพาน
แล้วไม่ต้องทำหรืออย่างไร แต่จะว่าไม่เกี่ยวมันก็เกี่ยวนะ ไม่ตรงก็อ้อม ไม่มีอะไรหรอก
ในจักรวาลนี้หรือจักรวาลไหน ที่แยกตัวเป็นเอกเทศก์ ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใดเลย
ที่มันไม่ได้มาปรากฎต่อสายตาของคุณ ให้คุณได้อ่าน ก็เพราะผมไม่ได้เอามาพิมพ์ลงเท่านั้นเอง
เพราะผมเองก็ไม่ได้ปฏิบัติภาวนาแบบที่ท่านสอนเหมือนกัน อันนี้คงทราบกัน
ดีแล้วนะครับว่าจริตใคร จริตมัน ผมเห็นประโยชน์ของการอุทิศบุญแบบท่าน
ผมก็เลยทำแล้วได้ผล และจึงเผยแพร่ต่อครับ ทั้งหมดนี้ ทั้งที่ผมและหลวงพ่อ
เกษมฯทำก็มาจากคำว่า "เมตตา"
ถ้าคุณจะจับสังเกตดู คุณจะเห็นว่าหลวงพ่อท่านจะเมตตา และใส่ใจกับความ
เดือดร้อนของพวกที่อยู่ภพภูมิต่ำๆมากเป็นพิเศษ และมากกว่าพวกที่อยู่ภพภูมิ
สูงๆด้วย
ดังนั้น พวกคุณที่สรรเสิรอยู่แต่เทวดา พรหม และพระอริยเจ้า จึงอาจจะทำใจ
ยอมรับลำบากสักหน่อย ที่มีคนมาบอกว่า
1.อย่าสวดมนต์โดยไม่จำเป็น ถ้าจะสวดให้บอกให้พวกที่อยู่ภพภูมิต่ำๆหลีก
ไปก่อน (ลำบากไหม๊หละถ้าจะบอกก่อน ถ้าลำบากก็น่าเห็นใจพวกเค๊านะ)
2.อย่าทำน้ำมนต์ อย่าเสกวัตถุมงคล เพราะอานุภาพของพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์นี้ไม่ใช่ธรรมดา สามารถทำความวิบัติ ฉิบหาย และทุกข์ทรมานให้กับพวก
สัตว์ภพภูมิต่ำๆนี้ได้เหลือคณานับ
3.จงอุทิศบุญทันทีภายใน 3 วินาทีที่บุญเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นผู้ที่รับจะรับไม่ได้
เพราะกระแสบุญที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่คงอยู่นาน มันจะลอยไปรอเจ้าของบุญอยู่
บนสวรรค์โน่นแล้ว
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าของบุญก็จะต้องอาราธนาขออำนาจพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์มาช่วยบันดาลให้บุญของตัวเอง จงไปถึงแก่ใครก็ว่าไป..(เห็นไหม๊
ไม่มีคำว่า "โอนบุญ"เลย)
หวังว่าคงจะช่วยอะไรได้บ้างนะครับ
ขอกราบอนุโมทนาสาธุ กับทุกๆกระแสบุญที่ทุกๆท่านในกระทู้นี้ได้ทำแล้ว
กำลังทำอยู่ และที่จะทำต่อไปในภายภาคหน้าด้วยนะครับ เน้นนะครับว่าทุกๆ
กระแสบุญ ถ้าไม่ใช่บุญ ผมก็ไม่ขอเกี่ยวข้องด้วยแต่ประการ เช่น กระแส
บาปที่คุณขันธ์ได้ทำในครั้งนี้ ผมก็ไม่ขอเกี่ยวข้องด้วยโดยเด็ดขาดครับ แต่ก็
ขอชมเชยครับ กล้าทำก็กล้ารับดี นี่แหละวิสัยพระโพธิสัตว์.. -
ผมยก ข้อขัดแย้งของ ธรรมะของหลวงพ่อเกษม ขึ้นมาอีกคือ
หลวงพ่อบอกว่า เบิกบุญ โอนบุญ ได้ เพียงแค่นึก ข้อนี้ก็แสดงว่า เบิกบุญ โอนบุญนั้นสำเร็จได้ด้วยใจที่เป็นกุศล
แต่หลวงพ่อกลับ พูดว่า การสวดมนต์ นั้น ทำร้ายดวงวิญญาณ ข้อนี้ นั้น ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะการสวดมนต์ นั้นอาศัยใจที่เป็นสมาธิ เป็นกุศล ระลึกถึงพระพุทธคุณ
ข้อต่อมา เรื่องการแผ่เมตตา ที่อาจจะทำไม่ถูก ข้อนี้หากว่า เรารู้จักการแผ่เมตตา ก็เป็นบุญ ที่สำเร็จด้วยมโน คือ ใจเช่นกัน มันก็ไปขัดแย้งกับการ เบิกบุญ โอนบุญอีก
เงื่อนไขต่างๆ ที่หลวงพ่อพยายามสร้างมาใหม่นั้น มันขัดกัน และ ยุ่งเหยิง
ปนเป เกิดจากการควานหาที่ผิดทาง -
-
เห็นสิครับ ว่าไม่ถุกเบียดเบียน เอาแบบคนที่ไม่เห็นสัมภเวสีพอจะเข้าใจได้
ไม่ต้องวิญญาณนะครับ เอาแค่มด แค่แมลง ซึ่งเป็นสัตว์ มีจิตวิญญาณ ต่ำกว่ามนุษย์มาก
ผมสวดมนต์ ผมก็ไม่เคยเห็นมันอลหม่าน
แต่ทีนี้ เรื่องของวิญญาณ ทำไมจึงต้องเป็นวิญญาณ ชั้นต่ำ จึงจะโดน
ผมไม่พูดเรื่องของ การเห็นนอกเนือวิสัยมนุษย์
แต่จะบอกให้ฟังง่ายๆ ว่า พระอริยะทุกท่าน สรรเสริญการสวดมนต์ แม้กระทั่งพระพุทธองค์ สรรเสริญ พุทธานุสติ ข้อนี้ก็ชี้ชัดแล้วนี่ครับ
ว่าแต่ว่า คุณchayutt ถามผมแบบนี้ แล้วคุณชยุตเห็นหรือครับ ว่า วิญญาณโดนเบียดเบียนจริง -
...........พอเถ๊อะ
หน้า 8 ของ 26