ไปอ่านเจอบทความนึงน่าสนใจค่ะ อ่านง่าย ไม่มีศัพท์ยากๆ อธิบายการทำงานของจิตที่ซ่อนอยู่ที่คนทั่วไปไม่เคยสังเกตุเห็น
จากข้อความตอนหนึ่งในหนังสือปัญญาญาณ
——————————————————————————————
ความลับพื้นฐานที่สุดของชีวิตก็คือ การไม่รู้จักปัญญาอีกชนิดหนึ่งที่ถูกซ่อนอยู่นอกเหนือความคิด สามารถกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า อวิชชาก็คือการไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร นี่เป็นความลับที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของทุกคนบนโลก ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกภาษา ทุกเพศและทุกวัย ความลับนี้ไม่เกี่ยวกับความโง่หรือฉลาดทางการคิด ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์หรือด้อยประสบการณ์ แต่มันเป็นผลจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ในการที่สมองจะสร้างโลกจำลองของระบบความคิดที่ซับซ้อนขึ้นมาได้ จิตใจต้องสูญเสียความสามารถอันเรียบง่ายดั้งเดิมไป นั่นคือความสามารถในการรู้อย่างตรงไปตรงมาของจิต คือการรู้ที่ไม่ผ่านโลกจำลองทางความคิด เป็นการรู้ที่เป็นอิสระจากการตีความของปัจเจกบุคคลและการให้คุณค่าทางสังคม ปัญญาพื้นฐานของจิตนั้นเป็นการรู้ ไม่ใช่ความรู้ การรู้เป็นกระบวนการที่เป็นอิสระจากการสั่งสมข้อมูลและความรู้ต่างๆซึ่งอาจจะถูกหรือผิด หรือเอนเองไปตามทัศนคติ การตีความและการให้คุณค่าทางสังคม
การรู้จึงเป็นปัญญาอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องพึ่งพาถ้อยคำ ไม่ต้องพึ่งพาภาพในใจ จิตหรือจิตสำนึกสามารถรู้ทุกกริยาอาการภายในจิตโดยวิธีพื้นฐานเดียวกับการรู้สึกร้อนโดยไม่ต้องพึ่งพาถ้อยคำ การรู้โดยตรงของจิตยังช่วยให้เราเห็นกระบวนการพื้นฐานของความคิดอีกด้วย เช่นจิตกำลังรู้ลมหายใจ มีสติสมาธิตั้งมั่นในการรู้ลมหายใจ เมื่อความคิดเกิดขึ้น จิตที่เป็นอิสระจะรับรู้ทั้งถ้อยคำและความหมาย จิตจึงไม่หลงไปตามความหมายโดยถ่ายเดียว
ปรมัตถธรรมจึงไม่ใช่การรู้สิ่งใหม่อันมหัศจรรย์ ไม่ใช่การบรรลุธรรมที่ไม่มีในตน ไม่ใช่สภาวะวิเศษที่ไม่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เป็นการรู้ลึกเข้าไปถึงกระบวนการพื้นฐานทางจิตใจ ไม่ใช่การรู้ลึกด้วยการคิดวิเคราะห์ทางเหตุผล แต่เป็นการรู้ลึกด้วยการสังเกตหรือด้วยการรู้ที่เป็นความสามารถพื้นฐานที่สุดของจิตอันได้แก่วิญญาณขันธ์
เราต้องเข้าใจก่อนว่า จิตสำนึกไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่อารมณ์ ไม่ใช่ประสาทสัมผัส และไม่ใช่ผัสสะที่ปรากฏหรือรับรู้ได้ภายใต้ความตั้งใจ แต่จิตสำนึกคือพื้นที่ว่างที่สิ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นปรากฏขึ้น ความคิดเป็นสิ่งที่มาปรากฏในการรับรู้ของจิตสำนึก อารมณ์คือสิ่งที่มาปรากฏในการรับรู้ของจิตสำนึก สัมผัสทั้งหลายคือสิ่งที่มาปรากฏในการรับรู้ของจิตสำนึกเช่นกัน จิตสำนึกจึงเป็นพื้นที่โดยสมมุติของจิตเท่านั้น ความจริงแล้วจิตสำนึกทำงานเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกหรือจิตทั้งหมดอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามจิตสำนึกจะมีความว่องไวในการสังเกตได้ก็ต่อเมื่อจิตสำนึกเป็นอิสระและไม่ถูกครอบงำด้วยกระบวนการอัตโนมัติของสิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง'ความคิด'
จิตสำนึกจะว่องไวขึ้นเมื่อเราหัดสังเกตสิ่งที่ถูกรู้โดยไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอัตโนมัติ ตั้งแต่เล็กจนโต จิตสำนึกของปัจเจกบุคคลไม่เคยเป็นอิสระจากสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อความคิดปรากฏ จิตสำนึกไม่เคยเป็นอิสระจากความคิด เมื่ออารมณ์ปรากฏ จิตสำนึกไม่เคยเป็นอิสระจากอารมณ์ เมื่อใดก็ตามที่จิตสำนึกมองเห็นพันธนาการ เห็นความขัดแย้งและการต่อสู้ดิ้นรนของสิ่งที่ปรากฏหรือสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อนั้นจิตสำนึกจึงจะรู้จักปัญญาญาณอันเป็นความสามารถพื้นฐานของจิตที่เป็นอิสระจากสิ่งที่ถูกรู้ หรือที่เรียกว่าปราศจากอุปาทาน
ความลับของชีวิต
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Piccola Fata, 11 พฤษภาคม 2021.
หน้า 1 ของ 16
-
-
น้องๆ หนูๆ คนไหน ไม่อยาก วีดว้ายธนาการไปสู่ เดรัจฉาน เช่น แมลง
ให้ละ บทความนี้เสีย
ไม่เช่นนั้น จะปล่อยจิตสำนึกให้พ้นพันธนาการ เหลือแต่ สัญชาติญาณ
ลอยน้ำ ที่ออกมาจาก ไขสันหลัง หรือ จิตใต้สำนึก
ดีกว่านั้นหน่อย หากเป็น แมลงสาป ที่ทำกิจ บูชาเป็น
ก็อาจจะสู่โลก อาตมัน พรหมมัน บระสีมหาไชมั๊นส์มันส์(สัญชาติญาณมีแต่เรื่องไชไช)
ข้อนั้นเพราะเหตุใด
เพราะไม่มี หญ้าแปดกำให้รองนั่ง หรือ ง่ำๆ8มัด มีเหตุ มีผล แม้นแต่นิดเดียว -
มรรค8 เป็นเรื่องพื้นฐานที่จะต้องเดินกันอยู่แล้วค่ะ ซึ่งคนในนี้พูดถึงกันบ่อยๆกันมาตลอด ไม่มีใครที่ไม่รู้
เพียงแต่บทความนี้มุ่งพูดถึงเพียงลักษณะการทำงานของจิตในแง่มุมนึงที่เข้าใจง่าย....แต่หากไม่เห็นประโยชน์ จะโยนทิ้ง ก็แล้วแต่บุคคลจะพิจารณาค่ะ ไม่ได้เจตนายัดเยียดใครให้เชื่อ -
-
น้องๆ หนูๆ ต้อง ทำใจ ร่มๆ นะฮับ
การจะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
เหล่านี้เป็นเรื่อง อุตริมนุษยธรรม คือ ไม่มีใน มนุษยปรกติ
เช่น มานะ มานี ปิติ
ปิติ ไม่ได้เกิดกับ มนุษยปรกติ ไม่ใส่ใจ มรรค8
ปิติ เป็น สิ่ง อุตริมนุษยธรรม ไม่ใช่สิ่งปรกติมนุษย์
มีได้เฉพาะผู้ใส่ใจใน มรรค8 เป็นต้น -
น้องๆ หนูๆ ต้อง ระวังนะฮับ
พวก เดรัจฉาน สอนให้ เฉยๆ นอนเฉยๆ รู้เฉยๆ
รับรองฮับ
ไม่รู้จัก สัลเลขา ไม่รู้จักศาสดา
เมื่อเดรัจฉานครอบงำเต็มที่ ก็ เขียน ธรรมขาย ปล้นศาสนา -
ถ้าริจะกิน น้ำอัดลม
อย่าหา ภาชนะ ลายคราม มาใส่ แบบ มะหูมะไห้
ฮิวววววววววววววววส์ -
เข้าใจมั้ยคะว่าเอามาเฉพาะ บท ค่ะ
เวลาคุณปังพูด บางเรื่อง คุณปังก็ไม่ได้พูดถึง มรรค8 ทุกโพส ชิมิ....แต่ถ้าโพสไหนลุงไม่พูดถึง เด่วแนนอาสาไปช่วยย้ำให้เอง -
อุ๊ยตายยย !!! -
-
เชิญลุงกินให้อิ่ม -
-
กั๊กๆๆๆ
ตกลง มะเคยอ่าย
หากเคยอ่าน นี่ เขาจะสอนให้เอา สันติ ประเคน พ่อแม่
แหวกกฏที่กดทับสัญชาติญาณ ไม่มีอิสระ ไม่อาจรู้เฉยๆ -
-
ขออนุญาติ แนะนำ Piccola
อ่านมาหลายวัน เหมือนท่านจะจำปิติได้แล้ว ถ้าอยากพบปิติแบบต่างๆก็ลองอธิฐานขอพบปิติแต่ละแบบในสมาธิเลย พอเจอมากๆ มันก็ไม่ติดใจอะไร
หรือถ้าไม่ค่อยสนใจปิติต่างๆ ก็ลองสร้างปิติที่ทำได้ แล้วอยู่กับปิติสักพัก แล้วปล่อยปิติไปรับรู้ทั้งกาย ช่วงนี้จะรับรู้ทั้งกายและลมชัด และจะเป็นจุดที่เริ่มเข้าถึงฐานจิต พออิ่มสุขก็กลับมาปิติ
ซ้อมสลับไปสลับมาสักอาทิตย์ เพื่อจะเข้าวิปัสสนา หรือ อนุปัสนาในระหว่างวัน -
แนนอาจจะไม่ค่อยเก่งสมถะเท่าไหร่นะคะ
เวลาเข้าสมาธิแล้วเจอปิติต่างๆ จะไม่ค่อยไปใส่ใจกับปิติมากค่ะ อาจจะเพราะว่าชิน มันจะคอยรู้สึกตัวไปเอง พอรู้ตัวกล้ามเนื้อทั้งตัวก็คลาย ปิติมันก็หายไปด้วย ....แต่ถามว่าจำได้มั้ย จำได้ เพราะเจอประจำเป็นปิติที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรค่ะ
แต่เห็นบอกว่า วสี มันต้องนึกขึ้นแล้วใช้งานได้ทันทีแบบลมหายใจเดียว ของแนนไม่เป็นแบบนั้นเลย ยังใช้เวลานึกซักแปบอยู่
แต่ไอ้ที่มีทันทีในลมหานใจเดียวเลยเนี่ย คืออาการเบาๆไปทั้งตัว แต่อาการน้ำลายสอ ซึ่งเป็นปิติประจำตัวแนน มันจะมาช้ากว่า เลยไม่แน่ใจว่ามันจะถือว่าเป็น วสี ที่คล่องตัวได้มั้ยคะ -
ตะกี้ลองดู ...มันก็วูบวาบนะคะ
ตั้งจิตจดจ่อแปบนึง.....
เด่วจะคงต้องลองฝึก แล้วสังเกตุ สักสัปดาห์ ค่ะ ว่ามันใช่มั้ย ยังไม่ชัวร์ในอาการ แต่มันคล้าย
แล้วอาการเหมือนจะยิ้มที่มุมปากเบาๆด้วย ถือว่าเป็นปิติตัวนึงรึเปล่า รึเป็นเอฟเฟค จากที่ใจมันสุขเฉยๆ แต่ตัวนี้จะมาทีหลัง -
ตอนปล่อยปิติ ให้รับรู้ทั้งกายครับ โดยอาจกำหนดเริ่มที่ มือ เท้า และ ศรีษะก่อน
พอเริ่มคล่อง ก็รับรู้ทั้งกาย
อันนี้สำคัญมาก ห้ามซ้อมตอนขับรถเด็ดขาด จิตอาจจะรวมเข้าฌานไปเลย ซี่งอันตราย
ถ้ารู้สึกวูบๆ ให้กำหนดรู้สึกกว้างๆ ทั้งตัว -
ปิกโกโร่ รู้ จัก นมแท้ๆ กับ นมผสม ไหมครับ
หน้า 1 ของ 16