ธรรมพระพุทธเจ้า ที่มีมาในพระไตรก้ดี
เป็นพระสงฆ์ บ้านเราที่เป็นพระปฏิบัติ ดี ตรง ถูก ชอบ ก็ดี
เทศนาธรรมก็มี ทั้งเสียง ทั้งถอดมาเป้นอักษร หาอ่านฟรี ไม่มีเสียตังค์
แถมยังถูกต้อง ตรงทางอีกด้วย
ความลับของชีวิต
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Piccola Fata, 11 พฤษภาคม 2021.
หน้า 8 ของ 16
-
-
ตามเข้าไปอ่าน ปัญญาญาน เป้น จิตเดิมแท้ซะงั้น
-
ของใครเขียน -
osho
-
เคยได้ยินบ่อยมาก จิตเดิมแท้
คอนเซปของจิตเดิมแท้ คืออะไร -
จิตเดิมแท้ ก็คือจิตเดิม สภาพเดิมๆของจิต
ภาลีเรียกว่า ที่เป็นสภาพเพียว หรือจิตเดิมๆ ก้คือ ปภัสสร คือมี แต่ สภาพรู้ ไม่ได้แยกแยะว่า นี่ดี นี่ชั่ว ตามโลก มีแต่สภาพรู้
จิตเดิม ไม่ได้ มีปัญญาอะไร เพราะมันเป้นสภาพเดิมๆ ของจิตที่มีแต่รู้
โดยที่ไม่รู้ว่าจะรู้อะไร มีแต่สภาพรู้
รู้ว่ารู้ หรือ รู้ไม่ไม่รู้ มันก็คือ การรู้ในตัวโดยสภาพของมัน
การจะทำให้เข้าไปเห้นไปรู้ สภาพจิตเดิมเพียวๆ
ก้คือการ ทำให้อยู่ในอารมณ์เดียว
ละเอียดๆๆเข้าไป เข้าไปเล็กลง เล้กลง จนมีแต่ สภาพรู้ หรือ อารมณ์รู้
อัปนาสมาธิอย่างละเอียดของสมถะ หรือฌานที่4 นี่เป้นสภาพ จิตปภัสสร -
"ปรมัตถธรรมจึงไม่ใช่การรู้สิ่งใหม่อันมหัศจรรย์ ไม่ใช่การบรรลุธรรมที่ไม่มีในตน ไม่ใช่สภาวะวิเศษที่ไม่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เป็นการรู้ลึกเข้าไปถึงกระบวนการพื้นฐานทางจิตใจ ไม่ใช่การรู้ลึกด้วยการคิดวิเคราะห์ทางเหตุผล แต่เป็นการรู้ลึกด้วยการสังเกตหรือด้วยการรู้ที่เป็นความสามารถพื้นฐานที่สุดของจิตอันได้แก่วิญญาณขันธ์"
ส่วนต้นกระทู้ ที่แปล ไปถึง ปรมัตถธรรม คือผ่านการอ่านวิเคราะแยกแยะมาพอสมควร
แต่ขาดการเห็นจริง จึงมองไม่ออก ของ วิญญานขันธ์
การจะรู้ได้ ในส่วนปรมัตถธรรม
มันไม่มี บัญญ้ติ จะให้ ค่า ที่พอจะลงคำพูดได้ มีแต่ เกิด กับ ดับ
ไม่ว่าจะเป็น จิต เจตสิก รูป ลักษณะการเห็น บัญญัติ ลงได้แค่ เกิด กับ ดับ
ส่วนวิธีการที่จะเข้าไปเห็น ปรมัตถธรรม มีเพียงอย่างเดียว
คือ วิธีการ กำหนดรู้กายรู้ใจ(สติปัฏฐาน)
จน กว่า มันจะเริ่ม เป้นไปเอง
การเป็นไปเอง จึงเป็นส่วนที่ทำให้เข้าถึง ปรมัตถธรรมได้
ทำให้ เห้นว่า สันตติ มันมีช่องว่าง ไม่ได้เป้นเส้นเดียว ทำให้เข้าใจว่ามันมี เกิด ดับ
จึงเข้าใจ รูปนามปริเฉท ตรงนี้เป็นเบื้องต้น ของปรมัตถธรรม
ปัญญาญาน มันเริ่ม จากตรงนี้
ปราศจาก บุคคล ตัวตนเราเขา มีแต่ รูป จิต เจตสิก
ภาษาที่เถียงกันมานานก็คือ พ้นความเป็นเรา มีแต่จิตมันทำเอง
ทีนี้ มากล่าวถึงวิธีทำของสติปัฏฐาน
จะใช้การรู้ หรือเรียกว่ากำหนดรู้ ลงที่กายใจ อย่างไม่แทรกแซง
การไม่แทรกแซง ก็คือ การไม่ให้ค่าเพิ่มเติมต่อสภาวะ
เช่น ดีใจก็ให้รู้ว่าดีใจ นี่คือการรู้ โดยไม่ให้ค่า เรียกว่า การู้อย่างตรงๆ กำหนดรุัอย่างตรงๆ
การฝึกเช่นนี้ มันจึงจะทำให้เข้าไปสู่ การรู้ที่เป็นไปเองของจิต ที่เป็นอิสระ
ที่เรียกว่าความเป็นกลางต่อ สภาวะดีใจ นั่นก็คือ จิตมีสติรุ้เท่าทัน อารมณ์ดีใจในตัวมันเอง
ความเป้นกลางต่อสภาวะความดีใจก้เกิดขึ้น ปล่อยวางสภาวะลงอย่างอัตโนมัติ
เรียกโดยบัญญัติ เรียกว่า จิตมีปัญญาญาน
ปัญญาญาน ไม่ใช่การรู้โดยธรรมชาติ
แต่เป็นผลงานที่มี ความรู้(ปัญญา)ประกอบปล่อยวางสภาวะปัจจุบันนั้น
อย่างอิสระในตัวมันเอง
ส่วนการรู้โดยธรรมชาติ เป็นสภาพเดิมของจิตมันอยู่แล้ว เพราะมันมีแต่สภาพรู้
รู้ว่ารู้ จิตก้รู้ รู้ว่าไม่รู้จิตมันก้รู้ แต่การแยกแยะออกมันไม่มี
กิเลสจรมา มันเลยยึดทันที หรือจะบอกว่า อารมณ์อะไรมา ยึดทันที
เว้นแต่ผ่านการอบรมมา มีสติความระลึกได้ มีปัญญาคือความรู้
มีอารมณ์จรมา มันปล่อยวางทันที
มีกิเลสจรมา มันปล่อยวางทันที -
-
สิ่งที่ควรทำความเข้าใจก้คือ
ทำไมต้องรู้ซื่อๆ เพราะ เป็นการสร้างสติปัฏฐานให้เกิดขึ้น
สติจะอาศัย ความจำ เป้นเหตุใกล้ ให้เกิดสติ
หากไม่รู้ตรงๆรู้ซื่อๆ ตามสภาวะ จิตจะไม่มีโอกาสจำสภาวะนั้นได้
เมื่อจิตไม่สามารถจำสภาวะนั้นได้ ก้จะไม่มีสติรู้เท่าทัน สภาวะอารมณ์ของตัวมันเองได้
เมื่อไม่สามารถ รุ้เท่าทันสภาวะอารมณ์ของตัวมันเองได้
ก้ไม่สามารถแยกรูปนามได้
เมื่อไม่สามารถแยกรูปนามได้
ก้ไม่มีโอกาส เห็น เกิดกับดับ
เมื่อไม่มีโอกาสเห้นเกิด กับ ดับ จิตมันก้เที่ยงเป้นมิจฉาทิฐิ
ไตรลักษณ์ญาน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะเกิดมาแต่ไหน -
ในช่วงแรกถ้าปล่อยให้จิตเรียนรู้ด้วยตัวมันเองโดยไม่แทรกแซง ไม่ใช้เจตนา เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วค่ะ
เพราะจิตมันเรียนรู้ที่จะเสพของที่มันคุ้นเคย ทั้งของที่ชอบ ไม่ชอบ เป็นอัตโนมัติมาเนิ่นนานแล้ว แล้วของที่มันเสพส่วนมากไม่ใช่ของที่อยู่ในส่วนของกายใจซะด้วย ซึ่งถ้าปล่อยให้มันรู้เอง มันก็น่าจะวิ่งไปรู้แต่ของนอกๆนั่น
เราเลยต้องดึงจิตมาฝึกให้มันสงบที่ฐานกายและใจ จนกว่าจะชินและจำได้เป็นอัตโนมัติ เมื่ออัตโนมัติได้ จิตเริ่มกระบวนการเรียนรู้
ปัญญาจะเกิดได้ เมื่อจิตผ่านการเก็บข้อมูลซ้ำๆในกระบวนการนี้ จนถึงจุดที่มีปัญญารวบยอดขึ้นมาเอง -
เด๋ว หมูไหม้ ก้มาเหมา เอ้ย ปัญญารวบยอดเหมือน ข้าเลย
-
-
ปัญญาทางโลก มีปัญญาแล้วยึด
ปัญญาทางธรรม มีปัญญาแล้วปล่อยวาง -
จะมั่นใจได้ยังไงว่านั่นคือตัวจริงของมัน หรือว่าเป็นจิตเพียวๆ -
ถ้าทำสมถะ ได้ถึงฌาน 4 จะเข้าใจ ว่ารู้นิ่งอย่างเดียว เป้นยังไง -
-
แต่ที่ ปิกโกโร่ เขียนมานี้ ก็ ใช่ วิปัสนาทำให้เห้นความจริง ของตัวมัน -
เข้าใจละค่ะ -
-
ที่ฝึกได้ จนกระทั่งจิตของตัวเอง กลับไปใสสว่างดั่งเดิม
เป็นจิตที่พระพุทธเจ้า สอนว่า จิตมันใสดีอยู่แล้วเหมือน จิตเด็กน้อย
แต่มันถูก สังคม พ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า ตายยาย ญาติพี่น้อง ครูอาจารย์ สอนสั่ง
ให้เลวตามจิตของผู้ใหญ่ ที่สอนสั่งอีกที
พอโตขึ้นมา เด็กเหล่านั้นจะเลวลงเรื่อยๆ
เพราะตัวเองจะต้องตอบโต้กับสังคมโดยตรง
การฝึกเพื่อที่จะให้ จิตกลับไปเป็น จิตเดิมแท้ดั่งเดิม
จะต้องฝึก ทำให้ใจใสๆ ทำให้ใจเบาๆ ทำให้ใจสบายๆ
ทำให้ใจนิ่งๆ ทำให้ใจอิ่มเอิบ ทำให้ใจชุ่มชื้น
ทำให้ใจเหมือนกับผู้ที่ฝึกอรูปญาน คือ
-เบาเหมือนอากาส
-เบายิ่งกว่าอากาส
-เบายิ่งกว่าจักรวาล
-เบายิ่งกว่าแกแลคซี่
-แล้วก็ดับไปหมดเหมือนหลุมดำ
ที่ดูดกลืนทุกสิ่งหายไปหมดไม่เหลือ
หน้า 8 ของ 16