โมทนาบุญ ได้อานิสงส์ไม่น้อยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
ผู้ถาม : สมมุติว่าคนอื่นเขากำลังถวายสังฆทานหลวงพ่อ ลูกก็แอบไปจับข้างหลัง เพื่อเป็นการถวายไปในตัวด้วย แบบนี้จะมีอานิสงส์เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่เจ้าคะ ?
หลวงพ่อ : บาปซิไปจับเขานี่ เป็นบาปนะนี่ เฉพาะยกทรงทำ บาป คนอื่นเขาทำไม่บาป
นี่นะแสดงว่เขายินดีด้วย ใช่ไหมล่ะ ก็เป็น "ปัตตานุโมทนามัย" แต่ความจริงไม่ต้องเหนื่อยก็ได้นะ นั่งยินดีเฉยๆจะดีกว่า พนมมือไหว้ก็แล้วกัน
ผู้ถาม : อ๋อ ไม่ต้องแตะหน้าแตะหลัง
หลวงพ่อ : ไปแตะเข้าคนนั้นรำคาญเขาจะเตะเอาล่ะซิ
ผู้ถาม : ทีนี้เวลาที่คนอื่นเขาทำบุญกับหลวงพ่อ เราก็ยกมือโมทนา โมทนาๆ อย่างนี้เราก็ได้อานิสงส์เต็มที่
หลวงพ่อ : โมทนานี่ อานิสงส์เขาได้ ไม่น้อยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ที่ตั้งใจจริงๆนะ
ถ้าเจ้าของทานเป็นพระอรหันต์ชาติไหน คนนั้นก็เป็นพระอรหันต์ชาตินั้นเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องเล็ก ใหญ่มาก
แต่ว่าถ้าโมทนาแบบยกทรงนะ นั่งโมทนาๆๆ อย่างนี้ถูกเตะ เขารำคาญ ยกมือเฉยๆ ตั้งใจเรียบๆ ใช่ไหม เวลานั้นเขามีพระพุทธรูปไปด้วย ควรจะนึกถึงพระพุทธเจ้า ที่ฉันไหว้เวลาเขาถวายสังฆทาน ฉันไห้วพระพุทธเจ้าท่าน
ผู้ถาม : มีเด็กอยู่คนหนึ่งมาบอกว่าหลวงพ่อนี่แปลกนะ คนให้อะไรก็ยกมือไหว้ มันเข้าใจผิดคิดว่าหลวงพ่อไหว้ขอบคุณเขาอีก เวรกรรมจริงๆ ที่จริงหลวงพ่อไหว้พระพุทธรูปแท้ๆ
หลวงพ่อ : ความจริงไม่ได้ไหว้พระพุทธรูป ไหว้พระพุทธเจ้า เมื่อเห็นพระพุทธรูปก็เห็นพระพุทธเจ้า
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 170 เดือนพฤษภาคม 2538 หน้า 70- 77)
ติดพระธาตุข้าวบิณฑ์เอาเองภายหลังครับ
นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.
หน้า 598 ของ 616
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
รวย ตายเอาอะไรไปไม่ได้
ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า อย่างคนที่ตายที่เครื่องบินตก (ขอสงวนชื่อ) ตายที่สูงซะด้วย
ตายบนยอดไม้โน่น มีเงินเป็นหมื่นๆล้านนี่ เรามองดูแล้ว โอ ไม่มีอะไรเลย หมด
มีเงินมากๆก็ยังช่วยไม่ได้ ก็ถือว่าอีตอนเราไม่มีเงิน ตอนนั้นอยากจะมี มันอยาก นึก
ว่าเงินช่วยได้ทุกอย่าง อันที่จริงช่วยไม่ได้ทุกอย่างหรอก ตอนจะตายนี่นะ เงินกองๆ
อยู่ข้างตัว เงินก็ช่วยไม่ได้ หมออยู่ข้างตัวก็ช่วยไม่ได้
แต่อานาปาฯนี่ช่วยได้ ช่วยบรรเทาทุกขเวทนา คือหลบเลี่ยงได้ ตัวนี้อยากให้ทำกัน ได้ตัวนี้แล้วจะทรงอย่างอื่นได้หมด ง่าย ส่วนมากเราทิ้งอานาปาฯกันเสียเยอะ ไม่ต้องเสียสะตุ้งสตางค์เลย ตัวนี้คือบรรเทาทุกขเวทนาได้ จิตมันแยกออกจากกาย หลบแค่นี้นะ จิตมันแยกในสมาธิ มันจะบรรเทาทุกขเวทนาตัวนี้
พูดถึงสมาธิเฉยๆ สมาธิดีแล้ว ปัญญาไม่ต้องไปนั่นหรอก มันเกิดง่าย ปัญญาของลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนมากจะง่าย เพราะท่านสอนวิปัสสนาญาณควบไปเยอะ พอจิตเป็นสมาธิปุ๊บ มันจะเห็นอะไรก็ง่ายไปหมด เพราะท่านแทรกซึมเคล้าไปหมดแล้วนี่
บางคนเห็นหลวงพ่อสอนมโนมยิทธิ นี่บอก มันฌานโลกีย์นี่ มโนมยิทธิคือฌานโลกีย์จริง แต่ว่าท่านไม่ได้สอนอย่างเดียวนี่ มีวิปัสสนาญาณ ต้องตัดขันธ์ 5 เห็นร่างกายเป็นทุกข์ อะไรอย่างนี้ ใช่ไหม เป็นวิปัสสนาญาณไปแล้วนี่ ผสมผสานกลมกลืนไปหมด
ยกทรงถามว่า ปกติภาวนาเบื่อนี่ก็สลับกับวิปัสสนาได้ ใช่ไหมครับ
ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า ใช่ จิตบางคนมันเบื่อภาวนา บางทีมันไม่เอา ภาวนามันเบื่อ
ก็ต้องมาพิจารณา พิจารณาเบื่อ มันฟุ้งน่ะ มันฟุ้งก็ต้องปล่อยมัน ตามมัน ตามดูฟุ้งไปถึงไหน ตามดูมัน บางทีจับอานาปาฯไม่อยู่ อารมณ์ยังคิดนี่ เราก็ต้องรู้จิตเรา มันคิดก็
ต้องคิด คิดแล้วดูมันคิดเรื่องอะไรต้องตามดู
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 475 เดือนตุลาคม 2563 หน้า 13) -
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
เคยอ่านแต่ที่หลวงพ่อท่านเจ้าคุณท่านได้พูดไว้นะครับ ความหมายคล้ายแบบนี้
ไว้จะค้นมาลงให้อ่านนะครับ -
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
เรื่อง บูชา ร. 5 มีลาภมาก
มีคนหนึ่งมันเล่าให้ฟังว่าโลกนี้ไม่นับถือใครเลย เราก็ตกใจ เอ้า แล้วมึงห้อยอะไรล่ะนี่ มันก็บอกนี่รัชกาลที่ 5 พระเจ้าไม่เอา พระช่วยผมไม่ได้ ไม่ไวเท่ากับรัชกาลที่ 5
ถามว่าช่วยได้ยังไง มีอยู่วันแกก็ไปไหว้ที่เขาไปไหว้กันน่ะ แกก็ไปอธิษฐาน เจ้าประคู๊ณขอให้รัชกาลที่ 5 โปรดสงเคราะห์ ไอ้ผมนี่เป็นลูกจ้างขับแท๊กซี่จนกระทั่งเถ้าแก่รวยมามาก ขอให้ผมมีรถเป็นของตัวเองซักคันหนึ่งเถอะ
พออธิษฐานเสร็จมาประมาณไม่ถึงปีน่ะ แกมีโอกาสผ่อนแล้วได้ 1 คัน แกก็นับถือ ยังไม่พอใจก็ยังกะลิ้มกะเหลี่ยไปอีก แหมถ้าเป็นไปได้เอาอีกซักคันหนึ่งนะครับ จะให้เขาเช่าจะได้มีรายได้ ได้ครับ ได้ 2 คัน แกก็เลยนับถือตั้งแต่นั้นมา
"ปัญหามีอยู่ว่าถ้าสมมุติว่าองค์เดียวกันนะ ทำไมถึงได้เมตตาขนาดนั้น หลวงพ่อที่ไปนิพพานจะช่วยคนได้หรือไม่ เพราะไปนิพพานอยู่เย็นเป็นสุขแล้วนี่ จะเป็นไปได้หรือไม่"
อ๋อ...หมายความว่ายังไง (หัวเราะ) หมายความว่าหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม เขาไปขอที่พระรูปทรงม้านั่นทำไมถึงมีผล ใช่ไหม
ก็จริงๆแล้วนี่หลวงพ่อบอกว่า อย่างอ่านหนังสือของพลตรีมนูญแล้ว มีหลักฐานเอาวัตถุกันเห็นง่ายๆ พลตรีมนูญอยู่ที่เมรุกับหลวงพ่อนี่ หลวงพ่อเผาศพอยู่ พลตรีมนูญก็บอกหลวงพ่อครับแขกมารอที่กุฏิ หลวงพ่อก็บอกใครมารอที่กุฏิ ก็บอกแขกผู้ใหญ่ หลวงพ่อบอกมนูญแกไปก่อนไป ไปรับหน้าก่อนไป มนูญก็รีบตาลีตาเหลือกมา หลวงพ่อยังอยู่ที่เมรุอยู่นี่ ก็รีบมารับแขก ไปถึงหลวงพ่อไปอยู่ที่นั่นเสียแล้ว ก็เรามาไวกว่าหลวงพ่อทำไมหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิเสียแล้ว
แต่จริงๆท่านบอกว่าเทวดาที่เป็นองค์แทน ก็เรียกว่าเทวดาที่รับหน้าที่ตรงนี้ที่คุมพระรูปอยู่นี่
อย่างกับพระพุทธรูปบางองค์ก็ศักดิ์สิทธิ์ ใช่ไหม หลวงพ่อโสธรนี่ อู้หูคนไปปิดทองจนตัวนิ่มหมดแล้วนี่ องค์นิ่มเลย เขาว่ายังงั้น จับนี่นิ่มเลย จับอย่างกับจับผู้หญิงเลย เขาว่าอย่างนั้นความหนาของทอง
ทำไมท่านถึงศักดิ์สิทธิ์ เทวดาที่รักษาองค์พระนี่ที่มีฤทธิ์ ใช่ไหม ที่หลวงพ่อบอกเทวดาที่มีฤทธิ์ก็มีที่มีฝ่ามือแดงก็มีฤทธิ์อะไรอย่างนี้ เทวดารักษาพระ
แต่พูดตามหลักพระพุทธศาสนาจริงๆแล้วนี่ การบูชาต้องได้รับการบูชาตอบ หลวงพ่อปราถนาพุทธภูมิวิริยาธิกะ คือบูชา ร. 5 ทำไมมีลาภ เขาว่าไวกว่าสมัยก่อนอีก
ไวกว่าหนึ่งท่านวิริยาธิกะ สมบัติของประเทศไทยของท่านจะมีมากกว่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทองเป็นกี่ร้อยตัน นี่ท่านใช้มา 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่สร้างวัดสร้างวา เราทำบุญมานี่ใช้สมบัติไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
"ที่เหลือก็ให้ไอ้ขวัญ สาธุ (หัวเราะ)"
ให้ทุกคนแหละ ให้ทุกคน
มีอยู่จุดหนึ่งเคยถามปัญหาที่ซอยสายลมว่า หลวงพ่อครับหลวงพ่อมีลูกมีหลานมีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง ในขณะเดียวกันคนนั้นก็จุดธูป คนนี้ก็จุดธูปแล้วก็เรียก แล้วหลวงพ่อจะทำยังไง จะไปช่วยใครก่อน
หลวงพ่อก็ตอบว่าในขณะเดียวกันท่านสามารถแบ่งได้ถึงจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสน รู้เรื่องทุกอย่างได้ด้วยทุกอย่าง
แล้วก็บอกว่าถ้ามันเกินกว่านั้นทำยังไง ฉันฝากเทวดาทุกเขตในประเทศไทย ทุกหนทุกแห่งว่า ถ้าฉันไปไม่ทันฝากลูกฝากหลานฝากไอ้ขวัญมันด้วย (หัวเราะ) เข้าล๊อกกันดี ท่านฝากจริง
ท่านบอกความเป็นทิพย์ไปได้ ท่านว่าอย่างนั้น
(คุณขวัญ)ถามว่า อยากให้เทวดาที่บ้านมีฤทธิ์มีเดช มีบุญญาธิการมากๆ จะทำอย่างไร
เฮี้ยนๆใช่ไหม คือตามหลักที่ว่าทำบุญแล้วมีอานุภาพยังไงบ้าง มีรัศมี ถ้าอานุภาพมากก็ถวายพระพุทธรูป ให้เทวดาโมทนาใช่ไหม สร้างพระพุทธรูปมีเดชมีอำนาจมาก ที่บ้านอยู่ตรงไหนล่ะ จะไปสู้กับใครเขาล่ะ
หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)
(จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 89-90)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
บูชารัชกาลที่ 5
ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เรื่องการไหว้พระสวดมนด์ ตั้งนะโม 3 จบ ลูกทราบแล้วไม่ถาม
แต่ทีนี้ลูกจะถามว่าสมเด็จ ร. 5 ถ้าลูกจะไหว้จะบูชาจะต้องตั้งนะโมกี่จบ ใช้ธูปกี่ดอก เทียนกี่เล่ม และก็ไม้ขีดหรือไฟแช็ค ถึงจะถูกใจของพระองค์ท่าน ขอหลวงพ่อได้โปรดแนะนำด้วยเถิดเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : เอางี้ซิ ร. 5 ใช่ไหม ใช้เทียน 5 เล่ม ธูป 5 ดอก ไฟแช็ค 5 อัน (หัวเราะ)
ก็เหมือนกับบูชาพระธรรมดาก็แล้วกัน อย่าลืมว่าตั้งนะโมก่อน นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนว่า ร. 5 นี่ยังมีบารมีไม่เท่าพระพุทธเจ้า
ผู้ถาม : อีกนิดครับหลวงพ่อ
ของที่พระองค์ทรงชอบเสวยจะเป็นผลไม้อย่างใด หลวงพ่อนึกได้ขอได้โปรดบอกลูกด้วยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : เออ...เป็นผลไม้ประเภทที่ไม่ต้องเสียสตังค์ ก็เขามาให้เฉยๆไง
เอางี้ซิ ถ้าเป็นฉันเองนะ ชอบสาลี่เพราะมันมีน้ำมาก
ถวายอาหารรูปหลวงพ่อ
ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง เพื่อนฝากมาเรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้าจะถวายอาหารกับรูปถ่ายหลวงพ่อที่ลูกเช่าไปจากซอยสายลม
อยากจะเรียนถามรูปถ่ายหลวงพ่อว่า อาหารมื้อเช้าต้องการอะไร มื้อกลางวันแบบ
ไหน แล้วตอนเย็นไมโลหรือโอวันติน ขอให้หลวงพ่อชี้แจงให้ละเอียด จะได้ปฏิบัติ
ตามหลวงพ่อ
หลวงพ่อ : เอางี้ดีกว่า ตอนเช้าแม่โขง ตอนกลางวันกวางทอง ตอนเย็นไอ้เป้ (หัวเราะ)
อะไรก็ได้นะ ลูกไม้ก็ดีง่ายๆดี อะไรก็ได้นะ ของที่เราชอบก็แล้วกันนะ
ผู้ถาม : อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นรัตนะอะไรครับ ?
หลวงพ่อ : สังฆานุสสติ นึกถึงพระสงฆ์ แต่ว่าถ้าเวลาถวายนะ ตั้ง นะโม ก่อนเป็นพุทธานุสสติด้วย
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 118 เดือนธันวาคม 2533 หน้า 7-8)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
เทวดาชวนขุดทอง
เมื่อแผ่นดินสะเทือน แผ่นดินสั่นเกิดขึ้น ดร.ปริญญา ก็บอกว่าเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติบ้าง แต่ทว่าเจ้าลิงนี่สิ ฤาษีลิงดำหัวหน้าทัศนาจรมันไม่ว่าอย่างนั้น
พอแผ่นดินสะเทือน ก็กำหนดจิตคิดว่านี่มันเรื่องอะไร พอมีความดำริเท่านั้น ก็ปรากฎว่า บรรดาปิยสหาย คราวนี้ไม่ใช่หมาแล้ว กลายเป็นผี มีศีกดิ์ศรีใหญ่ แต่งตัวสีแดงพรืดไปหมด ประมาณ ๗๐ - ๘๐ คน แล้วก็ประมาณสีเขียวสีดำอีกหลายร้อยคน เห็นบริเวณนั้นเกลื่อนกล่นไปหมด
จึงถามว่า “นี่…พ่อเทวดา แกมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ และทำไมแผ่นดินมันถึงสะเทือน”
เขาก็ชี้ไปที่ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง คราวนี้ การไปคราวนี้ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง น้องชาย เจ้าพระยาโกษาปาน ท่านไปด้วย (ความจริงชื่อนี้สมมติขึ้นมา อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงๆ…ล้อกัน และ เจ้าพระยาโกษาป่อง เป็นใครก็อย่าคิด อย่าถาม ถามก็ไม่บอก)
แกก็เลยบอกว่า “เจ้าพระยาโกษาป่อง มันคิดจะขุดทรัพย์ มันคิดว่าที่นี่มีทรัพย์มาก มันอยากจะได้ทรัพย์ใต้แผ่นดิน ในเมื่อมันคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้มันรู้ว่ามีจริง”
ก็เลยถามเขาว่ามีมากไหม เขาบอกว่า เฉพาะทองคำประมาณ ๑๕ ตัน เห็นจะได้ แล้วยังมีแก้วที่มีค่ามาก
ทีนี้ถามเขาว่า “มันอยู่ลึกไหมวะ จะขุดได้ไหม ?”
แกก็เลยบอกขุดไม่ยากหรอก มันไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณ ๑ กิโลเท่านั้นก็ถึง
ก็เสร็จ ก็เลยบอกว่า “นี่…แกไม่น่าจะบอกอย่างนี้นี่ เป็นของที่เกินวิสัยที่คนจะขุดได้ ทำไมถึงบอกอย่างนั้น”
เขาก็หัวเราะ ยังได้ถามว่าทรัพยากรทั้งหลายเหล่านี้ จะปรากฎเป็นผลดีแก่ประเทศชาติในสมัยไหน
เขาก็เลยบอกว่า
“อานุภาพของทรัพยากรทั้งหลาย จะปรากฎขึ้นในตอนกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยนั้นจะปรากฎว่า ประเทศจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมมูลบริบูรณ์ จะกลายเป็นประเทศมหาเศรษฐีเขตหนึ่ง
อย่าว่าแต่เฉพาะในเอเซียเลย แม้แต่ยุโรปก็ต้องเอาใจ”
ทั้งนี้เพราะอะไร “เพราะว่าอำนาจบุญบารมีของกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ คือกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้มีบุญบารมีใหญ่ ปูพื้นฐานเอาไว้
แล้วก็พระโอรสาธิราชที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ก็เป็นพระราชาที่มีบุญบารมีใหญ่
ที่คนทั้งหลายคิดว่า จะทำลายประเทศไทยให้เป็นคอมมิวนิสต์ มีจิตหยาบปรารถนาจะให้คนไทยทั้งชาติที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาเป็นทาสของบุคคลกลุ่มเดียว ไม่มีความหมาย
เพราะความหวังตั้งใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ เขาจะพาตัวเขาพินาศไปเอง เพราะอำนาจบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีสมรรถภาพเป็นพิเศษ”
เขาว่าอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า “โมทนาด้วยน่ะ แล้วก็ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นเทวดา ก็ต้องช่วยกันนะ”
เขาก็เลยบอกว่า ช่วยกัน
(จากหนังสือฤาษีท่องสวรรค์ เล่ม 1 ตอนเทวดาชวนขุดทอง)
http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=841#seventeenth
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
เรื่อง น้ำมันพราย
รู้จักน้ำมันพรายไหม น้ำมันพรายรู้จักหรือ เคยถูกแล้วหรือ (หัวเราะ)
มี ฉันโยนน้ำไปแล้ว เขาถามแกมีเหรอ เคยมี (หัวเราะ) ใช่ไหม มันอย่างนี้อีหนู หลวงพ่อเป็นคนชอบลอง แต่ไม่ใช่ไปลองกับผู้หญิงผู้ชายนะ ลองความรู้
บังเอิญมีพระองค์หนึ่งท่านธุดงค์มา แล้วท่านก็ป่วย ไปปักกลดที่วงเวียนใหญ่ เป็น
พระหนุ่ม อายุ 22 หน้าตาดี ก็เลยบอกให้รถสามล้อบรรทุกท่านมาที่กุฏิ ก็ให้หมอรักษาจนหาย ก็คุยกับท่านในฐานะที่มีความรู้อะไรบ้าง
ท่านบอก ท่านอยู่ภาคอีสาน ท่านถนัดไอ้เรื่องรักษาคน พวกผีๆสางๆนี่นะ ก็พอดีก็อยู่ด้วยกัน ท่านหายมาสามสี่วัน ก็มีคนมาบอกว่าผีเข้า ผีเข้าผู้หญิง ผัวเป็นกรรมกรสามล้อ
พอเข้าปุ๊บ ท่าทางแกน่ากลัวบอกผัว เอ็งไปเอาไก่มา กูจะหักคอเมียมึง แกไปซื้อ
ไก่ตาย บอกไม่เอา เอาไก่เป็นๆ แกก็บีบคอปั๊บ ดูดเลือด กินทั้งขนเลย ชาวบ้านก็กลัว
ฉันก็ไม่ใช่หมอ ก็มีคนมาเล่าให้ฟัง พระองค์นั้นก็นั่งอยู่ด้วย แกบอกว่าแกถนัด ก็เลย
ถามว่าไหวไหม บอกต้องลองดูก่อน ไอ้ของที่มันหนักมากบางทีเราก็ไม่ไหวเหมือนกัน เจ้าภาพเขาก็มารับไปบอก ไหวไม่ไหวไม่เป็นไรครับ
ไอ้ตอนนั้นเราก็ประทับซาเล้ง รู้จักไหม (หัวเราะ) นั่งซาเล้งกันไป พอไปถึง ไอ้เจ้านั่น
ผู้หญิงคนนั้นที่แสดงเดชน่ะ มันหมายถึงผีไม่ได้หมายถึงตัวเขา แกออกฤทธิ์เจี๊ยวๆ ตอนนั้นแกนอนเฉยไม่พูดไม่จา พระองค์นั้นท่านก็เรียกผัวมา ก็บอกยายผู้หญิงนี่แกต้องเอาน้ำมันไปทาที่อกนะ ก็ต้องเรียกผัวมา น้ำมันนี่ไม่ใช่น้ำมันพรายนะ ทาๆเป็นวงที่หน้าอกแล้วท่านก็ถือเทียนนั่งอยู่หัวนอน ประเดี๋ยวเดียว เราจะเห็นภาพเหมือนกับจอโทรทัศน์ที่น้ำมันทาน่ะ แล้วทุกคนเห็นหมดนะ เหมือนกับเราดูโทรทัศน์เลย ท่านก็บอกให้เราดูที่ภาพจะรู้ว่าผีนี่มาจากไหน เห็นภาพแล้วท่านก็เลยบอกว่า อันนี้สู้ได้
วันแรกยังไม่ทำอะไรกันมาก ก็ขอร้องให้ไปเสีย อย่ากวนผู้หญิงคนนี้ มันก็รับรอง
ว่าไป พอพวกเรากลับมา วันรุ่งขึ้นมันไปใหม่ (หัวเราะ) อีตอนนี้สิ พระองคนั้นแกก็หนุ่มนี่แกก็ชักเอ๊ะ ไอ้นี่ยังไงวะ ต้องเอากันจริงๆเสียแล้ว แกก็เลยซื้อหม้อดินใหม่ๆมาลูก
แกทำยันต์ลงก้น ไปถึงปั๊บ ยายนั่นนอนอีกแล้ว เอาผ้ายันต์วางปลายเท้ามัน ก็นั่งเคาะ
ก๊อกๆๆ หม้อดิ้นใหญ่เลย พอหม้อหยุดดิ้นแกบอก เรียบร้อยแล้ว แล้วผู้หญิงคนนั้นแก
ก็ลุกขึ้นมา สบายมาก คุยสบาย เป็นปกติเลย คือไม่มีอะไร พอผีมันออกก็หายเร็ว ก็
เลยให้ไปลอยสระน้ำ สภาพก็เลยสูญไป
แล้วต่อมาก็มาคุยกันถึงเรื่องน้ำมันพราย ถามน้ำมันพรายเคยรู้จัก ทำได้ไหม แกบอก
มันก็ไม่มีประโยชน์ อันตรายถ้าใช้น้ำมันพราย ไอ้เราก็อยากจะรู้ ต้องการรู้ความจริง แกก็บอกมันมีสองอย่าง อย่างแก่กับอย่างอ่อน
ไอ้อย่างอ่อนนี่ ทำให้รักอย่างเดียว ถ้าแตะเข้าแล้วประเดี๋ยวเดียว ชวนไปเลย ท่านบอก
มันใช้กำลังผีนะ มันไม่รู้สึกพอใจ เขาว่าอะไรก็ว่าตามกัน แล้วไอ้อย่างแรงนี่มันร้ายกาจ ต่อไปเป็นบ้า ไอ้อย่างนี้ได้มาต้องมาผสมของ บอกเอ้า อย่างแก่อย่างอ่อนก็เอา ก็อยากจะดู
แกเลยบอก ต้องไปหาผู้หญิงที่ตายท้องกลม กำลังตั้งท้องอยู่ตาย แล้วก็ฝังไว้ ก็ไป
หาได้ที่วัดดอน พอดีอีก เรื่องมันพอดีนะ พอดีสัปหรอฝั่งนั้นรู้จักกัน เราก็ถามปั๊บเดียว
เขาก็บอกมีครับ ที่วัดดอนมี เขาบอกเสร็จก็เลยไปกัน
ท่านก็เสกข้าวสารใส่บาตร ไปถึงก็บอก มหาเกี่ยง เวลานี้เป็นเจ้าคณะจังหวัดระยอง
เป็นเจ้าคุณไปแล้ว ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นให้ซัดข้าวสาร ท่านก็เอาสายสิญจน์ล้อมรอบ พอเริ่มทำพิธีเท่านั้นนะ ไอ้ท้องฟ้าที่ใสๆ มันครึ้มเหมือนกับฝนจะตก ประเดี๋ยวมันมีไอ้ผีมาวิ่งคึ่กๆๆอยู่ข้างนอกนะ วิ่งบนยอดไม้ วิ่งข้างล่างบ้าง ไปดูคนซัดข้าวสาร สั่นปั้บๆๆ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วนะ สาดกราวเลย บอกไอ้ห่ะ ผีเข้าหรือไงวะ
พักเดียวอากาศก็โล่ง วิธีทำเขาไม่ได้ขุด เขานั่งว่าคาถาไป นั่งอยู่เฉยๆ พักเดียวไอ้ผี
มันขึ้นมา ไอ้ศพขึ้น หัวขึ้นไปสูงๆ สูงมากหัวสูงลิบ เลยยอดไม้อีก เขาว่าคาถาจนกระ
ทั่งมันต่ำๆมาเท่าตัวเดิม พอเท่าตัวเดิมก็เอาเทียนลนที่คางมันเอาน้ำเหลือง เอามือไปรอง แต่เขาห้ามถูกน้ำเหลืองเด็ดขาดนะ
พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ใส่น้ำหอมที่นั่นเสร็จ เขาก็แจกคนละขวดน้อยๆ แตะแล้วใช้ได้ผลเลย พอเขากลับมาฉันก็นั่งรถมาข้างหลัง ท่านนั่งไปข้างหน้า ก็ลงสะพานพุทธ
หมด เราต้องการเห็นตัวนี้ ที่เขาทำนี่จริงไหมเท่านั้นเอง ฉันเป็นพระจะไปแตะกับใครล่ะ
ถ้าลองไปแตะ เขารักเข้าจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไงโดดเผ่น จีวรขาดหมด ไอ้ควายเขาอ่อนยิ่งกลัวๆ อยู่ด้วย (หัวเราะ) ไม่ต้องการจะไปทำใคร ต้องการผล ดูว่าเขาทำยังไง เท่านั้น
เองนะ
เมื่อเขาว่าคาถาเสร็จ ไอ้เจ้าศพก็กลับพื้นเดิม ไม่ต้องขุดนะ เขามีคาถากำกับอยู่ ถ้าจะ
แตะผู้หญิง คาถาเขามีลงท้ายว่า อี ถ้าผู้หญิงแตะผู้ชายก็ ไอ้ ก็เหมือนกันคาถาตัวเดียวกันเปลี่ยนคำว่า ไอ้ กับ อี เท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าปลามันจะกินแล้วไปรักกันหรือเปล่า
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 165 เดือนธันวาคม 2537 หน้า 5-8)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นประเทศไทยจะเป็นเจ้าโลก
(จากสนทนาที่นวราช ปี 2527)
ถ้าเขาเกิดสงครามใหญ่เมื่อไหร่เราจะเป็นเจ้าโลก มันตายกันหมดเหลือแต่ประเทศ
เรา
ประเทศเล็กมันไม่อยากมาแตะ ไอ้ประเทศขี้หมานี่ไม่ต้องไปรบกับมัน ยึดเมื่อไหร่ก็ได้
มันเลยไม่รบกับเรา
ถ้าเกิดสงครามใหญ่จริงๆ มันจะเกิดหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ถามท่านตั้งแต่ปี 18 ถาม
ว่าสงครามโลกครั้งที่สามมันจะเกิดไหม แล้วจะเกิดเมื่อไหร่
ท่านบอกฉันจะไม่พูดเรื่องสงครามโลก ท่านบอกสงครามใหญ่อาจจะมี แต่สงคราม
โลกฉันไม่พูด แสดงว่ามันไม่มี
ก็ถามว่าถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไง
ท่านก็บอกว่าฉันก็บอกไว้แล้ว ตั้งสองพันปีเศษว่าถ้าเรื่องมันเกิดขึ้น
"ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาจะตายไปฝ่ายละครึ่ง แต่ประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก"
แต่ของเรามันกระจิ๋วหลิว โอ้ยยึดเมื่อไหร่ก็ได้เลยไม่ยึดเลย ยักษ์ต่อยักษ์สู้กัน อันนี้เสือกับราชสีห์กัดกัน ไอ้หมาจิ้งจอกเลยคาบเนื้อไปกินเสร็จ ใช่ไหม นี่เป็นเรื่องของเขานะ
ยักษ์นอกศาสนาคือประเทศใด
(มีนักเรียนนายร้อย จ.ป.ร. ถามหลวงพ่อเรื่องถ้าสงครามโลกเกิดขึ้น)
"ยักษ์นอกศาสนาคือประเทศใด ครับ"
หลวงพ่อตอบว่า "ถ้ายักษ์หินนอกพระพุทธศาสนาจะลุกขึ้นมาอาละวาดอันนี้ก็ไม่เข้า
ใจเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเราจะคิดกันไปอย่างภาษาสามัญชนนะ อาจจะเป็น ประเทศจีน ก็
ได้"
เพราะว่าประเทศจีนแต่ก่อนเป็นประเทศใหญ่ก็จริง แต่เป็นประเทศที่มีอำนาจ ใช่ไหม
แต่เวลานี้ประเทศจีนก็กลับมาเป็นประเทศมหาอำนาจ นี่เราเดาๆกันนะ แล้วแกลุกขึ้น
มาจริงๆ แกก็อาละวาดจริงๆด้วย นี่ก็เดา
จะถูกต้องตามพระพุทธทำนายหรือไม่ อันนี้อาตมาไม่รับรองนะ
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 261 เดือนธันวาคม 2545 หน้า 66-67)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
อยู่บ้านเจริญกรรมฐานต้องสมาทานไหม
ลูกศิษย์ : หลวงพ่อคะ พอเวลาเราเจริญพระกรรมฐานที่บ้าน เราต้องสมาทาน
พระกรรมฐานทุกครั้ง ใช่ไหมคะ
หลวงพ่อ : ก็ตามใจ เวลามีก็สมาทาน ถ้ามีความมั่นคงดีก็ไม่เป็นไนะ ก็ไม่แน่นักบางคนที่มีความคล่องตัว ไม่ทันจะสมาทาน จิตเป็นสมาธิเลย นี่ใช้ได้แน่นอนนะ
ถ้าทางที่ดีใหม่ๆ ยังไม่มั่นคง ตอนเช้าก็สมาทานเสียก่อน สมาทานครั้งเดียวในวันนั้น ทำกี่ครั้งก็ได้ ไม่ต้องทำไม่ต้องสมาทานบ่อยๆนะ ทางที่ดีเช้าว่าเสียก่อนเลย ถ้าไม่รีบเกินไป
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอนตื่นถ้าไม่สายเกินไป ก็สมาทานเลย คุ้มไปยันถึงวันพรุ่งนี้ สมาทานครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่ต้อง ตลอดวันตลอดคืนนะ สมาทานนะ
สมาทานในตอนต้นว่ามอบกาย ถวายชีวิต นั่นก็หมายความว่าคำสั่งสอนใดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะไม่ฝืน ให้เป็นไปตามขั้นตอนนะ
อันดับแรกเราก็จับอารมณ์ พระโสดาบันก่อน พยายามเอาให้ได้ พระโสดาบัน มีความสำคัญที่ศีล 5 เท่านั้นเอง ถ้าทรงศีล 5 ได้อย่างเดียว อารมณ์ตั้งใจ พระนิพพาน เป็นของไม่ยากใช่ไหม เพราะมีอยู่แล้ว เท่านั้นแหละ
(จากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 513) -
กระทู้นี้ดีมากๆครับ ผมเข้ามาตามอ่านเก็บความรู้ครับ ขอบพระคุณพี่ @Wannachai001 หรือพี่วรรณเป็นอย่างสูงที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา และ นำคำสอน ข้อคิดดีๆของหลวงพ่อท่านมาโพสต์เผยแพร่ให้ พี่ ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดี รวมทั้งตัวผมได้ศึกษาครับ ผมขออนุโมทนาครับ ตอนหลวงพ่อท่านมรณภาพผมยังเด็กมากครับ ผมยังไม่สนใจธรรมะและรู้เรื่องราวอะไรในหลักการปฏิบัติครับ หลวงพ่อเป็นหนึ่งในครูบาอาจารย์หลายๆท่านที่ผมรักและศรัทธาครับ ผมรักและศรัทธาท่านมากครับ ผมรู้สึกดีมากๆที่เข้ามาตามอ่านกระทู้นี้ครับ
ผมขอน้อมกราบอาราธนาอำนาจของคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกและทั่วทั้งอนันตจักรวาล และ ผมขอน้อมกราบอนุโมทนาอำนาจบารมี พระคุณความดี กุศลความดีทั้งหลายของครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ครูบาอาจารย์ และ ผู้ที่มีพระคุณต่อผม ตั้งแต่ในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดําเป็นที่สุด จงดลบันดาลให้ผลบุญส่วนกุศลทั้งหมดที่ผมได้เคยได้สร้างกระทำบำเพ็ญมาตั้งแต่ในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติจงถึงแก่พี่วรรณ และ ครอบครัว และทุกๆท่านที่เข้ามาโพสต์เผยแพร่เรื่องราวดีๆในกระทู้นี้ครับ ขอให้พี่วรรณ และ ครอบครัว และ ทุกๆท่านประสบพบเจอแต่ความดี สิ่งที่ดีๆให้มากๆ และมีโอกาสเข้าสู่กระแสแห่งธรรมของพระพุทธองค์ในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยเทอญ … สาธุครับ
ขอกราบนมัสการหลวงพ่อฤาษีลิงดําด้วยความเคารพอย่างสูง
รชฏ, ลูกหลานคนหนึ่งของหลวงพ่อครับ
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
ขอบคุณคุณ rachotp ที่สนใจและติดตามอ่านกระทู้และคำพรที่ให้นะครับ -
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
การปฏิบัติธรรมของพระเจ้าอยู่หัว
ในขณะที่สนทนาปราศรัยกันในด้านธรรมะจึงได้ถามว่า
พระมหาบพิตรเอาเวลาที่ไหนมาเจริญพระกรรมฐาน วันทั้งวันไม่มีเวลาพัก กลางคืนก็ดึกอย่างนี้
พระองค์ก็ตรัสว่า ปกติมันก็ดึกอย่างนี้เสมอแล้วก็เหนื่อยอย่างนี้ทุกวัน เวลาจะเซ็นหนังสือก็ใช้เวลา 6 ทุ่มเป็นเวลาเซ็นหนังสือ ถ้าเซ็นหนังสือเสร็จก็ใช้เวลาตีหนึ่งบ้าง ตีสองบ้างเจริญพระกรรมฐาน เป็นอันว่าการเจริญกรรมฐานของพระองค์ใช้เวลาดึกมาก และเป็นเวลาใกล้สว่างจึงได้เสด็จบรรทม
การเจริญกรรมฐานของพระองค์เมื่อได้ทูลถามแล้วก็ตรัสว่า ผมใช้เวลาอย่างนี้ เวลาที่ต้องการจิตสงัดผมตั้งเวลาด้วยการฟังเสียงเทปปิด คือเทปที่เปิดไปไม่มีเสียงเปิดหนึ่งหน้าเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เสียงเทปดังแกรกก็ทราบว่าเวลานี้ครึ่งชั่วโมงแล้ว
ถ้าต้องการหนึ่งชั่วโมงก็ใช้เทปเส้นยาวให้ได้เวลาหนึ่งชั่วโมง หรือเวลาสองชั่วโมงก็ใช้เทป 2 หน้าบ้าง เทปเส้นยาวถึง 2 ชั่วโมงบ้าง เมื่อได้ยินเสียงเทปปิดดังแกร๊กก็ได้ทราบว่าเวลานี้ถึงเวลาที่จะพัก
แต่ทว่าในเวลาที่พระองค์ทรงเจริญสมาธิก็ดี ใช้ปัญญาพิจารณาพระกรรมฐานในด้านวิปัสสนาหรือในด้านสมถะก็ดี พระองค์สามารถควบคุมกำลังจิตของพระองค์ได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการทำฌานมีความคล่องแคล่วมาก คือคล่องจนกระทั่งการตั้งเวลาไม่ต้องใช้สัญญาณ ตั้งใจว่าเข้าสมาธิเวลานี้จะออกสมาธิเวลาเท่าใด ก็สามารถออกได้ตรง
เวลาตามพระราชประสงค์อันนี้เป็นจริยาวัตรอันหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความสนพระทัยในด้านเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าหากว่าบรรดาญาติโยมทั้งหลายจะถามว่าพระองค์ศึกษาจากใคร พระองค์ไหนเป็นอาจารย์ของพระองค์
ตอนนี้พระองค์เคยตรัสให้ทราบตอนที่พบกันเมื่อปี พ.ศ. 2518 ที่ จ.สงขลา ตอนนั้น
พระองค์ตรัสว่าการศึกษาของพระองค์เอาจากทุกๆด้านและอาจารย์ทุกองค์
คือว่าอาจารย์แต่ละองค์ก็ตามที่ศึกษามาก็ต้องศึกษาจากความรู้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเหมือนกัน การทำอย่างนี้บรรดาท่านทั้งหลายเป็นการถูกต้อง จงอย่าถือว่าอาจารย์ไหนดีเสียแต่ผู้เดียว จงเลือกสรรเอาแต่เพียงว่าอาจารย์ทุกอาจารย์มีความรู้ดีมีความสามารถดีเหมือนกัน แต่ทว่าความรู้ความสามารถ หรือวิชาวิทยาการที่ท่านให้เราส่วนไหนที่เราพอใจถูกอัธยาศัยของเราจุดไหน เราปฏิบัติตามนั้น นี่ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งพระองค์ตรัสว่าเวลาเดินที่เสด็จพระราชดำเนิน เรียกว่าเดินเล่นข้างๆบริเวณพระราชฐาน เวลาจะเดินไปพระองค์ก็ทรงเปิดเทปเจริญพระกรรมฐาน ฟังไปด้วย ถ้าต้องการจะเดินครึ่งชั่วโมงก็ฟังหน้าเดียว ต้องการเดินหนึ่งชั่วโมงก็ฟังสองหน้า ต้องการเดินสองชั่วโมงก็ฟังเทป 4 หน้าแล้วก็คิดตามไปด้วย
ในยามว่างจากภารกิจพระองค์ใช้เทปธรรมะที่ได้ไปจากอาจารย์ต่างๆฟังอยู่เสมอไม่ยอมให้จิตว่างจากธรรม
นี่เป็นปฏิปทาอันหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจะมีความหวังในการเจริญพระกรรมฐานจะให้มีผล ถ้าหากว่านำเอาพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปใช้ อาตมาเห็นว่ามีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เสด็จบรรทมทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี
ทั้ง 2 พระองค์นี้เวลายามว่างข้าราชบริพารบอกว่าจะเดินผ่านห้องของทั้ง 2 พระองค์แล้วจะได้ยินเสียงเทปธรรมะอยู่ตลอดวัน เว้นไว้แต่เวลานั้นไม่มียามว่างมีพระราชภารกิจอื่นก็ต้องงดการฟังเทป
และอีกจุดหนึ่งเวลาที่จะเสด็จบรรทมทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จ
พระบรมราชินีนาถก็ดี ทรงฟังเทปจนกว่าจะหลับไป สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า บางคราวผมปล่อยให้หลับไปตามเสียง แต่บางคราวผมก็บังคับไม่ให้หลับมันก็ไม่หลับ ตั้งใจว่าจะฟัง 2 หน้าจึงจะหลับ พอฟัง 2 หน้าครบก็หลับ
บางคราวก็ตั้งใจว่าจะฟัง 4 หน้าก็บังคับไม่ให้มันหลับ ฟัง 4 หน้าจบแล้วก็หลับ บางคราวทดลองดูว่าฟังเพียงครึ่งหน้าหลับ ตั้งใจไว้อย่างนั้น พอฟังถึงครึ่งหน้าก็หลับ
ทันที จริยาอย่างนี้ชื่อว่าน้ำพระทัยของพระองค์ตกอยู่ในกระแสของธรรมตลอด
เวลา
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 112 เดือนมิถุนายน 2533 หน้า 30-32)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
หนังสือรวมคำสอน
ดร. ปริญญาบอกว่า รวมคำสอนเล่ม 3 (หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 3)นะครับ ชุดอานาปาฯ อย่างงี้เลย อานาปาฯขึ้นต้นอย่างงี้เลย แจ๋วจริงๆ
โอ้โฮ ใครอยากจะจับลมหายใจให้อยู่ ไปอ่านอานาปาฯชุดนี้ละก็ 3 ม้วนแรก ถ้ายังจับไม่อยู่ ฮู้ ท่านล่อซะไม่มีดีหรอก
ท่านเจ้าคุณฯบอกว่า ชุดนี้ถือว่าเป็นชุดคำสอนประจำวัด เป็นหลักสูตรประจำวัดเลย ที่ท่านกวดขันและก็จวกไปในนั้นเรียบร้อย
ดร. ปริญญาบอกว่า เรียบร้อยเลย มีสรรเสริญทุกประการ ถ้าหากว่าใครขยับซ้าย
ก็โดน ขยับขวาก็โดน เป็นคำสอนในพรรษาปี 2521 เข้มข้นจริงๆ อ่านแล้วก็ อู้หู
อ่านไปถ้าไม่จับลมจะถูกด่าแน่ ว่างั้นเถอะ
ยกทรงบอกว่า ขอย่อๆมาสักนิดหน่อย พอเป็นกระษัยยาได้ไหมครับ
ดร. ปริญญาบอกว่า ท่านก็บอกให้จับลมหายใจทั้งสองแบบ แบบกรรมฐาน 40 กับ
แบบมหาสติปัฏฐาน แล้วก็บอกนะบอกว่า ให้ทำไปเรื่อยๆ บอกว่าไม่ได้บอกให้ตามเวลา
ให้ทำไปเรื่อยๆ ว่างเมื่อไหร่ทำเมื่อนั้น รู้ตัวเมื่อไหร่ทำเมื่อนั้น คนจะเอาดีกันจะมาใช้อย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้ ต้องทำให้ได้ เพราะว่าในที่สุดอธิจิตสิกขานี่ จิตทรงฌานตลอดเวลา
ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า สมัยก่อนอ่านมหาสติปัฏฐานก็นี่ละง่าย ไม่ง่าย อานาปาฯนี่ถ้า
ได้อานาปาฯแล้ว อย่างอื่นก็ง่ายหมด
ก็มีวันไหนไปคุยกับคนๆหนึ่ง เขาบอกว่ามีเงินอยู่ร้อยล้านพันล้านก็ช่างเถอะ กองอยู่
ข้างเรานี่ เวลาป่วยจะตายจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ แต่อานาปาฯช่วยได้ ช่วยบรรเทาทุกขเวทนาได้
ตัวนี้ พูดอย่างนี้ก็ยังไม่เห็นภาพพจน์หรอก แต่ลองป่วยจริงๆ ป่วยจะตายไม่ตายนี่ มี
เงินมีหมออยู่ข้างๆ ช่วยบรรเทาทุกข์ไม่ได้ แต่อานาปาฯ ถ้าฝึกดีแล้ว บรรเทาทุกขเวทนาได้
ดร. ปริญญาบอกว่า ต้องมีข้อแม้ว่า ถ้าฝึกดีแล้ว จับปั๊บอยู่ปุ๊บ ไม่ใช่จับปั๊บเข้าบ้าน
โน้นปุ๊บ
ยกทรงถามว่า ปัญหาตรงที่ว่านักปฏิบัติจับไม่ค่อยอยู่ อยู่ไม่ค่อยได้นาน จะมีทางแก้ไข
ประการใดในฐานะเป็นเจ้าของเทปครับ
ท่านเจ้าคุณฯ ตอบว่า อ๋อ เราตั้งเวลาเกินไปเลยเบื่อ คือตั้งสักครึ่งชั่วโมง 10 นาที
20 นาที ถ้าไม่ได้ก็เบื่อไปเลย หรือไม่ก็ไม่ค่อยทำ ถ้านึกเวลานั่งก็ทำสักทีหนึ่ง ความคล่องตัวมันก็จะไม่มี ถ้านึกเวลาทำทีหรือนึกอะไรได้ก็ให้รู้เลย นึกอะไรก็ให้รู้อย่างนี้เรื่อยๆ หนักเข้าก็จะถี่ขึ้นเรื่อยๆ นึกได้ก็จับเลย
มโนมยิทธิก็ใช้ได้ มโนมยิทธินี่ ขยับให้จิตมันออก อทิสสมานกายมันออกไปหน่อย
เหมือนยืนดูลมมันจะไม่หนัก มันจะละเอียดไว เอาออกมาซะก่อนแล้วยืนดูมัน แล้วค่อย
ไปจับดูลมข้างบน ออกมามองดูกายมันหายใจเข้าแล้ว มันหายใจออกแล้ว อย่างนี้มันจะละเอียดไวขึ้น
แต่เราไม่คล่องจริงเราไปจับลมใหม่ๆ มันแน่น มันแน่นหน้าอกไปหมด โฮ้ คล้าย
มันเหนื่อยไปหมดเลย พอเหนื่อยปุ๊บขี้เกียจเลย ไม่เอาแล้วเหนื่อย คือลมมันยังหยาบ มันยังฝืดอยู่ มันยังเหนื่อย
(ว่างรับสังฆทานแล้วท่านเจ้าคุณฯคุยต่อ)
คุยเรื่องปฏิบัติดีก็ดีเหมือนกัน ใครมีอะไรก็คุย เพราะว่าคนบางคนบางทีมันมีทางของตัวเอง บางคนนี่กรรมฐานทุกกองทำให้บรรลุมรรคผลได้ทุกกอง แต่นี่ว่าเพราะเราไม่ได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านี่ กองใดกองหนึ่งก็สามารถจะบรรลุได้ จะเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าต้องทำทุกกอง เพราะปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม แต่เราชอบกองไหนก็เอากองนั้นเลย ก็ถึงฝั่งเหมือนกัน
ยกทรงถามว่า ตอนที่พระครูอยู่กับหลวงพ่อใหม่ๆ เวลานั่งเจริญกรรมฐานสมัยแรกๆ
เวลาให้ปฏิบัติกรรมฐาน นั่งแบบนั้นมันโปร่งหรือมีอึดอัด หรือมีอะไรหรือไม่ครับ
ท่านเจ้าคุณฯตอบว่า พระจะนั่งเข้าตรงฝาแบบนี้ หลวงพ่อท่านไม่ห้ามไม่ให้พิงนี่ ท่าน
บอกพิงก็ได้ อะไรก็ได้ ไม่จำเป็น แต่ว่าถ้านั่ง ร่างกายเราดี นั่งตัวตรงๆลมจะดี ลมจะ
เข้าจะออกจะดี แต่ถนัดทางไหนก็ให้นั่งอย่างนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องมือขวาทับมือซ้าย เท้าซ้ายทับเท้าขวาอะไรอย่างนี้ ไม่จำเป็น อยู่ในอิริยาบถที่พอดี ตามอัธยาศัย
อันที่จริงหลักจริงๆเลย ทำสมาธิกรรมฐานมันยากอยู่ตรงสมาธินี่แหละ รักษาศีลก็ถือว่ายาก แต่ว่ายังไม่ถึงกับสมาธิ สมาธินี่มันยากตอนต้นๆ บางทีเราไปตั้งเวลาเยอะๆอย่างนี้ พอทำมันฟุ้งปุ๊บเบื่อเลย เบื่อก็ไม่ค่อยทำอีกสิ คนเบื่อแล้วนี่
ต้องจับเอาระยะสักประมาณ 5 นาที ต้องให้มันรู้จริงๆ 5 นาทีนี่ 3 นาทีนี่ ให้มันรู้ลมเข้าก็ให้มันรู้ ลมออกก็ให้มันรู้ เวลาฝึกใหม่จริงๆ มันรู้มันเข้าเมื่อไหร่วะนี่ สูดเข้าสุดก็เหนื่อยอีก บางทีไปจับลมแรงเกินไป เอาจิตไปจับลมก็ฟุ้งอีก พอเหนื่อยปุ๊บก็เบื่อ ก็ไม่เอาละ ไปเอาอย่างอื่นดีกว่า ก็จับสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ นี่เคยทำนะ
ดร. ปริญญาถามว่า การแยกระหว่างการบังคับลมกับการตามดูลมนี่ จุดที่จะวางใจ
ทำอย่างไรครับ เราจะไม่บังคับลม แต่เราจะตามดู มันจะเข้าก็ให้มันเข้า มันจะออกก็ให้มันออก แล้วที่บังคับให้ฟืดฟาดๆ จะแยกออกจากกันยังไงครับ
ท่านเจ้าคุณฯตอบว่า ใหม่ๆตามความเป็นจริงต้องปล่อยสูดเข้าสูดออกธรรมดา ให้
เป็นธรรมชาติก่อน แล้วค่อยเอาใจไปรู้มัน
ตอนใหม่ๆ ยังหยาบก่อน ต้องฝึกค่อยๆฝึก ปุ๊บปั๊บไม่ละเอียดเลยหรอก ถ้าเราไปเบื่อ
ที่ตรงมันหยาบนี่นะ เราก็พาให้ไม่ต้องมาฝึกกันเลย
ถ้าได้อานาปาฯ ตัวนี้แล้วอย่างอื่นมันจะง่าย แต่ต้องเป็นคนที่มีความจริงนั่นนะ
ความจริงของใจนี่สำคัญที่สุด ถ้าไม่ตั้งใจจะฝึกนี่ ไม่ตั้งใจที่จะแก้จิตของเราก็จะฝึกได้ไม่นานหรอก ต้องตั้งใจให้มันจริงจัง อะไรอย่างนี้
อานาปาฯ พูดภาษาบาลีก็คือรู้ลมหายใจเข้าออก เป็นพระกรรมฐานที่สำคัญที่สุด คือ
ตัวนี้เป็นตัวกันอารมณ์ฟุ้งซ่านใช่ไหม เหมือนปวดหัวต้องพารา คือมันแก้กัน คือแก้อารมณ์ฟุ้งซ่าน ถ้าฟุ้งซ่านต้องจับอานาปาฯ ตัวนี้คือจับรู้ลมหายใจเข้าออก
ตัวนี้ตัวเมื่อเวลาเราจะตายแล้วนี่ มันจะระงับความทุกข์เวทนาทางร่างกายได้
ถ้าได้กรรมฐานตัวนี้ ตัวอื่นจะง่าย ง่ายไปทั้งหมด อันที่จริงตัวนี้มันไม่ใช่ตัวง่ายเหมือน
กัน มันยากเหมือนกัน ลมนี่นะ ทั้งที่เราหายใจเข้าออกทุกวัน มันก็ยาก ไม่ใช่ง่าย
อานาปาฯ นอกจากระงับทุกขเวทนาได้ยังเป็นที่พึ่งแก่เราได้อีก
(จากคอลัมภ์ "ท่านเจ้าคุณฯสนทนา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 475 เดือนตุลาคม 2563 หน้า 10-12)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
"ไทยมหารัฐ" และ "จักรพรรดิราช"
หลวงพ่อเล่าให้ฟังถึงคำทำนาย 10 รัชกาลตั้งแต่รัชกาลที่ 1 มหากาฬผ่านมหายักษ์จนถึงรัชกาลที่ 10 ชาวศรีวิไล
หลวงปู่ดาบส สุมโน จ.เชียงราย พูดต่ออีก 2 รัชกาลดังนี้...
"เวลานี้ดวงชะตาของประเทศไทย จะเหมือนกับตอนเสียกรุงให้แก่พม่า และคงจะ
ทรุดตัวลงไปเรื่อยๆ จนถึงปี 2544...."
ครั้นถึงเดือนกรกฎาคมก็จริงอย่างที่ว่า "ค่าเงินบาทลอยตัว" จนต้องเป็นหนี้ต่างชาติ
กันทุกคน ซึ่งตรงกันกับนักโหราศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งของเมืองไทย ได้พยากรณ์ชะตาเมืองลงหนังสือพิมพ์รายวัน ฉบับหนึ่งทุกวัน ก็ได้กล่าวไว้ตรงกันว่า ชะตาของประเทศเหมือนกับตอนเสียกรุงครั้งที่แล้ว
แต่ก็นึกสบายใจอีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อเคยบอกว่า ประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐี และ
เมื่อต้นปีนี้ หลวงพ่อดาบส ก็ได้เทศน์บอกว่า
"...ที่ใครเขาบอกว่ากรุงเทพฯ จะจมอยู่ใต้น้ำ มันไม่น่าจะถึงขนาดนั้น มันอาจจะ
ท่วมบ้างเป็นธรรมดา แต่คงไม่หนักขนาดนั้น"
และมีอีกเรื่องหนึ่งท่านพูดเหมือนกับหลวงพ่อ คือเรื่องการทำนาย 10 รัชกาล
หลวงพ่อพูดตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 10
แต่หลวงพ่อดาบสท่านพูดต่ออีกถึง 12 รัชกาล ตั้งแต่ต้นรัชกาลคือ มหากาฬ ผ่าน
มหายักษ์ จนถึง ถิ่นกาขาว และ ชาวศรีวิไล
ต่อไปเป็น "ไทยมหารัฐ" และ "จักรพรรดิราช"
แสดงให้เห็นถึงคนไทยจะรุ่งเรืองใหญ่ในรัชกาลต่อไป นับตั้งแต่รัชสมัย ชาวศรีวิไล
เป็นต้นไป ซึ่งท่านก็บอกว่าอีกไม่นานนัก ไม่ถึง 300 ปีอย่างที่เขาลือกัน แต่ท่านก็พูดแย้มๆว่า ก่อนที่จะสุขสบาย ก็ต้องเป็นทุกข์กันบ้างนะ
ก็คงจะเป็นเรื่องภัยของสงคราม และภัยทางธรรมชาติเป็นเหตุ
(จากคอลัมภ์ "ตามรอยพระพุทธบาท" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 201 ธันวาคม 2540 หน้า 100)
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
พวกเราคนไทยมาจากไหน ?
หลวงพ่อเคยพูดไว้เมื่อตอนไปเหนือเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2519 มีใจความว่า
"คนส่วนมาก ที่มานั่งจ๋ออยู่ที่นี้บ้าง ยังไม่มาบ้าง ตายไปแล้วบ้าง ไปอยู่ที่พรหมบ้าง อยู่
เทวดาบ้าง พวกนี้พอใจในความเป็นพระพุทธเจ้า นั่งไปนั่งมา บูชาไปบูชามา นึก เอ...กูเป็นพระพุทธเจ้าก็ดีนี่หว่า...สวยดีนี่ ! เลยไปกันไม่ได้ ต้องมานั่งติดแหง๋แก๋อยู่นี่แหละ ! เขาเรียกว่าโรครักความเป็นพระพุทธเจ้า
แต่ก็ดี โรครักความเป็นพระพุทธเจ้านี้ก็เป็นปัจจัยให้พวกเราไม่ต้องลงอบายภูมิกันมา
กว่าพันชาติเศษแล้ว นี่เราก็ขี้เกียจตกนรกกันมานานแล้วนะ ใครจะขยันชาตินี้ก็ตาม แต่ว่าหลังจากการสร้างบาป เราก็ทำบุญกันอย่างหนัก
เรื่องการถอดเครื่องประดับบูชาพระรัตนตรัย เราก็ทำกันมามาก การส่งเสริมพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เราก็ทำกันมามาก สร้างวัดวาอารามก็ทำกันมามาก การสงเคราะห์
กับบุคคลผู้ตกทุกข์ได้ยาก เราก็ทำกันมาก
ฉะนั้น เราจึงหลีกบาปกันได้ เพราะอาศัยการเจริญกรรมฐานช่วย ถ้าหากว่าเราจะให้ทาน หรือรักษาศีลอย่างเดียว กำลังใจยังไม่มั่นคงนัก ส่วนที่จะช่วยคุมกำลังใจไม่ให้ลงนรกไปได้คือ สมถะ และ วิปัสสนา
บุญบารมีทั้งหลายเหล่านี้เราทำกันมานับเป็นอสงไขยกัป ไม่ใช่เวลาเล็กน้อย เมื่อเราทำกันมามาก ความดีก็มีมาก การสั่งสมตัวก็มีมาก
ฉะนั้น การศรัทธาปสาทะ คือความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พวกเราจึงมี
ความมั่นคง ในเมื่อจิตมีความมั่นคงอยู่ในด้านอนุสสติตามที่กล่าวนี้มา การเป็นสัตว์นรกย่อมไม่มีสำหรับพวกเรา แต่ใครอย่าประมาทนะ ประมาทเมื่อไหร่...ลงเมื่อนั้น"
แล้วหลวงพ่อท่านก็สรุปว่า
"โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคเหนือเป็นแดนที่เราผูกพันกันมาก เพราะเป็นที่อยู่อาศัยกันมา
เดิม ถึงแม้ว่าความเป็นไทยในปัจจุบัน เราก็ใช้กำลังห้ำหั่นกับข้าศึก เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ และปวงชนชาวไทย เรามีปริมาณของคนน้อย
พวกเรามาจาก กรุงราชคฤห์มหานคร กับ เมืองสาวัตถี
คนสองเผ่านี้เข้ามาทางสายเหนือของประเทศไทย เข้ามาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้น ประมาณก่อนพุทธกาล 2,000 ปีเศษ
เราจะพูดกันไปว่าพวกราชคฤห์เป็นพวกแขก ความจริงไม่ใช่ สมัยโน้นไม่ใช่แขก
ครอง แต่พวก ไทยอาหม ครอง
เมืองเวสาลี สาวัตถี กับ ราชคฤห์นี่ เป็นเมืองที่มีคนไทยมากในสมัยนั้น"
คำสรุปของหลวงพ่อตอนนี้ ก็เป็นหลักฐาน ยืนยันกับพงศาวดารที่นำมากล่าวไว้ตั้งแต่
ตอนต้นแล้ว ซึ่งพอจะสรุปให้ลงกันไปได้ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วว่า "ราชวงศ์จักรี" ในบัดนี้ ก็เป็นเชื้อสายเดียวกันกับกรุงราชคฤห์นั่นเอง
จะเป็นไปได้หรือไม่ก็ตาม ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้มีโอกาสทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาในสมัยที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงพระชนม์อยู่ และในบัดนี้ พระมหากษัตริย์ไทยที่ได้สืบสันตติวงศ์มาตั้งแต่ "ราชวงค์เชียงแสน" และ "ราชวงศ์เชียงแสน" ก็สืบเชื้อสายมาจาก "พระเจ้าสิงหนวัติ" ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์เล็กร่วมอุทรกับพระราชบิดาของ พระเจ้าพิมพิสาร พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นี้ ก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
หลังจากพระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานเป็นการฝากพระพุทธศาสนาไว้ในดินแดนแห่งนี้เพื่อให้สถิตย์สถาพรอยู่ในหัวใจของชาวไทยตลอดกาล 5,000 พระพรรษาต่อไป
เพราะฉะนั้น พระบรมสารีริกธาตุต่างๆที่สำคัญดังกล่าวนี้ จะสังเกตได้ว่า พระอรหันต์
ท่านอัญเชิญมาจาก กรุงราชคฤห์ ทั้งสิ้น หรือชื่อเดิมว่า "นครไทยเทศ" คงจะเป็นเพราะท่านทราบดีว่าคนไทยสองกลุ่มนี้ ได้เคยสืบเชื้อสายมาจากตระกูลเดียวกัน
ถึงแม้จะแยกย้ายกันมาอยู่ห่างไกลกันคนละเขตประเทศก็ตาม ก็ต้องนำกลับมาให้
เจ้าของเดิม คือ "ชาวไทย" อีกนั่นเอง จึงขอฝาก "ประวัติศาสตร์ชาติไทย" ไว้แต่เพียงแค่นี้
แล้วหลวงพ่อก็สรุปลงธรรมะอีกว่า
"ทำไมประเทศจึงต้องมีกษัตริย์ คำว่า กษัตริย์ นี่เขาแปลว่า นักรบ กำลังใจของ
คนไทยทั้งหมดอยู่ที่หัวหน้า ถ้าหัวหน้าขี้แย คนไทยก็ขี้แย ถ้าหัวหน้าเอาจริง ขอให้เอาจริงสักอย่างเดียว คนไทยทั้งชาติจะลุกขึ้นจับดาบสู้
อย่างเช่นเวลานั้นที่พรหมกุมารเป็นหัวหน้านำคนไทย แม้เพียงส่วนน้อย น้อยกว่าขอมมาก ถูกขอมย่ำยีอย่างหนัก ต้องแอบซุ่มซ้อมรบกัน เมื่อหัวหน้าเอาจริง เราก็สามารถขับไล่ขอมออกจากเขตไทยได้ แถมขยายอาณาเขตออกไปอีก
เป็นอันว่า พระเจ้าพรหมมหาราชตายไป เกิดเป็นพรหมตามเดิม เห็นไหมลูก รบกัน
เกือบตาย ขยายเขตแดนออกไป ร่ำรวยกันเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผลสุดท้ายก็ตายหมด ตายแล้วขนอะไรไปได้บ้างแม้แต่หนวดเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้
ที่ลูกรักของพ่อมีความต้องการธรรมะหวังพระนิพพาน พ่อพอใจ เราไปนิพพานกัน
ดีกว่า นอนสบายให้มันเป็นสุข เราเหนื่อยกันมาแล้วเกินกว่า 16 อสงไขยกับแสนกัป"
ท่านก็จบด้วยการชวนลูกหลานไปนิพพาน ซึ่งท่านผู้เป็นประธานก็ได้ไปรออยู่ก่อนแล้ว ในตอนนี้ เรายังมีสังขารอยู่ ถ้อยคำของท่านย่อมสร้างกำลังใจ เราเดินทางไปไกลกันครั้งนี้ ก็หวังการบูชาตามที่ท่านแนะนำ คิดว่าการรวมพลังใจกันมากมายในครั้งนี้ คงจะไม่มีใครคิดจะเกิดกันอีกต่อไป
(จากคอลัมภ์ "เล่าเรื่องไปเชียงราย" โดยหลวงพ่อชัยวัฒน์ อชิโต ใน ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 192 เดือนมีนาคม 2540 หน้า 121-123)
-
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
ผมชอบนำพระไปชุบทองนะครับ
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
ความคิดเศร้าหมองเพราะเรื่องทำบุญ
ผู้ถาม : หลวงพ่อมีพระคุณเท่าฟ้าเท่าแผ่นดิน ก่อนที่พวกลูกๆจะมาพบหลวงพ่อ ก็มีกิเลสตัณหาท่วมหัว หลวงพ่อสอนให้ลูกๆรู้จักบาปบุญคุณโทษ ที่วัดทำบุญเมื่อไรก็ตั้งใจอยากจะไปทำบุญกับหลวงพ่อ ไปกราบไหว้หลวงพ่อที่ลูกๆเคารพและบูชา
แต่พอเข้าไปใกล้หลวงพ่อเพื่อที่จะถวายเงิน หรือถวายสังฆทานด้วยจิตใจที่เบิกบาน ก็ถูกผลักดันจากเจ้าหน้าที่ จึงทำให้ลูกๆหมดกำลังใจ จิตก็เศร้าหมอง
เจ้าหน้าที่ดันหน้าดันหลัง แทบจะถวายเสียเอง พวกที่มาจากที่ไกลๆก็ต้องการมากราบหลวงพ่อเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง เรื่องนี้พูดกันหนาหูมาก ลูกจึงกราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง
หลวงพ่อ : อันนี้ต้องแก้ด้วย "ตุลิตะ ตุลิตัง สีคะ สีคัง" คือกาลเวลาเป็นของสำคัญ คือคนข้างหลังเขาแน่นเข้ามา ถ้าเราช้าคนเดียวคนหลังก็เป็นลม ใช่ไหมเล่า
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ธรรมของเราไม่ใช่เครื่องเนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีคะ สีคัง"
กาลเวลาเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าคิดอย่างนี้ใจเศร้าหมองนี่ ต้องดูเวลาถ้าว่างคน คนนั่งช้ายังไงก็ได้ ถ้าคนมากที่วัดท่าซุงมันเป็นลมทุกคราว ต้องดูเขานะ อย่าดูเพียงแต่เรา
ดูแค่เราอย่างนี้อารมณ์เศร้าหมอง อย่างนี้จะไปสวรรค์ยาก ไม่ใช่นิพพาน
หลวงพ่อยังเสริมอีกว่า
หลวงพ่อ : ความจริงก็ควรเป็นอย่างนั้น การอธิษฐานต่างๆต้องทำมาก่อน ทำมาตั้งแต่ที่บ้านก็ได้ ไปตั้งใจอธิษฐานตอนนั้น ไม่มีผลหรอก ใจไม่ทรงตัว ต้องพร้อมมาก่อน
(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 74 เดือนเมษายน 2530 หน้า 28-29)
-
หน้า 598 ของ 616