+++ ธรรมดาจิตทุกดวงย่อม "เสพธรรมารมณ์" เป็นเครื่องอยู่ ตรงนี้เป็น "โลกียะจิต" ส่วนผู้ที่ฝึกฝนแล้ว ย่อมเปลี่ยนจาก การใช้ธรรมารมณ์เป็นเครื่องอยู่ มาเป็น การใช้ "สภาวะรู้ (อาการของสติ)" เป็นเครื่องอยู่ (อยู่กับรู้ ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล) ก็ย่อมแตกต่างออกไปจาก โลกียะจิต เป็นธรรมดา นั่นเอง
ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.
หน้า 47 ของ 69
-
+++ ส่วน "ไร้เจตนา และ การหลุดพ้น" นั้้นต้องมาจาก "การรู้แจ้ง และ สิ้นสงสัยในสภาวะธรรมทั้งปวง" แม้กระทั่ง "นิพพาน ต้อง ทำให้แจ้ง" นั้นก็รวมอยู่ในนี้ด้วย
+++ "สภาวะรู้" เป็น สุญญตา เป็น "อสังคตะธรรม" ที่บริสุทธิ์และสมบูรณ์อยู่ในตัวอยู่แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ "ต้องฝึก" จนกว่าจะ "เป็นสภาวะรู้" โดยสิ้นเชิงเท่านั้น จึงสามารถที่จะ "วางขันธ์" ได้ตามความเป็นจริง นะครับ -
ดูพิภพเคลื่อนตัวทำเอาหูอื้อ ตาลายเลยค่ะอาจารย์ วันพุธมีเหตุตัองกลับค่ำ อยู่ที่ทำงานจะขึ้นไปบนชั้น 5-6 เห็นชัดเจนมากค่ะ มันทรงตัวไม่อยู่เหมือนจะล้มไปด้านหลังตลอด จะคอยสังเกตุไปเรื่อยๆค่ะ
-
-
ผมสงสัยมาตั้งนานเวลาจิตรวมของผมมี2อย่าง
อย่างแรก...ผมพยายามจับลมหายใจแล้ววูบจิตไปรวมที่หน้าผากแล้วนิ่งแต่รู้สึกยังหนักๆ
อย่างสอง....จับลมเหมือนกันแต่เผลอไปแว๊บหนึ่งแล้วรู้สึกตัวทันทีจิตจะวูบรวมแต่ไม่มีจุดรวมแต่กระจายไปตามตัวและรู้สึกสบายกว่าแบบแรก....บางครั้งผมพิจารณาผมขนเล็บฟันหนังโดยรู้สึกไปเรื่อยๆจิตก็รวมแบบรู้สึกทั่วตัว..มีความรู้สึกสบายกว่าแบบแรกมาก...แต่ส่วนมากจิตไม่รวมนานๆถึงรวมทีหนึ่ง เสียดายไม่ได้ทำความรู้สึกทั้งตัวแบบอาจารย์ -
ทำตรง ๆ ไปที่ "ผลของจิตรวม" แล้ว "จิตรวม" จะกลับมาเอง
+++ "การทำความรู้สึกทั้งตัว" นั้นก็คือ "ได้รากฐานมาจากจิตรวม" นั่นเอง เพียงแต่ว่า "ความรู้สึกทั้งตัว" นั้น ๆ สามารถทำได้เลย แล้ว "อาการจิตรวม" ก็จะบังเกิดขึ้นเอง หลังจาก ทำความรู้สึกทั้งตัวได้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึง "ต่อยอด" ไปได้ด้วยความรวดเร็ว โดยกำหนดตรง ๆ ไปที่ "จิตรวม" ตรงนั้นแหละ
+++ อาการ "จิตรวม" ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร แล้ว หากเราทำตรง ๆ ที่ผลลัพธ์นั้น "อาการจิตรวม" จะกลับมาหรือไม่ ตรงนี้ผมให้คุณ สัมภิทา ลองทำเป็น "การบ้าน" ดูนะครับ -
อาจารย์คะ สังเกตุว่าเมื่อเราเข้าฐานกายเวทนา เหมือนตัวเราวูปเหมือนจะออกไปจับพลังงานภายนอกพอวูปออกไปแล้ววินาทีเดียวก็มีเสียง massage โทรศัพท์เข้ามา มีความรู้สึกว่า เหมือนว่าตัวกายเวทนาของเรามันไปจับเอาพลังงานที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่นพลังงานไฟฟ้าในบ้าน ที่เคยถามอ.ว่าบางทีสังเกตุดีๆจะมีพลังงานไอสีขาวพุ่งออกไปจับสิ่งที่กำลังดูอย่างเช่นจอคอมพิวเตอร์
และสังเกตุอีกอย่าหนึ่งว่าเมื่อคืนเหมือนเราหลับแต่อีกตัวมันดูอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรานอนไม่หลับจริงเราคงง่วงมาทำงาน แต่ไม่ได้เป็นทั้งคืนนะคะ
และสังเกตุอีกอย่างค่ะ เรื่องจิตมารค่ะ มาเต็มๆ 55555555 มันแปลความหมายให้เราผิดชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะโดยเฉพาะเรื่องธรรมะ (อ่านผิดลงนรกตรงนั้นเลย 555) จะต้องอ่านย้ำแล้วย้ำอีก ช่วงนี้เลยไม่ได้อ่านหนังสือสอบเพราะรู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมเหนื่อยหรือขี้เกียจก็ไม่รู้ อิอิ -
+++ 1. ขณะ เริ่มกำหนด จะมีการ "ดึงตัว หรือ หดตัว" วูปหนึ่ง "ชำแรกผิวหนัง เข้ามาจากข้างนอกก่อน ทั่วทุกทิศทุกทาง" จะเรียกว่า "เรียกพลัง หรือ รวมพลัง" หรือจะเรียกยังไงก็ได้ แล้วแต่ภาษาจะพาไป เรื่องของภาษาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือ "อาการ" ที่ปรากฏขึ้น "ตามความเป็นจริง (สัจจธรรม)" เท่านั้น
+++ 2. ในขณะที่ "พลังงานจากภายนอก ชำแรกผ่านผิวหนัง ทั่วสรรพางกาย เข้ามา" นั้น ตรงนี้ทำให้เกิด อาการที่เรียกว่า "รู้ตัว" (ยังไม่ใช่ รู้สึกตัว) ซึ่งตรงนี้จะทำให้ อาการของ "สติ" ก่อกำเนิด
+++ 3. จากนั้น พลังงานที่ "รวมตัว" เข้ามาถึง "ภายในกาย" ก็จะเกิด "แรงอัดตัว กระจายออก" ตรงนี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็น action = reaction และตรง "แรงอัดที่กระจายออก" นี้ เมื่อ "กระจายออก" จนกระทบ "ผิวหนังทั่วสรรพางกาย" ก็จะก่อกำเนิด "ความรู้สึกตัว" ซึ่งเป็นอาการของ "สัมปชัญญะ หรือ กายเวทนา" นั่นเอง
+++ 4. หมายเหตุ ณ ตรง "แรงอัดตัว ที่กระจายออก" นั้น หาก "เพิ่มอัตรา เร่ง" ลงไปในจังหวะนั้น หากทำได้ถูกต้อง อาการของ "จิตคำราม" ก็จะเกิดขึ้นมาได้
+++ จากข้อ 3 อาการที่ "เหมือนตัวเราวูปเหมือนจะออกไปจับพลังงานภายนอก" ตรงนี้ จริง ๆ แล้ว เป็นอาการที่มีพื้นฐานมาจาก "จิตเคลื่อนร่าง" เพียงแต่ "กายเวทนามันไม่ได้ ลาก ร่างไปด้วย" คือ ณ ขณะนั้น ๆ มัน "ไม่ได้สนใจว่า มีร่าง หรือไม่" มันลงมือด้วยตัวมันเองเลย และเป็นอาการของการ "อัดตัวกระจายออก ไปยังพลังงานภายนอก" นั่นเอง
+++ ส่วนคำศัพท์ที่ว่า "สังเกตุดีๆจะมีพลังงานไอสีขาวพุ่งออกไป" นั้น ให้สังเกตุดี ๆ ว่า "มันเป็น สีขาว แบบไอน้ำพวยพุ่ง" หรือเป็นแบบ "ใส แต่มีสภาพ พวยพุ่ง" ตรงนี้ต้องใช้ "ภาษาให้ตรงกับอาการ" เพราะ อาการ 2 อย่างนี้ สามารถใช้เป็น "มาตรวัด" ว่าในขณะนั้น ๆ "ฐานเวทนา หรือ ฐานจิต" เป็นลักษณะเด่น รวมถึงการบ่งชี้ ความละเอียดของ "สติ + สัมปชัญญะ" ได้ว่า อยู่ในฐานไหน
+++ 1. กายหลับ แต่ จิตมัน "เบิกโพลง" (จิตตื่น) อยู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะเข้า "ตื่นอย่างยิ่ง" แล้วพัฒนาไปเป็น "จิตเปล่งรังสี (อาภัสสระพรหม)" ตรงนี้เป็น "สมถะฌานสมาบัติ"
+++ 2. หลับอยู่ส่วนหลับ และ ตื่นอยู่ส่วนตื่น แบบ "แยกกันเป็นคนละส่วน" ตรงนี้เป็น "วิปัสสนาญาณทัศนะ"
+++ อาการทั้ง 2 อย่าง ล้วนเป็น "อัปปนา (ฌาน หรือ ญาณ)" ทั้งสิ้น และ "ความง่วง (ถีนมิทธะ)" ล้วนเข้าไม่ถึง ส่วน "กาย" จะได้รับการพักผ่อนเต็มที่ไปเอง
+++ ที่สำคัญที่สุดตรงนี้คือคุณ jsso เป็นอาการ 1 หรือ 2 (หากเป็นแบบที่ 2 ก็สามารถบ่งชี้ได้ว่า สามารถลา พุทธเกษตร ได้แน่นอนในชาตินี้)
+++ และยามใดที่สามารถ "แยกมันได้สำเร็จ" ก็จะสามารถเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนของการ "เห็นขันธ์ ฝึกขันธ์ ใช้ขันธ์" ได้ตามความเป็นจริง นะครับ -
ยังทำไม่สำเร็จจะพยายามต่อครับอาจารย์...แต่ตอนนี้สามารถรู้ความคิดในขณะจิตได้แล้วเยอะมาก
และไม่อยากเสพอารมณ์ภายนอกและความคิดของตัวเอง.. -
สาธุ ท่านสัมภิทา คงจะได้เห็นความไม่มีสาระของอาการปรุงแต่งที่ไม่จบไม่สิ้นที่เรียกว่าความคิดแล้วสินะครับ
-
อาทิตย์ที่แล้วไปเที่ยวสุโขทัยมาคะ คืนแรกมีอาการ หลับอยู่ส่วนหลับ ตื่นอยู่ส่วนตื่น
คือส่วนที่หลับกำลังกรน ส่วนที่รู้ว่ากรน ไม่ได้รู้อย่างเดียวแต่เล่นกับอาการกรนของกายด้วย รู้ว่าลมเข้าไปที่ปาก แล้วไปตีกับคอหอยทำให้เกิดเสียงกรน
บางที่ที่ไปเที่ยว พอเห็นเท่านั้นแหละเปลวเทียนไหวแรงมาก มันวูปหดเข้าก่อนที่จะกระจายออก ระดับ intensity รุนแรงเป็นเปลวเพลิงเลย
บางที่ เช่น ที่ศาลพระแม่ย่า กำลังยืนอ่านประวัติอยู่ (หันหลังให้ทางเข้าศาล) รู้สึกเลยว่ามีเหมือนมีมือมาลูบหัว มาดึงตัว ก็เลยเลิกอ่านเข้าไปไหว้ดีกว่า -
+++ การ "ไม่อยากเสพอารมณ์ภายนอกและความคิดของตัวเอง.. " ตรงนี้แหละ เป็น "จุดเริ่มต้น" ของการ "เบื่อ รูป-นาม" จัดว่าเป็น "นิพพิทาญาณ" (ความเบื่อหน่ายในสังขารปรุงแต่ง คือ ความคิดและอารมณ์) ปรารถนาที่จะออกไปให้พ้นจาก "วังวนของ รูป (ความคิด) นาม (อารมณ์)" ตรงนี้ เป็นแรงผลักดันให้ "เร่งความเพียร" ได้
+++ ช่วงนี้น่าจะ "เห็น" ได้อย่างคร่าว ๆ แล้วว่า ยามใดที่ "อยู่" กับอารมณ์และความคิด ยามนั้น "น่าเบื่อ" และ "ไร้ประโยชน์สิ้นดี" เสียเวลาคิดให้ตาย เสร็จแล้วเดี๋ยวก็ลืม "สูญโญ" ไปเปล่า ๆ
+++ ต่อไปให้ฝึกอยู่กับ "ความรู้สึกทั้งตัว" ไปเรื่อย ๆ แล้วไม่นานจะ "เห็น" ความแตกต่างระหว่าง ทางโลกกับทางธรรม ได้มากขึ้นเอง นะครับ -
-
+++ หากถึงตรงที่กล่าวมานี้ ก็ให้รู้ได้เลยว่า "มหาปัฏฐาน (เหตุปัจจโย)" ได้หล่อหลอมและกำกับ ฐานจิต ได้แล้ว อาการทุกอย่างจะเป็นแบบเดียวกับ "จิตคำราม (ฐานกายเวทนา ฐานกามาวจร)" แต่จะเปลี่ยนมาเป็น "เปล่งรังสีใสสว่าง (ฐานกายจิต ฐานรูปาวจร)" เป็นรังสีกระแทกออกทุกทิศ
+++ ตรงนี้ "ผู้ที่มีสติ หรือ ผู้ที่มองระดับ 3 ได้" จะเห็นรังสีใสสว่างของเราได้ หาก "สภาวะรู้เป็นใส้เทียน" ก็จะเป็นแบบ "ปรากฏการณ์ของรังสีเจิดจ้า แต่ ไม่มีตัวตน" และหาก "ตัวดูเป็นใส้เทียน ก็จะเป็น ปรากฏการณ์ของการ ปรากฏตัวของพรหม" แบบเดียวกันนั่นแหละ
-
......ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ และทุกๆท่านมากครับ
......ขออนุโมทนาในธรรมและกรรมดีทั้งหมดทั้งมวล -
มาคุยเรื่องตัวพูดมาก
หลังจากที่มันหลุดออกไปแล้ว มันก็ยังพูดมากเหมือนเดิม ^o^
แต่มันต่างกันตรงที่คราวนี้เป็นมันพูด เราไม่ได้พูด เราฟังมันพูด พอรู้สึกว่ามันชักเยอะเราก็ดับมันเลย
ช่วงหลังๆ มันจะชอบพูดเรื่องสภาวะธรรมที่เป็นอยู่เรียบเรียงอาการ เทียบเคียงลักษณะอาการที่ฝึกผ่านมาเป็นขั้นๆ เรียกว่าเป็นการเดินทางไปสู่การเห็นขันธ์ -
+++ หากต้องการรู้เรื่อง สรรพเสียง สรรพภาษา สรรพสื่อสาร ก็ต้อง "ปล่อย" ให้มันแยกตัวออกจากเราอยู่เสมอ แล้วมันจะ "ผลิตรายการแสดง" ออกมาเอง
+++ ในขณะที่มัน "แสดงรายการต่าง ๆ" หากทำได้ดี เราจะอยู่ใน "ปิติ" ตลอดเวลา และเรียนรู้ในขณะที่ "สติครองฐานปิติ" โดยที่มันไปแสดงตัวอยู่ "ข้างนอก" ตลอดเวลา
+++ ต่อไป "พอรู้สึกว่ามันชักเยอะ" อย่าไปดับมัน แต่ให้ "ปรับฐานวิหารธรรมให้ละเอียดขึ้น"
+++ การฝึกในระดับนี้ จะใช้คำพูดว่า "ปรับสติ" ก็จะไม่ถูกต้องกับอาการ ดังนั้นจะใช้คำว่า "ปรับวิหารธรรมให้ละเอียดกว่าเดิม" จะถูกต้องกว่า
+++ การ "ปรับฐานวิหารธรรม (เครื่องอยู่) ให้ละเอียดขึ้น" ก็จะเรียนรู้ได้ว่า "จากชั้นเสียง จะละเอียดไปเป็น ชั้นภาพ (ที่เป็น moving picture หรือเรียกว่า "ทิพย์") และ หากละเอียดไปกว่านั้นก็จะเป็น ชั้นแห่งความเข้าใจ (concept ของเจโตปริยะญาณ)" ซึ่งชั้นนี้จึงจะเป็น ชั้นของการติดต่อของเทพชั้นสูง หรือ พรหม นั่นเอง (ในครั้งที่พระพุทธองค์และเหล่าสาวกเผชิอญหน้ากันกับ นันโทนาคราช ท่านเหล่านั้น ก็สื่อสารกันด้วยวิธีนี้เช่นกัน เพราะเป็นการสื่อสารที่เร็วที่สุด)
+++ ซึ่งในแต่ละ step จะรวบรวม "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ไว้ในนั้น คือ
1. รู้ จิตและระดับของการปฏิบัติ ของผู้ที่จะฝึก ณ ปัจจุบันขณะ ในขณะนั้น ๆ แบบต่อหน้า
2. รู้ อุปนิสัยของผู้ที่จะฝึก ว่าการฝึก ใน step ที่แล้วมาผ่านมาอย่างไร และสมควร "ต่อยอด" ให้อย่างไร หรือ ไม่สมควรต่อยอดให้ เพราะยังไม่มั่นคงเพียงพอ ต่าง ๆ
3. รู้ อุปนิสัยของผู้ที่จะฝึก ว่าจะต้อง กำหนดจิตใน step ต่อไปอย่างไร จึงจะก้าวหน้า และ ไปได้ถูกทาง
4. รู้ สภาวะการณ์รอบข้าง ที่จะนำมาใช้เป็น อุปกรณ์ประกอบการฝึก เช่น เสียง ภาพ รวมทั้ง จิตแปลกปลอม ที่เข้ามาในระหว่างนั้นต่าง ๆ
+++ กล่าวอย่างคร่าว ๆ แบบหลัก ๆ ก็จะเป็นอาการของ 4 ประการนี้ ให้ เมิล ลอง map จิตย้อนหลังดูว่า "วิธีการสอน ที่ผมสอน" จะมีเนื้อหาหลัก ๆ ทั้ง 4 ประการนี้ "ตลอดเวลาในทุก ๆ ยก"
+++ ให้ เมิล ลอง map จิตย้อนหลังลงไปในเวลาที่ ฝึกต่อหน้าผม ตั้งแต่ครั้งแรกเริ่ม ตลอดจน วิวัฒนาการในการฝึกของ เมิล เอง "ให้ map ให้ละเอียด" ก็จะสามารถเข้าใจอย่างละเอียดได้
+++ จากนั้นก็ "ปล่อย" ให้ ตัวพูดมาก มันทำงานเพื่อ "ย่อยวิธี เดินจิต" ให้ออกมาในรูปแบบฉบับในการ "ใช้ภาษาให้ตรงตามอาการ" ในแบบฉบับของตัว เมิล ออกมาเอง
+++ ไม่นาน เมิล ก็จะมีขีดความสามารถที่จะ "ทำการสอน" ในรูปแบบและเนื้อหาที่ผมสอนได้ นะครับ -
วันนี้มีเรื่องประหลาด ออกไปวิ่งกึ่งเดินระยะทางประมาณ 2 กิโล วิ่งไป ท่องคาถาไป ทำความรู้สึกอยู่ที่อาการวิ่งกับคาถาที่ท่องเท่านั้น ความคิดอื่นแทบจะไม่มีมาแทรกเลย พอขากลับวิ่งจะถึงบ้าน เจอแมวกำลังข้ามถนน ส่งกระแสจิตไปเรียกแมว (แมวของชาวบ้าน) ระยะห่างประมาณ 70 เมตร แมวหยุดกึกกลางถนน ส่งเสียงตอบมา ส่งกระแสจิตไปว่ามานี่สิ เจ้าแมวของชาวบ้านก็วิ่งมาหาทันที เจอกันครึ่งทาง ก็ทักทายเป็นภาษาแมว แมวจะร้องมาวๆ แล้วเอาตัวมาถูหน้าแข้งเรา มาวๆ ดาวก็เอามือลูบๆ คุยกับแมวว่า ดาวกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ วิ่งด้วยกันไหม ไม่รอคำตอบจากแมว ดาวก็วิ่งอ้อมไปอีกทาง คนละทางไปบ้านเจ้าแมว เจ้าแมวลายก็วิ่งตาม วิ่งจริงๆน่ะ เหมือนหมาวิ่งตามคนแบบนั้นแหละ วิ่งอ้อม เข้าซอกเข้าซอย มันก็วิ่งตาม วิ่งๆ จนไปถึงบ้านแมวก็บอกว่า ถึงบ้านเจ้าแล้วน่ะ พอแค่นี้ เจ้าแมวก็มองประตูทางเข้าแต่ก็ยังไม่เข้า ยืนมองดาว ดาวก็บอกลาเอามือลูบๆ พอแค่นี้น่ะ แมวก็หยุดอยู่ตรงนั้น แล้วดาวก็วิ่งเข้าบ้านมันก็ไม่วิ่งตาม คิดแล้วตลกดี แมวมันเข้าใจดาว หรือ ดาว เข้าใจแมวเนี่ย ปกติถ้าเดินผ่านแมวตัวนี้ก็แค่ทักทายลูบตัวแมวแค่สองครั้งเอง
-
+++ ส่วน "ความคิดอื่นแทบจะไม่มีมาแทรกเลย" นั้น สาเหตุทั้งหมดมาจาก "การอยู่" ทั้งสิ้น
+++ ในขณะที่จิต "อยู่กับคาถา" จิตจะเป็น "สมถะ" และ "ปิดตัว" ไม่เปิดการ "รับ-ส่ง" ทางจิต
+++ ในขณะที่จิต "อยู่กับการวิ่ง และ รับความสบาย" จิตจะเป็น "วิปัสสนา" และ "เปิดตัว" จึงสามารถเปิดการ "รับ-ส่ง" ทางจิตได้
+++ เรื่อง "การใช้ภาษาที่ตรงกับอาการตามความเป็นจริง" นี้จะสังเกตุได้ว่า "หลายครั้งจะเป็นภาษาที่ สวนทาง กับทางโลก" โดยเฉพาะอาการ "จิตเปิดเป็นวิปัสสนา" ส่วน "จิตปิดเป็นสมถะ" นี้้ ผู้ที่จะรู้เรื่องได้ ต้องรู้จักอาการของ จิดเปิด กับ จิตปิด รวมทั้ง "ผลลัพธ์" จากทั้ง 2 อาการมาแล้วเป็นอย่างดี จึงจะเข้าใจได้
+++ ในก่อนฝึกช่วงนี้ ให้ซ้อมในการทำ "ความรู้สึกทั้งตัว" ให้ชำนาญที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหากสามารถทำการ "เร่ง-ลด" ได้ก็จะเป็น การดีอย่างยิ่ง
+++ ตารางการฝึกที่คุณ Apinya17 จะเป็นผู้กำหนด และ "ช่วงเว้น ตรุษจีน" จะอยู่ใน pm นะครับ -
เคยแต่โดนแมวเดินตามเลียเท้า เดินไปทางไหนก็ตามไปทางนั้น
แต่คงเป็นจิตสื่อสารไม่รู้เรื่อง เพราะบอกแมวแล้วว่าไม่ต้องตามมา ยังตามมาอีก
หน้า 47 ของ 69