ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "การกำหนดตนให้ว่าง" นั้น เป็นการใช้ภาษาที่ยัง "ไม่ตรงกับอาการ" และความ "เป็นตน (ขันธ์)" นั้น ไม่สามารถที่จะ "ว่าง" ได้ ตามธรรมชาติของ "โลกียะธรรม"

    +++ การกระทำที่ "ถูกต้อง" มีอยู่ได้ทางเดียวเท่านั้น คือ "ทำตนให้ถูกรู้" แล้วจะกลายออกมาเป็น "ตนที่ถูกรู้ ไม่ว่าง (มีสภาพ)" แต่ "สภาวะรู้ นั้นว่าง (ไร้สภาพ)"

    +++ ตรงนี้เป็นอาการของ "สัพเพธัมมาอนัตตา" ซึ่งสรรพสิ่ง รวมทั้ง สรรพเสียง ทั้งหมดถูกแยกออกจาก "ความเป็นตน" และไม่มี "ความเป็นตน" อยู่ในสรรพสิ่ง

    +++ ตรงนี้เป็นอาการของ "กายในกาย ถูกรู้" และจะทำให้้รู้ว่า "ตัวเราอีกตัวอยู่ข้างหน้า นั้น ไม่ใช่เรา" ตรงนี้เป็นก้าวแรกของ การตระหนักชัดในเรื่องของการละ "สักกายะทิฐิ"

    +++ หากเกิดขึ้นอีก ให้ทำ "กายถูกรู้ ส่วนเรา รู้อยู่" และให้สังเกตุว่า "สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหมด มีสภาพ" แต่อาการของ "สภาวะรู้ นั้น ไม่สามารถที่จะมีสภาพได้เลย"

    +++ ให้ทำความเข้าใจจนรู้แจ้งให้ได้ว่า "สภาวะรู้" นั้น "เกิดมาก่อนแล้ว (สภาวะธรรมนี้ มีมาก่อน) หรือ ทำให้เกิดภายหลังได้ (ตรงนี้ ต้องชัดเจน)" ให้ทำ "ธัมมะวิจัย" ดังนี้

    +++ 1. สภาวะรู้ มีมาก่อน สภาวะตน และ สภาวะตน (เรา) สามารถที่จะสร้าง สภาวะรู้ ได้หรือไม่ (ให้ตรวจสอบประเมินผลในหลาย ๆ ทาง)
    +++ 2. สภาวะรู้ ทำให้ "ตาย หรือ หายไป" ได้หรือไม่
    +++ 3. สภาวะรู้ นี้ "ทุกข์" สามารถ ตั้งอยู่ ได้หรือไม่
    +++ 4. เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีอยู่ได้ในสรรพสิ่ง แต่ "สภาวะรู้" นี้ สามารถ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้หรือไม่
    +++ 5. ตัวเราที่แท้จริง "ใช่สภาวะรู้ หรือไม่" ทั้ง ๆ ที่ "ไม่มีสภาวะแห่ง ความเป็นตน อยู่ในนั้น"

    +++ ทั้ง 5 ประการนี้ "ควรทำให้ รู้แจ้งแทงตลอด" จนถึง "สิ้นสงสัย" ว่า "สภาวะรู้ คือ อะไร"

    +++ เรื่องของ "ตัวดู หรือ ตัวเรา" หดสภาพนั้น ให้สังเกตุตรง "กายเวทนา หดตัว กลายเป็นตัวดู" "ตัวดูจางคลาย กลายเป็น กายเวทนา" สังเกตุตรงนี้บ่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ รู้ไปได้เอง และ หากสังเกตุได้ละเอียดถึงที่สุด ก็จะสามารถ "เห็น" กำเนิดแห่งตน หรือ ตัวดู ได้เช่นกัน (กำเนิด ปฏิจจสมุปบาท)

    +++ เรื่องของ "การจัดการกับสภาพตน" นั้น ให้อ่านทวนจากข้างบนนี้อีกที

    +++ ตรงนี้เป็นอาการของการ "อยู่" กับความ "เบา สบาย โล่ง โปร่ง" หรือที่เรียกกันว่า "ฌาน 3"

    +++ ตรงนี้มี "ความสุขของฌาน 3" เป็นอาการเด่น เพียงแต่ เราไม่ได้ใส่ใจกับอาการของ ฌาน

    +++ แต่เราใส่ใจกับ อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ "จิตที่อยู่ตรงนี้" มากกว่า เพราะ "คุณสมบัติทางจิต" ตรงนี้ มีอะไรหลาย ๆ อย่าง ต่างไปจากธรรมดา อย่างยิ่ง

    +++ อาการตรงนี้ เช่น "การกำหนดจิต เดิน เพียงวาระจิตเดียว" ก็ก่อให้เกิดอาการ "ที่เท้ามันพลิ้วไปเอง โดยไม่มีการใช้กำลังจาก กล้ามเนื้อของ กายมนุษย์" แต่อย่างใดทั้งสิ้น

    +++ ตรงนี้ จะมีอาการคล้ายกับ "การฝึกจิตเคลื่อนร่าง ในท่าเดิน" ตอนนี้คงเห็น "ความสัมพันธ์ระหว่าง การฝึกจิตเคลื่อนร่าง กับ อาการในฌาน 3 แล้วนะ" แล้วต่อไปมันจะ วิวัฒนาการไปเป็น "การพลิ้ว ในความว่าง แล้วกลายตัวไปเป็น มหาปัฏฐานสูตร (เหตุปัจจโย) ในท่าเดิน" ได้เอง

    +++ อาการ "ปากมันพูดไปเฉย ๆ แต่เราไม่ได้บังคับกล้ามเนื้อเลย" เป็นอาการแบบเดียวกับ "ฌาน 3" ซึ่งตรงนี้ "ตัวพูดมาก พัฒนาจาก ฐานกายเวทนา เข้าสู่ ฐานกายจิต" ไปแล้ว

    +++ ตรงนี้ให้ "ลองเล่น" โดย เปิดเสียงสวดมนต์ แล้วให้ "ตัวพูดมาก" มัน copy เสียงแล้วสวดตาม จะเห็นได้ว่า "แม้แต่บทสวดที่ไม่เคยสวดมาก่อน มันก็ยังสวดได้" ตรงนี้เป็นอาการของ "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ในขณะที่ "อยู่กับฌาน 3"

    +++ วิวัฒนาการต่อจากตรงนี้คือ "ตัวพูดมาก" จะพัฒนาจากการ map ภาษา ไปเป็นการ map จิตแบบตรง ๆ (อภิญญา คือ สติปัญญา ในการใช้ขันธ์) ลองสังเกตุ ๆ ดูนะครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    หลวงปู่ไดโนเสาร์ ตอบปัญหาธรรม

    เช้านี้มีอาจารย์ท่านหนึ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อนำนักเรียนมาชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์สิรินธร แล้วจึงพานักเรียนขึ้นมาวัดเพื่อมากราบหลวงพ่อบันดาล (พระพุทธบันดาลฤทธิผล) พระพุทธรูปโบราณคู่วัดสักกะวัน

    และเมื่อเห็นหลวงปู่นั่งอยู่จึงเข้ามาแวะกราบ สนทนากันได้ระยะหนึ่งจึงเอ่ยถามหลวงปู่ว่า

    อาจารย์ ; หลวงปู่ครับ พระพุทธเจ้าทรงตรัสในกาลามสูตรในสิ่งไม่ควรเชื่อ ๑๐ อย่าง ท่านให้พิสูจน์ทดลองก่อนจึงเชื่อ ผมไม่เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นเราอยากรู้ว่า ตายแล้วไปไหนไม่ต้องพิสูจน์ ด้วยการตายก่อนหรือครับถึงจะทราบ

    หลวงปู่ ; คุณมาจากไหน

    อาจารย์ ; ร้อยเอ็ด ครับผม

    หลวงปู่ ; ถ้าคนกาฬสินธุ์ เขามีพิธีกรรมบางอย่างที่คนร้อยเอ็ดไม่มี ไม่ทำ คุณว่าคนกาฬสินธุ์เขางมงาย เขาทำถูกหรือทำผิด

    อาจารย์ ; ไม่งมงายไม่ผิดครับผมหลวงปู่ เพราะคนกาฬสินธุ์ก็คือคนกาฬสินธุ์ จะเอาความคิดคนร้อยเอ็ด มาตัดสินคนกาฬสินไม่ได้ครับผม

    หลวงปู่ ; เออ ตอบคำถามสมกับเป็นครูคน ก็ในเมื่อเอาคนร้อยเอ็ดมาตัดสินความเป็นคนกาฬสินธุ์ไม่ได้ ก็เอาคนกาลามะมาตัดสินคนไทยไม่ได้เหมือนกัน

    คนที่ศึกษาแต่ข้อความทั้ง ๑๐ แล้วไม่ได้ดูที่ไปที่มาของเรื่องเลย "จะสรุปว่าข้อความทั้ง ๑๐ คือทั้งหมดไม่ได้" คนกาลามะเป็นคนหัวอ่อนเชื่อง่ายใครสอนอะไร บอกอะไรเชื่อหมด ไม่ไตร่ตรองเสียก่อนพระองค์ท่านจึงให้ข้อตัดสินความเชื่อไว้อย่างนั้น

    ก็ในเมื่อเราไม่ได้มีจริตนิสัยเป็นอย่างนั้นเราจะเอามาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ศาสนธรรมคำสอนพระองค์เจ้ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คุณอย่าเอามาใช้ทั้งหมดสมัยก่อนพระองค์เทศน์สอนใคร เทศน์เรื่องเดียวอย่างเดียวคนนั้นก็ บรรลุธรรม

    คนทุกวันนี้ชอบแบกคัมภีร์แบกธรรม แบกจนหนักโดยไม่รู้ตัว มัววุ่นอยู่แต่กับหนังสือกับข้อความ รับมาก ฟังมาก แบกมาก หนักมาก เลยเอาหนังสือเอาคัมภีร์มาข้องมาคา มาติดมาขัด ไปไหนก็ไม่ได้ มันติดคัมภีร์ มันติดความรู้ ความรู้ที่รู้เพื่อหนักสมองรกสมอง ใช้ประโยชน์ไม่ได้

    สังเกตไหมว่า คนในสมัยพระพุทธเจ้า เขาปฏิบัติอย่างเดียว เอาธรรมตัวเดียว สิงคาลมาณพ เอาทิศ ๖ หลวงพ่อโมคคัลลา เอาความง่วง หลวงพ่อพาหิยะ ฟังธรรมสั้นๆ หลวงพ่อ นาลกะ เอาโมเนยยะ ท่านเหล่านี้ไม่ต้องแบกคัมภีร์ ไม่ต้องแบกความรู้ที่รกสมอง

    พระองค์เจ้าเป็นสัพพัญญูเป็นผู้รู้แจ้งนะ สัพพัญญู ไม่ได้แปลว่ารู้ทุกเรื่อง เรื่องไม่เป็นประโยชน์ท่านก็ไม่รู้ บางเรื่องรู้แล้วมันทุกข์ อย่ารู้เสียดีกว่า ทุกวันนี้มันมีแต่ประเภท "รู้ไปหมด แต่มันอดไม่ได้ รู้ไปทั่ว แต่เอาตัวไม่รอด"

    เลือกเอาธรรมที่เป็นตัวเรา เข้าจริต นิสัยเรามาปฏิบัติ ไม่ใช่มีแต่แบกแต่ขน ขนไปหมดจนไม่รู้จะใช้ได้หรือไม่ อย่าเอาคนอื่นมาเป็นมาวัดกับเรานะ เรากับเขามันคนละคน การปฏิบัติตามธรรมเป็นเรื่องส่วนตัว ของใครของมัน อย่าเอามาอวดมาอ้างกัน "อย่าเอา เขา มาทำให้เราทุกข์ เหมือน คุณ ที่ทุกข์ กับคนกาลามะ"

    ส่วนการพิสูจน์ชีวิตหลังความตายนั้น โลกคนตาย เป็นโลกทิพย์ อยากเห็นโลกทิพย์ต้องมีตาทิพย์ อยากได้ยินเสียงทิพย์ต้องมีหูทิพย์ อยากไปโลกทิพย์ ต้องมีกายทิพย์ การมีกายทิพย์ เกิดจากการปฏิบัติ พากเพียรภาวนาและการตาย มันมีวิธีอื่นนอกจาก การตาย แล้วแต่คุณจะเลือกหรอก
    ====================================

    เห็นว่า "หลวงปู่ไดโนเสาร์ ตอบปัญหาธรรม" จากกระทู้ "ตายแล้วไปไหนต้องพิสูจน์ด้วยการตายก่อนถึงจะรู้ใช่ใหม" มีประโยชน์ต่อ ผู้ที่กำลังฝึกฝนอยู่ในกระทู้นี้ จึงขออนุญาต copy มาไว้ที่นี่ เพื่อความสะดวก โดยการที่ ไม่ต้องกดลิ้งค์กลับไปกลับมา นะครับ
     
  3. jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    ขอบคุณค่ะอาจาร์ย ชอบมากเลยค่ะ

    ช่วงนี้ฝึกตอนขับรถอยู่ค่ะ เพราะต้องเดินทางตลอด

    วานก่อนไปอยู่ตึกใบหยก ชั้นใต้ดิน ปวดหัวมากไม่รู้ว่าเป็นที่อากาศหรือเปล่า พอดีมีพี่คนนึงพูดขึ้นมาว่าเค๊าเหมือนเห็นผู้หญิงมายืนแถวๆที่เราอยู่ (ผี) เลยพูดกับเค๊าว่าเราอยู่ๆก็ปวดหัว เค๊าก็เลยเล่าว่าที่นี่คนโดดตึก ตกตึกตายหลายคน ให้เราแผ่เมตตาให้เค๊า มันจะเกี่ยวกันมั้ยคะเนี่ย
     
  4. jadeprawit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +117
    ขอปรึกษา

    ขอปรึกษาอาจาร์ยเรื่องสถานที่ฝึกปฏิบัติค่ะ

    ส่งรูปมาให้อาจาร์ยพิจารณาสถานที่ ว่าจะพอใช้เป็นที่ฝึกได้หรือเปล่า เป็นบ้านของเพื่อนอยู่แถวๆลาดพร้าวค่ะ

    ตรงสนามหญ้า ใครมีเต๊นท์สามารถเอามากางได้เลย
    หรือเช่าอพาร์ทเมนท์รายวันประมาณคืนละ 500 บาท ใกล้ๆบ้านค่ะ แต่อาหารต้องนำเข้ามาด้วยหรือหาทานแถวกลางซอย ปากซอย เราจะใช้พื้นที่บริเวณรอบๆตัวบ้านเพราะในบ้านมีคนป่วย 2 คน เรื่องเวลามีบอกเพื่อนไว้ว่าจะใช้ประมาณ
    เที่ยง-เที่ยงคืน ค่ะ... อาจาร์ย
     
  5. ้เดินธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอสวัสดีครับ อาจารย์ธรรม-ชาติ และพี่ๆ
    กัลยาณธรรมทุกๆท่าน
    รายงานผลนะครับ

    วันแรก
    หลังจากได้รับการรับรองจากอาจารย์แล้ว
    ผมก็อยู่กับอาการซ่านไปเรื่อยๆ
    สังเกตุได้ว่าอาการนี้ ตอนที่เพิ่งทำได้
    มันจะซาบซ่านอยู่อย่างนั้น พอมาวันนี้สังเกตุ
    ได้ว่า มันมีอาการขึ้น-ลง และเหมือนกับว่า
    มันไหลไปมา ไม่เท่ากัน หากไม่ควบคุมก็จะเป็น
    แบบนั้น ผมพยายามสังเกตุลมหายใจเข้า
    แต่ไม่ได้ผลอะไร

    วันที่ 2
    ต่อจากเมื่อวาน เหมือนจะจับเค้าได้นิดๆ
    โดยวันนี้ผมเริ่ม โดยการกำหนดอาการซ่านให้ขึ้นมา
    จากนั้นก็กำหนดความรู้สึกให้เพิ่ม เหมือนกับตอนที่หายใจเข้า
    แล้วอาการซ่านก็เพิ่มขึ้น ผมก็ทำวนอยู่อย่างนี้
    จนไม่แน่ใจว่าถึง 100% หรือยัง
    แต่ว่ามันร้อนและซ่าน น่าจะมากกว่าครั้งแรก
    ผมก็อยู่อย่างนั้น จนเหงื่อเริ่มเยอะแบบวิ่งธรรมดาแล้ว
    มีความรู้สึก(หรือเปล่า) ว่าทำผิดหรือเปล่า เลยหยุด
    แล้วไปทำอย่างอื่น แต่ซ่านร้อนก็ยังอยู่
    จนผมได้คิดว่า เพิ่มได้ ก็ต้องลดได้ โดยผมกลับ
    กระบวนการเดินจิตตอนเพิ่ม สักพักก็ลงจนน่าจะปกติ
    แต่ยังรู้สึกได้ว่า ยังรู้สึกได้ถึงซ่านร้อนเบาๆ ตลอดเวลา
    ผมควบคุม เพิ่ม ลด ได้ถูกหรือเปล่า ขออาจารย์แนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  6. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อาการปวดหัว มีที่มาได้หลายทาง หลัก ๆ ก็มีแค่ 2 คือ "ทางกาย กับ ทางจิต"

    +++ วิธีตรวจจับว่ามาจากทางไหน ก็คือ "เข้ากายเวทนา แล้ว รู้คลุมมันอีกที" ตรงนี้จะเป็น 2 ฐานควบ คือทั้ง กายานุปัสสนา + เวทนานุปัสสนา

    +++ จากนั้นให้ทำ "เร่ง-ผ่อน" หรือ "อยู่-ย้าย" ก็ได้

    ==========================================================
    +++ หากเป็นอาการ "ทางกาย" อาการปวดหัว จะมีการแปรปรวน "หนัก-เบา หรือ ย่อ-ขยาย" เกิดขึ้น

    +++ หากพบว่าเป็นอาการ "ทางกาย" ให้รู้คลุมไว้ทั้งตัว 2-3 นาที ใหสังเกตุที่ 3 บริเวณ คือ

    +++ 1. "อุณหภูมิ ภายใน-นอก ร่าง ว่าต่างกันเด่นชัดหรือไม่" หากชัดเจน อาการปวดหัวอาจมาจาก อุณหภูมิที่แปรเปลี่ยนได้ ให้ใช้การ "เร่ง-ผ่อน อยู่-ย้าย" เพื่อปรับอุณหภูมิ ภายใน-นอก ให้ใกล้เคียงกัน ไม่น่าเกิน 5 นาที ก็สมควรกลับสู่ปกติ

    +++ 2. บริเวณ "หัว กับ ลำใส้ใหญ่" หากมีลักษณะ "หน่วง" ในบริเวณ ลำใส้ใหญ่ ตรงนี้เป็นเรื่องของ "การขับถ่าย" หากได้ ถ่ายท้องแล้ว อาการปวดหัว จะหายไปเอง (หลายครั้งก็คล้ายเป็นไข้หวัด มีน้ำมูก จาม ได้เหมือนกัน)

    +++ 3. มีอาการ "ซึมทั้งตัว กับ หน่วงเฉพาะส่วนหัวเท่านั้น ส่วนลำใส้ใหญ่ปกติ" ตรงนี้เป็นไข้ อันเกิดจาก "เชื้อโรค" หลัก ๆ ก็แค่ "ยาแก้หวัด" และ "ทานผักสีเขียว (คลอโรฟีล)" ให้มาก ๆ โดยส่วนตัวแล้ว ผมใช้ ยาขมชนิดเม็ด ตราใบห่อ 70 เม็ด 25 บาท กับยาลดน้ำมูก เพื่อลดอาการเท่านั้น นอกนั้นปล่อยให้ "ภูมิคุ้มกันในร่างกาย ตามธรรมชาติ" ทำงานของมันเอง
    ==========================================================

    +++ หากเป็นอาการ "ทางจิต" อาการปวดหัว จะมีอาการ "เสถียรภาพ" ไม่แปรปรวนไปตามการ "เร่ง-ผ่อน" ใด ๆ

    +++ วิธีทำคือ ต้อง "ย้ายออก" จนเป็น "อาการปวดหัว ถูกรู้" ส่วนเรา "รู้อยู่" แล้วให้มัน "แยกออกจากกัน" (แยกขันธ์)

    +++ จากนั้นให้ "รู้คลุม" อาการทั้งหมดอีกที ตรงนี้เป็นการ "เปิดผัสสะทางจิต" ก็จะรู้ได้ว่าอาการมาจาก "การเดินจิตผิดพลาด หรือ มาจากจิตอื่น"

    +++ หากไม่มี "จิตอื่น" เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็มักมาจาก "การเดินจิตผิดพลาด" ซึ่ง 99.99 % มาจาก "การเพ่ง" จนอาการ "เครียด" เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (โดนบ่อย ๆ ก็จะรู้โทษของการเพ่ง ได้เอง)

    +++ หากเกี่ยวกับ "จิตอื่น" กรณีนี้ มีไม่ถึง 1 % ในขณะที่ "รู้คลุม" ตัวเจ้าของ "จิตนั้น" จะปรากฏขึ้นมาเอง และ ไม่สามารถจะหลบหนีจาก สภาวะรู้คลุม ตรงนี้ได้

    +++ จากนั้้น "จิตสื่อสาร" จะมีระหว่าง เรากับจิตนั้น หากเป็น "เจ้ากรรมนายเวร" ก็ให้เข้า "ฐานสบาย" แล้ว "แผ่ให้ครอบคลุมจิตนั้น" ก็จะเป็นการ "แผ่ส่วนบุญ"

    +++ หากไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร แต่ "เป็นจิตที่ปรารถนา จะก่อเวรใหม่ (จิตอันธพาล)" ก็ให้เข้า กาย 100 แล้ว "อัดกระแทก" ลงไปตรง ๆ ที่จิตนั้น จนกว่าจะเกิด โพลงดำ หรือ นายนิรบาล ปรากฏขึ้นมารับตัว "จิตอันธพาล" นั้นไป (หากต้องการส่งขึ้น ศาลยมโลก) แต่ถ้าต้องการเพียงแค่ "เตือนสติ" ก็สลายการ "รู้คลุม" ออก แค่เตรียมตัว "อัดกระแทก" จิตนั้นก็จะ "หายไป" ก่อนหน้าที่การอัดกระแทกจะเกิดขึ้น ตรงนี้ขึ้นกับ "สภานการณ์" แต่ทุกอย่าง จะเป็นไปเองจนแทบจะเป็น "อัตโนมัติ" ทุกอย่างจะเกิดขึ้น "รวดเร็วมาก" จนคล้ายกับเป็น "สัญชาติญาณ" ชนิดหนึ่งก็ได้ หากเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็จะทราบได้เอง

    +++ ในกรณีนี้ "ให้พึ่งการฝึกฝนของเราเอง" ให้มาก การเห็นของผู้อื่นนั้น "ให้ฟังหูไว้หู" เท่านั้นเพราะพวกที่ "เห็นเป็นตุเป็นตะ" มันเยอะมากในสมัยนี้ และที่สำคัญที่สุด "เราเองก็เห็นได้" และถูกต้อง "ตรงตามความเป็นจริง" มากกว่าพวกนั้นซะอีก เรื่องพวกนี้ไว้มี "ประสพการณ์" มากขึ้นก็จะค่อย ๆ เข้าใจได้เองว่า ผู้ที่มีขีดความสามารถที่จะ "เห็น" ได้จริงนั้น มีอยู่ไม่เกิน 3 % เท่านั้น

    +++ รูป ไม่แสดงในโพสท์ อาจขัดข้องทางเทคนิค ก็ได้

    +++ ดู ๆ แล้ว "ไม่สะดวก" ทั้ง 2 ฝ่ายแน่นอน โดยเฉพาะเรื่อง "คนป่วย 2 คน" ตรงนี้ให้ "วาง" ไว้เลย จะดีที่สุด ตรงนี้ "มีความแปรปรวน และ ความอ่อนไหว" สูงมาก เรียกได้ว่า "ไม่ควรแตะ" จะดีที่สุด องค์ประกอบอื่นก็ล้วนเป็น "องค์ประกอบที่ ติดลบ" ทั้งสิ้น การปฏิบัติ อาจไม่เกิดผลเลย ก็เป็นได้

    +++ หาก "ไม่มีที่ปฏิบัติ" จริง ๆ แล้ว ผมอาจเปิด "คอนโด ที่หาดแม่รำพึง" ก็ได้ เวลาฝึกก็ "หาสถานที่ตามธรรมชาติ" แถว ๆ นั้น ส่วนตัว คอนโด เอาไว้เป็นที่ เก็บของกับหลับนอน อุปสรรคนิดหน่อยก็ตรง มีห้องน้ำแค่ห้องเดียว แต่มีห้องอาหาร อยู่หน้าคอนโดเลย ตรงนี้สะดวกเพราะ "การฝึก ต้องมีอิสระ" เต็มที่ตามธรรมชาติ

    +++ การฝึกรอบนี้ "เป็นรอบพิสดาร" จริง ๆ เพราะ "สถานที่ฝึก ปิดตัวกันหมด" ซึ่งกรณีแบบนี้ "ยังไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย"

    +++ การฝึกคราวที่แล้ว คุณ jadeprawit ถามเรื่องการ จัดตั้งสถานที่ฝึก แต่ผมไม่ต้องการที่จะมี "ภาระ" แต่เหตุการณ์ในยกนี้ "ไม่แน่" ว่าจะเป็นการ "กระตุ้น" ในเรื่องสถานที่ ก็เป็นได้ แล้วค่อย ๆ ว่ากันอีกที ก็แล้วกัน

    +++ ตอนนี้ ให้คุยกับคุณ อินทรบุตร เรื่องการ "กำหนดวัน" ให้เรียบร้อย หากสถานที่เป็น "คอนโด" ของผม ก็สามารถ "เปิดยาว" จนถึงวันบินกลับของคุณ Apinya17 โดยไร้ข้อกำหนดใด ๆ ทั้งสิ้น นะครับ
     
  7. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ให้รู้ไว้ก่อนว่า อาการ "ซาบซ่าน" นั้น คือ "อาการปิติใน ฌาน 2" ดังนั้น ก็คงทราบ "ชัดเจน" แล้วนะว่า "กระทู้นี้ เริ่มต้นฝึก ป1 ที่ใด"

    +++ ส่วนอาการ "ขึ้น-ลง" แปรปรวนต่าง ๆ นั้น ไม่นานก็จะ "รู้" ได้เองว่า "ฌาน มีความแปรปรวน" อย่างไร และต้อง "ควบคุมด้วยการเดินจิต" แบบไหน

    +++ เรื่องของ "ความรู้สึก" นั้น หากคุ้นเคยแล้ว ก็จะสามารถ "เดินจิต" ได้ตรง ๆ โดยไม่ต้อง "พึ่งลมหายใจ" และ "ไม่นาน" ก็จะรู้ได้เองว่า "ไม่ต้องมีลมหายใจ" ก็อยู่ได้

    +++ "ความรู้สึกทั้งตัว" เมื่อปรากฏแล้ว จะพบได้ว่า มี "ตน" ในขณะนั้น "เป็น" ความรู้สึก หรืออาจกล่าวได้ว่า มี "ตน" ในขณะนั้น "เป็น" สัมปชัญญะ ก็ได้ เพราะมีสัมปชัญญะ ครบทั้ง 4 ประการคือ

    +++ 1. สาตกสัมปชัญญะ = รู้การกำหนดของจิต
    +++ 2. โคจรสัมปชัญญะ = รู้ในปัจจุบันแห่งขณะจิต
    +++ 3. สัมปายสัมปชัญญะ = ไม่มีทุกข์สามารถอยู่เช่นนั้น ก็อยู่ได้
    +++ 4. สัมโมหสัมปชัญญะ = รู้วาระจิตที่ผ่านมาแล้ว และสามารถดึงกลับมา (ระลึก-ตรึง-ปรากฏ) เพื่อ ธัมมะวิจัยยะ ได้)

    +++ ดังนั้นเมื่อ "อยู่กับ ความรู้สึกทั้งตัว" ได้ ก็จะได้ "สัมปชัญญะ ในระดับ ฌาน" นั่นเอง (สติครองฌาน)

    +++ อาการ 100% คือ อาการที่ "เพิ่มจนถึงขีดสูงสุด และ ไม่สามารถที่จะเพิ่มได้อีกแล้้ว" ตรงนี้เรียกว่า กาย 100

    +++ ตรงนี้ "ถูกต้อง" ผู้ฝึกใหม่ ๆ จะเกิดอาการ "เหงื่อออก เหมือนออกกำลังกาย เต็มที่" (ตรงนี้เรียกว่า ออกกำลัง "ภายใน")

    +++ ถูกต้องทั้งหมด เมื่อเดินจิตถึง กาย 100 (เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน) แล้ว กลับมายัง กาย 0 (กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน) อาการ "ซ่านร้อนเบา ๆ" ก็ยังจะมีอยู่ "ตลอดเวลา" และจะ "รู้ตัวชัดเจน" ตรงนี้เป็น "สติครองฐานกาย" นะครับ
     
  8. จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    เล่าสู่กันฟังค่ะ

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก็หลายเดือนแล้วน่ะค่ะ ตอนที่นั่งเล่นเงียบๆอยู่หน้าบ้าน ตอนนั้นเหมือนเราเข้ากาย 100 แล้วแช่ตรึงไว้อย่างนั้น และมีแว๊บหนึ่ง ที่นึกในใจว่า พวกจิตมิจฉาทิฐิ เมื่อไหร่มันจะหยุดก่อเวรกับเราซักที เบื่อแล้วนะ หลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที รู้สึกวู๊บเห็น นายนิรบาล ปรากฏขึ้นให้เห็นเต็มตัวเลยค่ะ ( ตอนนี้ก็ยังจำภาพท่านได้ ) เป็นอะไรที่รวดเร็วมาก ก็รู้สึกตกใจแล้วอาการตกใจหายไป เหลือแต่ความรู้สึกปลื้มปิติ ดีใจ น่ะค่ะ
     
  9. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "กายเวทนา" เป็น "นามกาย" ที่แฝงซ้อนกันอยู่กับ "รูปกาย" เมื่อสามารถ "แช่ และ อยู่" กับกายเวทนา ได้แล้ว อาการ "เสพสุขด้วยนามกาย" หรือ "เสวยสุขด้วยนามกาย" (มีในพระไตรปิฏก ค้นได้ใน กูเกิ้ล) ก็จะปรากฏมีขึ้นมาเอง ตามธรรมชาติของ ฌาน 3

    +++ ธรรมชาติของ ฌานทุกชนิด หรือ อัปปนาสมาธิ นั้น "จิตจะ ไม่ส่งออก" แต่จะมีขีดความสามารถในการ "รับเข้า" มาได้ตามธรรมชาติทางจิต

    +++ ในกรณีของคุณ จิตวิญญาณ นั้น "แว๊บหนึ่ง" ตรงนี้ เป็น "แว๊บ ที่ รับเข้า" มาจากจิตอื่น และ "จิตนั้นเป็นมิจฉาทิฐิ ที่เพ่งโทษ" มายังคุณ จิตวิญญาณ และจะมีอาการ "อึดอัด" เป็นองค์ประกอบ แต่ "เจ้าตัว มิจฉาทิฐิจิต ไม่มีสติเท่าทัน ดังนั้นจึงไม่รู้เรื่อง" หากทักออกไปก็ย่อม "ถูกปฏิเสธโดยปริยาย เพราะเจ้าของจิต ไม่รู้ นั่นเอง"

    +++ ผู้ที่มี "ปกติที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในโลกมนุษย์ เช่น ยมฑูต จาตุมหาราชฑูต รวมทั้ง นายนิรบาล ต่าง ๆ" ย่อมมีอยู่ในทั่วทุกหนแห่ง ตามภาระหน้าที่ เหมือนกับ คนที่ต้องออกไปทำงานทุกวัน กะเช้า กะบ่าย กะกลางคืน ต่าง ๆ แต่สรุปแล้วมีอยู่ ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง (ผู้ที่ ถอด หรือ อยู่ กับ กายเวทนา หรือ กายจิต บ่อย ๆ จะรู้ได้)

    +++ อาการ "แว๊บรับเข้า" ที่เต็มไปด้วย "อกุศลจิต" ตรงนี้ "มีแรงดึงดูด ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ" ตรงนี้เป็นเรื่อง "ปกติ" เทียบได้กับ "ตำรวจ ทหาร หรือ รปภ ที่เจออะไรบางอย่างที่มัน ทะแม่ง ๆ" ก็ต้องเข้ามา "ขอดูหน่อย" ตามธรรมดา

    +++ อาการ "ปลื้มปิติ" ตรงนี้ เป็นอาการที่ออกมาจากจิตของ "นายนิรบาล" ที่ "ตามแกะรอยจิตเข้ามา" แล้วเจอ "ผู้ปฏิบัติธรรม ที่โดน มิจฉาทิฐิจิต เพ่งโทษ" แล้ว "รู้ชัดเจน" ว่า "ผู้เพ่ง" เป็นใคร ทุกอย่างเป็นอาการเดียวกันกับที่ "เราตามแกะรอยอะไรสักอย่าง" แล้วได้ "คำเฉลย" ออกมาเลย ก็ จะเกิดอาการ "ปิติ" ที่เกิดจากการ "รู้ชัด" ว่า ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร ตรงนี้ "เป็นอาการเดียวกัน"

    +++ อาการ "ปิติ" ตรงนี้เป็นการ "ส่งออก" ของนายนิรบาล แต่ด้วย "การสื่อสารทางจิต หรือ เจโตประยะญาณ" ตรงนี้คุณ จิตวิญญาณ เป็นการ "แว๊บรับเข้า" และจะ "หายไปพร้อมกับ นายนิรบาล"

    +++ ตรงนี้เป็นอาการของ "จิต 3 ฝ่าย" ให้คุณ จิตวิญญาณ ทดสอบ map จิตกลับไป แล้ว "เข้าไปอยู่" ในเหตุการณ์นั้นใหม่ แล้วดูว่า "ตรง" กับที่ผม map หรือเปล่า นะครับ
     
  10. เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    เมิลเพิ่งค้นพบว่า ตั้งแต่เป็นรู้ สามารถมองเข็มฉีดยาเวลากำลังถูกเจาะเลือดได้แล้ว
    เมื่อก่อนจะไม่กล้ามอง แต่ตอนนี้มองตรงๆ เฉย ๆ เลย รู้ก็รู้ชัดว่าเข็มแทงทะลุหนังเขาไป ได้ยินเสียง ไม่ต่างจากเอาเข็มแทงกระดาษ เพียงแต่นี้มันแทงแขนเรา...^O^
     
  11. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตอนที่ยัง "เป็นตน" หรือ "เป็นตัวดู" ตอนนั้น "เข็มมันแทงเรา" เป็น "เราเจ๊บ"

    +++ ตั้งแต่เป็น "สภาวะรู้" แล้วก็เลยกลายเป็น "เข็มแทงมัน มันเจ็บ" แต่ "ไม่มีเรา"

    +++ "เป็นสภาวะรู้" เมื่อไร ก็ จะเป็นสภาวะนี้ แต่ถ้ายัง "ไม่เป็น" ก็ยังต้อง "จ๊าก ๆ" ต่อไป

    +++ ให้ เมิล เริ่มฝึกการพูดแบบ "ภาษาที่เข้าใจง่าย" ซึ่งเป็น "ภาษาตามอาการ" ได้แล้ว นะครับ
     
  12. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การฝึกนอกสถานที่ในรอบนี้จะเริ่มเดินทาง ในวัน พุทธที่ 25 กุมพาพันธ์ ถึง 10 หรือ 11 มีนาคม บริเวณ หาดแม่รำพึง ระยอง ผมอาจจะไม่ได้เข้าเนทในช่วงนี้ นะครับ
     
  13. moonoiija เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2014
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +198
  14. Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    สถานที่ฝึกบนเขา เงียบ สงบ สงัดดีค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ดูดีนะ. ดูฝึกได้ผลดี
     
  16. Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    ใครสงสัย มหาสติ
    ฝึกแล้วหายสงสัยจ้า



    เมื่อคืน ฝึกสิงรถบัส ......^___^ มันส์ดี
     
  17. Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    มาบ่น ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของไม่ใช่พูดจัง


    อาจารย์ สภาวะรู้นี้ ทุกกิริยาจิต เหมือนว่าจะรู้ก่อนหนึ่งคลิกหรือ
    แล้วกิริยา อารมณ์ ดูเหมือยมันแค่มาแล้วก็ไป
     
  18. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ รอบนี้ "ดีอย่างเกินคาด" สถานที่อื่นอาจรองรับแค่ "การฝึกเบื้องต้น" ได้เท่านั้น แต่ "ไม่มีสถานที่ใด" รองรับการ "เป็นสภาวะรู้" ถึง 4 คนได้เลยในวันเดียวกัน เลยต้องใช้ห้องในคอนโดของผมเป็นที่รองรับ และ "รับได้สบายมาก"

    +++ รอบนี้ ตัวผมเองก็ได้ประสพการณ์รู้ชัดเจนเพิ่มมากขึ้นมาว่า "การที่ หาสถานที่ฝึกไม่ได้นั้น ไม่จำเป็นว่า ผู้ปฏิบัติไม่มีบารมีเพียงพอ แต่อาจเป็นสถานที่นั้น ๆ ไม่อาจรองรับสภาวะของการ เข้าสู่และเป็น สภาวะรู้ได้" และอีกประการหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ "พุทธเกษตร สามารถละเกษตรวงศ์และจบได้ หากตั้งใจเด็ดขาดจริง" และ "พุทธเกษตร ไม่ใช่ พุทธภูมิ อย่างแน่นอน"

    +++ ทุกคน "ที่ฝึกจบ" จะรู้แจ้งชัดถึงสภาวะใหม่ว่า "อะไรคือ อมตะธรรม" และ "ตนที่แท้ (ของจริงนิ่งเป็นใบ้)" เท่านั้น ที่พ้นจากวงจรของการ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" และทุกข์ทั้งปวงได้

    +++ ทุกคน "ได้ของเล่น" หลังจากการ "เป็นตนที่แท้จริง" กันไปตามสมควร นะครับ
     
  19. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ รถบัส ก็เป็น "ขันธ์" อย่างหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้น คงรู้ชัดเจนแล้วนะว่า "กาย คือ สิ่งที่จิต เข้าไปยึดและถือครองว่า เป็นตน" ดังนั้น "สักกายะทิฐิในรถบัส ก็สามารถนำมาใช้งานให้เป็นประโยชน์ได้"

    +++ เห็นขันธ์รถบัสเกิดขึ้น ก็เข้าไปอยู่ (สิง) และตั้งอยู่ในนั้น เมื่อออกไปมันก็ดับไป (จากความเป็นตน) เท่านั้นเอง นั่นแหละ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" ด้วยการ "ลงมือทำสักกายะทิฐิ" นั่นแล...
     
  20. ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ นั่นแหละ "ตัวพูดมาก" ไม่ใช่ อสังคตะธรรม คือ สภาวะรู้ มันเป็นเพียงแค่ "สภาวะถูกรู้" แต่เรา สามารถใช้งานมันได้ ก็ฝึกมันให้เชื่องก็จะได้ ปฏิสัมภิทาญาณ มาเอง

    +++ ตรงนี้คือ "รู้ก่อนกิริยาจิตจะเกิด" หากทำให้มันช้าลงมาก ๆ ก็จะเห็น "การเกิด และ ปัจจัยแห่งการเกิดของกิริยาจิตได้" และจะเริ่มค่อย ๆ เห็น "การกำเนิดของตัวดู" ซึ่งจะทำให้รู้แจ้งชัดได้ว่า "สภาวะเริ่มต้นที่เข้ามาบดบัง สภาวะรู้ แล้วทำให้เป็น สภาวะหลง" คือสิ่งที่เรียกกันว่า "อวิชชา" นั่นเอง และนั่นคือ "กำเนิดตัวดู" นั่นแล...

    +++ นั่นเป็นการ ชี้ให้เห็นถึงความเร็วของมัน จึงดู ๆ แล้วกลายเป็นแค่ เกิด-ดับ เท่านั้น ตรงนี้ต้องใช้ สักกายะทิฐิ คือ "ย้ายลงไปอยู่ในนั้น (มหาปัฏฐานสูตร)" แล้วก็จะรู้ทุกอย่างได้เอง เมื่อออกมาแล้วมันก็จะเป็นเพียงแค่ "มันแค่มาแล้วก็ไป" เท่านั้นเอง
     

แชร์หน้านี้