พระพุทธองค์จึงได้ยกย่องพระมหากัสสปะว่าเป็น "เอตทัคคะ" หรือผู้เป็นเลิศในด้านธุดงควัตร
ซึ่งต่อมาท่านมหากัสสปะผู้นี้ ก็ได้เป็นพระประทานในการทำปฐมบทแห่งการสังคายนาพระไตรปิฎก และเป็นผู้ที่มาถวายพระเพลิงแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย
เรื่องเกี่ยวกับการธุดงควัตร 13 ประการนั้นแปลความว่าเป็น "เครื่องกำจัดหรือขูดกิเลส"
เป็นกิจวัตรที่ต้องปฏิบัติต่อเนื่องกันอย่างสม่ำเสมอ ผู้ที่ปฏิบัติได้จะขัดเกลากิเลสส่งเสริมความมักน้อยสันโดษมีอยู่ 4 หมวดรวม 13 ข้อคือ
หมวดที่ 1 ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มคือ จีวรได้แก่ การถือใช้แต่ผ้าบังสุกุล ไม่รับผ้าที่คฤหัสถ์ใดๆ ถวายให้ ถือใช้ผ้าแค่สามผืนเท่านั้น คือ สบง จีวร และ สังฆาฎิเท่านั้น
หมวดที่ 2 เป็นข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการบิณฑบาต คือ การออกเดินบิณฑบาตเป็นประจำไม่รับนิมนต์ไปฉันอาหารที่ใดๆ บิณฑบาตไปตามลำดับบ้าน ถือฉันภัตตาหารเพียงวันละ 1 มื้อ ฉันเฉพาะในบาตรและเมื่อลงมือฉันแล้วจะไม่รับประเคนอาหารเพิ่มอีก ฉันเท่าที่มีอยู่เท่านั้น
หมวดที่ 3 เป็นข้อปฏิบัติเกี่ยวกับที่อยู่คือ ถืออยู่แต่ในป่า อยู่โคนไม้ อยู่กลางแจ้ง อยู่ป่าช้า และอยู่ในที่แล้วแต่ที่เขาจะจัดให้
หมวดที่ 4 เป็นข้อปฏิบัติเพื่อการบำเพ็ญเพียร คือ ถือนั่งเพียงอย่างเดียวไม่ยอมนอน
ด้วยผลแห่งทานด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ยังผลให้จิตที่บริสุทธิ์นั้นส่งผลมาได้ข้ามภพข้ามชาติดังที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้น เมื่อรวมกับแรงอธิษฐานด้วยปัญญาจึงทำให้เกิดความสัมฤทธิผล และอานิสงส์แห่งทานที่ได้ทำก็มีความเหมาะสมพร้อมทั้ง 3 ประการ
เอกสาฎกพราหมณ์จึงได้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งการอธิษฐานและการประกอบผลกรรมดีไว้ทุกประการ
พบปะ พูดคุย ประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ แบบกันเอง
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย tiger-k007, 6 มิถุนายน 2011.
หน้า 730 ของ 1206
-
nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี
-
สวัสดีตอนกลางวันครับพี่ๆทุกท่าน
-
nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี
วันนี้มีพระมาให้ชมหรือเปล่า -
น้องนวลเจ้า:z7
ชอบหลายๆที่ลงเน้อ พี่ลับแลมีก๊อปปีัไปไว้ในไฟล์ก็มีนะเจ้า
ว่าแต่ว่า น้องนวลบ่หิวข้าวก่ะเจ้า........?เที่ยงแล้วก่ะ
แต่ว่าก็ว่าเถอะเจ้า
ปี้ลับแลน้ำตาเยิ้มหมดแล้วตั้งแต่เมื่อคืน -
หวัดดียามเที่ยงเด้อพี่น้อง
ยุ่งหลายครับช่วงนี้ ทำโทษตัวเองด้วยครับ
พักเที่ยงกันเด้อครับ:cool:
-
nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี
"1.การให้ทาน " จึงเป็นเครื่องมือชำระจิตใจให้สะอาดอันเป็นพื้นฐานอันทรงพลังอย่างหนึ่งในการอธิษฐานได้อย่างแท้จริงเป็นพื้นฐานหนึ่งที่สำคัญ ได้หมั่นทำทานบ่อยๆ ตามที่กำลังที่ตนมี แต่อย่าให้จนตนเองนั้นเดือดร้อนและขอให้ทำเพราะอยากทำอยากให้ทานด้วยใจจริง
กิจกรรมที่เป็นการทำทานเพื่อการชำระจิตใจที่ดีก็ได้แก่ การทำบุญตักบาตรพระในตอนเช้าเป็นประจำทุกวัน หรือตามกำลังศรัทธาเท่าที่สามารถจะทำได้ ทำหนังสือเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีเพื่อเป็นธรรมทานมีผลให้เจริญก้าวหน้าในสติปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม
บริจาคเงินตามกำลัง โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างทางพระพุทธศาสนาอย่างเช่น
วัด โบสถ์หรือวิหาร เป็นการทำบุญบำรุงพระพุทธศาสนา ยังผลให้ชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข บริจาคเลือดทุกๆ 3 เดือน ปล่อยนกปล่อยปลา เป็นการให้ทานในชีวิต เป็นต้น
เมื่อให้ทานแล้วจิตก็จะมีความสะอาดมากขึ้น หากเปรียบเทียบเป็นจิตที่ขุ่นมัวตามวิสัยปุถุชน ก็ยังเป็นน้ำสกปรกและมีความเหนียวข้น การให้ทานก็คือ การทำให้น้ำที่สกปรกและเหนียวข้นนั้นมีความเจือจางลงโดยการเติมน้ำสะอาดที่ชื่อว่า "ทาน" เข้าไป
แต่จิตก็ยังมีสิทธิ์ที่ขุ่นเคืองและกลับมาข้นได้เหมือนเดิม หากไม่มีข้อปฏิบัติที่จะช่วยทำให้จิตใจสะอาดผ่องใสได้มากกว่า นั่นคือการบำเพ็ญศีล ซึ่งถือเป็นเครื่องป้องกันกิเลสชั้นยอด -
nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี
เจ้านี้อร่อยมาก...แซบอีหลี....
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี
2. ศีล
ศีล จะทำให้จิตใจสะอาดบริสุทธิไปมากกว่าทานเพราะว่า การรักษาศีลนั้นเป็นการเพียรพยายามจะระงับสิ่งที่จะเกิดเป็นโทษทางกายและวาจา ไม่ให้เกิดขึ้นมา เป็นทั้งข้อบังคับและข้อปฏิบัติคือ ห้ามปฏิบัติสิ่งที่จะทำให้เกิดโทษทั้งกายและวาจา
เมื่อบำเพ็ญศีลอยู่เป็นนิตย์คือ หมั่นรักษาการกระทำทั้งทางกายและวาจาให้ดี
3. การเจริญภาวนา
การถือศีลนั้นแม้ว่าจะเป็นการชำระจิตให้สะอาดที่มากกว่าทานหลายเท่า แต่ก็ยังถือว่าเป็นการชำระจิตให้สะอาดด้วยข้อปฏิบัตทางกายและวาจา ไม่ให้หลุดออกมาและทำให้ดูนิ่งเป็นปกติเท่านั้น คือสามารถควบคุมและชำระจิตใจได้ในส่วนที่เป็น "จิตรู้สำนึก"
และ "จิตก่อนสำนึก" ส่วนที่เป็น "จิตใต้สำนึก" ที่ซุกซ่อนอยู่นั้น ศีลยังไม่อาจจะควบคุมหรือทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้เพียงพอ
การเจริญภาวนาในแบบวิธีแห่งพุทธ จึงเป็นการทำควมสะอาดจิตอย่างละเอียด เป็นการซักฟอกจิตให้สะอาดจนถึงที่สุดคือ ให้จิตเบาบางไปจากสิ่งปรุงแต่ง (กิเลสทั้งหลาย) จนกระทั่งหมดไปในที่สุด
"การบำเพ็ญเจริญภาวนา" จึงถือเป็นการชำระจิตใจให้ความสะอาดที่สุดและมีความยิ่งใหญ่ที่สุด (เรียกได้ว่าได้บุญมากในทางธรรม) การบำเพ็ญภาวนานั้นมีอยู่ 2 แบบ
คือ การทำสมาธิ และการเจริญปัญญา
การทำสมาธิคือ การกำหนดใจให้นิ่งกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เป็นอารมณ์เดียว ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตามขอให้เพียงแต่ใจอยู่นิ่งไม่วอกแวกก็คือเป็นสมาธิแล้ว
เช่นการไหว้พระสวดมนต์จิตก็จะนิ่งอยู่ที่บทสวด หรือการนั่งสมาธิจิตก็จะนิ่งอยู่กับลมหายใจ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นสมาธิซึ่งเป็นพื้นฐานของการชำระจิตให้สะอาด เมื่อจิตอยู่นิ่งแล้วก็เกิดความง่ายที่จะทำให้สะอาดเพราะรู้ว่าจิตอยู่ตรงไหนจากนั้นจึงค่อยใช้การเจริญปัญญา เป็นการซักฟอกให้สะอาดหมดจด
การเจริญปัญญานั้นต่างไปจากความเป็นสมาธิ ตรงที่สมาธิเป็นพียงการทำใจให้สงบนิ่ง อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงอารมณ์เดียว แน่นิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้นึกคิดอะไร แต่การเจริญปัญญา (คำพระท่านว่า วิปัสสนา) ไม่ใช่ทำให้แค่จิตใจตั้งมั่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น การเจริญปัญญาเป็นการคิด "ใคร่ครวญ" เพื่อหาเหตุผลในสภาวะที่เป็นธรรมและความจริงในแตละสรรพสิ่งว่า สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป (อนิจจัง) ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นทุกข์ (ทุกขัง) คือ ทุกอย่างเป็นสภาพที่ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมได้เกิดขึ้นแล้วไม่อาจทรงตัวต้องเปลี่ยนแปลงไป ทำไห้อารมณ์เกิดความเปลี่ยนแปลงตาม ก่อให้เกิดความทุกข์ตามมา -
-
nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี
การเจริญภาวนานี้ ขอให้ฝึกนั่งสมาธิ อย่างน้อยๆ วันละ 15 นาที เป็นการฝึกจิตใจให้นิ่ง อานิสงส์ก็จะทำให้ได้สติปัญญาที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถปล่อยวางจากทุกสิ่งได้ง่าย จิตใจจะรู้วิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ และขอให้มั่นสวดมนต์ภาวนาด้วยพระคาถาต่างๆ เป็นประจำ
แม้ว่าการเจริญปัญญาสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ซึ่งยังมีสิ่งที่เจืออยู่ในจิตอย่างกิเลสอยู่ จะเป็นการยากก็ตาม แต่ก็ต้องฝึกฝนเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ เป็นการขัดเกลาจิตให้สะอาดไปเรื่อยๆ เมื่อจิตใสสะอาดก็จะสามารถนำไปใช้ได้
ถ้าเปรียบเทียบเป็นน้ำ ก็เหมือนน้ำที่ได้ผ่านการบำบัดจากเครื่องกรองชั้นเยี่ยมมาแล้วคือ ผ่านทั้งการเจือจางและป้องกันสิ่งสกปรกที่จะตกลงไป แล้วยังได้ผ่านการกรองให้สะอาดจนไร้สีไร้กลิ่น พร้อมจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทุกเมื่อ
ผู้ที่ได้ฝึกบำเพ็ญทำความสะอาดจิตอยู่เสมอนี้ จิตก็จะมีพลังเมื่อจะนำไปใช้ในการอธิษฐาน ก็จะเกิดความสัมฤทธิผลได้เร็วยิ่งขึ้นตามพลังจิตที่สะอาดนั้นส่งกำลังไป แต่การอธิษฐานจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ จุดประสงค์ในการอธิษฐานรวมไปถึงกรรมที่ได้กระทำสังสมกันมาตั้งแต่อดีตและปัจจุบันด้วยเป็นปัจจัยสำคัญ
ปัจจัยแรกที่กล่าวไปแล้วคือ จิตที่บริสุทธิ์ด้วยการถึงพร้อมด้วย ทาน ศีล ภาวนา และมีจิตใจที่มีความมั่นคง มีความเพียรพยายามตั้งตนเองไว้ ในทางที่ต้องการบรรลุความสำเร็จ ก็ย่อมข้ามพ้นอุปสรรคทั้งหลายไปได้อย่างแน่นอน
ค่อยมาต่อ...เรื่องการทำให้การอธิษฐานได้ผลนั้นมีอะไรบ้าง
วันนี้จบเท่านี้ก่อนค่ะ...<TABLE width=933><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> -
(ping-loveน้องนวลเจ้า
หิวหลายๆแล้วเน้อ
พรุ่งนี้ ห้ามลืมเเฮ่๋มเด้อ..
(เห็นไม๊...ปี้ลับแล"งอน" จนหันหลังให้แล้วเน้อ....)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สวัสดีครับพี่ลับแล.....ถ้าอยู่ใกล้ๆจะชวนพี่ลับแล+คุณนวลไปทานอาหารอร่อยๆนะครับ...
(คุณนวลยั่วน้ำลายอีกแว้ววว ) อิอิ ^^ -
แก้เงียบครับ...
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
<TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>พระกาฬลพรี, Bobcats, spiritoak, ลับแล </TD></TR></TBODY></TABLE>
-
หลวงปู่ ฝากมาให้ จ้า น้อง ภณ แหะๆ:cool: -
nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี
-
-
-
สวัสดีครับ เสี่ย ชลรี -
ชอบทานครับ.....งั้นเด๋วผมส่งอาหารชุดนี้ไปให้คุณนวลบ้างนะครับ ,,,แบ่งพี่ลับแลทานด้วยนะครับ ^^
ไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 730 ของ 1206