ผมสงสัยอยู่ว่าพระโพธิสัตว์ นี่ ควรนึกถึงสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นอารมณ์ หรือนิพพานครับ
พระโพธิสัตว์นี่ควรนึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์หรือสวรรค์ชั้นดุสิตครับ
ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 22 ธันวาคม 2011.
-
-
๑.เนกขัมมัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจที่จะออกบวชตลอดทุกชาติ รักในเพศบรรพชิตเป็นอย่างยิ่ง๒.วิเวกัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจอยู่ในที่เงียบสงัด วิเวกผู้เดียว ที่ใดสงบสงัดปราศจากความอึกทึกครึกโครม ย่อมพอใจในสถานที่นั้นยิ่งนัก๓.อโลภัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจในการบริจาคทาน หากมีช่องทางใดที่จะบริจาคทานได้แล้ว จะไม่ละเว้นเลย จะทำอย่างเต็มที่เต็มกำลัง และยินดีพอใจที่จะคบหากับบุคคล ผู้ปราศจากความโลภ ไม่มีตระหนี่เป็นยิ่งนัก๔.อโทสัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจในความไม่โกรธ พยายามหักห้ามความโกรธอยู่ตลอดมา เจริญเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวงด้วยความปรารถนาให้เขาพ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารเป็นยิ่งนัก๕.อโมหัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจในการทำลายโมหะ พยายามบำเพ็ญภาวนา เพื่อให้เกิดดวงปัญญา พิจารณาเห็นบาปบุญคุณและโทษตามความเป็นจริง และพอใจในการคบหาคนดี มีสติปัญญายิ่งนัก๖.นิสสรณัชฌาสัย หมายถึง มีความพอใจที่จะยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร โดยมีจิตที่ มุ่งตรงต่อพระนิพพานเพียงอย่างเดียว -
นิพานํ ปจฺโยโหตุ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
-
กราบอนุโมทนาสาธุด้วยครับ เป็นบุญจริง ๆ ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา และได้สดับตรับฟังและศึกษาเล่าเรียนในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ทุกครั้งก่อนนอนและทุกครั้งที่ได้ทำความดี จึงต้องอธิษฐานล้อมกรอบไว้เสมอเพื่อให้เกิดมาพบกัลยาณมิตรทุก ๆ ชาติไป จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งกองทุกข์คือพระนิพพาน..........................
-
เรื่องนี้ผมเคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
ใจเราปรารถนาอะไร ก็จะดลบันดาลให้จิตไปอยู่ในที่นั้น
แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ คิดดี ๆ ถ้าทุกคนไปนิพพานได้เพราะจิตนึกถึง
ทุกคนก็คงไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ต้องมีคำสอนพระธรรม
โดยส่วนตัว ผมระลึกถึงบารมีสามสิบทัศของพระพุทธเจ้า และของตนเอง -
ก็นึกถึง พระโพธิญาณ สัพพัญยุตญาณ เป็นอารมณ์ ซีครับ(ส่วนตัว) ก็คิดว่าทำบารมี ทำไม ทำเพราะเหตุใด ทำเพื่อใคร ถ้าไปถึงแล้ว คนนับหมื่น นับแสน ได้สมปรารถนา เป็นพระโพธิสัตว์ หรือ สำเร็จพุทธภูมิเป็นพระพุทธเจ้า ช่วยสรรพสัตว์ได้มากมาย ธรรมอันป็นเครื่องอยู่ของพระโพธิสัตว์ ก็คือโพธิสัตว์มรรค์ และสรรพสัตว์ทั้งปวง แค่นี้ก็มีกำลังใจ สู้ต่อไป มันจะนาน มันจะเหนื่อย มันจะลำบากมาก โดนด่า ได้รับความทุกข์ยาก เมื่อคิดถึงผลสำเร็จในอนาคต มันก็คุ้มแล้ว ครับ เหนื่อยนานหน่อยแต่ คุ้มค่า ไม่มีอะไรเกินความสามารถของมนุษย์ ดาวอังคาร ดวงจันทร์ยังไปกันได้
บารมีทั้งหมด ก็ เพื่อพระโพธิญาณนี้เท่านั้น:cool:
-
พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium
สูงกว่าอรหันต์มีธรรมมโนธาน๘ประการสมบูรณ์ แต่ต่ำกว่าโสดาบันเพราะผลญาณไม่ปรากฎ
ย่อมพอใจและรักพระนิพพานเป็นที่สุด
พอใจในพระนิพพานเป็นอารมณ์
เพราะบารเข้มแข็งเต็มอัตตรา
แต่ด้วยพระพุทธเจ้าอุบัติได้เพียงคราวละ 1 พระองค์
จึงต้องรอสถิต ณ ชั้นดุสิตตามพุทธประเพณี
พระโพธิสัตว์ที่เป็นอนิตยะโพธิสัตว์ ที่สร้างบารมีสมบูรณ์แล้ว
จะได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก ต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้า
จะต้องมีธรรมมโนธาน ๘ ประการสมบูรณ์ จึงได้รับพุทธพยากรณ์โดยนัยว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอย่างนั้น
ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้นก็จะกลายเป็น �นิตยะโพธิสัตว์�
ทันทีเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้
จึงรักพระนิพพานเป็นที่สุดเพราะอย่างไรก็จะบันลุอภิเษกสัมโพธิญาณ
ในชาติสุดท้ายแน่แท้ไม่แปรเป็นอื่น
ธรรมมโนธาน ๘ ประการ ขณะได้รับพุทธพยากรณ์
๑. ได้เกิดเป็นมนุษย์
๒. เป็นบุรุษเพศไม่เป็นกระเทย (หรือมีที่กาย ๒ เพศ)
๓. มีอุปนิสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน(ถ้าเกิดลาพุทธภูมิจะเป็นพระอรหันต์ทันที)
๔. ต้องพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะมีพระชนม์ชีพอยู่และได้สร้างกองบุญกุศลต่อหน้าพระพักตร์
๕. ต้องเป็นบรรพชิต หรือว่าโยคี ฤาษี ดาบส หรือปริพาชก
ที่มีลัทธิเชื่อว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป
ต้องไม่เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
๖. ต้องมีอภิญญาและฌานสมาบัติอันเชี่ยวชาญ
๗. เคยใช้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อพระสัมโพธิญาณในอดีต
๘. ต้องฉันทะ คือ ความรัก ความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง
ในพระโพธิสัตว์ขั้น บารมี และ อุปบารมี
ยังไม่แน่นอนในการปารถนาพระนิพพานเป็นที่สุดเพราะกำลังใจไม่เข้าเขตปรมัติบารมี
เจริญพร -
ขอบคุณครับหลวงพ่อเข้าใจแล้ว
-
ขอร่วมแสดงความเห็นนอกปริยัติ !
พระโพธิสัตว์เจ้า ระลึกถึง ประโยชน์ 2 ประการเป็นอารมณ์
คือประโยชน์ตน และ ประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
จึงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายทั้งปวงเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ตามมหาปณิธานที่ตั้งไว้
นี้แล คือประโยชน์ตน...
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ก็ได้ขวนขวายเพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ตามวาสนาบารมี
จนได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทำกิจแห่งพระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่
ได้อย่างครบถ้วน นี้แล คือประโยชน์ผู้อื่น...
ส่วน อารมณ์สวรรค์ชั้นดุสิต หรือ อารมณ์นิพพาน นั้น มั่นเกิดดับบ่อยๆ
หลายภพ จะผูกขาดไม่ได้ อบายภูมิ สวรรค์ พรมโลก ฯลฯ
ต้องไปอยู่ได้หมด เรื่องของอารมณ์ ไปได้หมด
แต่สุดท้ายจับอารมณ์เดียว คือ อารมณ์ปณิธาน เพื่อประโยชน์ 2 ประการนี้แล ! -
ไม่นึกถึงอะไรเลย ติดกับอะไร ก็ไม่ได้อย่างนั้น
-
NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
นึกอย่างเดียว คงไม่พอ
..............................
เพราะบางจังหวะ ก็ไม่ต้องคิด-นึกอะไรมาก
แต่เป็นไปเอง ตามความชินที่จะดำเนินไปของกาย วาจา ใจ
หรือ เป็นกิริยาที่พ้นเจตนาของจิต-ใจ อันเนื่องจากการฝึกปรือที่สั่งสมมาต่างกัน
และจะนึกถึงอะไร ก็ขอให้มีแต่นำไปสู่กุศลธรรม และความพ้น
แม้จะนึกถึงอกุศล ก็เป็นการนึกเพื่อน้อมนำสู่สมถวิปัสสนา พิจารณาตัดไปสู่่กุศลธรรมที่สูงขึ้น -
ต้องเข้าใจอารมณ์พระนิพพานให้ได้ เพราะต้องแนะนำคนอื่น จะได้สอนหรือแนะเขาถูก
ไม่ยึดดุสิต เป็นอารมณ์ เพราะว่า สิ่งที่พระโพธิสัตว์ต้องเร่งทำ คือสร้างบุญกุศล บารมี จึงต้องคิดว่า จะทำอะไร ในปัจจุบัน และอนาคตจะไปยังไง เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ต้องตั้งใจเกิดเป็นคน เพราะคนมีโอกาสสร้างบารมีได้ดีที่สุด -
พระนิพพานเป็นอารมณ์...
-
NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ความจริงแล้ว ภาษาก็เป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง...
ที่ว่า นึก นั้นไม่พอ
มีเหตุผลประการหนึ่งคือ
เมื่อคิด เมื่อนึกอยู่ เมื่อมีสิ่งที่เป็นอารมณ์อยู่ ก็ยังไม่ใช่สภาวะดับทุกข์สิ้นเชิงอย่างแท้จริง
ถ้าพระนิพพาน ยังเป็นสิ่งที่คิด และนึกได้ ก็ยังเป็นสิ่งถูกปรุงแต่งด้วยความคิด ความนึกอยู่ จะเป็นนิพพานของจริงได้อย่างไร
ก็อาจเป็นแค่ กรรมฐานหมวดสมถะ คือ อุปสมานุสสติกรรมฐาน
ที่จำลองสภาวะนั้นมา
..........
สำหรับผู้เป็นภูมิพระสาวก หรือ พระปัจเจกฯ
ระหว่างการคิด นึก และอบรม บ่มจิต สอนใจจนเป็นนิสัย เป็นวาสนาจนชิน
ก็จะมีจังหวะที่เหตุปัจจัยลงตัว ส่งจิตเข้าสู่สภาวะนิพพานของจริงที่่ดับทุกข์ได้สนิทจริง
เหตุปัจจัยนั้นได้แก่่ สมถะ-วิปัสสนาที่ลงตัว จนละ วาง ตัด สังโยชน์ไปเรื่อยๆจนหมด
เป็นมรรค เป็นผล ไปตามลำดับ จนกว่าจะสิ้นเชื้อ ไม่เหลือเศษ ดับหัวหน้าใหญ่คืออวิชชา หรือ สะบั้นกลางวงจรคือตัณหา ได้ วงจรปฏิจจสมุปบาทขาดสะบั้น ตรัสรู้อริยสัจจสี่ พ้นหตุปัจจัยมาเกิดอีกนั่นแล
---------------
ย้ำอีกที
ตราบใดที่มีอารมณ์ ก็ต้องมีผู้รู้อารมณ์
อารมณ์เป็นไตรลักษณ์
ถ้าพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ถึงพระชาติสุดท้าย ชาติที่ต้องตรัสรู้
เมื่อ นึกพระนิพพานเป็นอารมณ์ นั่นคือ อุปสมานุสสติกรรมฐาน ยังเป็นนิพพานโลกีย์
เป็นนิพพานจำลองที่ต่างจากนิพพานของพระอรหันต์
จึงบอกแต่ต้นว่า " แค่นึก ไม่พอ "
ต้องบ่มเพาะเหตุปัจจัยคือ บารมีสามสิบทัศน์ ไปเรื่อยๆ จนกว่า จะถึงเวลาตรัสรู้ -
ยังไงครับ งง นึกถึงนิพพานไม่พอ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ พระอรหันต์ พระปักเจกพุทธเจ้า ไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง แต่พระโพธิสัตว์ยังปรุงแต่งได้ แล้วควรทําไงครับ
-
NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
จะไปที่ทำงาน ถ้ามัวนึกถึงที่ทำงาน มัวดูรูปที่ทำงาน มัวดูโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดสดจากที่ทำงาน มันก็ยังไปไม่ถึง แม้จะรับคำสั่งหรือสั่งงานมาทำที่บ้านได้ มันก็ยังไม่ใช่ที่ทำงานอยู่ดี แต่ก็ดีที่ยังได้ทำงาน
ดังนั้น ก็ควรเดินทางไปที่ทำงาน.............
แต่ การเดินทางไปสู่ที่ทำงาน ของพระโพธิสัตว์ ต้องไปเพื่อไปเป็นครูกลับมาสอนคนอื่นด้วย
เลยต้องเก็บรายละเอียดระหว่างทางมากกว่า จึงไปถึงช้ากว่า
การเดินทาง ก็คือ การสร้างและทำบารมีสามสิบทัศน์ให้เต็ม
การทำเหตุของบารมีพิเศษที่อธิษฐานไว้ให้เต็ม