คือว่าก่อนหน้านี้ตั้งแต่เด็กผมทำสมาธิมาก็ปกติดีครับ มืดไม่เห็นอะไร
แต่พอผมซื้อหนังสือมาเล่มนึง มีการใช้คาถาบริกรรม
คือ โส ตัตตะ ภิญญา
ปกติก่อนหน้านี้ผมใช้ พุทธ โธ อ่ะครับ เวลาหายใจเข้าออก
พอเปลี่ยนมาใช้ โส ~ ตัตตะภิญญา มาได้สัก 4 วันแล้ว
อาการคือ พอหลับตาทีไร มีแสงสว่างกลมๆ ตรงหน้าอ่ะครับ (ดังรูป)
ทำให้ผมทำสมาธิได้ดีขึ้นครับ แต่ปวดหัวมาก
หลังจากออกจากสมาธิแล้ว แต่อารมณ์ความรู้สึกนั้นตามผมไปทั้งวัน
คือ ไม่ค่อยโลภ โกรธ หลง จะน้อยมากๆ จะนิ่งเฉย
แต่อาการปวดหัวก็ตามมาทั้งวัน
และที่หน้าผากกับระหว่างคิ้ว ก็เหมือนมีอะไรมาจี้ อ่ะครับ
หลังจากนั้น ผมก็เปลี่ยนมาใช้ พุทธ~โธ แสงสว่างก็ยังปรากฏอีกอ่ะครับ
พยายามไม่เพ่งแล้ว ก็ยังปวดอยู่ดี
แต่ก็สามารถทำสมาธิไปจนแสงนั้นหายไปอ่ะครับ เสียงภายนอกเงียบมาก
และลมหายใจก็แทบจะไม่ได้ยิน
แต่ที่ปวดหัวนี่แก้ไม่ได้เลยครับ เพราะหลับตาทีไร ก็เห็นแสงนั่นทุกที T T
ใครพอรู้ช่วยแนะนำหน่อยครับ
รบกวนถามผู้รู้หน่อยครับ (ทำสมาธิแล้งปวดหัว)
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย โลกิ, 20 กุมภาพันธ์ 2013.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ตำแหน่งองค์ฌานที่จะสู้สภาวะต่างๆได้ อยู่ที่จุดระหว่างนัยตาทั้งสองข้างหรือจุดดั้งจมูกหัก (จุดมโนทวาร)
ลักษณะขององค์ฌานก็เป็นคล้ายๆกับที่คุณกำลังเป็น ให้คุณเพ่งเข้าจุดที่ผมบอกจะสู้ได้ทุกอารมณ์ไม่ต้องกำหนดอะไรทั้งนั้น
ตรงนี้น่าจะเป็นบารมีเก่าคุณคงเคยปฏิบัติฌานสมาบัติมาก่อน ถอยหลังยากแล้วครับ บังคับให้ต้องสู้ต่อ
แสงนี้เป็นนิมิต ไม่นานก็หายไปเอง ไม่ต้องสนใจ
เจริญในธรรมครับ -
เสาร์-อาทิตย์นี้ผมว่าจะเข้าไปถามพระดูครับ
ตอนนี้จะพยายามทำสมาธิกลางคืนครับ แล้วก็นอนเลย
หากทำสมาธิกลางวัน อารมณ์จะนิ่ง แล้วทำงานอื่นไม่ค่อยได้เลย T T -
ลองอ่านดูคับ มันไม่ได้มีแค่สีเดียวและจริงๆต้องวางจิตเหนือสะดือ ถ้าวางจิตตรงหน้าผากหรือหัวก็จะเวียนคับเป็นธรรมดา
http://palungjit.org/threads/เข้าฌาน-แล้วระลึกชาติ.363781/ -
อาราธนาบารมีพระก่อนทำกรรมฐาน
และถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สนใจที่ลมหายใจและคำภาวนา ส่วนอาการปวดหัวให้ช่างมัน ยอมตาย -
อาการคล้ายกัน
ผมก็ปวดหัวมานานเหมือนกัน จะหาผู้รู้ช่วยด้วยครับ -
เมื่อแสงนั้นปรากฏ โดยปกติแล้ว ผู้มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อเพ่งแล้ว จะรวมจิตใหญ่ได้ดี
แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ จะยังใช้ประโยชน์จากโอภาส นั้นไม่ได้ เลยเถิดไปถึง ไปกระตุ้น เลือดลมในสมอง ในช่องจมูก ในโพรงจมูก ให้เกิดการอัดแน่น และอาการ ปวด มึนหัว หน่วงที่หน้าผาก หน่วงที่หว่างคิ้วจะตามมา และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ
วิธีการแก้ หากเพิ่งเริ่มเกิดขึ้นไหม่ๆ หยุดการเพ่งนั้นๆ (ค่อนข้างแน่นอน ว่า เพ่งไม่ถูกหลักการ) อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ไปให้ความสนใจ มาสนใจอยุ่กับความสงบ -
เป็นบารมีฌานสมาบัติ
แสดงว่าอดีตชาติเคยปฏิบัติมาก่อน
ตำแหน่งฌานที่ถูกต้อง อยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง ตรงจุดดั้งจมูกหักหากไม่หากไม่ยุ่งกับมัน มันก็ไม่เป็นอะไรหรอก
หากไปยุ่งกับมัน มันจะยุ่งไปใหญ่
หากสนใจจะเพ่งฌาน ก็เพ่งให้ตรงจุด เพ่งให้นิ่งที่สุด นานที่สุด ต้องปวดที่จุดแต่เมื่อเพ่งตรงจุดก็พอทนได้
แสงสีเป็นนิมิตร ให้ละไปเลย ไม่ต้องไปยุ่ง
การปฏิบัติยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งดี -
การเปลี่ยนคำบริกรรมจาก พุทโธ มาเป็น โส ตัตตะ ภิญญา น่าจะไม่มีผลต่ออาการปวดหัวหรอกครับ เพราะคำบริกรรม น่าจะส่งผลแค่ให้เกิด วิตก วิจาร ได้เร็วขึ้นเท่านั้น
แต่อาการเห็นแสงสว่างเร็ว และมีอาการปวดหัว นั้นน่าจะเป็นการรวมจิตที่รวดเร็วเกินไป บางทีผู้ปฏิบัติก็พยายาม "เพ่ง" เพื่อให้เห็นผลเร็ว เมื่อเพ่งมาก ก็ปวดมาก ส่วนการเข้าถึงแสงสว่างได้รวดเร็วนั้น มาจากบารมีที่สะสมมามาก และมีความคล่องให้การเข้าถึง มีการฝึกจนคล่อง เลยเกิดง่าย เรียกว่า "วสี" มันเกิดขึ้นแล้ว
แสงสว่าง ที่เกิดขึ้นนั่น ก็คือ นิมิต ที่มันเกิดขึ้นตลอดเวลาก็เป็น นิมิตติดตา ซึ่ง ไม่ควรไปยึดไว้มาก อย่าไปหลงมาก ซักพักจะหาย แต่ก็จะเข้าถึงได้ง่าย ส่วนที่บอกว่า หลังจากออกจากสมาธิแล้ว แต่อารมณ์ความรู้สึกนั้นตามผมไปทั้งวัน คือ ไม่ค่อยโลภ โกรธ หลง จะน้อยมากๆ จะนิ่งเฉย ตรงนี้ จริงๆ ไม่ใช่ว่าอารมณ์ติดมาจากการทำสมาธิ แต่มันเกิดจากสมาธิที่เราทำมันทำให้จิตของเรามีพลัง มีสติระลึกได้ ทำให้ เราทันจิตของตนเองได้เร็ว เมื่อทันจิต เราก็เห็นว่าจิตทำอะไร พอสติมันทัน ทำให้เราระงับอาการโลภ โกรธ หลงลงไปได้ชั่วขณะ
จริงๆ อาการโลภ โกรธ หลง มันต้องดับด้วยปัญญา ไม่ใช่ดับด้วยสมาธิ แต่สมาธิที่แข็งแกร่ง เป็นตัวเสริมให้จิตมีพลัง มีความเร็วในการรพิจารณาความโลภ ความโกรธ ความหลง โดยมีตัวสติ เป็นตัวช่วย
อาการปวดหัว จะหายไป ถ้าพยายามผ่อนคลาย การเพ่งลง ส่วนจุดเพ่งนั้น เอาที่ไหนก็ได้ เอาให้ถูกกับจริตของเรา เอาจุดที่ทำสมาธิแล้วมันสบายที่สุด ถ้ายังไม่สบาย ก็เลือกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอจุดที่สบาย เพราะว่า จุดที่วางจิตให้สบายนั้น ในแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ที่สำคัญ อย่าไปดีใจหรือตื่นเต้นไปกับแสงสว่างที่เกิดขึ้นมากนัก เพราะมันจะทำให้เรา รีบเข้าไปหามัน แล้วก็เกิดอาการเพ่งอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เข้าถึงแสงสว่างนี้ เพราะว่า แสงสว่างนี้ ถ้าเราเข้าไปแล้ว มันนวล มันชวนหลงไหลพอดู ถ้าสติไม่ตั้งมั่นแล้ว เราก็จะติดแสงสว่างนี้ได้ง่ายเหมือนกัน
ใจเย็นๆ ค่อยๆ ทำ เห็นว่าได้หนังสือเล่มใหม่มา ก็คงจะตื่นเต้น และอยากทำให้สำเร็จตามนั้น เลย ปวดหัว ขึ้นมา ผ่อนลงมาอีกนิด
เอาใจช่วย ทำให้ได้ เพียรเยอะๆ อย่าท้อ เดี๋ยวอาการปวดหัวจะหาย ถ้าค้นพบจุดที่ตั้งของจิตของตน จุดที่ผ่อนคลายที่สุด แน่นอน จุดนี้ ของคุณอาจจะไม่ใช่จุดเดียวกันกับคนอื่นๆ ก็ได้ ลองดูครับ
ที่สำคัญ กรรมฐาน ที่ทำนี้ถูกจริตกับตนหรือยัง ถ้าถูกแล้วว จะเจริญไปเร็ว และผ่อนคลาย สบายๆ
ถ้าทำได้แล้ว อย่าลืม...พิจารณากาย และใจ ด้วยนะครับ
ขออนุโมทนาในบุญ จากการทำสมาธิ และขอให้เป็นสัมมาสมาธิ นะครับ -
อาการอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ชินในญาน
หรือ การทำสมาธิตลอดเวลา
จนไม่มีเวลาออกจากสมาธิเลย
คือทำ จนเป็น นิสัย
ไม่ว่าจะหลับตา หรือ ลืมตา
ก็เป็นญานหมด
ที่ดี คือ เข้าญานได้เร็ว
ไม่ค่อยรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ
เพราะหนีเข้าญานตลอดเวลา
อาการเพ่งที่หน้าผาก
จึงยังตกค้างอยู่ ปวดที่หน้าผาก
ไม่ได้หยุดหย่อน
วิธีแก้คือ หยุดเพ่งกสิน มั่ง
หันไปเพ่ง ลมหายใจ แทน
หรือ เพ่งที่ท้องมั่ง
หรือ เพ่งที่เท้า ก็ได้