ระลึกตามแบบหมายความท่านผู้ใดจะนั่งนอนระลึกนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าโดยยกเอาพระคุณของพระองค์มาระลึกถึง เช่น ระลึกถึงพระคุณสามประการคือ
๑. ระลึกถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ ที่ทรงกำจัดกิเลสได้เด็ดขาดไม่มีความชั่วเหลืออยู่ในพระกมลสันดาน พระองค์ทรงบริสุทธิ์ผุดผ่องจริงๆเป็นความดีที่เราควรปฏิบัติตาม
๒.ระลึกถึงพระปัญญาอันเฉียบแหลมเฉลียวฉลาดของพระองค์ด้วยพระองค์มีความรู้ความฉลาดยอดเยี่ยมกว่าเทวดา พรหมและมนุษย์ทั้งหลาย
เพราะนอกจากจะทรงรู้ในหลักวิชาการต่างๆตามความนิยมของปกติชนแล้ว พระองค์ยังทรงรู้ที่มาของความทุกข์และรู้การปฏิบัติเพื่อทำลายต้นตอของความทุกข์นั้น ๆ ได้แก่ทรงรู้ในอริยสัจ ๔
๓. ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ คือพระองค์เมื่อทรงเป็นผู้รู้เลิศแล้วพระองค์มิได้ปกปิดความรู้นั้นเพื่อพระองค์เอง
โดยเฉพาะพระองค์นำความรู้มาสั่งสอนแก่หมู่มวลชนอย่างเปิดเผยไม่ปกปิดความรู้แม้แต่น้อย
พระองค์ทรงทรมานพระวรกาย เพราะสั่งสอนพุทธเวไนยให้เกิดความรู้ความฉลาดเพื่อกำจัดเหตุชั่วร้ายที่ฝังอยู่ในสันดานมานานมีสภาพคล้ายผีสิงเหตุชั่วร้ายนั้นก็คือ
ก. ความโลภอยากได้สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน
ข. ความพยาบาทคือความโหดร้ายที่ฝังอยู่ในจิตใจคิดที่จะประหัตประหารทำอันตรายผู้อื่นให้ได้รับความพินาศ
ค.ความโง่เขลาที่คอยกระตุ้นเตือนใจให้ลุ่มหลงในสรรพวัตถุจนเกินพอดี
คือคิดปลูกฝังใจในวัตถุ โดยไม่คิดว่าของนั้นจะต้องเก่าจะต้องพังไปในสภาพ
พระองค์ทรงพระกรุณาสอนให้รู้ทั่วกันว่าการมุ่งหวังจะเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตนนั้น เป็นความเลวร้ายที่ควรจะละเพราะเป็นเหตุของการสร้างศัตรู
การคิดประทุษร้ายด้วยอำนาจโทสะ เป็นเหตุบั่นทอนความสุขส่วนตน เพราะผู้คิดนั้นเกิดความทุกข์ตั้งแต่เริ่มคิดคือกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
ทำให้สุขภาพของตนเสื่อมโทรมยังไม่ทันทำอันตรายเขาผู้คิดก็ค่อยๆตายลงไปทีละน้อย ๆ แล้ว
เพราะเหตุที่กินน้อยนอนน้อย การหลงในทรัพย์เกินไปที่ไม่คิดว่ามันจะต้องเก่า ต้องทำลายตามสภาพเป็นเหตุให้เกิดความคับแค้นคือเสียใจ เศร้าใจ ทำให้ชีวิตไม่สดใส สดชื่น มีความเศร้าหมองมีทุกข์ประจำใจเป็นปกติ
<O:p</O:p
ทางแก้ไข
๑.ความโลภอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน
พระองค์ทรงสอนให้รู้จักการให้ทานเป็นการแก้ความรู้สึกเดิมเพราะทานเป็นการสละออกมีอาการตรงข้ามกับการคิดอยากได้
ผลทานนี้ก็มีผลเป็นเครื่องบันดาลความสุขในปัจจุบันเพราะผู้รับทานย่อมมีความรักและเคารพในผู้ให้ทาน
การให้ทานเป็นการสร้างมิตรตรงกันข้ามกับการคิดอยากได้ดังผู้อื่นเป็นเหตุของความทุกข์เป็นเหตุของการสร้างศัตรู
๒. พยาบาท ท่านสอนให้รักษาศีลเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังพยาบาทเพราะมาจากโทสะ
ความคิดประทุษร้ายเป็นสมุฏฐานสำหรับการรักษาศีลนั้นมีเมตตาความแสดงออกถึงความรักความสงสารเป็น
เป็นสมุฏฐานเมื่อรักษาศีลก็ต้องมีเมตตา กรุณาถ้าเมตตากรุณา ไม่มีแล้วศีลก็ทรงตัวไม่ได้
ฉะนั้นที่พระองค์ทรงสอนให้รักษาศีลก็คือฝึกจิตให้มีเมตตาปรานีนั่นเอง ซึ่งมีคติตรงข้ามกับพยาบาทและเป็นอารมณ์หักล้าง พยาบาทเป็นเหตุของความสุข
เพราะคนที่มีความเมตตาปรานีนั้นย่อมเป็นที่รักของมวลชน แม้สัตว์เดียรัจฉานก็รัก เราจะเห็นได้ว่าบ้านที่มีสุนัขดุ ๆใคร ๆ ก็เข้าไม่ได้
ถ้าเราหมั่นเอาอาหารไปให้สุนัขตัวนั้นบ่อย ๆไม่ช้าก็เชื่อง เป็นมิตรที่ดีไม่ทำอันตรายคนมีเมตตามีความสุขเพราะเป็นที่รักของชนทั่วไปอย่างนี้เป็นการแก้เหตุของความทุกข์ให้เป็นเหตุของความสุข จัดว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างมหันต์
๓. ความหลงคือความโง่ ที่มีความคิดว่า อะไรที่เรามีแล้ว ต้องมีสภาพคงที่ ไม่เก่าไม่ทำลายพอของสิ่งนั้นเก่าหรือทำลาย ความเสียใจก็เกิดขึ้น
กฎข้อนี้เป็นปกติธรรมดาก็จริงที่พอจะรู้ได้อย่างไม่ยากแต่คนในโลกนี้ก็ไม่ค่อยคิดตามกลับคิดฝืนกฎธรรมดาจนเป็นเหตุของความทุกข์อย่างมหันต์
เพราะคนเกิดแล้วต้องตาย ชาวบ้านชาวเมืองตายให้ดูเยอะแยะ ไม่จดจำ
แต่พอตัวจะตายญาติตาย เกิดทุกข์ร้องไห้เสียใจ ความจริงความตายนี้เป็นของปกติธรรมดา ไม่มีใครพ้น แต่คนไม่คิดมีแต่ความผูกพัน คิดว่าจะอยู่ตลอดกาลพระองค์เห็นว่าคนทั่วโลกโง่
อย่างนี้จึงทรงแก้ด้วยการสอนวิปัสสนาญาณคือสอนให้รู้กฎของความเป็นจริงยอมรับนับถือตามความเป็นจริงเป็นการเปลื้องอุปาทานคือความโง่ออกเสียจากความรู้สึก
เป็นการสร้างความสบายใจให้เกิดแก่มวลพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ท่านจะคิดใคร่ครวญถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าตามนี้ก็ได้หรือจะคิดอย่างอื่นก็ได้
แต่ขอให้อยู่ในข่ายระลึกนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าเป็นใช้ได้
ระลึกตามบทพระพุทธคุณ๙ อย่าง
การระลึกตามแบบพระพุทธคุณ ๙ อย่างนี้เป็นการระลึกถึงผลที่พระองค์ทรงบรรลุ
จะไม่นำมาเขียนไว้เห็นท่าจะไม่เหมาะขอนำมาเขียนไว้เพื่อทราบดังต่อไปนี้
๑. อรหัง คำว่าอรหังนี้ แปลว่า ท่านผู้ไกลจากกิเลส
หมายความว่าพระพุทธองค์ไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมองอยู่ในพระหฤทัยเลยเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องจริง ๆ
อารมณ์กิเลสที่พระอรหังหรือที่เรียกว่าพระอรหันต์ละได้นั้น มี๑๐อย่าง คือ
ก. สักกายทิฎฐิ เห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกายกายไม่มีในเรา
ท่านละความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์บุคคลเราเขาเสียได้ "โดยเห็นว่า ร่างกายนี้เป็นเพียงแต่ธาตุ ๔
คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ประชุมกันชั่วคราวเป็นที่อาศัยของนามธรรม คือ เวทนา ความรู้สึกสุขทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์คืออารมณ์วางเฉยจากอารมณ์สุขทุกข์ สัญญามีความจดจำเรื่องราวที่ล่วงมาแล้ว
สังขารอารมณ์ชั่วร้ายและอารมณ์เมตตาปรานีสดชื่นอันเกิดต่ออารมณ์ที่เป็นกุศล คือความดี
และอารมณ์ที่เป็นอกุศลคือความชั่วที่เรียกกันว่า อารมณ์เป็นบุญและอารมณ์เป็นบาปที่คอยเข้าควบคุมใจ
วิญญาณ คือ ความรู้ หนาว ร้อนหิวกระหายเผ็ดเปรี้ยวหวานมันเค็ม และการสัมผัสถูกต้องเป็นต้น
วิญญาณนี้ไม่ใช่ตัวนึกคิดตัวนึกคิดนั้นคือจิตวิญญาณกับจิตนี้คนละอันแต่นักแต่งหนังสือมักจะเอาไปเขียนเป็นอันเดียวกันทำให้เข้าใจเขว ควรจะแยกกันเสีย เพื่อความเข้าใจง่าย
อีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาอาศัยกายและไม่ตายร่วมกับร่างกาย สิ่งนั้นก็คือจิตเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณนี้ ตายร่วมกับร่างกาย
คือกายตายก็ตายด้วยแต่จิตที่เข้ามาอาศัยกายนี้ เข้ามาอาศัยชั่วคราว เมื่อกายตั้งอยู่คือ ดำรงอยู่ร่วมพร้อมกับ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิตก็อาศัยอยู่ แต่ถ้าขันธ์๕มีร่างกายเป็นประธานตายแล้วจิตก็ท่องเที่ยวไปแสวงหาที่อาศัยใหม่
คำว่าเราในที่นี้ท่านหมายเอาจิตที่เข้ามาอาศัยกายเมื่อท่านทราบอย่างนี้ท่านจึงไม่หนักใจและผูกใจว่า ขันธ์ ๕คือร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเราเราไม่มีในกายกายไม่มีในเราเราคือจิตที่เข้ามาอาศัยในกาย คือ ขันธ์ ๕ นี้
ขันธ์ ๕ถ้าทรงอยู่ได้รักษาได้ก็อาศัยต่อไปถ้าผุพังแล้วท่านก็ไม่หนักใจ ไม่ตกใจไม่เสียดายห่วงใยในขันธ์๕
ท่านปล่อยไปตามกฎของธรรมดาเสมือนกับคนอาศัยรถหรือเรือโดยสารเมื่อยังไม่ถึงเวลาลงก็นั่งไป แต่ถึงจุดหมายปลายทางเมื่อไรก็ลงจากรถจากเรือ
โดยไม่คิดห่วงใยเสียดายรถหรือเรือโดยสารนั้นเพราะทราบแล้วว่ามันไม่ใช่ของเราเขาก็ไม่ใช่เราเราก็ไปตามทางของเรา
ส่วนรถเรือโดยสารก็ไปตามทางของเขาต่างคนต่างไม่มีห่วงใย
พระอรหันต์ทั้งหลายท่านมีความรู้สึกอย่างนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมอรหันต์พระองค์มีความรู้สึกอย่างนี้
ท่านนักปฏิบัติที่ระลึกถึงพระคุณข้อนี้ก็ควรทำความพอใจตามที่พระองค์ทรงบรรลุเป็นพระอรหันต์อย่างนี้
จะเป็นเครื่องบั่นทอนกิเลสลงได้มาก จนเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์อย่างพระองค์ "
ข.วิจิกิจฉาพระอรหันต์ท่านเชื่อมั่นในธรรมปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้วโดยไม่เคลือบแคลงสงสัยและปฏิบัติตามด้วยศรัทธายิ่ง
ค. สีลัพพตปรามาส ท่านรักษาศีลเป็นอธิศีล คือไม่ละเมิดศีลด้วยตนเองไม่แนะให้ใครละเมิดศีลไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิดศีล
ฆ. ละกามฉันทะ คือความยินดีในกามารมณ์ท่านหมดความรู้สึกทางเพศเด็ดขาดมีอสุจิเหือดแห้งความรู้สึกพอใจในกามารมณ์ไม่มีในความรู้สึกของท่านเลย
ง. พยาบาทท่านตัดความโกรธความพยาบาทได้สิ้นเชิง มีแต่ความเมตตาปรานีเป็นปกติ
จ. รูปราคะท่านตัดความสำคัญในรูปฌานว่าเลิศเสียได้โดยเห็นว่ารูปฌานนี้เป็นกำลังส่งให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณไม่ใช่ตัวมรรคผลนิพพาน
ฉ.ท่านตัดความเห็นว่าเลิศในอรูปฌานเสียได้โดยเห็นว่าอรูปฌานนี้ก็เป็นเพียงกำลังส่งให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณเช่นเดียวกับรูปฌาน
ช. มานะ ท่านตัดความถือตัวถือตนว่า เราเลวกว่าเขาเราเสมอเขาเราดีกว่าเขาเสียได้
โดยวางอารมณ์เป็นอุเบกขา คือเฉย ๆต่อยศฐาบรรดาศักดิ์และฐานะความเป็นอยู่เพราะทราบแล้วว่าไม่มีอะไรยั่งยืนตลอดกาล
ซ. อุทธัจจะ ท่านตัดอารมณ์ฟุ้งซ่าน ที่คิดนอกลู่นอกทางเสียได้มีอารมณ์ผ่องใสพอใจในพระนิพพานเป็นปกติ
ฌ.ท่านตัดอวิชชาคือความโง่ออกเสียได้สิ้นเชิงท่านหมดความพอใจในสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตโดยที่คิดว่าเป็นสมบัติยั่งยืนได้สิ้นเชิงท่านเห็นว่าไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นมีเกิดแล้วก็เสื่อมในที่สุดก็ต้องทำลาย
ฉะนั้นอารมณ์ของท่านจึงไม่ยึดถืออะไรมั่นคง มีก็ใช้เมื่อสลายตัวไปก็ไม่มีทุกข์
ท่านตัดความกำหนัดยินดีในสมบัติของโลกเสียทั้งหมดไม่มีเยื่อใยรักใคร่หวงแหนอะไรทั้งหมดแม้แต่สังขารของท่าน พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทุกองค์มีความรู้สึกอย่างนี้
ท่านที่เจริญอนุสสติข้อนี้ เมื่อใคร่ครวญตามความดีทั้งสิบประการนี้เสมอ ๆทำให้อารมณ์ผ่องใสในพระพุทธคุณมากขึ้นเป็นเหตุให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างไม่ยากนัก
<O:p</O:p
๒.สัมมาสัมพุทโธ แปลว่าตรัสรู้เองโดยชอบ
ความหมายนี้ หมายความว่าพระองค์ทรงรู้อริยสัจทั้ง๔ คือ รู้ทุกข์คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ รู้สมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ตัณหา ๓ประการ คือ
๑. กามตัณหา ทะยานอยากได้ในสิ่งที่ยังไม่เคยมีอยากให้มีขึ้น
๒. ภวตัณหาสิ่งใดที่มีอยู่แล้วอยากให้คงสภาพอยู่อย่างนั้น ไม่อยากให้เก่า ไม่อยากให้เปลี่ยนแปลง
๓.วิภวตัณหา อยากให้สิ่งที่จะต้องสลายตัวนั้น ที่เป็นไปตามกฎธรรมดามีความปรารถนาไม่ให้กฎธรรมดาเกิดขึ้น คือ ไม่อยากให้สลายและไม่อยากเสื่อมไม่อยากตายนั่นเอง
ความรู้สึกอย่างนี้เป็นความรู้สึกที่ฝืนกฎธรรมดาเป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ ทรงนิโรธะคือความดับสูญไปแห่งความทุกข์และทรงทราบมรรคคือปฏิปทาที่ปฏิบัติให้เข้าถึงความทุกข์ คือทุกข์นั้นสูญสิ้นไปได้แก่ทรงทราบมรรคคือข้อปฏิบัติ ๘ ประการดังต่อไปนี้
๑. สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ
๓.สัมมาวาจา เจรจาชอบ
๔. สัมมากัมมันโต มีการงานชอบ
๕.สัมมาอาชีโวเลี้ยงชีพชอบ
๖. สัมมาวายาโม ความพยายามชอบ
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ
ในมรรคคือข้อปฏิบัติที่จะให้เข้าถึงความดับสูญไปแห่งทุกข์นี้ย่อลงเหลือสามคือได้แก่ศีล
การรักษากายวาจาใจให้เรียบร้อยตามขอบเขตของสิกขาบทสมาธิการดำรงความตั้งมั่นของจิต
ที่ไม่เป็นเวรเป็นภัยต่อสังคม คือดำรงฌานไว้ด้วยดีเพื่อเป็นบาทของวิปัสสนาญาณปัญญาได้แก่การ
เจริญวิปัสสนาญาณจนรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎธรรมดาไม่มีอารมณ์คิดที่จะฝืนกฎธรรมดานั้น
๓.วิชชาจรณสัมปันโน แปลว่าพระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คือทรงมีความรู้รอบและความประพฤติครบถ้วน
วิชชาแปลว่าความรู้หมายถึงรู้ในวิชชาสาม ที่สามัญชนไม่สามารถจะรู้ได้คือ
๑.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณทรงมีความรู้ในการระลึกชาติที่ล่วงแล้วมาได้อย่างไม่จำกัด
ไม่มีผู้อื่นใดจะระลึกชาติได้มากเท่าพระองค์และพระองค์ทรงมีความชำนาญในการระลึกชาติได้อย่างเยี่ยม
๒.จุตูปปาตญาณ พระองค์ทรงมีความรู้ ความเกิด และความตายของสัตว์ โดยทรงรู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วนี้ไปเกิด ณ ที่ใด มีความสุขความทุกข์เป็นประการใด
เพราะผลกรรมอะไรเป็นเหตุ และทรงทราบว่า สัตว์ที่ตายไปแล้วนี้มาจากไหนที่มีความสุขความทุกข์อยู่นี้ เพราะอาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ
๓.อาสวักขยญาณ ทรงรู้วิชชาที่ทำอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป
จรณะหมายถึงความประพฤติ พระองค์มีความประพฤติครบถ้วนยอดเยี่ยม
ท่านประมวลความประพฤติที่พอจะนำมากล่าวไว้ได้โดยประมวลมี ๑๕ ข้อด้วยกัน คือ
๑. สีลสัมปทา พระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยศีลคือทรงปฏิบัติในศีลไม่บกพร่อง
๒. อินทรียสังวรทรงระมัดระวังในการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ
๓. โภชเนมัตตัญญุตาทรงรู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร
๔. ชาคริยานุโยคทรงประกอบความเพียรของผู้ตื่นอยู่คือมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน
บริบูรณ์
๕. สัทธา ทรงมีความเชื่อมั่นในผลการปฏิบัติ ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัย
๖. หิริ ทรงมีความละอายต่อผลของความชั่วทั้งมวล
๗.โอตตัปปะ ทรงเกรงกลัวต่อผลของความชั่วทั้งมวล
๘. พาหุสัจจะทรงสั่งสมวิชาการต่าง ๆ ด้วยการศึกษามาแล้วด้วยดี
๙. วิริยะทรงมีความเพียรไม่ท้อถอย โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
๑๐. สติทรงมีสติสมบูรณ์
๑๑. ปัญญามีปัญญารอบรู้ในวิทยาการทุกแขนงและทรงรู้แจ้งในอริยสัจ โดยที่มิได้ศึกษาจากผู้ใดมาในกาลก่อนทรงค้นคว้าพบด้วยพระองค์เอง
๑๒. ปฐมฌาน ทรงฝึกฌาน จนได้ปฐมฌาน
๑๓. ทุติยฌาน ทรงฝึกจนได้ฌานที่สอง
๑๔. ตติยฌานทรงฝึกสมาธิ จนได้ฌานที่สาม
๑๕. จตุตถฌาน ทรงฝึกสมาธิ จนทรงฌานที่ ๔ไว้ได้ด้วยดีเป็นพิเศษ
ทั้งหมดนี้ จัดเป็นจริยาคือความประพฤติของพระองค์อันเป็นแบบอย่างที่บรรดาพุทธสาวกจะพึงปฏิบัติตามให้ครบถ้วนบริบูรณ์เพื่อผลไพบูลย์ในการปฏิบัติเพื่อมรรคผล
เพราะพระองค์ทรงมีความประพฤติอย่างนี้จึงทรงบรรลุมรรคผล หากพุทธศาสนิกชนที่นับถือพระองค์ปฏิบัติตามก็มีหวังได้บรรลุมรรคผลในชาติปัจจุบัน
<O:p</O:p
๔. สุคโต แปลว่าเสด็จไปดีแล้วหมายความว่าพระองค์เสด็จไปณที่ใด พระองค์นำแต่ความสุขไปให้เจ้าของถิ่น
คือนำความรู้อันเป็นเหตุของความสุขไปให้ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใดใครก็ตามบูชาพระองค์แล้ว ไม่เคยผิดหวังที่จะได้รับความสุขในทางปฏิบัติ
๕.โลกวิทูแปลว่ารู้แจ้งโลกหมายความว่า โลกทุกโลกมียมโลกคือโลกแห่งการทรมาน ได้แก่นรก เปรต อสุรกาย เป็นต้น
มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกและพระนิพพานอันเป็นดินแดนพ้นโลก พระองค์ทรงทราบตลอดหมดสิ้นแม้แต่ปฏิปทาที่จะให้ไปเกิดในโลกนั้น ๆ
๖. อนุตตโรปุริสทัมมสารถิ แปลว่าเป็นนายสารถีผู้ฝึกไม่มีนายสารถีใดมีความสามารถฝึกได้เสมอเหมือนพระองค์
ทั้งนี้หมายความถึงการฝึกธรรมปฏิบัติ พระองค์ทรงมีญาณพิเศษที่เรียกว่าเจโตปริยญาณ ทรงรู้ใจคนว่า ผู้นี้ควรสอนอย่างไรจึงได้ผลพระองค์ทรงฝึกสอนตามที่รู้ด้วย
พระญาณนั้น จึงมีความสามารถฝึกได้ดีเป็นพิเศษ
๗. สัตถา เทวมนุสสานังแปลว่าพระองค์ทรงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์
ทั้งนี้หมายความว่าการสั่งสอนเพื่อมรรคผลนั้น พระองค์มิได้ทรงสั่งสอนแต่มนุษย์เท่านั้นแม้เทวดาและพรหม พระองค์ทรงสั่งสอน
การสอนมนุษย์ท่านอาจไม่สงสัยแต่การสอนเทวดานั้นท่านอาจจะแปลกใจ
ข้อนี้ขอให้อ่านพุทธประวัติจะทราบว่าพระองค์ทรงสั่งสอนเทวดาและพรหมเป็นปกติเกือบทุกวันเช่นเดียวกับสอนมนุษย์เหมือนกัน
๘. พุทโธแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่นแล้ว ผู้เบิกบานแล้วได้เหมือนกัน ความหมายถึงคำว่าพุทโธก็มีอย่างนี้ คือหมายถึงพระองค์ทรงรู้พระองค์ด้วยความเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
๙. ภควาแปลว่าผู้มีโชคหมายถึงพระองค์เป็นผู้มีโชคก่อนใคร ๆที่พระองค์เป็นผู้รู้เท่าทัน
อวิชชาคือความโง่เขลาเบาปัญญาความโง่ไม่สามารถครอบงำพระองค์ได้ โดยอาศัยที่พระองค์ทรงค้นพบอริยสัจ ๔
จึงสามารถทำลายอำนาจอวิชชาคือความโง่ให้สลายตัวไปเสียได้เหลือไว้แต่ความฉลาดหลักแหลม
ความโง่ไม่สามารถจะบังคับบัญชาพระองค์ให้หลงใหลไปในอำนาจกิเลสและตัณหาได้ต่อไป
พระองค์ทรงพบความสุขที่ยอดเยี่ยมไม่มีความสุขอื่นยิ่งกว่า ความสุขที่ว่านี้ คือ พระนิพพาน
พระพุทธคุณทั้ง ๙ ประการนี้พระอาจารย์รุ่นเก่าท่านประพันธ์ไว้ให้บรรดาพุทธศาสนิกชนระลึกนึกถึง
จัดเป็นพุทธานุสสติกรรมฐานคือตั้งอารมณ์ข่มนิวรณ์ปรารภถึงความดีของพระพุทธเจ้า
เมื่อพระโยคาวจรคือท่านนักปฏิบัติพระกรรมฐานได้คำนึงถึงความดีของพระพุทธเจ้าตามที่เขียนมานี้ทั้งหมด
หรือข้อใดข้อหนึ่งหรือจะนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าในลักษณะอื่นแต่เป็นไปตามแบบพระพุทธจริยาแล้ว จนจิตมีความเคยชินระงับนิวรณธรรมห้าประการเสียได้ จิตตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิแล้ว
เจริญวิปัสสนาญาณท่านว่าท่านผู้นั้นสามารถจะชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้เพราะอาศัยความเลื่อมใสในพระพุทธจริยา จัดว่าเป็นผู้มีโชคอย่างยิ่งคือจะได้สำเร็จมรรคผลได้โดยฉับพลัน
อ้างอิง กรรมฐาน๔๐ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ระลึกตามบทพระพุทธคุณ๙ อย่าง
ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย อรชร, 19 ตุลาคม 2010.
-
ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com
<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O:p>
*
-
กราบ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ -
๑.ความโลภอยากได้
แก้โดยการ ให้
๒.ความพยาบาท
แก้โดยการ รักษาศีล
๓. ความหลงความผูกพัน
แก้ด้วย วิปัสสนาญาณ , รู้กฎของความเป็นจริง
กราบโมทนา สาธุการเจ้าค่ะ
ขอน้อมนำพระมหากรุณาธิคุณ มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
-
อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบพระคุณสำหรับสาระความรู้ดีๆ ที่นำมาให้อ่านค่ะ