ร่องรอยอภิญญาใหญ่ โรดแมปสู่อภิญญาสาธารณะ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 15 พฤศจิกายน 2007.

  1. เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ไม่ว่ากันจ้า....ที่เอามายากลมาให้ดูกัน เพื่อให้คนที่มีหน้าที่ด้านอภิญญา เขาได้ศึกษาไว้เป็นตัวอย่าง เพื่อช่วยเหลือคนยามเกิดภัยพิบัติ ส่วนคนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ก็ดูเอาไว้เพื่อความบันเทิงก็พอแล้วจ้า.....อย่าไปคิดอะไรมากครับ


     
  2. เทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    275
    ค่าพลัง:
    +3,099
    ไม่ได้ตามดูคลิป ดูแค่รูป แต่มีความเห็นคล้ายคลึงกัน โดยสังเกตุจากคลื่นน้ำที่เกิดขึ้นรอบๆ

    หากเป็นการใช้เท้าล้วนๆสัมผัสน้ำ ตามหลักควรเป็นวงคลื่นน้ำออกโดยรอบเท้า

    จากรูป จะมีคลื่นน้ำแผ่ออกเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ คล้ายกับเหยียบลงบนกระจก

    เฉพาะในรูปนี้ โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องของมายากลตามปกติ
     
  3. เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อจินไตย 4 สิ่งที่มนุษย์ไม่ควรคิด

    อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่พึงคิด คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิด และถ้าขืนคิดให้รู้ให้ได้
    ก็จะกลายเป็นผู้มีส่วนแห่งความเครียดเป็นบ้าเสียสติไป
    แต่ที่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าห้ามหรอกนะ
    ท่านเพียงแต่บอกความจริงว่ามันเป็นอย่างนั้น

    ตามหลักของพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไปห้ามใคร
    เป็นแต่เพียงบอกว่า ไม่ควรคิด ถ้าคิดแล้วมันจะทำให้ มี
    ส่วนแห่งความวิปริตของจิตเกิดขึ้น คือเมื่อคิดไม่ออก ก็เลยฟุ้งเพ้อไปเลย
    ฉะนั้นท่านจึงบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด คือ ไม่
    อาจรู้เข้าใจได้ด้วยการคิด ต้องรู้ประจักษ์ด้วยประสบการณ์ของตนเอง
    โดยพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้น อจินไตยมี 4 อย่างคือ
    (องฺ.จตกฺก.21/76/104)

    1. พุทธวิสัย

    พุทธวิสัยคือ เรื่องปัญญาความสามารถของพระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างไร
    รู้ได้อย่างไร ทำได้อย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดา
    อยู่แล้ว ปัญญาของเราไม่ถึงใคร แล้วให้หยั่งรู้ถึงทันเท่าคนนั้น
    ย่อมคิดไม่ได้ คิดไม่ออก เป็นที่เรื่องที่เห็นๆ กันอยู่เพราะ
    ฉะนั้น ปุถุชนจะเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้ หรือ
    คิดเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าออกได้อย่างไร ก็ต้องพัฒนาตัวไปจน
    กว่าจะมีปัญญาอย่างนั้น

    2. ฌานวิสัย คือ วิสัยของฌาน(ฤทธิ์อภิญญา)

    จิตนั้นมนุษย์ก็มีอยู่ด้วยกันทุกๆ คน แต่มนุษย์ปุถุชนก็ไม่เคยรู้จัก
    ไม่เคยเข้าใจธรรมชาติของ
    จิต และการทำงานของจิตของตนเองเลย แม้แต่ความฝัน ตัวเองก็ฝันอยู่
    แต่ก็ไม่เข้าใจความฝันนั้น ความรู้เรื่องจิตที่มีอยู่
    ในตัวเองหรือที่เป็นตัวเองนี้ มีน้อยอย่างยิ่ง ทีนี้ สภาพจิตที่เป็นฌานนั้น
    เกิดจากสมาธิที่แน่วแน่ถึงขั้นที่เรียกว่า อัปปนา เป็น
    ประสบการณ์ที่เกิดจากการฝึกฝนพัฒนาจิต
    ยิ่งรู้เข้าใจยากกว่าสภาพจิตสามัญ คนทั่วไปจึงไม่อาจคิดให้รู้เข้าใจได้ เป็น
    เรื่องที่ต้องฝึกฝนพัฒนาขึ้นมา
    แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอาจรู้เข้าใจได้ มิใช่ด้วยการคิด แต่ด้วยการทำเอา

    3. เรื่องการให้ผลของกรรม

    เรื่องนี้มนุษย์ปุถุชนคิดอย่างไร
    ก็ไม่สามารถมองเห็นชัดเจนจนถึงที่สุด เราก็รู้เข้าใจในแง่หลัก
    ของความเป็นไป ตามเหตุปัจจัยแล้วก็คิดไปได้ระดับหนึ่ง
    แต่จะให้คิดมองเห็นโล่งตลอดไปก็ไม่ไหว

    4. เรื่องโลกจินตา

    คือ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องของโลกจักรวาล
    จักรภพ ว่าเกิดขึ้นอย่างไร จะมีการสิ้นสุดหรือไม่ มีขอบเขต
    ถึงไหน เรื่องนี้
    philosophers คือ นักปรัชญาทั้งหลายชอบคิด แต่ให้คิดไปเถิด
    ก็ข้องอยู่อย่างนั้นจะคิดให้ออก ก็ไม่ออกหรอก

    จากพระสูตร อจินติตสูตร

    [๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
    เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ
    เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัย
    ของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความ
    เป็นบ้า เดือดร้อน ฯ

    จบสูตรที่ ๗

    ที่มา http://www.tteen.net/view.php?time=20041016113523
     
  4. พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ผมขอถามพี่ๆนอกเรื่องนิดนึงครับ
    ประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ช่วงนั้นติดเกมส์คอมหนัก เล่นวันล่ะ 20 ชม/วัน
    ไม่ค่อยได้นอน มีวันหนึ่งผมเข้านอน พอเอนตัวถึงหมอนก็หลับเลย มารู้สึกตัวอีกทีเหมือนตัวเองกำลังดิ่งตัวลงไปทางอุโมงสีดำมืดๆ เป็นทางลึกลงไป ตอนนั้นผมมีสติน่ะครับ แต่ว่าผมกลัวมากพยามนึกถึงพระพุทธเจ้า ดิ้นรนจะขึ้นมาข้างบนให้ได้ จากนั้นก็ตื่น ผมว่ามันไม่ใช่ฝันน่ะครับ เพราะผมรู้สึกตัว
    อยากถามพี่ๆว่า อุโมงสีดำนี้เป็นทางไปนรกใช่เปล่าครับ และทำไมผมถึงได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ เค้าจะเอาชีวิตผมไป หรือ จะพาผมไปดูนรกกันแน่อยากรู้ครับ
    ใครเคยเจอเหตุการณืแบบนี้ เล่าให้ฟังบ้างครับ
     
  5. เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เมื่อหลวงพ่อฤาษีฯฝึกเดินบนน้ำ

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->


    หลวงปู่ปาน โสนันโท


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)

    ในคืนหนึ่งฉันคิดว่า ถ้าฉันทำอะไรไม่ได้ ฉันจะลองฝึกเดินน้ำดู ว่ามันจะเป็นยังไงการเดินน้ำเดินท่า จะลองเดินน้ำดู แล้วก็ลองเดินกลางคืนดึก ๆ ฉันก็เริ่มใช้ปฐวีกสิณ กสิณดินเอาเข้ามาเพ่ง เพ่งจนกระทั่งปรากฏว่าน้ำในแก้วแข็ง จะเอานิ้วจิ้มลงไปตรงไหน น้ำมีสภาพเหมือนน้ำแข็งทุกอย่าง มันแข็งเป๋งเหมือนกับหิน ซ้อมอยู่อย่างนี้ ๓ คืน เมื่อ ๓ คืนแน่ใจแล้ว คืนหนึ่งตอนตี ๒ แล้วก็เดือน ๑๒ เสียด้วยนะ ​

    กำลังหนาวจัด ที่วัดบางนมโคนั่นมันด่านลม ลมหนาวพัดมาน้ำเป็นคลื่น ความหนาวเย็นสะท้าน ฉันก็เตรียมจะเดินน้ำ คิดว่าตอนนี้มันหนาวนี่ แล้วดึก ๆ อย่างนี้หลวงพ่อท่านคงจะไม่ออกไปนอกกุฏิ พระแก่คงจะไม่สู้กับความหนาว​

    ฉันนุ่งผ้าผืนเดียว เตรียมพร้อมที่จะลงน้ำ ไปนั่งอยู่ที่โป๊ะหน้าวัดแล้วก็เข้าปฐวีกสิณ ประเดี๋ยวเดียวอธิษฐานจิต เอานิ้วจิ้มลงไปในน้ำ ปรากฏว่าน้ำแข็ง ฉันแน่ใจว่าน้ำแข็งมันจะเดินได้แล้วฉันก็ก้าวลงจากโป๊ะ ตอนก้าวลงนี่แหละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย การคุมอารมณ์มันไม่ทรงสภาพ สมาธิมันเคลื่อน ​

    ตอนนี้เอง พอก้าวลงจากโป๊ะ ตัวมีน้ำหนักตัวทางต่ำมาก ลงตูมลงไปเลย ปรากฏว่าหัวมิดน้ำจมน้ำลงไป แล้วโผล่ขึ้นมารู้สึกว่ามันหนาวจัด แต่ว่าความอยากน่ะมันยังไม่ยับยั้ง มันยังไม่ยอมหนาว ตัวอยากด้วยอำนาจตัณหาน่ะ มันยังไม่ยอม มันยังอยากจะทำต่อไป พอขึ้นมาจากน้ำ นั่งอยู่บนโป๊ะ ​

    ปรากฏว่าหลวงพ่อปานยืนอยู่บนเขื่อนหน้าวัด ท่านร้องเรียกไปว่า ไอ้ลิงดำ นี่เอ็งจะแสดงฤทธิ์หรือยังไงนี่ จะมาเดินน้ำเรอะ ท่านถามอย่างนั้น ก็หนีกันไม่ได้แล้วนี่ ในเมื่อหนีไม่ได้มันก็ต้องยอมรับ ก็ยกมือประณมไหว้ท่านแล้วก็บอกว่า ผมจะเดินน้ำขอรับ​

    ท่านก็บอกว่าฉันห้ามแล้วไม่ใช่เรอะ ห้ามแกแล้วนาว่าอภิญญาน่ะแกทำไม่ได้ แต่ความจริงถ้าแกจะทำมันก็เป็นของไม่ยาก ทำได้ แต่ที่ฉันไม่ให้แกฝึก ให้แกฝึกในขั้นของวิชชา ๓ นี่ก็เพราะว่าแกมีพันธะอยู่กับคน​
    พระที่ได้อภิญญานี่น่ะ ได้อภิญญาแล้วจะอยู่กับคนไม่ได้ จะต้องเข้าป่า แต่แกนี่มีบริษัทมีบริวารมาก แกจะทรงอภิญญาไม่ได้ ในเมื่อทรงอภิญญาแล้ว เรื่องของอภิญญานี่น่ะ คนที่ยังเป็นโลกีย์วิสัย ยังมีอารมณ์ข้องอยู่ในกิเลส มันอดที่จะอวดดีไม่ได้ แต่ความจริงสิ่งที่จะอวดไม่ใช่อวดดี มันเป็นอวดเลว ​

    แต่ไอ้ความเลวนี่เราเข้าใจว่ามันเป็นความดี มันเป็นความผิด เพราะผิดพุทธพจน์ แต่ว่าไม่เป็นไร ในเมื่อเธอมีความปรารถนาฉันก็จะให้ทำ แต่ว่าทำได้คราวนี้คราวเดียวนะ ต่อไปห้ามทำ เพื่อเป็นการพิสูจน์อารมณ์สมาธิของเธอ เอาอย่างนี้ ตั้งอารมณ์ใหม่ เมื่อกี้นี้เธอทำผิด เพราะว่าเธอตั้งใจอธิษฐานให้แม่น้ำทั้งแม่น้ำเป็นน้ำแข็ง อย่างนี้มันผิดจากจริยามาก ถ้าน้ำเป็นน้ำแข็งทั้งแม่น้ำแล้วเรือแพสัญจรไปมาไม่ได้ การจราจรมันก็ติดขัด อย่างนี้มีโทษนะ เป็นการกลั่นแกล้งชาวบ้านเขา ถ้ากระไรก็ดีละก็ เธอเอาใหม่ ​

    เธอทำอย่างนี้ เธอตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอน้ำที่ข้าพเจ้าเหยียบไปนี่นะ เท้าของข้าพเจ้าเหยียบไปตรงไหนขอให้น้ำตรงนั้นแข็ง แล้วก็ควบคุมอารมณ์ให้ทรงอยู่ในอุปจารสมาธิ ในขั้นแรกเข้าปฐวีกสิณก่อน ให้ถึงฌาน ๔ ท่านเรียกตามภาษาพระว่าจตุตถฌาน แปลว่าฌาน ๔ มีอารมณ์เป็นอุเบกขาดีแล้ว คลายจิตลงมาสู่อุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานว่า น้ำที่ข้าพเจ้าเอาเท้าเหยียบไป จะเป็นตรงไหนก็ตาม ขอน้ำตรงนั้นจงแข็งเหมือนหินหรือไม่ก็เหมือนดินให้ข้าพเจ้าเดินไปได้โดยสะดวก แล้วก็เข้าฌาน ๔ ใหม่ แล้วคลายฌาน ๔ ออก เมื่อตั้งอารมณ์อยู่ในอุปจารสมาธิแล้วก็เดินไป แค่นี้ทำได้ไม่ยาก ​

    เรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องไม่ยาก ความจริงเธอมีความสามารถพอจะทำได้ แต่ว่ามันไม่ใช่วิสัยของเธอควรทำ ฉันจึงห้าม เธอไม่ต้องวิตกกังวล ผลใดก็ตามที่เธอมีความปรารถนา ผลนั้นจะมีความสำเร็จกับเธอ เมื่อเธอผ่านการบวชไปแล้ว ๒๖ พรรษา เรื่องการเอาดีเอาพระอภิญญาไปอวดชาวบ้านอย่านึกว่ามันเป็นของดี ถ้าชาวบ้านเขารู้ว่าเธอทำได้เขาจะขอให้เธอทำ แล้วในที่สุดเธอก็จะเหน็ดเหนื่อย

    ถ้าเธอไม่ทำให้กับบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนั้นก็จะพากันว่าพากันนินทา พากันพูดเสียดสี หนักเข้า ๆ อารมณ์จิตของเธอก็จะไม่ดีตกอยู่ในอำนาจของโทสะ ฌานต่าง ๆ มันก็จะเสื่อม หรือว่าถ้าหากว่าฌานไม่เสื่อม คนก็จะติดในฤทธิ์ ในเมื่อคนติดในฤทธิ์เสียแล้ว พระอื่นแสดงฤทธิ์ไม่ได้ คนเขาก็ไม่เลื่อมใส แล้วคนที่ติดในฤทธิ์ทั้งหมดก็ไม่ต้องการบุญต้องการกุศล ต้องการอย่างเดียวคือให้พระแสดงฤทธิ์ให้ดู อย่างนี้ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะเสื่อม

    อาการอย่างนี้ปิณโฑลภารทวาชะทำมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้า ที่เหาะไปเอาบาตรแก่นจันทร์ พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เพราะว่า ชาวบ้านที่ไม่เคยเห็นการเหาะมาดูการเหาะกันทุกคน ต่างก็พากันอยากจะเห็นพระเหาะ เพราะไม่เคยเห็นเลย เมื่อคนนี้ได้ดูแล้ว คนอื่นยังไม่ได้ดูก็ขอดูใหม่ เมื่อท่านปิณโฑลภารทวาชะไม่เหาะให้ดู ก็ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อว่าต่อขาน จนกระทั่งท่านรำคาญท่านก็ต้องเหาะให้ดู เป็นอันว่าการเหาะของท่านปิณโฑลภารทวาชะต้องเหาะกันทุกวัน วันละหลายครั้ง เพราะชาวบ้านรู้ถึงไหนก็มาถึงนั่น การเห็นคนเหาะมันเห็นยาก ไม่มีใครเขาทำให้เห็น

    เมื่อปรากฏว่าคนทำได้เข้าก็อยากดูกันใหญ่ ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็เรียกท่านปิณโฑลภารทวาชะมาติเตียนต่าง ๆ แล้วก็มีพระพุทธบัญญัติตรัสห้ามว่า ต่อแต่นี้ไป พระองค์ใดก็ตามจะแสดงปาฏิหาริย์จะต้องได้รับอนุญาตจากพระองค์เสียก่อน ถ้าใครไม่ได้รับอนุญาตจากพระองค์แล้วแสดงปาฏิหาริย์ พระองค์ทรงปรับเป็นโทษ เรียกว่ามีความผิดตามพระวินัย นี่เรื่องมันใหญ่ เธอจำไว้นะ เธอเรียนมาแล้ว เธอพบแล้วน่าจะจำ แต่เอาเถอะ ในเมื่อกิเลสตัณหามันยังบังคับใจเธออยู่ เธออยากจะทำก็จงทำ เอ้า ทำได้แล้ว

    ท่านบอกให้ฉันทำ ฉันก็ทำ ในเมื่ออธิษฐานตามท่านมันไม่ยาก ท่านบอกให้เข้าฌาน ๔ ฉันก็เข้าปุ๊บ เข้าปุ๊บ แป๊บเดียวมันไม่ถึงครึ่งวินาที มันก็ได้ฌาน ๔ เป็นของง่ายไม่ใช่ของยาก จะว่าเป็นของกล้วย ๆ ก็ได้ กล้วยก็กล้วยสุกไม่ใช่กล้วยดิบ เมื่อเข้าฌาน ๔ สบายใจถอยจิตออกมาถึงอุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานตามที่ท่านบอกว่าน้ำตรงไหนที่ข้าพเจ้าเหยียบลงไป ขอน้ำตรงนั้นจงแข็งเหมือนดิน แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ เข้าปุ๊บเดียวก็ถึง เมื่อออกจากฌาน ๔ แล้วก็ตั้งจิตอยู่ในอุปจารสมาธิ อธิษฐานใหม่ว่าน้ำที่ข้าพเจ้าเหยียบจงแข็ง เหยียบลงตรงไหนตรงนั้นจงแข็ง แล้วหลวงพ่อปานก็มีบัญชาบอก เอ้า เดินได้ เพียงเท่านั้นฉันก็เดินน้ำเล่นได้ตามสบาย หลวงพ่อปานบอกว่า ทรงกำลังใจไว้ให้ดีนะ ฉันจะกลับไปนอน แกเดินตามสบายเถอะ จะเดินสักกี่ชั่วโมงก็ได้ เท่านี้แหละอภิญญาเป็นของไม่ยาก ฉันก็เดินเล่นทั้ง ๆ ที่อากาศหนาว ตัวก็เปียก แต่จิตมันอยากนี่ ความครึ้มใจมันมี มันก็เลยไม่หนาว เดินอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ๆ มันก็ถึงตี ๔ กว่า ๆ เพราะเขาตีระฆัง ก็เกรงว่าพระจะมาเห็นเข้า ก็เลยเลิกกลับมาที่นอน ผลัดผ้าผลัดผ่อน นุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิ เข้าเจริญพระกรรมฐานตามเวลาปกติ คืนนั้นเลยไม่ต้องได้นอนกัน


    เป็นอันว่าเรื่องการเจริญอภิญญาของฉันคือเดินน้ำก็หมดไป นี่ลูกหลานฟังไว้นะ เมื่อฟังแล้วก็จงจำว่า เรื่องของความอยากนี่มันไม่ใช่ของดี มันไม่มีอะไรจะดีหรอก ความอยากนอกรีตนอกรอยนี่นะไม่ดี เข้าใจว่าการเจริญอภิญญาดี​

    ถ้ามันเป็นวิสัยของเรา เราได้ง่าย ๆ มันก็ดี ถ้ารู้สึกว่าจะได้ยากเราก็คิดว่าอภิญญานี่น่ะไม่ใช่อรหัตผล แล้วอภิญญาไม่ใช่พระโสดา สกิทาคา อนาคา อภิญญาก็คือโลกีย์ญาณ ถึงแม้ว่าจะได้สักเท่าไรก็ตามที จิตก็ยังตกอยู่ในอำนาจกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม ถ้าหากว่าเราทำได้ยาก เราก็หาโอกาสแบบนี้ดีกว่า หาโอกาสทำอย่างอื่น คือ เจริญวิปัสสนาญาณให้สามารถตัดสังโยชน์ ๓ ประการ ได้เป็นพระโสดาบันแทน ​

    หรือว่าเป็นพระสกิทาคามีแทน หรือเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ เอายังงั้นเลยดีกว่า นี่ทำยากนา ถ้าทำได้ง่าย ๆ คือเป็นวิสัยของเราละก็ทำเถอะ ไม่เป็นไร เพราะการได้อภิญญานี่เป็นการช่วยให้การบรรลุมรรคผลสำเร็จได้โดยง่าย ​

    ถ้าเราไม่เมาอภิญญา แต่ว่าเราได้อภิญญาแล้วเมาอภิญญาอย่างท่านพระเทวทัตไม่ดีเหมือนกัน ชวนลงนรก เรื่องนี้ขอผ่านไปไม่มีอะไรหนัก นี่เล่าให้ฟังเท่านั้น​


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)


    ที่มา : หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และ
    http://thaisquare.com/Dhamma/book/pr...n/content.html#
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  6. เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ที่เล่ามาเป็นอาการของคนใกล้ตายครับ ผมเคยอ่านบทความของคุณ "ดังตฤณ" ท่านกล่าวเอาไว้ดังนี้ครับ

    ผู้เคยเฉียดความตายจะเห็นและกลับมาเล่าว่า ตนกำลังเข้าสู่อุโมงค์ ผู้มีตาทิพย์ที่มองจากภายนอก เห็นเข้ามาในภาวะการตายเท่านั้น จึงหยั่งทราบว่าแท้จริงเป็นการปั่นตัวของจุติจิต ซึ่งถ้าเคลื่อนจริง ถึงภพใหม่จริงแล้ว จะไม่มีวันกลับมาเข้าร่างเก่าได้เลย ที่ยังกลับได้ก็เพราะอยู่ในภาวะครึ่งๆกลางๆ หรือเรียกครึ่งผีครึ่งคนเท่านั้น

    วิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือนแก้วเคลื่อนเข้าหาปลายทางทิพยา จิตหมุนติ้วในภาวะปฏิสนธิ ยังเหมือนอยู่ในเกลียวอุโมงค์ แต่กลับฟากมุมมองกันกับคราวแรก คือครั้งนี้เป็นมุมมองย้อนลงต่ำ ปราศจากอุปสรรคและเหตุให้ย้อนกลับใดๆ ถัดจากนั้นทุกอย่างก็สงัดนิ่ง ปราศจากความรับรู้เป็นครู่ เหมือนสลบไสลชั่ววูบ กระบวนการทั้งหมดดำเนินด้วยวิถีธรรมชาติ ไม่ขึ้นกับความคิด ความเชื่อทางศาสนาไหน

    อ่านเรื่อง "จิตก่อนตายนำไปเกิด" เพิ่มเติมได้ที่
    http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/006560.htm
     
  7. พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ขอบคุณคับพี่เกษม เหมือนที่บอกเลย ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหมุนติ้วๆลงไปในอุโมง กลัวมากคับ ดีที่ไม่ตาย แหะๆ เจอแบบนี้มา 2ครั้งแล้ว และไม่อยากมีครั้งต่อไปแล้วครับ
     
  8. piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    น้องกร เคยฟังหลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่า ไหม ตอนที่ท่านบอกว่ามีชาวบ้านมาขอคำแนะนำเรื่องการเลี้ยงปลาอย่างไรปลาถึงจะขายได้ราคาดีๆ
    ท่านเห็นว่ามันไม่ใช่กิจเลยไม่ตอบ
    เท่าที่จำได้ท่านได้เล่าว่า ท่านเดินไปในอุโมงแคบๆมืดแล้วสุดท้ายไปติดอยู่ที่หนึ่งประตูปิดเลยไปต่อไม่ได้ เหตุเพราะไม่ได้แนะนำอะไรกับชาวบ้านที่ถามประตูนรกเลยปิด
     
  9. เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เรื่องอุโมงค์มืด

    เราก็เคยนะ ฝัน หรือ นิมิต ไม่รู้นะ แปลกันเอาเอง เริ่มจากตกดึกเหมือนจะตื่น แต่ดันลุกมาโดยเห็นตัวเองนอนอยู่ เลยเอาละวะ สงสัยได้เล่นของ เลยตั้งจิตไปหาแฟน ก็เข้าไปห้องนอนแฟนเห็นเธอหลับ เออก็แปลกดี เพราะเหมือนทะลุประตูเข้าไป หลังจากนั้นก็ชักมัน คิดถึงสวรรค์ขึ้นมา ก็แวปไป ลอยผ่านขึ้นข้างบน ก็มาหยุดอยู่ที่โล่งสีฟ้ากลางอากาศ ไม่เห็นอะไร นอกจากดวงอะไรไม่รู้สองดวงลอยอยู่ห่างๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้น ก็เลยนึกถึง นรก บ้าง แล้วก็แว็บลงมาเลยนะ

    คราวนี้แหละเป็นอุโมงค์ เดินไปเรื่อยๆได้ จนมาถึงเหมือนจะหน้าประตู จะเข้าไปก็เข้าไม่ได้ เหมือนเขาไม่เปิดรับ ไม่ให้เข้า ไม่ให้เห็น

    ก็เลย น้อมใจ กลับมาข้างบน ก็มาเจออุบาสิกา เขาก็ชวนสวดมนต์ จบแล้วแทนที่จะแผ่เมตตา กลับกล่าวนำแช่งชักหักกระดูกคน เราก็เลยถอยออกมา ก็ไปเจอ อุบาสก เขาก็ชวนสวดมนต์ สวดเสร็จก็แผ่เมตตา แล้วก็แยกย้าย กลับบ้าน ( ตี 5 )

    ก็เล่าเล่นๆนะ ฝันจริงๆ แต่ไม่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงนะ เห็นถามว่า อุโมงค์ ใช่นรกไหม ก็เทียบจากเราน้อมจิตคิดถึงนรก มันก็ลงไปอุโมงค์ แต่ไม่ยักรู้นะว่า อาจเป็นเรื่องถึงคราวจะจุติ เสียวนะนั้น แต่ที่ว่า เป็นเพราะไม่แนะนำทางสว่าง ก็ทำให้สังวรณ์ดี

    ถามว่า ได้อะไรจาก นิมิต นี้ ก็ สวรรค์ก็ทุกข์นะ ขึ้นสูงไปนี้นิ่งๆเลยนะ นรกก็แย่นะ แค่ประตูก็มืดแล้ว หดหู่แล้ว กลับมาบนโลกมนุษย์นี้ดีนะ มีกัลยาณมิตร แต่มีทั้งแปลก และไม่แปลกนะ ต้องหมั่นพิจารณานะ
     
  10. พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ขอบคุณน่ะครับพี่ๆที่ช่วยตอบคำถามครับ จากนี้ก็จะทำความดีต่อๆไปครับ
     
  11. marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,634
    เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2550 ผมเดินทางไปวัดท่าซุง เพื่อร่วมพิธีบวชธุดงควัตร ออกจากบ้านเวลา 03.30 น.คิดว่าอาจจะไม่ทัน 06.00 น.จึงท่องคำว่า "วาโยกสิณัง" ขณะขับรถปรากฏไปถึงวัดท่าซุง ทันก่อนพิธีบวช ตอนกลับบ้านยิ่งแปลกกว่าตอนไป หลังจากไปส่งหลวงพี่ตั้ม ออกจากวัดท่าซุงเวลา 16.30 น.ท่อง วาโยกสิณัง ปรากฏว่า 1 ชม.เท่านั้นไปถึง อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี โดยที่ผมและแฟนไม่เห็นเลยว่าเราขับรถผ่านตัว จ.ชัยนาทตอนไหน มารู้ตอนเลี้ยวไปสุพรรณบุรีแล้ว แปลกใจทำไมมาถึงสุพรรณบุรี โดยไม่ผ่านเส้นทางเดิมเหมือนตอนไป ทำให้งงทั้ง 2 คนเลยเรา
     
  12. ยาล้างตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2007
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +3,539
    เป็นเพราะกสิน หรือเพื่อน UFO ของเรา ทดสอบระบบ หรือเปล่าครับ : )
     
  13. kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เพราะกสิณครับ อย่าลืมว่าตอนนี้คุณมารีนได้ทรงลมสบายในระดับลมหายใจหายไปเป็นปกติแล้ว(ฌานสี่) ตัวต้องการไปให้เร็ว ไปให้ทันเป็นตัวอธิฐาน จากนั้นก็จับลม(ที่หายไป ) และภาวนาไปเรื่อยๆ ดังนั้นด้วยอำนาจของกสิณครับ

    ก้าวหน้าในการปฏิบัติขอโมทนาด้วยครับ

    อีกทีต้องลองเทียบไมล์กับน้ำมันรถที่ใช้ด้วยครับ ว่าขาไป ขากลับเที่ยวนี้กับสมัยก่อนต่างกันไหม
     
  14. Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    เรื่อง...กสินวิญญาณของในหลวง


    เป็นการสนทนากันระหว่าง หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) และในหลวง ในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องสงเคราะห์ช่วยเหลือคนและที่ขาดไม่ได้คือเรื่องธรรมะ ในระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นี้ตอนหนึ่งเรื่องกรรมฐาน สำหรับเรื่อง "กสิน"


    ในหลวง : หลวงพ่อบันทึกเสียงมาให้ผมคาสเซ็ทเดียว กสิน ๑๐ อย่าง คาสเซ็ทเดียว


    หลวงพ่อ : ถ้าทำได้อย่างเดียว อย่างอื่นทำได้หมด

    ในหลวง : แต่ว่า กสินวิญญาณ หลวงพ่อไม่ได้บอกมาด้วย






    ล่อกสินวิญญาณ เข้าให้ มันมีในแบบที่ไหนล่ะ(หัวเราะ) ไม่มีในแบบ ของท่านมี เอ้อ...แปลกจริงเหมือนกัน เราก็นั่งฟัง ถามมันเป็นอย่างไร กสินวิญญาณ นี่ไม่มี เมื่อวานมวยวัดเลยไม่รู้ใครเป็นใคร ท่านไม่ชอบใช้ราชาศัพท์

    ท่านบอกว่าคุยบอกลูกทุ่งๆ สบายก็มีกันแค่สองคน เมื่อวานไม่มีใครขัดคอกันเลย ปิดประตูคุยกัน เพราะว่าตอนที่ไปภูพิงค์ ท่านให้นั่งไม่มีที่พิง ใช่ไหม ต่างคนต่างนั่งพรมคนละผืน ไม่มีที่พิง เราออกมาเราก็บ่น ไอ้ภูพิงค์นี่มันพิงแต่ภู (หัวเราะ)



    เข้าไปไม่มีที่พิงเลย พวกชาววังเขาออกมา เราก็บ่นเข้าไปอีก เมื่อวานนี้มีที่พิง สวนจิตร มีที่พิง มีที่พิงให้ มีเบาะสูงกว่าพระองค์ประทับหน่อยนะ แล้วเขาจัดมีทั้งหมากทั้งน้ำร้อน มีน้ำชาแล้วก็มีน้ำเย็น แต่ไม่มีเวลากินเลย พอจ้อก็ตั้งตัวไม่ติดเลย (หัวเราะ)

    โอ้โฮ! พูดถี่ยิบ ใครบอกพระเจ้าแผ่นดินพูดช้า ที่ไหนได้ โฮ้! ตามลำพัง ล่อกันถนัด เมื่อวานออกมาเหนื่อยแฮ่กเลย นี่ความจริงปล่อยให้ท่านชกคนเดียวตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วนะ

    เมื่อกี้เล่าถึงอะไร (พุทธบริษัทตอบ กสินวิญญาณ) เออ..ใช่! จะลืม จะไหลไปเสียแล้วนะ กสินวิญญาณ ท่านก็ตรัสถามว่า "หลวงพ่อทำมาคาสเซ็ทเดียว ทำไมกสินวิญญาณ ไม่บอก?" เราเอ๊ะ! กสินวิญญาณ มันมีที่ไหนเรียนมาเยอะแล้ว ไม่เจอะ กสินวิญญาณก็นั่งนึก ก็เลยถามท่าน บอก"พระมหาบพิตรตรัส มันเป็นอย่างไร? กสินวิญญาณ" ท่านก็บอกว่าแหม..ท่านละเอียดมากนะ เรื่องธรรมมะละเอียด ละเอียดจัด เรียกว่าพระที่คุยมาแล้วด้วกัน

    ที่ผ่านพระมาแล้ว อาตมากล้าพูดว่าหลายพันองค์ที่สัมผัสมาแล้วเรื่องปฏิบัติ นักเทศน์ไม่มีความสำคัญนะ นักปฏบัติก็มีนะที่ว่าพระหลอกๆ ไม่ใช่หมายถึงเขาเลว หมายถึงว่า"สมมติสงฆ์"ใช่ไหม พระที่ยังไม่ถึงพระโสดาบันจะเป็นขั้นไหนก็ตาม แก่แค่ไหนก็ตาม พระพุทธเจ้ายังไม่เรียกว่าพระ เรียกว่า "สมมติสงฆ์" ถ้าหากตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปท่านจึงจะเรียกได้

    นี่เคยสัมผัสกับพวกนี้มาเป็นร้อย ไม่ใช่เป็นของดี แล้วก็ยังไม่เคยมีใครพูดเรื่องกสินวิญญาณ ไอ้เราก็อ่านพระไตรปิฎกก็ไม่มีจะนึก เอ๊ะ! พระอรหันต์รุ่นนั้นน่ากลัวจะบันทึกตก(หัวเราะ) ก็เลยถามอาการ

    พระองค์ก็ทรงอธิบายว่า "สมมติว่าผมจะจับภาพกสิน คือภาพอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่จิตนึกอย่างพระพุทธรูปตั้งอยู่ข้างหน้านี่" ท่านก็ชี้ไปจุดใดจุดหนึ่ง เมื่อวานนี้ฉันออกท่ากันนะ

    ต่างคนต่างออกท่ารำกันไปในตัวเสร็จไม่ใช่ร้องอย่างเดียว ว่ากันเต็มที่ เพราะไม่มีใครขัดคอ เป็นห้องส่วนพระองค์ ปิดประตูเลย ปิดประตูลงกลอนเองเลย

    ชี้ไปที่พระพุทธรูป "อย่างผมนึกไปที่พระพุทธรูป ไอ้กระแสจิตนี่มันออกไปหาพระพุทธรูปที่มันยังไม่ถึง ไม่เอาเป็นองค์ อันนี้เขาเรียกว่าวิญญาณใช่ไหม?"

    บอกใช่! เอาเข้าแล้ว ตัวนี้เรียกกสินใช่ไหม บอกเขาไม่เรียกกสิน ที่พระมหาบพิตรบอก กสินวิญญาณ อาตมางงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้เรื่องเลย ท่านก็บอก "เขาเรียกว่าอะไรหรือครับ" หลวงพ่อ"เขาเรียกว่าวิญญาณัญจายตนฌาน" เป็นอรูปฌาน มันเลยกสินไปแล้ว...

    ต้องมีกสินเป็นภาคพื้นแล้วก็จึงใช้ตัวนี้ได้ บอก อ้อ...เล่นเราเกือบแย่หาว่าไม่บอก ท่านบอก บันทึกคาสเซ็ทไม่เห็นมี กสินวิญญาณ ไอ้เราก็งงติ้วเลย

    นี่ท่านเลยบอกถ้าจะจำอันนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ ก็เลยบอก เขาเรียกว่า

    "วิญญาณัญจายตนฌาน" เป็น "อรูฌาน" แต่ภาคพื้นจริงๆ ต้องมาจากกสินก่อน ถ้าเราจับกสินถึงฌาน ๔ แล้วค่อยมาจับวิญญาณ แต่ความจริงเขาจะไม่จับวิญญาณก่อน จะต้องจับอากาสก่อน ที่เรียกว่า "อากาสานัญจายตนฌาน"

    ไอ้ อากาสานัญจายตนฌาน แล้วก็เพิกทิ้งไป แล้วก็จับกสินเข้ามาอีก ให้จิตตั้งฌาน ๔ ต่อไปก็จับวิญญาณัญจายตนฌาน หลังจากนั้นเมื่อจับได้แล้วก็ทิ้งไป จับกสินขึ้นมาให้ทรงตัว ก็มาจับ อากิญจัญญายตนฌาน ที่เรียกว่าไม่มีอะไรเลย โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ หลังจากนันก็ทิ้งไป ก็จับ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เป็นอรูปขั้นที่ ๔ เรียกว่าครบ "สมาบัติ ๘" อีตอนนี้ท่านก็งงบ้าง แล้วต่อไป ก็ผลัดกันงง...

    เอ...นี่ผมไม่รู้หรอก บอกมีคาสเซ็ท มีมาให้แล้ว เรื่องสมาบัติ ๘ ผมยังไม่ได้ฟังเลย เอาเข้าแล้ว ท่านจะไม่เอา ผลัดกัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ก็เลยอธิบาย(เหตุผลที่)ถวายพอสมควร

    เมื่อถวายไปพอสมควรแล้วก็เรื่องนี้มา เรื่องกรรมฐานนี่นะว่ากันยาวเหยียด ว่าไปว่ามา อาตมานี่ขามันไม่ดีอยู่ข้าง ไอ้ขาขวานี่
    เวลานี้ขัดสมาธิไม่ได้นาน พับเพียบก็ไม่ได้นาน แต่ของท่านวางแป๊ะไปด้านซ้าย ท่านอยู่ตลอด ไม่ขยับเลยเก่งจริงๆ ๕ ชั่วโมงครึ่งนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยแล้วไม่เคยขยับเขยื้อนแสดงอาการเมื่อย สู้! ถ้าเป็นมวยก็สู้เราไม่ได้ เราเป็นมวยแย๊บ เดี๋ยวพลิกซ้าย เดี๋ยวก็พลิกขวา(หัวเราะ) ท่านสู่เราไม่ได้ เด็ด อีท่าห่วย สู้เราไม่ได้ เรียกท่าห่วย..ใช่ไหม...
     
  15. piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    ยืดระยะทางพอทำได้ครับไม่ยาก ย่นระยะทางนี่ทำไม่ได้
    มีหลายครั้งที่หลุดปากบอกเพื่อนว่าจะไปถึงเวลานั้นแล้วไปถึงเวลานั้นจริงๆ

    เช่นมีครั้งหนึ่งไปทำงานให้บริษัท เดินทางจากพนมสารคามกลับระยอง มีชาวจีนท่านหนึ่งที่เดินทางไปด้วยถามผมว่าจะถึงกี่โมง ผมก็ตอบไปว่า 4 โมงเย็น
    ปรากฏว่า รถที่ไปด้วยกันสองคัน คันแรกเขาไปถึงก่อน คือน่าจะถึง 15.45 น ได้ แต่คันที่ผมนั่งไป ก็ไปถึง 16.00 น พอดี ช้าไปกว่าเขา แต่ตรงตามที่บอกไว้เป๊ะ เพื่อนชาวจีนก็บอกว่ารู้ได้ไง นี่ ตรงตามที่บอกเลย แหม จะรู้ไหมนี่ 555 ขำดี
     
  16. piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    ครั้งที่ขี่จยย.ไปปรียนันท์ขากลับระยองนั้น ผบทบ.โทรถามในขณะกำลังเดินทางพอดี
    ว่าจะถึงกี่โมง
    จึงตอบไปว่า สองทุ่ม ปรากฏว่าถึงหน้าบ้าน สองทุ่มพอดี
    ท่าน ผบทบ.ก็แซวว่าตรงเวลาดีนะ อือ แล้วถ้าไม่ตรงนี่จะมีเรื่องไหมหนอ 5555
     
  17. เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193


    อยากจะได้อภิญญาหก

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>"กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้มาฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลม แล้วปรากฏว่าชัดเจนแจ่มใสดีเป็นอย่างมาก แต่ว่าความโลภของลูกอีกสิ มันอยากจะได้ให้ดีกว่านั้น วงเล็บ คือ อยากจะได้อภิญญาหก วันหนึ่งลูกขึ้นไปพบพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ท่านบอกว่าเคยเป็นพ่อของลูกมาช้านาน ท่านสอนกสิณทั้ง ๑๐ กองในเวลาเดียวกัน แล้วบอกว่าเอ็งต้องใช้เตโชกสิณ จะได้ดีเป็นอย่างมาก ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่าถ้าลูกฝึกเหมือนอย่างข้างบน โดยฝึกข้างล่างอย่างนี้แล้ว ชาตินี้จะมีโอกาสได้อภิญญาหกหรือเปล่าครับ?"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"เป็นยังไงฝึกข้างบนฝึกข้างล่าง ฝึกข้างล่างเป็นไง ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสมา ทำตามนั้นนะ อย่าถามคนอื่น.."

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>ผู้ถาม : <TD>"หลวงพ่อครับ ฆราวาสนี่มีสิทธิ์ได้อภิญญาหกหรือครับ?"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"โอ๊ย! เยอะแยะไป อภิญญหกนั่นหมายความว่า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เรียกอภิญญาหก ถ้าอภิญญาฌานโลกีย์แค่อภิญญาห้า ใช่ไหม..."อาสวขยญาณ" นั่นคือ ตัดกิเลสได้พระโสดาบันขึ้นไป ถือว่าตัด!"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>ผู้ถาม : <TD>"งั้นคนที่ถามนี่ก็มีสิทธิ์สิครับ"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ :
    <TD>"ก็ต้องทำตามท่านสั่ง อย่าเบี้ยว! การฝึกอภิญญาต้องใช้ความกล้าและบ้ามาก ๆ คือ เอาจริงเอาจัง ไม่เหลาะแหละจึงจะได้ผล สมัยก่อนพระอภิญญามีเยอะ ปัจจุบันก็เยอะแต่ท่านอยู่ในป่า แต่ก็ระวังให้ดี! ได้อภิญญาแล้วยังไม่ตัดกิเลสก็มีสิทธิ์ไปนรกได้ เช่น พระเทวทัต

    "วิธีตัดกิเลส" คือ ต้องตัดสังโยชน์ขั้นแรกคือ สังโยชน์ ๓ เป็นพระโสดาบันและพระสกิทาคามี"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ฝันว่าเหาะได้

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>"ภาวนา สัมปจิตฉามิ แล้วหลับไป ปรากฏว่า ฝันว่าเหาะได้เสมอ ๆ อย่างนี้แสดงว่า ในอนาคตจะได้อภิญญาหรือเปล่าคะ..?</B>"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"ปัจจุบันนี้ก็ได้แล้วนะ... อภิญญาต้องใช้เวลาหลับ แต่ความจริงฝันว่าเหาะได้ ถ้าเอาความฝันนะ เขาถือว่างานที่ต้องการนั้นสำเร็จผล แต่ถ้าฝันว่าเหาะได้ ความจริงกำลังใจเริ่มดีแล้ว ทำไปเรื่อย ๆ นะ"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>ผู้ถาม : <TD>"ที่ในหนังสือ ธัมมวิโมกข์ เขียนไว้บอกว่า ถ้าภาวนาไปเรื่อย ๆ วันละ ๑ ชั่วโมง จะมีผลคล้ายอภิญญา"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"คือท่านเจ้าของท่านบอกอย่างนั้น คาถาบทนี้ไปได้ที่ นิวซีแลนด์ นอนอยู่ที่ เมืองควีนทาวน์ ท่านบอกให้ ท่านบอกว่าเป็นคาถาของอภิญญา ใครเขากลั่นแกล้งเราด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม เขาได้รับผลนั้นโดยฉับพลัน ถ้ากำลังใจดีนะ
    แล้วท่านบอกว่าใช้กำลังเรื่อย ๆ ไปวันหนึ่งประมาณ ๑ ชั่วโมง นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ทำเรื่อย ๆ ไป พอถึงที่สุดก็เหาะได้ ไม่ใช่ลอยเฉย ๆ นะ เหาะนี่ต้องการจะไปไหนมันไปได้ ถ้าลอยดีไม่ดีหล่นตุ๊บ! ข้างทาง ลอยก็เหมือนเขาจับโยน จะลงที่ไหนบังคับไม่ได้ ถ้าเหาะนี่เราบังคับได้
    ถ้าเหาะได้เมื่อไร อภิญญาทั้ง ๑๐ เข้าครบถ้วนเมื่อนั้น ไม่ใช่ได้แต่เหาะอย่างเดียว "สัมปจิตฉามิ" เป็นคาถาอภิญญารวม นั่นหมายความว่า คนนั้นต้องได้อภิญญาในชาติก่อน เอามารวมใช้นั่นเอง แบบนะมะพะธะ นี่ก็เป็นมโนมยิทธิรวมเหมือนกัน เป็นอภิญญาเล็กรวม ถ้าไม่เคยได้มาก่อนนั้นต้องฝึกกสิณ ๑๐ ให้คล่องตัว แล้วมาฝึกอภิญญาใหม่ ทีนี้เราไม่ต้องใช้ เพราะเคยฝึกได้ในชาติก่อน ก็เอามารวมใช้ทีเดียว ค่อย ๆ เรียกมา อย่างอภิญญาใหญ่ก็เหมือนกัน แสดงว่า คนเริ่มมีกำลังใจเข้มแข็งขึ้น ท่านจึงให้คาถาบทนี้"
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สัมปจิตฉามิ

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>"เวลาท่องคาถา "สัมปจิตฉามิ" ท่องไปไม่เกิน ๑๐ ครั้ง มีความรู้สึกว่าเงียบหายไปทุกที เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ทำใหม่ก็ปรากฏว่าเป็นอย่างนี้อีก ก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร และจะแก้ไขอย่างไรดีเจ้าคะ..?"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"เป็นเพราะมันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องแก้ไขอย่างไร ก็ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะจิตเข้าถึงฌานที่ ๒ ขึ้นไป ตอนที่ภาวนาอยู่ จิตอยู่ที่ฌาน ๑ พอจิตเข้าถึงฌานที่ ๒ ก็ตัดภาวนา อันนี้ดีมากนะ ไม่ใช่เลว เก่ง! คนนี้ต้องถือว่าเก่งมาก เข้าถึงฌาน ๒ ตัวไม่ภาวนาคือ ฌาน ๒ , ๓ , ๔ นี่ไม่ภาวนา ให้มันตัดเองนะ เราอย่าไปช่วยตัดเข้า อย่างนี้ดีมาก ปล่อยตามนั้นนะ ทำจิตเป็นฌานไม่ช้าจะเป็นผลในที่สุด ยังไงจะไปวัดท่าซุงไม่ต้องใช้รถก็ได้ ถ้าถึงที่สุด.."

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>ผู้ถาม : <TD>"ไปได้หรือครับ?"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"ได้แน่! อันนี้ตรงเป๋ง!"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>ผู้ถาม : <TD>"แหม..ได้ตอนนี้ก็ดี น้ำมงน้ำมันแพง แป๊บเดียวถึง..."

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"ถ้าถึงขั้นนั้น อภิญญาเข้าทั้งหมด ถือว่าเป็นคาถาอภิญญาของท่าน ถ้าทำถึงจุดปลายทางนะคือ อภิญญาห้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปเป็นอภิญญาหก นี่ท่านมาแนะนำให้ อย่างพวกเราเคยผ่านมาแล้ว เป็นของสำหรับคนที่ได้มาแล้วจึงจะมีผล คนที่ทำไปเรื่อย ๆ ตามนั้นนะ แล้วอย่าอยากนึกได้อภิญญานะ ตัวฟุ้งซ่านนะ นึกเอ๊ะ! กูจะเหาะล่ะวะ ๆ เลยอดเหาะเลย.."

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>ผู้ถาม : <TD>"เกิดเหาะไปวัดท่าซุงได้ แต่กลับไม่ได้ล่ะครับ?"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"ถ้าเหาะนี่ต้องไปได้มาได้ ไม่ใช่ปีติ ถ้าอุพเพงคาปีติ ลอยไปที่ใดที่หนึ่ง ปีติเคลื่อนมาไม่ได้ แต่อันนี้มันบังคับได้เลย ตามใจชอบ ดีไม่ดีไปโลกอังคาร พระศุกร์ พระเสาร์ แข่งกับฝรั่ง ฝรั่งลงทุนมาก เราไม่ต้องลงทุนเลย บางครั้งเผลอไม่ทันจุดธูป แป๊บเดียวถึง"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>ผู้ถาม : <TD>"ข้างในไปหรือข้างนอกไป หรือไปทั้งข้างในข้างนอกครับ?"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"อันนี้ไปได้หมด ขี้เข้อไปหมด ตัวนี้อภิญญาใหญ่ นี่คาถาอภิญญาใหญ่นะ สำหรับคนที่ได้มาในชาติก่อน อภิญญาใหญ่ถ้าหากคนที่ไม่ได้มาในชาติก่อน ต้องเริ่มด้วยกสิณ ๑๐ อันนี้สำหรับคนที่เคยได้มาแล้วนะ.."</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ทำยุบหนอฝึกอภิญญา

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>"ผู้ที่เจริญกรรมฐานแบบยุบหนอพองหนอ เขาจะมีโอกาสได้อภิญญาหรือไม่ครับ?"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"ทำไมจะไม่ได้ "หนอ ๆ " นี่อย่าลืมว่าเขาอานาปานุสสตินะ เป็นแม่บทใหญ่ของกรรมฐาน ต้องการให้อภิญญา ถ้าหากว่าสมาธิเข้าถึงฌาน ๔ แล้วก็หลบอารมณ์นิดหนึ่ง เข้าไปจับองค์ของกสิณ นี่หมายถึงไม่เคยฝึกอภิญญามาก่อน ถ้าหากว่าคนนี้เคยฝึกอภิญญามาก่อน ถ้าจิตเข้าถึงฌาน ๔ อภิญญาจะเข้าทันที ต้องฌาน ๔ ทรงตัว นั่นหมายความว่า ฌาน ๔ ต้องการทำเมื่อไรก็ได้ ออกฌานเมื่อไรก็ได้ อย่างนี้อภิญญาก็เข้าเลย ไม่ต้องฝึกอภิญญานี่หมายความว่าต้องได้มาในชาติก่อนนะ ถ้าไม่ได้มาในชาติก่อนก็ต้องฝึกกันใหม่ ฝึกอานาปาแล้วก็ต่อด้วยกสิณ ๑๐ อย่าง"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>ผู้ถาม : <TD>"อย่างนั้นที่ลูกศิษย์หลวงพ่อมาฝึกปุ๊บได้แป๊บนี่ก็เพราะ..."

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"นั่นเขาเคยได้มาก่อน ที่เราฝึกนี่เราฝึกคนที่ได้มาก่อนต่างหากล่ะ ได้จนมีการคล่องตัวแล้ว แบบคนที่มีการอ่านหนังสือคล่องแคล่ว ส่งเข้าป่า ๓๐ ปี ไม่มีหนังสือเลย กลับมาโยนหนังสือให้อ่านก็อ่านหนังสือออก ใช่ไหม.." </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ภาวนา " สัมปจิตฉามิ " กับ " พุทโธ "

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม :

    <TD>"หลวงพ่อครับ ผมเคยภาวนา "สัมปจิตฉามิ" ตอนนั่งรถเมล์บ้าง ตอนนั่งสมาธิที่บ้านบ้าง ภาวนาไปได้สัก ๑ อาทิตย์ ก็ฝันว่าได้ทำบุญกับหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลมนี้ หลวงพ่อได้เรียกชื่อผมและบอกให้ภาวนา "พุทโธ" ดีกว่านะ สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่มีผลมาก และผมได้รับปากหลวงพ่อ ฝันเช่นนี้แสดงว่าผมมีนิสัยแบบสุกขวิปัสสโก ไม่ใช่แบบที่ฝึกอภิญญามาก่อนใช่หรือไม่ครับ ?"

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right>หลวงพ่อ : <TD>"เปล่า! นั่นเขาเกรงว่าจะลืมพระพุทธเจ้า แต่ความจริง "สัมปจิตฉามิ" ก็ดี "สัมปติจฉามิ" นี่ก็เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เพราะคาถา ๒ บทนี้พระพุทธเจ้าบอกเอง จะเป็นอะไรก็ตาม ภาวนาอย่างไรก็ตาม ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนก็เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานทั้งนั้น ทั้งนี้ที่เขาบอกอย่างนั้นเกรงว่าจะลืมไป ให้ใช้เวลาสลับกัน เวลายามปกติภาวนาว่า "พุทโธ" สบายใจแล้วต่อด้วย "สัมปจิตฉามิ" ก็ได้ ขึ้นต้นไว้ก่อนนะ ท่านเกรงจิตจะไม่มั่นคงเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร
    "สัมปจิตฉามิ" ท่องเข้าไปเถอะ! ชาติก่อนจะทรงอภิญญาหรือไม่ก็ตาม ภาวนาไป ๆ อภิญญาก็มา อภิญญานี่เก่าไม่มีทำใหม่เกิดได้ ในครัวข้าวสุกไม่มีเราหาใหม่ได้นะ ดี! ภาวนาไปเถอะ! อย่าลืมขึ้น "พุทโธ" เสียก่อน คาถาที่พระพุทธเจ้าบอก พอจิตสบายก็ต่อเลย

    คือว่า วันเวลาใกล้เข้ามาแล้ว ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ เข้าเขตอภิญญาจะมา ต้องเพาะกำลังใจไปก่อน คำว่า "มา" หมายความว่ากำลังจิตของคนจะเข้าถึงความเข้มข้น ต้องทำก่อน ถ้าทำเวลานั้นก็ช้าไป ต้องทำเรื่อย ๆ ไปนะ.. แล้วก็ "สัมปจิตฉามิ" เป็นคาถาผลัก ผลักทุกอย่าง เหตุร้ายใด ๆ ที่เขาจะเข้ามาหาเรา จะถูกผลักไปหาเจ้าของ แต่เราไม่ยอมรับ ไม่ใช่บาป "สัมปจิตฉามิ" นี่ว่าไป ๆ ฉันนี่เป็นห่วง พอเลย พ.ศ. ๒๕๔๒ ไปแล้วนะ นั่ง ๆ แบบนี้คุยกัน หลวงพ่อว่า ลูกเอ๊ย! หลวงพ่อจะสร้างแบบนั้นแบบนี้ ลอยหายหมด หลวงพ่อแย่..อ้อ..เราต้องใช้เหมือนกันนะ พอขยับตัวปั๊บ เราใช้คาถาดึงกระเป๋ามาก่อน ต้องแก้กัน ถ้าไม่กลับมาเงินทั้งหมดรวบเอาเลย"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา http://www.putthawutt.com/html/power04.html
     
  18. เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    กระโถนข้างธรรมาสน์
    (ฉบับที่ ๕ หน้าที่ ๓)

    ถาม : จะถามเรื่องคาถาย่นระยะทาง เราจะใช้ภาวนาคาถาเงินล้านหรือว่าภาวนาพุทโธนี่ถือเป็นการย่นระยะทางได้หรือเปล่าคะ ?​

    ตอบ : จริง ๆ การย่นระยะทางมันต้องเป็นพื้นฐานของ วาโยกสิณ แล้วโดยเฉพาะมันไม่ใช่วาโยกสิณตัวเดียว ลักษณะของการย่นระยะทางเป็นของผู้ชำนาญใน กสิณ ๑๐ พอตั้งใจใช้กำลังของอภิญญา กำลังของกสิณอธิษฐานแล้วมันจะเป็นไป แต่ว่าเท่าที่เคยใช้ได้ผลน่ะ สัมปจิตฉามิ อาตมาเดินน่ะเขาควบมอเตอร์ไซค์ไล่ไม่ทัน เราไม่รู้หรอก เรารู้สึกว่าเราเดินปกติ​

    สมัยที่ไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ แล้วเดินบิืณฑบาตไป ๕ กิโลกว่า กลับ ๕ กิโลกว่ารวมแล้ว ๑๐ กิโลเศษ ๆ น่ะ คราวนี้มันก็ขึ้นเขาขึ้นเนินตั้งหลายลูก พอไปบิณฑบาตได้พวกข้าวของมาเยอะ พอได้ข้าวของมาเยอะ ชาวบ้านเขาก็ถือมาส่ง ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมอญพวกทวายที่ทำงานอยู่กับหน่วยป่าไม้นั่นล่ะ ไปอยู่กันแค้มป์ข้างบน เขาก็ถือของมาส่ง วันแรกวันสองวันสามก็มาส่ง พอท้าย ๆ มันหายกันหมด พอหายกันหมด ไอ้เราก็ไม่รู้​

    พอจนกระทั่งวันหนึ่งหัวหน้าคนงานเขาบอกว่าหลวงพี่เดินเร็วจริง ๆ ครับ ถามว่าทำไมวะ ? เขาบอกปกติพวกคนงานมันเดิน ผมต้องวิ่งไล่ตาม แต่หลวงพี่เดินน่ะคนงานมันต้องวิ่งไล่ มันก็เล่ไล่กันไม่ไหว...มันเหนื่อยเขาว่างั้น เสร็จแล้วผมก็สงสัยหลวงพี่เดินยังไงผมเอามอเตอร์ไซด์ไล่ตามดูไล่ไม่ทันจริง ๆ ครับ มันว่างั้น เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้อยู่อย่างเดียวว่าเราเดินปกติ​

    ถาม : ภาวนาอะไรคะ ?

    ตอบ : สัมปจิตฉามิ เพราะว่าหลวงพ่อท่านสั่งไว้ตั้งแต่บวชพรรษาแรกบอกว่าให้ภาวนาบทนี้ให้เป็นปกติ เพราะว่าบทนี้จะเป็นคาถาสำหรับสร้างอภิญญา ถ้าใครทำทรงตัวจะเหมือนกับได้กสิณ ๑๐

    ท่านบอกว่านานไปข้างหน้าบรรดาเดียรถีย์จะโจมตีศาสนาพุทธมาก โดยเฉพาะเรื่องของอภิญญาสมาบัติเขาจะกล่าวว่าเป็นเรื่องหลอกลวงกัน เมื่อถึงเวลานั้นแล้วพวกแกจะต้องไปแสดงให้เขาดูว่าเรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องจริง ท่านสั่งให้ทำตั้งแต่พรรษาแรกเลย

    แล้วอีกครั้งหนึ่งก็เดินทางไปเยี่ยมสถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง ก็เดินขึ้นไปดูพื้นที่การจัดการลุ่มน้ำของเขาน่ะ เดินไปเรื่อย ๆ มันก็ ๑๑ โมงครึ่งแล้ว ๑๑ โมงครึ่ง ห่างจากสถานีประมาณ ๔ กิโลเมตรเศษ หัวหน้าเขาบอกว่านิมนต์ฉันเพลด้วยครับ เพราะว่าสั่งเขาจัดของไว้แล้ว เราก็มองนาฬิกาตายห่า ! ๔ กิโลครึ่งชั่วโมง.....ยังไงก็ไม่ทันอยู่แล้วใช่ไหม ? ก็เลยต้องใช้วิธีนี้ บอกเออ.....ถ้าอย่างนั้นขอเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้วกันนะ พวกโยมตามมาทีหลังก็แล้วกัน แล้วก็เิดินของเรา ตั้งใจเสร็จเดินมา มาถึงข้างสถานีรถมันออกมาบอกว่ากำลังจะไปรับพอดีเออ.....ไปรับหัวหน้ากับคนอื่นเขามาก็แล้วกัน ไอ้ของฉันแค่นี้มาถึงแล้ว ก็...ลงไปนั่งฉันดูนาฬิกามันเพิ่งจะ ๑๑ โมง ๔๐ นาทีเท่านั้น ปรากฎว่าเขาตามมาถึงก็โน่นน่ะ แม่จุ๊บเขาบอกว่าท่านเดินยังไงเร็วขนาดนั้น จุ๊บมันวิ่งตามซะจนเลือดกำเดาไหลไล่ไม่ทัน บอกไม่รู้เหมือนกัน เราเดินปกตินี่แหละ รู้สึกว่าระยะทางมันไกลเท่าเดิม แต่ว่ามันถึงเร็ว เท่าที่ใช้ดูก็ใช้บทนี้แหละ แต่ว่าถ้าหากว่าอย่าง หลวงปู่จง พาหลวงพ่อไปสุวรรณวิหารอย่างนี้ อันนั้นเป็นอำนาจของกสิณ ๑๐ ไม่ใช่ประเภทคาถงคาถาอย่างนี้หรอก ​

    ถาม : ยังสงสัยนิดหนึ่งค่ะ ที่บอกว่าภาวนาคาถา สัมปจิตฉามิ เนี่ย เรานั่งรถคนอื่นขับให้เราเี่นี่ย แล้วเรา่ภาวนาคาถานี้ จะช่วยทั้งคันเลยใช่ไหมคะ หมายถึงว่าไปถึงเร็ว ?

    ตอบ : ช่วยได้ แต่ว่า...ถ้ารู้สึกว่ามันเร็วกว่าปกตินะ ตอนนั้นเราอย่าเพิ่งพูด เราปล่อยมันไปก่อน คนอื่นน่ะถ้าหากว่าอำนาจของคาถามันแสดงผลน่ะ เขาจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ จะไปรู้อีกที เอ๊ะ ! ทำไมมัน ถึงเร็วแต่ว่าตัวเราถ้าตั้งใจจับอยู่นี่บางทีระยะทางมันสั้นไปเฉย ๆ​

    สมัยก่อนไปทองผาภูมิ พอรู้สึกก็บอกให้คนอื่นเขาช่วยเป็นพยาน เอ้า ดูสิ ตอนนี้มัน หลักกิโลเมตรที่เท่าไหร่แล้ว บอกเขาเขียนอีก ๒๐ กิโลถึงทองผาภูมิ บอกจ้องไว้เลยนะว่าหลักกิโลต่อไปเป็นหลักกิโลที่เท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่จ้อง นั่นแหละ กิโลต่อไปคือ ๘ กิโลถึงทองผาภูมิ หายไป ๑๒ กิโล...วึ๊บเดียว ​


     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** โลกุตตระธรรม ****

    โลกุตตระ ...นำพาสัตว์ให้หลุดพ้น
    โลกุตตระ ....สอนด้วย "สัจจะ"

    ผู้ที่เชื่อ โลกุตตระ...ถือปฏิบัติด้วย "สัจจะ"
    จะเรียกว่าอะไร !!!
    อภิญญาอะไร !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    ถามเป็นการส่วนตัวครับ ผมรู้สึกไปเองน่ะครับ (โปรดใช้วิจารณญาณ)

    ถาม ท่านที่มีจิตสัมผัสพลัง
    อยากทราบว่าตอนนี้ใครสัมผัสความผิดปกติอย่างมากของสนามพลังได้บ้างครับ
    ท่านใดที่พบว่ามีความผิดปกติกับพลังของตัวเองที่เคยใช้แล้ว บางครั้งเสื่อมถอย หรือ บางครั้งรุนแรง ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีก็ใช้ไม่ได้เลยในบางช่วงบ้างไหมครับ

    นอกจากนี้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ทำไม มีจิต(วิญญาณ) ของหลายท่าน(ไม่ทราบจุดประสงค์) ทำไมเขาเข้ามาใกล้ชิดมนุษย์อย่างมากในช่วงนี้ เพราะอะไร
    แม้แต่ในบ้านคน ที่ไม่น่าจะเข้ามาได้ง่าย ๆ ตอนนี้สามารถเข้ามาได้โดยสะดวกมาก

    อยากทราบว่าใครที่เจอแบบนี้บ้างไหมครับ แล้วท่านมีวิธีแก้ไขอย่างไร
     

แชร์หน้านี้