วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    การเรียนวิชชาธรรมกาย ไม่ทำให้งมเข็มในมหาสมุทร - มีกฎเกณฑ์การปฏิบัติ ทำสิ่งนี้ได้แล้วต่อไปจะทำอะไร ออกจากจุดนี้แล้ว ต่อไปจะไปจุดไหน จุดไหนให้ทำอย่างไร และทำอย่างไร ทำให้ได้อะไร มีลำดับ มีขั้นตอน มีวิธีการ มีปฏิบัติการ มีแนวปฏิบัติชัดเจน


    อย่างเช่น บริกรรมจนเห็นดวงธรรมแล้ว ดำเนินดวงธรรมให้ครบ ๖ ดวง จะไปเห็นกายฝัน กายฝันทำดวงธรรม ๖ ดวง จะไปถึงกายทิพย์หยาบ…..ธรรมกาย…..ธรรมกายพระอรหัตต์ละเอียด เป็นต้น ไม่เป็นการงมเข็มในมหาสมุทร และเมื่อทำวิชชาเบื้องต้นเป็นแล้ว ก็ต้องเรียนวิชชาชั้นสูงต่อไป เป็นบท เป็นสูตร ต่อไปไม่มีจบสิ้น แต่จะทำได้มากหรือน้อย ขึ้นกับความตั้งใจจริง ของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ แปลว่าใจของท่านมีงานทำเป็นขั้นเป็นตอน ต่อกันเป็นลูกโซ่ ท่านมีโอกาสได้เลื่อนชั้น ไม่ใช่นั่งบริกรรมกำหนดกันอยู่ทั้งปีทั้งชาติ โดยไม่เห็นฝั่งเห็นฝาอะไรกันเลย จะได้อะไร จะถึงอะไร เกจิอาจารย์ก็ไม่แจ้ง ได้แต่บอกว่าทางสำเร็จ จะหมดกิเลส ถ้าพบตำรับนี้ พบเกจิอาจารย์อย่างนี้ ผู้เรียนจะเกิดความเบื่อหน่าย


    ท่านจะพบว่า มีแต่งมเข็มในมหาสมุทรเป็นส่วนใหญ่ มีแต่บริกรรมกันชั่วนาตาปี เมื่อไรก็เมื่อนั้น เลื่อนชั้นไม่ได้สักที เมื่อไรก็อยู่แต่ชั้นบริกรรมอยู่อย่างนั้น มีอาจารย์เก่งคนเดียว ลูกศิษย์ไม่เก่งเท่าท่าน จะพบเห็นแต่อย่างที่ว่านี้ แทบทั้งนั้น แต่การเรียนกัมมัฏฐานวิชชาธรรมกาย จะต้องแบ่งผู้เรียนเป็น ๓ ชั้น คือ


    ชั้นบริกรรม หมายความว่ายังทำปฐมมรรคไม่ได้

    ถ้าทำได้แล้วจะเลื่อนไปเรียนวิชชาเบื้องต้น คือชั้นทำวิชชา ๑๘ กาย

    เมื่อทำวิชชา ๑๘ กายได้แล้ว ต้องเลื่อนไปเรียนวิชชาชั้นสูง แปลว่า ต้องมีวิทยากรอย่างน้อย ๓ คน จึงจะสู้งานนี้ได้


    แสดงว่ากัมมัฏฐานวิชชาธรรมกาย ท่านไม่มีโอกาสงมเข็มในมหาสมุทร ท่านมีโอกาสเลื่อนชั้น ท่านมีโอกาสได้เห็น "ธรรมกาย" เว้นแต่ท่านเกียจคร้านไม่ทำจริง และถ้าท่านไม่เอาจริง ท่านก็อยู่ชั้นบริกรรมเหมือนกัน


    เป็นที่น่ายินดี เรียนวันนี้ ทำธรรมกายเป็นวันนี้ ได้เรียนวิชชาชั้นสูงในเวลาไม่นาน กลับทำได้เก่งกว่าอาจารย์ ปฏิบัติได้เชี่ยวชาญกว่าอาจารย์ มีรู้ญาณแม่นกว่า ตัวอย่างนี้มีไม่น้อยเลย แปลว่าไม่ใช่อาจารย์เก่งคนเดียว วิเศษอยู่คนเดียว ศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ มีตัวอย่างมาแล้ว เพราะอะไรจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะเขาเอาจริง เขาทราบแนวทาง เขาทราบทางเดิน วิชชาธรรมกายเป็นสากล ทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับชั้น ใครขยันมาก ก็ได้มาก วิชชาธรรมกายนี้ เป็นที่พึ่งได้ ไม่ใช่การสร้างวิมานในอากาศ เรียนวันนี้ทำเป็นวันนี้ รุ่งขึ้นก็ใช้ความรู้ที่เรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่ต้องรอไปถึงเมื่อโน้นเมื่อนี้ ไม่ต้องรอผลเอาชาติหน้า เอาผลเดี๋ยวนี้ อย่างสด ๆ ร้อน ๆ กันทีเดียว


    ท่านอยากเห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะเคยแต่รู้สึก เหมือนหนึ่งเกิดอารมณ์ฌาณขึ้นแก่ใจ แต่ยังไม่เคยเห็นหน้าตา เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน พึ่งตำรา ตำราก็เขียนไว้สั้นๆ แล้วจะให้ท่านแจ้งอะไรได้ เรื่องยากทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ อันได้แก่ บาป บุญ อริยสัจ ๔ ฌาน นรก สวรรค์ นิพพาน และอะไรต่อมิอะไร อันเป็นเรื่องยาก และเร้นลับ มันก็จะยากและลี้ลับต่อไป แต่ถ้าเราเรียนธรรมกายให้แก่กล้า เราก็จะเห็นและเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ แต่การเห็นและเข้าใจนั้น ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงแห่งการเรียนเป็นสำคัญ เพราะธรรมกายมีต้น มีกลาง มีปลาย มีอ่อน มีแก่ มีหยาบ มีละเอียด


    ตายแล้วสูญหรือตายแล้วเกิด ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ อันเป็นเรื่องที่นักปราชญ์ถกเถียงกันมานานแล้ว เรื่องนี้จะยุติเมื่อท่านเป็นธรรมกายระดับแก่กล้าแล้ว ขอแต่ว่าทำธรรมกายให้เป็นและให้แก่กล้าเท่านั้น ถ้าเราไม่เป็นธรรมกาย เราก็ขาดเครื่องมือค้นคว้า **ต่างก็แสดงความเห็นอัตโนมัติกันทั้งนั้น ไม่เป็นประโยชน์อะไร**


    วิชชาธรรมกายมีหลักสูตรให้เรียนมากมาย วิชชาธรรมกายมีหลักสูตรให้ท่านเรียนมากมาย ตามรายชื่อหนังสือที่จะได้กล่าวต่อไป ทั้งความรู้สมถะ (โลกิยะ) ความรู้วิปัสสนา (โลกุตระ) ครบถ้วน


    ท่านที่เป็นเด็กเล็ก นักเรียน ก็มีหลักสูตรให้เรียนพอควรแก่วัยและหน้าที่

    ท่านที่เป็นนักศึกษาเป็นนักค้นคว้าทดลอง ก็มีหลักสูตรให้เรียนตามสมควรแก่หน้าที่และเวลา

    ท่านที่เป็นผู้ครองเรือน ประกอบธุรกิจการค้า มีหลักสูตรให้เรียนตามความเหมาะสม แก่ผู้มีอาชีพนั้น

    ท่านที่เป็นข้าราชการ นักบริหาร มีหลักสูตรให้เรียนตามความรู้และความสามารถของท่าน

    ท่านพุทธบริษัทที่ต้องการบรรลุ โพธิญาณ และเรียนความรู้ขั้นปรมัตถ์ ระดับปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชชาธรรมกายระดับสูง ก็มีหลักสูตรให้เรียน อย่างครบครัน


    บัดนี้ มีผู้รู้ให้ความรู้แก่ท่านทุกหลักสูตรทุกระดับชั้น อย่างนี้แล้วคงเป็นที่พอใจท่าน ยังอยู่แต่เรา เราพร้อมที่จะเรียนหรือไม่ เราจะเอาจริงหรือไม่ วิปัสสนาจารย์พร้อมที่จะช่วยท่านอยู่แล้ว น่าเสียดายท่านที่มีกำลังวังชาดี อายุยังหนุ่มยังแน่น ปรารถนาบรรลุวิชชาวิเศษของพุทธศาสนา อ่านตำราแล้วได้แต่อยาก แต่ได้ใช้ความหนุ่มแน่นของเขาไปในเรื่องไร้สาระ ถ้าได้ใช้ความหนุ่มแน่นของเขาได้ใช้พลังใจอันเข้มแข็งของเขา ไปในเรื่องฝึกและปฏิบัติให้ถูกทาง เขาเหล่านั้นก็จะเป็นกำลังอันสำคัญของพระศาสนาต่อไป



    ***********************************************************
    คัดมาจากหนังสือ...ผู้ใดเห็นดวงธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ตถาคตคือธรรมกาย
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไปซะแล้วครับ บิดเบือนเนื้อหาหลักธรรมไปไกลแล้ว คุณสมถะ

    คุณ กลับมา แล้วเอาคำหลวงตามหาบัวทีท่านเทศ ไปเปิดฟัง แล้ว เอาหลักสำคัญจริงๆ ของพระพุทธศาสนา

    คุณกำลังหลงประเด็น ระหว่าง คำว่า ธรรมกาย กับหลักปฏิบัติ ของพุทธ

    ซึ่ง คำว่า ธรรมกายของคุณ มันไม่ชัดเจน เลย

    เอาสิ่งที่ชัดเจนสิครับ อย่าหยิบของคนนั้นคนนี้มาเรื่อยเปื่อย
     
  3. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    การเห็นกับวิปัสสนากรรมฐาน



    ถ้าพิจารณาด้วยหลักการทางภาษาศาสตร์ เมื่อวิปัสสนาแปลว่า “เห็นแจ้ง” ก็หมายความว่า วิปัสสนากรรมฐานต้องมีการเห็นเป็นหลักสำคัญเลย ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องทรงใช้ศัพท์อื่นไปแล้ว นี่ว่ากันตามหลักการของภาษาล้วนๆ นอกจากชื่อจะบ่งแสดงให้เห็นว่า วิปัสสนาต้องมีการเห็นเป็นองค์ประกอบสำคัญ ยังมีพระสูตรเป็นจำนวนมากที่สนับสนุนว่า วิปัสสนาต้องมีการเห็น




    ธัมมจักรกัปปวัตนสูตรเป็นพระสูตรแรกที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกมาสอนปัจจวัคคีย์ และน่าจะเป็นพระสูตรที่สำคัญมาก เพราะ พระพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้าแล้ว ด้วยวิธีการใด ในพระสูตรนี้พระองค์ได้ทรงกล่าวกับปัจจวัคคีย์ว่า ไม่ควรทรมาณ ตนเองให้ลำบาก และหมกมุ่นอยู่ในกาม เพราะไม่เป็นประโยชน์ ต่อจากนั้นพระองค์ทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์มีดวงตาเกิดขึ้นแล้ว ญาณ/ความรู้จึงเกิดตามขึ้นมา ดังนี้




    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?


    -->> จะเห็นได้ว่า พระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงทำดวงตาให้เกิด หลังจากนั้นมาจึงทรงทำญาน/ความรู้ให้เกิด ทั้งดวงตาและญาน/ความรู้นั้นจะทำให้บรรลุพระนิพพานได้ หลังจากนั้น พระองค์ทรงอธิบายต่อถึงเรื่องอริยสัจ 4 ซึ่งรวมถึงมรรค 8 ด้วย หลังจากพระองค์ตรัสว่า



    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ



    -->> พระองค์ตรัสข้อความดังกล่าว 3 รอบ รอบแรกทรงกล่าวว่า พระองค์รู้จักอริสัจ 4 รอบที่สองทรงกล่าวว่า จะทำอะไรกับอริสัจ 4 และรอบที่สาม ทรงกล่าวว่า ได้ทำอะไรไปแล้วกับอริยสัจ 4 ซึ่งเมื่อกระทำแล้วพระองค์จึงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ข้อความในส่วนนี้ก็เช่นเดียวกัน พระองค์ตรัสว่า ดวงตาของพระองค์เกิดขึ้น ลำดับญาณ/ความรู้จึงเกิดขึ้น ต่อจากนั้น ปัญญา วิทยา/วิชา และแสงสว่างจึงเกิดขึ้นมาตามลำดับ


    ต่อจากนั้นมา พระสูตรนี้กล่าวว่า
    ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.



    -->> จะเห็นได้ว่า ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสธัมมจักรกัปปวัตรสูตรอยู่นั้น ปัจจวัคคีย์ก็ปฏิบัติธรรมตามไปด้วย เมื่อใจสงบเป็นหนึ่งเดียว/เอกัคคตารมณ์แล้ว พระโกณฑัญญะจึงมีดวงตาเกิดขึ้น และ เห็น “ธรรม” ซึ่งผ่องใส ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เมื่อพระโกณฑัญญะเห็นธรรมแล้ว จึงกล่าวขอบรรพชาอุปสมบท



    ครั้งนั้น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้วได้รู้ธรรม แจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าข้า.


    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วตรัสต่อไปว่าธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น.



    -->> จากธัมมจักกัปปวัฒนสูตรข้างต้น คำว่าดวงตานั้นต้องไม่ใช่ดวงตาที่เป็นตาเนื้อของพระพุทธเจ้าและปัจจวัคคีย์ เพราะ ตาเนื้อนั้นมนุษย์ทุกคนต้องมีมาตั้งแต่เกิดแล้ว แสดงว่า ดวงตาในพระสูตรนี้ต้องเป็นดวงตาชนิดอื่น




    -->> มีนักวิชาการเป็นจำนวนมากที่อธิบายคำว่า “เห็น” ในพระสูตรนี้เป็นไปในทำนองว่า “เข้าใจ” หรืออธิบายคำว่า “เห็น” เป็นเพียงชื่อของปัญญา บางท่านก็กล่าวว่า เป็นสภาวธรรม โดยไม่อธิบายให้ชัดเจนว่า เป็นสภาวธรรมอย่างไร ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าไม่ถูกต้อง คำว่าเห็นจะต้องอาศัยอายตนะตาเป็นเครื่องมือ ซึ่งตาหรือจักษุอื่นๆ ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระสุตตันตปิฎก เล่ม21 ขุททกนิกาย มหานิทเทส ดังนี้



    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราย่อมเห็นหมู่สัตว์นี้ ไปในตัณหาในภพทั้งหลาย ดิ้นรนอยู่ในโลก นรชนทั้งหลายที่เลว ยังไม่ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อม ร่ำไรใกล้ปากมัจจุ. สัตว์ดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา
    คำว่า เราย่อมเห็น ... ดิ้นรนอยู่ในโลก มีความว่า คำว่า ย่อมเห็น คือ ย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู ด้วยมังสจักษุบ้าง ทิพยจักษุบ้าง ปัญญาจักษุบ้าง พุทธจักษุบ้าง สมันตจักษุบ้าง คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก. คำว่า ดิ้นรนอยู่ คือ เราย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู [ซึ่งหมู่สัตว์นี้] ดิ้นรน กระเสือกกระสน ทุรนทุราย หวั่นไหว เอนเอียง กระสับกระส่ายไปมา



    -->> จากพระสูตรดังกล่าวจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสก่อนว่า พระองค์เห็นหมู่สัตว์ทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา พระองค์ทรงใช้คำที่ต้องใช้ตาเป็นเครื่องมือแทบจะครอบคลุมทั้งหมด คือ เห็น แลดู ตรวจดู พิจาณาดู ด้วยดวงตา 5 ประเภทคือ 1) มังสจักษุ/ตาเนื้อ 2) ทิพยจักษุ 3) ปัญญาจักษุ 4) พุทธจักษุ 5) สมันตจักษุ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าและพระปัจจวัคคีย์นั้น ต้องเห็นด้วยทิพยจักษุ, ปัญญาจักษุ, พุทธจักษุ หรือสมันตจักษุ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจจะหลายอย่างแต่ต่างกรรมต่างวาระกัน



    หลังจากทรงสอนธัมมจักรกัปปวัตนสูตรแก่ปัจจวัคคีย์ไปแล้ว ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 คนดังกล่าวมีดวงตาเห็นธรรมในระยะเวลาไล่เลี่ยกันแต่ไม่พร้อมกัน กล่าวคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ มีดวงตาเห็นธรรมก่อน หลังจากนั้นพระวัปปะกับพระภัททิยะมีดวงตาเห็นธรรมต่อมา และคู่สุดท้ายที่มีดวงตาเห็นธรรมก็คือ พระมหานามะกับพระอัสสชิ แต่พระปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 รูป ยังไม่มีใครบรรลุพระอรหันต์ หลังจากนั้นมา พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนอนัตตลักขณสูตร หลังจากได้ฟังพระสูตรนี้แล้ว พระปัจจวัคคีย์จึงบรรลุพระอรหันต์ทั้ง 5 รูป



    จากหลักฐานจากพระไตรปิฎกและที่อธิบายมาข้างต้น โดยยกธัมมจักกัปปวัตนสูตรและอนัตตลักขณสูตรซึ่งเป็นพระสูตรแรกและพระสูตรที่สองที่พระพุทธเจ้านำมาทรงสอนปัจจวัคคีย์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ในการปฏิบัติธรรมให้เพื่อ “รู้” และ “เข้าใจ” ในหัวข้อธรรมะต่างๆ ต้องมี “การเห็น” ด้วยตา คือ ตั้งแต่ตาเนื้อของร่างกายตลอดจนตาภายใน อย่างไรก็ดี เพื่อให้ข้อเขียนของผู้เขียนมีน้ำหนักแน่นขึ้นไปอีก ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสำคัญอีกสองตัวอย่างดังนี้




    ตัวอย่างแรก


    ในพระไตรปิฎก เล่ม 19 สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค หัวข้อนีวรณสูตร พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงนิวรณ์ 5 กับโพชฌงค์ 7 นิวรณ์ 5 ก็รู้กันทั่วๆ ไปว่าเป็นเครื่องกั้นคุณความดี สำหรับโพชฌงค์ 7 นั้น เป็นหัวข้อธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ซึ่งก็แสดงว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว



    ในนีวรณสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า นิวรณ์ 5 ทำให้มืดเพราะจักษุไม่มี และญาณ/ความรู้ไม่มี แต่โพชฌงค์ 7 นั้น กระทำสิ่งตรงกันข้ามกับนิวรณ์ 5 คือ ทำให้มีจักษุ ซึ่งก็หมายถึงมีการเห็นเกิดขึ้น และก็มีญาณ/ความรู้เกิดขึ้น ดังนี้



    [501] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์ 5 เหล่านี้ กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุกระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน .............................................................................................................................. <!--MsgFile=3-->


    [502] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน




    ตัวอย่างที่สอง


    ตัวอย่างแรกนั้น เป็นกระบวนการในการที่จะตรัสรู้ซึ่งก็ต้องมีการเห็น ญาณ/ความรู้จึงเกิดขึ้น พระสูตรต่อไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ยืนยันอีกว่า จะต้องมีการเห็น คือ มีจักษุเกิดขึ้น จักษุนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าตาเนื้อ



    พระสูตรนี้กล่าวถึงความเป็นมาว่า มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อเวรัญชพราหมณ์ กล่าวหาว่า พระพุทธเจ้าทรงขาดสัมมาคารวะกับพราหมณ์ผู้ใหญ่ ซึ่งตามวัฒนธรรมประเพณีของอินเดียสมัยนั้น ผู้มีอายุน้อยกว่าต้องให้ความเคารพกับผู้มีอาวุโสกว่า



    พระพุทธเจ้าก็ทรงอธิบายเปรียบเทียบการกระทำของพระองค์กับการฟักไข่ ว่าไก่ที่ออกมาทีหลังๆ นั้น จะต้องเรียกไก่ที่ฟักตัวแรกว่าพี่ พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ก่อนคนอื่น และนำมาสอน คนอื่นก็ต้องให้ความเคารพกับพระองค์ หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงบรรยายถึงเหตุการณ์ที่พระองค์ตรัสรู้วิชชา 3 วิชชาแรกก็คือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ การรู้จักระลึกชาติได้ แต่เป็นการระลึกชาติของตนเอง ต่อมาวิชชาที่สองคือ จุตูปปาตญาณ คือ การรู้จักระลึกชาติของคนอื่นได้ ซึ่งมีข้อความบางส่วนดังนี้




    เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้



    -->> จากข้อความดังกล่าว พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า พระองค์ทรงเห็นการเกิดของหมู่สัตว์ทั้งหลายด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าจักษุของมนุษย์ นี่ก็หมายถึงว่า ในการระลึกชาติของพระองค์เองก็ต้องเห็นในลักษณะนี้ ถ้าอธิบายง่ายๆ ก็คือ เห็นเหมือนเราดูหนัง ไม่ใช่นึกเอาแบบมัวๆ ซัวๆ ไม่ได้เห็นเป็นภาพชัดเจน ในกรณีก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า สายปฏิบัติใดก็ตามที่ปฏิเสธการเห็น ก็ไม่สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้เลย



    ต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงกล่าวถึงวิชชาสุดท้ายว่า



    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้น รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ



    -->> ข้อความที่ว่า “รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้” ก็เป็นหลักฐานสำคัญว่า ในการพิจารณาหัวข้อธรรมะขั้นละเอียดลึกซึ้งจนถึงการบรรลุพระอรหันต์ต้องใช้การเห็นเป็นสำคัญ พูดให้ง่ายเข้าก็คือ ทั้งเห็นทั้งรู้ และก็ทั้งรู้ทั้งเห็น จะรู้อย่างเดียวโดยปราศจากการเห็นไม่ได้
    เพราะ รู้อย่างนั้นไม่ใช่การรู้แจ้งเห็นจริง







    <!--MsgFile=0-->
     
  4. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ขอเรียนให้ทราบว่า ผมเองมิได้มีเจตนาเอาชนะใคร และเนื่องจากเห็นถึงความไม่รู้จริงในสิ่งที่ท่านกำลังสนทนากัน โดยเฉพาะผู้ไม่เข้าใจต่อการฝึกภาวนาวิชชาธรรมกาย และบางครั้งท่านก็ใช้อัตโนมติของท่านเองเป็นความเห็นส่วนตัวตัดสินว่าวิชชาธรรมกายต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ธรรมกายเป็นแค่เพียงรูปนิมิตบ้าง ไม่ใช่วิปัสสนาบ้าง ไม่พิจารณาอนัตตาบ้าง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดและเป็นการสร้างความสับสนให้แก่ผู้อ่านอื่นๆ ที่ไม่มีพื้นความเข้าใจเพียงพอ


    ผมจึงเห็นถึงอันตรายที่เกิดจากความเห็นผิดของบางท่าน ที่ไม่เข้าใจ ชอบพูดอวด คิดเห็นเองฝ่ายเดียว ความรู้น้อย แลไม่เข้าถึงความจริงใดๆ เมื่อท่านกล่าวความไม่รู้จริงออกมา ย่อมได้ชื่อว่าสร้างโมหะอคติติดนิสัยสันดานจิตให้เกิดเเป็นบาปเวรภัยได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้า ผมเพียงต้องการให้ผู้ไม่รู้ท่านอื่นได้มีข้อมูลในการพิจารณา และไม่เชื่ออะไรเพียงด้านเดียว อันอาจเกิดเป็นความประมาทแลเกิดบาปอกุศลในจิตใจได้ สำหรับท่านที่มีอคติท่านจะคิดประการใด ท่านจะเอาความไม่รู้จริงของท่านมาทำลายทำร้ายสัจธรรมความเป็นจริงได้หรือ อันเรื่องของการฝึกปฏิบัติสมาธิแนวธรรมกายนั้น มีทั้งพระภิกษุ แม่ชีอุบาสิกา แลผู้มีศีลมีธรรมมากมายฝึกฝนปฏิบัติเรียนรู้อยู่ทั่วไป ท่านเองคิดว่าท่านเก่งกว่า ฉลาดกว่า รู้วิเศษกว่า รู้ถูกต้องไปเสียทุกเรื่องมากกว่าท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหล่านี้หรือ...? ท่านกล่าวเชิงให้ร้ายต่อวิชชาธรรมกายก็เท่ากลับกล่าวตู่ความรู้และวัตรปฏิบัติของท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหล่านี้ ท่านจะก่อบาปเบียดเบียนผู้อื่นไปเพื่ออะไร ท่านปิดประตูนรกได้แล้วแน่เทียวหรือ...?


    ขอท่านผู้มีปัญญาและมีใจเป็นธรรมจงไตร่ตรองดูเถิด...


    ผมจะเสนอความรู้ให้ทราบต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ากระทู้นี้จะยุติลง ต่างคนต่างความเห็นก็ควรจะต่างคนต่างอยู่ในที่ๆ เหมาะสมของตนเถิด ควรหรือที่จะนำความเห็นของตนมากระทบกระทั่งเบียดเบียนกันอันเป็นส่วนแห่งบาปนะครับ
    <!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อบายผมปิดสนิทแล้วครับ เป็นธรรมดาของผู้ปฏิบัติเมื่อเห็นสัตว์เดินบนทางที่เนิ่นช้าก็ต้องบอก ส่วนจะช่วยได้ไม่ได้ก็ไม่ได้หวังครับ เห็นแล้วไม่บอกมันฝั่งจิต ทำให้รู้สึกผิด

    เหมือนกฎหมายครับ เห็นคนจะตายไม่ช่วย ก็ผิด (f)
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อนุโมทนาด้วย กับ ความหวังดี ที่ว่า กระผม ปิดประตูนรกแล้วหรือ ผมโมหะปิดบัง

    แต่ ที่สำคัญ คือ ผมและหลายๆ คนในนี้ ศึกษาธรรมกาย มาตั้งแต่คุณยังไม่ได้เล่นอินเตอร์เน็ตเลย

    คุณลองไปดูซิว่า ทำไม เว็บ ลานธรรม เขาปฏิเสธ ธรรมกาย
    ทำไม เว็บพลังจิต ไม่ค่อยมีใครสนใจ ธรรมกาย
    ทำไม เว็บธรรมะต่างๆ ปฏิเสธธรรมกาย
    ทำไม หลวงตามหาบัว ไม่เคยพูดถึงเรื่องธรรมกาย ไม่เคยสอนแบบธรรมกาย
    ทำไม ผมซึ่งมีคนเห็นธรรม ในแบบที่ผมพูดเหมือนกัน หลายคน บอกว่า ธรรมกายนั้นไม่ถูกต้อง
    ทำไม คนทั่วประเทศไทย จึงบอกว่า ธรรมกาย คือ ลัทธิ
    ทำไม ในพระไตรปิฎกจึง ไม่ได้กล่าวเป็นใจความสำคัญเลย เกี่ยวกับคำว่า ธรรมกาย ซึ่งปกติ แล้ว สุตรที่สำคัญ พระศาสดา และ พระอรหันต์ จะต้อง ตั้งขึ้นเป็นพระสูตร
    ทำไม ในพระวิสุทธิมรรค ไม่มีการอ้างถึงธรรมกาย ในภาคปฏิบัติเลย

    คำถามเหล่านี้ คุณ ควรระลึกให้มาก แล้ว หันหน้าเปิดใจ ศึกษาอย่างอื่นให้แจ้งเสียก่อน
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    jinny ปิดอบายแล้วอีกคนหรือนี่ อนุโมทนาด้วย
     
  8. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    <!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>upanya, สมถะ, ขันธ์ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    อุ้ย....ทำเหมือนที่คุณเต้าเจี้ยวบอกจริงๆด้วยไม่น่าเชื่อเลย แสดงว่าคุณเต้าเจียวนี่

    สนทนากับคุณขันธ์มานานแล้วสิครับถึงรูจักคนคนนี้ดีจัง
     
  10. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    ของท่านอาจารย์ส่ายหน้าครับ
    ขออภัยครับไม่ใช่ของคุณเต้าเจี้ยวครับ
     
  11. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    คำถามเด็กๆแต่ไม่ตอบ เพราะทุกครั้งที่พูดเรื่องธรรมกายหนะ พออ้าปากแมงโม้มันก็บิน
    ว่อนออกมาเลย
    อาศัยความไม่รู้จริงมาว่าการปฏิบัติของคนอื่นได้ไง
     
  12. taengmostudio

    taengmostudio สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +17
    เห็นแล้วอดสงสารไม่ไหว
    สงสารคนที่ตกเป็นทาสไสยศาสตร์
    ไสย แปลว่า การนอน หรือการหลับ
    ศาสตร์ แปลว่า ความรู้ หรือ วิชา
    วิชาธรรมกายคือไสยศาสตร์ เพราะเป็นความรู้ที่จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการหลับเสียก่อน....เวรจริงๆๆ


    ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้
    ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์

    ************************
    :z13:z13:z13:z13:z13:z13:z13:z13
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อับปัญญา กลายไปจับกลุ่มกับ เต้าเจี้ยวแล้วหรือ
     
  14. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    คุณสมถะนี่ เยี่ยมจริงๆครับ
    ข้อมูลมากจริงๆ ผมกำลังหาเพิ่มเติมอยู่พอดี
     
  15. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715

    ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO



    5555555 เหรอครับ


    สมการนี้ มั่วได้เก่งจริงๆ
    ที่เวร......นั้น จะเป็นเวรกรรม หรือเวรอะไร
    กับใคร ถ่มน้ำลายรดฟ้า ผลมันเห็นได้ ม้นไม่นานเกินรอ
    หรอกครับ
     
  16. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ปล่อยแกเถอะครับคุณโอม เป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้จริงแล้วเที่ยวพูดไปเหมือนกันกับหลายๆคนที่เห็นอยู่

    สนใจมากฟุ้งซ่านเปล่าครับ แค่พอให้รู้ว่าความจริงมีอยู่รอให้พิสูจน์ พอแล้วครับ
     
  17. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    เรื่องเล่า เกี่ยวกับหลวงปู่สด
    เมื่อครั้งหลวงปู่ปาน ให้หลวงพ่อฤาษีฯท่านไปเรียนกับหลวงปู่สด


    อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์

    วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตนแล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ

    ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้วแต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่

    ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด

    แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมากรวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้

    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์และอีกประการหนึ่ง

    ก็มีเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องมีมาในธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่ง อาตมาอาจจะจำชื่อผิดเพราะไม่ได้นำหนังสือมา ไม่ได้ดูมา เวลานี้ก็ป่วย ร่างกายไม่ดีสมองแย่ อย่านึกว่ามันเพลียลงทุกวัน ๆ มันจะอยู่ไปถึงไหนก็ไม่ทราบคงไม่นานนัก มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด ก็มีชื่อว่า ติสสะ ชื่อไม่ขอพูดดีกว่า อาจจะผิด ขออภัยด้วยถ้าผิด มีพราหมณ์คนหนึ่งท่านมีความรู้สึกตนเองว่ามีความรู้มาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประกาศศาสนา คำว่าศาสนาคือคำสอน สอนคนเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก แต่พราหมณ์คนนี้มีกรณีพิเศษ คือใช้เหล็กพืดคาดพุง ถ้าใครเขาถามว่าทำไมถึงใช้เหล็กพืดคาดพุง คาดพุงรอบตัวเลย ท่านบอกว่า วิชาความรู้ของท่านมีมาก ท่านเกรงว่าวิชาความรู้จะระเบิดออกมา พุงจะแตกตาย นี่มันก็เหมือน ๆ กันเลยนะ

    ก็เกรงว่าพุงจะแตก เลยเอาเหล็กพืดคาดพุงไว้แต่พราหมณ์คนนี้มีความรู้พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง สามารถรู้สภาวะคนตายได้ คือคนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เขาทราบได้แน่นอนถูกต้อง เพียงแต่เอากระโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้วมา เอาเล็บกรีดไป เล็บจะติดอยู่ในสถานที่เขาเกิด ถ้าติดตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะบอกว่าเกิดที่ไหน ต่อมาเขาเข้าใกล้สำนักองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เขาก็อยากจะแบ่งคงจะเบ่งเหมือน ๆ กัน อยากจะเบ่งทับพระพุทธเจ้า เขาก็ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้าหลาย ๆ อย่าง พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบ แต่การตอบของพระพุทธเจ้าอาจจะมีหลายลีลา ตอบตรงไปตรงมาบ้าง ตอบเลี่ยงเพื่อให้ซักบ้าง ตอบแบบอนุโยคบ้าง

    แต่การตอบเวลาเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่พูดให้ฟังว่าตอบแบบไหน เป็นอย่างไรต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นเขาหมดปัญหา ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงเอาเหล็กมาคาดพุง เขาก็บอกว่าความรู้ของเรามากเกรงพุงจะระเบิดเพราะความรู้ ความรู้ระเบิดออกมา พุงมันแตกตาย เขายังกลัวตาย สมเด็จพระจอมไตรถามว่า ความรู้พิเศษของเธอมีอะไร เขาก็ตอบว่า เอาหัวกระโหลกมา จะบอกได้ทันทีว่าใครไปเกิดที่ไหน เอาหัวกระโหลกปุถุชนมา เรากรีด เขาก็บอกได้เลยว่า คนนั้นเกิดที่นั่น คนนี้เกิดที่นี่ ทั้งหมดตอบถูกหมด พระพุทธเจ้าก็ยอมรับต่อมา พระพุทธเจ้าเอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท

    พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ไม่ใช่กระดูกละเอียดเหมือนกันหมด ที่ยังเป็นท่อน ๆ ยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่ว่าต้องละเอียดเหมือนกันจึงเป็นพระอรหันต์ อย่าเข้าใจผิด มีคนเข้าใจผิดอยู่มาก เอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้ ก็ปรากฏว่าเขาไม่รู้ กรีดไม่ติด ตอบไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า พระองค์นี้ไปนิพพานแล้ว เขาไม่รู้คำว่า นิพพาน ก็อยากจะศึกษาต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า ถ้าจะเรียนเป็นของไม่ยาก เรียนได้ แต่ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันนี่เรียนไม่ได้ อย่างไร ๆ ก็พุงยังไม่แตก ในที่สุดเธอก็ยอมรับ ยอมบวช เมื่อบวชแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อยก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท


    เรื่องคนที่มีความเข้าใจในความรู้ว่ามีมากเป็นอย่างพราหมณ์คนนี้ ความจริงก็ไม่มากจริง

    อย่างอาตมาก็เช่นเดียวกัน ที่ไปหาหลวงพ่อสดท่าน ท่านสอน ทั้ง ๆ ที่ท่านสอนมาแล้วก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเมื่อท่านพูดถึงนิพพาน แสดงว่าความโง่ยังไม่หมด



    ที่มา หนังสืออ่านเล่นเล่ม6


    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านสอน ให้เห็นด้วยการถ่อมตัวท่านลง

    ท่านคงทราบว่า

    ในโลกนี้พวกที่หลงความรู้ยังมีอีกมาก

    พวกที่หลงว่าตัวเองรู้ ตัวเองดี ตัวเองเก่ง

    มีอัตตาแห่งพระอริยะจอมปลอม หรือ

    นักบุญใจบาป นั้นมาก


    ท่านจึงสละ ถ่อมตัว ละอัตตาตนเองลงให้เห็นกัน

    ทั้งที่ระดับท่าน นั้น อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ บารมีพุทธภูมิเต็มแต่ลา


    ( พวกเราเชื่อเช่นนั้น / ....ไม่ทราบว่า เดี๋ยวจะมีคนบางกลุ่มในกระทู้นี้ มาแย้งด้วยธรรมตามแบบของเขาอีกหรือเปล่า )



    แต่ท่านทำเช่นนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า " ระวัง อย่าพลาดนะ ฉันพลาดมาแล้ว "<!-- / message --><!-- sig -->
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    รูป เป็นของมีอยู่ ใจเอาเข้าไปผูก ก็เป็นกิเลส
    รู้ อยู่แต่ไม่หลงจะเห็นอะไรก็ได้ไม่เป็นภัย ก็อย่างที่ผมพูดไปไงว่า ผมจะเห็น กายวิสุทธิ์สว่างก็ได้ แต่พอไม่สนใจก็ดับไป หาได้หลงยึดเกาะไม่

    แต่สำหรับปุถุชนคนหนาอย่าง โอม และ อับปัญญา รู้วิธีกำจัดกิเลสแล้วหรือ จึงได้หาญกล้า
    ประเด็น คือ ถ้าหากว่า หลวงพ่อสด ท่านคิดค้นวิชชาธรรมกายจริง ท่านผ่านญาณ 16 มาก่อนแล้วจริง
    นั่นคือ กสิณ อันเป็นเครื่องทรงฌาณ แห่งพระอริยะเจ้า ตามวาสนาและบารมีของท่าน ไม่ใช่ทางกำจัดกิเลส ก็ให้ดูว่า หลวงพ่อสด ท่านผ่านญาณ 16 มาแล้ว ท่านก็ย่อมดับกิเลสมาก่อนแล้ว

    แล้วปุถุชน อย่าง คนทั้งหลาย จะกำจัด กิเลส ด้วยวิธีการแห่ง ธรรมกาย ก็เป็นไปไม่ได้อีก จึงต้องหาหนทางกลับเข้าสู่ ทางแห่งไตรลักษณ์เหมือนกัน แล้วก็จับ ธรรมกายเข้ารวมกับ ไตรลักษณ์บ้าง รวมกับพระสูตรบ้าง อ้างเรื่องกายในกายของมหาสติปัฎฐานสี่บ้าง

    ทีนี้ ปัญหาคือ คนมักจะหลง และไม่รู้เท่าทัน ในมายาจิตก็จะเหมาเอาว่า ธรรมกายนี้คือหนทางดับทุกข์
    โดยที่ ฟังมา และ เชื่อมั่น เชือถือ ศรัทธา ในพระสงฆ์ กรรมนั้นตกอยู่กับ คนที่เอามาถ่ายทอดแบบผิดๆ เรียกว่ามีศรัทธา แต่ขาดปัญญา ก็ไม่ไตร่ตรองว่า แท้จริงแล้ว คืออะไร

    อายตนะอันยิ่ง นั้นมีอยู่ แต่หากเราเห็นแล้ว ถูกรูปเหล่านั้นครอบงำ ข้อนี้จะบอกว่า เข้าสู่วิมุตติธรรมหาได้ไม่
    แต่ หาอายตนะอันยิ่งนั้น มีอยู่ หากเห็นแล้ว ไ่ม่่ถูกครอบงำ จึงเรียกได้ว่า เข้าถึง วิมุตติธรรม คือ นิพพาน

    หลวงพ่อสด ท่านคงนึกไม่ถึงหรอกว่า วิชาของท่าน ซึ่งท่านประสงค์ดี จะสอนให้กำหนดนิมิต เพื่อน้อมนำไปสู่พระนิพพานนั้นจะตกถึงมือคนเขลา อันเหมาไปว่า นี่คือความวิเศษ

    อุปมากับ คนสอนก็หาอุบายธรรม เพื่อที่จะให้คนเข้าถึงตามตน แต่ คนเรียนก็ถือเป็นจริงเป็นจัง โดยไม่พิจารณาที่มาี่ที่ไป ค้านหัวชนฝา อย่างไม่ลืมหูลืมตา

    นี่คือข้อสรุป ทั้งปวง เกี่ยวกับธรรมกาย
     
  19. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    ยอมรับเถิดครับคุณขันธ์ว่าพี่ไม่มีภูมิ พอจะมาวิพากวิจารณ์การปฏิบัติสายธรรมกายหรอกครับ ยอมรับตัวเอง พูดสิ่งที่ตัวเองรู้จริงๆดีกว่า พูดเรื่องที่ตัวไม่รู้ ก่อกรรมเปล่าๆ พี่มีความรู้สติปัฏฐานดี ก็พูดเรื่องสติปัฏฐานสิครับ

    ผมชอบฟังพี่บรรยาย เพราะผมก็สนใจอยู่มากครับพี่ เพราะจริงๆมันเป็นเรื่องที่เกื้อกูลกัน ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องแตกหักกันไป

    ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ
     
  20. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>วิมุตติ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ยิ้มหน่อย วิมุตติ

    ^________^

    แชะ แชะ แชะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...