แฮ่ะๆ คือว่า ขอวิธีทำสมาธิแบบช่วยให้หายเจ็บป่วยหน่อยได้ไหมคะ
เคยได้อ่านมาว่า เวลาที่เรารู้สึกเจ็บตรงไหน ก็ให้ทำสมาธิ เอาความรู้สึกไปจับอวัยวะที่กำลังเจ็บอยู่ แล้วๆๆ ต้องทำยังไงต่อเหรอคะ ถึงจะหายเจ็บ คือเราเคยทำ ละไม่เวิร์คอ่ะค่ะ
ในคลิปของชาวต่างประเทศบอกว่าให้ใส่ความรู้สึกดีๆ ลงไปตอนที่กำลังเพ่ง ละเค้าก็ทำมือเคลื่อนที่ไปมาแบบคลุมๆ(เหมือนกำลังโอมเพี้ยงไรทำนองนี้) ในบางคลิปก็แบบ ทำมือละเก็บเอาความเจ็บปวดไปทิ้งในถังขยะล่องหน ทำซักสามหน แล้วถึงจะเอาถังขยะล่องหนนั่นไปเททิ้งอีกที 555
มีใครพอจะทราบบ้างไม๊คะว่า ความรู้สึกดีๆ ที่ว่านี้คืออะไร??? อันนี้ที่เราคิดแต่ไม่รู้จะใช่ไม๊...จินตนาการว่ากำลังใส่ยาลงบนแผล แต่คิดไปคิดมา มันก็ยิ่งเจ็บและแสบน่ะสิ ถ้ายาที่ใส่เป็นยาทิงเจอร์สีเหลืองๆ นั่นหรือแอลกอฮอล์ล้างแผล
นี่เป็นคลิปที่เราพยายามจะอธิบายไปเมื่อกี้นะคะ
[ame="http://www.youtube.com/watch?v=GCxAlxJBc4c"]http://www.youtube.com/watch?v=GCxAlxJBc4c[/ame]
สมาธิกับการรักษาโรค...เค้าทำอย่างไรกันคะ???
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Broccocat, 4 ธันวาคม 2013.
หน้า 1 ของ 8
-
ลอง แผ่เมตตา จิ
-
ก็แค่ไปเพ่งบริเวณที่ต้องการ ก็จะหายได้
แต่มันเป็นการใช้พลังงานจิต หรือก็คือ ใช้กำลังจิตส่งออก เพราะใช้แล้วกำลังสมาธิที่ทำ ก็ต้องเริ่มสะสมใหม่
เปรียบเหมือนทำสมาธิเป็นน้ำในตุ่ม พอเอาไปใช้ น้ำก็หายออกไป ก็ต้องรวมรวมกำลังใหม่ ทำสมาธิสะสมขึ้นมาใหม่
.
แต่ถ้าเป็นโรคที่เกิดจาก กรรม ก็ต้องตามกฏแห่งกรรม ครับ จขกท. ฝืนกฏแห่งกรรมไปไม่ด้ายหรอก
. -
ฮ่าๆๆ..ดีนะไม่คิดควักเอาอวัยวะออกมาล้างน้ำข้างนอก..สงสัยคนที่มารักษา
จิเปลี่ยนภพภมูิไปก่อนถ้าทำได้จริง ๕๕..
วิธีการรักษาแบบที่เราเอามาให้ดู.เป็นหลักการรักษาของบุคคลที่สามารถ
มโนฯได้ใสแจ๋วในระดับลืมตาแล้วเห็นเป็นภาพได้หรือหลับตาแล้วก็เห็นเป็นภาพได้เป็นปกติ
.ส่วนมากคนที่ทำได้เค้าจะได้เจโตฯในส่วนสาเหตุที่มาของโรคร่วมด้วย
ประมาณว่าไม่ต้องบอกเค้าว่าสาเหตุจากอะไรเค้ารู้ได้เอง..
และใช้การอฐิษฐานจิตขอบารมีออกมา
ในรูปแบบของพลังงานเพื่อรักษาร่วมในตอนท้ายสำหรับถ้าเป็นบ้านเรานะ.
.ส่วนฝรั่งเค้าไม่รู้จักอฐิษฐานขอบารมีเค้าก็เลยใช้ความรู้สึกดีๆเข้าไปว่าขอให้โรคนี้หาย
(ความจริงก็อฐิษฐานขอนั้นหละแต่เค้าขอกับสิ่งที่เค้านับถือ)
ส่วนความรู้สึกดีๆที่บ้านเราใส่เข้าไปคือเมตตาจร้าาา.
ซึ่งถ้าทำได้แล้วมันจะรู้ได้เองเป็นอัตโนมัติว่าจะทำอย่างไรต่อ
โดยที่ไม่ต้องถามใคร..
.ส่วนการนำถังขยะไปทิ้งเป็นเทคนิคอลเทอมวิธีการหนึ่งของการรักษาวิธีการแบบนี้..
ส่วนจังหวะการรักษาแบบนี้บางกลุ่มเค้าบอกว่าได้รับพลังงานจากสิ่งที่มองไม่เห็นภายนอกคิดว่าน่าจะพอรู้ว่ากลุ่มไหน..
แต่ถ้าแบบกลุ่มที่ใช้พลังจิตที่สามารถดึงขึ้นมาเป็นรูปแบบพลังงานได้.
ที่มีพื้นฐานมาทางสายวิชาเดินธาตุที่จะต้องพอเรียกพลังงานขึ้นมาได้อย่างน้อย
๕ กองคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาส เค้าจะใช้พลังงานจากกสิณไฟการในเผาทำลาย.
ทำลายโรคนั้นๆ.
.ได้ผลมากน้อยขึ้นอยู่กับกำลังจิตของผู้นั้น และระยะเวลาที่เป็นโรคหรือองค์ประกอบอื่นๆสุดแล้วแต่
.แล้วค่อยๆไล่โรคไปเรื่อยตามร่างกาย
เพื่อนำไปเผาทำลายโดยอาจมีเทียนที่จุดไฟตั้งอยู่.แทนถังขยะ.
.ส่วนจะเสริมด้วยธาตุอะไรก็สุดแต่ส่วนมากจะเสริมด้วยธาตุน้ำในตอนท้าย
แต่ถ้ามาทางเดินธาตุ.มโนจะไม่ใสแจ๋วสู้กลุ่มแรกเค้าไม่ได้ประมาณนี้..
ปล. พอจะนึกภาพรวมๆออกไหม -
เอ๋...เดี๋ยวๆ คุณ hastin หมายถึงให้สวดบทสวดแผ่เมตตาให้ตนเอง หรือ สวดบทสวดแผ่เมตตาให้คนอื่น คะ??? -
แผ่เมตตาไปที่จุดที่ต้องการ
-
งี้เราก็อดรักษาอาการป่วยให้ตัวเองน่ะดิ ว้าาาา...กสิณก็ทำไม่เป็น พลังงานที่มองไม่เห็นก็ไม่มี แง้ๆๆๆๆ เซ็งเป็ดเลยทีนี้ -
เอาเท่าที่ผมรู้ อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม มม ม มม ม ม ม ม ม ม ม มม ม ม มม ม ม มม ม มม ม ม ม
ถ้าชัว ขั้นแรกต้องอภิญญา ถ้าจะให้ชัวต้องประมาณพระเยซู ละมั้งครับ :D
ศีล เพื่อเพิ่มอำนาจ
สมาธิ เพื่ม สติ
ปัญญา เพิ่มความเข้าใจ
หากทำ3อย่างได้ระดับใหนอนิสงก็จงอยู่ที่ประมาณนั้นล่ะครับ
เท่าที่พอรู้นะครับ -
พื้นฐานของศาสนาพุทธก็ ศีล สมาธิ ปัญญา ครับ ลองๆดูครับ เอาใจช่วยครับ
-
เอ้า!! ลืมเลย ๕๕ มัวแต่พูดภาพกว้างๆ.
ลืมเรื่องรักษาตัวเอง..
.ถ้าเป็นฝรั่งรู้จักพระพุทธฯก็แสดงว่า
เค้าเก่งจริงๆนะซิและถ้าเค้าฝึกจะไปได้เร็วด้วยเพราะฝรั่งถ้าฝึกเค้าจะได้เปรียบ
เราเรื่องไม่ค่อยมีอัตตาและการนำความรู้ทางโลกที่ตนรู้มาแย้งเลยทำให้เค้าไปได้เร็ว
.ส่วนความสามารถที่เค้าได้.ไม่รู้ว่าเค้าจะเรียกเหมือน
ที่เราเรียกหรือหรือรู้ว่าคืออะไรหรือเปล่าแต่ดูกิริยาของจิตที่รับรู้จะเหมือนกัน..
คือประมาณว่าเค้าจะรู้ว่าสาเหตุเกิดอะไรและรักษาอย่างไรอัตโนมัติ
ส่วนเรื่องการรักษาตัวเองยังไม่ยากเท่ากับรักษาคนอื่นๆเท่าไร
.รักษาคนอื่นๆถ้าเราไม่มีภูมิต้านทานที่ดีนะ.ในกรณีที่เหตุมาจากทางภพภูมิร่วมด้วย
เช่น ระดับความดีของเราไม่เพียงพอที่ภพภูมิส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เรารักษา
เกรงใจ.หรือมีครูบาร์อาจารย์คอยหนุนหลังเพื่อปรับภพภูมิในทางโน้น
.หรือจิตเราพอมีฤิทธิ์บ้างในระดับที่ปะชะดะกับพวกภูตหรืออสรูกาย
หรือพอรับมือที่สูงกว่านี้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้..หรือ
มีพันธ์มิตรในทางภพภูมิมีฤิทธิ์คอยช่วยเหลือเรา.และที่สำคัญคือ
ถ้าเราไม่รู้ว่าภพภูมิที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นระดับไหนแล้วหละก็ๆๆๆๆๆๆ
.คนที่จะซวยแบบไม่รู้ตัวก็คือตัวเราเองนี่หละ.
นอนโรงพยาบาลมาหลายแล้วหลายราย.เพราะมั่นใจวิชาตนแต่ไม่รู้
ความสามารถของภพภูมิทางโน้น..แม้ว่าเจตนาตั้งตนเราจะดี.
ประเด็นนี้ควรจะต้องรู้ไว้ก่อนนะ
เพราะฉนั้นอยากช่วยคนอื่นๆต้องขอบารมีพระอย่างเดียวและ
เราต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรเกี่ยวกับการปรับภพภูมิ
และเรื่องที่เกี่ยวกับกฏแห่งกรรมของเค้า ทำอย่างนี้ก่อนเพื่อให้เบาลง
.แล้วอฐิษฐานจิตเพื่อรักษาทำอย่างนี้พออยู่ได้แบบไม่มีผลกระทบ..
ส่วนรักษาตัวเองแบบง่ายๆ.เอาแบบทางเดินธาตุก่อนนะ..
ถ้าเรายังเรียกพลังงานยังไม่ได้.ให้น้อมภาวนา
ในส่วนของพลังงานนั้นๆก่อน.เช่น ไฟเราก็ภาวนาไปว่าเตโชกสิณัง. และกำหนดไปอยู่จุดไหนก็ได้ของร่างกายที่เราชอบ
โดยสังเกตุดูว่าขณะที่เราภาวนาอยู่นั้น ตรงจุดที่เรากำหนดมันหมุนๆเป็นลูกกลมๆได้หรือยัง
ก่อนจะเป็นลูกกลมๆได้มันจะดันๆ ส่ายไปมาก่อนซ้ายขวาแสดงว่าใกล้แล้ว.
ตรงนี้ต้องตั้งใจหน่อยนะ...
.ถ้าได้แล้วค่อยๆกำหนดให้ลูกกลมๆนี้เคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ร่างกาย
เราบาดเจ็บอยู่.ในขณะที่มันทำการรักษาอยู่นั้น.
เราจะกำหนดให้มันเคลื่อนไปไหนก็ไม่ได้..อาจรู้สึกแป๊บๆ วูบว๊าบเล็กน้อย.
ถ้าส่วนที่เรารักษามันเกี่ยวเนื่องกับจุดไหน จุดนั้นจะรู้สึก ว๊าบๆด้วย.เช่น
รักษาเส้นที่ต้นขาอยู่.แต่มันเชื่อกับนิ้วเท้า นิ้วเท้าจะว๊าบๆด้วย ประมาณนี้
ไม่ต้องตื่นเต้น เรื่องปกติ.และ
ถ้ามันเคลื่อนที่ต่อได้แสดงว่ามันรักษาแล้วเสร็จในระดับที่เหมาะสม
ก็ทำไปเรื่อยๆ.มันพอได้ผลอยู่แม้จะไม่หายขาดทันที แต่ทำบ่อยๆทิ้งช่วง
ไว้ ๒ ถึง ๓ วันครั้งต่อไปจะหายได้ถ้าเป็นเรื้อรังมานาน..ไม่เกิน ๒ เดือน
หรือขึ้นอยู่กับลักษณะอาการของโรคที่เป็น..
แต่ถ้าอาการเล็กๆน้อยๆ ที่เป็นไม่นาน.มันพอหายได้ขาด
..ส่วนจะตามด้วยธาตุอะไรเพื่อปิดท้ายก็ใช้คำภาวนาในธาตุนั้นๆ
ประมาณนี้ พอจะมองภาพออกไหม.. -
เมื่อมีความบ่อยเข้า
ทำบ่อยๆเข้า
จะเกิดสมาธิ มีความแนบแน่น มีวิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
องค์ประกอบทั้งหมดนี้เป็น องค์ประกอบของฌาน
จิตที่มีฌาน
จะเป็นบาทในการอธิฐาน
จะประกอบกันกับพลังจิต
มันจึงจะช่วยได้ตามกำลังจิต
หากว่ามีพลังจิตมากน้อยเท่าไร
การรักษาโรค จึงจะบรรเทาและหายได้ในที่สุด
อยากจะรักษาตัวเอง
ต้องฝึกจนรู้จักปีติ ชนิดนึง
ที่เป็นองค์ประกอบของจิตที่กำลังเริ่มเข้าสู่ปฐมฌาน
จะมีอารแผ่ซ่าน ทำให้ขนลุกไปทั้งตัวจากกระหม่อมลงมาไหล่แผ่ไปรอบตัว
หากสามารถ สร้างปีติ ชนิดนี้ได้อย่างใจนึก
สามารถบังคับ รวมปิตีเป็นกลุ่มก้อนได้
ถึงจะสามารถแผ่ไปรักษาโรคต่างๆ ทั้งตนเองและผู้อื่นได้
ยิ่งมีความชำนาญเท่าไร การรักษาด้วยพลังจิตนี้จะรักษาโรคได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ก็ไม่พ้นการฝึกกรรมฐาน
เพราะหากขี้เกียจเสียแล้ว ก็จบกัน -
ตอนเป็นไข้หวัดเคยทำแบบไปดูทีเม็ดเลือดขาวเม็ดเลือดแดงทำงานอย่างไรจึงเป็นไข้หวัดตอนนั้นก็ไม่รู้เรื่องยากๆแบบนั้นหรอก..แต่ก็จะรู้ถึงความร้อนถ้าเชื้อโรคมันอยู่ตรงไหน..แล้วก็จินตนาการว่าเม็ดเลือดขาวนี่แข็งแรงมากสามารถกำจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ..ทำแบบไม่รู้จริงๆ แต่ผลก็คือหลังจากวันนั้นมาแทบไม่เป็นไข้หวัดอีกเลย..อ้อและก็ทำตามแบบดร.สนอง วรอุไรด้วยค่ะ
-
ปวดหนอ...จนขาชาไม่รู้สึก ก็ไม่หายปวดสักที ต้องขยับก้นให้เลือดเดินสะดวก จึงหายปวด ใช้ไม่ได้จริงๆ
สมาธิ....อาจจะสามารถรักษาโรคหรืออาการป่วยบางชนิดได้ แต่ช้าขอรับ สู้ ใช้ "สมาธิ" เป็นเครื่องช่วยในการรักษาจะดีกว่า กล่าวคือ "มีสมาธิ"อยู่เสมอ แต่ต้องรับประทานยาขอรับ จึงจะหายเร็วขึ้น
สมาธิ จะเป็นเครื่องช่วยในการรักษาโรคร่วมกับการใช้ยาขอรับ เนื่องเพราะหากสมาธิดีหรือมีสมาธิพอสมควรจะทำให้ระบบการทำงานของร่างกาย ไม่หลั่งสารที่ต่อต้านยา หรือทำให้ยาหมดฤทธิ์ เร็วเกินไป ถ้าไม่มีสมาธิ หรือสมาธิไม่ดีเท่าที่ควร จะทำให้ร่างกายหลั่งสารต่างๆออกมา ขัดขวาง ต่อต้านฤทธิ์ยา ทำให้อาการป่วยหายได้ยาก หรือไม่หายเลยก็ได้ขอรับ
อีกประการหนึ่ง ปฏิบัติสมาธิ อย่างเดียว ไม่หายจากโรคหรืออาการป่วยส่วนใหญ่อย่างแน่นอนขอรับ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่นั้นด้วย และต้องมีความรู้อีกหลายด้านเป็นสิ่งประกอบ จึงจะสามารถรักษาได้ ขอรับ -
ชอบความรู้ต่างมาดูความเปรียบเทียบ มากกว่าดูถูกความรู้ของคนไทย
นี้คือข้อแตกต่างครับ ^^ -
ตรงวรรคตัวหนังสือสีเขียวอ่ะ...สุดๆ เลย สดๆ ร้อนๆ คือนี่แค่คิดเฉยๆ นะ ยังไม่ได้พาเพื่อนไป วันก่อนค่ะ ทำซุ่มซ่ามๆ เจ็บร้าวไปถึงกลางหลังเลยอ่ะ ตอนที่โดนใหม่ๆ ปุ๊บ ก็ลองทำสมาธิละกำหนดเพ่งๆ ตรงท้ายทอย (ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าความรู้สึกนึกคิดที่ดีๆ คือ การแผ่เมตตา) ตอนนั้นเลยกำหนดภาพพระพุทธเจ้าไว้ตรงที่เจ็บ แล้วขอบารมีอ่ะค่ะ แล้วอัศจรรย์มาก ณ ขณะนั้นและวันนั้นทั้งวันความเจ็บปวดหายไปเฉยเลย แต่พอสองสามวันต่อมา ก็...เอ่า กลับรู้สึกเจ็บอีกแล้ว...ก็เลยเป็นที่มาของกระทู้ถามวิธีการรักษาที่ถูกต้อง ตอนนี้เลยคิดๆ ละก็ไปอ่านโน่นนี่นั่นมาเลยแบบ...อันนี้เค้าจะไม่ยุ่งด้วยแล้วล่ะ...ไรแบบนี้ เรื่องของเรื่องก็คือสงสารเพื่อนน่ะค่ะ เพื่อนป่วยแบบนี้ตั้งแต่เป็นเด็กๆ จนโตป่านนี้ก็ยังป่วยอีก พอเรารู้ว่ามีพี่คนนึง เค้ามีพลังพิเศษพอจะรักษาได้ ก็เลยบอกเพื่อนว่า ไปรักษากับพี่คนนี้ไม๊ จะได้รู้เวรกรรมด้วย
ส่วนการรักษาแบบใช้กสิณไฟนี่คือสงสัยเล็กๆ ว่า...
- ถ้าเราปวดหัวตัวร้อนมีไข้ด้วย นี่ใช้กสิณไฟ แล้วจะไม่ยิ่งร้อนกว่าเดิมหรอคะ
- ถ้าเราปวดตั้งแต่ท้ายทอยไปจนถึงกลางหลัง นี่ใช้กสิณไฟ ได้ใช่ไม๊คะ
- เราจะรู้ได้้อย่างไรว่า ถ้าป่วยด้วยโรคนั้นๆ แล้วต้องใช้กสิณอะไร กสิณไฟนี่ครอบคลุมหมดทุกโรคเลยรึป่าวคะ
ขอชื่นชมหน่อยค่ะ...เราชอบการตอบกระทู้แบบนี้นะคะ...มีแบบฝึกหัดให้ทำด้วย // ทุกทีคุณจะตอบแบบเทศน์ๆ น่ะค่ะ...วัยรุ่นก็เลยเซ็งเป็ด...ที่ผ่านมา เค้าขอโทษน๊าค๊า ฮิฮิฮิ -
ที่อยากใช้สมาธิในการรักษาก็เพราะว่า เราไม่อยากไปโรงพยาบาล(กลัวผีในลิฟท์) ไม่อยากเปลืองค่าหมอ ค่ายา ค่าเอกซเรย์ ฯลฯ อย่างกรณีแค่เป็นหวัด ละไปหาหมอ...มันเป็นอะไรที่อนุบาลมากเลยนะคุณ รักษาเองเหอะ ถ้าตอนพนักงานเคาท์เตอร์ที่ ร.พ ถามตอนลงทะเบียนว่า ไม่สบายเป็นอะไรคะ...ตอบว่า เป็นหวัดค่ะ 555 ตลกๆ ไงไม่รู้นะคุณ คือทุกวันนี้เราพยายามที่จะไม่เอายาขมๆ พวกสารเคมีเข้าตัวนะ ยาสมุนไพรที่ทำมาจากธรรมชาตินี่ถ้าป่วยก็กินอยู่ เช่น ไอหรือเจ็บคอก็จิบยามะแว้งหรือมะขามป้อม// เป็นไข้ปวดหัวก็กินดอกแครเยอะๆ // เนื้องอกต่างๆ และความดันก็ดื่มน้ำใบย่านาง(ไม่ได้เป็นหรอกนะ แต่ดื่มกันไว้ก่อน อิอิ) -
-
ขอถามอีกหน่อยค่ะ พระอาทิตย์ นี่ถือเป็นกสิณอะไรคะ...กสิณสีขาว หรือกสิณแสงสว่าง หรือกสิณไฟ ละถ้าพระอาทิตย์ดวงนี้เป็นสีแดง จะใช้แทนกสิณสีแดงได้รึเปล่าคะ
ลักษณะพระอาทิตย์ท่ี่เห็นบ่อยๆ ในสมาธิจะเป็น ดวงกลมๆ สีขาว ทอแสงโดยรอบเป็นสีขาว แต่มองได้ด้วยตาเปล่าในสมาธิและไม่แสบตา บางครั้งจะมีแสงส่องลงมาเป็นเส้นยาวๆ สีทองอ่อนๆ ผสมสีรุ้งวับๆ แว้บๆ มักจะมองเห็นพระอาทิตย์ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าแจ่มใส บางครั้งดวงอาทิตย์จะอยู่เป็นฉากหลังของยอดพระเจดีย์ธาตุสีทองสว่าง
ถ้าเราจะเอาภาพดวงอาทิตย์สีขาวที่เราเห็นนี้มาใช้มองแทนกสิณต่างๆ ได้ไม๊คะ เพราะดูเหมือนจะเป็นภาพติดตาเวลานั่งสมาธิไปแล้วอ่ะค่ะ -
คืองี้ จะเล่าในส่วนของเรื่องพลังงานนะ..
เวลาเรามองหลอดไฟสีขาวแป๊บหนึ่งหรือมองเปลวเทียนส่วนที่นิ่งแป๊บหนึ่ง
หรือมองพระอาทิตย์แป๊บหนึ่ง.แล้วหลับตาจะเกิดอุคหนิมิตรหรือตัวภาพนิ่งๆ
เริ่มต้นคล้ายๆกัน..ยกเว้นมองสีขาว.การมองพระอาทิตย์ได้ไม่แสบตาถ้าสมาธิ
พอมีพอมองได้ในเวลาที่แดดไม่แรงมาก.แต่ยังไม่เคยเห็นมีปรากฏมาก่อนว่า
เค้าเรียกกสิณพระอาทิตย์หรือเปล่า.มีแต่การดึงพลังงานภายนอกจากพระอาทิตย์
เพื่อมาเสริมกำลังสมาธิหรือเพื่อไว้เป็นเครื่องป้องกันตนอย่างนี้นะมีสำหรับคนที่เปิด
จักระได้แล้วจะสามารถทำตรงนี้ได้..และจากฆารวาส
ที่เคยรู้จักที่เคยฝึกมองพระอาทิตย์มา.ปั่นปลายทุกคนแม้จะบอกว่าตอนนี้ไม่เป็นอะไรก็ตามจะมีปัญญาระบบสายตาทุกคน.
ส่วนที่บอกว่าติดตาเวลาหลับตานั้นเป็นเพราะจิตพอมีกำลังในการสร้างภาพขึ้นมาได้.
ถ้าจะให้ชัวว่าจิตสร้างภาพนี้ได้จริงๆหรือไม่.ต้องลองมองไปที่ผนัง หรือ อากาศแบบลืมตาแล้วนึกๆดูซิว่า.
ภาพที่เราบอกว่าติดตาตอนหลับตามันพอจะมีเค้าโครงขึ้นมาได้ไหม
.ถ้าขึ้นมาได้กำลังระดับนี้เป็นสมาธิเพียงเล็กน้อยและจิตจำจนสร้างภาพได้..
แต่ก็บอกหรือประกันไม่ได้ว่าจะเป็นของกสิณอะไรหรือ
จิตจำหรือสร้างจากกสิณอะไรสำหรับในระดับนี้นะ..เพราะถือว่าใครๆก็สามารถ
ทำได้หากได้มองได้เห็นอะไรบ่อยๆไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ.
และในระดับอุคคนิมิตรนี้ทุกกสิณยังเป็นภาพกสิณที่ทำให้เราเสียเวลาได้
หากภาพมีการเปลี่ยนแปลงหรือสวยขึ้น ที่ทำให้เราเห็นภาพนิมิตรเริ่มต้น
เปลี่ยนแปลงไป.บางคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความสามารถทางจิต.เค้าเลย
เรียกว่านิมิตรกสิณโทษ.(คือทำให้เสียเวลาไม่ตรงทาง)
ยกเว้นว่าเราจะต่อยอดภาพที่ติดตานั้นไปทางกสิณอะไร.
ถ้าจะต่อยอดก็โน้มคำภาวนากสิณกองนั้นไปเป็นกองๆ.
.จนกว่าจะถึงปฏิภาคนิมิตรที่ดูโดยรวมๆแล้วภาพนั้นมีความสว่างดูมีประกาย..
.แต่มาถึงจุดนี้ก็มีประโยชน์ตรงได้กำลังสมาธิที่มั่นคงนำมา
ใช้รักษาอารมย์ระหว่างวันและก็ทำให้เราคาดคะเนได้ว่าเราเคยได้กสิณ
อะไรมาแล้วในอดีตชาติเท่านั้นไม่มีไร.
.เพราะมักจะมีอุคนิมิตรกสิณกองอื่นๆมาแทรกทำให้
เราช้าอีกเหมือนเดิมในช่วงนี้..แต่ถึงระดับนี้ถ้าพูดถึงว่าเอาไปใช้งานอะไร
ได้บ้างที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองบอกได้ว่า..ยังทำอะไรไม่ได้.
เอาไว้โม้ให้เพื่อนๆฟังได้อยู่..หรือให้มันหลอกว่าเราเก่งแค่นั้นหละ ๕๕๕
ยกเว้นว่าจะสามารถต่อยอดบังคับปฏิภาคนิมิตรกสิณกองที่เราฝึกให้สามารถบังคับเคลื่อนไหวได้ตามที่ใจเราต้องการ.
ช่วงนี้ก็ต้องระวังการเข้าใกล้นิมิตรมากไป จะโดนดูดไปโผล่อีกภพภูมิหนึ่ง..
ใกล้ไปก็บังคับภาพไม่ได้ อยู่พอดีภาพก็ได้แต่ดูเฉยๆทำอะไรไม่ได้อีก
ต้องอยู่ในโหมดนี้ให้ได้ถ้าต้องการจะดึงพลังขึ้นมาได้(คนอื่นๆสัมผัสได้)
หรือใช้งานในนิมิตรได้หรือใช้งานได้ในช่วงที่จิตเป็นทิพย์
ต้องฝึกบังคับนิมิตรให้ได้.อย่างน้อยต้องได้กองแรกที่ฝึก.และไปฝึกสร้างกำลัง
จิตต่ออีกรอบด้วยการฝึกรวมนิมิตรหลายๆกองในนิมิตรต่ออีกรอบ
เดี๋ยวถึงจุดนั้นมันจะมีอะไรๆมาให้เราฝึกเองไม่ต้องห่วงถ้าเข้าถึง.
และแม้ว่าจะถูกดูดไปอยู่ที่อื่นๆก็ต้องไม่สนใจและฝึกให้ได้..
และช่วงนี้จะถูกทดสอบการใช้ฤิทธิ์
การทดสอบเรื่องความเมตตาแบบที่เราจะคาดไม่ถึง.. และอีกหลายอย่าง.ผ่านช่วงนี้ได้จะสามารถดึงพลังขึ้นมาใช้งานได้
ในขณะลืมตาแบบที่ไม่ต้องมานั่งบริกรรมภาวนาอะไร.ส่วนถ้าจะคิดเพื่อฝึก
ไปเสกโน้นเสกนี้ ถ้าจะทำได้คล่องฝึกชาตินี้คงชาติหน้าสำเร็จพอดี..
หรือถ้าความสามารถถึงระดับปฏิสัมภิทาญานไม่ว่ากัน.ส่วนมาก
ที่เห็นจะเป็นพระอย่างที่เราๆก็รู้ว่าเป็นใคร.ถ้าเป็นฆารวาสถ้ามีความสามารถ
เข้าฌาน ๔ ได้ภายใน ๑o วินาทีและถอยมาอุปจารสมาธิ
หรือกำลังจิตมากล้นก็ไม่ว่ากันอย่าว่าไม่มีนะ.ส่วนมากจะมาทางสายอธิษฐาน
จิตนี่หละที่เค้าทำได้....ประมาณนี้ -
- เอางี้นะคะ ถ้ากำหนดว่า พระอาทิตย์สีขาว...คำภาวนาจะใช้กสิณอะไรดีคะ ช่วยสรุปให้หน่อยได้ไม๊คะ
- อันนี้เราสงสัยนะคะว่า ภาพพระอาทิตย์ของนาซ่าที่เค้าถ่ายมาได้จริงๆ เป็นภาพแบบไฟลุกทั้งดวงใหญ่ๆ มีเปลวปะทุด้วย อันนี้จะเรียกเป็นกสิณไฟได้ไม๊คะ
- ตอนที่เห็นพระอาทิตย์ในสมาธิเนี่ย คือเราไม่ได้ฝึกกสิณอยู่นะคะ ก็ทำสมาธิปกติทั่วไป พุทธ-โธ ธรรมดาๆ แต่พอนั่งไปเรื่อยๆ จากภาพพระพุทธเจ้าหรือภาพพระพุทธรูปก็กลายเป็นภาพพระอาทิตย์สีขาวโผล่ขึ้นมาให้เห็นแบบไม่ตั้งใจ แต่ละครั้งที่นั่งสมาธิ บางครั้งก็เห็น บางครั้งก็ไม่เห็น ซึ่งความถี่ที่เห็นนี่จะบ่อยจนกลายเป็็นภาพ อืมมม...เรียกว่าไงดี...ภาพติดตาเวลาอยู่ในสมาธิ(ไม่ใช่ภาพติดตาที่จะเอามาดูกับกำแพงขาวๆ ได้อ่ะค่ะ) ดังนั้น เราก็เลยคิดจะเนียน...แฮ่ะๆ ด้วยการเอาภาพพระอาทิตย์ที่เห็นโดยไม่ตั้งใจในสมาธิเนี่ย แทนการทำกสิณได้ไม๊อะไรแบบนี้ ละถ้าเราจะทำเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้คำภาวนาว่าเป็นกสิณอะไรดีอ่ะค่ะ
- เมื่อคืนลองภาวนา เตโชกสิณัง โดยใช้เปลวไฟจากเทียนไข(ไม่ได้จุดเทียนจริง แค่นึกเอาเองค่ะ) เพื่อเพ่งตรงหัว(เมื่อคืนปวดหัว+ปวดท้ายทอยถึงกลางหลังอยู่แล้วด้วย เลยเพ่งตรงปวดหัวก่อนค่ะ) เราลองทำตามที่คุณบอกนะคะ ให้นอนราบ (เราก็นอนราบแบบนั้นทั้งคืนเลยค่ะ 555) แต่ไม่ได้กินยาพารานะคะ พอเพ่งไปได้ซักแป๊บ ก็เอะใจ ต้องขอบารมีด้วยไม๊...ก็ขอบารมีด้วย เสร็จก็เพ่งต่อ แบบ บางทีมีเผลอไปมองเทียนไขด้วยอ่ะ จริงๆ ต้องมองแต่ตัวเปลวไฟเท่านั้นใช่ไม๊คะ ละที่เด็ดกว่านั้น 555 ขำตัวเอง ตอนเกือบท้ายๆ ของการฝึกภาวนากสิณมีเผลอแบบหายใจเข้า...เตโช พอหายใจออก...กสิกรรม 55555 อันนี้ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะ สรุป...การฝึกครั้งนี้ไม่ผ่านค่ะ เพราะภาวนาจนง่วงหลับไป พอตื่นมาประมาณตี 5 ก็หายปวดหัวแล้วค่ะ แต่ยังคงเจ็บหลังด้านบนอยู่
หน้า 1 ของ 8