อัตตา คืออะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ชั่งเถอะ, 28 มีนาคม 2018.

  1. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    จับมันได้แล้วเห็นหน้าตามันแล้ว
    ก็จะเห็นการทำงานของมัน

    ตัวอัตตาคือตัวมหาภัย
    เป็นมหาโจร

    เราฝึก สติ สมาธิ ปัญญา เพื่อไว้จับโจรที่แอบซ่อนอยู่ในบ้าน
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ทีนี้ ถ้า จขกท เข้าใจ อนุปาทิน

    คำพูดที่ มุขปาฐะ พูดกันปากต่อปาก ในรูปเสียง
    หรือบันทึกแบบเขียนใช้แสงเงา วรรณะ แม้นที่
    เปนสัทธรรม ก้เปน อนุปาทิน

    วาสนายังมี เหน ปริฬาหะ ปัป เข้าใจได้ตาม
    กรรมเผ่าพันธ์ดี ชาติดี ภพดี มีกัลยาณธรรมที่ถูกต้อง

    ถ้าวาสนาไม่มี กรรมเปนเผ่าพันธ์เลว ชาติชั่ว
    ภพคบมิตรชั่ว ได้ยินปัป เอ้ยตำรา! สัทธรรม
    อันตรธานหายไปทันที ไม่อาจหยั่งสู่จิต
    มีหูซ้าย ก้มีหูขวา ห่างกันสามวาสองศอก

    ดังนั้น

    แม้น สัทธรรม ที่พระพุทธองค์แสดง ก้เปนสุญญตา
    เปนโลกุตระตลอด ไม่เคยทรงใช้ปาฏิหาร์ย มีแต่
    อนุสาสนีย์ปาฏิหาร์ยทุกวรรค ทุกคำ ทุกอักขระ


    นะ

    ถ้าเงี่ยโสตสดับ ไม่แล่นไปคว้า วิญญานในอดีต
    จิตไม่มี สัมมาสมาธิ ชั่วช้างกระดิกหู จะเกิด
    ทิฏฐิจิตเที่ยง วิญญานหิ้วหวีฮีตราหน้า

    สัทธรรม เลือนหายจากจิต เพราะ กรรมให้ผล ก้ไม่เหน

    ถ้าเหน

    สังขารทั้งหลาย ขนพองสยองเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2018
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    อย่าถามว่าเคยเห็นหรือไม่ ส่วนตัว
    ไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรทำนองแบบนี้
    บอกไว้เฉยๆครับ..

    แต่ให้คุณชั่งเถอะ ลองฟังที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
    เด่วจะลองอธิบายแบบนี้นะครับ ในภาพรวมๆนะครับ
    คือ ที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ ฝากไว้พิจารณา
    แต่ส่วนตัวจะไม่ยังตัดสินอะไรนะครับ

    ๑.เริ่มต้น
    ให้ลองนึกภาพดวงจิตที่เกิดไว้ก่อนนะครับ
    ตั้งมันไว้ตรงกลางนะครับ
    ว่ามันเป็นดวงกลมๆ ทำไมถึงบอกว่าเป็นกลมๆ
    เพราะว่ามันมีตัววิญญานที่คุณกำลังสงสัยนี่หละครับ
    มาร่วมกระบวนการในการเกิดแล้ว.....
    ถ้าไม่มีตัววิญญานนี้ จิตมันจะไม่มีรูปร่างครับ
    ตรงนี้ตามทันนะครับ....

    ต่อมา ๑.ถ้าใครก็ตาม ที่หนักไปทางเจริญสติ
    และตามด้วยสมถะ.....มันก็จะเหมือนมี
    คล้ายๆฝ่ามือ มาอยู่ข้างหลัง ดวงกลมๆ
    คล้ายๆว่า มันตามไอ้ดวงกลมๆนี้อยู่
    บุคคลที่หนักทางสมถะ ก็จะเห็นดวงจิต
    ตนเองได้เป็นเรื่องปกติธรรมดาครับ.....
    แต่จะบอกว่า มันยังไม่ครบกระบวณการปรุงแต่งทั้งหมด
    ของมัน......และไอ้ที่คล้ายๆ ฝ่ามือตรงนี้
    มักจะเรียกกันว่า ผู้ดู ครับ ฟังไว้ก่อนนะ

    ที่นี้ใครก็ตาม ที่ไม่เน้นสมถะ แต่มาเน้นวิปัสสนาแทน
    ก็จะไม่เห็น ไอ้ที่คล้ายๆฝ่ามือ หรือผู้ดูตัวนี้
    ที่สามารถทำให้เห็นดวงจิตตัวเองได้ .....
    ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ....

    แต่จะไปเห็น กระแสตัวหนึ่ง ที่มันส่งออกมาจาก
    ดวงกลมๆนี้แทน. กระแสที่ออกจากดวงจิตนี้
    มันจะเป็นเส้นๆส่งออกจากตัวจิต ไปกระทบอะไร
    ก็ตามภายนอก ผ่านทางอายตนะของเรา
    ยกตัวอย่างกรณีเป็นวัตถุแข็งๆก่อน
    เช่น ไปเห็นวัตถุอย่างหนึ่ง มันก็จะส่งกลับไป
    กลับมาที่ตัวจิต และไปค้นสัญญาที่มันเก็บไว้ในดวงจิต
    ทำให้มันเรียก วัตถุนั้นได้ถูกว่า เรียกว่าอะไร
    นี่เป็นการทำงานของมันปกติทั่วไปครับ
    เราเรียกกระแสตัวนี้
    หรือตัววิญญานที่ส่งออกตัวนี้ ว่า. ผู้รู้ ในที่นี้
    มันรู้เพราะสัญญาที่มีในจิตนะครับ ถ้าเราไปเห็นวัตถุอย่าง
    หนึ่ง แต่ไม่มีสัญญาในจิตเก็บไว้มาก่อน เราก็จะเรียก
    ไม่ถูกว่า มันเรียกว่าอะไร มันคืออะไร สังเกตุดีๆนะครับ
    ว่ามันรู้และเรียกถูก เพราะประกอบด้วยสัญญาในจิต
    แต่พวกนี้ ไม่ใช่ปัญญาทางธรรม อะไรนะครับ...

    ยกตัวอย่าง กรณีที่กระแสที่ส่งออกจากจิต ไปกระทบ
    ในส่วนที่เป็นนามธรรมบ้าง......
    เช่น ในขณะที่เราทำสมาธินั้น อยู่ดีๆ เราเกิดเห็นเป็น
    คนแต่งกายเหมือนเทวดาขึ้นมา.......
    ตัววิญญานที่ส่งจากจิตนี้ มันทำงานอย่างไร
    มีสองแบบ คือ ตัวจิตส่งตัววิญญานนี้ออกไปกระทบเอง
    และ เป็นกระแสที่มาจากภายนอกส่งมากระทบตัววิญญาน
    ของจิต.....ไม่ว่าเหตุจะเกิดจากการที่ตัวจิตส่งออกไป
    หรือภายนอกส่งเข้ามา.....มันก็จะสามารถเกิด
    เป็นรูปร่างขึ้นมาได้ปกติ และมันจะเกิดเป็นรูปร่างอะไร
    มันก็ย่อมเกิดเป็นรูปร่าง ที่มีตามสัญญาที่มันเก็บไว้ใน
    จิตของเราเองนั่นหละครับ.....


    หลักสังเกตุ ทำไมฝรั่งเห็นเทวดา เป็นแบบ แต่งชุดขาวๆ
    หลวม หน้ามีเหลี่ยม ผมดูเส้นหนาๆ แต่ทำไมเราๆเห็น
    เป็นชุดไทย มีชฏา พอนึกออกไหม...พูดง่ายๆว่า
    การจะสร้างเป็นภาพให้เราระลึกได้ เรียกได้ถูก
    มันก็อาศัยสัญญาในจิตเราเองนั่นหละครับ
    ซึ่งตรงนี้ เป็นกระบวณการเกิดเป็นภาพของมันปกติครับ
    ซึ่งทำให้เรียกได้ว่า ตรงนี้คือวัด ตรงนี้คือป่า ตรงนี้คือมนุษย์
    นี่คือทั่วๆไป แต่มันไม่ใช่เป็นตัวปัญญาทางธรรม
    และไม่ได้เกิดมรรคผลอะไรนะครับ เพราะเป็นแค่กระบวน
    การธรรมชาติของจิตปกติ ที่ส่งตัววิญญานออกไป...



    ในส่วนนามธรรมที่เป็นตัววิญญาน ถ้าหากได้ส่งออกไปแล้ว
    มันก็ยังเป็นนามธรรมอยู่ครับ และที่สำคัญก็คือ
    ตัวจิตได้เกิดจนเป็นวงกลมแล้ว ดังนั้น หากเราแค่คิด
    หรือมีความคิดฝั่งลึกในใจ อะไรก็ตาม ตัววิญญานตัวนี้
    มันก็จะสามารถมาค้น ในสัญญาที่เก็บในใจ
    ให้สร้างเป็นภาพ อะไรก็ได้ ทั้งนั้นครับ
    ถ้าไม่มีสัญญา ภาพเทวดาใส่ชฏา ถ้าเราเคยมีความคิด
    ว่าเทวดาจะต้องรูปร่างอย่างไร มันก็จะสร้างเป็นภาพ
    ที่เหมือนกับที่ตัวจิตเรามันเก็บไว้นั่นหละครับ....
    ซึ่งถ้าคุณเข้าใจว่า อัตตามันมีหน้าตาอย่างโน้นนี่นั้น
    มันก็จะสร้างให้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจได้ เป็นเรื่องปกติครับ
    แม้ว่า คุณจะเห็นได้ ว่ามันไม่ใช่เรา แต่มันเห็นไม่ครบกระบวนการเพราะว่า มันไปเห็นตอนที่ จิตเรามันได้เกิด
    ไปแล้วเพราะตัววิญญานตรงนี้มันทำงานนั่นเองครับ

    สรุปคนที่หนัก สมถะ จะเห็น ผู้ดู(คล้ายๆฝ่ามือที่อยู่หลังจิต
    และจะมองเห็นตัวจิตเป็นดวงกลมๆได้)
    แต่ว่า จะไม่เห็นกระแสที่ส่งออกจากจิต ที่เรียกแบบสมมุติ
    ว่าตัว ผู้รู้เหมือนคนที่หนักวิปัสสนา และจะเข้าใจว่า
    ตัวจิตกับตัวผู้รู้คือตัวเดียวกัน

    ในทำนองเดียวกัน
    คนที่หนัก วิปัสสนา จะเห็น ตัวผู้รู้ คือตัวกระแสที่ส่งจากจิต
    หรือตัววิญญานที่ส่งออกไปกระทบได้เป็นปกติ แต่จะไม่เห็น
    ตัว ผู้ดู(คล้ายๆฝ่ามือและไม่เห็นดวงจิตตัวเอง)และจะเข้าใจว่า ตัวผู้ดูกับตัวจิตเป็นตัวเดียวกัน
    เป็นเรื่องปกติครับ......

    ถ้าทั้ง ๒ ฝ่ายมาคุยกัน ประกันได้ว่า คุยอย่างไรก็ไม่จบครับ
    เพราะมันเห็นกันคนละแบบ และมันไม่มีใครผิดใครถูก
    เพราะมันเจอสภาวะไม่เหมือนกัน...
    เราก็จะเชื่อมั่นในเฉพาะสภาวะที่เราเจอ
    แต่มันยังไม่คลอบคลุมทั้งหมดครับ
    ประเด็นนี้พอเข้าใจเนาะ....


    เป็นเหตุที่มาว่า ไม่ว่าเราจะหนักทางสมถะหรือหนักทาง
    วิปัสสนา เราก็ไม่ควรไปยึด และควรหาความเป็นกลาง
    ระหว่างสมถะกับวิปัสนาตรงนี้ให้เจอ...
    ด้วยการมาเพิ่มการสังเกตุ เหตุแห่งการเกิด
    เหตุที่ทำให้ดับ. เกิดเพราะอะไร กับเพราะอะไร....
    หรือจะเพิ่มสมถะ ก็แล้วแต่เหตุผลของแต่ละบุคคล

    เราถึงจะมองเห็นได้ ทั้ง ๓ ส่วน คือ ผู้ดู ดวงจิต และผู้รู้
    และจะรู้ว่า ทั้ง ๓ ส่วนนี้ มันยังเป็นแค่กระบวณการ
    ปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ที่มันเกิดขึ้นได้เป็นปกติครับ
    และมันเป็นคนละตัวกันเลยครับ.....


    ถ้าเราเริ่มเห็นมันได้แล้ว....
    เราก็จะเริ่มเข้าใจว่า. ทำไมภาพนั้นถึงเกิดได้
    ทำไมเราถึงเห็นเป็นภาพอย่างนี้ได้
    (ย้ำว่า ไม่ใช่เห็นเป็นภาพอะไรแล้วเรียกถูกนะครับ)
    พูดง่ายๆจะรู้ว่า ภาพมันเกิดได้เพราะอะไร
    ทำไม่เราเห็นอย่างนั้น และจะดับมันได้อย่างไร
    และภาพที่เห็นนั้น มันก็จะยังสามารถเปลี่ยนแปลง
    ได้อีกไหม เปลี่ยนเป็นภาพอะไรก็ได้อีกไหม.....

    ตรงนี้ถึงจะเริ่มเข้าสู่วิถีปัญญาญาน ซึ่งจะต่างจาก
    ปัญญาทางธรรมนะครับ
    ปัญญาทางธรรม ถ้าเรามีกำลังสติมาก
    มีปัญญามาก ไม่ว่าเรื่องอะไรเข้ามากระทบ
    เราจะตัดมันได้เร็วมาก อาจจะเร็วกว่าวินาที
    แต่ว่า เรื่องนั้นๆที่เคยเข้ามา มันจะยังย้อนกลับ
    เข้ามาได้อีกเรื่อยๆครับ บางคนเคยสงสัย
    ว่าเรื่องนี้ เราเคยผ่านแล้ว ทำไมยังระลึก
    นึกขึ้นได้อีก นั่นหละครับ....

    ไม่เหมือนปัญญาญาน ถ้าเรื่องนั่นเคยผ่านเข้ามา
    และเราผ่านกระบวณการรู้เหตุที่มันเกิด เหตุที่มันดับ
    ได้แล้ว มันจะหายไปจากสัญญาความจำได้ในจิต
    มันจะไม่มีเชื้อที่จะยังสร้างให้ตัววิญญาน
    ส่งออกไปจากภายในไปกระทบ
    หรือไม่เหลือเชื้อนั้นๆ ไปรับการกระทบ
    ในกรณีที่เหตุเกิดจากภายนอกเข้ามานั่นเองครับ


    ถ้าเราผ่านตรงนี้ไปได้ ต่อไปจิตเรา
    มันก็จะเริ่มคลายตัวเองได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น
    ไม่เหมือนปัญญาทางธรรมที่แม้เคยคลายตัวเรื่องนั้นได้
    แต่เราจะประหลาดใจว่า ทำไม่มันขึ้นมาได้อีก....

    เพราะยังไม่รอบรู้ในกระบวนการเกิดดับของมัน
    จริงๆนั่นเองครับ มันจึงยังมีเชื้อให้เกิดได้อยู่


    ปล. ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปครับ
    ที่เขียนมา ถือว่า ฝากไว้พิจารณาก็แล้วกัน

    มายาจิต เป็นเพียงแค่กลจิตประเภทหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ยึดไม่ได้
    ดังนั้น การเห็นแบบหลับตา ทำสมาธิอะไร
    มันยิ่งกว่า ที่จะไปยึดอะไรได้เลยนะครับ...

    เราปฏิบัติเพื่อให้เข้าใจกระบวณการตรงนี้ของมัน
    ตัวจิตถึงจะพอมีโอกาสที่จะพ้นได้ครับ


    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ...



     
  4. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ถ้าเห็น เทวดาใส่ชฎานี้ คิดว่า คุณนพ มโนไปไกลแล้วครับ
     
  5. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ผม คิดว่าคุณ นพ เห็นจริงๆ ครับ แต่ที่เห็น นั้นไม่จริง โดน มโนหลอกแล้วครับ

    เห็นยังไง ก็เห็นตามนั้นครับ ไม่มีสัญญา ไปบังคับเค้าได้หรอกครับ ไปเห็น นางฟ้า โชว์ นม นี้ เค้าก็ตบเอาสิคับ ของจริง ต้องเห็นตามจริงครับ เราเอาสัญญา ไปเห็นไปบังคับเค้าไม่ได้

    ที่ท่านนพ บอก วิปัสนา จะไม่เห็น พวกนี้ มาหาสิตปัฏฐาน คือ วิปัสนา นี้ละคือ ตัวเห็นของจริง ของจริงๆ ไม่ใช่มโนนะครับ
     
  6. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    สังเกตุเข้ามาตรงนี้เลยครับ ตรงที่ขีดเส้นใต้

    จะลงมาที่จิตเข้าไปเลย
    กำหนดรู้เฉยๆ ไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งไปพากต่อ หรือให้ค่า ว่ามาจากไหน
    เอาแค่รู้เฉยๆก็เพียงพอ

    จิต จดจำสภาวะตรงนี้เองได้เมื่อไร สติสัมโพฌชง จะเกิดขึ้น
    การแยกรูปนามเป็นครั้งแรกจะเกิดขึ้น

    ธรรมอันเป็นฝ่ายปรมัถ จะเริ่มเกิดขึ้น มันจะพ้นสมมุติบัญญัต จะไม่มีชื่อเรียก
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เห็นอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น นั่นหละคือหลงในสิ่งที่เห็นแล้ว
    เอาสัญญาไปบังคับไม่ได้ เพราะกำลังสติและสมาธิอ่อนครับ
    ว่าผมโดนมโนหลอก นี่คือ นิสัยที่คิดว่า ความคิดตัวเองถูกต้อง
    และคิดว่าตนเองเก่งกว่าใครเค้า แต่สุดท้ายกลับบอกว่า
    เห็นอย่างไรก็อย่างนั้น พยายามอุปโลกน์ว่ามันมีจริง
    ไหนถ่ายรูปมาให้ผมดูได้ไหม ทำให้ภาพนั้นยังคงอยู่
    ได้ตลอดจนผมเดินไปดูแล้วเห็นเหมือนคุณได้ไหม
    ทำไม่ได้หรอก แต่ก็ยังยึดว่า มีเป็นจริงเป็นจัง
    เหมือนคนถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง
    คือว่าคนอื่นๆมโน แต่ตัวเองที่ติดการมโนแบบ
    ไม่รู้ตัว นึกออกไหมครับ

    ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจที่คุณเขียนนะครับ
    แต่ตัวคุณเอง มีความสามารถไม่พอ
    ที่ส่วนตัวพยายามอธิบายให้คุณฟัง
    บวกกับอัตตาตัวตนแบบที่ไม่รู้ตัวของคุณเอง

    คุณช่างเถอะครับ ภาษาไทยคุณยังพอใช้ได้อยู่ไหมครับ
    ส่วนตัวนึกว่า คุณจะฉลาดกว่านี้นะครับ...
    แต่ก็อย่างว่า จิตแยกรูปแยกนามยังไม่ได้
    แต่ดันไปเอาแต่ธรรมสูงๆมาอ้าง
    ก็จะหลงตัวเอง หลงสภาวะอย่างนี้หละครับ
    ถึงได้มากล่าวว่า ข้าพเจ้ามโน เพราะตัดตอน
    เอามาบางส่วน แทนที่จะอ่านให้จบทั้งบริษท
    ว่ามันหมายถึงอะไร กำลังจะสื่ออะไร

    ย้ำว่ากรุณาอ่านทั้งบริษทครับ ที่บอกเรื่องการเห็น
    นั่นคือ ส่วนตัวจะพยายามอธิบายว่า
    ทำไมมันถึงเห็นเป็นภาพได้
    คือ พูดง่ายๆว่า กำลังจะอธิบายกระบวณการเกิดเป็นภาพ
    ผมไม่ได้บอกว่า ผมหรือใคร จะเห็นเป็นเทวดา
    มันคือการยกตัวอย่างเปรียบ เพื่อให้พอเข้าใจ
    กระบวณการเกิดของมันครับ
    (บอกไปว่า ทำไมฝรั่งเห็นแบบนี้
    คนไทยเห็นแบบนี้ คือยังไม่เกทหรือครับ
    ว่ามาจากสัญญาในจิตตนเองนั่นหละครับ)
    ไม่เข้าใจจริๆว่า ทำไมจะต้องให้มาคอยอธิบาย
    ภาษาไทยเป็นภาษาไทย เพื่อย้ำความเข้าใจอีก..


    ส่วนตัวพอเข้าใจ
    เขียนขนาดบอกว่า เห็นด้วยตาเปล่ายังยึดไม่ได้
    ยังจะมาเอาคำพูด ของครูบาร์อาจารย์มายกตน
    ข่มคนอื่นๆเพื่อให้ตนเองดูดีอีก....นี่หละเค้าเรียกอัตตา....

    ถ้าคุณไม่มีสัญญาอะไรในจิตคุณจะไม่สามารถ
    เห็นเป็นภาพอะไรได้หรอกครับ
    ไม่ว่าดวงจิตไหนๆก็ตาม


    และตราบใดที่คุณยังเห็นเป็นภาพอะไรก็ตาม
    แสดงว่า มันยังอาศัยสัญญาอยู่ครับ
    คือมันยังมีการเกิดเนื่องจากตัววิญญานอยู่
    กระบวณการเกิดก็อธิบายไปแล้ว
    ยังจะมาโชว์โง่ ยก อัตตา ยกตนข่มท่านอีก...

    ไม่ใช่ว่าเห็นอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น
    นี่มันบอกว่าคุณหลงในการเห็นแล้วครับ

    และมันฟ้อง ว่า กำลังสติทางธรรม
    ของคุณมันโครตอ่อน และกำลังสมาธิก็อ่อนมาก
    ตัวจิตถึงไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยน
    ภาพแรกที่เห็นได้ ความเข้าใจคุณมันฟ้องนะครับ
    พอนึกออกนะ ถ้าคุณมีกำลังสติและสมาธิ
    เพียงพอที่จะรักษาอารมย์ไว้ได้ ภาพที่เห็นมันสามารถ
    เปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้วครับ ไม่ว่าเป็นภาพอะไร

    แล้วจิตดันคิดไปได้ ไปยกเอาภาพ นางฟ้าโชว์นม
    มาเป็นตัวอย่าง นี่มันบอกกมลสันดานบางอย่างนะครับ

    พวกที่โดนผีหลอกในสมาธิ ก็คิดอย่างนี้หละครับ
    พอเจอวิญญานปลอมเป็นระดับสูงๆ เห็นแค่วิสองวินะ
    เลยเข้าใจว่า เป็นระดับสูงๆมาจริงๆ....
    นี่หละเค้าเรียกว่า หลงนามธรรม
    และไม่เข้าใจกระบวนการเกิดภาพ
    และกำลังสติและสมาธิอ่อนมาก
    แต่เข้าใจว่า ตนเองเก่งที่เห็นได้...อายเค้าอย่าพูด


    และจึงไม่แปลกที่คุณคิด
    ว่ามันมีตัวตนจริงๆ และก็ไม่แปลกใจอีก
    ที่คุณอุปโลกน์ ว่าอัตตามันมีตัวตน
    จะบอกว่า คุณหลงไปไกลแล้วครับ
    ตัววิญญานเป็นนามธรรมแท้ๆ
    ยังอุปโลกน์ว่า มันมีตัวตนได้
    ประหลาดแท้....



    ถึงได้บอกว่า แม้จะเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    ก็ยังยึดไม่ได้ เพราะมันมีกระบวณการในการสร้าง
    ให้เห็นอยู่. คือพูดในระดับลืมตาเห็นได้นะครับ
    ไอ้ประเภท หลับตาเห็นผมไม่เอามาพูดหรอกครับ
    มันกระโหลกกะลา...

    ไอ้ที่คุณเข้าใจว่า เห็นนางฟ้าอย่างโน้นนี่นั้น
    เห็นอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น นั่นคือ คุณไม่เข้าใจ
    กระบวณการเห็นตรงนี้เลย ตรงนี้เป็นนามธรรม
    มันจะเห็นเป็นอย่างไรก็ได้ แม้จิตดวงนั้นจะเป็นดวง
    ดวงเดียวกันหรือคลื่นพลังงานเดียวกัน

    มาบอกว่าข้าพเจ้ามโน แต่ตัวเองกลับพูดว่า
    เห็นอย่างไรก็อย่างนั้น
    ก็แสดงว่า คุณคิดว่า เป็นอย่างที่คุณเห็นนั่นหละครับ
    คิดว่า สิ่งที่ตนเห็นคือใช่ของมันอย่างนั้น
    มันมาจากสัญญาในจิตทั้งนั้นหละครับ
    คุณไม่เข้าใจตรงนี้ เพราะจิตแยกรูปแยกนามไม่ได้
    แต่กลับไปยกเอา คำสอนระดับมหาสติปัฏฐานมา
    อ้าง มากล่าวเพื่อเสริมคำพูด และความเข้าใจตนเอง..


    ถ้ายังมีผลของสมถะ ยังจะเห็นเป็นภาพได้ เรื่องปกติ
    ส่วนถ้ามาวิปัสสนา ยังไงก็ไม่เห็นเป็นภาพตรงนี้เห็นด้วย...

    ก็ผมเคยบอกไปแล้วว่า ตัวคุณเอง จิตยังแยกรูปแยกนามไม่ได้
    แล้วแถมยังยึดในสิ่ง ที่ตนเองเข้าใจ ว่าถูกต้อง ว่าต้องใช่
    แล้วยังติดนิสัย แสดงธรรมด้วยการไปยกคำครูบาร์อาจารย์
    มายกให้ตนเองดูดีอีก ไปเอาการมโนระดับมหาสติปัฏฐานมา
    พูด คุณเข้าใจไหม คุณยังบวกลบคูณหารไม่ได้
    แต่พยายาม เที่ยวไปบอกคนอื่นๆว่า ตัวเอง
    ดิฟและอินทรีเกรทได้ มันดูกันออกนะครับ

    จากแค่คำถามระดับ บวกลบ
    คุณถึงตอบแม้กระทั่งคำถาม พื้นๆพวกนี้
    ของคนที่จิตแยก
    รูปแยกนามได้ปกติ จะเข้าใจได้ดีไม่ได้เลยนั่นหละ

    ไอ้ที่มาว่าส่วนตัวมโน นี่คือ กลมสันดานของคนที่ไม่ยอมรับ
    ความเป็นจริง กลัวว่าจะเสียฟอร์ม เพราะโม้ไว้เยอะ
    และยึดในสิ่งที่ตนเองเข้าใจและได้เห็น
    โดยที่ไม่มีความเข้าใจในด้านนามธรรมเลยซักนิด
    แต่คิดว่า ตนเองเก่ง....กว่าใครเข้า
    ทั้งที่ทางปฏิบัติ คุณยังอยู่ในระดับวิ่งแข่ง
    กับคนอื่นๆเพื่อมาเกิดอยู่เลยครับ.......


    ประเด็นนี้ถามไม่เชื่อ คุณไปหาพระที่เก่งๆด้านวิปัสสนากรรมฐาน
    มาเลยครับ เอาคุณกับผม สองคนไปนั่งเสวนาต่อหน้าท่าน
    คุณจะได้รู้ตัวเองบ้าง ไม่เอาพวก แปลภาษาไทยมา
    แล้วเสริมความเข้าใจที่ไม่ได้มาจากการปฏิบัติแล้วยก
    ว่าเป็นที่สุดมานะครับ เสียเวลาไปหา...
    ส่วนเรื่องความสามารถทางจิตคุณไม่มีอยู่แล้ว
    ไม่ต้องไปพิสูจน์อะไรมากมาย

    เพราะแค่แยกรูปแยกนามพื้นๆยังไม่เข้าใจ
    แต่ไปติดในวิธีระดับสูงๆแล้วก็มโนไปเอง
    และยึดว่าตนรู้ ยึดเป็นตัวตนอย่างนี้...
    ชาตินี้ทั้งชาติอย่าหวังว่าจะเกิดผลจริงกับตัวจิตเลยครับ
    คนเรา มันต้องเริ่มจากพิ้นฐานมาก่อนทุกคนนั้นหละครับ
    หัดสำเหนียกตัวเองไว้บ้างนะครับ.....

    และเรื่องการอธิบาย กระบวนการเกิดต่างๆเหล่านี้
    เรื่องการไปยึด นามธรรมจนเป็นอัตตาแบบนี้
    ส่วนตัวได้อธิบายคุณไปแล้วครบ ๓ ครั้งแต่
    ด้วยกมลสันดาน ที่ยึดในสิ่งที่ตนรู้
    แล้วนิสัยยกตนข่มท่านแบบนี้...
    ชาตินี้คุณหมดโควต้าสำหรับเรื่องแบบนี้แล้วครับ
    เชิญคุณยึด คุณหลงไปของคุณคนเดียวเถอะครับ
    แม้ว่า ข้าพเจ้าหรือใครพยายามที่จะหา
    อุบายที่จะอธิบายให้คุณฟังแล้ว แต่คุณก็ยัง
    ไม่เข้าใจ ถือว่า ตัวใครตัวมันแล้วกันนะครับ
    แต่ไม่ต้องมาย้อน ยกคำพูดครูบาร์อาจารย์
    มาข่ม บอกให้ผมห่วงตัวเองนะครับ

    ปล. อัตตาซ้อนอัตตาแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก.... Bye นะครับ
    เสียเวลาอธิบายจริงๆ เหมือนพูดให้กระบือฟัง
    ไม่นึกว่า จะฉลาดน้อยป่านนี้ ป่านนั่นพูด โม้ แต่
    ระดับการฝึกขั้นสูงๆมีการมาข่มกันอีก

    ไม่มีความสามารถทางจิต(กล้าเถียงไหม)
    จิตก็แยกรูปแยกนามไม่ได้ (กล้าเถียงไหม)
    ยังคิดว่าตนเองเก่งกว่าใครอยู่ได้
    เชิญใช้ชีวิตของคุณไปเหอะครับ
    ประกันได้ว่า ถ้าคุณไม่เลิกนิสัยแบบนี้
    ชาตินี้คุณฝึกอะไรก็ไม่มีทางสำเร็จหรอกครับ
    และจะติดแค่ในระดับ วิปัสสนึก
    บอกแล้วดวงกลมๆที่คุณเอามาโม้
    ยังมีอีกตั้ง ๓ ขั้นตอนกว่าจะแยกรูปแยกนามได้
    จิตเกิดไปยึดตอนที่มันเกิดแล้ว
    ยังมีหน้ามาบอกว่าคนอื่นๆมโน
    สงสัยมีศรีษะไว้ตัดผมไปวันๆจริงๆ....ไปหละครับ..



     
  8. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    กามวจรมันพ้นยากครับ
    555555555
    ถามลุงนพสิครับ
    แกเคยถามนางฟ้าด้วยทำไมถึงเปลือยอก
    เพราะผมก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย
    555555555
    แต่ที่พ้นไปได้เพราะพิจารณาอสุภกรรมฐานและอาการทั้ง32
    นะจ๊ะๆ
     
  9. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ผมก็เห็นนะนางฟ้าแต่ไม่เห็นเขาแก้ผ้าเปลือยอกเลย...555...เขาอธิบายมาดีแล้ว ล้วนเป็นข้อคิดเตือนใจ สิ่งที่เห็นล้วนจริงต่อเราแต่ไม่ได้จริงต่อธรรมเลยแม้สักสิ่งเดียว...สิ่งเดียวที่ควรเข้าใจคือทุกสิ่งไม่เคยและไม่อยู่ในบังคับบัญชาของเราโดยแท้จริงเว้นไว้แต่ความจริงที่ว่าด้วยทุกข์ ถูกเราบังคับด้วยความไม่เข้าใจใคร่รู้เพราะเห็นทุกข์เป็นสุขและก็ยังเห็นสุขเป็นทุกข์ นั่นคือหลงทาง เพราะที่จริงควรเห็นเหตุแห่งสุขและทุกข์ ไม่ใช่เห็นแต่ทุกข์หรือสุข...ลุยต่อไปนะคับ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ๕๕๕ ข้าพเจ้าพยายามบอกถึงกระบวณการเกิดเป็นภาพ
    ให้เข้าใจ จะได้ไม่หลงไปยึดติด
    เพราะกามวจร มันพ้นยาก ๕๕๕๕๕๕๕๕ จริงๆ
    ถึงได้เริ่มมีการเปรียบ และกล่าวถึง เรื่อง นม นางฟ้า ๕๕๕๕
    กลายเป็นว่า การอธิบาย
    กระบวณการเกิด เห็นนมนางฟ้าได้
    กลับถูกกล่าวว่า มโน....๕๕๕๕
    โดนโม้ทับด้วยนะว่า ไม่เข้าใจที่เค้าพูด ๕๕๕๕




    แต่พอพูดว่า เห็นอย่างไรก็อย่างนั้น
    จะเห็นเป็นอื่นๆได้อย่างไร นมนางฟ้า
    ก็ต้องเป็นนางฟ้าซิ ๕๕๕๕๕๕๕ มันมีตัวตนจริงๆนะ ๕๕
    กลับบอกว่า เพราะการระลึกรู้ตัวทั่ว
    ที่มาจาก มหาสติปัฏฐาน มหาสตินะ
    ไม่ใช่สติแบบธรรมดาด้วยนะ..๕๕

    ขำตั้งแต่ดาวโลกถึงดาวอังคาร....
    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง.....
    กามวจรมันคงพ้นยากจริงๆ
    อย่างที่คุณผ่าน ว่าจริงๆหละเนาะ ๕๕๕๕๕
     
  11. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ผมจะช่วยสงเคราะห์ให้คับ...เมื่อเรายังเห็นเพียงทุกข์หรือยังเห็นเพียงสุข ดังนั้นอัตตาโดยนัยยะจึงเกิด เพราะเราคงยังไม่สามารถดับได้ทั้งสองฝ่ายเพราะ....เมื่อมีทุกข์ก็จะไปตามกระแส...ไล่ไปเองเถอะคับมันก็อย่างนั้น....เมื่อมีสุข...ก็ไปในลักษณะเดียวกันถ้าเราไม่รู้เหตุแท้จริง...ไล่ไปสิดูไปเรื่อยๆ...มันจริงไหม....แต่ถ้าเราไล่ตามได้เมื่อไหร่นั่นแหละของจริงคืออัตตา เพราะเราไหลไปตามกระแสนั้นจริง แต่เมื่อไหร่เราเห็นจริงการไล่ตามสิ่งนั้นก็จบลง...จึงสิ้นอัตตาตัวตน..เพราะเห็นถึงต้นตอของกระแสความเป็นไป...อันนี้ต้องใช้ความพยายามมาก...สิ่งคัญคือติดอยู่ต้องรู้ว่าติดเมื่อรู้แล้วย่อมพิจารณาเห็นเพราะคืออัตตาที่เกิดขึ้น...ห้ามเอ่ยว่าถ้าไม่มีจะเป็นอนัตตาเพราะว่าเมื่อยังไม่เห็นจะเอ่ยขึ้นไม่ได้และอนัตตาเป็นธรรมโดยปกติไม่ใช่ธรรมในทางพ้นจากอัตตา
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  13. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมครับ จะผม หรือ พวกท่าน

    ตอนนี้ก็คนละทางกันแล้ว ตัดสินตอนตายแล้วกันครับว่าใครถูก

    สุดท้ายของคำถามจากผมในเวปนี้ ท่าน นพช่วยตอบเป็น วิทยาทานแก่ผมหน่อยเถอะครับ

    การเข้านิโรจ ดับรูปดับนาม แล้วเดินจงกลม เดินได้อย่างไร เดินแบบไหน

    อันนี้มีคนฝากมาถาม เพราะผม พึ่ง ทำได้เมื่อคืน เค้าอยากรู้ว่าคุณนพ เคยทำรึเปล่า

    ท่านจะตอบอย่างไร ผมก็คงไม่เข้ามาตอบต่อแล้วละครับ

    เค้าจะมาอ่านเอง
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019


    โม้ล้านเปอร์เซ็นต์ ตัดสินตอนตายหรือครับ
    กะแสจิตคุณมันลงข้างล่างนิครับตอนตาย
    ในนี้คงไม่มีใครตามไปดู ไปเพื่อพิสูจน์คุณหรอกนะครับ

    และ

    คุณนั่นหละผิดอยู่คนเดียวตั้งแต่แรก
    ไม่ต้องเหมารวมกับคนอื่นๆหรอก
    ที่ขู่คนอื่นๆไม่มีผลหรอก
    เพราะจิต คุณไม่มีกำลังจิตอะไร ชิวๆ
    และใช้งานอะไรไม่ได้
    อ้อ ได้อยู่ คือถนัดมโน ลืมไป ๕๕

    กล้าตัวๆกับผมไหม
    ต่อหน้าพระเกจิเก่งๆ
    แล้วไปแสดงให้ท่านดูต่อหน้าเลยเอาไหม ^_^ รู้ไหมว่าข้าพเจ้าชอบมากเลย
    อยากเจอมานานแล้วคนทำได้ ๕๕
    คงไม่กล้าเพราะมโนเอา ๕๕




    โม้ว่าเข้านิโรธฯได้
    ถามหน่อยครับ
    กสินใช้งานได้ซักกองหรือยัง
    ตอบเลยว่าไม่ได้ซักกอง

    อรูปฌานเข้าได้และใช้งานได้หรือยัง
    ตอบเลยว่าใช้งานไม่ได้อีก

    อีกอย่างใช้งานทางจิตได้จริงมากี่ปีแล้ว
    ตอบเลย ไม่เคยใช้งานจริง
    มีแต่เอาไว้โม้ให้คนอื่นๆฟัง ^_^
    อันนี้ชัวร์เรื่องโม้

    การมาโม้ว่าเข้านิโรธฯได้
    เจตนาแค่จะบอกนัยๆ อิอิ
    ว่าใครในนี้มาปรามาสตรูจะซวย

    เพราะตรูเนี่ย อนาคามีนะโว้ย
    อ่านตำรามาอย่างดี
    แต่ดูทรง น่าจะเป็นระดับอนาถคานม
    มากกว่านะ
    นมนางฟ้าที่มีตัวตนด้วยนะ ๕๕๕ (ประชด)

    คนที่จะซวยคือคุณนั่นหละที่แม้ตอนนี้และชาตินี้จะไม่สามารถเข้าได้เลย จำไว้
    พลังระดับอุปจาระสมาธิหางอึ่งอ่าง
    ที่แค่พอเห็นนามธรรมได้
    แต่ยึดเป็นจริงเป็นจัง
    และไร้กำลังจิต
    ที่ยึดว่าติดจิตที่เกิดแล้วมีตัวตนนั่นหรือ
    มาพูดบอกชาวโลกว่าพึ่งเข้านิโรธฯมา ๕๕

    นั่งสมาธิเข้าเอาหรือ ๕๕๕
    นิโรธสมาบัติมันเป็นสภาวะเหนือกาย
    เหนือจิต คือมันไม่ได้ใช้ทั้งกาย(แต่คุณ
    ความคิดวิ่งอยู่ในหัว)และใช้จิตกระทำเลย
    (แต่คุณระดับอุปจารสมาธิกระทำ
    และยังใช้งานทางจิตไม่ได้เลย ๕๕)

    ถ้ายังใช้สมาธินำ ใช้กำลังจิตนำ
    แม้ว่ามันจะคล้าย และใช้งานได้
    (ไม่ใช่คุณนะ)
    แต่มันไม่ใช่นิโรธฯ เพราะไม่ได้ดับจริง
    จะดับอย่างไร มีทั้งสมาธิ มีทั้งกำลังจิตนำ
    มันก็เหลือสมาธิกับกำลังจิตที่มาจากจิตที่เข้าไปกระทำนั่นหละ
    ไม่ใช่ไปนั่งเดาสญาน เข้าสมาธิมา
    แล้วมาโม้ว่าเข้านิโรธฯ ๕๕ ขำมาก



    มันจะเข้าได้เองตามวาระ
    นั้นหมายความว่า

    ๑.ต้องสามารถใช้งานทางจิตได้จริง
    และใช้มานาน และหมายความอีกว่า
    กสิณ อรูปอย่างน้อยต้องสิวๆ
    จนระดับการใช้งานเป็นอัตโนมัติก่อน
    พูดไปคุณก็ไม่รู้เรื่องหรอก
    เพราะคุณมันพวกมโนเอา
    ในกำลังอุปจารสมาธิ ๕๕

    แล้วมาทิ้งความสามารถทำงานได้
    ต่างๆเหล่านั้นของจิตออกไป
    จิตจึงจะเริ่มเป็นอัตโนมัติของมันเองก่อน

    จิตถึงจะค่อยๆกลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของตน แล้วมาต่อเรื่องปัญญา เพื่อดูว่า
    จิตละ โลภ โกรธ หลงได้มากน้อยแค่ไหน
    จากปัญญาทางธรรมที่ตนมี
    แล้วมันถึงจะเริ่มเข้าได้ของมันเอง
    ถ้าจิตเคยสะสมมา

    และด้วยนิโรธฯ เป็นสภาวะดับ
    การก่อเชื้อ ใดๆให้เกิด
    และไม่ได้ใช้กายและจิตในการเข้า
    เราจึงไม่สามารถที่จะใช้จิต
    ไปดูที่กาย ที่จิต ผู้นั้นได้
    จึงต้องไปดูพลังงานรอบๆกายแทน
    เพราะกายกับจิตก็จะทำงานไปไม่เกี่ยว
    อะไร ตรงนี้จะบอกไว้
    เผื่อจะไปโชว์โง่ ว่ายวานใคร
    ให้ใครใช้จิต
    ไปดูกายดูจิตคนที่เข้านิโรธได้จริง
    จะได้ไม่เผลอไปโชว์โง่ที่ไหนอีก ๕๕๕



    เห้ยการเข้านิโรธสมาบัติ จะมาคิด มโน
    เอาเหมือนเรื่อง นมนางฟ้า
    หรือมโนเอา.ว่านมฟ้าที่เป็นนามธรรม
    มีตัวตน มีนมจริงๆ
    แบบที่ได้มาจากการ
    สำเร็จมหาสติปัฏฐานมโนอีกหรือ ๕๕๕



    ทีหลังจะโชว์อะไรแบบนี้
    เลือกคนหน่อยนะครับ ( ^_^ )
    คือ ส่วนตัวไม่เคยบอกว่า
    ตัวเองเก่งหรอกนะ
    แต่พอดูออก
    ว่าคุณมีความสามารถแค่ไหน ๕๕๕๕
    ผมถึงกล้าถาม และกล้าท้าคุณไง
    ทำไม อ่านไม่เจอหรือ
    หรือแค่คอยหาแค่บรรทัดหนึ่ง เอาไว้
    โชว์โง่ด่าคนอื่นๆก่อน
    ที่มันจะย้อนมาว่าตัวเอง ๕๕๕๕

    เพราะนิสัยที่โม้ไว้มาก เลยกลัวเสียฟอร์ม
    เจอคำถามง่ายๆ ตอบไม่ได้ กลายเป็น
    ปลาตายน้ำตื้น ๕๕๕๕

    ๕๕ พอจำนวนด้วยหลักฐาน
    ว่าตัวเองปฏิบัติไม่ได้เรื่อง
    ก็จะมามุขปิดท้าย เรื่องกรรม ๕๕
    พูดประหนึ่งว่า ตรูเข้านิโรธสมาบัติได้ ๕๕๕
    ตรูเป็นอนาคานะเว้ย ใครเห็นต่างมาปรามาสตรูซวยแน่ ๕๕๕ ใครกันแน่ที่จะซวย
    แล้วก็จะหายไป. กลับมาอ่านเหอะ ๕๕

    นายช่างเหอะ ผู้ประกาศว่า
    ตนเข้านิโรธสมาบัติได้
    แต่ไม่เคยใช้งานทางจิตมาก่อน
    และไม่มีความสามารถใดๆ
    หรือว่า จะเป็นสายสุขวิปัสนึกเอา
    ไม่มีความสามารถทางจิต
    แต่เข้านิโรธสมาบัติได้ ๕๕๕

    คงเป็นคนเดียวในโลกในเลยมั่งเนี่ย...๕๕๕
    นิโรธสมาบัติ เป็นสภาวะที่รอบๆกายจะดับ
    กระแสรอบๆตัว เกี่ยวกับกายตัวเองอยู่
    ยังกล้าพูด ว่าตัวเองเข้านิโรธสมาบัติได้
    ๕๕๕๕

    ว่าแล้ว เรื่องนี้ ดังกว่าเรื่องก่อนอีกนะ
    เรื่องก่อนขำถึงดาวอังคาร เรื่องนี้
    น่าจะขำไปไกลถึงดาว พูลโต ๕๕



    แล้วจะทำเป็นมาถาม เมื่อก่อนพออธิบาย
    ไปอย่างยาว มันก็จะเลือกเอามาบรรทัดเดียว
    แล้วก็มากล่าวหา โดยที่ไม่อ่านทั้งบริษท
    เพื่อเสริมความคิดตนเอง
    แล้วก็จะโชว์โง่ ในสิ่งที่ตนเองเอามาแย้ง
    กลายเป็น การถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง
    ยังไม่รู้จักเจียมตัว...๕๕๕๕

    และยิ่งมีความเห็นที่เป็นไม่
    ไปในทางเดียวกับข้าพเจ้า
    ก็จะมามุขทิ้งทวน อ้างเรื่องกรรม ๕๕๕๕

    ถุยยยย ทำเป็นเอาเรื่องกรรมมาอ้าง
    มุขแบบนี้ ใช้กับคนอย่างข้าพเจ้า
    ไม่ได้หรอกนะครับ
    ไปศึกษาประวัติ
    ในเวบพลังจิตนี้หน่อยนะ
    พวกที่ชอบหลงตัวเองว่าสูงส่ง
    แล้วเอามุขกรรมมาใช้กับข้าพเจ้า
    หัดดูซะบ้าง ว่าตอนนี้แต่ละคนเป็นไงบ้าง
    แห๋มๆ พูดยังกับตัวเองมีบารมีมาก
    มีกำลังจิตมาก คำพูดถึงจะมีผลต่อคนอื่นๆได้
    น่าสมเพชความคิดแบบนี้มาก

    ปล.
    ไม่มีแม้แต่ความสามารถทางจิต
    ใช้งานได้ กรรมฐานอื่นๆที่เป็นฐาน
    ยังทำไม่ได้ เช่นกสิณ อรูป ๑ ถึง ๓
    ยังหน้าด้านมาพูดว่าตัวเอง
    เข้านิโรธสมาบัติได้
    กะจะอวดว่า เป็นอนาคามีหละซิ ๕๕๕๕
    บักอนาคามี กระโหลกกะลา
    ถ้ามีความสามารถแบบนั้น
    ทำไมแค่คำถามง่ายๆ พื้นๆ
    ตอบไม่ได้ ๕๕๕๕


    ไปพิจารณาตัวเองนะครับ
    ว่ามีความสามารถทางจิต ใช้งานได้แล้วหรือ
    และฝึกกรรมฐานอะไรสำเร็จซักอย่างหรือยัง
    ฝากให้คิดก่อนจะมาถามคนอื่น
    เพื่อจะไม่ได้ไปใชว์โง่ที่ไหนอีก ^_^

    ชัดเจนนะ เป็นไงเจอหงษ์
    ขัดไปสามดอกวันนี้ พี่แมนซิ
    ถึงกลับหงอย (เรื่องบอล คล้ายเครียดๆ)๕๕๕






     
  15. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    มันมีพระสูตรว่าด้วยวิธีทำลายอัตตา
    ที่พระพุทธเจ้าสอนท่านโมฆราช ลองค้นหาดูครับ
    เพื่อแนวทาง

    ฝึกกรรมฐานมันไปได้หลายช่อง จึงจำเป็นต้องมีแผนที่


    ท่านจึงว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โลกนี้มันว่าง คือโลกอันนี้โลกที่โลกติดกันนี่น่ะ วัตถุที่โลกมันติดกัน ติดเขาติดเราติดหญิงติดชายติดทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ติดโลกวัตถุนี้ทั้งนั้น ท่านจึงบอกว่าเปิดออกหมดว่างไปหมดไม่สัตว์มีบุคคล เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นสัตว์เป็นบุคคล ไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้ภูเขา เราไปให้ความหมายเขาต่างหาก แล้วเราก็ไปติดพันกับเขาดีใจเสียใจกับเขาต่างหาก ให้ถอนตัวออกมา ทิฐิว่านั้นเป็นต้นไม้ นี้เป็นภูเขา นั้นเป็นเขานี้เป็นเรา เหล่านี้เป็นอัตตานุทิฏฐิ อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าตนว่าตัวเสีย เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา จะพึงข้ามพ้นจากพญามัจจุราชเสียได้นั่น ทีแรกก็ขึ้นว่า สุญฺญโตโลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต อันดับที่สองมาก็อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา จากนั้นก็ เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ ดูก่อนโมฆราชเธอจงมีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติ เธอจงมีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าตนว่าตัวเสีย จะพึงข้ามพ้นจากพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้

    พระพุทธเจ้าท่านว่างมาเท่าไร ตั้งแต่ขณะเวลาท่านตรัสรู้ว่างหมด เหล่านี้ไม่มี ว่างไปหมดไม่มากีดขวางพระทัยท่านได้เลยละ ท่านว่างไปหมด นี่ละท่านเอามาสอนเพราะเวลานั้นมาณพโมฆราชยังติดยังพันอยู่นี้ ท่านจึงเปิดออก อย่าไปยึดไปถือนี้ให้ถือเป็นของว่างไปหมด ผ่านไปเลยความหมายก็ว่างั้น นั่นว่างไปหมดเห็นไหมล่ะ ท่านสอนท่านถอดออกมาจากหัวใจมาสอน มันมีอะไรเป็นตนเป็นตัวของโลกอันนี้ มันตื่นบ้ากันเฉย ๆ จิตมันทะลุไปหมดแล้วว่างเลย ที่มันไม่ว่างก็คือหัวใจปิดตันตัวเองนั่นเอง อะไรก็ปิดตันหมดถ้าลงหัวใจปิดตันตัวเองแล้วนะ ถ้าหัวใจเปิดโล่งตัวเองแล้วไม่มีอะไรปิดได้ในโลกอันนี้ ไม่มีติดอะไรทั้งนั้นสามแดนโลกธาตุ ถ้าหากเราไม่ติดกับกิเลส กิเลสไม่ติดเราเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรติดในโลกนี้ เพราะฉะนั้นกิเลสจึงเป็นตัวมหาภัยอย่างยิ่ง ให้พากันจำเอานะ

    (ที่ยกมาเป็นสำนวนหลวงตาครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2018
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กราบขออภัย

    ด้วยอำนาจแห่งธรรมของผู้มีพระภาค
    ด้วยอำนาจ สัทธรรม ตำรา ก้เรียก

    พระสารีบุตร ผู้ ละอัสมิมานะ นานแล้ว

    แสดงพระสูตร สมาบัติ8 ด้วยการ
    เข้าสมาบัติด้วย ปฐมฌาณ เปนอาธิ
    เดินปรกติ(จงกรม)อยู่จนหน้าใส มี พระพุทธเจ้าทรง***
    เหนทักว่า ทำอะไรอยู่ บ้าง

    พระอานนท์ มาเจอ ก้ทัก ทำอะไรอยู่อะฮับ

    พระโมคคัลลา มาเจอ ก้ทัก เพราะหมดปัญญาจะส่องดูจิต ทำอะไรอยู่ ขอรับ

    พระ... มาเจอ ก้ทัก

    ทักจนครบ ทั้ง สมาบัติ8 พระสารีบุตร
    ก้ยังได้ชื่อว่า แสดงฤทธิ์ฮ่านอะไรไม่เปน
    สักอย่าง เฮียโค้ๆ สอนใครก้ผิด
    ให้กรรมฐานใครก้ผิดจริต ลายามะโค้ๆ

    ยักษ์มาทุบกระบาลพระสารีบุตร ขณะวักน้ำ
    ล้างหน้า เฮียโค้ๆ ยังดันเข้า สัญญาเวทนิตนิโรธนอยู่ ไม่ออกจนยักษรวยกระบวยมีฤทธิทุบด้วย
    กำลังทลายเขาพระสุเมรุ วู๊บเดียวไปทำนา
    จนรก
     
  17. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    คุณ ชั่งเถอะ หมายถึงเห็น อาการของ สังขารขันธ์ ที่ทำงานของตัวมันเอง เห็นกิเลสที่เกิดขึ้น โดยเป็นผู้รู้อยู่เห็นอาการของ มันที่ เกิดขึ้นเองและดับลงไปเองใช่ใหมครับ และรู้ว่าไม่ใช่เราที่เป็นผู้คิดเช่นนั้นแต่เพราะกิเลสและสังขาร สัญญา อันมีอาสวะอยู่ทำงานเองอย่างนั้น และมโนวิญญานก้เป็นผู้รับรู้อาการเหล่านั้นเกิดขึ้นเองโดยธรรมดา .เราเองก้สามารถรู้เห็น วิญญาน สังขาร สัญญา อัันเป็นตัวนามจิตที่เกิดขึ้นเองด้วยปัจจัย เห็นกิเลสที่มีอยู่ นั้นในสภาพที่มันเป็นอย่างนั้นและรู้ว่าไม่ใช่เราที่เป็นอย่างนั้นแต่เรารู้อาการเหล่านั้นที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะคิดดีคิดชั่ว คิดไปเรื่อยของมันเองอย่างนั้นตามกิเลส
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ยึดนามธรรมว่ามีตัวตน
    มันหลงตั้งแต่แรกแล้ว
    โม้ระดับ มหาสติปัฎฐาน
    แต่แยกรูปแยกนามไม่ได้
    ไม่ต้องไปพยายามเข้าใจอะไร
    หรอกครับ มีแต่จะหลงซ้อนหลง

    เอาง่ายๆ สรุปว่า คุนช่างเหอะ
    พยายามบอกว่านามธรรม
    มันมีตัวตนจบ
    ยึดหมั่นในสิ่งที่ตนเห็นเห็นว่าจริง
    ในกำลังอุปจารสมาธิหางอึ่งอ่าง
    ใครเห็นไม่เหมือนตน
    ก็จะพูดให้ตัวเองดูหล่อว่า
    ที่เห็นนะจริง แต่สิ่งที่เห็นไม่จริง
    (ก๊อปปี้สำนวนอดีตพระมีขื่อมา)
    แล้วบอกว่าคนอื่นๆ ที่พยายาม
    อธิบายกระบวนการเกิด
    หรือพยามพูดไม่ให้ยึดว่ามโน
    แต่ นามธรรมที่ตนยึดว่ามีตัวตน
    คือของจริง จบ เช่น นางฟ้าโนบราเท่านั้น




    และโม้ว่าตนเข้านิโรธฯ
    แล้วอ้างเรื่องกรรมเชิงว่า
    ที่เห็นต่างกับตน ซวยแน่
    ได้แต่ขู่ เพราะไม่มีกำลังจิต
    หรือความสามารถทางจิตอะไร จบ


    นิโรธฯไม่ใช่สัญญาเนฯอะไรนะครับ
    สัญญาเนวฯยังไม่ดับจริง
    เพราะมันยังมีผลเรื่องความสารถติดมา
    เป็นเหตุให้ติดภพชาติอยู่
    แต่การเข้าคล้ายคลึงกัน

    ขอถาม คุนช่างเหอะ จอมโม้สร้างภาพ
    ว่า สภาวะนิโรธฯกายอยู่อย่างไร
    และตัวจิตอยู่ลักษณะอย่างไร
    มันกำลังทำอะไรในกาย
    และที่สำคัญคือ ลักษณะพลังงาน
    รอบๆกาย ณ เวลานั้นเป็นอย่างไร


    ถ้าทำได้จริง จะต้องตอบได้เป็นเรื่องปกติ
    ขนาดยืนยัน ว่านามธรรมมีตัวตน
    คิดว่าคงตอบได้แบบสิวๆ
    และว่างๆจะขอชม พลังงาน
    กสิณในระดับใช้งานซักหน่อย
    ไม่ไปพิสูจน์นะ แต่จะตอนเอา
    ไปใช้งาน เพราะต้องทำได้
    แบบสิวๆ หายใจยังจะยากกว่า จบ

    ปล เดาว่าผลคงเหมือน ที่ถาม
    สภาวะตอนแยกรูปแยกนามคือไม่ตอบ
    (กลัวเสียฟอร์ม สร้างภาพ โม้ไว้มาก)
    แต่จะโม้ว่า ตนเข้าถึง
    มหาสติปัฏฐาน ๔ ได้นั่นหละครับ
    และก็ว่าตัวเองเข้านิโรธฯ

    รายเดียวในโลก ที่แยกรูปแยกนามไม่ได้
    ไม่มีความสามารถใช้งานทางจิต
    จากกรรมฐานอื่นๆมาก่อน
    ตอบสภาวะนิโรธฯไม่ได้
    แต่มโนว่าตนเข้าได้

    บอกแล้วเรื่องนี้ ขำถึงดาวพลูโต ^_^
    มุขอ้างกรรม มันมุขพวกมโน
    จอมสร้างภาพชอบใช้กัน
    เอาไปเล่นข้างล่างตอนตายนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2018
  19. ถวายบูชา

    ถวายบูชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +560
    ท่าทางท่านนี่ ยัวะเอาการ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    พูดถึงใครโปรดระบุชื่อ
    หรืออ้างอิงด้วยก็ดีครับ
    สรุป พูดถึงใคร
    จะได้อธิบายถูกครับ ^_^
    ไม่อยากโดนข้อ ส ใส่เกือกครับ
    เลยถามก่อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...