เมื่อ10ปีที่แล้ว ได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนหน้านี้ ดิฉันไม่เคยรู้วิธีการนั่งสมาธิมาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่มีพระสอนวิธีการนั่งสมาธิให้
ในเวลานั้นสภาพร่างกายและจิตใจของดิฉันแย่มาก ค่ะ มีความรู้สึกอยากตาย เข้าเรื่องเลยนะคะ
เริ่มจากนั่งสมาธิ ดิฉันไม่ได้เพ่งดวงแก้วหรือองค์พระ หรือกสิณใดๆนะคะ
แต่ใช้วิธีเอาจิตมารวมอยู่บริเวณลิ้นปี่ รู้เข้าไปในความว่าง
ไม่ได้บริกรรมอะไรเลยค่ะ รู้เข้าไปในความว่างอย่างเดียว( ตอนนั้นมีกำลังใจในการนั่งสูงมาก รู้สึกไม่สนใจใยดีในร่างกาย เลยทำให้รู้สึกว่ากายกับจิตแยกออกจากกันได้ในไม่ช้า)
รู้ไปเรื่อยๆไม่นาน จิตรวมตัวเข้า รู้สึกว่าแขนขาหายไป ลมหายใจเบาขึ้น ตัวลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกมีความสุขมากๆ ลมหายใจเบามากๆ ความสุขหายไปตอนไหนไม่รู้
รู้แต่ว่าเห็นแสงสว่างสีขาว (ขณะนี้เหมือนกึ่งกลับกึ่งตื่นค่ะ)เป็นวงกลมเล็กๆแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงซ้อนกันและจ้าขึ้นเรื่อยๆ พอจ้ามากถึงที่สุดแล้ว ก็รู้สึกตัว (แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้กำหนดต่อ ภาวนาต่อ เพราะจำอะไรไม่ได้เลย)
พอออกจากสมาธิ รู้สึกเหมือนความจำเสื่อมไปชั่วขณะ ว่าที่นี่ที่ไหน เราเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ พอค่อยๆนึก ความจำก็กลับมาเหมือนเดิมค่ะ ที่ผ่านมาไม่กล้าถามใครกลัวบาป เพราะเป็นเรืองที่เชื่อยาก อยากเรียนถามท่านผู้รู้ว่า สิ่งที่ดิฉันได้ประสบมาคืออะไรเหรอคะ
นั่งสมาธิครั้งต่อมากำหนดจิตที่หัวใจ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังมาก เสียงเลือดสูบฉีดดังชัดมากเลยค่ะ รู้ว่าระดับขณิกสมาธิ
นั่งครั้งไหนๆกำลังใจไม่เท่าครั้งแรกเลยค่ะ ช่วงนี้เว้นมานานเลยไม่ค่อยได้นั่งอีก
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าเริ่มเชื่อว่ากฏแห่งกรรมมีจริง และเกรงกลัวต่อบาปมาก
อาการที่ความทรงจำหายไปชั่วขณะ สมาธิเรียกว่าอะไรหรอคะ อยู่ในสมาธิระดับใดคะ
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย M_Y, 1 ธันวาคม 2013.
หน้า 1 ของ 4
-
เป็นอาการของสมาธิเข้า จิตรวมตัว อาการมักจะเกิดแบบนี้ ไม่แปลกครับ
ถ้าปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆก็จะติดอยู่ที่คำว่า สุข ไม่อยากออกจากสมาธิเพราะช่วงระยะนี้มีความสุข เพราะกายเบาสบาย ไม่รู้สึกถึงตัวเรา แขนขาร่างกายหายไป แต่ยังไม่ถึงกับหลุดจากสมาธิ(ยังมีสติอยู่ เพราะถ้าหลุดจะไม่มีความรู้สึกใดๆเลย เหมือนเราหายไป) นี่แหละอาการของกรรมฐานขั้นพื้นฐาน -
๑.คุณปฏิบัติผิดวิธี ขอรับ จึงทำให้เวลาออกจากสมาธิเกิดอาการมึนงง
อธิบายเพิ่มเติมว่า
คุณใช้สมองมากเกินไป คือ เครียดจากการคิด หรือ ไม่สบายใจนั่นแหละ ทำให้สมองทำงานหนัก พอคุณปฏิบัติสมาธิ คุณปฏิบัติผิดวิธีซ้ำเติมเข้าไปอีก จึงทำให้ ออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมองไม่พอเพียง และ สมองของคุณได้ฮอร์โมนบางชนิดออกมา ทำให้เกิดอาการมีนงง ทำงานไม่เป็นไปตามปกติขอรับ
วิธีแก้ไข
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าคิดมาก จนเกินควร คิดพอประมาณ ก็จะหายไปเองขอรับ -
Telwada ถ้าเครียดปีติจะเกิดได้ไงคะ วันนั้นไม่ได้รู้สึกเครียด แค่ รู้สึกปลงตกในชีวิตค่ะ
-
ตอนที่เริ่มเบาแขนขาหายเป็นปีติ
อยู่ในช่วงอุปจารสมาธิ
ตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นกำลังเข้าสู่อุปจารฌาน
สติเริ่มตามไม่ทันกำลังสมาธิ
อยากเป็นแบบนั้นอีกก็เลยไม่เป็น
รู้สึกคล้ายความจำเสื่อมเพราะเห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาไร้สาระ
ไม่มีอะไรน่าจำ ก็เลยไม่จำ -
ระหว่างทรงฌานที่ ๔ นี้ สัญญาจะถูกละวางครับ เพราะฌานที่ ๔ จะมีอารมณ์เพียงหนึ่ง เมื่ออยู่กับนิมิตรก็จะไม่มีอารมณ์อื่นแทรกรวมทั้งสัญญาความจำด้วย
ที่ออกมาแล้วก็ยังเป็นอยู่นั้น แสดงว่าออกจากสมาธิเร็วไปหน่อยครับ สภาพฌานเขายังไม่คลาย สภาพการจำได้ก็ยังไม่กลับมา เป็นอย่างนี้ครับ
เจริญในธรรมครับ -
ถ้าจำได้ก็จะภาวนาต่อไป เพราะตอนนั้นยังขาดประสบการณ์ในการนั่งสมาธิ ว่าจะต้องเห็นต้องเจอสภาวะอะไรบ้าง เลยรีบออกจากสมาธิเร็วเกินไป -
หากทำอะไรไม่ได้ก็ตั้งสตินิ่งไว้ตรงกลางใบหน้า นิ่งไว้เช่นนั้นก็ได้ (หลักนี้ใช้ต่อสู้หรือแก้สภาวะที่ติดตัวได้ด้วยครับ ให้สู้ทุกสภาวะด้วยความนิ่งกลางใบหน้า)
แต่เวลาจะออกจากการปฏิบัติต้องค่อยๆคลายออกครับ ไม่ว่าจะเจออะไรจะดีหรือร้ายก็ตาม จะดูหรือไม่ดูก็ได้ แต่อย่าเอาความยินดีหรือไม่ยินดีเข้าไปผูกติดกับสิ่งนั้นจะติดสภาวะนั้น และหากออกเร็วจะมีสภาวะบางอย่างติดออกมาด้วย
เจริญในธรรมครับ -
-
อาการเครียด ไม่จำเป็นต้องมีในขณะปฏิบัติสมาธิขอรับ ถ้ามีอาการเครียด คือใช้สมองมาก คิดมาก ทำงานหนักด้านสมอง ร่างกายจะหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา ข้าพเจ้าจำชื่อทางการแพทย์ไม่ได้ และสารนั้นจะคงอยู่ในกระแสเลือด เป็นเวลานาน อาจจะเป็นเวลาอย่างน้อย สิบสองชั่วโมงก็ได้ขอรับ
พอคุณมาปฏิบัติสมาธิ ผิดวิธี อาการเครียดก็จะเกิดขึ้นอีก เพราะต้องบังคับสมอง และร่างกายก็จะหลั่งสารชนิดนั้นออกมาอีก คุณจะเกิดปีติ หรือเกิดสุข หรือคุณจะมีสมาธิดีสักเพียงใด ถ้าร่างกายหลั่งสารออกมาแล้ว แสดงว่าสมองทำงานหนัก จะทำให้เกิดอาการมีนงง หรือหลงลืม หรือนอนไม่หลับ ขอรับ -
อันนี้เกิดหลังจากแสงสว่างหายไปในสมาธิ เพราะมีแสงมาก่อน (อันนี้คือฌาน 4) และแสงนั้นก็หายไปพร้อมกับสุข (ตรงที่บอกว่าหายไปตอนไหนไม่รู้) อันนี้แหล่ะคือสภาวะเนวสัญญานาสัญญา (อรูปฌาน)
เมื่อออกมาจากสมาธิ ก็จะมีสภาพเป็นแบบนี้ เช่น เห็นผู้หญิง ก็จะรู้ว่าผู้หญิง แต่จะไม่รู้ว่าชื่ออะไร คือนามไม่มี จนกำลังของสมาธิอ่อนลงไป เนวสัญญานาสัญญาหาย จึงจะจำได้ว่า นี่คือญาติพี่น้องเรา ชื่ออะไร คุณเข้าไปในสมาธิที่ลึกมาก
แต่ว่า ถ้าคุณเข้าไปในสมาธิตรงนี้บ่อยและนานเกินไป จะเป็นอรูปฌาน คือถ้าติดสภาวะนี้ก็จะไปเป็นอรูปพรหม ลองไปอ่านประวัติเปรียบเทียบดู ของพระอาจารย์ท่านใดจำไม่ได้ ท่านก็มีอาการนี้เช่นกัน แต่จำชื่อหลวงพ่อไม่ได้ลองไปหาประวัติดูค่ะ
อรูปฌาน จาก 5 ถึง 8 จะเห็นด้วยวิปัสสนาญาน (ปลงด้วยการเห็น) ถ้ามีสติอย่างเดียว จะได้แค่ฌาน 4 คือมีกำลังจิต แต่ถ้าไม่มีวิปัสสนาญานเลยจะจำสภาวะไม่ได้ จะต้องใช้วิปัสสนาจึงจะจำได้และรู้ได้ ซึ่งมันละเอียดมาก -
-
แต่การเข้าฌาน ไม่จำเป็นต้องไล่ระดับ 1 - 8 กระโดดข้าม 1 ไป 4 เลยก็ได้ ถ้าบางคนมีของเก่า หรือจำสภาวะที่เคยเข้าได้ มันจะเข้าไปเลยค่ะ -
+++ เรียกว่า "ตกเข้าสู่อสัญญีภูมิ" ในอรูปฌาน
เมื่อ10ปีที่แล้ว ได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนหน้านี้ ดิฉันไม่เคยรู้วิธีการนั่งสมาธิมาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่มีพระสอนวิธีการนั่งสมาธิให้
ในเวลานั้นสภาพร่างกายและจิตใจของดิฉันแย่มาก ค่ะ มีความรู้สึกอยากตาย เข้าเรื่องเลยนะคะ
+++ "ความรู้สึกอยากตาย" เป็นสาเหตุหนึ่งของการ ตกเข้าสู่ตรงนี้ คือ มีอาการ "ปฏิเสธ และ ตัด สรรพสิ่ง อยู่ในตัวเอง" แต่ สาเหตุอื่นมักมาจากการ ติดสุขในสมาบัติจน "ปฏิเสธสิ่งอื่น" เหมือนกัน อีกประการหนึ่งคือ "ไม่ได้ฝึกสติ"
เริ่มจากนั่งสมาธิ ดิฉันไม่ได้เพ่งดวงแก้วหรือองค์พระ หรือกสิณใดๆนะคะ
แต่ใช้วิธีเอาจิตมารวมอยู่บริเวณลิ้นปี่ รู้เข้าไปในความว่าง
+++ "ดูเข้าไปในความว่าง" เพราะอาการ คือ การดูชนิดหนึ่ง
ไม่ได้บริกรรมอะไรเลยค่ะ รู้เข้าไปในความว่างอย่างเดียว( ตอนนั้นมีกำลังใจในการนั่งสูงมาก รู้สึกไม่สนใจใยดีในร่างกาย เลยทำให้รู้สึกว่ากายกับจิตแยกออกจากกันได้ในไม่ช้า)
+++ "กายกับจิตแยกออกจากกันได้" หากใช้ภาษาตรงตามอาการ ย่อมหมายถึง ทั้งกายและะจิตแยกออกจาก "ตน" แต่ถ้าผมจะประเมินอาการในขณะนั้น น่าจะเป็นว่า "กายหายไป" มากกว่า แล้วเข้าสู่ อรูปฌาน
รู้ไปเรื่อยๆไม่นาน จิตรวมตัวเข้า รู้สึกว่าแขนขาหายไป ลมหายใจเบาขึ้น ตัวลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกมีความสุขมากๆ ลมหายใจเบามากๆ ความสุขหายไปตอนไหนไม่รู้
+++ ตรงนี้เป็น "ขาเข้า" สู่ อสัญญีภูมิ ใน อรูปภพ
รู้แต่ว่าเห็นแสงสว่างสีขาว (ขณะนี้เหมือนกึ่งกลับกึ่งตื่นค่ะ)เป็นวงกลมเล็กๆแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงซ้อนกันและจ้าขึ้นเรื่อยๆ พอจ้ามากถึงที่สุดแล้ว ก็รู้สึกตัว (แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้กำหนดต่อ ภาวนาต่อ เพราะจำอะไรไม่ได้เลย)
+++ ตรงนี้เป็น "ขาออก" จาก อสัญญีภูมิ เข้าสู่ รูปภพ
พอออกจากสมาธิ รู้สึกเหมือนความจำเสื่อมไปชั่วขณะ ว่าที่นี่ที่ไหน เราเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ พอค่อยๆนึก ความจำก็กลับมาเหมือนเดิมค่ะ ที่ผ่านมาไม่กล้าถามใครกลัวบาป เพราะเป็นเรืองที่เชื่อยาก อยากเรียนถามท่านผู้รู้ว่า สิ่งที่ดิฉันได้ประสบมาคืออะไรเหรอคะ
+++ มันไม่ใช่ บาปและบุญ อะไร แต่มันเป็น "วิบาก" (ผลลัพธ์ต่อเนื่อง) จากการตกเข้าสู่ "อสัญญีภูมิ" ซึ่งมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น "พรหมลูกฟัก" เพราะมีสมาธิลึกในระดับ ฌานสมาบัติ และ "โลกียะนิพพาน" เพราะมันเหมือนการละวางปล่อยวางทุกอย่าง เพียงแต่มัน "วางความจำ" และ "สติ" ทิ้งไปเลย
นั่งสมาธิครั้งต่อมากำหนดจิตที่หัวใจ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังมาก เสียงเลือดสูบฉีดดังชัดมากเลยค่ะ รู้ว่าระดับขณิกสมาธิ
นั่งครั้งไหนๆกำลังใจไม่เท่าครั้งแรกเลยค่ะ ช่วงนี้เว้นมานานเลยไม่ค่อยได้นั่งอีก
+++ นับว่าโชคดีมากที่ "ไม่ได้นั่งต่อ" เพราะไม่งั้น โรคความจำเสื่อม ที่คุณเข้าใจเอาเองว่า "เป็นการละวางปล่อยวาง" จะเกิดขึ้นกับคุณ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าเริ่มเชื่อว่ากฏแห่งกรรมมีจริง และเกรงกลัวต่อบาปมาก
+++ "กฏเกณฑ์ของการทำงานทางจิต" มีอยู่จริง รวมทั้งผลลัพธ์ของมัน "วิบาก" มีอยู่จริงทั้งสิ้น
+++ ผมเคยเป็นผู้วิเศษ (รู้เห็นอุตลุต) ที่มีความสุข (ติดสุข) และสงบเพราะละวางปล่อยวาง (วางความจำและสติทิ้งไปเลย) จนบางครั้งก็เข้าใจเอาเองว่า "นิพพาน และ พระอรหันต์" ก็คือลักษณะที่ผมเป็นอยู่นี้นี่เอง อยู่ถึง 7 ปี และไม่ว่าตำราเล่มใดก็ตามที่บอกว่า พระอรหันต์ ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ตรงไปหมด
+++ มันเป็นความโชคดีของผม ที่ในขณะถอดจิตออกท่องเที่ยว แล้วมีพระสงฆ์องค์หนึ่งในขณะที่ยังถอดจิตอยู่ กล่าวกับผมว่า "โยม ฝึกมาผิดทาง แล้วนะโยม"
+++ คำพูดประโยคนั้น "ฝังอยู่ในใจผมตลอดเวลา" เพราะเป็นการสื่อสารในระดับถอดจิตในชั้น ฌาน 4 จนทำให้ผมเลิกฝึกทุกชนิดไปอีก 7 ปี
+++ จนกระทั่งบวชเป็นพระ แล้วทำความเข้าใจเสียใหม่ในเรื่อง "ตั้งจิตมั่น หรือ ตั้งสติมั่น" กันแน่ จากนั้นผมจึงเดินทางต่อเฉพาะในสายของ "สัมมาสมาธิ" เท่านั้น
+++ ถือว่าเป็นแค่ "เล่าสู่กันฟัง" ก็แล้วกัน นะครับ -
+++ ส่วนคำว่า "จำสภาวะ" แล้วสามารถเดินจิตตามนั้นได้ เรียกว่า "วสี" ครับ และก็เป็นไปตามที่คุณ to2504 กล่าวไว้นั่นแหละ -
-
เหมือน เนวสัญญาสัญญายตนะ
เวลาจะออกจากสมาธิ ควรถอยฌานลงตามลำดับ แล้วกำหนดรู้กายให้ทั่วก่อนครับ
จะได้ไม่มีอาการที่บอกว่าความจำเสื่อม(ยังอยู่ในฌาน)
ผมเคยเป็นแบบนี้ จนมีอาการไม่ค่อยหายใจในชีวิตประจำวัน กว่าจะแก้ไขได้ตั้งนาน -
-
ลองเพ่งอวกาศไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนจะถูกดูดเข้าไปในอวกาศเลยค่ะ เลยไม่กล้าไปลึกกว่านั้นเลยประคองจิตให้อยู่ มีความปีติในสมาธิก็พอ (แต่ก็อยากเข้าให้ลึกกว่านี้นะคะแต่รู้สึกว่ามันเวิ้งว้างมากเอาแค่นี้ก่อน) อย่างน้อยจิตจะได้พักผ่อนและมีกำลังมากขึ้น
-
ความว่างเปล่าในแสงสว่าง หรือ ฌาน8 ในกสิณแสงสว่าง
ถ้าเข้าถึงสมาธิระดับนี้แล้ว คงไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆอีกแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นสอนเมสซี่เล่นฟุตบอล
ผมคงทำได้แค่กล่าวคำ สาธุ ๆ ๆ โมทนา ด้วยครับ
หน้า 1 ของ 4