ขอบคุณค่ะ มันแอบเครียดอ่ะค่ะ หุหุ
... แล้วเราจะเล่าให้ฟัง ...
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สายฝนฉ่ำเย็น, 1 กุมภาพันธ์ 2011.
หน้า 11 ของ 54
-
-
อิอิ คุณ dont worry แอบเครียดได้ไงค๊า ไม่สมกับชื่อน๊า อิอิ
-
....อยากรวย .....
ป้าคนหนึ่ง ทำงานเป็นแม่บ้านของบริษัทเอกชน โทรเข้ามาหาฉัน บอกฉันว่า ช่วยเขาหน่อย อยากให้...ดูดวงให้ที...ไม่ไหวแล้ว..ภาระแบกไว้หนักเหลือเกิน...ฉันถามเขาว่า...ปีนี้อายุเท่าไหร่...ป้าตอบฉันแบบไม่ลังเล...พร้อมเสียงหัวเราะใส ๆ...ฉันบอกป้าว่า...ที่ทุกข์เรื่องลูก...น่ะ...แม่ของป้าก็ทุกข์กับป้าอย่างนี้แหละ...เถียงคำไม่ตกฟาก...เน๊าะ...แล้วเวลาสวดมนต์ภาวนา...ไม่ขออะไรหรอก...ขออยู่อย่างเดียว...ขอรางวัลที่ 1 นะ หลวงพ่อ...ขอให้ถูกหวย...พอไม่ถูก...กลับบ้านมา...ด่าหลวงพ่ออีก...ด่าใครไม่ด่า...ชี้นิ้วด่าหลวงปู่โตอีกต่างหาก...ใจหนึ่งก็นับถือ...หลวงปู่โตมากๆ...อีกใจหนึ่ง ก็ยากแค้นเข็นใจ...อยากรวย...ขอหลวงปู่ให้ช่วย...แต่...กรรมก็เยอะ...กรรมจากวจีกรรม และ มโนกรรม...จากการที่ไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านเขา...เขาจะทำอะไรกัน...ก็ไม่วิเคราะห์วิจารณ์เขา...โดยที่เขาไม่ได้ขอร้อง หรือ ขอความช่วยเหลือ...วิเคราะห์ไม่พอ ยังไปวิเคราะห์กับคนอื่น ให้คนอื่นฟังอีกต่างหาก...โดนกันถ้วนหน้า...
ฉันบอกว่า...นั่นแหละ...คือกรรม...กรรมที่เดินไม่หยุด...แล้วยังใช้ไปตลอดทาง...จากความทุกข์ใจเรื่องของลูก..เรื่องของหลาน...ที่ต้องรับภาระกันถ้วนหน้า...โดยป้าคนเดียว...ทุกข์กายน่ะ ยังไม่สาหัสเท่าทุกข์ใจ....ป้าหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม...ฉันเลยถามป้าด้วยความสงสัย...ป้าหัวเราะอะไรคะ...หนูดูให้ป้าผิดเหรอ...เท่าที่หนูบอกมานี่...ก็สาหัสเอาการอยู่...ป้ายังมีอารมณ์หัวเราะได้เน๊าะ...^_^....ป้าตอบฉันว่า....เปล่า...คุณอ้อ...หัวเราะชอบใจ...คุณอ้อพูดมา...โดนหมดเลย...ป้าอยากมีเงินเยอะๆ ...จะได้มาแบ่งเบาภาระที่แบกไว้...ไปสวดมนต์ก็ไปขอหลวงพ่อจริงๆ....ขอให้ถูกหวย เอารางวัลใหญ่ๆ...ขอให้รวย...ซื้อหมดทั้งใต้ดินบนดิน...พอวันไหน คาดหวังว่า...ต้องถูกแน่ๆ...กลับไม่ถูก...ป้ากลับมาบ้าน...ก็ว่าอย่างนั้นจริงๆ....แหม...ใครจะไปคิดล่ะ...คุณอ้อ...ว่ารูปปั้นท่านจะรับรู้ได้ขนาดนั้น....แป่ว !!!!!....ฉันเลยบอกป้าไปว่า...การสวดมนต์ภาวนาน่ะ...ท่านเห็นแล้ว ท่านทราบแล้ว...แต่อยู่ที่กรรมด้วย....ท่านอยากช่วย....ก็ช่วยได้ไม่เกินกรรม....วิบากกรรมนี้...ต้องหยุดที่ตัวป้าก่อน...หยุดความคิด หยุดวาจา....ไม่ก่อใหม่...ใช้ของเก่าให้เบาบางลงก่อน...เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง...แต่อย่าปฏิบัติเพราะอยากได้โน่น อยากได้นี่...แทนที่จะได้บุญ....กลับได้กรรมกลับมา....
สุดท้าย...ป้าขอบอกขอบใจฉัน...ที่บอกให้เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการกระทำใหม่...ก่อนวางสายไป...ป้าบอกว่า...จากนี้ไป...ป้าจะไม่ว่าท่านอีกแล้ว...ฝากคุณอ้อบอกท่านด้วยนะ...ป้าขอโทษ...ป้าไม่รู้จริงๆ....55555++ แล้วฉันจะบอกยังไงล่ะ...ท่านอยู่ที่บ้านป้านี่หน่า....อิอิ -
;aa47 สวัสดีตอนเช้าครับ:d
-
สาธุบุญด้วยนะคะ -
.... อย่าถอด !! #1.....
ช่วงที่ยังสำราญกับงานที่ทำ...เงินที่ได้จากการทำงาน...ช่างเป็นอะไรที่เบิกบานใจเหลือเกิน...หาง่าย...ใช้คล่อง...ฉันเคยเลี้ยงวันเกิดตัวเอง...หลายครั้ง...ในหลายปี...จนกระทั่ง...มาวันหนึ่ง...แม่บอกฉันว่า...วันเกิดน่ะ...อย่าจัดเลี้ยง...หรือเลี้ยงฉลองเลย...ไปทำบุญที่วัดเถอะ...ทำเอาตัวบุญ...เพราะบุญนั่นแหละที่จะช่วยหนุนเราให้เรารอดพ้น...ฉันไม่รู้จะเชื่อดีหรือเปล่า...แต่ตั้งแต่นั้นมา...ความรู้สึกเรื่องวันเกิด...ความตื่นเต้น...ดีใจ...ที่จะครบรอบวันเกิด...ค่อยๆ หายไป...แต่กลับเป็นความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่...ฉันมักจะชวนครอบครัวทำบุญในวันเกิด...ทำอาหาร หรือ ไปทานอาหารนอกบ้านกันเฉพาะครอบครัวของฉัน...ขอบพระคุณ ที่แม่ให้กำเนิดฉัน...ให้ฉันมีชีวิต...มีลมหายใจ...ขอบพระคุณที่แม่สละเลือดในกายของแม่...กลั่นเป็นน้ำนม..ให้ฉันได้ดื่มกินหล่อเลี้ยง...กายสังขาร...ขอบพระคุณที่ให้ฉันได้ก่อร่างสร้างตัว...ฟูมฟัก...จากมดลูกของแม่...จากร่างกายของแม่...และฉันก็จะบอกอย่างนี้กับทุกคนในครอบครัว...“บ้านเราจะไม่มีการเลี้ยงวันเกิด ถึงวันเกิดใคร ให้พากันทำบุญ”...
จนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฉันไม่ได้อยากทำอะไรเลยในวันเกิด...วันลืมวันเกิดตัวเองไปแล้ว...เงินก็มีน้อยเต็มที...ฉันจึงไม่มีแผนการณ์ที่จะไปทำบุญใดๆ ที่ต้องใช้เงินเยอะ...เพียงแต่นึกแค่ว่า...ฉันจะใส่บาตร...และสวดมนต์ภาวนาในวันนั้น...เพื่อส่งบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่แสนดีของฉัน...สามีฉัน...เขามาบอกว่า...ที่ทำงานเขาจะมีไปทำบุญเลี้ยงเด็กกำพร้ากันแถวสุขสวัสดิ์...อยากให้ฉันไปด้วย...เพราะวันนั้นตรงกับวันเกิดฉันพอดี...ฉันปฏิเสธทันที...ฉันไม่อยากไป...ฉันเฉยๆ...อีกอย่าง...เงินก็มีน้อย...ฉันทำแค่นี้ก็พอแล้ว...เขาพยายามถามฉันทุกวัน...จน 2 อาทิตย์ถัดมา...ก่อนถึงวันเกิดฉัน 1 วัน...เขายกคำพูดอธิบายให้ฉันฟัง...“เธอ..เราทำเท่าที่เรามีก็ได้ 10 บาท 20 บาทก็ได้...ไปเถอะ ฉันอยากให้เธอไป...อย่างน้อย พรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดเธอ...เท่ากับว่าเธอได้ทำบุญ 2 ต่อเลย...ฉันอยากให้เธอสบายใจ...ให้เธอได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง...” ฉันตัดสินใจไปแบบเสียไม่ได้...ไม่อยากให้เขาลำบากใจ...
พอไปถึงสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า...เด็กมีอายุที่คละกัน...ตั้งแต่เด็กเล็ก จนโตเป็นหนุ่มสาว...ฉันช่วยเขานำอาหารแจกเด็ก...เด็กบางคนหน้าตาเศร้าหมอง...บางคนยิ้มแย้มรับแขก...ฉันเห็นแล้ว...นึกถึงตอนที่ฉันไม่มีแม่อยู่ด้วย...ฉันคงมีสภาพไม่ต่างจากเด็กพวกนี้เท่าไหร่...เพียงแค่หวังว่า...จะมีใครมาเยี่ยม...จะมีใครมาทำให้อาหารที่กินในแต่ละวันเปลี่ยนไป...จะมีใครนำของขวัญของเล่นเล็กๆ น้อยๆ...มาเป็นกำลังใจให้...ฉันมองดูด้วยความสุขใจ...อาการที่ไม่อยากมา...เปลี่ยนไปในทันที...เพราะอย่างน้อยฉันคิดถึงตัวเองที่...ยังมี “หัวใจดวงใหญ่” ที่เป็นกำลังใจให้ฉัน...จนวินาทีสุดท้ายของชีวิตท่าน...ฉันยังดีที่ยังมี...พ่อและแม่...ที่ไม่ได้กำเนิดฉัน...แต่ท่านให้ความรักแก่ฉันจนสุดหัวใจ...
-
.... อย่าถอด !! #2.....
หลังจากนำอาหารและแจกของเล่นของกินให้เด็กเรียบร้อยแล้ว...เพื่อนในกลุ่มก็ชวนกันไปกินข้าวเที่ยงต่อ...ได้ยินครั้งแรกว่าจะไป...ตลาดบางน้ำผึ้ง...ฉันนึกในใจ..ดีเหมือนกัน..เพราะไม่เคยไปเลย...แต่ในใจฉันคิดว่า...“อย่าสรุปสุดท้ายว่าจะไป ป้อมพระจุลฯ นะ”...ค่ะ...เป็นอย่างนั้นจริงๆ...เพราะต้นทางคิดได้แค่นั้นจริงๆ...สรุป ฉันได้ไปกินข้าวเที่ยงที่ป้อมพระจุล...ระยะทางที่ไป...ฉันว่าไกลพอสมควร...ซึ่งฉันยัง...งง...อยู่...เพราะถ้าจะกินข้าวจริงๆ...เทียนทะเล...ไม่ใกล้กว่าหรือ!!...
พอรถเลี้ยวซ้ายเข้าที่จอดรถ...ฉันเกิดอาการเหมือนจะอาเจียน...รถจอดได้ปุ๊บ...ฉันจูงแขนลูก...เดินหาพระบรมรูปของเสด็จพระองค์ท่าน...คนอื่นพากันเดินเข้าร้านอาหาร...และมองมาที่ฉันด้วยความสงสัย...ว่าฉันจะไปไหน...สามีฉันจอดรถเสร็จก็เดินมาสมทบกับฉันและลูก...ฉันบอกเขาว่า...ฉันรู้แล้วว่าทำไมต้องมาที่นี่...เพราะระหว่าง...ลานพระรูป...กับที่นี่...ที่นี่ใกล้กว่า...เสด็จพระองค์ท่านจึงนำฉันมาที่นี่...ฉันสามีและลูก...ถวายบังคม...ขอพรจากพระองค์...เมื่อเสร็จเดินเข้าร้านอาหาร...เพื่อนเขาต่างถามฉันว่า...ไปไหนมา...ฉันยิ้ม...ไม่ได้บอกอะไร...พอนั่งทานข้าวไปได้สักพักใหญ่...จนจะเสร็จแล้ว...ต่างคน ก็นั่งคุยกัน...เพื่อนของสามีที่นั่งตรงข้ามกับฉัน...ฉันเห็นหลวงปู่ทวด...ฉันไม่รู้จะเอ่ยกับเขายังไงก่อนดี...เลยถามเขาว่า...ได้ยินว่าปฏิบัติภาวนา...ปฏิบัติแนวไหน...เขาบอกว่า...เขาปฏิบัติตามแนวพระป่า...สายหลวงปู่มั่น...ฉันได้ช่องทันที...ฉันบอกว่า...ปฏิบัติมาพอสมควรแล้วนี่คะ...และคิดว่ายังไปไม่ถึงไหน...เลยสับสนใช่ไหม...เขาบอกว่า...อ้อรู้ได้ยังไง...ฉันบอกว่า...ฉันเห็นหลวงปู่ทวดกับเขา...ให้นำหลวงปู่ทวดกับมาสวมคอเหมือนเดิม...เขาตกใจ...บอกฉันว่า...อ้อรู้ได้ยังไง...เขาเพิ่งจะนำหลวงปู่ทวดออกจากคอเมื่อเช้านี้เอง...แล้วนำพระที่แม่เขานับถือ...สวมคอแทน...ฉันบอกว่า...ท่านดูแลอยู่...เปลี่ยนการปฏิบัติใหม่...ให้ภาวนาพุท-โธ..กำหนดลมหายใจ...อย่าอยาก...แล้วจะเดินหน้าไปได้...ที่ติด...ติดที่อยาก...อยากสำเร็จ...อยากสัมผัส...จึงไม่เดินหน้า...เขาตกใจ...บอกว่า ขอบคุณมากๆ...เขาจะนำไปปฏิบัติตาม...เขาถามฉันว่า...ฉันเห็นได้ยังไง...ฉันยิ้ม..และบอกว่า...ไม่รู้เหมือนกัน...ฉันเห็น ฉันได้ยิน...จึงนำสาส์นบอกเท่านั้นเอง...จากนั้น...ฉันก็เริ่มบอกถึงคุณยายของเขาที่มาด้วยกัน...คุณยายนั่งรถเข็น...เพราะท่านเดินไม่ไหวแล้ว...มีน้องสาวเขาคอยเข็นคอยดูแลอยู่ด้วย...ฉันเห็นผู้ชายแก่อยู่ข้างๆ คุณยายตลอดเวลา...ตั้งแต่ตอนที่เอาของแจกเด็กแล้ว...จนได้เวลาบอก...ฉันจึงถามว่า...คุณตายังอยู่ไหม...เขาบอกว่าคุณตาเสียไปแล้ว...ฉันถามเขาว่า...คุณตารูปร่างผอมสูง ผิวดำแดง ชอบใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาวแขนสั้น กางกางขายาวสีดำ หรือเปล่า...เขาตกใจอีกรอบ...ใช่...อ้อเห็นเหรอ...ฉันบอกว่า...คุณยายขา...เวลาไปทำบุญที่ไหน...บอกคุณตาด้วยนะคะ...ท่านไปด้วยทุกที่...ท่านไม่ได้ไปไหนนะคะ...ท่านอยู่กับคุณยาย...นำบุญส่งให้ท่านด้วยนะคะ...คุณยายยิ้มและขอบใจฉัน...เพื่อนคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในโต๊ะ...เริ่มหันมามองฉัน...บ้างสงสัย...บ้างกลัวกับสิ่งที่มองไม่เห็น...บ้างมองว่า...ฉันคงเพี้ยนไปแล้ว !!!!...หลังจากนั้น...เพื่อนคนที่ฉันแนะนำให้ทำอะไรไป...เขาทำต่อ...จนสัมผัสได้...ฉันบอกเรื่องของความกตัญญูที่เขามีต่อบุพพาการี...ที่เป็นตัวหนุนเขา...ให้เขามีความสุขกายสุขใจ...และกรรมก็มีมากระทำเช่นเดียวกัน...เขาเริ่มเข้าใจในกรรม...ที่เขาได้สร้างมา...เขาพ้นทุกข์ที่เขาเคยทุกข์ใจมา...ตั้งแต่นั้นมา เขาและฉัน...ได้กลายเป็นกัลยาณธรรมกันไป....น้องเขาที่คอยดูแลคุณยาย...ถามฉันว่า...เขาจะเอ็นติดที่ มศว. หรือเปล่า...พี่สาวเขาบอกว่า...ฉันและสามีเป็นศิษย์ มศว. ...อยากขอคำอวยพร...ฉันบอกว่า...น้องมีราศีที่ผ่องมาก เห็นตั้งแต่แรกแล้ว...อีกอย่างเห็นการนุ่งขาวห่มขาว...เขาบอกว่า...เขาชอบไปวัดอัมพวัน...ไปบวชเนกขัมมะ...ฉันบอกว่า...นั่นแหละดีแล้ว...เป็นบุญกุศล...อยากเข้า มศว. จะได้เข้านะ...เพราะนี่คือบุญที่ได้กระทำ...สุดท้าย....เพื่อนกัลยาณธรรมฉันโทรมาบอกว่า...น้องสาวเขาติด มศว. ฝากมาขอบคุณฉันมากมาย...ฉันบอกว่า...ฉันไม่ได้เป็นผู้ทำ...น้องต่างหากที่เป็นผู้สร้างบุญ.....สาธุ -
;aa44
................................ -
และก็ยังไม่ได้ช่วยใครเพราะไม่มีกำลัง
ทั้งกำลังในทางธรรมและกำลังในทางโลก
ตัวเองก็ยังลำบากชนิดแค่ใกล้จะอดตายก็มีพอได้อยู่รอดชีวิตไปอีก
เท่านั้นเอง
จริงๆ ก็ไม่ได้ทุกข์อะไรหนักหนา เพราะเป็นแบบนี้มาจนชินแล้ว
ถ้าหมดเวรหมดกรรมแล้วก็คงจะอดแล้วตายไปเลย ก็๋จบ ไม่กลัวครับ
แต่มีเรื่องที่เสียใจที่สุดเรื่องเดียวคือ เราไม่มีกำลังที่จะไปช่วยคนอื่น
ทั้งที่รู้และเห็นว่ายังมีคนในโลกนี้ที่ลำบากทุกข์แสนสาหัสกว่าเราอีกมาก
แต่เราช่วยเขาไม่ได้ ทั้งที่โอกาสได้สร้างบุญกุศลและเนื้อนาบุญของโลก
ยังมีอยู่มากมายในประเทศไทย เศร้าใจครับ -
ผมก็ได้ประโยชน์จากธรรมทานของ จขกท.ด้วยครับ
ผมเองพึ่งจะเข้าใจชัดเจนเดี็๋ยวนี้เอง ว่าผมมีแต่อุเบกขา และตามที่พระป่ารูปนั้นท่านบอกว่า พรหมวิหาร 4 หมายถึงต้องทำทั้ง 4 ประการไปด้วยกัน ผมรู้สึกว่าตัวเองมีชัดแค่อุเบกขา เลยปฏิบัติธรรมไม่่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร
แล้วจะนำข้อคิดที่เป็นประโยชน์ไปปรับปรุงตัวเองต่อไปครับ
ปล. ผมก็เชื่อนะ ว่าต้องมีพลังกรรมบางอย่างที่ชักนำให้ผมมานั่งอ่านกระทู้นี้หลายชั่วโมงเลย
ในโลกนี้ไม่มีคำว่า บังเอิญ ทุกอย่างเิกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เป้นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน และก็จริงนะครับ เหมือนผงเข้าตาตัวเองที่เขี่ยไม่ออกเพราะมองไม่เห็น พึ่งมาเห็นกระจ่างตรงจุดนี้เองครับ -
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนชั่วมาแอบแฝง คิดหาผลประโยชน์ด้วยการคัดลอกบทความคนอื่นเอาไปดัดแปลงเผยแพร่
ศีลข้อ 2 ขาดกระจุย แถมเวลาเผยแพร่ก็ต้องโกหกว่าเป็นผลงานของตัวเองอีก
ศีลข้อ 4 ก็ไม่เหลือซาก
ผืดศีล 5 ด้วยความตั้งใจและจงใจอย่างนี้ วิบากกรรมแรงมากนะครับ
ผมเดาว่า ถึงจะลักขโมยไปหาผลประโยชน์หรือไปทำมาหากินอะไร ก็จะเจอแต่วิบากกรรม ถูกโกง ถูกหลอกลวงไปอีกนานแสนนานครับ อาจถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าประโยชน์ั้ที่จะได้รับเป็นร้อยเป็นพันเท่า
เลิกเสียเถอะครับ กลับตัวกลับใจตอนนี้ยังทันนะครับ
อย่ารอให้เกิดเป็นกายกรรม (ส่วนมโนกรรมและวจีกรรมคงเกิดไปเรียบร้อยแล้ว) ไปแล้ว ผลของวิบากกรรมที่จะต้องได้รับคืนนั้นมันทวีคูณมากกว่ากรรมที่สร้างไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า ใครไม่เจอกับตัวเองไม่รู้หรอกครับว่า มันอยุติธรรมขนาดไหน (ในความคิดของคนที่ต้องรับวิบากกรรม) ผมบอกได้เพราะเคยประสบมากับตัวเอง ไม่ใช่ว่าโกงเขา 100 บาทแล้วจะถูกโกงคืนแค่ 100 บาทแล้วจบสิ้นนะครับ แต่จะโดนเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน ผมก็ไม่รุ้ว่าใครหรืออะไรเป็นคนตั้งกฏเกณฑ์ผลตอบแทนทวีคูณแบบนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร แ่ต่อย่ารอให้ถึงคิวต้องใช้กรรมเลยครับ มันไม่คุ้มกันมากๆ เลย แล้วอีกอย่างนะครับ อย่ารอให้วิบากกรรมส่งผล มันจะเหมือนคนที่ลงสไลเดอร์ครับ จะหยุดหรือยับยั้ได้ยากมากๆ ถึงแม้จะรู้ตัวรีบไปสร้างบุญก็ต้านกระแสกรรมที่ส่งผลเหมือนกระแสน้ำำที่ไหลเชี่ยวกรากต้านทานได้ลำบากมากครับ ชีวิตจะถูกบีบบังคับในทุกวิถีทางและทุกช่องทางอย่างเหลือเชื่อ ถึงจะเร่งสร้างกุศลกรรมก็ต้องมากกว่าวิบากกรรมอีกมากๆๆๆๆ ประมาณว่าใช้น้ำทีละ 1 หยดดับกองไฟที่ลุกท่วมหัว ถึงจะพอผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง แต่ก็ได้ผลน้อยครับ สู้ไม่ทำความชั่วเสียเลยเป็นดีที่สุด ระหว่างที่กรรมยังให้ผลต้องทนก้มหน้ารับกรรมไปจนกว่าจะสิ้นสุดวิบากกรรม แทบไม่มีเวลาโงหัวเลยครับ และอย่าลืมนะครับ การทำความดีนั้นยากกว่าการทำความชั่ว ยิ่งคนที่ตั้งใจทำความดีแต่มีวิบากกรรมชั่วกำลังส่งผลด้วยแล้ว เลือดตาแทบกระเด็นครับกว่าจะทำความดีได้สำเร็จ
ส่วนตัวผมคงสร้างบุญเก่ามาน้อย จึงเคยหลงผิดตามกระแสโลกในการทำบาปอกุศลกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน (ซึ่งทางโลกเค้าถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เราเรียนมากรู้มากก็สามารถเอาเปรียบคนอื่นได้มาก จริงไหมครับ ทำได้แบบไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดทางธรรม) เมื่อครั้งในอดีต แต่ก็ยังดีที่รู้ตัวก่อนตายและหันหน้าเข้าสู่เส้นทางธรรมยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เตือนสติด้วยความหวังดีนะครับ ผลประโยชน์ที่คิดว่าจะได้น่ะ รับประกันว่าไม่ได้หรอกครับ หรือได้ในวันนี้ 1 บาท แต่จะต้องเสียในวันหน้านับร้อยนับพันนับหมื่นเท่าครับ อย่าทำเลยครับ ถ้าเป็นการค้าก็ต้องเรียกว่าเป็นคนโง่ เหมือนซื้อของมา 1 ล้าน ขายได้แค่ 10 บาท ขาดทุนย่อยยับ ลักษณะของการสร้างบาปอกุศลและการรับวิบากกรรมก็คล้ายๆ กันแบบนี้ละครับ -
ขอขอบคุณ ที่ได้ให้ประสพการณ์ต่างๆ แก่ผู้ไม่รู้ และคิดว่าเป็นสิ่งดี ที่สามารถให้กำลังใจแก่ผู้มีความรู้สึกเป็นทุกข์มากนะ จะได้มีกำลังใจนะ
-
ขอบคุณที่ช่วยทบทวนสื่งที่รู้ให้อีกครั้งนึงด้วยความปรารถนาดีที่จะไม่ให้ไถลไปไหน.... ^^ -
เดี๋ยวถ้าใครอ่านไม่ดี จะมาโทษ หาว่า สร้อยฟ้ามาลา เป็นคนคัดลอกบทความไปนี่เสียหายแย่เลย....... -
-
-
ทักทาย น้องสร้อยฟ้า คงสวย
อิอิ เอาแล้วมะ มันผ่านไปแล้ว
มะช่ายเหรอ อดีตน่ะ ตัวหนังสือที่เรา
อ่านกันอยู่ แต่..เอามาปรุงใหม่ได้นะ
จะได้เป็นปัจจุบันใช่ไหม เสร็จแล้วก็
แปลงร่าง เป็นอดีตอีก เฮ้อหนอ
อนาคตอย่าเพิ่งไปมอง ทำเหตุปัจจุบัน
ให้ครบ อนาคตช่างหัวเผือก มัน 555++
-
.... ปวดหัวจัง !!! .....
ช่วงแรกที่ยังสับสนอยู่ว่า...จิตปรุงแต่งไปเองหรือเปล่า...ก็มีเครสใกล้ๆ ตัว...ที่อยากจะบอก...เหลือเกิน...อยากให้ท่านหายจากโรคปวดหัว...ที่เป็นมานานมาก...ปวดถึงขนาด กินยาแก้ปวดหลายเม็ดก็ไม่หาย...จะมีก็เพียงแค่ จากปวดมาก เป็นปวดแบบกวนใจ ทั้งวัน...ตลอดเวลา...ฉันเห็นกรรมจากการตีหัวกบ....ตีหัวปลา....ฉันถามท่านว่า...เมื่อก่อนตอนเป็นหนุ่มๆ สาวๆ...เวลาทำอาหาร...ต้องซื้อของแบบตัวเป็นๆ...แล้วมาทำใช่ไหม...ปลาช่อนที่ทุบไป...ขนาดกำลังดี...ไม่ใหญ่เหมือนปลาช่อนในสมัยนี้...ตัวประมาณแขนของฉันได้มั๊ง...ท่านตอบว่าใช่...แต่สมัยก่อนใครๆ เขาก็ทำกัน...ฉันบอกว่า...ค่ะ....ใครก็ทำกัน...บางตัวที่เราทำ...เขาไม่อาฆาต ไม่จองเวร...แต่ตัวที่เขาไม่ยอม...เขายังไม่ถึงเวลาไป...เขาก็จะอาฆาตจองเวรอยู่แบบนี้...ฉันบอกกับลูกสาวท่าน...ให้ปล่อยปลา ปล่อยกบ...เดือนละครั้ง...หรือเดือนละสองครั้ง...ไม่ต้องมาก...ครั้งละตัวหรือสองตัวก็ได้...ก่อนปล่อยก็อธิษฐานจิต...ขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังทวงหนี้กรรมอยู่....พอได้ทำท่านก็ทุเลาลงบ้าง...แต่ติดปัญหาที่ ท่านอายุมากแล้ว...จะเดินเหินก็ลำบากเอาการอยู่...จึงต้องให้เป็นหน้าที่ของลูกหลานแทน...แต่ด้วยงานที่รัดตัว...ลูกหลานก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง...เพราะไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในอาการที่เกิดขึ้น...แต่ถามท่านว่า ช่วงที่ปล่อยปลา...ดีขึ้นบ้างไหม...ท่านบอกว่าดีขึ้น...แต่ความที่ท่านไม่ชอบเซ้าซี้...ท่านเลยปล่อยให้เป็นไปตามวาระ...ใครนึกได้ก็ไปซื้อปลาในตลาดมาให้ท่านจบ...แล้วนำไปปล่อยให้...ฉันได้แต่มอง...เพราะนี่คือกรรม...ที่แม้รู้ว่าจะต้องขออโหสิกรรม...วิบากกรรมยังไม่ยอมเปิดช่องให้แก้ไข...ปรับปรุง...เลย....
เหมือนตอนที่ฉันกินตั๊กแตนทอด...ดักแด้ตัวไหมคั่วเหลือ..ฉันไม่เคยคิดว่าจะเป็นกรรม...แต่สุดท้าย...กลายเป็นกรรมที่ทำให้ฉันมีระบบหายใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่...ฉันมักจะหอบเวลาไอ...การไอของฉันไม่ปกติ...เพราะเวลาไอจะหอบ...เสียงไอเหมือนมาจากปอด...ไอมีแต่ลม เสียงดัง แบบแห้งๆ...ไปหาหมอ...หมอก็ให้แต่ยาแก้ไอมา...จนกระทั่งน้องเอกคีตา...เข้ามาทักฉัน...“พี่อ้อครับ...พี่อ้อเลิกกินแมลงเถอะครับ...เขาไม่ยอม...เขาทวงกรรมอยู่”...ฉันก็อ้าว!!! ทำไมล่ะคะน้องเอก...คนอื่นเขาก็กินกัน...ทำไมไม่เป็นล่ะค่ะ...ยิ่งน้องสาวของพี่...กินมันทู๊กวัน...จนรถขายตั๊กแตน...มาผูกขาดอยู่หน้าบ้านพี่ไปแล้ว...ไม่เห็นน้องสาวพี่มีอาการเหมือนพี่เลย...“พี่อ้อครับ...ไม่เหมือนกันครับ...พี่อ้อมาสร้างบุญกุศล...ตัวบุญกุศลนี่แหละครับ...ที่ทำให้เขาไม่ยอม...เขาพลีชีพให้กับชาวนาชาวไร่ที่ไม่มีอะไรกิน...พี่เลือกได้...แต่พี่ก็ยังกินเขา...เขาให้ส่งบุญกุศลให้เขาครับ...แล้วให้พี่นำแมลงเหล่านั้นใส่บาตร และไม่กินอีกแล้วนะครับ”...ฉันเข้าใจแล้ว...ฉันทำตามที่น้องบอก...ทุกวันนี้ อาการไอของฉันหายเป็นปลิดทิ้ง...จะมีแค่บางโอกาสเท่านั้น...ที่ไอ...แต่ก็ไม่นาน...มีหอบเหมือนเดิม...แต่ไม่มาก...ไม่ทรมาณเหมือนที่เป็นมา....กรรม กำหนดไม่ได้ ว่าจะต้องทำแบบนี้กับทุกคน...อยู่ที่ความอาฆาตจองเวร...ว่าเขาจะต้องให้ใครได้ชดใช้....กรรมที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์... -
ขอเล่ามั่งครับคุณอ้อ...
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมต้องกินเนื้อหมู ซึ่งถูกปรุงเป็นอาหารในจาน...ก่อนที่ผมจะกินนั้น
ผมก็นึกถึงว่า "มันเคยมีชีวิตอยู่ มันเคยส่งเสียงร้อง อู๊ด อู๊ด และมันเคยตะเกียกตะกาย
วิ่งหาอาหาร และมีกิริยาอาการต่าง ๆ ไปตามสัญชาตญาณของหมู หมู"
พอผมนึกมาถึงตรงนี้ "นี่กรูกำลังจะกินสิ่งที่เคยมีชีวิตอยู่ มีเลือดมีเนื้อและมีจิตวิญญาณอยู่
เหมือนกับเรา ๆ ท่าน ๆ หรือตัวผม ตัวท่านที่กำลังมีชิวิตอยู่ (กินธาตุเพื่อต่อธาตุในกาย)
คุณอ้อเชื่อไหมครับว่า เนื้อหมูคำแรกที่ผมตักเคี้ยว เคี้ยวทั้งน้ำตาครับ คลอเบ้า
และในทุกวันนี้ พวกเรายากที่จะหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เอาอย่างนี้
ก็ได้ครับ คือก่อนกินก็ให้เรารู้ว่า พวกเรากำลังกินสิ่งที่เคยมีชีวิต และมีบางชนิดบางตัว
ที่ก่อนเขาจะถูกฆ่าตาย มีความผูกแค้นเจ็บโกรธ จนกระทั่งดวงจิตของพวกเขา ได้แผ่กระแส
บางชนิด ลงไปในเลือดเนื้อของเขาเอง และเมื่อเราไปกินเขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
กรรมนั้นจะตกผลมาถึงตัวเรา (จบเท่านี้ก่อนครับ มีเหตุด่วนนิดหน่อย) -
หน้า 11 ของ 54