ตามที่ผมคิด หรือ ฟังมา หรือ เจอมา ก็ไม่แน่ใจนัก ว่า
นิพพานที่เห็นในขั้น โสดา นั้น จิตนั้นจะประจักขึ้นมา แค่ไม่นาน หรอกครับ
แต่จะทำให้ จิต เกิดการเพียรขึ้นมา
ส่วนจิตเห็นจิต นั้น ท่านต้องลองสังเกตุลงใน ปฏิจจสมุปบาท ดูนะครับ ซึ่งมันจะเป็น การเดินมรรค แต่ไม่ใช่เห็นนิพพาน ครับ
แต่หากท่านคิดว่าจิตไม่ตายอยู่ ท่านจะไม่เจอ อนัตตา แน่นอนครับ
ไม่รู้ว่าใช่หรือป่าวหนอ
สาธุ
ไม่แน่ใจว่า วิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของจิต หรือ เป็นสิ่งเดียวกัน
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somchai_eee, 20 พฤษภาคม 2012.
หน้า 4 ของ 5
-
-
จะถูกจะผิดผู้อ่านพึงพิจารณาได้เองครับ
ส่วนผมแสดงออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
หากเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้บ้างก็สมเจตนาของผม
หากผู้ใดไม่เห็นเป็นประโยชน์ ผมก็ถือเป็นตามอัธยาศัยของผู้นั้นครับ -
สิ่งที่ผมกล่าวไป มันก็ตกลงที่ ไม่แน่ หรอกครับ ก็งูปลาๆเช่นกันครับ
ขอบคุณครับ -
-
ผมขอตัวพักผ่อนก่อนนะครับ -
พวกงูๆ ปลาๆ คุยกัน มันก็แบบนั้นแหละ
-
-
ผมโมทนาความเห็น คุณ somchai_eee ^^ -
ธรรมพื้นๆ : คิดว่าฉลาดเมื่อไหร่ ก็ โง่ เมือนั้น
คนมีปัญญา จะสามารถ เลือกปลาดีมากินได้จึงแม้จะมีปลาเน่า ส่งกลินเหม็นกลบปลาดีอยู่
อนิจจัง เท่านั้น ที่เกิดขึ้น
สาธุครับ -
ปฏิจสมุปบาท การเกิดของสรรพสิ่งใน 31 ภพภูมิ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี
เพราะอุปทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
อวิชชา สังขาร วิญญาณ เป็น นาม (จิต)
นามรูป เป็น นามรูป อยู่ระหว่าง นาม กับ รูป
สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ เป็นรูป
อรูปพรหม อยู่ที่ระดับ นามรูป
เพราะฉะนั้น
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป ก็คือ ส่วนของจิต (นาม)
นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ ก็คือ ส่วนของกาย (รูป)
ในระดับรูปนาม
อรูปพรหม เฉียดๆ แยกรูปนามได้ แต่ก็คงแยกไม่ได้
ส่วนผู้ที่จะบรรลุธรรม ก็จะหาเส้นแบ่ง ระหว่าง รูป กับนามได้ชัดเจน เมื่อรู้เส้นแบ่งชัดเจนก็สามารถเลือกเข้าไปสู่นามล้วนๆได้ ก็คือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ
แล้วเข้าไปจนถึงตัวอวิชชา
การเกิดดับของจิต อยู่ที่ระดับ สังขาร ในปฏิจสมุปบาท
เมื่อมีการเกิดดับ ก็ทำให้เกิดความถี่
เมื่อเกิดความถี่ก็จะเกิดคลื่น
เมื่อเกิดคลื่นก็จะเกิดพลังงาน
เพราะฉะนั้น วิญญาณ ก็คือพลังงาน ที่เกิดจากการเกิดดับของสังขาร
และเมื่อพลังงาน มีความหนาแน่นหรือเข้มข้นมากก็จะก่อให้เกิดรูปขึ้นมา (เกิดเป็นตัวตนขึ้นมา)
ด้วยเหตุผลที่ผู้ใดแยกรูปแยกนามแล้วเข้าถึงนามได้ ก็เรียกได้ว่า ไม่เกิดอีกแล้ว
ปล. ผมคิดนะครับ -
ความเพียรจะทำให้เราพ้นทุกข์
สาธุครับ -
[216] ขันธ์ 5 หรือ เบญจขันธ์ (กองแห่งรูปธรรมและนามธรรม 5 หมวด ที่ประชุมกันเข้าเป็นหน่วยรวม ซึ่งบัญญัติเรียกว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นต้น, ส่วนประกอบ 5 อย่างที่รวมเข้าเป็นชีวิต — the Five Groups of Existence; Five Aggregates)
1. รูปขันธ์ (กองรูป, ส่วนที่เป็นรูป, ร่างกาย พฤติกรรม และคุณสมบัติต่างๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย, ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด, สิ่งที่เป็นร่างพร้อมทั้งคุณและอาการ — corporeality)
2. เวทนาขันธ์ (กองเวทนา, ส่วนที่เป็นการเสวยอารมณ์, ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ — feeling; sensation)
3. สัญญาขันธ์ (กองสัญญา, ส่วนที่เป็นความกำหนดหมาย, ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์ 6 เช่นว่า ขาว เขียว ดำ แดง เป็นต้น — perception)
4. สังขารขันธ์ (กองสังขาร, ส่วนที่เป็นความปรุงแต่ง, สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ, คุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิต ให้เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต — mental formations; volitional activities)
5. วิญญาณขันธ์ (กองวิญญาณ, ส่วนที่เป็นความรู้แจ้งอารมณ์, ความรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง 6 มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ได้แก่ วิญญาณ 6 — consciousness)
จิต เจตสิก รูป
จิต = วิญญาณขันธ์ ๘๙/ ๑๒๐ เจตสิก = เวทนาขันธ์ ๑,สัญญาขันธ์ ๑,สังขารขันธ์ ๕๐
รูป = รูปขันธ์ ๒๘
เเล้วอะไรคือจิตที่โดนอวิชชาครอบงำ อธิบายให้ฟังหน่อยได้มั้ย -
ที่สุดของ สติปัฎฐาน 4 ใช่จิตเพียงดวงเดียวไหมครับ ผู้ที่เห็นจิตแล้ว
เฝ้าดูจิตจนจิตหยุดการรับรู้ หากกระทำได้ชั่วขณะก็แสดงผลแล้ว
เป็นการปฎิบัติทางจิตโดยแท้ และ เมื่อกระทำได้ตลอดอณุวินาที
ผลจะเกิดขึ้นเช่นไรครับ เมื่อไม่รับรู้จะเกิดการปรุงแต่งอย่างไร
ตำราระบุไว้หลายๆรูปแบบ แต่ที่สุดแล้วก็คือการเฝ้าดูจิต
สาธุครับ -
ผมว่า ไม่อยากกล่าวว่าเห็นจิตครับ
แต่ขณะที่เราทันนั้น จะสามารถ แยก รูป นามได้ครับ ตามกำลังที่มี
แล้วปัญญาขณะนั้นจะพิจารณาธรรมลงไป เพื่อถอดความยึดมั่นถือมั่น กิเลส อาสวะทั้งหลาย -
ท่านลองหาข้อมูล วิชชา+ผัสสะ ดูนะครับ ในพุทธพจน์ก็มีครับ
ส่วนทำให้จิตหยุดการรับรู้ ปัญญาผมคงเข้าไม่ถึงแย้ว
สาธุครับท่าน
-
เป็นไป ดำเนินชีวิตตามการนึกคิด และ บาปบุญ ส่งผลทางการนึกคิด
จิตจะรับรู้ได้ต้องมีสิ่งที่ให้รับรู้ จึงเกิดการยึดเกาะ เมื่อเกิดการยึดเกาะย่อมต้องมี
สถานที่ให้อาศัย จึงจำเป็นต้องมีกาย เมื่อมีกายย่อมต้องมีความรู้สึก จึงจำเป็นต้องมีใจ
เมื่อมีความรู้สึกย่อมต้องมีการรับรู้ จึงเป็นสิ่งให้จิตยึดเกาะ นี่คือที่มาของการแยก กาย ใจ จิต
เพื่อไม่ให้เกิดการปรุงแต่ง เพราะการปรุงแต่งนั้นประกอบด้วย กาย ใจ จิต
ผมคงไม่อธิบายให้ผู้อ่าน"งง"นะครับ
สาธุครับ -
วิปัสสนาแท้ๆไม่ได้เจตนาไปหมายเอา แต่เป็นการนำร่องให้จิตซึ่้งไม่ยอมเดินปัญญานั้นมันรู้จักการเดินปัญญา รู้จักมามองไตรลักษณ์ พอมันมองไตรลักษณ์เป็นแล้ว คราวเนี้ยมันจะเห็นรูปนามนั้นแสดงไตรลักษณ์โดยตัวของมันเอง ไม่ได้มีเจตนา ตรงนี้จะขึ้นวิปัสสนาละ จะเห็นรูปเกิดแล้วก็ดับไป เห็นนามเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เห็นรูปแตกกระจายตัวออกไป นามแตกกระจายตัวออกไป ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนของรูปนามแตกออกไป เรียกว่าฆนะ ฆนะ ฆ.ระฆัง น.หนู ฆนะมันแตก
รูปขันธ์ จัดเป็นรูป นามก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน
วิปัสสนาแท้ๆ ต้องเห็นสันตติขาด หรือ ฆนะแตก | Dhammada.net หลวงพ่อปราโมทย์ : ธรรมะ คือ ธรรมดา
http://www.dhammada.net/2010/06/09/2460/ -
การรับรู้นำพาไปให้เกิด หยุดการรับรู้ คือ การตายที่แท้จริง นี่คือหนทางที่ไม่กลับมาเกิดอีก
ลองมองดูครับ การรับรู้นำพาให้เกิดความรู้ เมื่อมีความรู้แล้วจะทนรู้อยู่เฉยๆได้ไหม
เมื่อรู้แล้วต้องมีการทดลอง มีการกระทำ หรือไม่
สาธุครับ -
ที่ผมกล่าวอาจใช่จะถูก เราสนทนากัน ไม่ได้หวังเพื่อต้องการอวดภูมิอะไร เพราะผมเองก็โง่อยู่มาก แต่ผมเห็นว่า ขอให้ท่านหาข้อมูลที่ผมกล่าวก่อน แล้วค่อยสนทนาต่อเรื่องนี้ นะครับ
แต่ก็แล้วแต่ท่านอยู่ดีนะครับ แค่หวังว่า เรา เป็นเสมือน แก้วที่ว่างอยู่เสมอ แค่นั้นครับ
สาธุครับ -
หน้า 4 ของ 5