100 ประเด็น แล้วที่ผมกล่าวไป แต่ปรากฎว่าไม่มีใครที่ ออกมาแย้งด้วยหลักเหตุและผลที่สวยงามได้สักคน
มีแต่เลี่ยงไป และการเลี่ยงไปนั้น ก็น่าเขลาสิ้นดี ที่หลอกตัวเองไปว่า จะไม่มีใครรู้ จะไม่มีใครเห็น ในความจริง
ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากอีก รู้กันไว้ในใจว่า กลุ่มคนดังว่ามานี้ หาได้มีธรรมไม่
ยังเป็น เด็กที่ เอาแต่สนุก และขาดความรับผิดชอบใน คำพูด และ การกระทำของตนเอง
ผมอภัยให้ ก็คงจะไม่พูดอะไรกันมากอีก ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมกันไป
ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.
หน้า 11 ของ 56
-
หนูเคารพทุกคน รวมทั้งท่านขันธฺ์ด้วย แต่ผู้ใหญ่ที่ผิดแล้ว ...แก้ใขสักหน่อยจะเป็นไรไป เพราะท่านเอาแต่เลี่ยงสิ่งที่ท่านไม่ชอบ ไม่พอใจ เขาเลือกว่าหลบขัดต่อหลักเจริญสติ คนที่มีสติสมาธิ เขานิ่งได้แม้กระทั้งกลางตลาด
ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในป่้าเพื่อหาความวิเวกหรอก เพราะนั้นไม่ใช่ของจริง
หรือใคร่เฉพาะที่พอใจ -
พะ พะ พะ พะ ณุ อยู่หนาย
ข้าแต่ฟ้า ข้าแต่ดิน ข้าแต่น้ำ แข้แต่พญากระรอกผู้นั้น
โปรดดลบันดาลให้ พี่'ณุ ข้า ปรากฏ ณ บัดนาว
ก่อนที่ ดอกไม้จะกลายเป็น แอมเสาวลักษณ์ -
การดูถูก ศาสนา คุณต้องไป พูดกับคุณ นิวรณ์ ตัวคุณและอีกหลายคนเพราะว่า เขาดูถูกในคำสอนของพระศาสดาว่า สมาธิไม่ต้อง แต่ผมไม่เคยดูถูกศาสนา แต่กล่าวตามศาสดา
การดูถูกคน คุณ ต้องไป พูดกับ นิวรณ์ ตัวคุณ และ หลายๆคนเพราะเขาดูถูกว่า คนอื่นไม่รู้ อยู่เป็นประจำ
และสุดท้าย คุณจะบอกว่า ผมดูถูกก็ได้ แต่ผมดูถูกและกดข่ม กิเลส และ ความเฉไฉ ของพวกคุณ -
-
เป็น สวากขาตธรรม
ตรัสไว้ชอบ แล้ว ถูก แล้ว
คำตรัสของพระองค์ เป็น เอกนามกิง หนึ่งไม่มีสอง
แล้วคุณมาบอกว่า ไม่มีผิดมีถูก
อย่างนี้ไม่เรียกว่าปีนเกลียว
กับธรรมของพระพุทธองค์
ดอกหรือ
ที่คุณว่าคุณ เห็นจนชิน นั้นน่ะ
มันเห็นผิดจนชินน่ะสิ
ความจริงคือ
ตาคุณไม่ได้บอดหรอก
แต่ใจคุณไม่สามารถเป็นภาชนะ
ที่จะรับธรรมแท้ได้เท่านั้นเอง
เพราะใจคุณน่ะคว่ำอยู่
ทำไมไม่หงายใจตัวเองขึ้นมาล่ะ
จะได้รับรสแห่งธรรมที่แท้จริงซะที
โลกของคุณนั่นล่ะเป็นโลกที่แคบ
โลกของผมเป็นโลกวิทู รู้แจ้งโลกตามลำดับ
ก็ผมรู้เองเห็นเองเป็นสันทิฏฐิโก รู้มาแล้วเห็นมาแล้ว
แล้วก็รู้ว่าคุณยังหลงอยู่
แล้วที่ผมพูดมันจะผิดไปไหน
ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่า เป็นปัจจัตตังเหรอ -
ตามนั้น ...
จริง ๆ หนูแค่จะมาอ่านเฉยๆ แต่ที่ทนไม่ไ้ด้คือ..การรุกราน
-
...ขอปรบมือ..ให้กับทุกความเห็น..
...เพราะผมไม่มีความเห็น.. -
ผมสนับสนุน คำว่า เอกนามกิง เป็นหนึ่งไม่มีสอง
คำพูดของพระศาสดา ตรัสแล้ว เป็นไปตามนั้นหมด อย่าไปตีเป็นสอง ถ้าตีเป็นสองหมายถึง กิเลสเราเอง
พระศาสดาก็ตรัสไว้แล้วว่า อย่าเชื่อว่า เขาเป็นอาจารย์ จนกว่าจะได้พิสูจน์ อย่าเชื่อในตรรกะตนเอง จนกว่าจะได้พิสูจน์
และพิสูจน์นี้ จะต้องมีปัญญา สมาธิ และ ศีล ปฏิบัติเพื่อให้เห็นความจริง ที่จริงยิ่งกว่าที่เราคิด
จริงยิ่งกว่าที่อาจารย์พูด จริงยิ่งกว่าที่เห็นในตำรา
ก็จะเห็นความอัศจรรย์ ของคำว่า เอกนามกิง ที่ว่า ตรัสอย่างไร ทำไมจึงได้ครอบตั้งแต่ เริ่มเดินทางจนถึงสุดท้ายปลายทางได้
และ ตรัสอย่างไร ทำจึงกินความวิธี ให้ปุถุชน จนถึงพระอริยเจ้าได้
ทุกอย่างเป็นหนึ่ง นั่นคือ พระศาสดา แต่ทีนี้ ปัญหามันอยุ่ที่ คนทำให้แตก
ก็มีหรือ ที่ว่า พระศาสดาจะตรัสทีหนึ่งให้เพียร อีกที่หนึ่งบอกว่าไม่ต้องเพียร
มีหรือ บอกให้ปฏิบัติเพื่อตัวเรา อัตตาหิอัตตโนนาโถ อีกที่หนึ่งบอกว่า ควบคุมไม่ได้ จิตนี้ทำอะไรไม่ได้ เลยมองไปเฉยๆ มันจะทำอะไรปล่อยมัน
พระศาสดาไม่ตรัส 2 มุม และ สาวกของท่าน ก็ไม่พูด 2มุม อันสร้างความสับสนให้สังคมแบบนี้
แล้ว นึกดูว่า ตาสีตาสา ที่เขาไม่ได้ศึกษา เขาจะมานั่งรุ้ไหมว่า ดูเฉยๆ นี้มันจะกินความอย่างไร แค่ไหน ไม่มีใครจะสามารถตามไปถึง นัยยะ ที่นายเอกวีร์ พยายามแก้ต่าง ด้วยการวิ่งอ้อมโลกไปหรอก -
กลุ่มดูเฉย รุกราน ศาสนาและคำสอนครูบาอาจารย์ หรือ นายขันธ์ รุกรายกลุ่มดูเฉย
พิจารณาให้ดีนะครับ
มองอะไร อย่ามองมุมเดียว -
ระ ระ ระ รับ ทราบ ขะ ขะ ขอรับ
-
ยอมรับความจริงน่ะดีแล้ว
ยอม ให้เป็น
รับ ให้ได้
ความจริง คือ ปัจจุบันขณะ ที่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ฯลฯ
พอใจ ไม่พอใจ ก็รู้ โกรธก็รู้ว่าโกรธ โลภก็รู้ว่าโลภ เมื่อรู้แล้วก็ไม่หลงโกรธต่อ โลภต่อ หยุด นั่นแหละคือ ดับ ฝืน ทวนกระแสกิเลส ไม่ถูกกิเลสหลอกใช้
มีโอปนยิโก คือ น้อมเข้ามาดูตนเองเป็นหลัก
นี่คือการ ยอมรับความจริง ให้เป็น...
ขอให้โชคดี ๆ -
คำตรัสของพระตถาคต..หนึ่งไม่มีสอง เป็นคติเที่ยงแท้ -
โอปนยิโก คือ น้อมเข้ามาดูในกายในใจ...ที่เป็นตู้พระไตรปิกฎ
-
ใครมียาแก้ไอบ้าง
-
-
อะไรที่ทำแล้ว ทำให้เราต้องทำแบบเดิม ไม่มีการเพิ่มเติมความรู้ ไม่มีก้าวหน้า ก็เรียกว่า ติด เป็นภพเดิมทำเหมือนเดิม
แต่ อะไรที่ก้าวหน้า คือ ทำไปแล้วเดินไปแล้ว เห็น ความเคลื่อนไป เห็นความก้าวหน้าของภูมิจิต ภุมิธรรมตามลำดับ
ไม่ใช่ อยู่ที่ทัสนะ ภูมิจิตภุมิธรรมที่ว่านี้ มีอะไรบ้างที่ต้องสังเกตุ
1 ปัญญาที่ก้าวหน้า ฉลาดทั้งในโลกในธรรม
2 สมาธิก้าวหน้า คือ สมาธิที่ปราณีตขึ้นตามลำดับ และ มั่นคงถาวรขึ้นตามลำดับ
3 ศีล ที่แน่นหนามั่นคง และ ปกติของใจขึ้นตามลำดับ
นี่คือผลที่จะได้
สมัยก่อน ที่จะมีธรรม วันหนึ่งเปลี่ยนอารมณ็ไม่รู้กี่หน เวลาทุกข์ เปลี่ยนคติไม่รู้กี่หน คลำหาทางไม่รุ้กี่หน
แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มี มันตรงทาง ก็คือ เห็นสรรพสิ่งเป็นไตรลักษณ์ ดังนั้นเมื่อทุกข์ปรากฎตรงหน้า ย่อมเห็นสมุทัยเดี๋ยวนั้น ย่อมดับได้เดี๋ยวนั้น นั่นแหละเรียกว่า มีธรรมประจำใจ
ทีนี้ คนยังมีคติไม่เที่ยง วันหนึ่งขึ้นลงเป็นร้อยครั้ง สังเกตุตัวเอง ว่าเป็นแบบนั้น ก็อย่ามัวหลงว่าตัวเองดีอยุ่ วิ่งให้เร็ว
คนเรา เกิดจากไหนไม่รุ้ มาอยุ่ตรงนี้ได้อย่างไรไม่รุ้ ตายไปตรงไหนไม่รุ้ คิดอะไรไม่รู้ นึกอะไรไม่รู้ เมื่อวานกินข้าวกับอะไรไม่รุ้
กิน เดิน ยืน นั่ง นอน ไม่รุ้ ชีวิตมีแต่ความไม่รู้ แล้วยังจะอวดดีว่ารุ้ นี่พังมาเยอะ ไปนรกก็ไม่รุ้ พวกนรกนี้ มันทุกข์นะ มันเผาตัวเอง แต่มันก็ไม่รุ้ว่าเผาตัวเอง สำรวจตัวเองดุว่า รุ้อะไรบ้างเกี่ยวกับชีวิต แล้วอย่านึกว่าตัวเราดีเลิศประเสริฐแล้ว มันโง่อยุ่มาก
ความโง่ นี้ ต้องศึกษา มันจึงจะหายโง่ ทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ถ้ามานั่งเฉยๆ โง่ต่อไป ขอตัว -
โดนใจ..จี๊ด..เข้าถึงหัวใจที่ไม่รู้ของผมเลย...สาธุ -
เห็นไหมครับว่าง่ายๆจับหลักแค่นี้ แล้วก็ไปเทียบกับพระไตรปิฏกเทียบกับครูอาจารย์ ว่าสิ่งที่เราสรุปไว้ในใจ ว่ามีไหมถูกต้องตามครูอาจารย์ใหม ไม่ต้องไปถามใคร ๆให้สับสน เพราะเป็นปัจจัตตัง แล้วก็พบพระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ นั่นเหละ ไม่ต้องตายแล้วไปวัดดวง ว่าพระนิพพาน เป็นเช่นไร
หากจะถามว่าพระนิพพานเป็นอย่างไร
ขอท่านจงทำตัวให้เหมือนแผ่นดิน หรือเหมือนดังคนตาย คือให้ปล่อย ความสุข และความทุกข์ เสีย ข้อสำคัญคือ ให้ดับกิเลส 1500 นั้นเสีย กิเลส 1500 นั้นเมื่อย่นลงให้สั้นแล้วก็เหลืออยู่ 5 คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ๑ มานะ๑ ทิฏฐิ๑ แล้วจะเข้าใจเอง -
หน้า 11 ของ 56