ไม่ได้ปฏิบัติทางนี้โดยตรงหรอกค่ะ วิธีการปฏิบัติในรายละเอียดจึงไม่รู้หรอกค่ะ เหตุที่ถามความคิดความเห็นของคุณแนน เนื่องด้วยเชื่อว่า(ความเห็นส่วนตัวนะค่ะ) การที่แต่ละบุลคลมีความเชื่อ ความคิดที่แตกต่างกัน เหตุเพราะมาจากภพภูมที่แตกต่างกัน อยู่ในขอบข่ายของสัญญาที่แตกต่างกัน การรับรู้จึงแตกต่างกัน จึงไม่ใช่สิ่งที่ผิด ที่อีกคนหนึ่ง จะมีความเชื่อ ความคิด แตกต่างออกไป ความคิดที่ต่างออกไปจึงไม่ใช่สิ่งที่ผิด(หากจะผิด ก็ผิดเนื่องจากไม่อยู่ในขอบข่ายสัญญาของเรา แต่ไม่ผิดจากธรรมชาติ) ยิ่งมาจากภพภูมิสูงๆ หากมีความสามารถทำให้รูปหายไปได้ ยิ่งจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น จะมีมุมมอง มีความเห็นที่ต่างออกไป จึงอยากฟังมุมมอง ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ของคุณแนน เพื่อจะได้นำไปปรับใช้ หรือหากมีความเห็นที่เคลื่อนจากธรรมชาติ จะได้สอบถามเพิ่มเติม เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ตรงตามธรรมชาติ
แต่ผิดเองค่ะที่ถามไม่จบประโยค
การฝึกอรูปฌานอากาศไม่มีที่สิ้นสุด ประสบการณ์ตรง(ของคนอื่นนะครับ...XD)
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย solardust, 22 กรกฎาคม 2015.
หน้า 2 ของ 2
-
-
1. ไม่สามารถแยกอาการรู้และอาการสิ่งที่ถูกรู้ได้ ผลลัพธ์จึงทำให้เมื่อกระทำการต่าง ๆ หรือ มีความคิด มีความเห็น จะทำให้รู้สึกว่ามีเราเป็นคนกระทำ มีเราเป็นคนคิด
2.แยกอาการรู้ และอาการสิ่งที่ถูกรู้ได้(ความว่าง ความคิด ความเห็น ความรู้สึก) แต่เหมือนจะรู้อยู่เฉพาะกรอบภายนอก เห็นเป็นกลุ่ม เป็นก้อน ไม่ได้เข้าไปสู่ภายใน ยังไม่สามารถแยกเหตุ หรืออาการก่อนที่จะเกิดความคิด ความเห็น ความรู้สึกได้ จึงทำให้มีผลลัพธ์ออกมาว่า ความคิด ความเห็นที่ออกมานั้น เป็นความจริง ความคิดเห็นอื่นที่ต่างจากของตนนั้นเป็นความเห็นที่ผิด เหมือนจะยึดในความของตน
3. ตั้งรู้และสิ่งที่ถูกรู้ได้ รู้อยู่กับความว่าง เมื่อมีผัสสะ สิ่งที่ถูกรู้จะเปลี่ยนจากความว่าง เป็นความรู้สึก ความคิด ความเห็น สามารถเข้าไปในความรู้สึก ความคิด ความเห็นได้ เข้าไปเห็นเหตุ เห็นอาการก่อนหน้าได้ ผลลัพธ์จึงทำให้อ่านค่าของ ความคิด ความเห็น ความรู้สึกได้
4.ตั้งรู้และสิ่งที่ถูกรู้ รู้อยู่กับว่างให้ต่่อเนื่องที่สุด โดยส่วนตัวกรณีนี้จะใช้เมื่อต้องการอ่านค่าของความคิด ความเห็น ความรู้สึก บางค่าที่ยังไม่ทราบสาเหตุ ยังไม่เข้าใจ จึงตั้งความสนใจแล้วอยู่กับว่างให้ต่อเนื่องที่สุด แล้วมันก็จะเกิดความเข้าใจ เห็นในธรรมชาติที่สอดคล้องกัน ความคิด ความเห็นนั้นจะถูกอ่านค่าได้
5. รู้อยู่กับความว่าง มีเจตนาในการสร้างความคิด เข้าไปในความคิดเพื่อหาความรู้สึกว่าเป็นเรา หาพบหยุด หาพบหยุด แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรไม่ทราบ
6. รู้อยู่กับความว่าง เปลี่ยนความว่างเป็นการภาวนา(ความรู้สึก) จึงเหมือนรู้อยู่กับความรู้สึก แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรไม่ทราบ
ไม่ทราบเห็นเหมือนกันหรือเปล่า หรือเห็นต่างไปอย่างไรบ้าง หรือมีความเห็นเพิ่มเติมไปอีกอย่างไรบ้าง แต่ขอการอธิบายเป็นอาการนะค่ะ เป็นบัญญัติไม่ค่อยเข้าใจค่ะ -
-
ขอบคุณทุกท่านที่พยุงกระทู้นี้
มาจนถึงวันนี้ครับ
ทำให้ผมยังได้รับข้อมูลต่างๆ เหล่านี้อยู่
กำลังฝึกอยู่ครับ
ก็หลายอย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ไว้มาเล่าวันหลังน่ะครับ
ตอนเด็กๆ
เคยเล่นกับความรู้สึกเหล่านี้แบบไม่ตั้งใจ
เพราะทำแล้วให้ความรู้สึกที่สบายใจ
ประกอบกับวิถีการดำรงชีวิต
อยู่ในแนวพื้นที่ประมาณนี้ โล่ง โปร่ง สุดหล้า ฟ้าเขียว ท้องฟ้า
แนวเด็กๆ ในยุคสังคมไร้วัตถุนิยม บ้านป่าเขา ลำเนาไพร ท้องไร่ท้องนา
ก็เลยบังเอิญเข้าไปเล่นกับความรู้สึกแบบไม่ตั้งใจ
ไม่รู้ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องมาฝึกในตอนโต
รู้งี้ทำให้จริงจังแต่อายุยังน้อยล่ะ
จะได้เสร็จๆ ไปเสียที -
เมื่อสามารถรวมกับอากาศ แล้วขยายออกไปจนสุดได้แล้ว จนไม่สามารถขยายได้อีก
จนเห็นดวงลอยอยู่ ให้พิจารณาว่า อากาศก็มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน ยังไม่ใช่สิ่งที่ปราถนา
ซึ่งก็คือนิพพาน เมื่อไรที่จิตปล่อยวาง อากาสาได้
ตัวรู้ก็จะมองเห็น แสงสว่างลอยอยู่เหนือดวงจิตนั้น
ก็เลื่อนจิตขึ้นไปที่แสง ก็จะเข้าสัญญา -
เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนผมได้พาไปไหว้พระที่ "ที่พักสงฆ์ริมคลองประปา หลวงปู่เจือ สุภโร"
(หลวงปู่ท่านมรณะภาพไปแล้วนะครับ)
จากการสอบถามกับพระและคนที่ไปฝึกสมาธิในที่พักสงฆ์ ได้ทราบว่าวิธีที่ใช้ฝึกสมาธิกันที่นี่คือ หลับตานึกถึงภาพท้องฟ้าไปเรื่อยๆ
ผมได้ถามไปว่าเมื่อเข้าฌาณไปแล้วมีรูปนิมิตแบบไหนตั้งอยู่ ท่านตอบว่าเมื่อเข้าอัปนาสมาธิไปแล้ว ไม่ปรากฏรูปนิมิตใดๆ มีแต่อารมณ์ฌาณตั้งอยู่
แปลว่าที่นี่ฝึกอรูปแบบไม่ผ่านกสิณกันเป็นปรกติ ใครมีใจรักจะฝึกก็ลองไปสอบถามวิธีการและสอบอารมณ์กันได้ที่นี่นะครับ
ข้อเสียของอรูปฌานเท่าที่นึกออก ที่น่าจะมีก็คือ ถ้าก่อนตายจิตรวมตัวเข้าอรูปฌานตามความเคยชิน ก็จะไปเกิดเป็นอรูปพรหม ก็จะทำให้
- อายุยืนไปหน่อย
- อยู่ในสภาพที่ไม่รับรู้อะไร ทำให้ชาติต่อๆไปกำเนิดต่อๆไป เวลาฝึกอตีตังสนาญาณ ก็จะมาติดกันที่นึกย้อนหลังไปได้ถึงแค่ตอนเป็นอรูปพรหม จากนั้นก็นึกต่อไม่ออกว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเป็นอรูปพรหมนั้นเป็นยังไง
ส่วนใครที่ได้สิทธิ์ VIP เป็นพระโพธิสัตว์เข้าบารมีตอนปลายไปแล้ว ได้รับการยกเว้นไม่ต้องไปเกิดเป็นอรูปพรหมนะครับ ฝึกได้เต็มที่ -
ข้อเสีย ของ ผู้ที่ฝึกอรูปฌาน ก็คือ ทำให้หลงลืมง่ายเหมือนคนแก่ เมื่อแช่ อยู่ในอารมณ์นั้นนานๆ -
ผมชอบในคำตอบของคุณแนน จันทบุรี ในข้อนี้นะครับ เป็นเรื่องจริงที่ถูกต้องที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นในสมาธิ เมื่อถึงระดับจิตที่เป็นผู้รู้แล้ว เราทำได้แค่รู้อยู่อย่างนั้นเฉยๆครับ
ในกระทู้นี้ใจความสำคัญคือพูดถึงฌาน5 หรืออรูปฌาน1 เพียงเท่านั้น เมื่อไหร่ที่ปฏิบัติลึกเข้าไปถึงฌาน8 หรืออรูปฌาน4 แล้วออกมาได้แล้ว ผู้นั้นจะรู้เองครับว่าการเกิดเป็นอย่างไร แต่การไปถึงความดับนั้นยังไม่ใช่ทางนี้ ต้องเจริญปัญญาเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการยืนยันที่ดีในคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมหาศาล ผมคนนึงที่เคยหลงลงไปลึก แล้วออกมา ทำให้จากที่มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัยที่มีมากอยู่ก่อนแล้ว กลับเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ อย่างไรก็ดี ในกระทู้นี้คือการบอกเล่าและแชร์ประสบการณ์ ในการทำสมาธิ ว่าด้วยเรื่องฌานและอรูปฌาน แต่สิ่งที่นักปฏิบัติควรให้ความสนใจ และปฏิบัติเพื่อให้ได้มรรคผลนิพพาน หรือจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา สิ่งสำคัญที่จะนำพาให้ไปได้มีเพียง "ปัญญา" เท่านั้นครับ กราบสาธุในธรรม และสาธุในการปฏิบัติของทุกท่านด้วยครับ ^^
หน้า 2 ของ 2