ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    การเทขายบอนด์รัฐบาลสหรัฐของ BOJ ครั้งนี้เท่ากับเป็นสัญญาณสิ้นสุดความต้องการในการแปลงเงินเยนเป็นดอลลาร์ และทางการอิตาลีประกาศว่าไม่สามารถจะอุ้มแบงก์ Alitalia ได้อีก เนื่องจากต้องมีการเพิ่มทุนจำนวนมหาศาลถึง 2 แสนล้านยูโร

    BOJเทขายบอนด์รัฐบาลสหรัฐหนักที่สุด 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในรอบ 15 ปีวัชรา จรูญสันติกุล | 1 พฤษภาคม 2560 11:05 น.

    ถึงแม้ว่าสภาสหรัฐทั้งสมาชิกพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจะตกลงกันในนาทีสุดท้ายในการผ่านร่างงบประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้รัฐบาลทำเนียบขาวต้องตกอยู่ในภาวะ Government Shutdown ได้อย่างหวุดหวิดในวันนี้ แต่ BOJ ซึ่งเคยลงทุนถือครองบอนด์รัฐบาลสหรัฐมากที่สุดและนับเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดด้วยนั้นจำนวน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ เริ่มเทขายบอนด์ดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นมูลค่าสูง 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์โดยเป็นการเทขายมากสุดในรอบ 15 ปี เฉพาะสัปดาห์ที่แล้วเพียงสัปดาห์เดียวเป็นปริมาณก้อนโดถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งที่ทำให้เกิดการขาดทุนทางบัญชีทันทีหลัง Mark-To-Market
    อย่างไรก็ตาม ในการเทขายบอนด์รัฐบาลสหรัฐของ BOJ ครั้งนี้เท่ากับเป็นสัญญาณสิ้นสุดความต้องการในการแปลงเงินเยนเป็นดอลลาร์ ขณะที่ต้นทุนของนักลงทุนหรือธถรกิจของญี่ปุ่นที่ต้องการซื้อบอนด์สกุลเงินดอลลาร์มีความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มสูงขึ้นถึง 0.8% และยังส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงโดย Dollar Index หลุดลงมาที่นะดับ 98 ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงไตรมาสสองปีนี้
    ขณะที่ทางด้านคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปเริ่มถอดอังกฤษออกจากแผนที่ของสมาชิกอียู 28 ประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการถอนตัว (Brexit) ที่จะมีขึ้นในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ไป
    1. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เป็นนักลงทุนต่างชาติที่มีการถือครองบอนด์รัฐบาลสหรัฐมากที่สุด และนับเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดด้วยนั้นจำนวน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ เริ่มเทขายบอนด์ดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นมูลค่าสูง 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์
    เฉพาะสัปดาห์ที่แล้วเพียงสัปดาห์เดียวเป็นปริมาณก้อนโดถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งที่ทำให้เกิดการขาดทุนทางบัญชีทันทีหลัง Mark-To-Market จากฐานะการถือครองบอนด์ในปัจจุบัน ทั้งนี้เป็นการเทขายมากสุดในรอบ 15 ปีนับตั้งแต่ปี 2002
    2. โดยที่การเทขายบอนด์รัฐบาลสหรัฐของ BOJ ครั้งนี้เท่ากับเป็นสัญญาณสิ้นสุดความต้องการในการแปลงเงินเยนเป็นดอลลาร์ ขณะที่ต้นทุนของนักลงทุนหรือธถรกิจของญี่ปุ่นที่ต้องการซื้อบอนด์สกุลเงินดอลลาร์มีความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มสูงขึ้นถึง 0.8%
    จากการคาดการณ์ของดอยช์แบงก์ ระบุว่า ทิศทางเงินดอลลาร์นับจากนี้ไปน่าจะเคลื่อนไหวในจุงหวะที่ค้อนข้างผันผวนระหว่าง 100-25 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับปัจจุบันที่มีการซื้อขายแลกดปลี่ยนที่ระดับ 11 เยนต่อดอลลาร์
    3. นอกจากนี้ปฏิกิริยาของตลาดยังส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงโดย Dollar Index หลุดลงมาที่นะดับ 98 ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงไตรมาสสองปีนี้ สวนทางกับแนวโน้มจีดีพีของสหรัฐที่อ่อนตัวลงในปันี้
    หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐแถลงตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกเมื่อวันศุกร์ที่ระดับ 0.7% ขณะที่เฟดสาขาแอตแลนตาคาดการณ์ว่าจีดีพีสหรัฐจะโตเพียง 0.2% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยจองเฟดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
    4. ทางด้านคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปเริ่มถอดอังกฤษออกจากแผนที่ของสมาชิกอียู 28 ประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว ก่อนที่กระบวนการถอนตัว (Brexit) ที่จะมีขึ้นในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ไป เนื่องจากรายงานในแผนที่ล่าสุดเกี่ยวกับาภาวะการว่างงานในอียูของ European Commission เดือนกถมภาพันธ์ 2017
    หากไล่จากแผนที่เปิดเผยฐานะการว่างงานดังกล่าว จะพบว่า ยุโรปยังคงมีปัญหาการว่างงานในระดับสูงโดยเฉพาะประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาอย่างกรีซและสเปนที่มีอัตราการว่างงานส๔งถึง 23.1% และ 18% ตามลำดับ ขณะที่ประเทศขนาดใหญ่เป็นอันดับสองคือ ฝรั่งเศสก็มีอัตราการว่างงานสูงถึง 10% ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย และกำลังอยู่ในช่วงหาเสียงอย่างเข้มข้นในการเลือกตั้งรอบที่สองที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ระหว่าง Emmanuel Macron และ Marine Le Pen
    นอกจากยี้อิตาลีที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามมีอัตราการส่งงานสูงถึง 11.5% ก็กำลังประสบปัญหาวิกฤติระบบธนาคาร ยกเว้นเยอรมันที่เป็นประเทศขนาดใหญี่ที่สุดมีอัตราการว่างงานต่ำเพียง 3.9% ส่วนประเทศในยุโรปตะวันออกและสแกนดิเนเวียมีอัตราการว่างในระดับปานกลางระหว่าง 4.3-9.3% แต่กลับไม่ปรากฏว่ามีการบรรจุแผนที่รายงานตัวเลขของอังกฤษเอาไว้แต่อย่างใด
    5, จับตาปัญหาวืกฤติแบงก์ในอิตาลีตลิดช่วงเวลา 7 ปีที่ผ่านมา อาจลุกลามจนเกิดอาการช็อคกระทบต่อเศรษฐกิจ หลังจากที่ทางการอิตาลีประกาศว่าไม่สามารถจะอุ้มแบงก์ Alitalia ได้อีก เนื่องจากต้องมีการเพิ่มทุนจำนวนมหาศาลถึง 2 แสนล้านยูโร
    ทำให้ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ต้องเร่งทบทวนมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินซึ่งนำมาสู่การที่มีกระแสข่าวว่ามาริโอ ดรากี้ อาจต้องผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน โดยอาจจะทำการเพิ่มเม็ดเงิน QE อีกครั้ง จากสัญญาณในการอถลงข่าวภายหลังการประชุมของ ECB เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา
    Tag : #เศรษฐกิจ#บอนด์#รัฐบาล#สหรัฐ#หมื่น
    วัชรา จรูญสันติกุล

    "
    อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/economy-business/378545352/
     
  2. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Pat Hemasuk

    ทั่วโลกลงข่าวแต่เรื่องความกร้าวของ ปธน.ทรัมป์ ที่มีต่อเกาหลีเหนือ แต่มีสื่อบางสื่อเริ่มวิเคราะห์ข่าวเรื่องการหาบันไดลงจากสถานะการณ์ที่ตึงเครียดนี้ของ ปธน.ทรัมป์ เริ่มจากปลายที่สัปดาห์ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้มีการคุยกับ ปธน.ดูเตเต้ ของฟิลิปินส์แล้วเมื่อวันเสาร์ และคุยกับนายลี เสียนหลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และ ลุงตู่ นายกรัฐมนตรีของไทย ในวันอาทิตย์ ซึ่งตามปกติแล้วผิดวิสัยของ ปธน.ทรัมป์จะลงมาคุยรอบวงกับผู้นำตัวหลักของอาเซียนแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่า ปธน.กำลังหาเพื่อนสนับสนุนการตัดสินใจเรื่องเกาหลีเหนือเพื่อคานอำนาจของจีนที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเกาหลีเหนือ


    และเมื่อวานนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้สัมภาษณ์ ปธน.ทรัมป์ ที่ได้พูดว่าเขาจะพิจารณาที่จะพบกับคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือภายใต้สถานะการณ์เฉพาะที่ถูกต้อง ซึ่งเวลานี้โลกทั้งใบกำลังเครียดกับเรื่องนี้ US President Donald Trump said on Monday that he would consider meeting the leader of North Korea Kim Jong Un 'under the right circumstances'.
    (ผมคิดว่าทรัมป์กำลังใช้ idiom ของคำว่า under the circumstances คือความหมายของคำว่า a particular situation ครับ)


    ถ้ามีการจัดการให้ผม(ทรัมป์)ได้พบกับเขา(คิม) ผมก็รู้สึกว่าจะเป็นเกียรติที่จะทำเช่นนั้น และทรัมป์ยังย้ำในการสัมภาษณ์อีกรอบว่า ภายใต้สถานะการณ์เฉพาะที่ถูกต้อง ผมถึงจะทำเช่นนั้น "If it would be appropriate for me to meet with him I would be honored to do it," Trump said in an interview with Bloomberg News. "If it's under the, again, under the right circumstances. But I would do that."


    นัการเมืองส่วนมากจะไม่พูดแบบนี้ แต่ผมอยากจะบอกคุณว่าภายใต้สถานะการณ์เฉพาะที่ถูกต้อง ผมจะพบกับเขา ทรัมป์ย้ำอีกครั้ง "Most political people would never say that, but I'm telling you under the right circumstances I would meet with him,"


    **********************************************************************


    สถานะการณ์เฉพาะที่ว่านี้ ผมอยากจะบอกเลยว่านี่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่สองผู้นำจะพบกัน ผมคิดว่าการที่ ปธน.โอบาม่าได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีแรกที่ดำรงตำแหน่งนั้นไม่สมเหตุผลและไร้สิ่งรองรับโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าทั้งทรัมป์และคิมยืนจับมือกันออกสื่อทั่วโลกหลังจากที่คุยกันจบแล้ว โลกทั้งใบเย็นลง ผมบอกได้เลยว่าโนเบลสาขาสันติภาพปีหน้าต้องมีคนเสนอให้ทั้งสองคนนี่รับร่วมกันแน่นอน


    แต่ภายใต้สถานะการณ์เฉพาะอะไรที่สามารถให้ทั้งสองคนมานั่งคุยกันได้ ในเวลานี้ ผมมองถึงเหตุที่เกาหลีเหนือยกระดับการป้องกันประเทศจากการบุกถล่มขึ้นมาสูงสุดและไม่สนใจคำขู่ของอเมริกา ตี๋คิมยังคงทดลองยิงมิซายล์ต่อไปตามแผนเดิมแบบไม่หยุด เกาหลีใต้และญี่ปุ่นก็ยกระดับป้องกันประชาชนของตัวเองด้วยการยกระดับความพร้อมของกองทัพและแผนการอพยพประชาชน เวลานี้กองเรือบรรทุกเครื่องบินของทรัมป์ก็ใกล้เข้ามาอยู่ที่ฟิลิปินส์ แต่ยังไม่กล้าเข้ามาในระยะยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ แต่ก็ส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์เก่าๆ อายุเกือบสี่สิบปีหนึ่งลำจอดในท่าเรือของเกาหลีใต้กันไม่ให้เสียฟอร์มอเมริกา ซึ่งทางเกาหลีเหนือก็ไม่กลัวได้พูดเตือนอเมริกาอีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า เกาหลีเหนือไม่ลังเลเลยที่จะจมเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐ ถ้าสถานะการณ์บีบบังคับจนถึงที่สุด


    ผมคิดว่าสถานะการณ์ตรงนี้และเวลานี้แหละคือ under the right circumstances ที่ทรัมป์หมายถึงเอาไว้ในใจ หมาบ้าอย่างทรัมป์เมื่อเล่นกับหมาที่บ้ามากกว่าแบบตี๋คิม บางครั้งหมาตัวแรกก็หายบ้าได้เหมือนกัน

    https://www.facebook.com/von.richthofen.7?fref=ts
     
  3. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Jeerachart Jongsomchai

    ... “จีน ญี่ปุ่น กำลังจะไม่ใช้ดอลล่าร์ ในการโอนเงินการค้าระหว่างกัน”

    ... ตอนนี้การเจรจาการใช้เงินสกุลเงินท้องถิ่นของคู่ค้าระหว่างประเทศจีน ญี่ปุ่น คือหยวนและเยน กำลังคืบหน้า โดยถ้าทุกอย่างลงตัวทั้งสองจะไม่ต้องใช้เงิน “ดอลล่าร์” เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนซื้อขายต่อไป

    ... นอกจากนั้นแล้ว ยังจะเปลี่ยนจากการใช้ระบบ SWIFT ที่ “อเมริกา” เป็นผู้ควบคุมระบบและใช้เงินดอลล่าร์ มาเปลี่ยนเป็นระบบ CIPS ที่ “จีน” เป็นคนคิดค้นขึ้น ที่ให้โอกาสเงินสกุล “หยวน” เป็นตัวกลางโอนเงินระหว่างประเทศแทน

    ... นับตั้งแต่ปี 2013 ที่ “จีน” พยายามสร้างองค์กรที่คล้ายกับองค์กรของฝ่ายอเมริกา เช่น NDB, AIIB และระบบโอนเงินระหว่างประเทศ CIPS แทน SWIFT ทำให้หลายชาติเริ่มค่อยๆทยอยออกมาตอบรับมากขึ้นเรื่อยๆแบบเงียบๆ รวมทั้ง “ญี่ปุ่น” รัฐในอารักขาของ “อเมริกา” เองก็ไม่เว้นด้วยเช่นกัน โดยระบบ CIPS นอกจากจะใช้เงินหยวนเป็นตัวเชื่อมแล้ว จีนยังดึงดูดใจบริษัทนักการค้าขายทั่วโลกโดยการลดค่าบริการโอนเงินให้ต่ำลงกว่าระบบ SWIFT ด้วย

    ... Yet unlike the way SWIFT charges for swaps when nations have to use the dollar as a middleman since it still reigns as the world's singular reserve currency, CIPS allows for much lower transaction fees and the convenience of bypassing the U.S. currency through direct bi-lateral currency settlement.

    ... โดยเป้าหมายของ “จีน” ตอนนี้นั้นยังไม่ต้องการให้ “เงินหยวน” เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศแทนดอลล่าร์ในตอนนี้ แต่วันนี้แผนขั้นนี้ต้องการเงินหยวนให้มี “บทบาทในการค้าขายระหว่างประเทศมากขึ้น” อย่างช้าๆแทน เพราะเมื่อมีบทบาทในการค้าระหว่างประเทศแล้ว ทั่วโลกจะค่อยๆหันมาเก็บสะสมเงินหยวนในทุนสำรองระหว่างประเทศเองโดยอัตโนมัติ

    ... โดยตอนนี้ ธนาคารฮิโรชิม่าและอีก13 ธนาคารของ “ญี่ปุ่น” กำลังจะต่อเชื่อมกับระบบ CIPS นี้ของ “จีน” ขนานไปกับการใช้ระบบ SWIFT เพื่อสะดวกในการทำธุรกรรมกับบริษัทในจีนที่เป็นคู่ค้าขายที่สำคัญด้วย โดยจะทำให้บริษัทเหล่านั้นลดค่าใช้จ่ายด้านค่าธรรมเนียมได้มากขึ้นอีก ส่วนธนาคาร Tokyo Mitsubishi UFJ นั้นเชื่อมต่อไปแล้วตั้งแต่ปีที่แล้ว นอกจากจะประหยัดขึ้นแล้ว การที่ใช้ระบบ CIPS ของจีนกับบริษัทการค้าของจีน ยิ่งทำให้การโอนเงินสะดวกรวดเร็วมากขึ้นอีกด้วย

    … Hiroshima Bank and 13 other Japanese regional banks will connect to an interbank payment network that enables direct yuan wiring to mainland China -- a move that will lower transaction fees and boost convenience for customers

    ... โดยในแผนการระยะยาวของ “จีน” นั้น นอกจากจะค่อยๆเป็นเงินในทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศอย่างช้าๆแล้ว จีนยังมองการณ์ไกลว่า องค์กรทางการเงินของโลกที่ควบคุมโดย อเมริกา เช่น ไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก SWIFT จะค่อยๆลดบทบาทความสำคัญไปเอง และสวนทางกับองค์การทางการเงินที่ฝ่ายกลุ่มบริกส์ที่นำโดยจีน รัสเซีย อินเดีย ตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งที่เป็น “ระบบเสรีทางการเงินของโลกอย่างแท้จริง” เพื่อจะมาปลดปล่อยชาวโลกออกจากโซ่ตรวนให้เป็นอิสระทางการเงินและการค้า ( สื่อมวลชน นักวิชาการและนักศึกษาที่คิดว่าหัวก้าวหน้าบางท่าน ไม่มีทางเข้าใจได้ ) ออกจากเงื้อมมือและอุ้งเท้าของ “เผด็จการทางการเงินของโลก” ที่ผูกขาดโดยอเมริกาและสมุนได้ในที่สุดต่อไป

    .
    .
    http://www.thedailyeconomist.com/2017/02/long-time-us-vassal-state-japan-to.html

    https://www.facebook.com/jeerachart.jongsomchai?fref=ts
     
  4. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    “รัสเซีย” เตรียมถอนตัวออกจากระบบธนาคารทั่วโลกทิ้งเงินดอลลาร์ เข้าถือทองคำแทน ขณะที่กลุ่ม BRICS เตรียมเดินตาม
    Publish 2017-05-02 13:49:18

    เว็บไซต์ anonhq.com ได้รายงานข่าวกรณี รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ทรงพลังมากที่สุดในโลก ล่าสุดความสัมพันธ์ระหว่างตะวันออกกับตะวันตกในขณะนี้ดูเหมือนจะห่างเหินกันมากยิ่งขึ้น ดังนั้นประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียได้เสนอให้ถอนตัวออกจากธนาคารโลก และเข้าสู่การถือทองคำแทน
    ไม่เพียงแต่รัสเซียรายเดียวที่กำลังดำเนินการในเรื่องนี้ ปัจจุบันประเทศในกลุ่ม BRICS เช่นบราซิล อินเดีย จีนและแอฟริกาใต้ กำลังวางแผนที่จะออกจากระบบธนาคารระหว่างประเทศเพื่อความเป็นอิสระทางการเงินมากขึ้น
    อย่างไรก็ตามสำหรับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ภัยคุกคามดังกล่าวเกิดขึ้นในรูปแบบของระบบโทรคมนาคมระหว่างประเทศการเงินระหว่างประเทศหรือระบบ SWIFT ซึ่งช่วยให้สามารถโอนเงินในต่างประเทศได้ง่ายเช่นผ่านทางระบบอเมริกันเอ็กซ์เพรส อย่างไรก็ตามปัญหาก็คือธนาคารระหว่างประเทศกำลังขู่ว่าจะห้ามการเข้าระบบนี้จากรัสเซียถอนตัวออกจากธนาคารโลก
    นักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้แจ้งให้ผู้นำโลกทราบถึงผลที่จะต้องเผชิญหากพวกเขากำจัดรัสเซียออกจากระบบ SWIFT
    EwaldNowotnyนักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรปได้เน้นย้ำว่ารัสเซียจะถูกกำจัดออกจากระบบ SWIFT บริษัท ต่างชาติที่ทำธุรกิจในรัสเซียจะเป็นคนแรกที่ประสบภัย
    อย่างไรก็ตามตามที่ Elvira Nabiullinaนักเศรษฐศาสตร์ชาวรัสเซียและอดีตที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีปูตินและหัวหน้าธนาคารกลางแห่งรัสเซีย บอกว่าถ้ารัสเซียถูกถอดออกจาก Worldwide Interbank Financial Telecommunications ธนาคารของรัสเซียจะไม่พังทลาย เธออธิบายว่าพวกเขาคิดค้นระบบใหม่ที่จะดำเนินการต่อในรูปแบบ SWIFT และจะเป็นทางเลือกสำหรับประเทศต่อไป
    ตามรายงานที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้วธนาคารมากกว่าสามร้อยแห่งในรัสเซียได้ใช้ SWIFT ทางเลือกคือระบบสำหรับการโอนเงินทางการเงินหรือ SPFS
    นอกจากนี้เพื่อเพิ่มระบบ SPFS สาขาธนาคารกลางของรัสเซียแห่งแรกของรัสเซียที่กรุงปักกิ่งได้เปิดขึ้นและจีนได้เปิดสถาบันการเงินในรัสเซียเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างสองประเทศและจุดเริ่มต้นของ de-dollarization
    ขณะที่ก่อนหน้านี้ ทางด้านรัสเซีย จีน จับมือเดินหน้าปิโตรเคมี โดยรอสเนฟต์ รัฐวิสาหกิจพลังงานรายใหญ่ของรัสเซีย เห็นชอบในข้อตกลงร่วมทุนกับบรรษัทเคมีแห่งชาติจีน เคมไชน่า ให้เคมไชน่าเข้าถือครองหุ้นสัดส่วนร้อยละ 40 ในแผนการจัดตั้งนิคมปิโตรเคมีวีเอ็นเอชเคในพื้นที่ทางตะวันออกของรัสเซีย ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมด้านเงินทุนและช่วยรอสเนฟต์ในการเปิดสู่ตลาดเอเชีย-แปซิฟิก
    มีการลงนามในสัญญาระยะเวลา 1 ปี ให้รอสเนฟต์เป็นผู้ส่งน้ำมันดิบแก่เคมไชน่ามากถึง 2.4 ล้านตัน ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. 2559 - 31 ก.ค. 2560 นายอิกอร์ เซชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเรสนอฟต์ เผยว่า ไม่มีแผนจะตัดลดปริมาณการจัดส่งสู่ตลาดจีน และจะพยายามรักษาตำแหน่งทางการตลาดไว้ ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดร่วมกับผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อิรัก และอิหร่าน โดยจะคงอัตราไว้ที่ราว 40 ล้านตันต่อปี เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา รัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของจีนติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
    ในการเดินทางเยือนจีนของผู้นำรัสเซียพร้อมด้วยรัฐมนตรีและนักธุรกิจชั้นนำ ได้มีการหารือกันเกี่ยวกับความร่วมมือทางธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับแผนธุรกิจ 58 โครงการ รวมมูลค่าราว 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.75 ล้านล้านบาท) ซึ่งนอกจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังเห็นชอบด้านการเสริมกำลังความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ในระดับโลกด้วย
    แถลงการณ์ของทั้งสองรัฐบาลที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของทางการรัสเซีย เรียกร้องให้นานาชาติปฏิบัติตามแนวทางของกฎหมายระหว่างประเทศ รักษาการเคลื่อนไหวทางทหารไว้ในระดับต่ำสุดเท่าที่จำเป็นต่อความมั่นคงของชาติ และอดทนอดกลั้นต่อการกระทำใดๆ ก็ตามที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแผ่ขยายและเพิ่มเติมพันธมิตรทางทหาร โดยแถลงการณ์ยังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธในทวีปยุโรปและเอเชีย
    แถลงการณ์นี้ก็มีขึ้น ในช่วงเวลาเดียวกับการปะทุรอบใหม่ ของความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ซึ่งเสริมกำลังเข้าไปในภูมิภาคยุโรปตะวันออก รวมถึงระบบป้องกันขีปนาวุธด้วย ซึ่งนาโตระบุว่าเป็นความจำเป็นเพื่อโต้ตอบต่อการรุกรานยูเครนของรัสเซีย นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐ ได้กล่าวอ้างถึงการกระทำของเกาหลีเหนือ และออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเกาหลีใต้ รีบพิจารณาในการที่จะนำเอาระบบต่อต้านขีปนาวุธ THAAD เข้าไปติดตั้งโดยเร็ว ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ จีน และ รัสเซีย ถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้น การร่วมมือในครั้งนี้ ก็อาจจะเป็นการสื่อให้เห็นว่ารัสเซีย มีพันธมิตรใหญ่อย่างจีนอีกประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของสหรัฐ และ นาโต
    (ชมคลิปตั้งแต่นาทีที่ 00.00- 07.00)

    เรียบเรียงโดย
    ณัฏฐธิดา สิทธิพล : สำนักข่าวทีนิวส์

    http://www.tnews.co.th/contents/y/315558
    .
     
  5. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    “พระเจ้าให้เราเป็นโสด ไม่มีลูก เพื่อที่จะได้มุ่งมั่นไปที่สารของพระองค์ที่จะส่งมายังผู้คน” บีลเยกาสกล่าว และว่า “สารสำคัญที่ต้องการจะบอกคือผู้คนจะต้องรู้เพื่อเตรียมพร้อมว่าระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 13 ตุลาคม 2017 จะเกิดสงครามขึ้น สร้างความสูญเสีย ความตกใจและผู้คนล้มตายอย่างมหาศาล
    รอดู! โหรฝรั่งฟันธง 13 พ.ค. นี้ ‘สงครามโลกครั้งที่ 3’ เกิดแน่!! วันที่: 2 พ.ค. 60 เวลา: 15:49 น.

    ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา เดินหน้าหาพันธมิตรในการจัดการกับเกาหลีเหนือ ก็เริ่มมีคำถามที่ว่า จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นหรือไม่ ขณะที่มีการเผยแพร่คำทำนายของนักพยากรณ์รายหนึ่ง ที่ระบุว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังจะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคมนี้แล้ว

    เว็บไซต์เดลีสตาร์ เป็นผู้รายงานเรื่องดังกล่าวเอาไว้ โดยระบุว่า นักพยากรณ์ที่มีชื่อว่า โอราชิโอ บีลเยกาส ที่อ้างว่าตัวเองคือผู้ถือสารแห่งพระเจ้า ผู้ที่เคยทำนายไว้ว่า ทรัมป์จะได้รับชัยชนะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ตั้งแต่ปี 2015 และว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 และสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเริ่มขึ้นในวันแม่พระฟาติมาครบรอบ 100 ปี ซึ่งจะตรงกับวันที่ 13 พฤษภาคม และบีลเยกาสยังยกตำแหน่งให้ทรัมป์เป็นเจ้าแห่งอิลลูมินาติ (องค์กรลับอิลลูมินาติ) และเคยทำนายด้วยว่าผู้นำโลกจะทำการโจมตีซีเรีย ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งกันระหว่างรัสเซีย เกาหลีและประเทศจีน

    ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน บีลเยกาส ซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ที่พำนักอยู่ที่รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ระบุว่า ได้ฝันเห็นลูกไฟดวงใหญ่บนท้องฟ้าและพุ่งตกลงบนพื้นโลก ผู้คนทั่วทุกหนแห่งพยายามวิ่งหนีเพื่อหาที่หลบซ่อน ซึ่งบีลเยกาสเชื่อว่าสิ่งที่เห็นในความฝันน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของจรวดนิวเคลียร์ที่จะตกลงในเมืองต่างๆและผู้คนทั่วโลก

    “พระเจ้าให้เราเป็นโสด ไม่มีลูก เพื่อที่จะได้มุ่งมั่นไปที่สารของพระองค์ที่จะส่งมายังผู้คน” บีลเยกาสกล่าว และว่า “สารสำคัญที่ต้องการจะบอกคือผู้คนจะต้องรู้เพื่อเตรียมพร้อมว่าระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 13 ตุลาคม 2017 จะเกิดสงครามขึ้น สร้างความสูญเสีย ความตกใจและผู้คนล้มตายอย่างมหาศาล

    บีลเยกาสบอกว่า เหตุโจมตีจะเกิดขึ้นมาจาก “ข้อมูลที่ผิดพลาด” ที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 13 เมษายนถึง 13 พฤษภาคม ซึ่งมี ซีเรีย และเกาหลีเหนือ เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

    นอกจากนี้ บีลเยกาสยังบอกว่าเดลีสตาร์ว่า เขาเชื่อว่าการใช้อาวุธเคมีโจมตีในซีเรียเป็นการจัดฉากของสหรัฐอเมริกา พร้อมระบุว่า การใช้อาวุธเคมีเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกสหรัฐ เดินทางลงพื้นที่ดังกล่าว

    นอกจากนี้ บีลเยกาสยังเขียนไว้ในบล็อกของตัวเองว่า เกาหลีเหนือจะเป็นเป้าหมายต่อไปของการโจมตีของสหรัฐอเมริกา

    http://www.matichon.co.th/news/547828
    .
     
  6. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Thanong Fanclub
    กองทัพสหรัฐฯ เผยระบบ แทด THAAD ในเกาหลีใต้ “พร้อมใช้งาน” แล้ว

    ระบบป้องกันขีปนาวุธในบรรยากาศชั้นสูง (Terminal High Altitude Area Defense -THAAD) ที่ถูกส่งเข้าไปติดตั้งในเกาหลีใต้ อยู่ในสภาพ “พร้อมปฏิบัติการ” แล้วในเบื้องต้น กองทัพสหรัฐฯ แถลงเมื่อวานนี้ (1 พ.ค.)

    สหรัฐฯ และเกาหลีใต้บรรลุข้อตกลงจัดส่งระบบ THAAD เข้าไปยังคาบสมุทรเกาหลีเมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว หลังจากเกาหลีเหนือเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องจนสร้างความวิตกกังวลต่อเพื่อนบ้านในภูมิภาค

    กองกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ระบุว่า ขณะนี้ระบบ THAAD “อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และมีศักยภาพที่จะยิงสกัดขีปนาวุธของเกาหลีเหนือเพื่อปกป้องสาธารณรัฐเกาหลี”

    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ คนหนึ่งยอมรับกับเอเอฟพีว่า ระบบป้องกันขีปนาวุธตัวนี้ “เพิ่งจะเข้าถึงศักยภาพในการยิงสกัดเบื้องต้น” เท่านั้น

    ศักยภาพเบื้องต้นนี้จะได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมในช่วงปลายปี หลังจากที่ชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ถูกส่งมาติดตั้งจนครบถ้วน

    การส่งระบบ THAAD เข้าไปยังเกาหลีใต้สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อปักกิ่ง ซึ่งเกรงว่าเรดาร์อันทรงพลังของ THAAD จะบั่นทอนประสิทธิภาพของระบบขีปนาวุธจีน และยังเป็นการก่อกวนดุลอำนาจในภูมิภาค

    ระบบ THAAD ซึ่งติดตั้งไว้ที่สนามกอล์ฟเก่าแห่งหนึ่งในเมืองซองจู (Seongju) ของเกาหลีใต้ ถูกออกแบบให้สามารถยิงสกัดและทำลายขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลางซึ่งอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการโจมตี

    รัฐบาลจีนเริ่มใช้บทลงโทษทางเศรษฐกิจหลายอย่างต่อเกาหลีใต้เพื่อแก้แค้นเรื่องระบบ THAAD รวมถึงการห้ามบริษัทท่องเที่ยวจีนขายทัวร์ไปเกาหลีใต้

    กลุ่มบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ “ล็อตเต้” ซึ่งเคยเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟที่ใช้ติดตั้ง THAAD ก็ถูกปักกิ่งเล่นงานอย่างหนัก โดยเวลานี้ห้างสรรพสินค้าล็อตเต้ในจีนถูกสั่งปิดไปแล้ว 85 สาขาจากทั้งหมด 99 สาขา ส่วนค่ายรถยนต์แดนโสม “ฮุนได มอเตอร์” ก็ยอมรับว่า ยอดขายรถในจีนตกลงอย่างฮวบฮาบ

    การติดตั้ง THAAD มีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีที่ตึงเครียดอย่างหนักจากการยิงทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก็เตือนว่า การใช้ปฏิบัติการทางทหารตอบโต้โสมแดงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ “แบอยู่บนโต๊ะ”

    อย่างไรก็ดี ทรัมป์ ได้สร้างความตกตะลึงต่อรัฐบาลโซลด้วยการเรียกร้องให้เกาหลีใต้จ่ายเงินค่าติดตั้งระบบ THAAD ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    “ผมได้แจ้งรัฐบาลเกาหลีใต้ไปแล้วว่า ถ้าพวกเขาจ่ายเงินก็จะเป็นการเหมาะสม ราคาอยู่ที่ 1,000 ล้านดอลลาร์”

    “มันเป็นระบบที่ยอดเยี่ยม สามารถยิงทำลายขีปนาวุธในอากาศได้เชียวนะ”

    โซลแย้งว่า ภายใต้ข้อตกลงกำกับภารกิจของทหารอเมริกันในเกาหลีใต้ (Status of Forces Agreement) รัฐบาลเกาหลีใต้มีหน้าที่จัดหาสถานที่ติดตั้ง THAAD รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จำเป็น ส่วนสหรัฐฯ จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่งและใช้งาน

    เมื่อวันอาทิตย์ (30 เม.ย.) สำนักประธานาธิบดีเกาหลีใต้แถลงว่า ได้รับการยืนยันจากเอช. อาร์. แม็กมาสเตอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ว่า อเมริกาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าวเอง ทว่าในวันเดียวกัน แม็กมาสเตอร์ กลับกล่าวผ่านฟอกซ์นิวส์ว่า สิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำก็คือโต้แย้งกับ ทรัมป์ และยังสำทับว่าจะมีการเจรจาใหม่เรื่องความสัมพันธ์เกี่ยวกับ THAAD และความสัมพันธ์ด้านกลาโหมกับประเทศพันธมิตรทั้งหมด

    โทมัส คาราโก ผู้อำนวยการโครงการป้องกันขีปนาวุธจากศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) ชี้ว่า การติดตั้งระบบ THAAD เพียงหมู่เดียวยังไม่มีประสิทธิภาพครอบคลุมดินแดนเกาหลีใต้ทั้งหมด ทว่าก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญ

    “นี่ไม่ใช่การป้องกันอย่างสมบูรณ์แบบ หากแต่เป็นการซื้อเวลา และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่มาตรการป้องปรามโดยรวม” คาราโก บอกกับเอเอฟพี

    ล่าสุดเมื่อวานนี้ (1) ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้สร้างความตกตะลึงอีกครั้ง ด้วยการประกาศว่าพร้อมจะพบกับผู้นำคิม จองอึน ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม

    “ถ้าผมควรที่จะพบเขา ผมก็จะไปพบแน่นอน และรู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้ทำเช่นนั้น” ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9600000044099

    thanong
    2/5/2017
     
  7. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Thanong Fanclub

    มินิซีรีส์
    1. รัสเซียจับมือจีนนุ๊คดอลล่าร์

    ในขณะที่ทั้งรัสเซียและจีนถูกทรัมป์เดินหน้าปิดล้อมทางทหาร ปูตินและสีได้หาทางออกร่วมกันแล้วว่า นุ๊คดอลล่าร์ไปเลย

    การดั๊มพ์ทิ้งดอลล่าร์เป็นสงครามนิวเคลียร์ทางการเงินที่มีการคิด หรือพูดกันมานานแล้ว แต่จังหวะหรือเวลายังมาไม่ถึง สถานการณ์ตอนนี้น่าจะสุกงอมแล้วสำหรับรัสเซียและจีนที่จะปลดแอกจากอิทธิพลของดอลล่าร์ ที่ธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษเปล่าๆ โดยไม่มีทองคำ หรือทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง

    การนุ๊คดอลล่าร์จะทำให้สหรัฐอ่อนแรงลงไป เพราะว่าเมื่อดอลล่าร์ถูกจีนและรัสเซียประกาศทิ้งดอลล่าร์จากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศพร้อมๆกัน ตลาดการเงินจะเกิดแพนิก เนื่องจากว่าคงไม่มีใครอยากจะเป็นคนสุดท้ายที่จะถือดอลล่าร์กระดาษที่ธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์ออกมาท่วมโลกในปริมาณ$16ล้านล้าน เมื่อการเงินของสหรัฐอ่อนแอลง ทรัมป์จะหลังติดฝา จะสั่งให้กองเรืออามาร์ดาหันซ้ายเลี้ยวขวาไม่ถนัดเหมือนเดิม เพราะว่าแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐเกิดขึ้นจากการพิมพ์ดอลล่าร์กระดาษ

    เมื่อไหร่ปูตินจะประกาศยุทธการทองคำพระเจ้าซาร์ (Golden Tsar)ออกมาอย่างเป็นทางการไม่มีใครทราบ แต่ไม่น่าจะนานหลังจากนี้ โดยที่รัสเซียจะทิ้งดอลล่าร์ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และใช้ทองคำมาหนุนเงินรูเปิ้ล หรือผูกค่าเงินรูเบิ้ลกับราคาทองแทน ที่ผ่านมา รัสเซียซื้อทองคำเข้ามาในท้องพระคลังด้วยจำนวนมาก โดยหลังจากค้าขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้เป็นเงินดอลล่าร์ ก็รีบแปลงดอลล่าร์เป็นทองคำ รัสเซียอาจจะถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ในปริมาณ$200,000-$300,000ล้าน แต่ได้ทะยอยสว๊อปเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นในช่วงที่ผ่านมา เรื่องอะไรที่รัสเซียที่ถูกสหรัฐมุ่งจ้องทำลาย และปิดล้อมทางทหารที่ชายแดนตะวันตกของประเทศจะยังคงช่วยไฟแนนซ์กองทัพสหรัฐด้วยการถือพันธบัตรสหรัฐ หรือช่วยแบกหนี้ที่รัฐบาลกลางสหรัฐก่อขึ้นเพื่อสร้างแสนยานุภาพทางทหาร

    นายSergey Glazyev ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ และหนึ่งในคนสนิทของปูตินได้ออกมากล่าวในวันที่21เมษายนที่ผ่านมาว่า วิธีการเดียวที่จะหยุดความก้าวร้าวของสหรัฐคือการกำจัดการเสพติดดอลล่าร์ให้หมดไป เขาบอกว่า ยิ่งสหรัฐแสดงอาการก้าวร้าวทางทหาร และทางการเมืองมากขึ้นเพียงใด การล่มสลายของดอลล่าร์จะเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดยั้งความก้าวร้าวนี้

    "เมื่อเรา และจีนดั๊มพ์ดอลล่าร์ทิ้งพร้อมกัน มันจะเป็นจุดสิ้นสุดของพลังทางทหารของสหรัฐ" นายGlazyevให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวTASS ของรัสเซีย

    ต่อคำถามเกี่ยวกับนโยบายของทรัมป์ นายGlazyevกล่าวว่า เขาไม่มีภาพลวงเกี่ยวกับทรัมป์ เพราะว่าความก้าวร้าวของสหรัฐมีรากเหง้าอยู่ในความอยากที่จะปกป้องความเป็นจ้าวโลกแต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆที่สหรัฐได้สูญเสียความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจให้กับจีนไปแล้ว

    สหรัฐไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆให้คนอื่นถือดอลล่าร์อีกต่อไปยกเว้นการใช้ไม้พลอง ด้วยเหตุนี้สหรัฐถึงได้ทำสงครามไฮบริดกับทั้งโลก เพื่อที่จะโยกภาระหนี้ของตัวเองให้ประเทศต่างๆช่วยแบก บีบให้ทุกคนให้ใช้เงินดอลล่าร์ และทำให้ดินแดนที่สหรัฐควบคุมไม่ได้ให้อ่อนแอลง

    นายGlazyeกล่าวว่า มองในแง่ภาวะวิสัย สหรัฐกำลังก่อสงครามไฮบริด ทั้งการเงินและการทหารควบคู่กันไปทั้งโลก แต่ในแง่อัตวิสัย สงครามที่สหรัฐกำลังก่อมุ่งเป้าไปยังรัสเซีย สงครามนี้เป็นไปเพื่อควบคุมประเทศที่อยู่ในขอบแผ่นดินใหญ่ (rimland countries) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่1 และครั้งที่2 อังกฤษเป็นผู้ก่อสงครามเพื่อที่จะรักษาอำนาจของตัวเอง แต่ตอนนี้ สหรัฐกำลังทำในสิ่งที่เหมือนกัน และทรัมป์ได้แสดงออกถึงผลประโยชน์ในแง่นี้
    http://tass.com/politics/942643

    Glazyevกล่าวได้ชัดเจนว่า อังกฤษ ไม่ใช่ใครอื่นไกลเป็นผู้ก่อสงครามโลกครั้งที่1และครั้งที่2

    thanong
    28/4/2017

    2. รัสเซียจับมือจีนนุ๊คดอลล่าร์

    ทรัมป์หลอกคนอเมริกันให้โหวตให้เขาเข้าไปทำงานในทำเนียบขาวโดยให้คำมั่นสัญญาว่า เขาจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ผ่านการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้รุ่งเรือง ให้มีการจ้างงานสำหรับคนอเมริกันที่ถูกระบบทอดทิ้งมาเป็นเวลานาน สำหรับนโยบายต่างประเทศ ทรัมป์บอกว่า เขาจะไม่ให้ความสำคัญกับการไปแทรกแซงประเทศอื่น ยกเว้นการทำลายล้างพวกไอซิส เพราะว่าเขาต้องให้ความใส่ใจในการแก้ปัญหาปากท้อง

    ทีไหนได้ ทรัมป์บริหารประเทศไม่ถึง100วันออกฤทธิ์เลย โดยเขาก่อสงครามใน5ประเทศ และมีอีกหนึ่งประเทศที่ทรัมป์กำลังเตรียมตัวทำสงคราม โดยที่คนอเมริกันไม่ได้เฉลียวใจ

    สงครามแรกคือการช่วยซาอุดิอาราเบียรบในเยเมน โดยอ้างว่าต้องการทำลายพวกฮุติที่อิหร่านให้การสนับสนุน เยเมนตอนนี้กลายเป็นดินแดนมิคสัญญีที่ชาวโลกลืมเลือน ทั้งเด็ก ผู้หญิงและคนแก่ตกเป็นเหยื่อของการทำสงคราม สงครามที่2ของทรัมป์คือ การถล่มซีเรียด้วยจรวดโทมาฮ็อค โดยอ้างว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีฆ่าประชาชนจึงต้องได้รับการตอบโต้ สงครามที่3 คือการใช้โคตรระเบิดหนัง11ตันเพื่อถล่มถ้ำของพวกอัลเคด้าเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐานในอัฟกานิสถาน สงครามที่4คือการที่ทรัมป์สั่งให้กองเรืออามาร์ดายกทัพไปเกาหลีเหนือเพื่อจัดการกับคิมน้อย สงครามที่5คือการเพิ่มกองกำลังทหารเดินเท้าของสหรัฐเข้าไปในซีเรีย และอิรัก โดยอ้างว่าเพื่อทำสงครามกับไอซิส แต่ทว่าความจริงคือการสกัดอิทธิพลของรัสเซีย จีนและอิหร่านที่กำลังสยายปีกในภูมิภาคตะวันออกกลาง และสงครามที่6คือการที่ทรัมป์กำลังหาทางที่จะจัดการกับอิหร่าน

    จะเห็นได้ชัดเจนว่า ทรัมป์ไม่ได้พยายามที่จะหาทางปรับความสัมพันธ์กับปูตินของรัสเซีย หรือสีของจีนให้ดีขึ้นเลย พูดอย่างทำอย่างมาตลอด ทำให้ทั้งปูตินและสีหมดความไว้วางใจในตัวทรัมป์อย่างสิ้นเชิง เพราะว่ามันปรากฎชัดเจนว่า ทรัมป์เป็นเพียงหุ่นเชิดของฝ่ายทหารและฝ่ายความมั่นคง สงครามที่ทรัมป์ก่อเป็นไปเพื่อปกป้องดอลล่าร์ และสกัดไม่ให้ประเทศใดสามารถดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่เป็นอิสระจากวอชิงตัน ดีซี มีเพียง2ประเทศเท่านั้นคือจีนและรัสเซียที่เป็นภัยต่อความเป็นจ้าวโลกของสหรัฐในเวลานี้

    ปูตินต้องการสร้างชาติใหม่หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโซเวียตในปี1991 ส่วนจีนก็มีความภูมิใจในประวัติศาสตร์อันยาวนานของตัวเองที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก ในขณะนี้ จีนมีอิทธิพลทางการค้าของโลกแซงหน้าสหรัฐไปแล้ว เพราะว่าจีนเป็นผู้ผลิต และเป็นโรงงานของโลก ในขณะที่สหรัฐเป็นประเทศผู้ก่อหนี้เพื่อการบริโภค เศรษฐกิจของจีนใหญ่กว่าเศรษฐกิจของสหรัฐถ้ามองในแง่กำลังซื้อของคนจีน เมื่อเทียบกำลังซื้อของคนอเมริกันในอัตราแลกเปลี่ยนเดียวกัน (purchasing power parity) จีนเป็นผู้บริโภควัตถุดิบที่ใหญ่ที่สุดของโลก ในขณะเดียวกันจีนเป็นผู้ส่งออกสินค้าสำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูงกว่าประเทศใดในโลก

    เมื่อเป็นเช่นนี้ ในยุค3ก๊กสมัยใหม่ ไม่มีเหตุผลที่ทั้งรัสเซีย หรือจีนที่จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของดอลล่าร์ตลอดไป รัสเซียต้องการให้เงินรูเปิ้ลเป็นเงินสกุลหลักของเขตยูเรเซีย ส่วนจีนต้องการให้เงินหยวนเป็นเงินสกุลหลักของโลก การที่รัสเซียและจีนจะจับมือกันเพื่อนุ๊คดอลล่าร์จึงเป็นเรื่องที่คาดการกันได้ เพราะว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ทั้ง2ประเทศจะยังคงไฟแนนซ์การก่อหนี้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดของสหรัฐ หรือสนับสนุนให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป เพราะว่ายิ่งดอลล่าร์มีอิทธิพลเท่าใด สหรัฐยิ่งจะสามารถขยายแสนยานุภาพทางทหารได้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเพื่อทำสงครามไฮบริดเพื่อปกป้องความเป็นมหาอำนาจแต่ฝ่ายเดียวของตัวเอง

    เนื่องจากรัสเซียและจีนต้องการปลดแอกจากดอลล่าร์ เราถึงเห็นทรัมป์ออกอาการก้าวร้าวต่อซีเรีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน ทั้งๆที่3ประเทศนี้ไม่ได้เป็นภัยต่อสหรัฐแม้แต่น้อยนิด แต่เมื่อทรัมป์ต้องการหาเรื่อง คิมน้อยจึงต้องแสดงอหังการ์ด้วยการขู่ว่าจะนุ๊คนิวยอร์ค ส่วนอิหร่านก็บอกว่าพร้อมที่จะรับมือทรัมป์ ปูตินและสีจึงจำเป็นต้องตกลงร่วมกันว่า ได้เวลานุ๊คดอลล่าร์เสียที

    thanong
    28/4/2017

    3. รัสเซียจับมือจีนนุ๊คดอลล่าร์

    ปูตินรู้อยู่แล้วว่า รัสเซียตกเป็นเป้าใหญ่ของกลุ่มแองโกลอเมริกันที่ต้องการปิดล้อมรัสเซีย และแซงชั่นรัสเซีย โดยให้สื่อโจมตีว่าปูตินเป็นเผด็จการ หรือฮิตเลอร์ที่มีความทะเยอทะยานที่จะยึดครองยุโรป ปูตินจึงได้ดำเนินการวางระบบทางการเงินที่จะให้รัสเซียสามารถยืนหยัดบนขาของตัวเองได้

    การยืนอยู่บนขาของตัวเองของรัสเซีย หมายความว่าปูตินต้องทิ้งดอลล่าร์ หรือการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และการมีระบบการทำธุรกรรมของแบงกิ้งที่เป็นอิสระจากระบบSWIFTที่ครอบงำระบบแบงกิ้งของโลก

    ทั้ง2เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าต้องทิ้งดอลล่าร์ หมายความว่ารัสเซียต้องขายดอลล่าร์เพื่อซื้อทองคำ และกลับไปใช้ระบบมาตรฐานทองคำ เงินรูเบิ้ลจะกลับไปอ้างอิงกับราคาทองคำแทน และระบบแบงกิ้งของรัสเซียต้องมีการทำธุรกรรมทางการเงินที่มีระบบคล้ายๆกับSWIFTของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาระบบSWIFTของตะวันตก

    การปิดล้อมรัสเซียทางทหารผ่านองค์กรนาโต้ และการเข้าไปก่อการรัฐประหารในยูเครนเพื่อแยกยูเครนออกมาจากการเป็นรัฐบริวารของรัสเซียของกลุ่มแองโกลอเมริกัน ตอกย้ำความพยายามของสหรัฐและอังกฤษที่จะสกัดไม่ให้ปูตินฟื้นความยิ่งใหญ่ของรัสเซียกลับมาอีกครั้ง ผ่านการสร้างเขตเศรษฐกิจยูเรเซีย เขตเศรษฐกิจยูเรเซียจะไม่มีความหมายถ้าหากว่าไม่มียูเครน ด้วยความเป็นประเทศยุทธศาสตร์ และมั่งมีด้วยทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการผลิตอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของยูเครน

    ปูตินถึงจำเป็นต้องยึดไครเมียของยูเครนก่อน เพราะว่าไครเมียเป็นฐานทัพเรือของรัสเซียในทะเลดำ และเป็นทางออกทางเดียวสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แม้ว่าต้องแล่นฝ่านช่องทางการเดินเรือของตุรกีก็ตาม

    เมื่อปูตินผนวกเอาไครเมียในเดือนมีนาคมปี2014เข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรัสเซีย ทั้งสหรัฐและสหภาพยุโรปจับมือกันแซงชั่นรัสเซีย และโจมตีค่าเงินรูเบิ้ล ตามมาด้วยการสั่งให้ซาอุดิ อาราเบียปั๊มน้ำมันให้ล้นตลาดโลกเพื่อกดราคาน้ำมันลงเพื่อทำลายเศรษฐกิจรัสเซียที่พึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก รัสเซียสะบักสะบอมจากการถูกโจมตีทางเศรษฐกิจของสหรัฐและสหภาพยุโรป แต่รอดตัวมาได้ เพราะว่ามีจีนกระโดดเข้ามาแบ๊คเต็มที่

    สหรัฐลืมไปว่า รัสเซียมีจีนเป็นเพื่อนที่พร้อมไฟแนนซ์รัสเซียยามลำบาก ทั้งรัสเซียและจีนค้าขายกันเป็นรูเปิ้ลและหยวนโดยไม่ต้องพึ่งพาดอลล่าร์ ทำให้รัสเซียไม่มีปัญหาการขาดแคลนดอลล่าร์ ไทยเจอต้มยำกุ้งในปี1997 เพราะว่าไม่มีใครรับเงินบาทไทย ในขณะที่ดอลล่าร์ไหลออกจากประเทศเหมือนเขื่อนแตก ในขณะเดียวกันจีนยอมให้รัสเซียล้มไม่ได้ เพราะถ้าหากรัสเซียล้ม จีนจะตกเป็นเป้านิ่งรายต่อไป

    ปัญหาทางโครงสร้างของระบบการเงินโลกคือ เงินรูเบิ้ล และเงินทุกสกุลบนโลกรวมทั้งเงินหยวนของจีน หรือเงินบาทของไทยเป็นเงินบริวารของดอลล่าร์ เนื่องจากดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกที่มาแทนทองคำในปีคศ 1971 ดอลล่าร์กลายเป็นค่ามาตรฐาน (benchmark)ที่วัดค่าของทรัพย์สินหรือบริการทุกอย่างในโลก ทั้งๆที่ดอลล่าร์กระดาษพิมพ์ออกมาเปล่าๆโดยไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง สินค้าโภคภัณฑ์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ทอง ข้าว ยางพารา ทองแดง ฯลฯล้วนแล้วแต่โค๊ดเป็นเงินดอลล่าร์ทั้งสิ้น ค่าเงินรูเปิ้ล และเงินสกุลต่างๆของโลกต้องอ้างอิงเงินดอลล่าร์ทั้งสิ้น

    เมื่อปูตินทิ้งดอลล่าร์โดยการเอาทองคำมาหนุนค่าเงินรูเบิ้ลแทนดอลล่าร์ นอกจากจะเป็นการปลดแอกเงินรูเบิ้ลจากดอลล่าร์แล้ว ยังเป็นการทำลายการผูกขาดของดอลล่าร์ไปในตัวด้วย นอกจากนี้ ทางปูตินได้สั่งให้ธนาคารกลางของรัสเซียเร่งสร้างระบบการทำธุรกรรมการเงินอีเลคโทรนิกส์ที่จะมาแทนระบบSWIFT

    ช่วงวิกฤติยูเครนเมื่อ3ปีที่แล้ว มีการขู่ว่าจะตัดรัสเซียออกจากระบบโทรคมนาคมที่เป็นพื้นฐานของการเงินระหว่างประเทศหรือระบบ SWIFT ทางรัสเซียออกมาตอบโต้ว่า ถ้าหากสหรัฐตัดระบบแบงกิ้งรัสเซียออกจากSWIFT หมายความว่าสงครามโลกครั้งที่3ได้เกิดขึ้นแล้ว

    Elvira Nabiullina นักเศรษฐศาสตร์ชาวรัสเซียและอดีตที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีปูตินและหัวหน้าธนาคารกลางแห่งรัสเซีย บอกว่าถ้ารัสเซียถูกถอดออกจาก Worldwide Interbank Financial Telecommunications ธนาคารของรัสเซียจะไม่พังทลาย เธออธิบายว่าพวกเขาคิดค้นระบบใหม่ที่จะดำเนินการต่อในรูปแบบ SWIFT และจะเป็นทางเลือกสำหรับประเทศต่อไป

    ตามรายงานที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้วธนาคารมากกว่าสามร้อยแห่งในรัสเซียได้ใช้ SWIFT ทางเลือกคือระบบสำหรับการโอนเงินทางการเงินแล้ว นอกจากนี้ ธนาคารกลางของรัสเซียได้เปิดสาขาแห่งแรกของรัสเซียที่กรุงปักกิ่งเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างสองประเทศและจุดเริ่มต้นของการยกเลิกการใช้ดอลล่าร์ de-dollarization
    http://www.tnews.co.th/contents/314151

    เมื่อปูตินทิ้งดอลล่าร์ สี จิ้นผิงก็ต้องทิ้งดอลล่าร์ตามไปด้วย เพราะว่าจีนและรัสเซียนอกจากจะเป็นหุ้นส่วนทางความมั่นคง ทางยุทธศาสตร์การทหารแล้ว ยังเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและการเงินด้วย คำถามคืออะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ2ของโลกด้วยจีดีพี$12ล้านล้าน และรัสเซียที่เป็นขนาดเศรษฐกิจติดหนึ่งใน10ของโลกด้วยจีดีพี$2ล้านล้าน จับมือกันปลดแอกดอลล่าร์ เพื่อกลับไปใช้ระบบมาตรฐานทองคำเพื่อสร้างระบบการเงินใหม่ แทนระบบหนี้ หรือระบบดอลล่าร์กระดาษที่สหรัฐพิมพ์ออกมาอย่างหูดับตับไหม้ และไม่มีความตั้งใจที่จะชดใช้หนี้?

    thanong
    30/4/2017

    4. รัสเซียจับมือจีนนุ๊คดอลล่าร์

    นายJohn Williams แห่ง shadowstats.com ได้แสดงความเห็นว่า ถ้าหากรัสเซียเทขายดอลล่าร์ สหรัฐอาจจะประสบกับปัญหาของเงินเฟ้อที่รุนแรง เพราะว่าไม่เพียงแต่รัสเซียเท่านั้นที่จะดั๊มพ์ดอลล่าร์ จีนต้องเทขายดอลล่าร์ด้วยเช่นกัน

    นายวิลเลี่ยมส์ตั้งเว็ปของตัวเองขึ้นมา เพราะว่าเขาไม่เชื่อในตัวเลขเศรษฐกิจที่รัฐบาลสหรัฐ หรือธนาคารกลางสหรัฐเอาออกมาเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขคนว่างงาน หรือตัวเลขเงินเฟ้อ

    "เมื่อเรามองออกจากประเทศสหรัฐ ตอนนี้มีเงินดอลล่าร์ที่เป็นเงินสด หรือเทียบเคียงเงินสดอยู่$16ล้านล้าน ปริมาณเงินดอลล่าร์ที่อยู่ต่างประเทศนี้มีขนาดเกือบจะเท่าขนาดจีดีพีของประเทศสหรัฐ ไม่มีใครต้องการถือดอลล่าร์ตลอดไป โดยพื้นฐานแล้ว ดอลล่าร์อ่อนแอ ปัจจัยต่างๆไม่เอื้อให้ดอลล่าร์ มันเป็นเรื่องของประเด็นที่ว่า อะไรจะเป็นตัวลั่นไกให้มีการเทขายดอลล่าร์ พวกรัสเซียนกำลังจะเริ่มขายดอลล่าร์ และจีนได้แสดงออกให้เห็นว่าได้เข้าร่วมมือกับรัสเซียในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

    "ถ้าหากว่าทั้งโลกเชื่อว่า นี้คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จะมีคนพยายามที่จะออกจากดอลล่าร์ หรือเทขายดอลล่าร์ก่อนพวกรัสเซียน นี้คือสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่าผู้คนจะรีบออกจากดอลล่าร์ให้เร็วที่สุดก่อนคนอื่น" นายวิลเลี่ยมส์กล่าว

    อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากมีการเทขายดอลล่าร์ทั้งโลก?

    “มันจะทำให้ตลาดการเงินประสบกับหายนะ เพราะว่าดอลล่าร์ที่ล้นเหลือจะกลับเข้าประเทศ พันธบัตรจะถูกเทขาย ดอกเบี้ยจะพุ่งสูงขึ้น จะมีการขายหุ้น และเงินเฟ้อจะตามมา แต่ธนาคารกลางสหรัฐจะเข้ามาซื้อพันธบัตรเพื่อบรรเทาสถานการณ์"
    http://usawatchdog.com/russian-dollar-dump-could-crash-financial-system-john-williams/

    นายMartin Armstrong มีความเห็นต่างจากนายวิลเลี่ยมส์ โดยบอกว่าดอลล่าร์จะไปหรือไม่ไปขึ้นอยู่กับว่าBig Money หรือกองทุนการเงินของโลกจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไร ถ้าหากว่าBig Moneyยังคงอยู่กับดอลล่าร์ หรือถือทรัพย์สินดอลล่าร์ต่อไป ดอลล่าร์จะไม่ล่มสลายง่ายๆ เพราะว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก และสหรัฐเป็นมหาอำนาจเหมือนอาณาจักรโรมันโบราณ ก่อนที่สหรัฐจะเป็นอะไรไป ประเทศอื่นๆที่เป็นบริหารต้องพังไปก่อน เพราะว่าศูนย์กลางจะไม่พังก่อนบริวาร นอกจากนี้ Big Moneyต้องพาร์คเงินในทรัพย์สินที่เป็นดอลล่าร์ เพราะว่าทรัพย์สินในประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลียมีขนาดเล็กเกินไป ระบบการเงินโลกจะเป็นอย่างไรต่อไปขึ้นอยู่กับ (The Invisible Hand) ที่เป็นผู้กำหนด และไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลสหรัฐ รัสเซีย หรือจีน
    https://www.armstrongeconomics.com/...ange/usd/dollar-reality-end-of-petro-dollars/

    นายJim Rickards ผู้แต่งThe Road to Ruins เห็นพ้องว่าจะมีดอลล่าร์2ระบบ ดอลล่าร์ในประเทศ (domestic dollar) และดอลล่าร์ต่างประเทศ(international dollar)ในกรณีที่เกิดวิกฤติทางการเงินที่กำลังก่อตัวอยู่ เมื่อถึงตอนนั้น กองทุนการเงินระหว่างประเทศจะพิมพ์เงิน$10ล้านล้านเพื่ออุ้มระบบการเงินโลกไม่ให้ล่มสลาย และจะพิมพ์เงินspecial drawing rights (SDR)ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนเงินดอลล่าร์
    http://www.cityam.com/254834/donald-trumps-unhappy-fate-oversee-financial-crisis-far

    คำถามคือ ทั้งจีนและรัสเซียจะยอมรับSDRของกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่สหรัฐคุมอยู่ข้างหลังหรือ?

    thanong
    30/4/2017

    5. รัสเซียจับมือจีนนุ๊คดอลล่าร์

    ทรัมป์ใช้เวลาไม่ถึง100วันในทำเนียบขาวที่จะพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นนักลวงโลก

    ทรัมป์เดินตามเกมทหารที่โอบามาวางเอาไว้อย่างเคร่งครัด โดยที่โอบามาสืบทอดนโยบายทางทหารมาจากพุ่มไม้น้อย บิล และพุ่มไม้ใหญ่ตามลำดับที่ต่างรับใช้รัฐบาลเงา (Deep State)ทุกคนอย่างไม่มีข้อแม้ โดยที่ต้องทำสงครามอย่างต่อเนื่อง เพื่อล้มทุกประเทศจนกว่าไม่มีประเทศใดสามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นอิสระจากวอชิงตัน ดีซีได้

    (ดูไทมไลน์ของการก่อสงครามของสหรัฐที่มีอย่างต่อเนื่องทุกปี นับตั้งแต่ก่อตั้งจักรวรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังพุ่มไม้พ่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1989 https://en.wikipedia.org/wiki/Timeline_of_United_States_military_operations)

    ยังเหลืออีก4ประเทศหลักที่ รัฐบาลเงาสหรัฐต้องการจัดการคือรัสเซีย อิหร่าน จีนและเกาหลีเหนือที่ไม่ยอมก้มหัวให้วอชิงตัน ดีซี

    ทรัมป์ไม่ได้เป็นคนนอกที่ต้องการเข้ามาโล๊ะอำนาจของพวกรัฐบาลเงา แต่เขาเป็นคนที่รัฐบาลเงาสนับสนุนให้เข้าไปทำงานในทำเนียบขาว ทรัมป์จึงเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย แต่ทำฟอร์มดตว่า เขาแน่ เขาเก่ง

    ทรัมป์เปลี่ยนรัฐบาลของเขาให้เป็นรัฐบาลทหาร และมอบอำนาจการบริหารงานทางทหารและความมั่นคงให้ฝ่ายทหารไปหมด อยากทำอะไรทำไป แล้วค่อยรายงานให้เขาทราบทีหลังได้

    ทรัมป์เลือกที่จะทำงานที่เขาถนัดอย่างเดียว คือเขียนทวิทเตอร์ แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว

    ดูรายชื่อครม. ของทรัมป์แล้วไม่ต่างจากรัฐบาลทหารของพม่าในอดีตเลย

    1. รัฐมนตรีว่าการกลาโหม หรือเพนตากอนคือนายพลJames Mattis ผู้มีฉายานายพลหมาบ้าที่มีประสบการณ์โชกโชนในการทำสงครามในตะวันออกกลาง และมีอุดมการณ์ทางทหารสายเหยี่ยวที่ต้องการล้มอิหร่าน รัสเซีย จีนและเกาหลีเหนือ

    2. นายพลH R McMaster เป็นที่ปรึกษาสภาความมั่นคง (National Security Council) หรือฝ่ายเสนาธิการทางทหารที่ดูแลการวางแผนทางทหารหรือความมั่นคงของสหรัฐทั้่งหมด McMasterใช้นโยบายทางทหารอย่างเดียวในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ การทูตเอาไปไกลๆ

    3. นายพลJohn Kelly เป็นรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ

    4. นายRyan Zinke อดีตนายทหารจากหน่วยซีลของกองทัพเรือสหรัฐเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงภายใน

    5. นายMike Pompeo เป็นผู้อำนวยการซีไอเอ และอดีตเป็นนายทหารจากกองทัพบก

    ทรัมป์เล่นละครเป็นตุ๊กตาหุ่นที่ทำเนียบขาวไป เพื่อแลกกับความมั่นคงของอาณาจักรธุรกิจทรัมป์หรือไม่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ครมที่เป็นนายทหารของทรัมป์จะเดินหน้าปิดล้อมรัสเซีย และจีนตามเกมทหารที่วางเอาไว้มานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปิดล้อมจีนที่เริ่มประกาศอย่างเป็นอย่างการโดยโอมามาในปี2011 ในนโยบายปักหมุดในเอเชีย (Pivot to Asia) โดยที่สหรัฐจะกลับมาเคลมความเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคแปซิฟิคอีกครั้ง โดยมีกองทัพเรืออามาร์ดาเป็นหัวหอก

    (ดูกราฟิคการปิดล้อมรัสเซียและจีนสมัยโอบามาประกอบ)

    สถานการณ์ของวราดิเมียร์ ปูติน และสี จิ้นผิงที่ถูกเพนตากอนปิดล้อมในเวลานี้เหมือนกับพระเจ้าตากที่ติดอยู่ในกรุงศรีอยุธยาในสมัยที่ถูกพม่าปิดล้อมในปีคศ 1767 พระเจ้าตากไม่ยอมตาย หรือไม่ยอมติดกับดักในกรุงศรีฯ จึงได้เรียกพรรคพวกนักรบ โดยมีทหารโปรตุเกสคู่ใจร่วมอยู่ด้วยให้กินอาหารมื้อสุดท้ายด้วยกัน แล้วทุบหม้อข้าว โดยประกาศว่า ถ้าตีฝ่าวงล้อมทหารพม่าไม่ได้ ก็ขอตายในสนามรบ ปรากฎว่าพระเจ้าตากตีฝ่าวงล้อมพม่าได้สำเร็จในจุดที่พลิกผันนั้น อันนำไปสู่การสร้างชาติใหม่ผ่านการตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี

    ปูตินและสีกำลังทุบหม้อข้าว ด้วยการดั๊มพ์ดอลล่าร์ และเปลี่ยนดอลล่าร์เป็นทอง ก่อนที่จะชักม่้าออกศึกเพื่อเผชิญหน้าทางทหารกับกองทัพสหรัฐอย่างเต็มตัว

    thanong
    30/4/2017


    6. รัสเซียจับมือจีนนุ๊คดอลล่าร์

    จีนเข้าใจยุทธศาสตร์ของสงครามการเงินของสหรัฐเป็นอย่างดี และรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สักวันหนึ่งที่จีนจะต้องปลดแอกจากอิทธิพลของดอลล่าร์ มิเช่นนั้นแล้ว จีนจะต้องกินน้ำใต้ศอกสหรัฐตลอดไปเหมือนกับญี่ปุ่นที่ยอมเป็นเบี้ยล่างสหรัฐอย่างว่านอนสอนง่าย

    ผู้ที่อธิบายยุทธศาสตร์ของสงครามการเงินของสหรัฐได้ดีที่สุดคือ พลตรี Qiao Liang นักยุทธศาสตร์ชั้นแนวหน้าของจีน ในปี2015 ในระหว่างการประชุมของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ เขาได้นำเสนอผลงานทางวิชาการเกี่ยวกับการใช้ยุทธศาสตร์ของสงครามการเงินของสหรัฐในการทำลายประเทศต่างๆ โดยใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการที่ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก

    Qiaoอธิบายว่า สหรัฐอเมริกาใช้ดอลล่าร์เพื่อที่จะบริหารการค้าและการเงินภายนอกเพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง สหรัฐส่งออกดอลล่าร์และเครดิตในรูปดอลล่าร์ให้โลกใช้ ด้วยวิธีการนี้ สหรัฐสร้างความร่ำรวยให้กับรัฐบาลของตัวเองและแบงก์อเมริกันทั้งหลาย ดอลล่าร์มีบทบาทสำคัญมากสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากดอลล่าร์ไม่ได้ผูกติดกับค่าของทองคำ สหรัฐสามารถที่จะสร้างวัฎจักรของเศรษฐที่บูมและล่มสลายสำหรับประเทศต่างๆที่่ใช้ดอลล่าร์

    เนื่องจากสหรัฐมีการพิมพ์ดอลล่าร์ออกมาเป็นจำนวนมาก เพราะว่าไม่มีระบบมาตรฐานทองคำมาเป็นข้อจำกัดให้มีวินัยทางการเงิน ทำให้มีโอกาสเกิดเงินเฟ้อ สหรัฐเลี่ยงการสร้างเงินเฟ้อด้วยการปล่อยให้ดอลล่าร์ไหลไปหมุนเวียนในตลาดต่างประเทศ ในขณะเดียวกันสหรัฐต้องพยายามไม่พิมพ์ดอลล่าร์มากเกินควร เพราะว่าจะทำให้ดอลล่าร์อ่อนค่า หมดความน่าเชื่อถือ แล้วสหรัฐจะแก้ปัญหาการขาดแคลนดอลล่าร์ได้อย่างไร เมื่อไม่มีดอลล่าร์เพียงพอที่จะหมุนเวียนในเศรษฐกิจ?

    สหรัฐแก้ปัญหาดอลล่าร์ขาดแคลนด้วยการออกพันธบัตรเพื่อสร้างหนี้ และดูดเงินดอลล่าร์กลับเข้าประเทศ ด้วยวิธีการนี้ สหรัฐเล่นเกมการเงินที่มือซ้ายพิมพ์ดอลล่าร์ ส่วนมือขวายืมเงินดอลล่าร์กลับคืนมา การพิมพ์เงินสร้างกำไร การยืมเงินได้กำไรเหมือนกัน เศรษฐกิจการเงินของการใช้เงินเพื่อสร้างเงินง่ายกว่าการที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจที่อิงการผลิตอุตสาหกรรมสหรัฐเลือกที่จะไม่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการผลิตในระบบอุตสาหกรรม แต่เลือกที่จะเล่นการเงินมากกว่า เพราะคิดว่าสามารถคอนโทรลทุกอย่างได้ เนื่องจากมีแสนยานุภาพทางทหารคอยค้ำจุนอีกที

    ตั้งแต่วันที่15 สิงหาคมปีคศ 1971 สหรัฐได้ค่อยๆหยุดพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง และมุ่งหน้าเข้าสู่เศรษฐกิจเวอร์ซูอััลแทน ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐกลวง ตามตัวเลขแล้ว จีดีพีของสหรัฐอยู่ที่$18ล้านล้าน แต่มีเพียง$5ล้านล้านมาจากเศรษฐกิจของการผลิตที่แท้จริง ที่เหลือเป็นเศรษฐของการเล่นแร่แปรธาตุทางการเงิน

    จาการออกพันธบัตร สหรัฐสามารถนำเอาดอลล่าร์ที่หมุนเวียนในตลาดต่างประเทศกลับมายังประเทศได้ โดยดอลล่าร์นั้นกลับเข้าไปอยู่ใน3 ตลาดใหญ่คือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และตลาดหุ้น สหรัฐสร้างวงจรซ้ำไปซ้ำมาของการหมุนเวียนของดอลล่าร์ ด้วยการพิมพ์ดอลล่าร์ ส่งออกดอลล่าร์ไปยังตลาดต่างประเทศ และนำดอลล่าร์กลับเข้ามาในประเทศ ด้วยวิธีการนี้ สหรัฐกลายเป็นจักรวรรดิทางการเงิน

    เมื่อเป็นจักรวรรดิทางการเงิน สหรัฐก็ก่อสงครามทางการเงินเป็นหลักเพื่อหากิน หรือสร้างความร่ำรวยให้จักรวรรดิ ในทศวรรษที่1970s สหรัฐใช้ดอลล่าร์เพื่อสร้างภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ในลาตินอเมริกา ธนาคารของสหรัฐมีการปล่อยเงินกู้ในรูปดอลล่าร์ในช่วงที่ดอลล่าร์มีค่าอ่อน ดอกเบี้ยถูกให้บรรดาประเทศต่างๆในลาตินอเมริกาเพื่อบริโภคเกินควร หลังจากนั้น สหรัฐขึ้นดอกเบี้ยเพื่อทำให้ค่าเงินดอลล่าร์แข็งค่าขึ้น โดยอ้างว่าเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้การลงทุนดอลล่าร์ในทรัพย์สินที่เสี่ยงต่างๆไหลเข้าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐแทน เพราะถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีความเสี่ยง

    การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อทำให้ดอลล่าร์แข็งค่านี้เองก่อให้เกิดวิกฤติการทางการเงินของลาตินอเมริกา เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาล่มสลายจากภาวะหนี้สินที่ล้นพ้น พวกนักลงทุนอเมริกันเข้าไปซื้อทรัพย์สินราคาถูกๆในตลาดลาิตนอเมริกา โดยที่สหรัฐให้รัฐบาลของประเทศลาตินอเมริกาได้มีโอกาสต่อท่อหายใจด้วยการออกพันธบัตรแบรดี้ที่สหรัฐช่วยอุ้ม นั้นคือวงจรรอบแรกของการใช้ดอลล่าร์เพื่อทำลายประเทศกำลังพัฒนา โดยที่ลาตินอเมริกาเป็นเป้า

    วงจรรอบ2ของการทำลายคือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ประเทศสารขัณฑ์สมันน้อยเป็นเป้าใหญ่ ในปี1986 ดอลล่าร์อยู่ในวงจรขาลงที่อ่อนตัวลง มีการปล่อยผีให้กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกหลอกให้เปิดเสรีทางการเงินให้กู้ดอลล่าร์ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยของเงินสกุลท้องถิ่น ทำให้เศรษฐกิจบูม มีการลงทุนและการบริโภคที่เกินตัว ตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นฟองสบู่ สถาบันการเงินปล่อยกู้อีลุ่ยฉุยแฉก

    นับจากปี1995เป็นต้นไป ดอลล่าร์เข้าสู่วงจรขาขึ้น ดอลล่าร์มีค่าแข็งขึ้นทำให้เกิดการโจมตีเงินบาทของไทยในช่วงปลายปี1996-1997 ก่อนที่วิกฤติการอัตราแลกเปลี่ยนจะกระจายไปยังมาเลย์เซีย อินโดเนเซีย เกาหลีใต้และประเทศเกิดใหม่อื่นๆ เศรษฐกิจที่เป็นเสือของเอเชียกลายเป็นแมวเชื่องจากการสร้าง และทำลายของวัฎจักรดอลล่าร์ ไทยเราเจอต้มยำกุ้งอย่างรุนแรง เงินดอลล่าร์ไหลออกอย่างรวดเร็ว เงินบาทตกน่ำอย่างรุนแรง ทำให้ประเทศมีฐานะล้มละลายทางการเงินเข้าโปรแกรมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยที่สาเหตุไม่ได้มาจากความผิดของไทยหรือประเทศเหล่านั้นเลยทีเดียว แต่มาจากการกู้ยืมและการใช้ดอลล่าร์ในการลงทุน หลังจากนั้นนักลงทุนอเมริกัน หรือต่างชาติก็เข้ามาช็อปของถูก และบีบให้ไทยและประเทศที่ประสบกับวิกฤติเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและการเงินให้กว้างขึ้นเพื่อสะดวกในการครอบงำ

    วงจรที่3ของการใช้ดอลล่าร์เพื่อทำลายมีจีนเป็นเป้าใหญ่ ดอลล่าร์อ่อนตัวลงในปี2002 เพื่อล่อให้เหยื่อหรือประเทศต่างๆเสพดอลล่าร์ถูกๆ หรือการปล่อยเครดิตในรูปดอลล่าร์ให้มีการบริโภคเกินควร ดอลล่าร์ไหลเข้าตลาดจีนเป็นจำนวนมาก ในปี2012 ดอลล่าร์เข้่าสู่วงจรขาขึ้น เปิดโอกาสให้สหรัฐทำลายเศรษฐกิจของจีน ในช่วงที่ดอลล่าร์แข็งตัว ปรากฎว่ามีการสร้างความขัดแย้งระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติหมู่เกาะเซนกากุ หรือวิกฤติความขัดแย้งระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ในแนวปะการัง Scaborough Shoal เพื่อที่จะสร้างเหตุให้นักลงทุนเททิ้งทรัพย์สินอื่นๆเพื่อกลับไปถือดอลล่าร์ หรือทำให้ดัชนีดอลล่าร์แข็งค่าขึ้น

    ฟองสบู่การเงินของจีนแตกในเดือนมิถุนายนปี2015 เมื่อนักลงทุนทิ้งตลาดหุ้น ทำให้คนจีนขาดทุนในตลาดหุ้นมาก จอร์จ โซรอส และนักการเงินของโลกตะวันตก รวมทั้งสื่อกระแสหลักทั่วโลกออกข่าว หรือให้ความเห็นเชิงวิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า จีนจะไม่สามารถรักษาค่าเงินหยวนให้มีเสถียรภาพได้ จีนจำต้องลดค่าเงินอย่างน้อย30% เศรษฐกิจจีนจะประสบกับภาวะฮาร์ดแลนดิ้ง จีนมองการณ์ไกล ไม่ปล่อยเสรีเงินหยวน และภาคการธนาคารอยู่ในมือของรัฐบาล ทั้ง2กลไกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลเสถียรภาพทางระบบการเงิน เมื่อรัฐบาลดูแลเงินหยวนในเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้าย ไม่ปล่อยให้หยวนลอยตัว และธนาคารพานิชย์จีนอยู่ในการดูแลของรัฐบาล จะสั่งซ้ายหันขวาหันก็ได้ ทำให้จีนสามารถก้าวผ่านวิกฤติการไซเกิ้ลของดอลล่าร์ที่แข็งค่าได้ ถ้าหากเป็นตลาดเกิดใหม่ประเทศอื่นๆที่เปิดเสรีการเคลื่อนย้ายของเงินทุน ปล่อยให้ค่าเงินลอยตัว และปล่อยให้ต่างชาติคุมระบบธนาคาร คงจะต้องประสบกับหายนะทางการเงินอย่างแน่นอน และต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจไปในที่สุด
    https://wealth.goldmoney.com/resear...mericas-financial-war-strategy?gmrefcode=gata

    คำถามต่อไปคือ จีนจะทำอย่างไรเพื่อที่จะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ของดอลล่าร์อ่อนตัวที่ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่การเงิน ดอลล่าร์แข็งค่าที่สร้างวิกฤติการเงิน? ที่รู้แน่ๆคือ ถ้าหากว่าจีนยังคงเล่นเกมดอลล่าร์เหมือนเดิม จีนจะประสบกับความพ่ายแพ้ทางการเงินในที่สุด เพราะว่าสหรัฐสามารถพิมพ์ดอลล่าร์ได้ไม่อั้น วิกฤติการทางการเงินจะนำไปสู่วิกฤติทางเศรษฐกิจ และการเมืองตามมา ถ้าหากว่าคนจีน1,300ล้านคนเจอวิกฤติทางเศรษฐกิจ จะเกิดอะไรขึ้นกับเสถียรภาพของพรรคคอมมิวนิสต์ หรือรัฐบาลจีน?

    thanong
    30/4/2017


    7. รัสเซียจับมือจีนนุ๊คดอลล่าร์

    จีนถูกโจมตีทั้งตลาดหุ้น และค่าเงินหยวนในปี2015 โดยนายจอร์จ โซรอสเป็นแม่ทัพ แต่จีนรอดตัวมาได้ เพราะว่าทางรัฐบาลจีนมีการคุมเข้มการไหลเข้าไหลออกของเงินหยวน นอกจากนี้ รัฐบาลยังเป็นเจ้าของแบงก์ทำให้การโจมตีเงินหยวนโดยกองทุน และแบงก์สัญชาติอเมริกันล้มเหลว

    เมื่อพลาดไปแล้ว สหรัฐจึงต้องหาทางเล่นงานจีนต่อไปเพื่อสกัดไม่ให้จีนผงาดกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเงินในเอเชีย และโลก นโยบายของทรัมป์ในการก่อสงครามในซีเรีย เกาหลีเหนือ และอิหร่านจึงเป็นการเล่นสนุ๊กแบบแทงกระทบชิ่ง โดยเป้าหมายคือจีน

    นายAlistair MacLeod นักวิเคราะห์จากGoldmoney Wealth วิเคราะห์ได้อย่างน่าสนใจว่า เวลาทรัมป์คำรามว่าเกาหลีเหนือที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์เป็นภัยต่อภูมิภาค และสหรัฐพร้อมที่จะถล่มเกาหลีเหนือด้วยขีปนาวุธ ตลาดการเงินย่อมแตกตื่น เงินจะไหลกลับเข้าสู่สวรรค์แห่งความมั่นคงคือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทั้งๆที่สหรัฐก่อหนี้แบบไม่มีความตั้งใจที่จะคืนหนี้ มีแต่จะออกพันธบัตรหนี้ใหม่ไปผ่อนชำระหนี้เก่า เวลาเงินไหลกลับเข้่าสู่ตลาดสหรัฐ จะทำให้แรงกดดันดอกเบี้ยลดลง เมื่อดอกเบี้ยต่ำ รัฐบาลสหรัฐสามารถยกเพดานเพื่อก่อหนี้ใหม่ได้ เวลามีสงคราม มันเป็นเรื่องง่ายที่จะชักชวนให้สภาคอนเกรสอนุมัติเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล

    สหรัฐเล่นเกมการเงินที่อิงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกปั่นขึ้นมาแบบนี้มาตลอด

    จีนรู้ตัวดีว่า ถ้ายังคงปล่อยให้สหรัฐเล่นเกมการเงินแบบนี้ สักวันหนึ่งอาจจะพลาดท่าได้ จึงมีการเตรียมพร้อมที่จะปลดแอกอิทธิพลของดอลล่าร์

    ที่ผ่านมา ค่าเงินหยวนผูกติดกับดอลล่าร์เพื่อสร้างสเถียรภาพให้กับเงินหยวนที่ตลาดการเงินไม่ยอมรับ เพราะว่าจีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ไม่ได้มีการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ เศรษฐกิจจีนไม่ได้เปิดเสรีเหมือนของเศรษฐกิจของโลกตะวันตก การผูกหยวนกับดอลล่าร์ทำให้จีนมีความสามารถในการแข่งขันในการส่งออก เพราะว่าจีนสามารถปรับค่าให้อ่อนได้ตามที่ต้องการ โดยที่ค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวน้อยมากในแต่ละวัน เวลาส่งออกได้เงินดอลล่าร์มา จีนเอาดอลล่าร์ไปลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐ และเอาดอลล่าร์สหรัฐกลับมาหนุนค่าเงินหยวนให้มีความเชื่อมั่นอีกต่อหนึ่ง จีนเดินตามเส้นทางนโยบายการเงินของประเทศเกิดใหม่ทุกประเทศที่ผูกค่าเงินกับดอลล่าร์ เพื่อหนุนการส่งออก ได้ดอลล่าร์มาก็ซื้อพันธบัตรสหรัฐเพื่อเก็บเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ สหรัฐยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าสามารถที่จะรีไซเกิ้ลเงินดอลล่าร์กลับมาไฟแนนซ์การบริโภคที่เกินตัวของรัฐบาล รวมทั้งทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐบูมจากการที่มีเงินดอลล่าร์ไหลกลับเข้ามาในประเทศ โดยที่ไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อมากจนเกินไป เพราะว่าธนาคารกลางสหรัฐไม่จำเป็นต้องพิมพ์เงินมากเกินไปนั้นเอง

    จีนมองเห็นในอนาคตว่าเมื่อถึงเวลาจะปลดแอกอิทธิพลของดอลล่าร์ มิเช่นนั้นจะถูกสหรัฐใช้ดอลล่าร์เพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพของเศรษฐกิจจีน ด้วยเหตุนี้จีนจึงมีการซื้อทองเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง นายAlistair MacLeodคาดการว่า ประชาชนจีนน่าจะถือทองคำอยู่รวมกันประมาณ12,000-14,000ตัน หลังจากที่จีนมีนโยบายสนับสนุนให้มีการสะสมทองตั้งแต่ปี2002 ส่วนรัฐบาลจีนเองน่าจะมีทองคำสำรอง20,000ตัน โดยจีนเริ่มตุนทองคำอย่างเงียบๆตั้งแต่ปี1983 ทำให้ตัวเลขเฉลีี่ยที่ทางการจีนมีการซื้อทองเข้ามาประมาณ600ตันต่อปี โดยซื้อในราคาที่ถูกกว่าระดับปัจจุบันมาก

    การซื้อทองคำของจีนเป็นไปเพื่อสร้างเสถียรภาพ และความมั่นใจให้เงินหยวนในอนาคต เมื่อจีนเลิกผูกค่าเงินหยวนกับดอลล่าร์ แต่จะมาผูกกับทองคำแทน สหรัฐล้มระบบมาตรฐานทองคำในปี1971 โดยเลิกผูกดอลล่าร์กับทอง ทำให้สหรัฐพิมพ์เงินเป็นว่าเล่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดอลล่าร์ที่ไหลไปทั่วโลกเป็นตัวแทนของอำนาจทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐ แต่จีนจะกลับมาใช้ระบบมาตรฐานทองคำอีกครั้งเพื่อที่จะสร้างความแตกต่างจากดอลล่าร์กระดาษที่พิมพ์ออกมาเปล่าๆ โดยไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง

    หลังจากที่จีนมีทองคำสำรองเพียงพอแล้ว จีนได้สร้างตลาดทองผ่าน Shanghai Gold Exchangeเพื่อเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนทอง โดยให้มีการโค๊ดราคาทองในตลาดฟิวเจอร์สเป็นเงินหยวน โดยปกติแล้วทองจะโค๊ดเป็นดอลล่าร์ หลังจากที่สร้างราคาทองด้วยสัญญาล่วงหน้าฟิวเจอร์สแล้ว จีนจะสร้างสัญญาฟิวเจอร์สซื้อขายน้ำมันเป็นเงินหยวนเหมือนกัน อย่าลืมว่าทองและน้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความสำคัญที่สุดในการค้าขายและระบบการเงินโลก ด้วยวิธีการนี้ เทรดเดอร์ต่างประเทศสามารถขายเงินหยวนในตลาดล่วงหน้าเพื่อซื้อทองได้ ทำให้เกิดความน่าดึงดูดใจต่อไปที่จะใช้หยวนในการทำการค้าระหว่างประเทศ แทนที่จะใช้ดอลล่าร์ เมื่อสัญญาน้ำมันเป็นเงินหยวนได้เปิดตัว ผู้นำเข้าน้ำมันจะใช้สัญญาซื้อขายหยวนเพื่อขายน้ำมันเพื่อแลกทอง

    จีนเตรียมพร้อมที่จะเปลี่ยนการกำหนดราคาน้ำมันเป็นค่าของทองแทนที่จะเป็นดอลล่าร์ เมื่อจีนลั่นไก การเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินจะเกิดขึ้น โดยที่จีนจะต้องขายดอลล่าร์รีเสิร์ฟแลกกับสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เมื่อราคาน้ำมันได้รับการตกลงกันเป็นทองผ่านตลาดซื้อขายล่วงหน้า สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆจะตามมา

    พวกอเมริกันไม่ได้แปลกใจว่ากำลังจะถูกจีนเช็คเมทในกระดานหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ เมื่อจีนเปลี่ยนระบบค้าทอง และสิค้าโภคภัณฑ์ได้แล้วราคาทองที่เป็นดอลล่าร์จะพุ่งขึ้นสูง ซึ่งเป็นการสะท้อนอำนาจซื้อที่ลดลงของดอลล่าร์ และนั้นจะเป็นการสิ้นสุดของสิทธิพิเศษของดอลล่าร์ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี1971 และอาจจะถือได้ว่าเป็นการก่อหวอดเพื่อล้มดอลล่าร์กระดาษ และจักรวรรดินิยมอเมริกา

    แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ทรัมป์ถูกวางตัวให้มาทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง ไม่ให้จีนเดินหน้าไปได้ การเล่นงานคิมน้อยเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะว่าทรัมป์ได้ขนขีปนาวุธTHAADมาติดตั้งที่เกาหลีใต้แล้ว จีนรู้ดีว่าเป้าหมายของTHAADคือกรุงปักกิ้ง ไม่ใช่เปียงยาง เฮียสีจึงได้มีการสั่งการเตรียมพร้อมเพื่อแลกหมัดกันเต็มที่
    http://www.informationclearinghouse.info/46961.htm

    thanong
    1/5/2017
     
  8. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    The Hidden Great Wall of Korea: ใครสร้างกำแพงคอนกรีตเกาหลี แบ่งแยกสองเกาหลีออกจากกัน?
    ----------

    หนึ่งในวาทกรรมที่ได้ยินได้ฟังจากสื่อและนักการเมืองฝั่งตะวันตกนำโดยสหรัฐ และเหล่าลิเบอร์ร่านทั้งหลายที่พูดกันปากต่อปากแบบแผ่นเสียงตกร่องก็คือ "เกาหลีเหนือปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอก รัฐบาลทหารของคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือห้ามไม่ให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศ รัฐบาลคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือปิดหูปิดตาประชาชชน" และอื่นๆอีกมาก ที่ต้องการให้ทั่วโลกมองว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือโหดร้าย ป่าเถื่อน จำกัดเสรีภาพของประชาชน สหรัฐคือผู้ปลดปล่อย ผู้นำเสรีภาพและสันติภาพมาสู่ชาวโลก (ภายใต้เงื่อนไขเดียว: ทุกคนต้องอยู่ใต้คำสั่งของสหรัฐอย่างเท่าเทียมกัน)

    หลังเกิดสงครามเกาหลีในปี 1950 - 1953 เกาหลีได้แบ่งแยกดินแดนออกเป็นสองส่วน ดินแดนส่วนเหนือปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เรียกว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี" (Democratic People's Republic of Korea) หรือ "เกาหลีเหนือ" (North Korea) ดินแดนส่วนใต้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก เรียกว่า "สาธารณรัฐเกาหลี" (Republic of Korea) หรือ "เกาหลีใต้" (South Korea)

    แนวเส้นแบ่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองเกาหลีเรียกว่า "เขตปลอดกิจกรรมทางทหาร" (Demilitarized Zone) เรียกโดยย่อว่าเขต "DMZ" มีความยาว 260 กิโลเมตรจากตะวันออกจรดตะวันตก กว้าง 4 กิโลเมตร กำหนดขึ้นในปี 1953 ตามข้อตกลงระหว่างสองเกาหลี จีน สหรัฐ และยูเอ็น

    + The Korean Wall หรือ The Concrete Wall
    กำแพงคอนกรีตเกาหลีมีอยู่จริงหรือไม่? ฝ่ายเหนือบอกว่ามีอยู่จริง ฝ่ายเกาหลีใต้และสหรัฐรวมทั้งยูเอ็นปฏิเสธ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือและมีโอกาสไปสังเกตการณ์ในพื้นที่ที่มองเห็นกำแพงดังกล่าวต่างก็ยืนยันว่ามันมีกำแพงที่ว่านั้นอยู่จริงๆ ยาวสุดลูกหูลูกตาเลย

    ข้อมูลจากวิกิพีเดียกล่าวว่า... ตามคำบอกเล่าของฝ่ายเกาหลีเหนือ (DPRK) นั้น ระหว่างปี 1977 - 1979 ทางการของเกาหลีใต้และสหรัฐได้ก่อสร้างกำแพงคอนกรีตตามแนว DMZ ขึ้นมา Peter Tetteroo นักข่าวชาวดัตช์ถ่ายคลิปวีดีโอแขงแนวกั้นแบริเออร์ (barrier) ซึ่งไกด์ชาวเกาหลีเหนือบอกว่ามันคือ "กำแพงเกาหลี" (The Korean Wall) องค์กรต่างๆ เช่นบริษัททัวร์ Korea Konsult ของเกาหลีเหนือกล่าวว่า กำแพงนี้ "แบ่งแยก" เกาหลีออกจากกัน:

    ในพื้นที่ทางใต้ของแนวเส้นแบ่งทางทหาร (Military Demarcation Line) ซึ่งตัดผ่านกลางเอวของเกาหลี มีกำแพงคอนกรีต ซึ่ง… ขยายยาวถึง 240 กว่ากิโลเมตร (ประมาณ 149 ไมล์) จากตะวันออกถึงตะวันตก สูง 5-8 เมตร ด้านล่างกว้าง 10-19 เมตร ด้านบนกว้าง 3-7 เมตร ติดรั้วลวดหนามและมีช่องสำหรับยิงปืนได้ด้วย มีหอคอยสังเกตการณ์ของทหารอยู่เป็นจำนวนมาก [กำแพงเมืองจีน (The Great China Wall) ยาวประมาณ 20,000 กว่ากิโลเมตร กว้าง 5 เมตร สูง 5-8 เมตร]

    + สหรัฐและเกาหลีใต้ซ่อนกำแพงนี้จากสายตาทั่วโลกมาอย่างยาวนานได้อย่างไร?

    ในปี 1999 Chu Chang-jun เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำประเทศจีนพูดย้ำว่า "กำแพงนี้" แบ่งแยกเกาหลี ฝั่งใต้ของกำแพงฉาบทาด้วยดินไปจนถึงด้านบนของกำแพง และทำให้ไม่สามารถมองเห็นจากฝั่งของเกาหลีใต้ได้เลย (พราง) ฝายเหนือบอกว่ากำแพงนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานสำหรับการรุกรานเกาหลีเหนือ

    สหรัฐและเกาหลีใต้ได้ปฏิเสธ "การมีอยู่ของกำแพงเกาหลี" และอ้างว่ามันคือ "แนวกั้นต่อต้านรถถัง" (anti-tank barriers) ในบางพืื้นที่ของเขต DMZ

    [หนึ่งในนโยบายหลักในการหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็คือ การสร้าง "anti-tank barriers" ตามแนวชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ด้วยกำแพงคอนกรีต สมัยบุชและโอบามาสร้างรั้วเหล็ก ฝ่ายสหรัฐบอกว่า มันไม่ใช่กำแพง มันเป็นแบริเออร์ป้องกันรถถัง ที่สูงเพียงแค่ 5 - 8 เมตร และกว้่าง 3 - 7 เมตรเท่านั้นเอง - ผู้แปล]

    ในรายการสารคดี "10 Days in North Korea" ของสำนักข่าว RT ของรัสเซีย (47 นาที) ซึ่งถ่ายทำสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวเกาหลีเหนือทั้งในกรุงเปียงยางและเขตชนบท และสถานที่ทั่วไปในปี 2014 ทีมงานของ RT ได้บันทึกภาพ "กำแพง" แห่งหนึ่งจากฝั่งเกาหลีเหนือ และบรรายายว่า "กำแพงสูง 5 เมตร ทอดยาวจากตะวันออกถึงตะวันตก" (5 metre high wall stretching from east to west) (ลิ้งค์สารคดีของ RT
    )

    สหรัฐและเกาหลีใต้ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าไปเที่ยวในเขต DMZ และพื้นที่ Civilian Control Line ได้แต่ห้ามถ่ายรูป นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไม ทั่วโลกถึงแทบจะไม่ได้เคยได้ยินเรื่อง "กำแพงเกาหลี" เลย นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังเกาหลีเหนือได้รับฟังการบรรยายเกี่ยวกับกำแพงนี้ ถ้ามีอคติก็จะมองว่าเป็น "โฆษณาชวนเชื่อ" ของเกาหลีเหนือที่ต้องการใส่ร้าย "สหรัฐและเกาหลีใต้" นักประชาธิปไตย แต่ถ้าได้ไปดูด้วยตาของตนเอง บางคนก็จะถึงบางอ้อ

    แต่สำหรับบางคนที่ถูกล้างสมองโดยสื่อตะวันตกมานาน ยากที่จะเปิดใจรับรู้ความจริงใหม่ๆได้ ก็จะบอกว่า "เกาหลีเหนือสร้างขึ้นมาเองหรือเปล่า? อย่ามาใส่ร้ายสหรัฐและเกาหลีใต้เลย ไม่ได้ผลหรอก" แม้จะสามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ คนเหล่านี้ก็จะบอกว่า เขาทำเพื่อป้องกันการรุกรานจากเกาหลีเหนือไง

    นั่นคือกำแพงที่เป็นรูปธรรมของจริง ซึ่งแบ่งแยกสองเกาหลีออกจากกัน ขัดขวางไม่ให้ประชาชนทั้งสองฝั่งไปมาหาสู่กันได้ ฝ่ายเกาหลีเหนือบอกว่ากำแพงนี่แหละที่เป็นหนึ่งในอุปสรรคของการรวมสองประเทศเข้าด้วยกัน ส่วนกำแพงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็ปิดกั้นชาวเกาหลีเหนือไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกก็คือ "การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ" (Economic Sanctions) ซึี่งกระทำโดยสหรัฐและพรรคพวกโดยใช้ยูเอ็นเป็นเครื่องมือในการกดดัน กดขี่ ข่มเหงเกาหลีเหนือมาโดยตลอด แม้ว่าเกาหลีเหนือจะยังไม่ได้เริ่มโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองเลยก็ตาม

    จากนั้นสหรัฐก็ใช้สื่อภายใต้อิทธิพลของตนเองที่มีอยู่ทั่วโลก ประโคมข่าวโจมตีเกาหลีเหนือต่างๆนานา กล่าวหาเกาหลีเหนือว่าเป็น "รัฐฤาษีจำศีล" โดดเดียวตนเองจากโลกภายนอก การปกครองแบบเกาหลีเหนือทำให้ประชาชนยากจน จำกัดเสรีภาพของประชาชน เกาหลีเหนือควรจะหยุดพัฒนาโครงนิวเคลียร์ซะ และหันไปให้ความสนใจความเป็นอยู่ของประชาชนของตนเองให้ดีขึ้นจะดีกว่า พอเขาจะพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารของตนเอง โดยลดและไม่พึ่งพาจากภายนอก สหรัฐก็บอกว่า "ยูละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ว่าด้วยการห้ามการทดลองและขนส่งหรือเคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์"

    เพราะว่าเครื่องยนต์จรวดสำหรับนำส่งดาวเทียมสื่อสาร และดาวเทียมตรวจสภาพอากาศ หรือดาวเทียมอื่นๆของเกาหลีเหนือสามารถนำไปใช้กับระบบขีปนาวุธข้ามทวีปได้ "เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพในภูมิภาคและทั่วโลก" แต่ในขณะเดียวสหรัฐก็ประกาศว่า องค์การนาซ่าและระบบขีปนาวุธด้านนิวเตลียร์ของตนเองเลิศที่สุดในโลก

    ต่อไปสหรัฐอาจจะบอกว่าการสร้างถนน การใช้รถบรรทุกของเกาหลีเหนือขัดต่อมติของยูเอ็น เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถนำไปใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนย้ายอาวุธนิวเคลียร์และมิสไซล์ของกองทัพเกาหลีเหนือ หรืออาจจะบอกว่าการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนนักศึกษาชาวเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ เพราะว่าในอนาคตพวกเขาอาจจะใช้ความรู้เหล่านั้นไปพัฒนาอาวุธที่ร้ายแรงก็ได้ ต้องเพิ่มมาตรการแซงชั่นเกาหลีเหนือให้แรงกว่าเดิม เราสนับสนุนเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน!

    สรุป: สหรัฐและเกาหลีใต้รวมหัวกันสร้างกำแพงและรั้วหนามแบ่งแยกเกาหลีเหนือ-ใต้ กีดกันไม่ให้ประชาชนไปมาหาสู่กันได้ แต่บอกว่าชาวโลกเกาหลีเหนือปิดประเทศห้ามประชาชนของตนเองเดินทางออกนอกประเทศ

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    02/05/2560
    ------------
    http://www.earthnutshell.com/north-koreas-loch-ness-monster-the-concrete-wall/
    https://en.wikipedia.org/wiki/Korean_Demilitarized_Zone
     
  9. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช

    สหรัฐบอกให้เกาหลีเหนือยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ และหันไปให้ความสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตนเองให้ดีขึ้น แต่ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินของประเทศประชาธิปไตยเบอร์หนึ่งของโลกในวันนี้ นี่ไม่ใช่ที่เกาหลีเหนือ แต่มันคืออเมริกา!
     
  10. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Richard Whitt

    Monograph : ปฐมบทเศรษฐศาสตร์การเมือง สู่เศรษฐกิจยุคใกล้สงคราม Chapter 1

    ✤ ผู้นำโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ไม่คิดสนใจความฉิบหายของเพื่อนร่วมโลกเอาเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่า คำตอบในเรื่องนี้ ประธานาธิบดีอเมริกันนาย Donald Trump ได้ให้คำตอบเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนพอสมควรในถ้อยคำที่ Twitter เมื่อช่วงวันอาทิตย์ ที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2017 ว่า

    ✤ Our military is building and is rapidly becoming stronger than ever before. Frankly, we have no choice! หรือพูดง่าย ๆ ว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกเสียจากต้องหาทางเสริมสร้าง *ความยิ่งใหญ่ทางทหาร* อย่างเร่งรีบให้เหนือกว่ายุคใดสมัยใดเท่าที่เคยมีมา ประมาณว่าเพื่อไม่ให้ *อเมริกาต้องเป็นฝ่ายวิบัติล่มสลายซะเอง* มีแต่ต้องหันไปใช้กรรมวิธีแบบที่เรียก ๆ กันว่า Military Keynesianism หรืออาศัยสงครามเป็นทางออก ทางรอดของประเทศตนเอง

    ✤ รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ (Mike Pence) ซึ่งถูกส่งไปเยือนถึงแนวหน้าในเกาหลีใต้ ที่ออกมาย้ำเอาไว้แบบเสียงดังฟังชัดว่า Era of Strategic Patience is Over หรือหมดยุคแห่งความอดทนทางยุทธศาสตร์อีกต่อไปแล้ว

    ✤ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ พลโทเฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ แมคมาสเตอร์ (Herbert Raymond McMaster) ที่ออกมายืนยันถึงความชอบธรรมในการหันไปใช้ *อำนาจทางทหาร* ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ไม่ว่ากรณีถล่มจรวดใส่ซีเรีย ไปจนถึงกรณีเอา *โคตรแม่มระเบิด* ไปหย่อนใส่ประเทศเล็ก ๆ อย่างอัฟกานิสถาน ว่าถือเป็นการตัดสินใจที่แจ่มชัด หนักแน่นของประธานาธิบดีสหรัฐ พร้อมแสดง *ความกร่าง* ด้วยการ Twitter ถ้อยคำสั้น ๆ ไปยังผู้นำเกาหลีเหนือ ไม่ต่างไปจากการขู่เด็ก ว่า Gotta behave หรือให้ทำตัวดี ๆ เข้าไว้

    ✤ ตั้งแต่ Keynesian Revolution ในช่วงทศวรรษ 1930 ผ่านมานั้น เป็นการปฏิวัติความคิดทางเศรษฐศาสตร์ครั้งที่นับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 มุมหนึ่งที่วัดความยิ่งใหญ่ได้ก็คือ มีอิทธิพลกับทั้งบุคคลและสำนักทางความคิด บุคคลที่อ้างว่าได้รับอิทธิพลจากเคนส์นั้นมีหลากหลายตั้งแต่นักคิดฝ่ายซ้ายไปจนถึง มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) แห่งชิคาโก ในทางสำนักคิดก็เช่นเดียวกัน เศรษฐศาสตร์เคนส์ได้แตกแขนงไปสู่ทั้ง

    ● Military Keynesian

    ● Neo-Classical synthesis Keynesian (New Keynesian)

    ● Orthodox Keynesian

    ● Post Keynesian

    ✤ การปฏิวัติกระบวนทัศน์ทางเศรษฐศาสตร์ภายใต้ Keynesian Revolution ได้ทิ้งมรดกสำคัญอย่างน้อย 3 ประการคือ

    ❶ การแยกแยะความแตกต่างระหว่างเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) กับเศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics) รวมตลอดจนการวางรากฐานของเศรษฐศาสตร์มหภาค อันเป็นผลให้การศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคเจริญงอกงามในเวลาต่อมา

    ❷ The General Theory เสนอกรอบความคิดสำหรับการจัดทำระบบบัญชีประชาชาติ (National Account System) ภายหลัง Keynesian Revolution โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นานาประเทศพากันจัดทำบัญชีประชาชาติ อันเป็นเหตุให้มีการจัดทำสถิติเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อเกื้อกูลต่อการจัดทำระบบบัญชีประชาชาติ การพัฒนาระบบบัญชีรายได้ประชาชาติเป็นก้าวย่างสำคัญในการสร้างแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Economic Model) เพื่ออธิบายกลไกการทำงานของระบบเศรษฐกิจ และเพื่อให้คำทำนายเกี่ยวกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ

    ❸ Keynesian Revolution ช่วยกอบกู้ระบบทุนนิยมให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ การปฎิวัติกระบวนทัศน์ทางเศรษฐศาสตร์ของเคนส์ช่วยให้เข้าใจปัญหาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ เข้าใจบทบาทของรัฐในการแก้ไขเยียวยาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเข้าใจเทคนิคและกลไกในการแก้ปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ Keynesian Revolution จึงช่วยฟื้นคืนศรัทธาของพลโลกที่มีต่อระบบทุนนิยม

    ✤ อิทธิพลของ Keynesian Revolution ที่มีต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเริ่มปรากฏในปี ค.ศ.1938 เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วงดังกล่าวกระบวนทัศน์ทางเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ถ่ายทอดจากเมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ไปสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เป็นฐานที่มั่นของเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ในสหรัฐอเมริกา

    ✤ ซึ่งในเวลาต่อมา ผลผลิตของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพากันเข้าไปยึดกุมกลไกในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ รายละเอียดเรื่องนี้ปรากฏในบทความของจอห์น เคนเน็ธ กัลเบรธ (John Kenneth Galbraith) เรื่อง How Keynes Came to America

    ✤ ด้วยเหตุดังนี้ เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี ค.ศ. 1938 ตำรับยารักษาโรคเศรษฐกิจของเคนส์จึงถูกนำมาใช้ โดยเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ คือ

    ❶ รัฐบาลสามารถมีบทบาทในการผลักดันการเจริญเติบโต และการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจด้วยมาตรการทางนโยบายต่าง ๆ แทนที่จะปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจล่องลอยตามการชักพาของกลไกราคาหรือการอุดหนุนอุตสาหกรรมเฉพาะประเภท เคนส์เสนอให้ใช้แนวทางที่สาม ด้วยการจัดการอุปสงค์มวลรวม (Demand Management Policy)

    ❷ เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ ให้ความสำคัญแก่การใช้เครื่องมือทางการคลังในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเหนือกว่าเครื่องมือทางการเงิน แต่มิได้ถึงกับมองไม่เห็นประโยชน์ของเครื่องมือทางการเงินเลย

    ❸ เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ ไม่เห็นด้วยกับการยึดกุมความสมดุลของงบประมาณเป็นสรณะ แต่เห็นว่า รัฐบาลควรใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ งบประมาณแผ่นดินจะมีลักษณะอย่างไร ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจแต่ละขณะ ในยามที่มีภาวะตกต่ำหรือถดถอยทางเศรษฐกิจ รัฐบาลควรใช้งบประมาณขาดดุลเพื่ออัดฉีดให้เศรษฐกิจฟื้นตัว แต่ในยามที่มีปัญหาเงินเฟ้อ รัฐบาลควรใช้นโยบายงบประมาณเกินดุลเพื่อผ่อนคลายแรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อด้วยการลดทอนอุปสงค์มวลรวม แนวความคิดดังกล่าวนี้เป็นพื้นฐานของหลักการจัดการอุปสงค์มวลรวม เพื่อทวนกระแสวัฏจักรธุรกิจ (Countercyclical Demand Management)

    ✤ การที่เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ สามารถส่งอิทธิพลในกระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาได้ง่ายกว่าประเทศอื่น ๆ เป็นเพราะกระบวนการกำหนดนโยบายในสหรัฐอเมริกาเป็นกระบวนการที่เปิดกว้าง โดยมีการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชุมชนวิชาการกับระบบราชการ ด้วยอิทธิพลของเคนส์จึงเกิดการปฏิวัตการคลัง (Fiscal Revolution) ในสหรัฐอเมริกา

    ✤ เหตุปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้กระบวนการเคนสานุวัตรขยายตัวภายหลังสงครามโลกครั้ง 2 ก็คือ เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ช่วยบรรเทาความขัดแย้งระหว่างชนชั้น (Class Conflict) ในขณะที่กลุ่มทุนต้องการให้รัฐดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยม กลุ่มผู้ใช้แรงงานผลักดันให้รัฐโอนกิจกรรมเศรษฐกิจสำคัญมาเป็นของรัฐ ต่างฝ่ายต่างต้องการรักษาผลประโยชน์กลุ่มของตน

    ✤ เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์เสนอทางเลือกที่สาม อันช่วยให้เกิดการประนีประนอมระหว่างชนชั้น ตามบทวิเคราะห์ของสำนักเคนส์ รัฐมิจำต้องโอนกิจกรรมเศรษฐกิจสำคัญมาเป็นของรัฐ เอกชนยังคงมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคล เพียงแต่รัฐมีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยยึดกุมการจ้างงานเต็มอัตรา (Full Employment) เป็นเป้าหมายหลัก ประชาชนในวัยทำงานทุกคนมีหลักประกันว่าจะมีงานทำ ด้วยแนวความคิดเช่นนี้เองกระบวนทัศน์แบบเคนส์จึงเป็นที่ยอมรับในหมู่นักการเมืองที่เดินสายกลาง

    ✤ การขยายตัวของกระบวนการเคนสานุวัตรสู่โลกที่สาม มิใช่ด้วยอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากยังเป็นเพราะอิทธิพลของสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การพัฒนา (Development Economics) ด้วย ภายหลัง Keynesian Revolution จวบจนทศวรรษ 1967 ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การพัฒนามีพื้นฐานจากกระบวนทัศน์แบบเคนส์

    ✤ เริ่มด้วยทฤษฏีที่เรียกว่า Harrod-Domar รวมตลอดจนบทวิเคราะห์ว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาที่สมดุล (Balanced Growth) ซึ่งนำเสนอโดยแรกนาร์ เนิร์กเซ (Ragnar Nurkse) หรือยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ไม่สมดุล (unbalanced growth) ซึ่งนำเสนอโดยอัลเบิร์ต เฮิร์ชแมน

    ✤ ทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจเหล่านี้ ล้วนแต่ให้ความสำคัญแก่บทบาทรัฐในการวางแผนพัฒนาและการลงทุนสร้างโครงข่ายพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Infrastructure) อิทธิพลของทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจก่อนทศวรรษ 1977 จึงมีนัยเกี่ยวพันกับกระบวนทัศน์แบบเคนส์

    ✤ การเติบโตของกระบวนการเคนสานุวัตร (Keynesianization) ก่อให้เกิดการตกผลึกของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบเคนส์ จนกลายเป็น Keynesian Consensus หรือ *ฉันทมติว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบเคนส์* ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่อย่างน้อย 9 ประการ คือ

    ❶ Keynesian Consensus ให้ความสำคัญแก่บทบาทของรัฐในด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เนื่องจากความล้มเหลวของกลไกราคาในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ เงินฝืด และการว่างงาน ในเวลาต่อมา Keynesian Consensus ได้ขยายการให้ความสำคัญแก่บทบาทของรัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดการจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนให้มี Big Government หรืออีกนัยหนึ่งส่งเสริมให้ภาครัฐมีขนาดใหญ่ขึ้น ด้วยเหตุนี้ เศรษฐทรรศน์แบบเคนส์จึงถูกตีตราว่าเป็นพวก *รัฐนิยม* (Statism)

    ❷ Keynesian Consensus มิได้ต้องการให้มีการวางแผนจากรัฐบาลกลาง (Central Planning) เข้าไปแทนที่กลไกราคาในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจใน *รัฐแบบเคนส์* (Keynesian State) กลไกราคายังคงมีบทบาทสำคัญในการจัดสรรทรัพยากร เพียงแต่เศรษฐทรรศน์แบบเคนส์ไม่เชื่อประสิทธิภาพของกลไกราคาในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้

    ● พัฒนาการของเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ก่อให้เกิดการวางแผนแบบชี้นำ (Indicative Planning) ซึ่งแตกต่างจากระบบการวางแผนชนิดบังคับ (Imperative Planning) ดังที่ใช้กันในประเทศคอมมิวนิสต์ ภายใต้ระบบการวางแผนแบบชี้นำ รัฐเพียงแต่ชี้นำทิศทางของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยที่รัฐลงทุนสร้างโครงข่ายพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Infrastructure) พร้อมทั้งกำหนดนโยบายไปในทิศทางที่กำหนด แล้วปล่อยให้เอกชนเป็นฝ่ายตัดสินใจลงทุน ระบบการวางแผนแบบชี้นำจึงเป็นกลไกแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เป็นทางสายกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างกลไกราคากับระบบการวางแผนแบบังคับ

    ● อิทธิพลของเศรษฐทรรศน์แบบเคนส์ ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตก โดยฉพาะอย่างยิ่งสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสยอมรับระบบการวาลแผนแบบชี้นำเท่านั้น หากทว่าระบบนี้ยังแพร่ระบาดไปสู่โลกที่สามอีกด้วย พัฒนาการของทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจในเวลาต่อมากำหนดแนวทางการชี้นำอย่างน้อย 2 แนวทาง แนวทางแรกว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบสมดุล (Balanced Growth) แนวทางที่สองว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบไม่สมดุล (Unbalanced Growth)

    ❸ Keynesian Consensus กำหนดให้การจ้างงานเต็มอัตรา (Full Employment) เป็นเป้าหมายหลักของนโยบายเศรษฐกิจมหภาค การแก้ปัญหาการว่างงานถือเป็นหน้าที่พื้นฐานของรัฐบาล หากประชาชนที่อยู่ในวัยทำงานมีงานทำทุกคน ย่อมมีหลักประกันขั้นต่ำว่าประชาชนจะมีมาตรฐานการครองชีพพ้นจากระดับพอประทังชีวิต และปัญหาความยากจนได้รับการเยียวยาในระดับหนึ่ง

    ● นอกจากหน้าที่ในการรักษาแก้ปัญหาความยากจนแล้ว รัฐยังมีหน้าที่จัดสรรสวัสดิการให้แก่คนว่างงานและคนยากจน Keynesian Consensus มีความเชื่อว่า ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ (Economic Egalitarianism) มิได้ขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

    ● ตรงกันข้ามกลับเกื้อกูลการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สภาวการณ์ที่ระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มอัตราเกื้อกูลการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Development) เมื่อประชาชนในวัยทำงานมีงานทำทุกคน ย่อมมีหลักประกันในด้านความมั่นคงด้านอาหาร (Food Security) อย่างน้อยที่สุดมีอาหารสำหรับการประทังชีวิต มีรายได้พอเพียงในการแสวงหาสิ่งจำเป็นพื้นฐาน (basic need) และสามารถได้มาซึ่งบริการการศึกษาและบริการสุขภาพอนามัย ซึ่งล้วนแล้วแต่เกื้อกูลการพัฒนาเศรษฐกิจ Keynesian Consensus ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการจ้างงานเต็มอัตราเหนือกว่าเป้าหมายเสถียรภาพราคา (Price Stability)

    ● กระนั้นก็ตาม เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ตระหนักดีถึงมหันตภัยอันเกิดจากภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืด เพียงแต่จัดลำดับความสำคัญรองจากเป้าหมายการจ้างงานเต็มอัตรา

    ❹ Keynesian Consensus ถือว่า งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือของนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ดังนั้นจึงมิได้ยึดถือความสมดุลของงบประมาณเป็นสรณะ งบประมาณแผ่นดินจะมีลักษณะเช่นไรก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องแก้ไข ในยามที่มีภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการว่างงานอยู่ในระดับที่สูง รัฐบาลอาจต้องใช้นโยบายงบประมาณขาดดุล ในกรณีตรงกันข้าม หากระบบเศรษฐกิจเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ รัฐบาลอาจต้องใช้นโยบายงบประมาณเกินดุล

    ❺ Keynesian Consensus มีความเชื่อว่า การลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดการออม เมื่อการลงทุนขยายตัว การลงทุนใหม่ย่อมนำมาซึ่งโรงงานใหม่และเครื่องจักรใหม่ โรงงานและเครื่องจักรใหม่ย่อมเป็นผลผลิตของเทคโนโลยีใหม่ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ฝังตัวอยู่ในโรงานและเครื่องจักรใหม่ (Embodied Technology) ย่อมเพิ่มพูนประสิทธิภาพการผลิต ผลก็คือ ผลผลิตและรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจนำมาซึ่งเงินออม ทั้งในภาคธุรกิจเอกชนและภาคครัวเรือน

    ● ความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนกับการออม เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะที่การลงทุนเป็นเหตุ และการออมเป็นผล บทวิเคราะห์ของสำนักเคนส์ในประเด็นนี้แตกต่างจากสำนักคลาสสิกและนีโอคลาสสิกในขั้นรากฐาน เพราะสำนักคลาสสิกและนีโอคลาสสิกเชื่อว่าการออมเป็นเงื่อนไขจำเป็นของการลงทุน จะมีการลงทุนได้จะต้องมีการออมเสียก่อน เมื่อหน่วยเศรษฐกิจพากันประหยัดมัธยัสถ์จนมีเงินออมเพิ่มขึ้น การออมที่มีมากขึ้นย่อมทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง การลดลงของอัตราดอกเบี้ยช่วยลดต้นทุนของทุน (Cost of Capital) อันทำให้สิ่งจูงใจในการลงทุนมีมากขึ้น

    ● ความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนกับการออม ในทรรศนะของสำนักคลาสสิกและนีโอคลาสสิก เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะที่การออมเป็นเหตุ และการลงทุนเป็นผล

    ● ดังนั้นทั้งสองสำนักจึงเน้นส่งเสริมการออม ในขณะที่สำนักเคนส์เน้นการส่งเสริมการลงทุน ความแตกต่างระหว่างบทวิเคราะห์ทั้งสองนี้มีพื้นฐานจากความแตกต่างที่ว่า สำนักคลาสสิกและนีโอคลาสสิกเน้นการวิเคราะห์ผลทางด้านราคา (Price Effect) ในขณะที่สำนักเคนส์เน้นการวิเคราะห์ผลทางด้านเงินได้ (Income Effect)

    ❻ Keynesian Consensus ให้ความสำคัญแก่นโยบายการจัดการด้านอุปสงค์รวม (Demand Management Policy) ในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เป้าหมายของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคก็คือ การจัดการให้อุปสงค์รวมอยู่ในระดับที่จะก่อให้เกิดการจ้างงานเต็มอัตรา ทั้งนี้จะต้องมีศิลปะในการประสานการใช้เครื่องมือทางการเงินและเครื่องมือทางการคลังอย่างพอเหมาะ แม้ Keynesian Consensus มิได้ดูเบาเครื่องมือทางการเงิน แต่ก็ยังเชื่อว่าเครื่องมือทางการคลังมีประสิทธิภาพในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเหนือกว่าเครื่องมือทางการเงิน ด้วยเหตุดังนี้จึงยึด ลัทธิการคลังนิยม (Fiscalism)

    ❼ Keynesian Consensus เชิดชูระบอบประชาธิปไตยสังคม (Social Democracy) ไม่เฉพาะแต่การเคารพสิทธิ์และเสรีภาพของประชาชน และการกำหนดบทบาทของรัฐในฐานะผู้จัดสรรสวัสดิการสังคมเท่านั้น หากทว่ายังให้ความสำคัญแก่สิทธิแรงงานและการรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานอีกด้วย และมีความเชื่อว่า หากผู้ใช้แรงงานได้รับค่าจ้างในอัตราที่สูง อุปสงค์รวมจะขยายตัวจากการใช้จ่ายของผู้ใช้แรงงาน อันนำมาซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

    ● นอกจากนี้ การที่ผู้ใช้แรงงานรายได้พ้นไปจากระดับความยากจน ย่อมเกื้อกูลต่อการมีสุขภาพอนามัยดี และสามารถพัฒนาทักษะในการงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การยอมรับสิทธิแรงงานและการส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงาน เกื้อกูลให้มีเสถียรภาพทางอุตสาหกรรม (Industrial Stability) และส่งเสริมให้ประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น

    ❽ Keynesian Consensus เชิดชูยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบปิด (Inward Orientation) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มหมู่บ้านกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ การที่กำหนดให้การจ้างงานเต็มอัตราเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายเศรษฐกิจมหภาค การดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบเปิด (Outward Orientation) สร้างปัญหาในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่ายุทธศาสตร์การพัฒนาแบบปิด

    ● สำหรับประเทศที่พึ่งพิงโภคภัณฑ์ขั้นปฐม (Primary Product) เป็นสินค้าออกสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในโลกที่สาม ยิ่งมีความจำเป็นในการดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบปิด เนื่องจากราคาโภคภัณฑ์ขั้นปฐมในตลาดโลกมีความผันผวนอย่างมาก อันเป็นเหตุให้รายได้จากการส่งออกไร้เสถียรภาพ

    ● การชูยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบปิดได้รับการสนับสนุนเนื่องจากผลการศึกษาของราอูล พรีบิช (Raul Prebisch) และแฮนส์ ซิงเกอร์ (Hans W. Singer) ที่พบว่า ราคาสินค้าขั้นปฐมมีแนวโน้มตกต่ำลงเมื่อเทียบกับราคาสินค้าหัตถอุตสาหกรรม อันรู้จักกันในนาม Prebisch-Singer Terms-of-Trade Hypothesis ด้วยเหตุที่ชูยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบปิดนี้เอง

    ● Keynesian Consensus จึงเลือกยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนการนำเข้า (Import Substitution Industrialization) ซึ่งมีนัยเกี่ยวกับการพึ่งตนเอง แทนการพึ่งสินค้าเข้า ทั้งนี้ด้วยการใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อพัฒนาความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ก่อนที่จะส่งออกเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก

    ● การเลือกใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบเปิดโดยทันทีในทศวรรษ 1947 หรือทศวรรษ 1957 จะทำให้ประเทศในโลกที่สามไม่อาจพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเองได้ เนื่องจากไม่อาจแข่งขันกับสินค้าอุตสาหกรรมจากประเทศที่พัฒนาแล้ว บรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่สนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนการนำเข้าในทศวรรษ 1947 ส่วนใหญ่เห็นว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้เป็นเพียงยุทธศาสตร์ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน (Transitional Period) เพื่อให้ประเทศในโลกที่สามมีโอกาสปรับโครงสร้างการผลิตให้เข้มแข็งเสียก่อน

    ❾ Keynesian Consensus นำเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบทวิลักษณ์ (Dualistic Development) เพื่อแก้ปัญหาการว่างงานแฝง (Disguised Unemployment) ในประเทศด้อยพัฒนา ประเทศในโลกที่สามไม่ได้มีปัญหาการว่างงานที่เปิดเผย (Open Unemployment) ดุจดังประเทศที่พัฒนาแล้ว นโยบายการจัดการอุปสงค์รวมตลอดจนการจ่ายเงินสงเคราะห์การว่างงาน (Unemployment Compensation) ไม่อาจใช้ได้ในประเทศด้อยพัฒนา ภายหลังจากที่โจน โรบินสัน นำเสนอแนวคิดว่าด้วยการว่างงานแฝง อาร์เธอร์ หลุยส์ (W. A .Lewis) ก็นำเสนอแบบจำลองการพัฒนาแบบทวิลักษณ์เพื่อแก้ปัญหานี้

    ● อย่างไรก็ตาม พัฒนาการของเศรษฐศาสตร์การพัฒนาในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนจุดเน้นของยุทธศาสตร์การพัฒนาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างงานมาเน้นการแก้ปัญหาความยากจนและการจัดสรรสิ่งจำเป็นพื้นฐาน (Basic Needs) ซึ่งผลงานพื้นฐานของดัดลีย์ เซียร์ส (Dudley Seers) และพอล สตรีตเตน (Paul Streeten) ทั้งแบบจำลองการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์และแบบจำลองสิ่งจำเป็นพื้นฐานมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของประเทศในโลกที่สามในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบจำลองทั้งสองสอดคล้องกับปรัชญาพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ในข้อที่เน้นบทบาทของรัฐ

    Credit : https://en.wikipedia.org/wiki/Keynesian_Revolution

    Credit : https://en.wikiquote.org/wiki/Keynesian_Revolution

    Credit : https://en.wikipedia.org/wiki/Military_Keynesianism
    https://www.facebook.com/profile.php?id=100004278316916&fref=ts
     
  11. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Richard Whitt

    Monograph : อสูรกายร้ายแห่งอเมริกา Central Planners : Chapter 2

    ✤ วิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา มีเรื่องนึงที่น่าสนใจมาก แต่คนรู้กลับมีน้อย นั่นก็คือ ทองคำสำรอง 8,000 Metric Ton ของสหรัฐอเมริกา ผมจะเขียนเรื่องนี้ในอีกมุมมองหนึ่งซึ่งคุณอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่สิ่งนี้อาจจะทำให้คุณเกิดมุมมองใหม่ แล้วเห็นอะไรชัดเจนขึ้น

    ✤ บทความของสำนักคิดทางสังคมศาสตร์ในทัศนะของ นักทฤษฎี นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ หลาย ๆ ท่านที่เขียนถึง Fundamental หรือจะเรียกว่าโครงสร้างพื้นฐาน แต่ผมจะเรียกง่าย ๆ ว่า *ใส้ใน* ของสหรัฐอเมริกาก็เแล้วกัน

    ✤ หนึ่งในความเชื่อมั่นที่โลกนี้มีต่อสหรัฐอเมริกาก็คือ ทองคำสำรอง 8,000 Metric Ton ที่สหรัฐอเมริกา *ไม่เคย* อ้างว่าถือครองอยู่ แต่ทั่วโลกกลับยึดถือตัวเลขนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก

    ✤ แต่ถ้าลองศึกษาประวัติศาสตร์การกำเนิดของ The Federal Reserve System หรือ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ในค.ศ. 1912 - 1913 และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นมาจนถึง ค.ศ.1928 - 1932 คือช่วงปีที่เกิด The Great Depression เลยไปจนถึงอีกช่วงหนึ่งคือ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในค.ศ.1939 - 1945 ในด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ทำให้เข้าถึงข้อมูลบางอย่างซึ่งทั้งหมดคือ เรื่องเดียวกันและต่อเนื่องกันคือ

    ✤ ทองคำจำนวน 8,000 Metric Ton นี้ *อาจจะ* ยังอยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่ความจริงคือ เจ้าของ *ไม่ใช่* รัฐบาลสหรัฐอเมริกา หรือประเทศอเมริกา

    ✤ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ความเป็นมหาอำนาจของโลกถูกเคลื่อนมายังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มทุนเดิมคือกลุ่มนายธนาคารสากล หรือ International Banker ที่มีฐานอยู่ในประเทศอังกฤษ และยุโรปเกือบทั้งหมดครับ จนกระทั่งในช่วง Christmas ของ ค.ศ.1913 สหรัฐอเมริกาผ่านกฏหมาย Federal Reserve Act ก็คือการจัดตั้ง

    ❶ The Central lntelligence Agency (CIA)

    ❷ The Federal Reserve System‍

    ❸ The Internal Revenue Service (IRS)

    ✤ ในคราวเดียวกัน องค์กรทั้ง 3 นี้ถูกจัดตั้งขึ้นมา โดยการยัดเยียดจากกลุ่มนายธนาคารสัญชาติยุโรปเหล่านั้น

    ✤ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สหรัฐอเมริกา เข้มแข็ง และยิ่งใหญ่ในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การคลัง และเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่หลังจากการจัดตั้ง Federal Reserve ขึ้นมาเป็น *กาฝาก* ในระบบการเงินและเศรษฐกิจแล้ว *หายนะ* ทั้งหลายก็เริ่มก่อตัวขึ้น เพราะจุดประสงค์จริง ๆ ของนายธนาคารสัญชาติยุโรปเหล่านั้นก็คือ การเข้ายึดครองระบบเศรษฐกิจ การเงิน และประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด

    ✤ กลุ่มนักธุรกิจการเมืองทำสำเร็จ โดยการควบคุมระบบการเงินการธนาคารซึ่งเปรียบได้กับเส้นเลือดใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาโดยรวม โดยมีการควบคุมปริมาณเงินและดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือ และด้วยสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาและของโลกนั่นก็คือ The Great Depression ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาอยู่ในสภาวะล้มละลายทางงบประมาณและการคลัง

    ✤ ในสภาพเดียวกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ *แต่ทองคำสำรองยังมีอยู่ในมือ ณ ขณะนั้น* เช่นเดียวกัน การที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้ ต้องกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาล เพื่ออัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หรือที่ถูกเรียกว่า The New Deal คำถามคือ เงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นมากจากไหน ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเองเป็นมหาอำนาจใหม่ และถือครองทองคำมากที่สุดในโลก

    ✤ คำตอบก็ Federal Reserve นั่นเอง การจัดตั้ง Federal Reserve ในทางกฏหมายแล้วไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐ หรือเป็นหน่วยงานของรัฐ เพียงแต่ให้ *บริษัทเอกชน* แห่งนี้มีหน้าที่ควบคุมดูแลการจัดพิมพ์ธนบัตร กระแสเงินสด และดอกเบี้ย ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้งหมดนี้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสามารถที่จะทำเองได้ทั้งหมดเหมือนนา ๆ ประเทศ เช่นประเทศไทยเป็นต้น แต่การผ่าน Federal Reserve Act ในครั้งนั้นอย่างที่บอกว่าเป็นการ *ยัดเยียด* โดยสิ้นเชิง โดยความร่วมมือระหว่างนายธนาคารข้ามชาติ และนักการเมืองที่ถูกกว้านซื้อในรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา (The United States Congress)

    ✤ หลังจากการที่ใช้เงินกู้จาก Federal Reserve แล้ว ก็ต้องใช้คืนเค้าสิก็คือ ทองคำทั้งหมดที่สหรัฐอเมริกานั่นแหละ ที่ราคา 35 Dollar / Ounce และขั้นตอนทั้งหมดก็ถูกควบคุมโดย Federal Reserve นักการเมือง และประธานาธิบดีในสมัยนั้นก็คือ *ทองหมด*

    ✤ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ที่ไปเอาตัวเลขเหล่านี้มา ยกมาได้แต่ในความเป็นจริง ทองคำเหล่านี้ซึ่ง *อุปโลกน์* ว่ายังมีอยู่ และเก็บอยู่ที่ Fort Knox ไม่ได้มีการ Audit หรือตรวจสอบจากหน่วยงานใด ๆ แม้แต่หน่วยงานเดียวของโลกตั้งแต่ ทศวรรษที่ 50 เป็นต้นมา แต่กลับมีทองคำสำรองเก็บไว้จำนวนมหาศาลที่ สำนักงานของ Federal Reserve สาขา New York ซึ่งก็คงมีคนจำนวนมากที่สงสัยแต่ใครล่ะจะไปถาม นั่นคือประเด็นมากกว่า

    ✤ หลังจากที่หมดตัวแล้ว สหรัฐอเมริกาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด เพราะครั้งที่แล้วที่ร่ำรวยมาได้ก็เพราะสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะฉะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือ *คำตอบ* ของปัญหาเป็นแบบ *Win Win Solution* คือ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ คือสหรัฐอเมริกา ก็ได้ทำมาหากินฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสงคราม ฮิตเล่อร์ก็ได้ลุ้นทวงตำแหน่งคืน พวก Zionist Banker เหล่านี้ก็ได้ปล่อยกู้ทั้ง 2 ฝ่าย

    ✤ โดยที่กลุ่มธนาคารกลางยุโรปก็คือ กลุ่มเดียวกันที่เป็นเจ้าของ Federal Reserve สนับสนุนเงินทุนให้ฮิตเล่อร์ทั้งหมดในการเคลื่อนไหวในยุโรป เพื่อช่วยฮิตเล่อร์ทวงสิ่งที่พวกเค้าสูญเสียไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 คืนมา และนี่ก็คือจุดกำเนิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่จะให้เป็นสงครามโลกได้อย่างไหร่ ถ้าแค่พรรคนาซีเยอรมันรบกับสหรัฐอเมริกา

    ✤ ในอีกฟากโลกหนึ่งคือ Asia - Pacific ญี่ปุ่นบุกโจมตีสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับ แต่อะไรที่ทำให้ให้ญี่ปุ่นตัดสินใจบุกสหรัฐอเมริกา ซึ่งน้อยคนที่จะทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไม *ตัวหมัดถึงกล้าลุกไปต่อยกับช้าง* ก็เพราะสหรัฐอเมริกาเจ้าเก่าแทรกซึม และบ่อนทำลายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างย่อยยับก่อนครับ ซึ่งทั้งหมดก็คือแผนการที่ถูกวางไว้ก่อนแล้ว จนปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ผลักดันให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด

    ✤ ทั้งหมดนี้คือ เรื่องราวหรือประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มต่าง ๆ และเก็บอยู่ในห้องสมุดที่หาอ่านได้ทั่วไป หรือแม้ในกระทั่ง Social Media

    ✤ ยังมีโศกนาฏกรรม (Tragedy) อีกมากมายที่ก่อขึ้นโดยคนกลุ่มนี้หรือ International Banker ตั้งแต่ค.ศ. 1913 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม การลอบสังหารบุคคลสำคัญต่าง ๆ การล้มสหรัฐอเมริกาในรอบแรกด้วย *หนี้* โครงการ Star Wars โครงการอวกาศต่าง ๆ ทั้งหมดถูกจัดฉากขึ้นเพื่อให้สหรัฐอเมริกา *กู้เงิน* ให้มากที่สุด

    ✤ สุดท้ายก็จบลงด้วยการจ่ายหนี้คืนด้วย *ความเป็นเอกราช* ของสหรัฐอเมริกาทั้งหมด ลองเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเปรียบเทียบหรือเรียงต่อกับสิ่งที่สหรัฐอเมริกากำลังประสบอยู่ในขณะนี้ คุณก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของ Federal Reserve ที่จะทำให้ถึงทางตันในอนาคต

    ✤ แล้วคุณจะเห็นว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาและคนอเมริกัน ไม่ได้มีความหมายหรือมีคุณค่าใด ๆ เลย สำหรับกลุ่มทุนระดับโลกเหล่านี้ ซึ่งเคลมตัวเองว่าเป็น ยิว *ปลอม* จากทวีปยุโรป หรือที่เรารู้จักในชื่อ Neo-Zionism สำหรับคนอเมริกันนอกจากการมีชีวิตอยู่ หาเงินเพื่อจ่ายภาษี และประสบชะตากรรมในสิ่งที่กำลังจะมาถึง

    ✤ ถ้าคุณเข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้ คุณคงจะมองเห็นแล้วว่าทำไมผมถึงกล้า *ฟันธง* ว่าประเทศสหรัฐอเมริกาต้อง *ล้ม* ชะตากรรมคนอเมริกันจะเป็นอย่างไร แล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง คงไม่ต้องถามผมเพราะคุณก็คงตอบคำถามเหล่านี้ได้ด้วยตัวคุณเอง

    ✤ แต่ปัญหาก็คือมันไม่ได้จบอยู่แค่ในสหรัฐอเมริกา เพราะผลกระทบจะเปรียบเสมือนคลื่น Great Tsunami ที่จะกระแทกใส่ทุกประเทศทั่วโลกอย่างรุนแรง และร้ายแรงกว่าครั้งไหน ๆ ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเงินโลก และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร คุณคงจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้กับตัวคุณเอง

    ✤ ขณะที่คุณรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว ยังมีคนอีกหลายพันล้านคน ที่ยังคิดว่าสหรัฐอเมริกา *ล้มไม่ได้* เพราะมีทองคำตั้ง 8,000 Metric Ton คุณลองเอาตัวเลข 8,000 Metric Ton ตั้งแล้วคูณด้วยราคาทองคำ ณ ปัจจุบันที่ $1,400 ก็คือ 8,000 Metric Ton x 1,000 kilogram x 32.15 / Ounce = 257,200,000 Ounce x $1400 = $360,080,000,000 หรือ 360.08 Billion US Dollar

    ✤ ในขณะที่หนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 17 Trillion ณ ปัจจุบัน ซึ่งไม่รวมกับหนี้ผูกพันในอนาคตที่คาดว่าจะต้องจ่ายแน่นอน หรือที่เรียกกันว่า Unfunded Liability ซึ่งถ้ารวมเข้าไปแล้วก็จะอยู่ 75 Trillion เข้าไปแล้ว ซึ่งจะทำให้ตัวเลข 360.08 Billion US Dollar แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย

    ✤ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ Federal Reserve เลือกวิธีปั๊มเงินมาจ่ายหนี้ต่าง ๆ ซึ่งก็คงเป็นความตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น และถ้ามองกลับไปตอน The Great Depression ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากตอนนี้ แต่ ณ วันนี้หนักหนาสาหัสกว่ามาก ๆ และถ้าตอนนั้นอเมริกาหมดตัวแล้วก็เลือกทางออกด้วยการ *ก่อสงคราม* โลกครั้งที่ 2

    ✤ ในครั้งนี้อเมริกาจะใช้วิธีไหน แล้วกลุ่มมือที่มองไม่เห็นหรือพวก Zionist Banker หวังจะใช้ให้สหรัฐอเมริกาทำอะไร คำตอบง่าย ๆ ก็คือตัวอักษรภาษาอังกฤษ 3 ตัวเท่านั้นก็คือ NWO : New World Order (Conspiracy Theory) นั่นเอง

    Credit :

    https://www.facebook.com/profile.php?id=100004278316916&fref=ts
     
  12. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Richard Whitt

    Monograph : ร้อยรสบทละครมายาของ Central Planners : Chapter 3

    ● Central Planners ครองโลกผ่านการสร้างมายาให้มนุษย์ติดกับดัก คือ

    ● มายาประชาธิปไตย

    ● มายาเงินกระดาษ

    ● มายาความรู้

    ● มายาความบันเทิง

    ● มายาประชานิยม

    ❶ มายาประชาธิปไตย คือ ให้เรารู้สึกดีกับการได้ไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง เพื่อเลือกผู้แทนหรือผู้นำและรัฐบาล โดยคิดว่าผู้นำหรือรัฐบาลเป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ของเรา แต่ที่จริงแล้วหลังจากเราหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้ว เราเป็นทาสพวกเขาทันที

    ● ผู้นำ และรัฐบาล นอกจากจะแสวงหาผลประโยชน์ตัวเองแล้ว ยังรับใช้ Central Planners โดยที่รู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม ผ่านระบบของการควบคุมที่ได้วางเอาไว้ และพัฒนามาหลายศตวรรษแล้ว และผ่านมายาความเชื่อในวิถีของ ความร่ำรวย ระบบการเงิน ระบบวาณิชธนกิจ (Investment Banking) กลไกตลาดการเงิน ตลาดทุน ระบบการค้า ระบบ Digital ระบบ Information Techonology ธรรมเนียมปฏิบัติ องค์กร หรือสถาบันต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมอำนาจของ Central Planners

    ● มายาประชาธิปไตยถูกสร้างขึ้นมาอย่างเหนี่ยวแน่น จนกระทั่งอะไรที่ขัดกับประชาธิปไตยจะเหมือนคนนอกศาสนา ต้องถูกไล่ออก ทั้ง ๆ เป็นที่แน่ชัดว่าเบื้องหลังประชาธิปไตยก็คือ เผด็จการภายในและเผด็จการภายนอก ของ Central Planners ที่คุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง

    ● ก่อนหน้าที่จะมีประชาธิปไตยประเทศไทย และประเทศต่าง ๆ ส่วนมากในโลกอยู่อย่างมีเสถียรภาพดี พอเริ่มมีประชาธิปไตยก็เริ่มมีความขัดแย้ง และการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ อำนาจอธิปไตย และที่สำคัญที่สุดจิตวิญญาความเป็นประเทศ ความเป็นชาติ

    ❷ มายาเงินกระดาษ (Fiat Money) คือ ให้เราเชื่อว่ากระดาษที่สมมุติว่าเป็นเงินมีค่าทั้ง ๆ ที่มันเป็นเพียงเศษกระดาษที่ไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่ารัตนชาติ (Gemstone)

    ● นาย John Pierpont "J. P." Morgan ผู้ก่อตั้ง JP Morgan Chase Bank บอกว่าทองคือ เงินที่แท้จริง ที่เหลือคือเครดิต *Gold is money All else is Credit* แต่การสร้างภาพมายาที่ผ่านมาทำให้เราหลงเชื่อว่าเงินกระดาษมีค่า ส่วนทองเป็นแค่โลหะสีเหลืองธรรมดา ทั้ง ๆ ที่ทองเป็นของมีค่า เป็นเงินที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาหลายพันปีแล้ว

    ● ที่จริงเงินกระดาษคือ สัญญาของผู้ออก รัฐบาลหรือธนาคารกลางที่จะจ่ายอะไรบางอย่าง Promissory Notes เช่นเงิน Gold , Silver หรือรัตนชาติ (Gemstone) ในกรณีที่คนถือเงินกระดาษไม่ต้องการถืออีกต่อไป สามารถมาแลก Gold หรือ Silver ได้

    ● แต่ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ พวก Central Planners จะมีการพิมพ์เงินกระดาษมากกว่าเงิน หรือทองที่สำรองเอาไว้เสมอ พอมีคนมาขึ้นทองมาก ๆ ก็ไม่จ่ายตลอด ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) และความเสียหายต่อระบบการเงิน แต่ผู้คนหรือชาวโลกก็ไม่เคยเข็ดหลาบ เพราะว่าระบบโดนควบคุมจนทำให้หลงติดกับดัก เจ๊งไปแล้ว ก็กลับไปให้โดนหลอกซ้ำซาก

    ● ขณะนี้เงินกระดาษพัฒนามาเป็นเงิน Digital อยู่ในรูป Cyber คนที่คุมเงิน Digital ยิ่งมีอำนาจมหาศาล เพราะสามารถสร้างเงิน Digital ได้ไม่จำกัด เพื่อแลกทรัพยากรที่มีค่าของโลกได้ การทำ (Quantitative Easing) หรือ QE ของ The Federal Reserve คือ การสร้างเงิน Digital จากความว่างเปล่า แต่มนุษย์โลกก็หลงเชื่องมงาย เพราะติดกับดักในระบบ Matrix นั่นเอง ธนาคารแห่งประเทศไทย และระบบการเงินไทยก็ติดหล่มในระบบนี้

    ❸ มายาความรู้ คือ การควบคุมความรู้ให้เรารู้อะไร ไม่รู้อะไร ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจจะเจริญก้าวหน้าจนไปถึงดวงจันทร์ ดาวอังคาร และออกจากระบบสุริยะจักรวาล แต่ไม่ได้ทำให้เราไม่ตกเป็นทาสมายาความรู้

    ● ความรู้ที่บิดเบือนไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์การเมือง สังคม ตลาดหลักทรัพย์ วาณิชธนกิจ การเงิน ศาสนา ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี ฯลฯ เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) เป็นหนทางออกของโลก แต่จะถูกกดและละเลยไม่ให้มีการเรียนการสอน แต่ให้มีการสอนว่าทุนนิยมการเงินเป็นวิถีของความร่ำรวยของโลก ทั้ง ๆ ที่ทุนนิยมการเงินเป็นเผด็จการที่ควบคุมประเทศต่าง ๆ ให้อยู่ใต้อาณัติ ความรู้เรื่องธรรม (Dharmma) ถูกบดบังโดยกำไร - ขาดทุน ความโปร่งใสทางการเมือง (Political Transparency) และธรรมาภิบาล (Governance)

    ❹ มายาความบันเทิง คือ ทำให้เรารื่นเริงหลงกับอบายกับความสุกสนานจนลืมรากเหง้าของตัวเอง จนลืมหน้าที่ที่แท้จริง *Hollywood* สร้างความหลงให้เรา จะให้ใครเป็นพระเอกก็ได้ จะให้ใครเป็นผู้ร้ายก็ได้ เช่น ผู้ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของประเทศตัวเองกลายเป็นผู้ก่อการร้าย ในขณะที่ผู้บุกรุกเพื่อยึดทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นผู้ปลดปล่อย หรือพระเอกอินเดียนแดงเจ้าของประเทศกลายเป็นผู้ร้าย เพราะทำสงครามเพื่อปกป้องดินแดน ผู้บุกรุกฆ่าอินเดียนแดงจนจะหมดเผ่าพันธุ์ กลายเป็นพระเอกเพราะกำลังนำความเจริญมาให้

    ❺ มายาประชานิยม คือ มีไว้เพื่อให้คนหมู่มากมีความหวังว่าจะได้รับเงิน รับการดูแลตลอดไปจากนักการเมือง หรือรัฐบาล เลยต้องเลือกกลุ่มเดิม ๆ เข้าไปมีอำนาจ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีนักการเมืองใด หรือรัฐบาลใดจะให้ประชาชนได้ตลอดกาล เพราะเงินที่จะให้มาจากภาษีอากร การใช้เงินล่วงหน้า สัญญาไปสัญญามาทำไม่ได้ เช่น โครงการจำนำข้าว โครงการประกันราคายาง เป็นต้น หรือโครงการล้วงเงินคลังหลวง เพราะทำเกินตัวไปหมด

    ● ให้ดูรัฐบาลในโลกตะวันตกเป็นตัวอย่าง ล้มละลายทางบัญชีไปหมดแล้ว จากประชานิยมของระบบประกันสังคม และระบบประกันสุขภาพ หรือรัฐสวัสดิการ เพราะโดนภาวะเงินเฟ้อจากระบบการเงินกระดาษกินอีกต่อ มีเงินมากเท่าใดก็ไม่เคยพอกับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าเสมอ เงินเฟ้อกัดกินหมด เมื่อระบบพังต่างก็โทษกันไปมาทั้ง ๆ ที่ระบบถูกวาง ถูกกำหนดให้พังอยู่แล้ว ตามสูตรของการทำลายเพื่อการควบคุมของ Central Planners

    ● เราจะออกจาก Matrix of Power ของ Central Planners ได้ด้วยการกลับไปหารากเหง้าของเรา คือตั้งมั่นใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

    ❶ ต้องชนะมายาประชาธิปไตยด้วยระบอบกษัตริย์ของเรา และธรรมาธิปไตยและสังคมธรรมาธิปไตย

    ❷ ต้องชนะมายาเงินกระดาษด้วยเงินที่หนุนด้วยทอง เงิน หรือทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่า ไม่ใช่เชื่อในเงินกระดาษเปล่า ๆ เลิกระบบหนี้ Debt Based System

    ❸ ต้องเอาชนะมายาความรู้ด้วยวิทยาการ หรือวิชาการของเราที่เราพัฒนาเอง อะไรที่เรียนรู้จากเขาได้ ก็เรียนแต่ไม่ให้เชื่อหมด เหมือนอย่างที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 ทรงสั่งสอนเรา

    ❹ ต้องชนะมายาความบันเทิงด้วยความรู้ที่แท้จริง ทั้งทางโลก และทางธรรม

    ❺ ต้องชนะประชานิยม หรือรัฐสวัสดิการที่จะทำลายฐานะการคลัง และความมั่นคงของประเทศด้วยระบบพอเพียง ความเกื้อกูลกัน ทานบารมี เมตตาบารมีทั้งหลาย
    https://www.facebook.com/profile.php?id=100004278316916&fref=ts
     
  13. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ทรัมป์บอกว่าอยากเจอกับคิมน้อยตัวต่อตัว ดูเตอร์เต้บอกว่าคงจะไปเยือนทำเนียบขาวตามคำเชิญของทรัมป์ไม่ได้แล้วหละ เพราะตารางไม่ว่างเลย จำเป็นต้องไปเยือนรัสเซียก่อน ฮิ้วววว เกาหลีใต้บอกว่าเกาหลีเหนือจงใจทำให้การทดลองขีปนาวุธครั้งล่าสุดล้มเหลว
    ----------

    1.) วันที่ 1 พ.ค.60 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "ทรัมป์บอกว่าจะเป็นเกียรติมากที่จะได้พบกับคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ" (Trump Says He 'Would Be Honored' to Meet With N Korea's Leader Kim Jong Un)

    ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg นั้นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันจันทร์นี้ว่า ตนเองกำลังพิจารณาการพบกับประธานาธิบดีคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ "ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกต้อง" (under the right circumstances) แถลงการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่ทั้งสองประเทศกำลังมีความตึงเครียดต่อกัน

    "จะเป็นความเหมาะสมสำหรับผมที่จะพบกับเขา... จะเป็นเกียรติมากที่ได้ทำอย่างนั้น หากว่ามันอยู่ภายใต้ อีกครั้งนะครับ อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกต้อง แต่ผมก็จะทำอย่างนั้น" (If it would be appropriate for me to meet with him…I would be honored to do it. If it's under the, again, under the right circumstances. But I would do that.) ทรัมป์กล่าวกับสำนักข่าว Bloomberg

    ทรัมป์ระบุอย่างชัดเจนว่านี่เป็นแถลงการณ์แบบไม่ปรกติสำหรับนักการเมืองตะวันตก "พวกนักการเมืองส่วนมากจะไม่มีทางพูดเช่นนี้ แต่ผมกำลังบอกคุณ (ว่า) ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกต้องผมจะพบกับเขา" ทรัมป์กล่าว และเน้นย้ำอีกครั้งว่า สถานการณ์ต่างๆอาจจะมีบทบาทสำคัญในการพบกันครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างผู้นำทั้งสอง

    อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้ประกาศว่า สถานการณ์แบบไหนหมายถึง "สถานการณ์ที่ถูกต้อง" ตามที่เขาพูดถึง

    อ้อ… วันที่ 4 สิงหาคม 2009 อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน สามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของนางฮิลลารี่ คลิตตัน และกิ๊กของน.ส. Monica Lewinsky ได้เดินทางไปพบกับอดีตประธานาธิบดีคิม จอง-อิล (Kim Jong-il) ผู้นำเกาหลีเหนือในสมัยนั้นมาแล้ว เพื่อเจรจาให้ทางการเกาหลีเหนือปล่ยอตัวนักข่าวหญิงชาวอเมริกันสองคน และเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ

    Fox News ของสหรัฐรายงานว่า เกาหลีเหนือกล่าวหาว่านักข่าวทั้งสองคนแอบเข้าไปในประเทศเกาหลีเหนือโดยผิดกฎหมาย และปฏิบัติตนในลักษณะที่เป็นศัตรู (ต่อเกาหลีเหนือ) และศาลสูงสุดของเกาหลีเหนือได้พิพากษาลงโทษให้ไปใช้แรงงานหนักเป็นเวลา 12 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน (ในปีนั้น?)

    [พวกนี้อ้างเสรีภาพของตนเองเรียกร้องให้คนอื่นทำตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่แอบส่งสายลับเข้าไปในบ้านคนอื่นอย่างผิดกฎหมาย พอถูกจับได้และลงโทษ ก็โวยวายว่าถูกรังแก - ผู้แปล]

    2.) วันที่ 1 พ.ค. 60 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "ดูเตอร์เต้แห่งฟิลิปปินส์กล่าวว่าอาจะยุ่งเกินไปที่จะพบกับทรัมป์" (Philippines' Duterte Says May Be Too Busy to Visit Trump) [เล่นตัวอีกหละ ไม่ธรรมดาจริงๆนะคนนี้ - ผู้แปล]

    ประธานาธิบดีโรดิโก้ ดูเตอร์เต้ แห่งฟิลิปปินส์กล่าวเมื่อวันจันทร์นี้ว่า ตนเองอาจจะยุ่งมากๆที่จะรับคำเชิญจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐให้ไปเยือนทำเนียบขาว เพราะว่าติดพันกับการเดินทางไปที่อื่น

    เมื่อวันเสาร์นี้ทำเนียบขาวกล่าวว่าระหว่างการสนทนากันทางโทรศัทพ์นั้น ทรัมป์ได้เชิญดูเตอร์เต้ให้ไปเยือนกรุงวอชิงตัน (เพื่อพูดคุยปัญหาเกาหลีเหนือ และเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ดูเตอร์เต้ขู่ว่าจะถีบกองทัพสหรัฐออกไปจากแผ่นดินฟิลิปปินส์ เพราะว่าสหรัฐให้การสนับสนุนด้านอาวุธให้กับพวกกบฏแบ่งแยกดินแดนในฟิลิปปินส์)

    "ผมไม่สามารถให้คำสัญญาใดๆที่ชัดเจนได้" ปธน.ดูเตอร์เต้กล่าว อ้างโดยหนังสือพิมพ์ The New York Times ของสหรัฐ "ผมจะต้องไปรัสเซีย ผมจะต้องไปอิสราเอล" [สะใจ! อุ๊ย… ขออภัยครับ อินไปนิดนุง คริๆ - ผู้แปล]

    3.) ข่าวที่สามจาก Sputnik เจ้าเก่าครับ วันเดียวกันนี้สื่อรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "เกาหลีใต้กล่าวว่า: ความล้มเหลวของขีปนาวุธของกรุงเปียงยางเมื่อวันเสาร์นี้ เป็นการจงใจ" (South Korea: Pyongyang’s Missile ‘Failure’ on Saturday Was Deliberate)

    [เอาอีกหละ... เขาทำสำเร็จก็หวาดกลัว ปอดแหก ตะโกนด่าเขา พอเขาทำไม่สำเร็จก็บอกว่า เขาจงใจทำให้มันล้มเหลว ฝั่งสหรัฐบอกว่าที่ล้มเหลวนั้นอาจจะเป็นฝีมือของแฮ็กเกอร์สหรัฐก็ได้ เอาเข้าไป! - ผู้แปล]

    เมื่อเร็วๆนี้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (DPRK) ได้ทำการทดลองขีปนาวุธ ซึี่งระเบิดระหว่างการร่อนออกไปกลางทางนั้น เป็นการความตั้งใจ (intentional) และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยที่ล้มเหลวเลย เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้กล่าว

    "พวกเราไม่เชื่อว่าการระเบิดกลางอากาศเป็นอุบัติเหตุ" เจ้าหน้าที่รัฐบาล (เกาหลีใต้) คนหนึ่งกล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ของเกาหลีใต้ ฝ่ายเกาหลีใต้เชื่อว่ากุลอุบายนี้ตั้งใจให้เป็นการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งแตกต่างจากพวกที่มีอยู่ เจ้าหน้าที่กล่าวกับ The Korea Times

    [เมื่อวันเสาร์นี้ เกาหลีเหนือได้ปล่อยขีปนาวุธลึกลับ (unidentified missile) ลูกหนึ่งซึ่งยืนยันโดยกองทัพเกาหลีใต้และสหรัฐ ทำความสูงที่ 71 กิโลเมตร ไปไกลได้ประมาณ 18-26 ไมล์ก็เกิดระเบิดเหนือทะเลญี่ปุ่น ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ต่อมาสื่อตะวันตกรายงานว่าน่าจะเป็นขีปนาวุธบอลลิสติกพิสัยกลาง NK-17 ภาคพื้นสู่ภาคพื้น - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    02/05/2560
    ------------
    https://sputniknews.com/politics/201705011053174847-trump-honored-to-meet-kim-jong-un/
    https://www.bloomberg.com/politics/...t-with-north-korea-s-kim-if-situation-s-right
    https://sputniknews.com/politics/201705011053173284-duterte-busy-visit-trump/
    https://sputniknews.com/asia/201705011053177882-pyongyang-intentional-missile-test-failure/
    http://www.reuters.com/article/us-korea-north-idUSSP47880420090804
    http://www.foxnews.com/story/2009/0...il-on-mission-to-win-release-journalists.html
    http://www.japantimes.co.jp/news/20...eeting-north-koreas-kim-jong-il/#.WQeymK79724
     
  14. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ก็เป็นซะอย่างนี้ ปากบอกว่าอยากเจรจา แต่สหรัฐก็ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ B-1B ไปวันวนเหนือคาบสมุทรเกาหลี จากนั้นก็จ้อสื่อว่าเกาหลีเหนือยั่วยุ
    ----------

    วันที่ 2 พ.ค.60 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "เครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ของสหรัฐบินเหนือคาบสมุทรเกาหลี" (US Strategic Bombers Fly Over Korean Peninsula)

    กองทัพอากาศสหรัฐประจำแปซิฟิกรายงานเมื่อวันอังคารนี้ว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ Rockwell B-1B ของสหรัฐได้ทำการบินหลายเที่ยวบินเหนือคาบสมุทรเกาหลีระหว่างการซ้อมรบร่วมกับกองทัพอากาศของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น

    เครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ของสหรัฐสองลำบินออกจากฐานทัพอากาศ Andersen ของสหรัฐในเกาะกวมเมื่อวันจันทร์

    "สหรัฐยังคงดำเนินการปฏิบัติการของเครื่องบินทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจประจำ มุ่งหน้าแสดงศักยภาพในการสนับสนุนความมั่นคงในภูมิภาค และเหล่าพันธมิตรของตนเองในภูมิภาคอินโด-เอเซีย-แปซิฟิก" Lt. Col. Lori Hodge โฆษกของ PACAF กล่่าวกับสำนักข่าว Yonhap ของเกาหลีใต้

    ส่วนอีกข่าวหนึี่ง Sputnik รายงานว่า สหรัฐส่งโดรนสังหาร Northrop Grumman RQ-4 (ในปี 2013 ราคาลำละประมาณ US$131.4 ล้าน หรือราว 4,664,700,000 บาท รวมค่า R&D ด้วยตกที่ US$222.7 หรือประมาณ 7,905,850,000 บาท) ลงจอดที่ฐานทัพชั่วคราวของตนเองในกรุงโตเกียวอ้างเพื่อจับตากิจกรรมของเกาหลีเหนือสื่อท้องถิ่นรายงาน และในอนาคตจะส่งไปเพิ่มอีกประมาณ 4 ลำ

    [ราคาของโครน Northrop Grumman RQ-4 ในปี 2013 ตกลำละประมาณ US$131.4 ล้าน หรือราว 4,664,700,000 บาท รวมค่า R&D ด้วยตกที่ US$222.7 หรือประมาณ 7,905,850,000 บาท เครื่องบินรบ F-35 ยุคที่ห้าของสหรัฐราคาประมาณ $94.6 - S$121.8 ล้าน ส่วนเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ Rockwell B-1B Lancer ราคาในปี 1998 อยู่ที่ US$283.1 ล้าน (ประมาณ 10,050,050,000 บาท) รุ่นนี้ประสบอุบัติเหตุตกและได้รับความเสียหายด้านอื่นๆนับครั้งไม่ถ้วน - ผู้แปล]

    สำนักข่าวกลางของเกาหลีเหนือ (Korean Central News Agency) รายงานว่า โฆษกกองทัพเกาหลีเหนือกล่าวว่า "ฝ่ายเหนือพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะตอบโต้ต่อทุกทางเลือกของสหรัฐ และจะเริ่งมาตรการต่างๆเพื่อเสริมกองทัพนิวเคลียร์ให้เข้มแข็งมากที่สุดอย่างต่อเนื่องและติดต่อกันในทุกขณะและทุกสถานที่โดยท่านผู้นำสูงสุด"

    เมื่อวันจันทร์นี้ ทรัมป์กล่าวกับ Washington Examiner ว่า "เกาหลีเหนือกำลังวัดน้ำหนักกับผม แต่ผมจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด... พวกเราจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อที่จำทำสิ่งที่พวกเราต้องทำ พวกเราไม่สามรถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ คิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือกำลังคุกคามเป็นอย่างมาก กล่าวคือเป็นสิ่งที่เลวร้าย"

    วันเดียวกันนี้ ทรัมป์กล่าวกับสำนักข่าว Bloomberg ว่า "จะเป็นเกียรติมากที่ตนเองจะได้คุยกับท่านผู้นำ คิม จอง-อึน ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกต้อง"

    ส่วนนาย Gen Nakatani สมาชิกสภาผู้แทนของญี่ปุ่นกล่าวว่า การที่รัฐบาลจีนไม่สามารถกดดันให้เกาหลีเหนือยุติโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ของตนเองนั้น ดูเหมือนว่าจะส่งผลให้สหรัฐจะต้องเป็นฝ่ายชิงลงมือโจมตีก่อน

    [นี่ก็กระหายสงครามเหลือเกิน อยู่ดีๆ เบื่อชีวิตแล้วหรือไงครับ? ถ้ามันเกิดขึ้นจริงมันจะแรงกว่าที่นางาซากิและที่ฮิโรชิม่าหลายเท่าเลยนะครับ ชอบนักหรือแบบนั้นหนะ? ตอนนี้เกาหลีเหนือเขามีขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถปล่อยจากเรือดำน้ำได้แล้ว ประสบความสำเร็จในการทดลองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง ญี่ปุ่นอยากลองของบ้างไหมหละ? - ผู้แปล]

    ส่วนนาย Wang Yi รมว.ต่างประเทศของจีนกล่าวแบบตรงไปตรงมาในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่า "กุญแจสำคัญของการแก้ไขปัญหานิวเคลียร์ในคาบสมุทรไม่ได้อยู่ในมือของฝ่ายจีนเลย... มันมีความจำเป็นที่จะต้องเอาการโต้เถียงกันว่าใครควรจะดำเนินการก้าวแรกออกไปวางไว้ข้างๆก่อน และหยุดโต้เถียงกันว่าใครถูกและใครผิด ขณะนี้มันเป็นเวลาที่จะต้องมาพิจารณาการกลับมาเจรจาอีกครั้งกันอย่างจริงจัง"

    [จีนและรัสเซียเสนอให้มีการจัดการเจรจาหกฝ่ายอีกรอบซึ่งหยุดชะงักไปในปี 2009 สหรัฐ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เดินเกมใช้กำลังข่มขู่และกดดันเกาหลีเหนือ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล มีโอกาศที่จะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นอีกรอบไหม? อันนี้ก็ 50-50 ครับ ขึ้นอยู่กับลูกบ้าของทรัมป์ ในอดีตเรือดำน้ำของเกาหลีเหนือเคยจมเรือรบผิวน้ำของเกาหลีใต้มาแล้ว ตึงเครียดยิ่งกว่านี้อีก แต่ก็ไม่เกิดสงคราม

    และเกาหลีเหนือก็เคยยึดเรือรบ-สอดแนมของกองทัพเรือสหรัฐไปได้ลำหนึ่งมีการปะทะกันในระหว่างการเข้ายึด สถานการณ์ตึงเครียดมาก แต่ก็ไม่เกิดสงคราม สิ่งที่เห็นได้ชัดในตอนนี้ก็คือ สหรัฐกำลังหาทางไถตังค์จากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นโดยใช้ข้ออ้าง "ภัยคุกคามจากนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ" เป็นเครื่องมือในการหาเงิน ถ้าเกาหลีใต้ยอมจ่ายเงิน $1,000 ล้านค่าคุ้มครองด้วยระบบขีปนาวุธ THAAD ให้กับทรัมป์ สถานการณ์อาจจะผ่อนคลายลงกว่านี้ก็ได้ - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    02/05/2560
    ------------
    https://sputniknews.com/us/201705021053183995-usa-strategic-bomber-fly-over-korea/
    https://sputniknews.com/asia/201705021053183815-global-hawk-spy-north-korea/
    https://sputniknews.com/asia/201705011053177228-dprk-hints-at-nuclear-test/
    https://sputniknews.com/asia/201705011053175323-us-thaad-korea-operational/
     
  15. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Richard Whitt
    Hot Issue : ข่าวเด่นประเด็นร้อน
    ● นายพอลเครก โรเบิร์ตส์ (Paul Craig Roberts) อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ช่วงปี ค.ศ. 1981 เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ปัจจุบันแปรสภาพตนเองมาเป็นคอลัมนิสต์นักหนังสือพิมพ์ รวมทั้งได้ชื่อว่าเป็นนักต่อต้านสถาบันทางสังคม หรือเป็นพวก Anti-Establishment ตัวฉกาจ
    ● ได้เขียนบทความชิ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2017 ที่ได้จั่วหัวเอาไว้ว่า Washington Plans to Nuke Russia and China หรืออเมริกามีแผนที่จะโจมตีรัสเซียและจีนด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แถมยังอาจเป็นการ *ชิงโจมตีก่อน* (Preemptive Nuclear Attack)
    ● การปลุกระดมด้วยการเขย่าขวัญ สั่นประสาท ชาวอเมริกันและชาวโลก ภายใต้บทความที่ชื่อว่า Washington Plans to Nuke Russia and China ของนายพอลเครก โรเบิร์ตส์ นั้น ในฐานะที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ช่ แถมยังเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ต้องคลุกคลีอยู่กับหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อีกต่างหาก แกคงไม่ได้ถึงกับมั่ว หรือหาแก่นสารประโยชน์อันใดไม่ได้เลย หลายต่อหลายอย่างที่นายพอลเครก โรเบิร์ตส์ หยิบมาใช้เป็นเหตุผล การอ้างอิง หรือเป็นสมมติฐาน ก็ออกจะน่าคิด น่าตระหนักอยู่พอประมาณ
    ● โดยเฉพาะการอ้างอิงถึงคำพูด คำแถลงของรองผู้อำนวยการหน่วยงานความมั่นคงของรัสเซีย พลโท Viktor Poznikhir ในระหว่างการประชุมสัมมนาด้านความมั่นคงที่เรียกว่า Moscow International Security Conference of the Russia Armed Forces เมื่อวันพุธ ที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2017
    ● ปรากฏเป็นข่าวคราวแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งโลกว่า ด้วยการเตรียมความพร้อมของรัสเซีย เมื่อจำต้องเผชิญหน้ากับการนำเอาระบบยิงสกัดขีปนาวุธในบริเวณพิกัดตำแหน่งสูง (Terminal High Altitude Area Defense System) หรือ THAAD
    ● โล่ขีปนาวุธของอเมริกา ที่ถูกพัฒนามาตลอดช่วงระยะ 15 ปี หลังจากที่อเมริกาตัดสินใจฉีกข้อตกลงการจำกัดระบบขีปนาวุธที่เรียกว่า Inter-Mediate-Range Nuclear Force Treaty ระหว่างอเมริกากับสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต นับตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1987 ลงไปเรียบร้อยแล้ว
    ● โดยนำเอาเงินภาษีอากรของชาวอเมริกันมาทุ่มเท พัฒนางานวิจัยให้กับงบประมาณในเรื่องนี้ ไม่ต่ำกว่า 130,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะนำเอาระบบดังกล่าว ไปติดตั้งไว้ในยุโรปเมื่อไม่นานมานี้ รวมทั้งนำไปใช้กับเรือต่อต้านขีปนาวุธที่กระจายอยู่ในท้องทะเลและมหาสมุทรต่าง ๆ
    ● ยุทธวิธีทางทหาร แผนการเตรียมพร้อมและการป้องกันของอสูรกายนักล่า ●
    ● โดยสาระสำคัญของระบบยิงสกัดขีปนาวุธในบริเวณพิกัดตำแหน่งสูง หรือโล่ขีปนาวุธก็คือ การอาศัยจรวดโทมาฮอว์กพิสัยทำการ 1,700 - 2,500 กิโลเมตร บรรจุหัวรบ Trinitrotoluene (TNT) น้ำหนักประมาณ 5-200 กิโลตัน พุ่งขึ้นไปทำลายอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียและจีนได้ทั่วทั้งระบบ หรือทำให้โอกาสที่รัสเซียและจีนจะตอบโต้อเมริกาด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ แทบเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป แล้วส่งผลให้ *สมดุลอำนาจ* ซึ่งเคยเป็นตัวค้ำยัน เป็นตัวควบคุมไม่ให้ *สงครามนิวเคลียร์* มีโอกาสเป็นไปได้ ได้ถูกทำลายลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง หรือทำให้กองทัพอเมริกันสามารถฉวยโอกาส *ชิงโจมตีก่อน* ต่อรัสเซียและจีนด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ได้ทุกเมื่อ โดยไม่ต้องหวาดเกรงต่อการตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น
    Credit : http://www.paulcraigroberts.org/2017/04/27/washington-plans-nuke-russia-china/
    Credit : http://www.zerohedge.com/news/2017-...s-asks-does-washington-plan-nuke-russia-china
    https://www.facebook.com/profile.php?id=100004278316916&fref=ts
     
  16. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ประธานาธิบดีดูเตอร์เต้ของฟิลิปปินส์กล่่าวหลังจากไปเยี่ยมเรือรบของกองทัพเรือจีนที่ไปเยือนฟิลิปปิสต์ว่า เป็นเรือที่ดี พวกเราสามารถที่จะซ้อมรบร่วมกับจีนได้ ผมภูมิใจที่จะได้ล่องทะเลไปกับจีน จากนั้นดูเตอร์เต้ก็บอกว่า ผมไม่ว่างไปพบกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาว เพราะต้องเดินทางไปพบกับปูตินที่รัสเซีย (1 พ.ค.60)
    ------------
     
  17. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    Make America Great Again!… Yep! ดังนั้นพนักงานสาวขายไก่ทอดยี่ห้อ McNuggets จึงขายสินค้าให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบในราคา $25 แถม "เซ็กซ์" ให้ด้วย ที่ฟลอริด้า ในข้อหาขายบริการทางเพศ
    ----------
    https://sputniknews.com/us/201705021053181718-florida-prostitution-chicken-mcnuggets/
     
  18. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ฝรั่งเศส: การก่อจลาจล การใช้ความรุนแรง แก๊สน้ำตา กระบองตำรวจ ระเบิดขวด ทุบทำลายข้าวของชาวบ้านข้างทางและของสาธารณะ และประชาธิปไตยและเสรีภาพแบบตะวันตกมันเป็นของคู่กัน แม้จะได้ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแล้วก็ตาม ความวุ่นวายเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ต่อไป (1 พ.ค.60)
    -----------
     
  19. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    แอร์โดกันไม่สนสหรัฐ แม้ว่าสหรัฐจะส่งทหารไปลาดตระเวนตามแนวชายแดนซีเรีย-ตุรกีในเขตยึดครองของกองกำลังชาวเคิร์ดแล้วก็ตาม โดยบอกว่า จะถล่มพวกเคิร์ดให้หนักกว่าเดิม มีอะไรหรือเปล่า? (1 พ.ค.60)
    -------------
     
  20. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,083
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    เยอรมัน: ตำรวจจับกุมกลุ่มผู้ประท้วงโดยสันติ ประมาณ 40 กว่าคน (เวลาตำรวจต่างประเทศที่ไม่่ใช่กลุ่มอียูและพรรคพวกสหรัฐจับกุมพวกอันธพาลก่อจลาจน พวกนักการเมือง นักสิทธิเติมเงิน ก็จะอ้างว่า "ประท้วงโดยสันติ" เราก็เล่นมุกนี้บ้าง) จากนั้นสภาอียูก็จะดราม่าร่อนจนหมายถึงประเทศนั้นประเทศนี้ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศของตนเอง เงียบกริ๊บ! (1 พ.ค.60)
    -------------

     

แชร์หน้านี้