ธรรมทั้งหลายท่านไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น
และการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น
ตัวท้อปฟูลออปชั่น
นั่นก็คือปล่อยวางตัวตน(ขันธ์ 5)
จึงจะไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ และถึงที่สุดแห่งธรรม
ที่สุดแห่งการปล่อยวางคือ ปล่อยวางตัวตน
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 20 พฤศจิกายน 2019.
หน้า 1 ของ 8
-
-
สิ้นยึดตัวตนคือสิ้นทุกข์
แต่สติปัญญาที่ต้องใช้ในการสิ้นยึดนั้น มันเป็น
เส้นผมบังภูเขา -
ธรรมะทุกธรรมะจากทุกครูอาจารย์
ที่สอนเพื่อนำไปสู่การปล่อยวางตัวตน
(กายสังขารและจิตสังขาร)จะอุปมาอย่างไร
เปรียบเทียบแค่ไหน... มันก็ใช้ได้ทั้ง
หมด
หากยังเจาะจงต้องเป็นของท่านนั้นท่านนี้
เท่านั้น
ก็ย่อมมีตัวเราไปยึดแต่ต้นแล้วฮับ -
นึกว่าลุงบรรลุนิพพานไปตั้งกะปีก่อนนู้นแล้วนะเนี่ยะ ไม่เห็นตั้งทู้แนวนี้มาพักใหญ่
หรือสงสัยนู๋นานๆ มาที ก็ไม่รู้ -
เมื่อยึดตัวตนมันก็จะนำไปสู่การยึดทุกๆ
อย่าง
แม้กระทั่งหลงไปยึด"ความไม่ยึด" -
ถ้ามันออกจืดๆ ก็ใช่แล้วล่ะเดินไปให้เบิกบาน
ต่อไปคับ -
ตัวท๊อปจริงๆครับ
ถ้าจิตเป็นแบบนั้นได้จริงๆ
ถือว่าระดับโปรแล้วครับ
นึกถึงครูบาร์อาจารย์
ที่ท่านเจอเสือในป่าตัวเป็นๆ
เจอภพภูมิเจ้าถิ่นที่แรงๆ
เจองูตัวใหญ่เลื้อยมารัดตอนนั่งสมาธิ
แล้วท่านยอมตายเลย ณ ตอนนั้น
ไม่รู้ว่ากำลังจิต กำลังสมาธิ
ท่านเข้มแข็งแค่ไหน
แบบเราๆมันพูดยาก แม้รู้ว่า
นัยยะการปล่อยวางเป็นอย่างไร
แต่โอกาสจะเจอบททดสอบจริง
แบบที่ไม่ใช่นามธรรมค่อนข้างน้อยมาก
ยิ่งสภาพแวดล้อมแบบ ณ ปัจจุบัน
ที่ไม่เอื้อต่อการทดสอบด้วย
ส่วนมากจะได้ในเรื่องนามธรรม
เช่น ไม่ติดยศ ไม่ติดชื่อเสียง
ไม่ติดการยอมรับ ไม่ติดสุข
ไม่เห็นแก่ตัว ไม่อิจฉา ไม่หลงตน
ไม่ติดครูบาร์อาจารย์ ไม่ติดธรรม
ติดตำรา ติดเรื่องภพภูมิ นามธรรมต่างๆ
ก็ถือว่าดีแล้ว
แต่ถ้าไม่ติดกายได้จริงๆ
คงยากสุดๆ
ลองทดสอบเล่นๆ เรื่องตัดกาย
เอาแค่ช่วงถอนฟัน ขูดหินปูน
หรือช่วงเป็นเหน็บชาแล้วลองเดินทันที
หรือลองเอามีดมากรีดเนื้อเล่นๆบางๆ
การทดสอบแบบนี้ ก็พอจะบอกได้ว่า
ณ เวลานั้นจิตทิ้งขันธ์ ๕ ได้แค่ไหน
เอาว่าได้ซักกี่วินาทีครับ
ผลจากบททดสอบนี่หละครับ
ที่จะช่วยให้เราไม่ประมาท
เพราะอย่าลืมว่าเวลาจะตาย
เราไม่อาจทราบได้ว่า จะมีเวลา หรือเอื้อ
ให้เรา
ใช้เทคนิควิธีต่างๆ
ตลอดจนระลึกคำสอน
ระลึกคุณความดีอะไรได้ไหม
ดังนั้น เรื่องทิ้งกายแบบนี้
ควรมีกุศโลบาย ในการเตรียม
ความพร้อมให้จิต มันพร้อมที่จะทิ้ง
กายนี้ ทั้งๆที่ร่างกายยังปกติอยู่
จะปลอดภัยที่สุดครับ -
เกิดความเจ็บปวด
แทบดิ้นก็จมไป
กับเวทนาตั้งหลายนานอยู่คับ
ท่านนพ
เอิ๊อกๆ -
ไม่ประมาท เพราะรู้ตัวเองอยู่
ก็ไปลด ไปคลายเรื่องอื่นๆแทนไปก่อน
อนาคตอาจจะตัดได้จริงๆก็เป็นไปได้ครับ
ส่วนตัวก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
อย่างที่บอก ตัดกายขาดจริงๆ
เหมือนที่เล่าเรื่อง ประสบการณ์
ครูบาร์อาจารย์ ที่ท่านที่พบเจอในป่ามา
ท่านเหล่านั้นพูดได้ คนฟังอาจเข้าใจว่าง่าย
เพราะไม่เคยสังเกตุและไปทดสอบ
ตนเองมาก่อน
แต่ท่านเหล่านั้น ท่านทำได้
เพราะท่านเป็นระดับโปรซีรีย์
ทั้งนั้นครับ ^_^ -
รอนางมีเงินเติมเน็ต ก็จะยกดอกไม้ ธูปเทียนแพ ดอกบัว พานพุ่ม บายศรี กราบเท้าค่ะ -
-
+++ รูป เวทนา สัญญา สังขาร อีก 4 ตัว ก็ "ตกงานทันที"
+++ จะจับโจร ให้จับหัวหน้า
+++ จะวางขันธ์ ให้วางที่ "วิญญาณขันธ์"
+++ ตัวเดียวอันเดียวจบ นะลุงแมว.... -
คือตัวผู้รู้
ที่
เป็นสังขารขันธ์ท้ายสุด
ที่ต้องปล่อยวางไปด้วยคับ -
+++ ทั้งหมด "เป็นตัวเดียวกัน"
+++ และ มีอาการทั้งหมด "เหมือนกัน"
+++ อาการของมันคือ "ดู"
+++ มันเป็นสิ่งที่เป็น "ผู้รู้ ที่เป็น จุด ๆ หย่อม ๆ" อย่างที่ หลวงตามหาบัว อธิบายไว้
+++ และตัวนี้แหละที่เป็น "ตัวกู/ของกู" นั่นแล...... -
ขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านด้วยความเคารพครับ
ขอให้ทุกท่านมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งไปทุกภพชาติจนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานด้วยกันทุกท่านเทอญ.สาธุ
ด้วยความเคารพครับ เรื่องของคุณนพ ข้าพเจ้าก็เคยเจอคล้ายๆกันครับ แต่ยังไม่ถึงขนาดนั้นครับ แค่โดนทดสอบความรักตัวกลัวตายครับ โดยวิธีต่างๆ บางเรื่องก็เคยลงไปแล้วบ้างครับ และตอนนี้ก็ผ่านบางบททดสอบแล้วครับ
ส่วนคำแนะนำของคุณธรรมชาติ ข้าพเจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับ
เรื่อง อัตตาจิต/ตัวผู้รู้/ตัวดู/วิญญาณขันธ์ ที่ว่าเป็นตัวเดียวกันน่ะครับ
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าลักษณะมันเป็นยังไง
ทีนี้ข้าพเจ้าขออนุญาตบอกสิ่งข้าพเจ้าได้สัมผัสมาแล้วบ้างนะครับ
รู้ แบบที่ไม่มีตัวตนเราเขา คือ รู้ แบบที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
รู้แบบที่เราเป็นผู้รู้ คือแบบว่า ลักษณะแบบนี้ข้าพเจ้าจะใช้คำว่า เราเห็น คือ เป็นแบบเราเป็นผู้เห็นลักษณะหรือสภาวะของมัน
ประมาณนี้ครับ
ทีนี้ที่คุณธรรมชาติเคยแนะนำให้หา ตัวกู ตอนนี้ข้าพเจ้าก็หาเจอแล้วครับ
โดยใช้วิธี จากที่ข้าพเจ้าใช้การกำหนดทั้งสองแบบตามข้างบนนั้น มาหยุดตรงที่ เราเห็น ข้าพเจ้าก็ควานหาอีกว่า จะไปอยู่ตรงที่ เรา ได้ยังไง เพราะมันมัวแต่เป็นเราเห็นอยู่ร่ำไป (ในที่นี้ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ดีว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในการควานหาสิ่งที่เป็นนาม)
ข้าพเจ้าเลยคอยสังเกตจากเวลาที่มีสิ่งมากระทบ แล้วรู้สึกถึงว่าเราถูกกระทบ เช่น เราได้ยินเสียง เราร้อน เป็นต้น
ข้าพเจ้าจึงเจอ ตัวกู ครับ และตอนนี้ก็กำลังคอยเฝ้ามองอยู่ครับ
แต่ว่า อย่างนี้จะใช่ ตัวกู อย่างที่ คุณธรรมชาติบอกไหมครับ แต่ต้องขออนุญาตด้วยความเคารพครับ ถ้าไม่ใช่อย่างที่คุณธรรมชาติบอก ข้าพเจ้าก็คงจะทำไปจนรู้ก่อนครับว่าไม่ใช่ แล้วค่อยเปลี่ยน
เพราะข้าพเจ้าชอบทำจนกว่าจะรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ครับ เลยช้าหน่อยครับ 5555
อ้อ อีกเรื่องครับ ที่ข้าพเจ้าจะสังเกตเพิ่มด้วย คือเรื่องจิตคำรามครับ ไอ้จิตดวงนี้มันเคยยิ่งใหญ่มาก่อนครับ เวลามีอะไรที่เป็นความสุขหรือสมหวัง มันคำรามก้องฟ้าไปทุกที ยิ่งมาเจอ ตัวกู นี้ ยิ่งเอาใหญ่ครับ คำรามถึ่เลยครับ ข้าพเจ้าจะสังเกตมันไปพร้อมๆกันเลยครับ
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านครับ -
+++ อีกประการหนึ่งคือ "ผมใช้ภาษาแบบ ตรง ๆ ตัว" ไม่ต้อง "แปล" พอถึงปั๊บก็ "อ้อ" ตรงนั้นเลย
+++ เอาตรง "เหลือบซ้าย แลขวา ให้รู้อยู่" แต่ข้อต้องระวัง คือ "อย่าจิตส่งออก"
+++ เมื่อ "จิตไม่ส่งออก ไปตามการ เหลือบซ้าย แลขวา" แล้ว ให้จับที่ "อาการ"
+++ 1. ลูกนัยตากรอก 2. ระบบประสาทเบื้องหลังลูกนัยตา 3. ข้อ 1-2 โดน "ดู"
+++ การ "ดู" ในข้อ 3 นี้ "เงียบเชียบ" อย่างยิ่ง เผลอปั๊บ จิตส่งออกปุ๊บ "ทันที"
+++ การ "เฝ้าระวังคุม" ตรงนี้ ให้คุมที่ ข้อ 2 แล้ว ข้อ 1-3 จะปรากฏมาครบเอง
+++ จากนั้น "ให้ทำจนชำนาญ จนรู้แจ้ง รวมทั้งความสัมพัธ์ ทั้ง 3 อาการ"
+++ เมื่อจับอาการของ "ตัวดู ในข้อ 3 ได้แล้ว" ก็จะรู้ได้เองว่า
+++ 1. ตัวนี้ สามารถ "หด/ขยาย" ได้
+++ 2. ตัวนี้ เป็นแค่ "การประชุมธาตุเฉย ๆ (อรูป)"
+++ 3. เมื่อขยายตัวนี้ "เต็มกายเนื้อ" ตัวกู/ของกู จะมีเต็มกาย
+++ 4. เมื่อขยายตัวนี้ "แค่ครึ่งกายเนื้อ" ตัวกู/ของกู จะมีแค่ครึ่งกาย
+++ 5. เมื่อปล่อยไว้เฉย ๆ มันจะหดตัวเหลือแค่ "อาการดู" เท่านั้น
+++ 6. มันดูอะไร มันก็รู้แค่นั้น เช่น มันดูการปรุง มันก็รู้แค่การปรุง
+++ 7. การปรุงไม่จำกัด มันก็รู้ไม่จำกัด
+++ 8. การปรุง หยุด/เปลี่ยนเรื่อง มันก็รู้แบบ หยุด/เปลี่ยนเรื่อง
+++ บอกแค่คร่าว ๆ เฉย ๆ เท่านั้น เรื่องของ ตัวดู มันไม่มีวันหมด
+++ เพราะมันเป็น "ตัวดู" ที่กำลัง "เล่นกล ในระดับ นามะรูปัง" อยู่
+++ ให้ทำข้อ 1-3 ใน 8 ระดับที่กล่าวมาแล้ว ก็จ "รู้" ได้ชัดเจนเอง
+++ หลาย ๆ ครั้ง มันเป็นแบบ "เต่าไม่เดิน ต้อง เอาไม้แยงตูด มันจึงเดิน"
+++ ไอ้ตรง "เต่าไม่เดิน" คือ อาการเสพฌาน แล้วนิ่งอยู่เฉย ๆ แบบ "อัปปนา" นั่นแหละ
+++ อยากไปเหนือกว่า "จิตคำราม" ก็ให้เข้าไปที่ "ใจกลางของความฮึกเหิม"
+++ จนจิตคำราม เป็น ออโต้โหมด "ขยายตัวของอาการ จนออกไปเป็น สนามพลัง"
+++ ณ ใจกลางของ สนามพลัง เป็น "ว่าง/กลวง/โบ๋" ไร้ตัวตน กลายเป็น "สนามพลังคำราม"
+++ ปล่อยให้ ออโต้โหมด ดำเนินไปแบบ "มันคำราม แต่ เราไม่ได้คำราม" หลังจากนั้น
+++ ให้ "สำเหนียก" การคำราม "ภายนอกสนามพลัง" รวมทั้งอาการที่ "เปล่งคำรามเป็นวูป ๆ"
+++ จากนั้น ให้เข้าไป ณ ใจกลางของ "คลื่นคำราม" ตรง ระหว่าง "ร่องคลื่น"
+++ จะสำเหนียกถึง "ภัยพิบัติ ระดับ ฟ้าดินพิโรธคำราม" ได้เอง
+++ จากนั้น ให้ขึ้นสูงเหนือ "ยอดคลื่นคำราม" และขึ้นไปสูง ๆ
+++ แล้วจะพบ "อาการ ฟ้าผ่าหมื่น ๆ ครั้งใน 1 นาที" ที่เรียกว่า "ฟ้าพิโรธ" นั่นแหละ
+++ เมื่อ "เข้าอาการ" ได้จน "ชำนาญ" แล้ว จึงหัด "ควบคุมสายฟ้า" ให้ได้ดังใจ
+++ จากนั้น ก็จะ "เข้าใจ" ในโพสท์ที่เคยโพสท์ไว้ "ในกระทู้อื่น" ได้เอง
+++ บอก "วิธีทำ" ให้แล้ว ในเวปนี้ก็น่าจะมีแค่ คุณ Supop เท่านั้นที่ "พอมีแวว" นะ
+++ แต่อย่าลืมว่า "ระดับที่สายฟ้า แตะต้องไม่ได้ (ไร้ความหมาย)" ยังมีอีกแยะ
+++ ให้ถือว่า "เป็นแค่ อุปกรณ์ในการฝึก" เท่านั้น นะ
+++ ตรงนี้เป็นการ "ฝึกเร่งความเป็น ตน จนถึงระดับ ไร้ตน แต่ ความเป็นตนยังอยู่"
+++ ประโยคนี้ จะเข้าใจได้ ก็ต่อเมื่อ "ทำ" ได้ตามที่กล่าวมาแล้ว เท่านั้น นะครับ -
ขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านด้วยความเคารพครับ
ต้องขออนุญาตคุณธรรมชาติด้วยความเคารพครับ
ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจเรื่อง อัตตาจิต/ตัวผู้รู้/ตัวดู/วิญญาณขันธ์ ที่ว่าเป็นตัวเดียวกันของคุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุุณธรรมชาติแล้วล่ะครับ
และข้อ 1-8 นี่แหละครับ ที่ข้าพเจ้าต้องการสื่อ ข้าพเจ้าทำได้แล้วและทำอยู่ประจำครับ (ต้องขอโทษด้วยครับที่ใช้ภาษาไม่ถูกต้อง) แต่ ตัวกู อันที่ข้าพเจ้าเพิ่งเจอนี้ มันแตกต่างออกไปครับ ข้าพเจ้าจึงจะทำความรู้จักกับมันครับ
และเรื่องคำรามนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกถึงเป็นพลังงานที่แผ่กว้างออกไปแล้วครับ แต่ยังเป็นตัวเองคำรามอยู่และยังเข้าไม่ถึงใจกลางครับ
และความรู้เพิ่มเติมทุกอย่างที่คุณธรรมชาติแนะนำมา ข้าพเจ้าจะปฏิบัติต่อไปครับ
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาครับ
*(ข้าพเจ้าเข้ามาแก้ไขเพิ่มเติมข้อความที่ตกหล่นหายไปให้สมบูรณ์ครับ)
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ -
ควรสงสัยว่าสัมมาทิฏฐิต้องคิดหรือไม่ สัมมาสังกัปโปต้องคิดด้วยหรือไม่ และทุกสัมมาในมรรคทั้งแปดนี่ต้องคิดหรือไม่ ถ้าคิดอยู่ก็ไกลเกินเอื้อม ไม่ใช่สักแต่ฌานสมาธิแล้วจะนิพพาน มั่วบรมเลย เมื่อไหร่ใช้คำว่าอัตโนมัติเป็นแต่มันไม่ใช่เห็นบ้าบอคอแตกนะ จะรู้ว่า การพ้นจากสิ่งที่กำลังยึดไว้ไม่ใช่อาศัยแค่ความคิดโง่ๆ แค่ลืมกายลืมขันธ์ มันไม่พ้นหรอก เหมือนลุงแมวไง ทำไมแทนที่จะคิดข้ามไปเราทำไมไม่สร้างสิ่งบางอย่างมาลบเลือนละ จะข้ามไปโดยไม่รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นยังไงแล้วจะมาบอกละนั่นละนี่ คนที่รับผลนั้นก็ไม่ใช่ผมนะ ลบได้นะถ้าเห็นว่านั่นคืออะไรบางอย่างที่เปรอะเปื้อนและไม่ใช่เรา แต่ลบยังไม่ได้ถ้ามองเป็นส่วนเพราะมันประกอบขึ้นครบ จึงเป็นผม เป็นลุงแมว หรือเป็นใครต่อใคร แต่ว่าถ้าเราจะลบหรือเลิกยึดถือเราก็ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของการมี ไอ้การจะเอะอะอะไรก็ลืมก็ละ ล้านละล้าน จุกทุกราย
-
ไม่สงสัยเหรอว่า เกิดมาเพื่อ เพื่อละตามที่รู้หรือเพื่อรู้แล้วจึงละ อันนี้มีคนเคยพูดว่า ก็แค่ตกผลึกความคิด แต่ป่าวเลย ถ้าความคิดมันทำให้ละได้จริง คงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดมาก พิจารณาเอาเองเถอะตำราก็ว่าไว้พระอริยะบุคคลมีอีกกี่ภพที่ต้องบำเพ็ญ คนทั่วไปไม่นับ ตกนรกบ้างขึ้นสวรรค์บ้าง เลือกเอาเถอะว่า ทำเพื่ออะไร
-
กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี
ขันธ์ก็คือขันธ์
จิตก็คือจิต
ขันธ์ห้าเป็นเครื่องมือให้จิตทำงาน
วิญญาณขันธ์เป็นเครื่องมือใช้ในการรับรู้
เป็นผู้รู้ มีตัวรู้ รับประสาทรับรู้ทางทวารทั้งหก
ทำผู้รู้ให้บริสุทธ์ จึงไม่ใช่สภาวะนิพพาน
เพราะกิเลสมันอยู่ที่จิตโน้น
เอากิเลสออกจากจิตนั้นคำสอนหลวงตามหาบัว
ปล.ผู้รู้ไม่ใช่นิพพาน หลวงปู่หล้าบอกไว้..
หน้า 1 ของ 8